Tale of Utopia

6.9

เขียนโดย The_Paper

วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.12 น.

  15 บท
  8 วิจารณ์
  16.99K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556 12.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทที่ 2 ด้วยมิตรภาพ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 2 ด้วยมิตรภาพ

 

แสงสว่างยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาภายในถ้ำเป็นสิ่งที่ปลุกให้ฉันรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา    ฉันงัวเงียอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้นก็ผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ   เมื่อคืนฉันเผลอหลับไป...  พอมองไปยังฝั่งตรงข้ามก็ยังเห็นเจ้าชายนอนหลับสนิทอยู่ก็ทำให้รู้สึกโล่งใจอยู่ไม่น้อย    ตกลงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ไม่ใช่ความฝันล่ะสินะ

 

 

ฉันยังไม่คิดที่จะปลุกเจ้าชายหรอก...   พอเหลือบไปมองที่กองไฟที่ฉันก่อไว้ก็เห็นว่ามันมอดไปหมดแล้ว   เวลานี้ยังเช้าอยู่มากฉันตัดสินใจเดินออกไปนอกถ้ำเพื่อสำรวจเพียงลำพัง     สิ่งแรกที่พบซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปจากที่พักนักก็คือลำธารน้ำใส

“ดีจริง...”  ฉันร้องออกมาอย่างดีใจขณะที่วักน้ำขึ้นดื่มพร้อมกับพรมไปตามตัวเพื่อเรียกความสดชื่นให้กับตัวเอง

 

 

เมื่อมองขึ้นไปยังต้นน้ำฉันก็เห็นน้ำตกขนาดย่อมอยู่   มันช่างเป็นภาพธรรมชาติที่สวยงามเสียเหลือเกิน...ฉันคิด  เกินกว่าที่จะห้ามใจไหว   สายน้ำดึงดูดให้ฉันเดินเข้าไปใกล้กว่านั้น..สายน้ำนั้นเย็นเฉียบและใสมากจริงๆสุดท้ายฉันก็อดไม่ได้ที่จะถอดรองเท้าออกแล้วเดินลงไปย่ำในสายน้ำใสเย็นนั้นอย่างสบายอกสบายใจ     ฉันกำลังก้มลงจะวักน้ำขึ้นล้างหน้าอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดของสัตว์อะไรสักอย่างดังไม่ห่างออกไปนัก   ฉันสะดุ้งด้วยความตกใจ

 

 

“อะไรน่ะ...”  แว่บแรกฉันกะจะรีบวิ่งขึ้นจากน้ำใส่ร้องเท้าและวิ่งไปจากที่นี่โดยไวที่สุด    แต่พอฟังเสียงนั้นต่อไปอีกนิด  ฉันก็รับรู้ได้ว่านั้นเป็นเสียงของสัตว์ที่กำลังได้รับบาดเจ็บ    ฉันลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยังคงเงี่ยหูฟังอย่างใคร่รู้    เฮ้อ...ความอยากรู้เป็นฝ่ายชนะในที่สุดฉันก็มุ่งตรงไปตามทิศทางของเสียงนั้นทันที  ที่มาของเสียงทำให้ฉันต้องเดินเข้าไปใกล้ม่านน้ำตกขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

“หรือว่า...?”  ต้นตอของเสียงมันดังมาจากหลังม่านน้ำตกนั้นเอง      ฉันกลั้นใจด้วยความแน่วแน่แล้วจึงเดินฝ่าม่านน้ำตกนั้นเข้าไปโดยไม่สนว่าตัวเองจะต้องเปียกโชกมากแค่ไหน

 

 

อีกฝั่งของม่านน้ำตกมีถ้ำอยู่จริงเสียด้วย...เพราะม่านน้ำตกบังแสงจากภายนอกไว้จนเกือบหมดทำให้ข้างในถ้ำมืดสนิท  และเย็นเฉียบยิ่งกว่าสายน้ำเบื้องนอกเสียอีก     ไม่นานนักเมื่อสายตาของฉันเริ่มชินกับความมืด  ฉันจึงสังเกตเห็นร่างสีขาวของสัตว์อะไรสักอย่างนอนหายใจระทวยอยู่ที่ด้านในของถ้ำ   ฉันรีบเดินเข้าไปใกล้ๆ  ทันใดนั้นเองฉันก็รู้สึกว่าฉันกำลังเหยียบลงบนของเหลวอะไรสักอย่าง  เมื่อฉันก้มลงไปเอามือสัมผัส  ฉันจึงตระหนักได้ว่ามันคือ กองเลือด....

 

 

“ว้าย!”  ฉันอุทานออกมาอย่างตกใจ    แต่ก็กลั้นใจเดินเข้าไปใกล้ขึ้นอีก    ในที่สุดฉันก็เห็นมันชัดเจน   มันคือจิ้งจอกสีขาวตัวใหญ่ตัวหนึ่ง...ขนขาวที่แสนจะบริสุทธิ์ของมันสะกดสายตาของฉันเอาไว้   แต่ที่น่าอัศจรรย์ใจไปกว่านั้นก็คือหางของมัน  จิ้งจอกตัวนี้มีหางเก้าหาง!  ตาสีแดงของจิ้งจอกขาวนั้นจับจ้องมาที่ฉันเหมือนจะประเมินค่าของฉัน   ในไม่ช้ามันก็หรี่ตาลงเหมือนจะยอบรับการเข้ามาของฉัน     ฉันพึ่งเห็นว่ามันกำลังหายใจหอบ...และเหนื่อยมากขึ้นทุกที

 

 

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”  ฉันกระซิบก่อนที่จะเอื้อมมือไปแตะขนสีขาวหนานุ่มนั้น  มันไม่ขยับหนีเลยสักนิด  มันยอมให้ฉันจับแต่โดยดี    ฉันสำรวจร่างของเจ้าจิ้งจอกอย่างละเอียดจึงเห็นรอยฟันของดาบขนาดใหญ่เป็นรูปกากบาทอยู่ที่หลังของมัน    ยิ่งกว่านั้นร่างของจิ้งจอกขาวยังคงมีธนูอีกหลายดอกปักอยู่ 

 

 

ช่างโหดร้ายอะไรเช่นนี้....   มันไม่มีทางรอดได้เลย  ฉันคิดอย่างเศร้าใจ    ราวกับมันจะรู้ใจฉัน   มันฝืนยกขาข้างหนึ่งมาแตะตัวฉัน   ทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังก้องขึ้นในหัวของฉัน

 

 

   “ข้าพบเจอมนุษย์มามากมาย  แต่ไม่มีใครที่ทำให้ข้ารู้สึกเช่นนี้ได้เลย  ท่านคือใคร...?”   ฉันเบิกตากว้าง  เสียงนั้นเป็นของจิ้งจอกขาวตัวนี้นะหรือ? 

 

 

ฉันไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรจึงได้แต่ตอบกลับไป  “ฉันชื่อแอนนา  เบลล์เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้นเอง”

 

 

“ไม่หรอก  เจ้าแตกต่างจากผู้อื่น...เจ้ามาจากที่ใดกัน?”  เสียงนั้นดังตอบมา  ตอนนี้ฉันมั่นใจแล้วว่าที่มาของเสียงมาจากจิ้งจอกตัวนี้แน่

 

 

“เอิ่ม...จะว่ายังไงดี  ฉันมาจากที่ที่แสนไกล  ฉันไม่ใช่คนของยูโทเปีย”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องเป็นผู้ถูกเลือก...”

 

 

“.....”  ฉันพยักหน้าเบาๆ ใจเต้นตึกตักอย่างบอกไม่ถูก

 

 

“อา...  ข้าดีใจเหลือเกิน  ที่ก่อนข้าจะตายข้าได้พบกับผู้ถูกเลือกอย่างท่าน....”

 

 

“เกิดอะไรขึ้น?  ใครกันที่ทำเรื่องโหดร้ายแบบนี้”

 

 

“พวกพรานพ่อมดน่ะ   บรรดานักเวทย์ต่างต้องการเลือดของข้าไปใช้เสริมพลังของตน  พวกนั้นตามล่าข้า...ในที่สุดข้าก็เสียที  แต่ข้าไม่ยอมให้ใครที่ตามล่าได้สมปรารถนาหรอก”

 

 

“อะไรกัน...”  เสียงของฉันสั่นเครือ  เพื่อพลังถึงกับต้องทำร้านจิ้งจอกที่งดงามถึงขนาดนี้ได้ลงคอ

 

 

“ท่านผู้ถูกเลือกมันคงเป็นพรหมลิขิตที่ทำให้ข้าได้มาพบท่านในวาระสุดท้ายของชีวิต  ท่านช่วยโปรดรับฟังคำขอร้องของข้าหน่อยได้หรือไม่?”

 

 

“ได้สิ...” ฉันตอบรับอย่างไม่ลังเล

 

 

“ลูกสาวของข้า...” สิ้นเสียงของนาง  ลูกจิ้งจอกสีขาวตัวหนึ่งก็โผล่ออกมาจากมุมมืดของถ้ำ   มันตัวเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับผู้เป็นแม่  ขนาดตัวมันพอๆกับแมวเท่านั้นเอง ในขณะที่แม่ของมันตัวใหญ่ราวกับอาชา    ทั้งขน สีตาที่แดงจ้านั้น  และหางเก้าหาง  มันช่างเหมือนแม่ของมันเสียเหลือเกิน     เสียงร้องของมันดังขึ้นทันทีเมื่อมันมานั่งข้างๆแม่ของมัน   เมื่อนั้นน้ำตาของฉันเอ่อล้นออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

“ช่วยดูแลลูกสาวของข้า  อย่าให้เขาต้องพบกับชะตากรรมเช่นข้า”

 

 

“ฉันจะดูแลให้เอง”  ฉันไม่ลังเลใจเลย

 

 

“โมโมะเอ๋ย... เจ้าจงติดตามผู้ถูกเลือกไปเถิด   แม่เชื่อว่าลูกจะต้องมีชีวิตที่ดีในอนาคตได้อย่างแน่นอน”

 

 

“ท่านแม่  ข้าจะไม่ยอมทิ้งท่านแม่   ข้าจะแก้แค้นให้ท่านแม่”

 

 

“ยังไงซะเจ้าก็ต้องไป   และแม่ก็ขอสั่งห้ามไม่ให้เจ้าแค้นใคร  หรือแก้แค้นใครด้วย”

 

 

“ท่านแม่!” เสียงของจิ้งจอกน้อยบาดลึกไปถึงหัวใจของฉัน

 

 

“เจ้าจะสัญญากับข้าได้หรือไม่?” จิ้งจอกสาวคาดคั้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง  จิ้งจอกน้อยเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนที่จะพยักหน้ายอมรับในที่สุด

 

 

“ข้าสัญญา”

 

 

“ดีแล้วล่ะ” จิ้งจอกผู้เป็นแม่ยิ้ม  แล้วมันจึงหันมาทางฉันอีกครั้ง

 

 

“ท่านช่วยเอ่ยนามของท่านอีกครั้งได้หรือไม่...ท่านผู้ถูกเลือก”

 

 

“แอนนา  เบลล์”

 

 

“ช่างเป็นชื่อที่ไพเราะจริงๆ  ข้ามีนามว่า เซรีน  ต่อจากนี้ข้าฝากโมโมะด้วยนะ”  ฉันพยักหน้ารับ

 

 

“ข้าจะใช้พลังของข้าเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อไม่ให้ใครก็ตามที่ประสงค์ร้ายมาใช้เลือดของข้า   ได้โปรดเก็บสถานที่แห่งนี้ไว้เป็นความลับด้วย”

 

 

“ฉันเข้าใจดี...ฉันจะไม่บอกใครเด็ดขาด” ฉันรับปาก

 

 

เซรีน...จิ้งจอกขาวผู้สง่างามหลับตาลงอย่างช้าๆ  แล้วร่างของมันก็ค่อยๆเลือนหายไป  โมโมะผู้เป็นลูกสาวร้องเรียกแม่ของมันดังก้อง  น้ำตาไหลอาบแก้มของมัน  ฉันเองก็ร่วมร่ำไห้ไปด้วย ในที่สุดร่างของจิ้งจอกขาวนั้นก็หายไปเหลือแต่เพียงลูกแก้วผลึกสีเงินที่ส่องสว่างอยู่ภายในถ้ำเพียงเท่านั้น

 

 

“รับไปสิ  ท่านแม่ของข้าตั้งใจจะมอบให้กับท่าน”  จิ้งจอกน้อยกล่าว  ฉันจึงเอื้อมมือไปหยิบลูกแก้วนั้นขึ้นแล้วจ้องมองมัน    ตอนนั้นเองอยู่ดีๆลูกแก้วก็ลอยขึ้นตรงหน้าฉันแล้วพุ่งทะลุเข้ามาที่หน้าผากของฉัน

 

 

ฉันรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไหลผ่านตัวฉันไป   พลังของลูกแก้วกลายมาเป็นของฉันแล้ว   โมโมะจิ้งจอกน้อยมองที่ที่แม่ของมันเคยนอนอยู่ในวาระสุดท้ายอย่างเงียบกริบ   ฉันเองก็นั่งนิ่งเช่นกัน

 

 

“ดูเหมือนสหายของเจ้าจะตื่นแล้ว”  โมโมะพูดขึ้นทั้งที่เสียงสะอื้นยังไม่จางไป

 

 

“เจ้าชาย...”  ฉันลืมเขาไปเสียสนิท

 

 

“ไปกันเถอะ ท่านแอนนา” โมโมะผุดลุกขึ้นแล้วออกเดินด้ววยท่าทางเข้มแข็ง  ฉันเองก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน  ฉันโค้งคำนับไปยังสถานที่ที่จิ้งจอกผู้สง่างามเคยนอนทอดกายอยู่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเดินจากมา

 

 

เซรีนได้จากไปตลอดกาลแล้ว  และนางได้ฝากโมโมะ....ลูกสาวของนางไว้กับฉัน

 

 

“ท่านแม่หนีตายมาทางนี้  เพราะท่านรู้ว่าถ้ามาทางนี้ท่านจะได้พบกับผู้ถูกเลือก”

 

 

“โมโมะ...”

 

 

“ฉัน....ฉันมันอ่อนแอ”

 

 

“สักวันเธอจะต้องเข้มแข็ง  และแข็งแกร่งสง่างามเหมือนท่านแม่ของเธอแน่ๆ”

 

 

“ท่านแอนนา...”

 

 

“อย่าเรียกฉันแบบนั้นลย  เรียกฉันว่าแอนน์เฉยๆก็พอแล้ว”

 

 

“แอนน์”

 

 

“อื้ม...ถึงเราจะพึ่งพบกัน  แต่ฉันก็อยากเป็นเพื่อนกับเธอนะ     เรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ”  ฉันพูดพร้อมกับรอยยิ้ม    โมโมะนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะส่งยิ้มตอบมาให้ฉัน

 

 

เราทั้งสองเดินผ่านม่านน้ำตกอีกครั้ง  ก่อนฉันจะรีบวิ่งกลับไปที่ถ้ำ...แล้วก็ต้องพบกับเจ้าชายผู้เอาแต่ใจตนเองยืนทำหน้าอารมณ์บึ้งรออยู่    พอเขาเห็นฉันเดินตัวเปียกโชกกลับมาพร้อมกับที่ในอ้อมแขนมีลูกจิ้งจอกเก้าหางสีขาวนอนอยู่   เขาก็ส่งสายตามาที่ฉันเหมือนกับจะต่อว่าอย่างรุนแรง

 

 

ทำท่าอย่างกับฉันหาเรื่องมาใส่ตัวอีกแล้วงั้นแหละ...คนอะไรไม่น่ารักเลย!

 

 

“แอนน์ คนๆนั้นเป็นเจ้าชายอย่างนั้นเหรอ?...เขามีนามว่าอะไร” โมโมะเอ่ยถามฉัน

 

 

“ฉันก็รู้แค่ว่าเขาเป็นเจ้าชายเหมือนกันแหละ  แต่ยังไม่ได้ถามชื่อเขาเลย   ฉันพบกับเขาได้ก่อนเธอไม่นานเท่าไหร่หรอกโมโมะ    ตอนนี้เรากำลังอยุ่ในสถานการณ์คับขันน่ะสิ”

 

 

“นี่เธอ...หาเรื่องอะไรมาให้ฉันปวดหัวอีกล่ะ  ดูสิตัวเปียกโชกขนาดนี้...แถมเจ้าตัวนั้นมันคืออะไรกันหา” เจ้าชายเริ่มต่อว่าทันทีที่ฉันเดินเข้าไปใกล้ในระยะที่เอื้อมมือกันถึง     จากที่ฉันสังเกตเขาดูเหมือนจะกลับมาแข็งแรงดีแล้ว

 

 

“เอาหน่า  นี่โมโมะนะ” ฉันแนะนำโมโมะให้เจ้าชายรู้จักโดยที่ไม่สนใจคำต่อว่าของอีกฝ่าย  “ต่อจากนี้ไปโมโมะจะร่วมเดินทางไปกับเราด้วย   ว่าแต่นายชื่ออะไรนะ?”  ฉันถามกลับหน้าตาเฉย

 

 

“เธอพูดว่ายังไงนะ!”

 

 

“ชื่อไงชื่อ...  ฉันชื่อ แอนนา เบลล์นะ  แต่นายเรียกฉันว่าแอนน์เฉยๆก็พอ  แล้วจะให้ฉันเรียกนายว่ายังไงดีล่ะ”

 

 

“เธอ...” เขาทำท่าจะเถียงต่อ

 

 

“ชื่อ...” ฉันขัดเขา

 

 

“ชิน  อาเชอร์”

 

 

“งั้น  ฉันจะเรียกนายว่าชินก็แล้วกัน  ถึงนายจะเป็นเจ้าชายก็ตาม”

 

 

“เดี๋ยวสิ แล้วเรื่องของเจ้านี่ล่ะM” ชินชี้มือมาที่โมโมะ

 

 

“ก็บอกไปแล้วไงว่ามันชื่อโมโมะ  ต่อจากนี้จะร่วมเดินทางไปกับเรา  นี่แล้วนายอย่าชี้มือมาแบบนั้นนะ  ไร้มารยาทเสียจริง  นายเป็นเจ้าชายจริงๆเหรอเนี่ย”

 

 

“นี่เธอ...”

 

 

“แอนน์  เธอๆอยู่ได้”

 

 

“แอนน์....”

 

 

“เอาเถอะๆ”

 

 

“แอนน์...”

 

 

“เอาหน่า...”

 

 

“กว่านายชินจะยอมให้โมโมะเดินทางไปกับพวกเราด้วย   ฉันก็ต้องเถียงกับเขาอยู่นานทีเดียว   นี่ขนาดฉันเล่าเรื่องแม่ของโมโมะให้เขาฟังด้วยนะเนี่ย   คนอะไรใจร้ายชะมัด  

 

 

ตอนนี้เรากำลังนั่งทานอาหารที่หามาได้จากป่าอยู่ในถ้ำ  นั้นแหละฉันเลยยังมีเวลาว่างพอที่จะมาเขียนไดอารี่  ของสิ่งเดียวที่ฉันหยิบติดมือมาจากโลกของฉันได้”

 

 

“ทำอะไรอยู่นะ  แอนน์”  โมโมะที่นั่งอยู่ข้างๆถามฉัน

 

 

“เขียนบันทึกไง”

 

 

“บันทึก?”

 

 

“ใช่  เราจะได้จำเหตุการณ์ต่างๆที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วได้ยังไงล่ะ” ฉันอธิบาย

 

 

ตอนนั้นเองที่ฉันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

 

 

“จริงสิ...ชิน”

 

 

“หืม...”

 

 

“นายพอจะรู้เรื่อง ภารกิจ ของฉันบ้างไหม”

 

 

“ไม่รู้หรอก  ไม่มีใครรู้นอกจากเทพธิดาแล้วก็ตัวผู้ถูกเลือกเองนั้นแหละ  นี่เธอเองก็ไม่รู้หรอกเรอะ”

 

 

ฉันพยักหน้า

 

 

“ให้ตายสิ...”

 

 

“แล้วปกติผู้ถูกเลือกเขาได้ภารกิจแบบไหนกันเหรอ?”

 

 

“ส่วนใหญ่ท่านเทพธิดาจะเรียกคนจากต่างมิติมาที่นี่เวลาที่ยูโทเปียมีภัยน่ะสิ...” ชินเอ่ยตอบ 

 

 

“เอ....ถ้าอย่างนั้นตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับยูโทเปียอย่างนั้นเหรอ?”

 

 

ชินนิ่งครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยความหนักใจว่า “ก็คงเป็น การต่อสู้ระหว่างนักเวทย์กับพ่อมดแม่มดละมั้ง”

 

 

“เอ๊ะ...” ฉันขมวดคิ้ว  ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่ชินเอ่ยออกมาเลย

 

 

ชินถอนหายใจ “โทษที  ฉันลืมไปเลยว่าเธอไม่รู้อะไรเลย  ตอนนี้ยูโทเปียกำลังเข้าสู่ยุคมืด   ยุคของพวกพ่อมดแม่มดที่เข้ามาแย่งชิงอำนาจของพวกนักเวทย์     หัวหน้าพ่อมดที่ก่อการณ์นี้ขึ้นมามีนามว่า  ดาร์คอาเธอร์    อาณาจักรของฉันเองก็ถูกพวกพ่อมดแม่มดมายึดครองเหมือนกัน    ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าท่านพ่อกับท่านแม่ที่หลบหนีออกจากอาณาจักรได้สำเร็จจะปลอดภัยดีหรือเปล่า?” ประโยคหลังชินพูดเบาเสียจนฉันไม่ได้ยิน

 

 

“แล้วนักเวทย์กับพ่อมดแม่มดนั้นไม่เหมือนกันยังไงเหรอ?”

 

 

“แค่คล้ายกัน....พวกเราต่างก็ใช้เวทมนต์เหมือนกัน  แต่นักเวทย์นั้นไม่จำเป็นต้องมีไม้เท้า  ไม่จำเป็นต้องร่ายมนต์  มันมาจากร่างกายของเราเอง  สายเลือดและลมหายใจของเราคือแหล่งกำเนิดพลังงานของเหล่านักเวทย์  จะว่าไปทั้งเธอและฉันต่างก็เป็นนักเวทย์ด้วยกันทั้งคู่นั้นแหละ  ที่สำคัญพลังของนักเวทย์จะมีจุดเด่นเป็นของตนเองอยู่แล้ว  จุดเด่นที่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น   นักเวทย์แต่ละคนจึงมีพลังที่แตกต่างกันคนละแบบ   อย่างของฉันก็คือการควบคุมเงา  แต่ของเธอคือการควบคุมกระดาษยังไงล่ะ

 

 

ส่วนพวกพ่อมดแม่มดก็คือคนธรรมดาที่ได้พลังเวทมนต์มาจากการเรียนรู้โดยตำรา  และการเสริมกันจากของวิเศษอื่นๆ  อย่างเช่นเลือดของจิ้งจอกเก้าหางเป็นต้น   พวกเขาจำเป็นที่จะต้องร่ายมนต์และมีไม้เท้าวิเศษเพื่อใช้พลังเหล่านั้น  พลังของพ่อมดแม่มดหลากหลายรูปแบบมากกว่าก็จริงแต่ก็ไม่ทรงพลังเท่าของนักเวทย์หรอก”

 

 

“พวกพ่อมดแม่มดเนี่ย  เป็นคนไม่ดีกันหมดเลยเหรอ”

 

 

“เกือบทั้งหมดนั้นแหละ  พวกที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายดาร์คอาเธอร์ก็ค่อยๆถูกกำจัดไปทีละน้อย  ถึงจะเป็นพ่อมดแม่มดด้วยกันเองก็ตามตอนนี้ก็ยังแบ่งออกเป็นหลายฝ่ายมาก     จะว่าไปแล้วพวกพ่อมดแม่มดก็วางแผนจะกำจัดพวกเราเหล่านักเวทย์ให้หมดสิ้นไปจากยูโทเปียมาตั้งนานแล้วล่ะ   พวกนั้นหวาดกลัวพลังของเรา...และอยากจะครอบครองยูโทเปียมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

 

 

“แสดงว่านักเวทย์มีมานานกว่าพวกพ่อมดแม่มดอย่างนั้นเหรอ?”

 

 

“ใช้แล้วล่ะ...ฉันยอมรับนะว่านักเวทย์อย่างพวกเราบางคนก็ไม่ได้ดีไปทุกคน  แต่การที่คิดจะมากำจัดนักเวทย์ทั้งหมดที่มีอยู่ในยูโทเปียมันก็ไม่ถูกต้องอยู่ดี    พวกเราตอนนี้มีจำนวนน้อยมากว่าพ่อมดแม่มดอยู่หลายเท่าตัวซะด้วยสิ”

 

 

“แล้วทำไมฉันถึงใช้เวทย์มนต์ได้ล่ะ..ตอนที่อยู่โลกของฉัน  ฉันก็เป็นคนธรรมดาไม่ได้มีพลังวิเศษอะไรเลยนะ”

 

 

“ท่านเทพธิดาประทานพลังนั้นให้กับเธอละมั้ง   ผู้ถูกเลือกทุกคนต่างก็เป็นนักเวทย์กันทั้งนั้น  เธอก็ใช้มันได้ดีนี่  ถึงจะเป็นมือใหม่ก็ตาม”

 

 

“สรุปว่าท่านเทพธิดาคือใครกันแน่นะ?”  ฉันรำพึงขึ้น

 

 

“ตอนนี้อย่าพึ่งสนใจเรื่องนั้นเลย   ตอนนี้เราต้องรีบเดินทางต่อแล้วล่ะ   แบล็คฮาร์ทยังไม่เลิกราแค่นี้หรอก”

 

 

“อะไรกัน....”

 

 

“จนกว่าจะออกจากเขตของฟรีดอมอย่างสมบูรณ์  แบล็คฮาร์ทไม่ยอมรามือแน่”  ฟรีดอมคือนามของอาณาจักรที่พ่อแม่ชินปกครองอยู่     ชินยื่นมือมาให้ฉัน   ฉันถอนหายใจก่อนที่จับมือนั้นตอบ   โมโมะก็กระโดดขึ้นมาเกาะบนไหล่ฉันอย่างรู้หน้าที่

 

 

“ที่ยูโทเปียเนี่ยวุ่นวายจังเลยนะ” ฉันพูดขึ้น

 

 

“เพราะงั้นเราจึงจำเป็นต้องมีเธอไง  ถึงจะช้าไปหน่อย  แต่ยูโทเปียยินดีต้อนรับนะครับ”

 

 

“ช่างเป็นการต้อนรับที่น่าประทับใจเสียจริง” ฉันพูดด้วยมุมปาก

 

 

เมื่อนั้นชินก็กลายร่างเป็นเงาแล้วพาฉันกับโมโมะพุ่งหายเข้าไปในป่าลึกในทันที

 

 

 

********

 

 

 

“ฉันคิดว่าเราคงต้องเข้าเมืองที่อยู่ข้างหน้ากัน  เพื่อกักตุนเสบียงกับของที่จำเป็นอื่นๆแล้วล่ะซะแล้วล่ะ” ชินพูดขึ้นอย่างหนักใจ

 

 

“อืม  ดีเหมือนกัน ฉันอยากลองเข้าไปในเมืองมาตั้งนานแล้ว   ตั้งแต่หนีออกจากปราสาทที่อาณาจักรฟรีดอมฉันก็อยู่แต่ในป่ามาตลอดเลย  น่าเบื่อออก”  ฉันพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดีผิดกับอีกฝ่าย  โมโมะนั่งเลียขนตัวเองอยู่ราวกับไม่สนใจสิ่งรอบข้างไม่ห่างออกไปมากนัก

 

 

“เธอเนี่ยไม่เข้าใจอะไรเอาซะเลยนะ” ชินเอามือกุมขมับ

 

 

“ไม่เข้าใจอะไร” ฉันถามด้วยน้ำเสียงนักเลงทันที

 

 

“ปัญหามันอยู่ที่ว่าจะทำยังไงกับเธอ  แล้วก็เจ้านี่ยังไงล่ะ”    ชินพยักหน้ามาที่ฉันก่อนที่จะชี้มือไปทางโมโมะ

 

 

“บอกแล้วไงว่าอย่าเรียกเค้าว่า เจ้านี่  มันชื่อ โมโมะนะ  แล้วฉันกับโมโมะน่ะมีปัญหาอะไรมิทราบ” ไม่ต้องสงสัย  ชินยังคงไม่อยากให้โมโมะเดินทางไปด้วย   อันที่จริงโมโมะเองก็ไม่ค่อยจะชอบชินเท่าไหร่หรอกนะ    ทั้งสองมักจะหาเรื่องเถียงใส่กันตลอด  ฉันที่เป็นคนกลางก็ลำบากใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว

 

 

“จิ้งจอกเก้าหางเอย   แล้วดูชุดที่เธอแต่งอยู่สิ  ที่ยูโทเปียมีใครเข้าแต่งชุดกันแบบนี้บ้างเล่า!”

 

 

“เรื่องของโมโมะมันช่วยไม่ได้นี่หน่า   ส่วนฉันเองก็มาที่นี่โดยไม่ทันได้ตั้งตัวอะไรเหมือนกันนั้นแหละ  แถมพอมาถึงก็มีอะไรเกิดขึ้นตั้งมากมาย  นายก็เห็นๆอยู่ว่าฉันจะมีเวลาไปหาชุดของชาวเมืองมาใส่ตอนไหนกัน”

 

 

“ฉันก็เลยคิดว่า พวกเธอควรจะรอฉันอยู่ที่ชายป่า    แล้วปล่อยให้ฉันเข้าซื้อเสบียงในเมืองคนเดียวเองน่ะสิ”

 

 

“ไม่มีทาง!” ฉันไม่ยอมเด็ดขาด “ยังไงฉันกับโมโมะก็จะไปด้วย ฉันว่าเราตกลงกันแล้วนะว่าจะไปไหนก็ต้องไปด้วยกันน่ะ”

 

 

“แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะเนี่ย  ฉันก็ว่าฉันได้อธิบายเหตุผลให้เธอฟังไปแล้วเหมือนกันนะ” ชินเริ่มขึ้นเสียง

 

 

“สำหรับเรื่องของฉัน  ชินไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกนะ” อยู่ๆโมโมะก็พูดแทรกขึ้น

 

 

“หมายความว่าไง?” ชินถามโดยไม่มองไปทางโมโมะเลย

 

 

“ฉันแปลงร่างได้”  โมโมะเองก็ไม่สนใจท่าทางของชินนัก  มันพูดขึ้นเรียบๆ

 

 

“แปลงร่างได้? จิ้งจอกเก้าหางตัวจิ๋วอย่างเธอเนี่ยนะ” ชินดูถูก

 

 

“คอยดูแล้วกัน”    โมโมะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหยิ่งๆ      มันหยุดเลียขนแล้วจึงหลับตา  ในไม่ช้าร่างของมันก็ค่อยเปลี่ยนไปกลายมาเป็นเด็กสาวแรกรุ่นหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง    ฉันมองไปที่โมโมะที่แปลงกายแล้วด้วยความทึ่ง

 

 

“ยอดไปเลยโมโมะ” ฉันวิ่งเข้าไปกอดร่างเด็กสาวคนนั้น    โมโมะทำท่าตกใจนิดหน่อย  แต่ก็ทำหน้าดีใจ   ชินเองก็ไม่อาจหาคำพูดไหนมาเถียงได้  ฉันดูออกว่าชินเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าโมโมะจะทำแบบนี้ได้  เพียงแต่เขาวางเฉยเพราะไม่อยากจะเสียหน้าเท่านั้นแหละ

 

 

“ว่าไงล่ะ...”  น้ำเสียงที่กึ่งสะใจนั้นดูเหมือนจะต้องการกระทบใครบางคน

 

 

“ตามใจเหอะ” ชินพูดเรียบๆแล้วจึงเดินออกนำไปทันที  ลับหลังชิน...ฉันกับโมโมะก็หันมาลอบส่งยิ้มให้กัน     เมื่อเวลาผ่านไปความสัมพันธ์ของฉันกับโมโมะก็มากขึ้นทุกขณะ  สำหรับตัวฉันแล้วฉันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันกำลังมีน้องสาวเลย  ดีใจจัง

 

 

 

 

 

*********

 

 

 

 

“ที่นี่คือ   อาณาจักรพีโอเนีย     เมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการค้าของยูโทเปียฝั่งตะวันออก   ฉันเคยมาที่นี่บ่อยๆตอนที่ยูโทเปียยังไม่เข้าสู่ยุคมืด    แต่ตอนนี้ที่นี่ก็ถูกพ่อมดควบคุมเอาไว้ได้แล้วล่ะ      เพราะฉะนั้นเธอต้องไม่ให้ใครรู้ว่าเราสองคนเป็นนักเวทย์    ฉันไม่รู้ว่าข่าวที่ผู้ถูกเลือกหนีออกมาจากฟรีดอมจะกระจายมาถึงที่นี่หรือยัง    ดังนั้นเธอเองก็ต้องระวังตัวเอาไว้ให้ดี โมโมะด้วยเข้าใจกันแล้วใช่ไหม?” ชินอธิบายให้ฉันกับโมโมะฟัง

 

 

“ค่า.....” ฉันกับโมโมะประสานเสียงกัน   ตอนนี้เรามาหยุดยืนอยู่ที่ชายป่าแล้ว   ตรงหน้าของฉันมีเมืองพีโอเนียอยู่   จากที่ฉันลอบสังเกตดูจากระยะไกล  ในตอนนี้เองพีโอเนียก็ยังคงดูคึกคักอยู่  แม้จะเปลี่ยนคนปกครองไปแล้วก็ตาม  ฉันมองเห็นคนเดินขวักไขว่  เสียงตะโกนโหวกแหวกดังแว่วขึ้นมา

 

 

“พวกเธอรออยู่ที่ครู่หนึ่งนะ  เดี๋ยวฉันกลับมา” ชินพูดขึ้นเหมือนจะนึกอะไรออก

 

 

“ว่าไงนะ....” ฉันเริ่มต้นเถียง  ด้วยไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย

 

 

แต่ก่อนที่ฉันจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ ชินก็กลายร่างเป็นเงาแล้วพุ่งเข้าไปในเมืองซะแล้ว  ปล่อยให้ฉันกับโมโมะได้แต่ยืนอึ้งตะลึงงันอยู่

 

 

ฉันกับโมโมะยืนรออยู่อย่างกระสับกระส่าย แต่เพียงไม่นานชินก็กลับมาพร้อมกับชุดพื้นเมืองและผ้าคลุม  เขายืนของสิ่งนั้นให้กับฉัน

 

 

“สวมซะ” เขาพูดขณะที่ยื่นชุดนั้นให้กับฉัน  ฉันถอนหายใจก่อนจะไปหาที่ลับตาแล้วเปลี่ยนชุดตามที่เขาสั่ง

 

 

“โมโมะ เธอแปลงร่างอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนให้ชุดมันดูกลมกลืนกว่านี้ได้ใช่ไหม?” ฉันได้ยินเสียงของชินถามโมโมะอย่างเคร่งเครียด    

 

 

ทำไมชินถึงดูกังวลจังเลยนะ?

 

 

ฉันถอดชุดที่ฉันสวมมาจากบ้านออกแล้วใส่ชุดใหม่ที่ชินนำมาให้อย่างรวดเร็ว   ฉันขยับตัวในชุดใหม่นั้นอย่างไม่คุ้นเคย   แต่มันก็ดูทะมัดทะแมงดี  ชุดนั้นมีพื้นเป็นสีขาว  แต่ที่ชายเสื้อและที่แขนจะประดับด้วยผ้าสีชมพูอออกแดง  กางเกงเป็นแบบพองมีลวดลายประดับที่เข้ากับส่วนเสื้ออยู่  ไม่น่าเชื่อว่าชินจะรอบคอบถึงขนาดซื้อรองเท้าที่เข้ากันมาให้ใหม่ด้วย    นอกจากนี้ยังมีกระเป๋าเก็บของขนาดเล็กให้ด้วย  ฉันยิ้มอย่างถูกใจแล้วจึงหย่อนสมุดบันทึกลงไป     ฉันหมุนตัวไปมาอยู่หลายรอบก่อนจะเดินออกมาจากพุ่มไม้

 

 

สายตาของชินและโมโมะจับจ้องอยู่ที่ฉันทันที    เมื่อนั้นฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังหน้าแดง  “เป็น...ไงบ้าง?”  ฉันถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก

 

 

“น่ารักดี” ชินกระซิบ   แต่ฉันฟังไม่ถนัด  “นายว่าไงนะ...”  แต่ชินกลับเดินเลี่ยงไปซะแล้ว  จะว่าไปเขาเองก็ดูดีในชุดพื้นเมืองที่เปลี่ยนมาใหม่เหมือนกัน

 

 

“น่ารักจังเลย  แอนน์  ชุดนี้เหมาะกับเธอมากเลยนะ” โมโมะเอ่ยขึ้นเสียงดัง

 

 

“ขอบใจจ๊ะ  โมโมะเองก็น่ารักเหมือนกันนะ” ฉันเองก็พึ่งสังเกตว่าโมโมะก็อยู่ในชุดพื้นเมืองเหมือนกัน

 

 

“ว่าแต่ชิน  นายไปเอาชุดพวกนี้มาจากไหนกัน?”  ฉันถามขึ้นด้วยความสงสัย

 

 

“เฮ้อ...ก็ขโมยเขามาน่ะสิ  คิดว่าฉันมีเงินหรือไง  นักโทษแหกคุกอย่างฉันเนี่ยนะ”

 

 

“หา....แล้วนายทำได้ยังไง?”

 

 

“เธอลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันเป็นใคร....”

 

 

“เดี๋ยว..พวกเรามาหาซื้อเสบียงกันไม่ใช่เหรอ?  ถ้าอย่างนี้เราจะมีเงินไปซื้อของพวกนั้นได้ยังไงกัน?”

 

 

“เธอถามอะไรน่ะ...เสื้อผ้าฉันยังหามาให้เธอได้  แล้วเงินที่จะใช้ซื้อของทำไมฉันจะหามาไม่ได้    เอาเถอะ  ตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องมากังวลเรื่องพวกนี้หรอกนะ  เตรียมตัวเสร็จรึยังจะได้ไปดันสักที”

 

 

“อืม เรียบร้อยแล้วล่ะ”  ฉันตอบ  ในใจรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่ต้องมาเป็นขโมย   แต่ก็นะ...ถ้าไม่ทำแบบนี้พวกเราก็คงจะไปต่อกันไม่ได้

 

 

“งั้นก็ไปกันได้แล้ว   อย่าลืมสวมผ้าคลุมอีกชั้นหนึ่งด้วยนะ  อย่าให้ใครเห็นสีผมของเธอเข้าด้วยล่ะ” ชินกล่าว  เขาเองก็สวมเสื้อคลุมเหมือนกัน

 

 

“ทำไมล่ะ” ฉันถามขึ้นด้วยความสงสัยอีกครั้ง

 

 

“ทำตามที่ฉันบอกแล้วก็จะดีเองนะแหละ” ชินพูดแล้วจึงรีบเดินนำโดยไม่มองหน้าฉัน   ฉันทำบึ้งใส่แผ่นหลังของเขา    แต่ก็ยอมทำตามคำสั่งของเขาเอาผ้าคลุมขึ้นมาคลุมศีรษะ  โมโมะเดินจูงมือกับฉัน  แล้วเราทั้งสามก็เดินไปยังพีโอเนียพร้อมๆกัน

 

 

 

 

***********

 

 

 

 

พีโอเนีย  เป็นเมืองที่คึกคักจริงๆ  มีแต่ร้านขายของตั้งอยู่ตามข้างทางเต็มไปหมด  ของที่วางขายอยู่ก็ดูแปลกตาน่าซื้อสำหรับฉันไปเสียทุกอย่าง   ถ้าฉันจะซื้อกลับไปเป็นที่ระลึกที่บ้านบ้างจะได้ไหมนะ....  ฉันกับโมโมะอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปดูใกล้ๆเพื่อดูของที่วางขายบนแผงลอยตามร้านแทบไม่ไหว   แต่ชินก็ต้องมาคอยห้ามอยู่ทุกที    ไปๆมาๆ ตอนนี้เขาเลยจับมือฉันแบบไม่ยอมปล่อย  ในขณะที่มืออีกข้างก็จับกับโมโมะอยู่  สภาพแบบนี้มันชอบกลยังไงๆก็ไม่รู้สิ     เพราะเหตุนั้นทำให้ฉันต้องเดินผ่านร้านรวงพวกนั้นมาเฉยๆอย่างน่าเสียดาย

 

 

ชินนำเราไปยังส่วนที่เขาขายอาหารกัน  ซึ่งนั้นก็เป็นจุดประสงค์หลักของพวกเรานั้นเอง   เรื่องนี้ดูเหมือนชินจะรู้ดีกว่าใคร   ฉันเห็นเขาเลือกของต่างๆอย่างชำนาญมือ   ช่วงนี้เองที่เขาปล่อยมือฉันจนได้    ฉันกับโมโมะเลยค่อยเป็นอิสระหน่อย  เราสองคนค่อยๆย่องห่างออกมาจากชินเรื่อยๆเหมือนเด็กซนเวลาที่ผู้ใหญ่ไม่อยู่   ฉันมองของที่ตั้งวางขายอยู่อย่างอัศจรรย์ใจ มีแต่ของแปลกๆทั้งนั้นเลย  ฉันคิด

 

 

“นี่มันอะไรเหรอ?” โมโมะในร่างของเด็กสาวชี้นิ้วไปยังผลไม้ลูกหนึ่ง    รูปร่างลักษณะภายนอกของมันแปลกประหลาดจนเกินกว่าที่ฉันจะจินตนาการไหวเลยทีเดียว 

 

 

ผลไม้นั้นมีสีม่วงดูเหมือนผลไม้เน่ายังไงก็ไม่รู้  ผิวของผลไม้นั้นก็ขรุขระดูราวกับผิวอสูรกาย  ขนาดของมันน่าจะใหญ่กว่าหนึ่งกำปั้นของฉันเสียอีก  ฉันมองผลไม้นั้นด้วยสายตาไม่ชอบกล

 

 

“ไม่รู้สิ”  ฉันตอบด้วยน้ำเสียงงงๆ

 

 

“ผลไม้แก้พิษต่างๆน่ะ   บางคนก็ชอบเอาไปทานเล่นกันนะ   บางคนก็เอาไปทำยา” พ่อค้าเป็นชายร่างอ้วนตัวใหญ่มหึมา   เขาพูดขึ้นแก้ความสงสัยของฉันขณะที่เดินออกมาจากหลังร้าน    ฉันจ้องมองดูผลไม้ลูกนั้นอย่างสนใจ  ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะมีประโยชน์ขนาดนี้  เรานี่มองอะไรจากภายนอกไม่ได้เลยแฮะ

 

 

“น่ากินจัง...” โมโมะทำท่าอ้อนๆอยู่ข้างฉัน   ฉันแอบมองโมโมะด้วยความสงสัย   ปกติโมโมะไม่เห็นจะขี้อ้อนแบบนี้เลยนี่หน่า   สงสัยท่าจะชอบผลไม้ลูกนั้นมากเลยนะเนี่ย  แต่รูปร่างมันไม่เห็นจะน่าทานเลยนะเนี่ย

 

 

“แต่....ชิน...”  ฉันเหลือบมองไปข้างหลัง   แต่เห็นชินยังคงวุ่นอยู่กับการต่อรองราคาอยู่

 

 

“น๊า....แอนน์” โมโมะส่งเสียงอ้อนอีกครั้ง  ฉันนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจซื้อ  ดูเหมือนจะไม่เป็นอันตรายนี่หน่า....สักลูกก็แล้วกัน  ฉันอ้าปากกำลังจะตกลงใจซื้อผลไม้ลูกนั้น   แต่ก่อนที่จะฉันจะพูดอะไรออกไปนั้นเอง    มือของชินก็ดึงฉันกับโมโมะให้ออกห่างจากร้านนั้นทันที

 

 

“หาเรื่องได้ทุกทีเลยสิหน่า  ฉันเผลอปล่อยมือเธอแป๊บเดียวเอง”

 

 

“ฉันเปล่าทำอะไรสักหน่อย...”   ฉันไม่เข้าใจในการกระทำของชินเลย   “โมโมะแค่อยากได้ไอ้ผลไม้สีม่วงนั้นก็เท่านั้นเอง    ใช่ไหม....โมโมะ”   ฉันหันไปหาโมโมะที่ยังอยู่ข้างๆ    ตอนนั้นเองฉันก็เห็นโมโมะในร่างของเด็กสาวทำตาเหม่อลอยราวกับไม่ได้สติ

 

 

“โมโมะ!!!!” ฉันร้องออกมาอย่างตกใจ

 

 

“ว่าแล้วไง” ชินไม่พูดเปล่า   เขาฟาดฝ่ามือลงไปบนแผ่นหลังของโมโมะอย่างแรง

 

 

“โอ๊ย....” โมโมะร้อง   ตอนนี้ดวงตาของเด็กสาวไม่ได้ดูเหม่อลอยอีกต่อไปแล้ว  “เจ็บนะ”  มันร้องออกมาเบาๆ

 

 

“โมโมะ  เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม”  ฉันถามด้วยความเป็นห่วง  เอามือลูบหลังโมโมะเบาๆ

 

 

“เป็นอะไร  ฉันเป็นอะไรไปเหรอ?”  โมโมะเอียงคออย่างฉงน

 

 

“เมื่อกี๊ดูเหมือนเธอจะเหม่อลอยเหมือนโดนมนต์สะกดอะไรสักอย่าง” ฉันถามอีกครั้ง

 

 

“อืม....ไม่รู้สิ  ฉันจำได้ว่าฉันเหลือบไปเห็นผลไม้สีม่วงลูกนั้น   ฉันรู้สึกอยากกินมันมากเลย   หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้เหมือนกัน  ฉันรู้สึกมึนหัวแปลกๆ  รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่โดนชินตีนั้นแหละ” โมโมะในร่างของเด็กสาวสั่นหัวเหมือนจะเรียกสติกลับมา

 

 

“ว่าไงนะ!”

 

 

“ก็ผลไม้ลูกนั้นยังมีสรรพคุณอีกอย่างก็คือ ทำให้พวกสัตว์หรือปีศาจต่างๆคืนร่างได้ยังไงล่ะ   แถมกลิ่นของมันยังสามารถดึงดูดพวกจิ้งจอกอย่างโมโมะเข้าไปใกล้ได้อีกด้วย   ดีนะที่ฉันห้ามเอาไว้ทัน  ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไงบ้าง”

 

 

“เกือบไปแล้ว” ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก

 

 

โมโมะได้แต่กระพริบตาปริบๆ   มันค่อยๆเอามือลูบตามตัว “ตายล่ะ....หางฉัน”

 

 

“อย่าบอกนะว่า....”

 

 

“เฮ้อ...รีบออกจากที่นี่กันเถอะ”  ชินทำหน้าเอือมระอาก่อนที่จะรีบนำฉันกับโมโมะเดินออกจากเมืองพีโอเนียไป

 

 

โชคดีที่มีผ้าคุลมอยู่  ทำให้สามารถปกปิดหางของโมโมะที่คืนร่างไปแล้วนั้นได้พอดี   ขณะที่เราทั้งสามรีบกลับเข้าป่านั้น    พวกเราทั้งสามรีบรุดออกจากเมืองไปโดยไม่ทันสังเกตเลยว่ามีคนๆหนึ่งแอบซุ่มจับตาดูพวกเราสามคนอยู่ตลอดตั้งแต่ร้านขายผลไม้นั้นแล้ว ชายคนนั้นสวมเสื้อคลุมในมือถือไม้เท้าอยู่....เขาเป็นพ่อมด

 

 

 

 

********

 

 

 

 

“เห็นไหม ไหนบอกว่าไม่เป็นไรไง”  ชินดุโมโมะที่ตอนนี้นั่งก้มหน้านิ่งอยู่  ตอนนี้มันคืนร่างแล้ว 

 

 

“ดีนะที่คืนร่างแค่หางน่ะ  ถ้าตอนนั้นเกิดกลายร่างเป็นจิ้งจอกขึ้นมากลางตลาดแบบนั้น  จะทำยังไงกันล่ะ  กว่าจะหนีรอดจากแบล็คฮาร์ทมาได้ก็แทบแย่แล้วนะ”

 

 

“ฉันขอโทษ” โมโมะพูดขึ้น  ดูมันจะรู้สึกเศร้าจริงๆ

 

 

“บอกแล้วว่าไม่ให้มาด้วย   ที่จริง...ก็ไม่น่าให้เดินทางมากับพวกเราแต่แรกแล้ว   พวกเรากำลังถูกตามล่าอยู่นะ  ให้จิ้งจอกเก้าหางที่เป็นจุดเด่นอยู่แล้วมาร่วมเดินทางอีกก็ยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่” ชินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

 

“ชิน!” ฉันขึ้นเสียงทันที  “นายพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไง”

 

 

“ก็มันจริงไหมล่ะ  แค่พวกเราเองยังเอาตัวไม่รอดกันเลย”ชินขึ้นเสียงบ้าง

 

 

“โมโมะน่ะ  เค้าไม่ได้ตั้งใจนะ  ใครจะไปรู้เล่าว่าผลไม้นั้นจะส่งผลยังไงต่อโมโมะ   ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็ต้องเป็นความผิดของฉันด้วยนะสิ  เพราะฉันเองก็อยู่กับโมโมะในตอนนั้นเหมือนกัน   นายไม่ควรจะพูดไปถึงเรื่องที่ฉันขอให้โมโมะเดินทางไปด้วยเลยนะ   เรื่องนั้นเราคุยกันเข้าใจแล้วไม่ใช่หรือไง”

 

 

“ใช่....จะว่าไปมันก็เป็นความผิดของเธอด้วยเหมือนกันแหละ”

 

 

“ดี  งั้นไม่ไล่ฉันไปอีกคนเลยล่ะ”

 

 

“เธอจะบ้าไปแล้วรึไง”

 

 

“ใช่ฉันมันบ้าไปแล้ว   นายเองก็บ้าพอกันนะแหละ”

 

 

“ใครกันเล่าที่ดึงดันจะให้ฉันเดินทางมาด้วยล่ะ...”

 

 

“ขอโทษที่ช่วย!   งั้นเชิญนายกลับไปที่อาณาจักรของนายไปเป็นนักโทษ  แล้วกลับเข้าคุกใต้ดินไปเลยสิ”  ตอนนี้ฉันโกรธขึ้นมาจริงๆ  นานมาแล้วที่ฉันไม่เคยโกรธใครมากขนาดนี้มาก่อน

 

 

“เธอนี่มัน....”

 

 

“พอเถอะ” โมโมะลุกขึ้น  น้ำตาไหลเป็นทางออกมาจากดวงตาสีแดงคู่นั้น  

 

 

“อย่าทะเลาะกันเลย   ทั้งหมดมันเป็นความผิดของฉันเอง”  พูดจบแล้วโมโมะก็รีบวิ่งหนีหายไปในป่าทันที

 

 

“โมโมะ” ฉันตะโกนเรียก  กำลังจะวิ่งตามไป  แต่กลับโดนชินดึงแขนเอาไว้เสียก่อน

 

 

“ปล่อยฉันนะ!”  ฉันตวาดชิน   แต่เขายังคงไม่ยอมปล่อยเธอ

 

 

“แบบนี้น่ะดีแล้ว”

 

 

“นายนี่มัน....ไม่ได้เรื่องเลย” ฉันเหวี่ยงฝ่ามืออีกข้างไปตบหน้าชินด้วยอารมณ์โมโห  ชั่วขณะนั้นเองที่ชินคลายมือจากแขนของฉัน   ฉันที่น้ำตาคลออยู่รีบสะบัดแขนออกจากมือของเขาแล้วจึงรีบวิ่งออกไปตามทางที่โมโมะหนีไปทันที

 

 

ชินยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น   ใบหน้ายังคงมีรอยแดงอยู่  เขาไม่เข้าใจเลย… แค่ถูกแอนน์ตบหน้าแค่นี้ทำไมเขาจึงรู้สึกเจ็บลึกลงไปถึงหัวใจได้นะ   ใบหน้าของแอนน์ชั่วขณะก่อนที่จะวิ่งตามโมโมะไปนั้นทำให้เขารู้สึกแย่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  แล้วสุดท้ายแล้วทำไมเขาถึงยอมปล่อยเธอไปแบบนั้น  เขาไม่ได้เป็นคนที่จะมาใจอ่อนกับเรื่องพวกนี้เลยนะ

 

 

เพราะงั้น...ทำไมกัน?

 

 

ในที่สุดชินก็ได้แต่ถอนหายใจลึกก่อนที่จะแปลงร่างเป็นเงาไล่ตามแอนน์ไปอีกคน

 

 

 

 

**********

 

 

 

 

 

 

“โมโมะ....โมโมะ!”  ฉันตะโกนเรียกออกไปด้วยความหวังที่แสนจะริบหรี่     ป่าออกจะกว้างใหญ่ขนาดนี้แล้วฉันจะหาโมโมะเจอได้ไง  ถ้าโมโมะวิ่งไปโดยไม่คิดจะหยุดรอ..ป่านนี้มันคงจะไปไกลเกินเอื้อม   เพราะนายชินคนเดียวเลย   ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้นะ  ชินก็บ้า  โมโมะเองก็....ทำไมต้องหนีไปอย่างนั้นด้วยเล่า

 

 

“โมโมะ!”  ฉันตะโกนอีกครั้ง   แต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา  ในที่สุดฉันก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่  ฉันร้องไห้ออกมาเหมือนกับเด็กๆ  ฉันร้องไห้แบบนี้ครั้งสุดท้ายน่ะมันเมื่อไหร่กันนะ

 

 

“มัวแต่ร้องไห้แบบนี้   แล้วจะหาโมโมะเจอได้ยังไงกัน”  จู่ๆเสียงของชินดังขึ้นข้างๆฉัน

 

 

“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”  บ้าที่สุด  ดันมาเห็นฉันตอนร้องไห้ซะได้  ฉันพยายามหันหน้าหนี

 

 

“พูดอย่างนั้นน่ะคิดดีแล้วเหรอ  ฉันกะว่าจะมาช่วยตามหาโมโมะสักหน่อยนะเนี่ย”  พอได้ยินคำพูดอย่างนั้น  ฉันก็รีบหันมาเผชิญหน้ากับชินทันที

 

 

“จริงเหรอ”  ฉันทำเสียงอ่อยๆ  ดวงตายังคงแดงก่ำเนื่องจากการร้องไห้เมื่อครู่

 

 

“ก็ใช่นะสิ ยัยต๊อง”  เอาเอื้อมมือมาขยี้หัวฉัน  “ขอโทษด้วยและกัน  ฉันเองก็รู้ตัวอยู่เหมือนกันว่าดุโมโมะแรงไปหน่อย”

 

 

“...”  ฉันไม่พูดตอบอะไร

 

 

“เธอรู้รึเปล่า  ว่าในตอนนี้จิ้งจอกเก้าหางเป็นสัตว์ที่หายากมากในยูโทเปียนะ  พูดๆง่ายก็คือมันกำลังจะสูญพันธ์นั้นแหละ   สาเหตุก็เป็นเพราะมนุษย์นี่แหละที่ต้องการร่างกายของมันมาเพื่อประโยชน์ของตนเอง   ถ้ามีใครมาพบโมโมะเข้า   คนที่จะต้องเดือดร้อนที่สุดก็คือ โมโมะ เองนะ  

 

 

ถ้าโมโมะไปกับเราก็ไม่รู้ว่าจะต้องพบกับอันตรายอะไรอีกบ้างในภายหน้า   เราต้องเผชิญกับพ่อมดนะ  เราไม่สามารถที่จะซ่อนโมโมะเอาไว้แบบนี้ได้ตลอดกาลหรอก   มันน่าจะเป็นการดีกว่าถ้าจะปล่อยให้โมโมะอยู่ในป่าตามธรรมชาติของมัน”  ชินพูดขึ้นด้วยเหตุผล  น้ำเสียงของเขาฟังดูอ่อนโยนอย่างที่ฉันไม่เคยได้ยินจากเขามาก่อน

 

 

“แต่ฉันสัญญากับแม่ของโมโมะไว้แล้ว   และฉันก็เห็นโมโมะน่ะเป็นเหมือนน้องสาวของฉันคนหนึ่งนะ   โมโมะจะต้องเหงาๆแน่ถ้าเกิดต้องอยู่คนเดียว  มันยังเด็กอยู่เลยจะสามารถเอาชีวิตรอดเพียงลำพังในป่าได้อย่างไรกัน    ถ้าโมโมะไปกับพวกเรามันก็น่าจะมีความสุขมากกว่าไม่ใช่เหรอ”

 

 

“เธอแน่ใจเหรอ  ว่าที่จริงแล้วโมโมะอยากเดินทางไปกับเราหรือเปล่า”

 

 

“...” ฉันเงียบ   อันที่จริงฉันก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าโมโมะอยากเดินทางไปกับฉันจริงๆหรือเปล่า  โมโมะเองก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับฉันเลย

 

 

“ไม่รู้ล่ะสินะ”  ชินเอามือลูบหัวฉันอย่างแผ่วเบา  “ถ้าอย่างนั้นพอเธอเจอโมโมะก็ถามซะสิ  ให้เค้าเป็นคนตัดสินก็แล้วกันนะ   ถ้าโมโมะอยากจะไปกับเราจริงๆ ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก”

 

 

“ชินไม่ได้ไม่ชอบโมโมะหรอกเหรอ”

 

 

“ฉันก็เป็นห่วงโมโมะไม่แพ้เธอหรอกนะ”  เขาพูดพลางเอามือเช็ดน้ำตาบนหน้าของฉัน

 

 

ฉันหน้าแดงรีบก้าวถอยหลังแล้วใช้มือของตัวเองเช็ดน้ำตาออกทันที   ชินยิ้มให้กับฉัน  ฉันจ้องหน้าชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ต่างไปจากที่ผ่านมา   หมอนี่ก็เป็นคนที่อ่อนโยนเหมือนกันแฮะ

 

 

“ไปตามหาโมโมะกันเถอะ”  ชินพูดพร้อมกับยื่นมือมา

 

 

“อื้ม”  ฉันตอบรับพร้อมกับจับมือของเขาเอาไว้

 

 

ชินกลายร่างเป็นเงาแล้วพาฉันพุ่งลึกเข้าไปในผืนป่า   ในที่สุดพวกเราก็มาหยุดกันอยู่ที่หน้าถ้ำแห่งหนึ่ง   ถ้ำนี้ดูคล้ายกับถ้ำที่ฉันเจอกับโมโมะครั้งแรก     แต่แทนที่จะมีม่านน้ำตกบังกลับกลายเป็นพุ่มไม้แทน

 

 

“โมโมะอยู่ในนั้นน่ะ” ชินบอกฉัน  พร้อมกับปล่อยมือฉัน

 

 

“นายรู้ได้ยังไง...”

 

 

“เอาหน่าตอนนี้อย่าเพิ่งถามเลย...เข้าไปพูดกับโมโมะก่อนที่มันจะหนีไปอีกดีกว่านะ”

 

 

“อ้าว  แล้วชินไม่เข้าไปด้วยกันเหรอ” ฉันถามขึ้นอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นชินเดินไปอีกทาง

 

 

“ไม่ล่ะ  ฉันจะคอยคุมเชิงดูต้นทางให้ดีกว่า   เผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้รับมือทันไงล่ะ”  ว่าแล้วเขาก็เดินผละไปทันที

 

 

ตาคนวางมาดเอ๊ย  ฉันคิด  แล้วจึงแหวกพุ่มไม้ก่อนจะลอดตัวเข้าไปในถ้ำแห่งนั้นเพียงลำพัง

 

 

มีแสงสว่างมาจากภายในถ้ำ  แสงสว่างนั้นทำให้ฉันมองเห็นรอบๆตัวขึ้นอย่างลางๆ  ฉันเห็นหินงอกหินย้อยปรากฏอยู่เต็มไปหมด    หินพวกนั้นอยู่ทั้งที่ผนังถ้ำไปจนถึงบนเพดานถ้ำ   ทันใดนั้นกลิ่นของน้ำบริสุทธิ์ก็ลอยมากระทบจมูกของฉัน   ฉันสูดกลิ่นนั้นเข้าปอด....กลิ่นน้ำนั้นก็มาจากภายในถ้ำเช่นเดียวกัน   ฉันเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ  จนในที่สุดฉันก็เดินมาถึงสระน้ำแห่งหนึ่งในเวิ้งถ้ำขนาดใหญ่   ที่นี่คงเป็นใจกลางของถ้ำกระมัง มันใหญ่โอ่อ่าพอตัวเลยทีเดียว  เพดานของถ้ำเหนือสระน้ำนั้นเปิดโล่งทำให้มองเห็นดวงดาวบนฟ้าเต็มไปหมด   แสงจากท้องฟ้าตกลงมากระทบผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับจนดูเหมือนผืนน้ำนั้นเป็นอัญมณีอันแสนล้ำค่า  มันช่างเป็นภาพที่ดูงดงามเสียเหลือเกิน

 

 

ฉันพบโมโมะนอนนิ่งอยู่บนโขดหินข้างๆสระน้ำนั้น   มันยังไม่รู้ถึงการมาของฉัน  แสงจากท้องฟ้าตกลงมากระทบขนสีขาวของโมโมะเช่นกัน  ทำให้โมโมะดูราวกับทูตที่ถูกส่งลงมาจากสวรรค์เบื้องบนเลยทีเดียว

 

 

“โมโมะ..”  ฉันเรียกมันเบาๆ

 

 

โมโมะผงกศีรษะขึ้น  พอมันเห็นฉันยืนอยู่  ก็ทำท่าเหมือนจะวิ่งหนีฉันไปอีก

 

 

“ฟังฉันก่อนสิ  ได้โปรด  ถ้าเธอฟังฉันจบแล้วยังอยากจะหนีไปอีกก็ค่อยไปก็ได้นะ”

 

 

โมโมะนิ่งเงียบ  ฉันยิ้มแล้วจึงทรุดกายนั่งลงบนโขดหินเดียวกัน

 

 

“โมโมะ   เธอน่ะจริงๆแล้วอยากเดินทางไปกับฉันหรือเปล่า?”  ฉันถามคำถามทั้งๆที่ตัวเองก็กำลังกลัวคำตอบที่กำลังจะได้รับ

 

 

“เอ๊ะ....”  โมโมะทำหน้าสงสัย

 

 

“ฉันน่ะไม่เคยถามเธอเลย   บางทีที่เธอยอมเดินทางมากับฉัน  อาจจะเป็นเพราะคำสั่งเสียของแม่เธอที่ต้องการให้เธอมาอยู่กับฉันรึเปล่า   แต่สำหรับฉัน...ฉันดีใจมากเลยนะที่มีโมโมะมาเป็นเพื่อนร่วมทางอีกคน    ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันมีน้องสาวเพิ่มมาอีกคน”  ฉันพูดออกมาจากใจ

 

 

“แอนน์...”

 

 

“ฉันฝันอยากจะมีน้องสาวมาโดยตลอด   หรือไม่ก็ใครสักคน อาจจะเป็นเพื่อนผู้หญิงสักคนก็ได้ที่ฉันจะคุยเรื่องอะไรด้วยก็ได้   พ่อกับแม่ของฉันจากไปตั้งแต่ฉันยังเด็ก   เหลือแต่คุณยาย  ซึ่งท่านก็ชรามากแล้ว  แล้วเมื่อไม่นานมานี้ท่านก็ได้จากฉันไปตลอดกาล    สุดท้ายฉันเลยต้องอยู่คนเดียวมาโดยตลอดเลย  

 

 

การอยู่คนเดียวน่ะ มันเหงาและก็โดดเดี่ยวมากเลย   พอฉันมาที่นี่และได้รู้จักกับชิน  แล้วก็โมโมะด้วย   ฉันก็เลยรู้สึกดีใจมากๆเลย   มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ฉันมีความสุขที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้   เพราะงั้นฉันเลยคิดว่าโมโมะก็ต้องเหงาๆแน่ถ้าต้องอยู่คนเดียว   โมโมะเธออย่าจากไปเลยนะ  ฉันอยากให้เธออยู่   ถึงชินจะ...”

 

 

“แอนน์  เห็นฉันเป็นน้องสาวเหรอ” เสียงของโมโมะฟังดูสั่นเครือ

 

 

“อื้ม”

 

 

“บ้าจัง!” และแล้วโมโมะก็ร้องไห้ออก    “ฉันขอโทษนะแอนน์   ฉันเองนะแหละที่คิดน้อยใจ  ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแอนน์จะให้ความสำคัญกับฉันมากถึงขนาดนี้”

 

 

“ขอฉันเป็นพี่สาวเธอได้ไหมโมโมะ”  ฉันอุ้มโมโมะเอาไว้ในอ้อมแขน

 

 

“ได้สิ   จากนี้ไปฉันจะเดินทางไปกับแอนน์   ฉันไม่อยากให้แอนน์ต้องอยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว”

 

 

“สัญญานะ”  ฉันยกนิ้วก้อยขึ้น

 

 

โมโมะชะงักไปก่อนที่จะยิ้มทั้งน้ำตา  มันแปลงร่างมาเป็นเด็กสาวอีกครั้งพร้อมกับเอานิ้วก้อยมาเกี่ยวกับของฉัน  “สัญญาจ๊ะ”

 

 

หลังจากนั้นฉันกับโมโมะในร่างมนุษย์นั่งคุยกันในเรื่องต่างๆมากมาย  ณ เวลานี้เราทั้งสองคนดูเหมือนพี่น้องกันจริงๆ   ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับโมโมะเกิดขึ้นมาอย่างไม่คาดคิดแต่ก็ถือว่ามันเป็นสิ่งที่มีค่ามากเสียเหลือเกิน  ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากที่จะรักษาความสัมพันธ์สายนี้เอาไว้ตลอดไป

 

 

“แล้วชินล่ะ  เขาไม่ชอบฉันนิ” โมโมะพูดขึ้น

 

 

“ชินนะเป็นพวกปากแข็ง   แล้วก็ยังเป็นพวกปากพูดไม่ตรงกับใจอีก  ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบเธอหรอก   เขาเองก็เป็นคนช่วยฉันตามหาเธอนะ”

 

 

“จริงเหรอ?”

 

 

“อื้ม  ที่จริงชินเค้าก็เป็นห่วงเธอไม่น้อยไปกว่าฉันหรอก   แต่ฉันว่าเขาน่ะเป็นพวกไม่ชอบแสดงออกมากกว่า”  ฉันกระซิบประโยคเหมือนจะพูดกับตัวเอง

 

 

“ผู้ชายนี่เข้าใจยากจัง”

 

 

“จริงด้วย”  ฉันหัวเราะ

 

 

 

 

**********

 

 

 

 

ทันใดนั้นเองฉันกับโมโมะก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งของคน   พอฉันกับโมโมะหันหลังกลับไปก็เห็นชินวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาภายในถ้ำ

 

 

“หนีเร็ว!  มีคนแอบตามเรามา”  เขาตะโกนขณะที่กระโดดหลบธนูที่พุ่งตามมาอย่างรวดเร็วไปพร้อมๆกัน

 

 

ฉันไม่รอช้ารีบใช้เวทมนต์ในทันที    แต่ธนูพวกนั้นไม่ใช่ธนูธรรมดา  มันเป็นธนูเวทย์โล่กระดาษของฉันจึงช่วยอะไรไว้ไม่ได้มากนัก     ในที่สุดชินก็วิ่งมาจนถึงที่ที่ฉันกับโมโมะยืนอยู่   พวกเราทั้งสามถอยร่นลงไปในสระน้ำจนไปหยุดอยู่ที่กลางแอ่ง ความลึกของสระน้ำนั้นแค่ประมาณเข่าเท่านั้น  แต่ทว่าตอนนี้ภายในถ้ำเต็มไปด้วยทหารและพ่อมดซะแล้ว  พวกเรากำลังถูกล้อมไว้จากทุกทิศทาง

 

 

“พวกเธอหนีไม่รอดหรอก”  พ่อมดคนหนึ่งพูดขึ้น  เขาโบกไม้เท้า

 

 

“ไม่มีทาง”  ชินตอบ  เขาเพิ่มจำนวนเงาขึ้นแล้วสั่งให้พุ่งเข้าโจมตีเป้าหมายทันที

 

 

“ข้ารู้จักพลังของเจ้าดี”  พ่อมดคนนั้นยิ้มกริ่ม  “เมฆเอ๋ยจงบดบังแสงสว่างเอาไว้บัดนี้ด้วยเถิด..” พ่อมดร่ายมนต์บนท้องฟ้าเมฆเคลื่อนที่มาบังแสงจันทร์และแสงของดวงดาวจนหมดสิ้น

 

 

เมื่อมีเพียงความมืดเงาที่ชินเสกขึ้นมาก็ค่อยๆสลายหายไป

 

 

“แก...”  ชินกัดฟันกรอด

 

 

“ทหารยิงธนูเลย”  เสียงของคนๆหนึ่งสั่งการ     ธนูจำนวนมากถูกยิงมาที่ฉัน  โมโมะและชินนับไม่ถ้วน  ตอนนั้นเองที่โมโมะแปลงร่างอีกครั้ง   มันแปลงร่างกลายมาเป็นจิ้งจอกตัวใหญ่  มันทำให้ฉันนึกถึงแม่ของโมโมะขึ้นมาโดยทันที   ตัวของมันมีสีขาวสว่างตัดกับความมืดที่อยู่รอบๆตัว   หางทั้งเก้านั้นดูสง่างาม  ร่างอันสูงตระหง่านของมันดูน่าเกรงขามยิ่งนัก   มันกระโดดขึ้นแล้วสะบัดหาง  เพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็มีเปลวไฟก็พุ่งจากปลายหาง    เปลวไฟนั้นได้ทำลายธนูเหล่านั้นไปจนหมดสิ้น

 

 

“ว้าว!”  ฉันทึ่ง  

 

 

“ชิน  เงาของนายต้องใช้แสงสว่างใช่ไหม?”

 

 

“ใช่” ชินพยักหน้า  เขาพอจะรู้แล้วว่าโมโมะจะทำอะไรต่อไป

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเพื่อเป็นการขอโทษเรื่องเมื่อตอนกลางวัน  ฉันจะเป็นแสงสว่างให้กับนายเอง” โมโมะอ้าปากแล้วมันก็พ่นลูกไฟขนาดใหญ่ออกมา

 

 

ชินไม่รอช้ารีบเสกเงาขึ้นมาทันที

 

 

“ไฟงั้นรึ   พวกเจ้าดูถูกพ่อมดมากเกินไปแล้ว”  พวกพ่อมดมารวมตัวกันร่ายมนต์  ทันใดนั้นน้ำในสระก็ไปรวมกันอยู่ที่ชอบสระจนน้ำตรงที่ที่ฉันกับชินและโมโมะยืนอยู่แห้งเหือดไปจนกลายเป็นพื้นดิน   น้ำเหล่านั้นถูกรวมเข้าไปอยู่ในที่เดียวกันจนกลายเป็นกำแพงสูงใหญ่ที่รอบล้อมฉันอยู่     และก่อนที่ฉันจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจกำแพงน้ำยักษ์นั้นก็พังทลายลงมา

 

 

“...”

 

 

โมโมะกับชินยืนตะลึงอยู่ขณะที่น้ำเคลื่อนที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว  วินาทีนั้นฉันเองก็ตะลึงงันไปเหมือนกัน

 

 

ณ เสี้ยววินาทีนั้นความกลัวทะลักเข้ามาภายในจิตใจฉันก่อนเป็นอันดับแรก  แต่แล้วก็กลับมีความรู้สึกเข้ามาแทนที่ในพริบตา...ฉันต้องปกป้องคนสำคัญของฉันเอาไว้ให้ได้  นั้นคือสิ่งที่ฉันคิดขึ้นมาได้เป็นอันดับแรก  ฉันไม่ยอมให้จบแบบนี้เด็ดขาด 

 

 

“ไม่นะ...ไม่!”  ฉันตะโกนก้องออกมา

 

 

ทันใดนั้นก็มีแสงสีฟ้าพุ่งออกมาจากตัวของโมโมะ  ชินและตัวของฉันเอง  มันกลายมาเป็นลูกแก้วลูกเล็กๆมันมีสีฟ้าอ่อนดูสว่างไสว  ฉันเคยเห็นมันครั้งหนึ่งที่แม่ของโมโมะสลายหายไป   แต่ต่างกันตรงที่สีของลูกแก้ว   ฉันเอื้อมมือไปรับลูกแก้วนั้นโดยทันที   ลูกแก้วนั้นพุ่งเข้ามาในหน้าผากของฉันเหมือนถูกดึงดูด    ฉันหลับตารับรู้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้ามาในร่างกายของฉัน

 

 

ฉันลืมตาขึ้นด้วยแววตาที่มุ่งมั่นทันที   ฉันเสกกระดาษขึ้นมาเป็นกำแพงกั้นน้ำที่ไหลทะลักเข้ามานั้นอย่างรวดเร็ว

 

 

“เราจะบินขึ้นไป” ฉันตะโกนบอกชินกับโมโมะ ทั้งสองพยักหน้ารับทราบ

 

 

ฉันเสกจรวดกระดาษขนาดยักษ์ขึ้นอีกครั้ง   พอทุกคนขึ้นไปจนครบฉันก็บังคับให้จรวดพุ่งขึ้นสู่เบื้องบนทันที  พร้อมกันนั้นกำแพงกระดาษก็ทลายกำแพงน้ำท่วมทะลักเข้ามาในที่ที่เมื่อครู่ทุกคนยืนอยู่ทันที

 

 

เพียงชั่วพริบตา  ฉันก็พาเราบินออกมาทางเพดานของถ้ำ  เมฆสีดำทะมึนที่พวกพ่อมดเสกไว้ขวางทางเราอยู่  แต่ฉันไม่สนใจฉันบังคับให้จรวดกระดาษบินสูงขึ้นไปอีกจนทะลุขึ้นมาเหนือเมฆ   ตอนนั้นเองที่ใจของฉันเต้นช้าลง   ทั้งๆที่เมื่อครู่มันเต้นแรงจนแทบจะระเบิดออกมา

 

 

“เธอทำแบบนั้นได้ไง”  ชินถามขณะที่เหนื่อยหอบ

 

 

“ไม่รู้เหมือนกัน”  ฉันเอามือแตะหน้าผากโดยไม่รู้ตัว   เมื่อครู่ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันทำอะไรลงไป  แต่พอมาถึงตอนนี้ทุกอย่างกลับชัดเจน  ฉันเสกกระดาษขึ้นมาเองได้โดยใช้พลังของตนเองเพียงเท่านั้น

 

 

“พลังสุดยอดมากเลยแอนน์”  โมโมะพูด  มันยังคงอยู่ในร่างที่แสนสง่างามนั้น

 

 

“เธอดูสง่างามมากเลยนะ...โมโมะ  ถ้าไม่ได้พลังของเธอช่วยไว้เราต้องแย่แน่”  ฉันพูดจากใจจริงเมื่อมองไปที่ร่างของโมโมะ

 

 

“ร่างจริงนะ   ถ้าไม่ถึงคราวคับขันฉันก็ไม่อยากจะคืนร่างหรอก  ฉันยังไม่โตพอการกลายร่างทำให้ฉันเหนื่อยกว่าที่ควรเป็น”  มันพูดในขณะที่ร่างของมันค่อยๆกลับกลายเป็นโมโมะตัวจิ๋วเหมือนเดิม    

 

 

ตอนนั้นเองที่โมโมะกลั้นใจหันหน้าไปหาชินอย่างกล้าๆกลัวๆ

 

 

“ชิน  เรื่องที่ตลาดฉันขอโทษจริงๆนะ”  โมโมะกล่าวออกมาอย่างจริงใจ    จะว่าไปฉันเองก็ลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิท  แต่โมโมะยีงจำได้เป็นอย่างดี

 

 

ชินเงียบไปเพียงครู่เดียว  แล้วจึงพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบๆว่า “ฉันก็ต้องขอโทษเหมือนกันที่ว่าเธอรุนแรงไปน่ะ”

 

 

ฉันลอบยิ้มออกมาด้วยความสุขเมื่อเห็นทั้งสองยอมรับกันและกันในที่สุด   เมื่อนั้นฉันก็ผุดลุกยืนขึ้นบนจรวดกระดาษพร้อมกับสูดเอาลมหายใจเอาอากาศยามค่ำคืนเข้าไปเต็มปอด   ในตอนนี้ฉันรู้สึกถึงพลังอันเต็มเปี่ยมภายในร่างของฉันกำลังเต้นแรงไปตามจังหวะของหัวใจฉันเอง  

 

 

ถ้าฉันไม่ตัดสินใจเปิดประตูแห่งยูโทเปีย  ฉันก็อาจจะไม่มีวันได้พบเจอความรู้สึกที่แสนวิเศษแบบนี้  ถึงแม้จะต้องเผชิญหน้ากับอันตราย   แต่มันก็ทำให้ฉันได้รู้จักชินกับโมโมะ   ได้มีโอกาสแสดงพลังที่ยิ่งใหญ่...พลังที่ฉันไม่เคยคิดว่าตนเองมีมาก่อน  ยามนี้ฉันรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างยิ่งนั้นก็เพราะฉันรู้ว่าฉันคิดถูกที่เอื้อมมือมาเปิดประตูและมุ่งหน้าสู่ยูโทเปีย   ไม่ว่าอะไรจะรอฉันอยู่ต่อจากนี้   ฉันเชื่อว่าฉันจะต้องสามารถก้าวข้ามผ่านมันไปได้ถ้ามีทุกคนไปด้วยกัน   

 

 

ฉันไม่ใช่แอนนา เบลล์ผู้โดดเดี่ยวแห่งตระกูลเบลล์อีกต่อไปแล้ว  ตอนนี้ฉันคือเดอะเปเปอร์...ผู้ถูกเลือกแห่งยูโทเปีย

 

 

 

 

**********

ปล.  บทนี้พิมพ์ไปพิมพ์มาทำไมมันยาวงี้หว่า  หวังว่าจะอ่านกันไม่เบื่อนะ 5555+  เจอกันใหม่วีคหน้าเน้อ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา