Tale of Utopia

6.9

เขียนโดย The_Paper

วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.12 น.

  15 บท
  8 วิจารณ์
  16.99K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556 12.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บทที่ 1 ณ ดินแดนยูโทเปีย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 1 ณ ดินแดนยูโทเปีย

               

ฉันร่วงลงต่ำมาเรื่อยๆ  ฉันต้องตายแน่ๆเลย  นี่ความคิดแวบแรกที่เกิดขึ้นกับฉัน  ใบหน้าของฉันปะทะกับสายลมจนรู้สึกเจ็บ  ฉันใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะใจเย็นลง   อย่างน้อยฉันคงตกลงมาจากที่สูงมากแน่ๆไม่อย่างนั้นคงได้โหว่งพื้นจนสลบไปแล้ว    ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันสามารถควบคุมสติไว้ได้แล้วนะ   แต่ฉันก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าจะทำยังไงต่อไปดี...

 

 

ฉันจะมาตายตั้งแต่เริ่มอย่างนี้ไม่ได้นะ!

 

 

                ตอนนั้นเองที่กุญแจกระดาษในมือของฉันสั่น   ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันหยิบติดมือมาด้วยเพราะนึกว่าได้เสียบคาอยู่ที่ประตูบานนั้น      ฉันปล่อยมือจากมันอย่างรวดเร็ว   ทันใดนั้นกระดาษก็ขยายตัวใหญ่ขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ก่อนจะกลับกลายมาเป็นจรวดกระดาษขนาดใหญ่แล้วบินมาอยู่ใต้ตัวฉันเพื่อรองรับฉันไว้   

 

 

ในที่สุดฉันก็ได้นั่งอยู่บนจรวดกระดาษนั้นอย่างปลอดภัย    ฉันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก...นึกว่าจะต้องตายแล้วซะอีก  เมื่อนั้นฉันถึงได้มีโอกาสมองไปรอบๆตัว   ฉันกำลังบินอยู่บนท้องฟ้าจริงหรือนี่....แถมยังเป็นท้องฟ้าในวันอากาศดีซะด้วย    ตะกี้ฉันกลัวแทบตายแต่วินาทีนี้กลับตื่นเต้นจนไม่รู้สึกกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว  ฉันสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอดก่อนจะเผลออบยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว      มันช่างเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ  อย่างกับความฝันเลย   ฉันคิด

 

 

                เมื่อฉันต้องการจะบังคับทิศทางของจรวดกระดาษนั้นฉันก็สามารถทำได้อย่างง่ายดายโดยเพียงแค่ฉันคิดเท่านั้นจรวดก็จะบินไปในทิศทางที่ฉันคิดทันที     ดังนั้นแล้วฉันจึงพาจรวดกระดาษนั้นบินมาใต้ก้อนเมฆเบื้องล่างอย่างไม่รอช้า  พอฉันมองลงไปยังด้านล่างฉันก็เห็นเมืองในที่สุด  

 

 

ฉันพลันอุทานออกมาด้วยความดีใจแทบจะในทันที    “ว้าว....เหมือนกับเมืองในเทพนิยายเลย”  ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากจริงๆ   เบื้องล่างมีหมู่บ้านแล้วก็ปราสาท    ปราสาทนั้นดูงดงามและมีสีขาว  มันสวยงามและดูน่าเกรงขามมากเหลือเกิน  ฉันเคยมองเห็ยภาพปราสาทแค่เพียงภาพวาด  แต่พอมาเห็นด้วยตาก็คิดว่ามันช่างให้วามรู้สึกที่ต่างกันเสียจริง     เมื่อฉันบินต่ำลงมาอีกก็พลันเห็นแสงสีเขียวแวบๆพุ่งมาจากหอคอยปราสาทหอคอยหนึ่ง

 

 

                ฉันบินไปยังที่มาของแสงนั้นด้วยความสงสัยจึงเห็นว่ามีคนหนึ่งกำลังโบกไม้เท้าที่ส่องแสงนั้นได้อยู่  พอฉันเข้าไปใกล้อีกนิดจึงเห็นว่าเขาเป็นชายชราคนหนึ่งที่ไว้หนวดเครายาวถึงช่วงท้อง  เขาสวมเสื้อคลุมสีดำและกำลังโบกไม้เท้าอยู่  แสงสีเขียวที่ฉันเห็นนั้นมาจากปลายไม้เท้าของเขานั้นเอง   ฉันมองท่าทีของเขายังแปลกใจ   พอบินเข้าไปใกล้ขึ้นฉันจึงตระหนักได้ว่า คนที่เขากำลังโบกไม้เท้าให้ก็คือ ฉัน นั้นเอง

 

 

                คงจะเป็นคนที่จะมาบอกภารกิจเราละมั้ง  ฉันคิดแล้วจึงตัดสินใจบินไปทางนั้น    แต่ก่อนที่จะถึงหอคอยนั้นนั่นเอง  ลมแรงวูบไหนไม่รู้ก็พัดมาโดนฉันเข้าอย่างจัง   ฉันที่ไม่ได้ทันตั้งตัวจึงหล่นลงจากจรวดกระดาษในทันที

 

 

                “ว้าย!!!”  ฉันร้องออกมาอย่างตกใจ

 

 

                พ่อมดที่อยู่บนหอคอยเห็นดังนั้นจึงรีบใช้เวทมนต์ช่วยเหลือฉันทันที    ชั่วขณะนั้นฉันรู้สึกเหมือนมีลมอีกวูบหนึ่งมาช่วยประคองฉันไม่ให้ตกลงไปแล้วพาร่างของฉันไปยังยอดหอคอยแห่งนั้น

 

 

                “เฮ้อ...” ฉันลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเท้าทั้งสองของฉันอยู่บนหอคอย  เกือบตายครั้งที่สองแล้วสิเรา....

 

 

                “น่าประทับใจมาก” ชายชราพูดพลางแล้วหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี

 

 

                “คะ?” ฉันไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไงดี  ไอ้เหตุการณ์เมื่อกี้เนี่ยนะที่น่าประทับใจ

 

 

                “สวัสดีฉันชื่อ ราเมียส  เป็นพ่อมด” ชายชราพูดขึ้นโดยเร็วพร้อมกับยื่นมือมาให้ฉัน  ฉันได้แต่จับมือเขาตอบอย่างงงๆ   พ่อมดเหรอ   นี่...ฉันได้จับมือกับพ่อมดตัวจริงเสียงจริงใช่ไหมเนี่ย  ยอดไปเลย  แต่จะว่าไปฉันเองก็ใช้เวทมนต์เหมือนกันไม่ใช่รึไง  ฉันรู้สึกขำกับสิ่งที่ตัวเองพึ่งจะนึกออกอยู่เหมือนกัน

 

 

                “อา...ที่เธอมาที่นี่ได้ก็หมายความว่า เธอสามารถเปิดปะตูนั้นด้วยพลังของเธอเองสินะ”

 

 

                ฉันพยักหน้าตอบ

 

 

                “ดีมาก   ตอนนี้พระราชากำลังต้องการพบเธอ  พระองค์รอการมาของเธอมาพักใหญ่แล้วล่ะ  ตั้งแต่คำทำนายบอกว่าจะมีผู้ถูกเลือกมา”  เขาพูดขณะที่พาฉันออกเดินไปยังท้องพระโรง

 

 

                “คำทำนาย?”

 

 

                “ใช่  ยามที่ ยูโทเปีย มีภัยท่านเทพธิดาจะเรียกคนต่างแดนมาที่ ยูโทเปีย อยู่ทุกครานั้นแหละ”

 

 

                “ใครคือ เทพธิดา คะ?”

 

 

                “ไม่เคยมีใครพบท่านหรอก  นอกจากผู้ถูกเลือกอย่างเธอ  ท่านจะเป็นคนมอบสิ่งสำคัญนั้นเพื่อตอบแทนเธอยังไงล่ะ”

 

 

                “แล้วทำไมคนๆนั้นถึงเป็นฉันละคะ”

 

 

                “ท่านเทพธิดาทรงมีเหตุผลของท่านเองเสมอนั้นแหละ      เจ้าดูต่างจากที่ข้าคิดเอาไว้ทีเดียวนะผู้ถูกเลือก...”

 

 

                “เอ๊ะ  ยังไงเหรอคะ?”  ฉันทำหน้าสงสัย

 

 

                “เอาล่ะ....เรามาถึงกันแล้ว”  ราเมียสไม่ตอบคำถามของฉัน  เขาหยุดบทสนทนาไว้เพียงเท่านั้น

 

 

                จู่ๆฉันก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว  ตายละ  พระราชางั้นเหรอ  ฉันยังไม่พร้อมที่จะพบกับพระราชาหรอกนะ

 

 

                ราเมียสคงไม่ได้ยินความคิดของฉันแน่ๆ  เพราะเขาเปิดประตูอันมโหฬารแล้วนำฉันเข้าไปทันที  ฉันจึงจำใจต้องเดินตามเขาเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้

 

 

                ไม่มีอะไรต่างจากที่ฉันคาดการไว้เท่าใดนัก ฉันจิตนาการท้องพระโรงเอาไว้หลายแบบ  และนี่ก็แสดงว่าฉันเดาถูกล่ะ  แต่ฉากแบบนี้มันของฝ่ายผู้ร้ายชัดๆนี่หน่า ฉันรู้สึกเสียววาบในใจ  รู้สึกลางไม่ดีเสียแล้ว ท้องพระโรงแห่งนี้ถูกตกแต่งอย่างสวยงามดูวิจิตรตระการตา   แต่สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกไม่ดีนั้นก็คือสีเขียวเข้มจนออกดำที่เป็นสีที่ใช้ตกแต่งท้องพระโรงแห่งนี้นั้นเอง  มีธงสีเขียวเช่นเดียวกันปักอยู่รอบ กลางธงนั้นมีรูปไม้เท้าพ่อมดคล้ายกับของรีเมียสสีขาววาดอยู่    ภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยผู้คน   ซึ่งส่วนใหญ่คงจะเป็นพ่อมดแม่มด  เพราะเห็นว่าแต่งกายคล้ายราเมียสอยู่มาก  ทุกสายตาจับจ้องมาที่ฉันจนฉันรู้สึกเกร็งไปทั้งตัว     ในที่สุดฉันก็มายืนอยู่ตรงหน้าพระราชาที่นั่งอยู่บนที่สูงกว่าฉัน

 

 

                “ยินดีต้อนรับผู้ถูกเลือกสู่ ยูโทเปีย” เขากล่าว เสียงของเขาราวกับมีมนต์สะกด  ฉันรู้สึกกลัวพระราชาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก   ใบหน้าของเขาถูกคลุมด้วยผ้าจนมองเห็นแค่ดวงตาสีเขียวเป็นประกายที่กำลังจับจ้องมายังฉันเท่านั้น  บนศีรษะของเขามีมงกุฎงามวิจิตรสวมใส่อยู่

 

 

                “เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ?” เสียงของพระราชาปลุกฉันตื่นจากภวังค์

 

 

                “แอนนา เบลล์คะ” ฉันตอบ  บ้าจัง  ทำไมฉันถึงรู้สึกไม่ดีอย่างนี้นะ  รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก  ทั้งๆที่ตอนอยู่บนฟ้ายังรู้สึกสดชื่นมากเลยแท้ๆ

 

 

                “ข้าหมายถึงอีกชื่อนะ” พระราชาถามขึ้นอีกครั้ง  เสียงของเขาทำให้ฉันรู้สึกวิงเวียนศีรษะแปลกๆ จู่ๆฉันก็รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาอย่างประหลาด

 

 

                “คะ?” ฉันไม่เข้าใจคำถามของพระราชา 

 

 

“ชื่อจริงของเจ้าน่ะ?” พระราชาถามย้ำพลางจ้องมองฉันนิ่ง

 

 

“....”  ฉันรู้สึกไม่ดีจนแทบจะยืนต่อไปไม่ไหว 

 

 

“แอน.....” ริมฝีปากของฉันขยับไปโดยที่ฉันไม่อาจห้ามได้   แต่ทันใดนั้นเสียงๆหนึ่งก็ดังก้องขึ้นในหัวของฉัน

 

 

อย่าตอบชื่อจริงออกไปนะ!   ราวกับมีเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนที่ข้างหูของฉัน  ฉันสะดุ้งเฮือก  ความง่วงงุ่นปนอึดอัดพลันจางหายไปอย่างรวดเร็ว  นี่เมื่อครู่ฉันกำลังจะตอบชื่ออะไรออกไปละนี่?

 

 

                “ฉันไม่มีอีกชื่อนี่คะ”  ฉันตอบ  ดูเหมือนคำตอบนั่นจะทำให้พระราชาผิดหวังเล็กน้อย

 

 

                “ท่าทางเธอจะเหนื่อยนะ  วันนี้ไปพักผ่อนก่อนแล้วกัน”  พระราชาพูดขึ้น   ฉันแอบรู้สึกโล่งอกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก  เสียงเมื่อครู่เป็นเสียงของใครกัน  ดูเหมือนเสียงนั้นจะช่วยฉันไว้จากอันตรายอย่างไรไม่รู้

 

 

                “ราเมียส...เจ้าจงพาผู้ถูกเลือกไปที่ห้องพักเถิด”  

 

 

                ราเมียสน้อมรับแล้วจึงพาฉันออกมาจากท้องพระโรง   ตอนนั้นเองที่ฉันพึ่งจะนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้

 

 

                “จริงสิคะ  แล้วเรื่องภารกิจ” ฉันเอ่ยปากถามราเมียส

 

 

                “พระราชาคงจะบอกเจ้าในวันพรุ่งนี้ล่ะ  วันนี้ท่านเห็นเจ้าเหนื่อยเลยอย่างให้พักผ่อนก่อน”

 

 

                “ว่าแต่...สิ่งสำคัญที่จะมอบให้ฉันนี่คืออะไรกันเหรอคะ?”  พอออกห่างจากท้องพระโรงฉันก็รู้สึกดีและผ่อนคลายขึ้นมาก

 

 

                “ไม่รู้สิ   แต่ผู้ถูกเลือกที่แล้วมาต่างก็พอใจในสิ่งที่ท่านเทพธิดามอบให้”

 

 

                “งั้นเหรอคะ  แล้วผู้ถูกเลือกคนก่อนมาที่นี่เมื่อนานรึยังคะ?”

 

 

                “ก็ไม่นานเท่าไหร่....”  ราเมียสตอบไม่เต็มปากมากนัก  ฉันเองก็ไม่ได้ซักต่อ

 

 

                “แล้วถ้าทำภารกิจไม่สำเร็จ  ฉันก็จะไม่ได้กลับบ้านยังงั้นเหรอคะ”

 

 

                “คงจะเป็นแบบนั้น...”  คำตอบของราเมียสทำให้ฉันรู้สึกใจหาย  ฉันรู้สึกกลัวขึ้นมานิดๆ  ที่ฉันตัดสินใจมาที่นี่นั้นเป็นสิ่งที่ควรทำหรือเปล่านะ

 

 

                หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้ถามอะไรพ่อมดราเมียสอีกเลยจนเราทั้งสองเดินมาถึงหน้าห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ฉัน

 

 

                “อย่าออกจากห้องมาเดินเผ่นพ่านล่ะ ตอนนี้ยูโทเปียกำลังไม่สงบ  อันตรายมีอยู่ทุกฝีก้าว” ราเมียสเตือนฉัน

 

 

                “คะ  เข้าใจแล้วคะ” ฉันตอบรับ แล้วราเมียสจึงจากไป

 

 

 

**********

 

 

 

ค่ำวันนั้นฉันนอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงจนหัวหมุนติ้วไปหมด  ตั้งแต่ที่ฉันเหยียบย่างเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ในหัวฉันก็เต็มไปด้วยคำถามมากมายจนนับไม่ถ้วน  

 

 

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ฉันยังจะเปิดประตูหรือเปล่านะ...แน่นอนสิ ฉันต้องเปิดฉันมั่นใจ   นาทีแรกที่ฉันอยู่บนท้องฟ้าฉันรู้สึกสดชื่นและมีชีวิตชีวาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน   ฉันมีพลังวิเศษเป็นของตนเองอย่างไม่น่าเชื่อ  ฉันบินอยู่กลางอากาศ  ฉันได้พบพระราชาที่อาศัยอยู่ในปราสาทหลังใหญ่มโหฬาร

 

 

แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกไม่ดีเลยนะ...โดยเฉพาะหลังจากที่ได้พบพระราชาเมื่อตอนกลางวัน   เสียงของเด็กหนุ่มปริศนาคนนั้นคือใคร...  จู่ๆฉันก็รู้สึกว่าที่นี่จะไม่ใช่ที่ที่ฉันควรจะอยู่เสียแล้ว

 

 

“ฉันจะทำยังไงต่อไปดีล่ะทีนี้   ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว” ฉันกระซิบกับตนเองอย่างจนปัญญา “หรือจะหนี...หนีไปไหนเล่า  กลับบ้านยังไงฉันยังไม่รู้เลย!”  จะว่าไปเรื่องขากลับนี่ฉันก็ลืมคิดไปเสียสนิทเลยจริงๆ   แต่จะมานั่งกังวลตอนนี้มันก็คงสายไปแล้ว

 

 

“เฮ้...เธอได้ยินฉันรึเปล่า?” ทันใดนั้นเสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นเบาๆ  มันดังขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่งภายในห้อง    ฉันผุดลุกขึ้นนั่งทันทีด้วยความตกใจทันที  แต่พอฉันมองไปรอบๆก็ไม่เห็นมีใครสักคน 

 

 

หูแว่วงั้นเหรอ?  หรือว่าผี  อึ๋ย..... ฉันนึกอย่างขวัญเสีย

 

 

“ฉันอยู่นี่  เธอได้ยินฉันใช่ไหม?” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง  ฉันจึงกลั้นใจแล้วมองไปรอบๆห้องอย่างพิจารณาอีกครั้ง  คราวนี้เองที่ฉันเห็นอะไรสักอย่างใกล้หน้าต่างที่ผิดปกติไป  เงารูปคน!!!!

 

 

“เธอต้องฟังฉันให้ดีนะ   ที่นี่ไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว  เธอต้องรีบหนีไป!”  เงานั้นพูดขึ้นอย่างร้อนรน

 

 

“เงาพูดได้เหรอเนี่ย...” ฉันเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ  เวทมนต์งั้นสินะ…ว้าวทำอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ

 

 

“ก็พลังของฉันยังไงเล่า  ยัยงี่เง่า!”

 

 

“หา...นายว่ายังไงนะ” ฉันฉุนกึก  จู่ๆก็ถูกเงาแปลกหน้าว่าเอาซึ่งๆหน้า  แถมเรื่องประหลาดแบบนี้คนอย่างฉันจะไปเคยเห็นได้ไงเล่า

 

 

“อย่าเสียงดังสิ  เดี๋ยวพวกนั้นก็รู้ตัวกันหมดพอดี” เงานั้นส่งเสียงเครียด

 

 

“พวกไหน?”  ฉันถาม  ความไม่พอใจเมื่อครู่มลายหายไปอย่างรวดเร็วขณะที่ความกังวลเกิดขึ้นมาแทนที่

 

 

“พวกพ่อมด-แม่มดไงเล่า”

 

 

“เอ๊ะ.....” 

 

 

“ฉันไม่มีเวลาอธิบายแล้วเพียงแต่ว่า  พวกพ่อมดแม่มดที่เธอพบเมื่อตอนกลางวันน่ะ ไม่มีทางหวังดีกับเธอแน่  โดยเฉพาะเจ้าแบล็กฮาร์ทนั่น”

 

 

“แบล็กฮาร์ท ...ใครนะ?”

 

 

“เจ้าพระราชาจอมปลอมที่มันแย่งชิงบัลลังก์ไปจากท่านพ่อของฉันนะสิ   เธอเองก็ได้พบมันที่ห้องรพะโรงแล้วนี่หน่า เอาเถอะ...ตอนนี้ฉันเองก็ถูกขังอยู่คงช่วยเธอได้แค่นี้”

 

 

“เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่เนี่ย?”  ทุกเรื่องกลับตาลปัตรไปหมด  นี่เมื่อครู่ที่ฉันพบไม่ใช่พระราชาจริงๆอย่างนั้นเหรอ  แล้วฉันเชื่อเจ้าเงาพูดได้นี่มากสักเท่าไหร่กัน

 

 

“ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว  รีบหนีไปเร็วเข้าก่อนที่พวกนั้นจะรู้ตัว  เร็วเข้าสิ....”

 

 

“จะให้หนียังไงละ?” ฉันถามตอนนี้คงไม่มีทางเลือกนอกจากเชื่อเงาตนนี้ไปก่อนล่ะสินะ   แต่เจ้าเงานี่คงไม่คิดจะให้ฉันเดินเชิดอกอย่างสง่าผ่าเผยออกไปเฉยๆหรอกนะ

 

 

“พลังของเธอไง...”  น้ำเสียงของเงานั้นกำลังหมดความอดทนลงทุกที

 

 

“พลังของฉัน?...”  ฉันลืมไปเลยว่าฉันใช้เวทมนต์ได้   แต่จะว่าไปกระดาษแผ่นนั้นมันปลิวหายไปแล้วนี่หน่า แล้วจะใช้เวทมนต์ได้ยังไงล่ะ

 

 

“เธอต้องได้พลังแล้วสิไม่งั้นเธอคงผ่านประตูมิติมาไม่ได้หรอก”

 

 

“ก็จริงอยู่   แต่ฉันทำมันปลิวหายไปแล้ว” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงหมดหวัง

 

 

“ปลิวหาย  เธอพูดบ้าอะไรของเธอเนี่ย!”

 

 

ฉันจึงจำต้องอธิบายให้เงานั้นฟังอย่างเร็วๆ

 

 

“ยัยบ้าเอ้ย...ของแบบนั้นเธอหากระดาษแผ่นอื่นแล้วใช้พลังก็เท่านั้นเอง  ง่ายๆแค่นี้เธอคงทำได้อยู่แล้วใช่ไหม?”

 

 

“อย่างนั้นเองหรอกเหรอ?” ฉันลองพยายามหากระดาษดูอย่างไม่รอช้า ก่อนที่ในที่สุดฉันจะพบกระดาษกองหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะหนังสือ  ฉันบังคับกระดาษเหล่านั้นให้เคลื่อนไหวตามที่ใจต้องการได้อย่างง่ายดาย  นี่คือ พลังของฉันอย่างนั้นเหรอเนี่ย  ยอดไปเลย...

 

 

“เอาล่ะ....คราวนี้เธอก็หนีออกทางหน้าต่างเนี่ยแหละ  พวกพ่อมดประมาทเธอมากเกินไปจึงไม่ได้เสกมนตรากักขังเธอไว้”

 

 

“แล้วนายล่ะ  ตอนนี้อยู่ที่ไหน?”

 

 

“คุกใต้ดิน  ฉันบอกเธอแล้วไงว่าฉันถูกขังอยู่”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะลงไปช่วยเธอ”

 

 

“ไม่ได้  เธอต้องหนีไปให้ไกลที่สุด  อนาคตของยูโทเปียอยู่ในมือของเธอ  เธอจะมาถูกจับที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด”

 

 

“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น  ถ้านายไม่ไปด้วย  ฉันไม่รู้เรื่องอะไรของยูโทเปียเลยนะ  ถ้าอนาคตของยูโทเปียอยู่ในมือฉัน  ฉันก็ต้องการคนช่วย  และคนๆนั้นก็คือนาย   เข้าใจไหม!”  ฉันยื่นคำขาด

 

 

เงานั้นเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดเหมือนจะยอมจำนนในที่สุด “เข้าใจแล้ว  ฉันจะนำทางเธอไปที่คุกใต้ดินเอง   ว่าแต่เธอเถอะ...พร้อมแล้วใช่ไหม?”

 

 

“พร้อม...” ฉันไม่ลืมที่จะคว้าสมุดบันทึกมาด้วย

 

 

เงานั้นไม่กล่าวอะไรอีก  มันเคลื่อนที่ไปยังหน้าต่างยังเงียบกริบก่อนที่พุ่งลงไปตามกำแพงอย่างว่องไวจนฉันมองแทบไม่ทัน  ฉันยื่นหน้าออกมานอกหน้าต่างอย่างกล้าๆกลัวๆก่อนจะพึ่งตระหนักได้ว่า...ห้องของฉันอยู่สูงกว่าพื้นดินมากแค่ไหน  เฮ้อ...ฉันชักจะเริ่มหวั่นในใจขึ้นมาซะแล้วสิ   อย่างน้อยก็ยังดีที่มีความมืดมาช่วยทำให้ฉันไม่สามารถรู้ได้ว่ามีอะไรรออยู่เบื้องล่างล่ะนะ    เมื่อนั้นฉันก็บังคับให้กระดาษเหล่านั้นประกอบกันมาเป็นปีกที่หลังของฉันก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วจึงกระโดดตามลงไป

 

 

ความมืดเข้ามาปกคุลมร่างของฉันอย่างรวดเร็ว   แต่ฉันกลับไม่รู้สึกกลัวมากอย่างที่คิด ทั้งๆที่ได้พลังมาไว้ในมือได้ไม่นานแต่ฉันกลับเชื่อมั่นพลังนี้อย่างเต็มที่   ฉันรู้ว่าฉันจะไม่มีวันตกลงไปเหมือนเมื่อตอนกลางวันอีกแล้ว   นี่คือพลังของฉัน...ฉันต้องเชื่อมั่นในพลังของฉัน  ฉันพร้อมที่จะบินยิ่งกว่าเมื่อตอนกลางวันเสียอีก

 

 

หลังจากผ่านไปไม่ถึงนาทีฉันก็พบว่าเงารอฉันอยู่ที่คูน้ำรอบปราสาทแล้ว เมื่อเงาตนนั้นเห็นฉันลงมาถึงก็รีบนำฉันไปยังทางเข้าที่ปรากฏอยู่ตรงกำแพงใต้ปราสาทติดชิดกับคูน้ำอย่างไม่รอช้า อันที่จริงทางเข้าที่ว่านั้นดูน่าจะเป็นทางระบายน้ำของปราสาทเสียมากกว่า  เงาตนนั้นพุ่งผ่านลูกกรงที่กั้นอยู่อย่างสบายๆ  ในขณะที่ฉันต้องลองเสกดาบกระดาษออกมาแล้วจึงฟันไปยังลูกกรงเหล่านั้นอย่างไม่มั่นใจนัก    น่ายินดีที่ลูกกรงขาดออกจากกันได้อย่างง่ายดาย    แม้จะอยู่ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแต่ฉันก็อดไม่ได้อยู่ดีที่จะมองไปที่ดาบกระดาษที่ตัวเองสร้างขึ้นมาด้วยความทึ่งจัด

 

 

พอพุ่งเข้ามาลึกเรื่อยๆ  ฉันก็รู้ถึงกลิ่นอับชื้นของถ้ำอากาศหนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก    กลิ่นอุ่นๆของสายน้ำรวมกับกลิ่นของตะไคร่น้ำที่สะสมมานานหลายปีทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย    ฉันจำไม่ได้ว่าเดินไปตามทางที่มืดและเปียกชื้นนั้นนานเท่าไหร่....รู้ตัวอีกทีก็เมื่อเห็นแสงสว่างมาจากความมืดในทางระบายน้ำนั้น 

 

 

เงานั้นนำฉันมาที่ทางเข้าแห่งหนึ่ง...มันคือท่าจอดเรือนั้นเอง  บันไดหินและซุ้มประตูขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ห่างออกไปมากนัก  หน้าประตูนั้นมียามสองคนยืนเฝ้าทางเข้าคุกใต้ดินอยู่  

 

 

“พวกนั้นไม่ใช่พ่อมดแต่เป็นทหาร” เงานั้นกระซิบบอกฉัน  แต่ยามนี้ฉันไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี  ฉันหวังไว้ลึกๆว่าไม่ต้องเจอใครเลยน่าจะดีกว่า

 

 

“เราคงต้องแยกกันตรงนี้แล้วล่ะ” เงานั้นพูดขึ้น

 

 

“ว่าไงนะ!”  ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย

 

 

“ฉันจะต้องกลับไปยังร่างจริงของฉัน  หลังจากนั้นฉันจะพยายามดึงความสนใจจากยามสองคนนั้นไว้   เธอก็อาศัยช่วงจังหวะนั้นแอบตามยามคนนั้นมาแล้วก็จะเจอฉันเองแหละ    พอเธอพบตัวฉันแล้วก็ให้ซ่อนตัวไว้จนกว่ายามพวกนั้นจะกลับออกมาข้างนอกเข้าใจไหม

 

 

เมื่อนั้นฉันจะบอกวิธีให้เธอทำลายวงเวทย์ที่สะกดฉันอยู่ให้เอง  ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนตอนนั้นฉันก็คงพอจะช่วยตัวเองได้แล้วล่ะ  เธอเข้าใจแล้วนะ” ว่าจบเงาร่างนั้นก็แวบหายเข้าไปในคุกใต้ดินผ่านยามทั้งสองไปอย่างหน้าตาเฉย

 

 

ฉันอ้าปากค้าง   แผนนี้มันมีช่องโหว่อยู่เต็มไปหมดเลยนะ...สิ่งที่เจ้าเงานั่นบอกอาจจะฟังง่าย  แต่พอคิดดูแต่ละขั้นตอนมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ  บ้าที่สุด!  นายนั่นไม่เปิดโอกาสให้ฉันค้านเลยด้วยซ้ำ  ผู้ชายอะไรเอาแต่ใจชะมัด  ชักอยากจะเห็นหน้าขึ้นมาซะแล้วละสิ   

 

 

แต่ในเมื่อตัวฉันเองก็คงไม่สามารถคิดหาแผนที่เข้าท่ากว่านี้  ฉันก็เลยไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับงั้นสินะ 

 

 

“เฮ้อ...”  ฉันยกมือขึ้นเกาหัวอย่างอ่อนอกอ่อนใจก่อนจะพยายามปลุกใจตัวเองให้กล้าหาญเข้าไว้  เป็นไงเป็นกันล่ะ  ฉันคิดพลางเสกกระดาษในมือให้เป็นดาบแล้วกำมันเอาไว้แน่นขณะที่เฝ้ารอดูเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยใจระทึก

 

 

ไม่นานเกินรอ....  ฉันก็ได้ยินเสียงของใครสักคนกรีดร้อง  ไม่ผิดแน่  นั้นคือเสียงของเงาตนนั้น   มันเป็นเสียงเดียวกันไม่มีผิด      นอกจากนั้นฉันยังได้ยินเสียงของโซ่ตรวนกับเสียงของประตูเหล็กดังแว่วปนมาอีกด้วย   เสียงนั้นทำให้ฉันรู้สึกขนลุก...ตอนนี้เจ้าของเงาอยู่ในสภาพแบบไหนกัน?  แค่คิดฉันก็กลัวแล้ว

 

 

“มันแผลงฤทธิ์อีกแล้วว่ะ” ยามคนหนึ่งพูดขึ้น

 

 

“เห็นเงียบไปนานนึกว่าจะถอดใจไปแล้วซะอีก” ยามคนที่สองตอบ

 

 

“ฉันจะเข้าไปดูให้เอง  คงไม่มีอะไรหรอก นายเฝ้าอยู่ตรงนี้ก็แล้วกันนะ” ยามคนแรกพูดก่อนที่จะเดินผลุบหายเข้าไปในคุกใต้ดิน   ปล่อยให้ยามอีกคนยืนเฝ้าประตูอยู่แต่เพียงลำพัง

 

 

เป็นเรื่องแล้วไง  ฉันคิด  คิดแล้ว...ว่าแผนนี้มันไม่มีทางสำเร็จ  คราวนี้จะทำยังไงดีละเนี่ย   จะให้ถอยหลังกลับก็ไม่ได้ซะแล้วด้วย    ใครก็ได้ช่วยฉันหน่อยสิ  ฉันคิดอย่างร้อนรน 

 

 

ทันใดนั้นดาบกระดาษในมือของฉันก็สั่นแรงขึ้นเรื่อยๆจนฉันต้องปล่อยมือออก   กระดาษเลห่านั้นประสานกันเป็นผืนเดียวก่อนจะลอยมาคลุมตัวฉันเอาไว้   ฉันยืนจังงันอยู่อย่างนั้นเพราะไม่รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น   แต่แล้วจึงฉุกใจคิดขึ้นมาได้  อย่าบอกนะว่า...สิ่งที่ฉันคาดการณ์เอาไว้มันจะถูกหรือเปล่า    แต่ถ้าไม่ลองดูแผนที่จะช่วยเงาตนนั้นต้องล้มเหลวแน่     เมื่อนั้นฉันก็สูดลมหายใจเข้าปอดให้ได้มากที่สุดแล้วจึงกลั้นหายใจเดินตรงดิ่งไปที่ประตูทางเข้าคุกใต้ดินทันที

 

 

ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ    ฉันเดินเข้าไปใกล้ยามคนนั้นขึ้นไปอีก   ถ้าหากเกิดมันไม่ได้ผลล่ะ?   ฉันต้องตายแน่ๆ  แล้วก็คงช่วยผู้ใช้เงานั้นไม่ได้ด้วย    ฉันเข้าไปใกล้มากจริงๆ  แต่ยามคนนั้นก็ยังคงไม่ไหวติง   ยามคนนั้นทำตัวปกติเหมือนกับว่าเขาไม่เห็นฉันเดินเข้ามาอย่างนั้นแหละ    ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความทรมานแต่ในที่สุดฉันก็เดินผ่านยามคนนั้นมาจนได้    ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเวลาแค่เพียงไม่กี่นาทีแท้ๆ   แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนนานเป็นชาติ   

 

 

มันได้ผล....ฉันตระหนักได้ในที่สุด  ความคิดนี้ลิงโลดอยู่ในใจของฉัน   ฉันมีความมั่นใจมากขึ้นทุกทีขณะที่เดินลึกเข้าไปในคุกใต้ดินมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

“ถ้าแกยังขืนทำแบบนี้อีก  ท่านแบล็กฮาร์ทต้องไม่เอาแกเอาไว้แน่!”  ฉันได้ยินเสียงของคนตะคอกดังมากจากมุมมืดเบื้องหน้า  

 

 

ฉันรีบเบี่ยงตัวหลบก่อนจะค่อยๆเขยิบร่างกายออกมาสังเกตการณ์ด้วยใจที่เต้นระทึก    ยามคนนั้นกำลังยืนอยู่หน้ากรงเหล็กขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง   ผู้ใช้เงาอยู่ในนั้นสินะ  ฉันคิด   ยามคนนั้นยืนเอามือเท้าเอวมองเข้าไปภายในกรงเหล็กด้วยความหงุดหงิดอยู่ครู่เดียวแล้วจึงหันหลังเดินกลับออกมาทางที่ฉันหลบอยู่      ฉันรีบทำตัวลีบไปกับกำแพงทันที  พอยามคนนั้นลับตาไปแล้ว  ฉันก็รีบตรงไปที่ห้องขังที่ยามผู้นั้นเคยยืนอยู่เบื้องหน้าทันที

 

 

ภาพเบื้องหน้าที่ฉันเห็นทำเอาฉันตะลึงงันไปชั่วครู่   ชายหนุ่มคนหนึ่งคิดว่าน่าจะมีอายุราวๆกับฉัน  ถูกขึงไว้กลางอากาศด้วยโซ่ขนาดใหญ่   เสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่นั้นขาดรุ่งริ่งเผยให้เห็นบาดแผลที่แห้งกรังบนร่างของเขาที่มีอยู่นับไม่ถ้วน    เขาต้องโดนทรมานมาอย่างหนักแน่ๆ   ร่างนั้นดูอ่อนระโหยแต่ยังคงหายใจอยู่  

 

 

แต่ก่อนที่ฉันจะร้องเรียกอะไรต่อไปนั้นเอง   ร่างนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา   เขามองเห็นฉัน  ฉันรู้สึกได้...น่าแปลกที่คนอื่นไม่เห็นแต่คนๆนี้กลับมองเห็น  เขาผงกศีรษะให้ฉันครั้งหนึ่ง  เมื่อนั้นฉันถึงได้สติขึ้นมาจึงรีบวิ่งตรงเข้าไปที่กุญแจที่ล็อคกรงเหล็กอยู่  บนแม่กุญแจขนาดใหญ่นั้นมีวงแหวนอะไรสักอย่างเขียนอยู่  ฉันพยายามลบมัน  แต่มันกลับไม่ยอมจางหายไป

 

 

“มันลบไม่ออก”

 

 

“ทำลายมันซะเลย” เสียงของเขาแหบพร่า   ฉันตัดสินใจปลดผ้าคลุมพรางตัวออกเปลี่ยนมันให้เป็นค้อน   แล้วจึงใช้มันทุบกุญแจนั้นสุดแรงเกิด

 

 

กุญแจนั้นแตกละเอียดในทันที        ฉันแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความดีใจ  แต่ฉันกลับดีใจอยู่ได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น  เมื่อได้ยินเสียงของฝีเท้าหลายคู่ดังมาจากด้านหลัง  ฉันรีบหันกลับมาจึงเห็นว่ามีทหารวิ่งลงมาเต็มไปหมดพร้อมกับบรรดาพ่อมดแม่มดจำนวนหนึ่ง

 

 

“หยุดนะ!” ฉันตะโกนก้อง  กระดาษที่คุมตัวฉันอยู่แปรเปลี่ยนรูปร่างไปอย่างรวดเร็วตามสถานการณ์  

 

 

เราถูกจับได้เสียแล้ว...คราวนี้จบแน่

 

 

“ยอมให้เราจับแต่โดยดีเถิด....ผู้ถูกเลือก” แม่มดคนหนึ่งพูดขึ้น

 

 

“ไม่มีทาง!” ฉันตอบ 

 

 

เมื่อนั้นทหารที่ดาหน้ากันเข้ามาพากันถอยกรูออกไปพวกพ่อมดแม่มดก้าวขึ้นมาข้างหน้าแทนที่  พวกเขาร่ายเวทย์มนต์ขึ้นมาเป็นเกราะกำบัง  จนถึงตอนนี้ฉันยังไม่กล้าที่จะโจมตีคนเหล่านี้  ฉันไม่เคยต่อสู้มาก่อน...ตอนนี้ฉันกำลังกลัวมากแต่ก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่แสดงมันออกมาให้ใครเห็น

 

 

“ผู้ถูกเลือก...ท่านกำลังเดินทางผิดอยู่นะ” พ่อมดคนหนึ่งพูดกับฉัน  ราเมียสนั้นเอง

 

 

“ฉันไม่เชื่อคุณหรอก” ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม   แต่ฉันเชื่อคำพูดของเงาตนนั้น  

 

 

แล้วฉันจะทำยังไงต่อไปดีล่ะ  นี่ฉันต้องสู้กับพ่อมดแม่มดพวกนี้จริงๆเหรอเนี่ย   ฉันได้แต่คิดอย่างร้อนรน

 

 

“แอนนา  เบลล์!”  ราเมียสตวาดก้อง  ทำเอาฉันสะดุ้งด้วยความตกใจ

 

 

“ราเมียส  นายเป็นพ่อมดก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอไง ว่าถ้าไม่ใช่ชื่อจริง ยังไงก็ไม่มีทางควบคุมคนๆนั้นได้อย่างที่ต้องการหรอก”  เสียงของเจ้าของเงาคนนั้นดังขึ้นเบื้องหลังฉัน    เขาเดินมายืนข้างๆฉันพร้อมกับจับมือของฉันเอาไว้  ทันใดนั้นฉันก็พลันรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

 

 

“เจ้าชาย...เจ้าไม่มีวันหนีออกไปได้หรอก  ข้าไม่มีวันยอมปล่อยเจ้ากับผู้ถูกเลือกไปแน่  ถึงข้าจำเป็นจะต้องปลิดชีพพวกเจ้าก็ตาม” ตาของราเมียสหรี่ลง  เขายกไม้เท้าที่ใช้ร่ายเวทย์ขึ้นมาพร้อมกับขยับปากเตรียมจะร่ายมนต์

 

 

“นายนี่มันพวกเนรคุณจริงๆ  ท่านพ่อเป็นคนชุบเลี้ยงแกมาโดยตลอดแท้ๆ   ฉันคือเจ้าชายรัชทายาทของอาณาจักรแห่งนี้   ชินแห่งอาบาเรส....ราเมียส  เจ้าไม่มีวันเอาชนะฉันได้หรอก”  เจ้าของเงาพูดขึ้น  พอเขาพูดจบไม้เท้าของราเมียสก็สั่นอยู่รุนแรง  ในที่สุดมันก็หลุดออกจากมือของราเมียสแล้วตกลงบนพื้น 

 

 

“แก.......”  ราเมียสส่งเสียงร้องออกมาอย่างโกรธแค้น

 

 

“นายเป็นเจ้าชายงั้นเหรอ?” ฉันกระซิบหันไปทางชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆฉัน

 

 

เขาไม่ตอบคำถามของฉัน    แต่กลับบีบมือของฉันแน่นจนฉันรู้สึกเจ็บ   และก่อนที่ฉันจะทำอะไรต่อไปนั้นเอง  พ่อมดกับแม่มดคนอื่นๆก็พากันร่ายมนต์ใส่ฉันกับเจ้าชายทันที   สีหน้าของเจ้าชายเต็มไปด้วยอาการเคร่งเครียดจนฉันกังวล  ฉันพยายามจะปล่อยมือเขาเพื่อเตรียมตัวต่อสู้บ้าง    แต่เจ้าชายกลับตวาดใส่ฉันทันที

 

 

“เธอในตอนนี้ยังไม่พร้อมจะสู้กับเจ้าพวกนี้หรอก”  เมื่อนั้นเขารั้งก็ฉันมาไว้ในอ้อมกอด   ฉันร้องออกมาอย่างตกใจ  ในขณะที่เจ้าชายกลายร่างเป็นเงาอีกครั้ง   วินาทีเขาก็พาฉันพุ่งทะลุผ่านกำแพงคุกใต้ดินออกมาซะแล้ว

 

 

“ว้าย!”

 

 

“เกาะฉันไว้แน่นๆ”

 

 

“จับพวกมันเอาไว้!” เสียงของราเมียสตะโกนสั่งการอีกครั้ง   นั้นเป็นประโยคสุดท้ายที่ฉันได้ยินภายในอ้อมกอดของชายแปลกหน้าคนนี้    ฉันตระหนักได้ว่าตนเองและเจ้าชายกำลังเคลื่อนที่ออกห่างจากปราสาทด้วยความเร็วสูง   มันเป็นความเร็วเท่าที่เงาตนหนึ่งสามารถที่จะนำพาไปได้

 

 

 

*********

 

 

 

ในที่สุดร่างเงาของเจ้าชายและตัวฉันที่อยู่ในอ้อมกอดก็ออกมานอกบริเวณของปราสาทได้ในที่สุด  ฉันมัวแต่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้จนแทบมองไม่เห็นอะไรรอบตัว    แต่อย่างน้อยจากความรู้สึกส่วนตัวฉันก็บอกได้ว่าตอนนี้เราทั้งสองกำลังล่วงเข้าสู่บริเวณของหมู่บ้านซึ่งอยู่ถัดออกมาเป็นลำดับถัดไป    น่าเสียดายที่ในสถานการณ์แบบนี้ทำให้ฉันมองเห็นภาพอันสวยงามของหมู่บ้านนั้นได้เพียงแค่ภาพลางๆเท่านั้น   เจ้าชายยังคงพาฉันเคลื่อนที่ต่อไปโดยไม่หยุดพักกลิ่นอับของใบไม้ที่ทับถมกันมานานหลายสิบปีลอยเข้ามาเตะจมูกของฉัน    ฉันออกมานอกเมืองแล้วอย่างนั้นหรือนี่...กลิ่นของป่าทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจ  เพราะคิดว่าเราน่าจะหนีมาไกลได้มากพอดู   พอมาถึงจุดนี้ฉันก็หันกลับไปว่าจะเอ่ยอะไรบางอย่างกับเจ้าชายแต่แล้วก็พึ่งจะสังเกตได้ว่าเรากำลังเคลื่อนที่ช้าลง

 

 

“ว้าย!”  ฉันร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อตนเองกระเด็นหลุดไปจากอ้อนแขนของเจ้าชายโดยไม่ทันตั้งตัว    โชคดีที่ผืนดินทั้งนุ่มและมีกองใบไม้รองรับอยู่ทำให้ฉันไม่เจ็บมากนัก   ฉันรีบหันขวับกลับไปด้วยความตกใจก็เห็นเงาตนนั้นนอนนิ่งอยู่กับพื้นดิน    เงาตนนั้นกำลังค่อยๆกลายร่างกลับไปเป็นมนุษย์   

 

 

“นี่นาย....”  ฉันร้องเรียกอย่างเป็นห่วงขณะที่รีบเข้าไปประคองร่างนั้น    ในที่สุดฉันก็ได้เห็นใบหน้าของเจ้าชายแบบชัดๆเสียที   ใบหน้าอันหล่อเหลาได้รูปนั้นซีดเผือดเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ  เสียงหอบหายใจของเขาดังก้องเข้าไปถึงในใจของฉัน   ดวงตาสีเขียวหยกราวกับอัญมณีคู่นั้นดูเหนื่อยล้าเสียเหลือเกิน

 

 

พลังของเขากำลังอ่อนลง...  ฉันคิด  จะว่าไปฉันก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเขาทั้งถูกขังแล้วก็โดนทรมานมาขนาดนั้นแล้วยังต้องมาใช้พลังพาฉันหนีออกมาอีก   คนอะไรใช้พลังไม่ได้คำนึงถึงตัวเองเลย  แย่จริงๆ

 

 

“นี่...นายพอจะลุกไหวไหม   นายจะมานอนตรงนี้ไม่ได้นะ...อย่างน้อยก็หาที่พักที่ดีกว่านี้กันเถอะ”  ฉันเอ่ย  แต่เจ้าชายนั้นเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของฉัน   เขายังคงหายใจหอบและไม่ยอมลืมตาขึ้นมาเสียทีจนฉันชักเป็นห่วงมากขึ้นทุกที 

 

 

“นี่...” ฉันเรียกเขา

 

 

“นี่...นาย” ฉันเอ่ยพลางเขย่าตัวเจ้าชาย   อย่าพึ่งมาเป็นอะไรตอนนี้นะ...!

 

 

“นายเข้มแข็งหน่อยสิ   อย่ามาทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียวตอนนี้นะ!” คาวนี้ฉันแทบจะตะโกนกรอกหูของเขา ในที่สุดเจ้าชายก็ลืมตาตื่นขึ้นมาจนได้เขาสะดุ้งเฮือกพร้อมกับทำท่าตกใจสุดขีด    อย่างไรก็ตามดูเหมือนเขาจะกลับมาเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ได้อย่างรวดเร็วทีเดียว

 

 

“บ้าจริง...ฉันหมดสติไปงั้นเหรอเนี่ย   นี่เรายังหนีกันไม่พ้นเลยนะ”  ใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าที่เขาจะยอมพูดกับฉัน

 

 

“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ   ห่วงเรื่องของนายเองก่อนดีกว่า  ใช้พลังเกินตัวแบบนั้นเดี๋ยวก็ได้ตายพอดี”

 

 

“แล้วจะให้ฉันทำยังไงเล่า!”  เขาพูดแบบคนกำลังอารมณ์เสียกลับมา  “พวกเราหนีกันมาขนาดนี้แล้วถูกจับได้ทุกอย่างก็ไร้ประโยชน์พอดีน่ะสิ   เธอน่ะไม่น่าดึงดันมาช่วยฉันเลย   ถ้าหนีไปคนเดียวตอนนี้คนที่ปราสาทคงยังไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำ”

 

 

“นายนี่มัน...” ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย   ตะกี้เป็นห่วงแทบแย่แต่ตอนนี้ฉันล่ะอยากจะชกหน้าคนตรงหน้าซักทีซะจริง  ถ้าไม่ติดที่ว่าเขากำลังหมดสภาพหรอกนะ   พอเห็นแล้วฉันก็โกรธไม่ลงจริงๆ    ตอนนี้คนที่อยู่ตรงหน้าของฉันก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่เหนื่อยมากจนเหมือนจะขาดใจก็เท่านั้นเอง

 

 

“เอาเถอะ...หยุดพูดเรื่องที่ผ่านไปแล้วซะที” ฉันตัดบท  “ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้ฉันจะเป็นคนพาหนีต่อเองล่ะกัน   เพราะฉะนั้นนายไม่ต้องฝืนใช้พลังอีกแล้วนะ”

 

 

“เธอเนี่ยนะจะพาฉันหนี”  เขาแทบจะไม่มีแรงพูดอยู่แล้ว

 

 

ดูถูกกันจริงนะ   ฉันไม่ตอบคำถามของเขา   นอกจากทำในสิ่งที่ต้องทำ...โชคดีที่กระดาษที่ฉันขโมยมาจากปราสาทยังเหลืออยู่บ้าง   ฉันใช้พลังทำให้กระดาษแผ่นเล็กๆเหล่านั้นผนึกเป็นกระดาษแผ่นใหญ่เพียงแผ่นเดียวอย่างไม่รอช้า  หลังจากนั้นก็ใช้พลังพับกระดาษแผ่นยักษ์นั้นให้กลายเป็นรูปจรวดทันที    ฉันบังคับให้มันบินเหนือผืนดินเล็กน้อยใจคิดว่ามันต้องได้ผล

 

 

“เอาล่ะ...นายขึ้นไปได้แล้ว”   ฉันเอ่ย   เจ้าชายทำหน้างงงันกับสิ่งที่ฉันเสกขึ้นมา   แต่เขาก็ยอมขึ้นไปบนนั้นแต่โดยดี   ฉันปีนขึ้นไปบนนั้นตามเขาไป   และแล้วฉันหลับตาเพื่อรวบรวมพลังอีกครั้งหนึ่ง   ฉันต้องทำได้สิ....ตอนนั้นยังทำได้เลยนี่หน่า   จรวดกระดาษลอยสูงขึ้นมาอย่างช้าๆตามความต้องการของฉัน 

 

 

ฉันรู้สึกถึงหยดเหงื่อที่ไหลมาตามใบหน้าแต่เมื่อฉันสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นเฉียบที่พัดมากระทบร่างฉันก็รู้ว่าฉันทำสำเร็จ    ฉันผ่อนลมหายใจออกก่อนจะลืมตาขึ้นมาในที่สุด จรวดกระดาษกำลังบินอยู่สูงลิบลิ่วจากพื้นดิน   ฉันยิ้มก่อนจะปลดปล่อยพลังอีกครั้ง...จรวดกระดาษพุ่งไปในทิศทางตามความคิดของฉันอย่างรวดเร็ว

 

 

จรวดกระดาษพุ่งฉิวไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน   ยามนี้ฉันรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน   ฉันกำลังล่องลอยอยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืน....ท้องฟ้าในวันนี้เต็มไปด้วยดวงดาวส่องแสงเป็นประกาย   ฉันลุกขึ้นยืนบนจรวดนั้นด้วยความมั่นใจแล้วสูดอากาศเย็นฉ่ำเข้าไปในปอดพร้อมกับกางแขนออกทั้งสองข้างเพื่อที่จะรับลมให้เต็มที่    ฉันรู้สึกดีมากจริงๆ....จู่ๆความกังวลเกี่ยวกับการถูกตามล่าถูกลืมเลือนไปสิ้น

 

 

เจ้าชายที่นั่งมาด้วย  เอาแต่นั่งเงียบกริบซะจนฉันอดที่จะหันไปมองไม่ได้    แต่พอฉันหันไปมองเจ้าชาย  ฉันก็พบว่าเขากำลังมองฉันด้วยสายตาที่ฉันไม่คาดคิดมาก่อน  ในแววตาคู่นั้นดูเหมือนเขาเองก็คงไม่คาดคิดว่าฉันจะทำได้ถึงขนาดนี้   แต่อีกส่วนหนึ่งฉันกลับรู้สึกได้ถึงความเศร้าสุดซึ้งที่อยู่ในดวงตานั้น...ความกลัวซ่อนเร้นอยู่ในแววตาของเขา   และสุดท้ายก็คือสายตาของเขาที่กำลังมองฉันอยู่ราวกับว่าเขากำลังมองคนรักอยู่ไม่มีผิด   ฉันมองเขากลับด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก     เจ้าชายเมินสายตาหลบไปในทันที    ฉันพยายามที่จะไม่ใส่ใจแต่เสียงที่เขาพึมพำออกมาหลังจากนั้นกลับนำข้อกังขามาสู่ใจฉันอย่างมากมาย

 

 

“เดอะเปเปอร์สินะ...” ฉันไม่เข้าใจเลย    พอฉันจะเอ่ยปากถาม   เจ้าชายเงาผู้นั้นก็กลับหลับตาและหนีฉันไปเข้าสู่ห้วงนิทราไปเสียแล้ว     

 

 

ฉันกลัวว่าเขาจะร่วงลงไปจึงต้องประคองให้เขาใช้ตักของฉันมาหนุนแทนหมอนเสียซึ่งดูเหมือนเจ้าชายจะไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย    หลังจากนั้นฉันก็ตัดสินใจบังคับให้จรวดกระดาษบินตรงไปยังป่าทึบที่อยู่ไกลออกไปหน่อย   ฉันไม่รู้หรอกว่าถ้าไปถึงที่นั้นแล้วจะหนีพ้นหรือเปล่า   แต่เราคงบินกันอย่างนี้ทั้งคืนไม่ได้แน่ๆ

 

 

ในไม่ช้าฉันก็นำจรวดกระดาษร่อนลงในที่สุด   ฉันพบเวิ้งถ้ำที่คิดว่าพอจะมาเป็นที่พักในค่ำคืนนี้ได้...จึงรีบจัดการพาร่างเจ้าชายเข้าไปพักภายในนั้นอย่างรวดเร็ว    ฉันก่อไฟขึ้นมาอย่างยากลำบากแต่ก็สำเร็จจนได้...   จะว่าไปตัวฉันเองก็เพลียไปไม่น้อยไปกว่าเจ้าชายที่มาด้วยกันเลย  วันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน   ฉันยังไม่ได้ถามชื่อของเจ้าชายเลย  พวกพ่อมดเรียกเขาว่าอย่างไรนะ...ช่างเถอะไว้พรุ่งนี้พอเขาตื่นแล้วค่อยถามก็แล้วกัน   อย่างไม่อยากที่จะคิดอะไรอีกต่อไปแล้วฉันก็ล้มตัวลงนอนทางฝั่งตรงข้ามกับเจ้าชายแล้วหลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความอ่อนเพลีย

 

 

ปล. บทนึงยาวไปไหมเนี่ย  แต่ถ้าอยู่บนหน้ากระดาษขนาดเอสี่ก็ประมาณสิบหน้าได้ล่ะนะ  พบกันใหม่บทหน้าในอีกหนึ่งสัปดาห์จ้า   อย่าลืมติชมกันบ้างนะ  ขอบคุณมากจ้า

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา