Decisive wars สู่จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง

7.2

เขียนโดย CyCloEclipse

วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 11.46 น.

  44 ตอน
  5 วิจารณ์
  42.92K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 กันยายน พ.ศ. 2556 20.52 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) ความอ่อนโยนที่ส่งไปถึง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

"อย่างแกน่ะต้องเจอกับฉันนี่!!"


ด้วยคำพูดและภาษาของมนุษย์ไม่สามารถหยุดยั้งสัตว์ประหลาดที่ไม่มีวันฟังรู้เรื่องได้แน่ มิรันจึงตัดสินใจดึงหางที่ยื่นยาวของอัลเกียเอาไว้เพื่อไม่ให้สัตว์ประหลาดสามารถเดินไปข้างหน้าได้ และเมื่อสัตว์ประหลาดรู้สึกตัวว่ามีอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นจากตรงนั้นกำลังรั้งการเคลื่อนไหวของมันอยู่ มันก็ออกแรงดึงหางของตัวเองให้หลุดจากสิ่งที่พันธนาการมันเอาไว้

แต่ก็ไม่สามารถทำได้โดยง่ายเพราะส่วนหางนั้นเป็นอวัยวะที่ออกแรงได้น้อยที่สุด ประกอบกับเรี่ยวแรงอันมหาศาลของแองเจลอยด์ที่ที่ตรึงมันไว้อย่างหนาแน่นค่อยๆออกแรงดึงมากขึ้นจนทำให้พื้นบริเวณใต้เท้าของสัตว์ประหลาดเต็มไปด้วยรอยเล็บที่ตะกุยพื้นเพื่อให้หลุดจากอ้อมแขนของมิรันจนเสียหายไปหมด ทั้งอย่างนั้นก็คงเทียบไม่ได้กับความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นหากปล่อยให้สัตว์ประหลาดยังคงมุ่งหน้าไปต่อ


"ทุกคนดูนั่นสิ..! seiriมาช่วยพวกเราแล้ว!"

"ในที่สุดseiriก็มาช่วยพวกเราแล้ว... รอดแล้วว้อย!!"


seiri... seiri... ทุกคนต่างรู้จักเผ่าพันธุ์นางฟ้าที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับสิ่งที่นำมาซึ่งการทำลายล้างว่า"seiri" แต่จะมีสักกี่คนที่รู้จักชื่อจริงๆของพวกเธอแต่ละคน แม้แต่แองเจลอยด์ที่น่าจะแข็งแกร่งที่สุดในขณะนี้...

"มิรัน..."



"เอาน้อยหน่าไปกิน!!!"

ตึงงงงงงง!!งงงงง

หลังจากที่ออกแรงชักเย่อจนเป็นที่พึงพอใจแล้ว มิรันก็ออกแรงเหวี่ยงหางของสัตว์ประหลาดข้ามไหล่ของเธอไปด้วยกำลังทั้งหมดของเธอจนลอยไปกระแทกพื้นเสียงดังสนั่น


ก๊าซซซซซซซซซ

แม้ว่าเกราะที่หุ้มร่างกายของสัตว์ประหลาดจะช่วยดูดซับรงกระแทกจนแทบจะไม่ส่งผลกระทบต่อสัตว์ประหลาดเลย แต่การที่ลำตัวของสัตว์ประหลาดเกิดพลิกหงายขึ้นนั้น...จะทำให้อวัยวะภายในของมันถูกน้ำหนักตัวทั้งหมดกดทับจนได้รับบาดเจ็บหนัก และยิ่งประกอบกับน้ำหนักตัวเกือบ8ตันของมันด้วยแล้ว...

แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง แองเจลอยด์ที่แข็งแกร่งเหนือกว่าseiriทุกคนที่อยู่ในระดับเดียวกันนั้นก็รู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นกับร่างกาย เหมือนกับสายตาของเธอเริ่มจะเบลอเป็นรางๆ...และท่อนขาของเธอเริ่มจะอ่อนแรงลงทีละนิด


"ไม่จริงน่า... วิวัฒนาการขั้นที่สองมันยังไม่เพียงพอในการเปิดโหมดสงครามหรอกเหรอ!?"

อันที่จริงมิรันนั้นใช้พลังส่วนหนึ่งในการกำจัดค๊อฟที่ปรากฏตัวก่อนหน้านี้ไม่นานจนพลังลดลงไป และเมื่อประกอบกับการปลดปล่อยพลังสะสมที่ประจุอยู่ในแกนปีกของเธอที่มากเกินกว่าที่ร่างกายจะทานรับไหว แต่เมื่ออัลเกียยังคงลุกขึ้นมาได้อีก เธอก็จำเป็นที่จะต้องปิดช่องโหว่นั้นให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้


"มิรัน... นี่เธอฝืนตัวเองอยู่เหรอ"

แม้จะปิดบังสายตาของมนุษย์กับสัตว์ประหลาดได้ แต่ทุกการกระทำของเธอไม่สามารถหลุดรอดสายตาที่ผ่านการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมามากของฮิซาชิไปได้แน่ เพียงแค่เห็นกล้ามเนื่อที่ขยับไม่สัมพันธ์กับท่าร่างก็รู้ได้ทันที

แล้วก็เป็นไปตามคาด...ทันทีที่อัลเกียวิ่งเข้ากระแทกคู่ต่อสู้ของมัน นางฟ้าชีวอาวุธก็เหวี่ยงหมัดเข้าปะทะผิวหนังเกราะของมันราวกับเป็ยสัญชาตญาณป้องกันตัว ซึ่งก็เหมือนกับต้นไม้ที่เจริญเติบโตไม่เต็มที่ที่ตั้งขวางรถพ่วงที่พุ่งเข้าใส่เต็มแรง


"เจอนี่ซะ!! หมัดเทพเจ้าดาวเหนือ... อึ่ก..!"

ทันทีที่หมัดของมิรันปะทะเข้ากับร่างอัลเกีย ข้อมือของเธอก็มีเสียงดัง"กร๊อบ"ดังออกมาทันที และโมเมนตัมที่สกัดได้ไม่หมดก็ตรงเข้าชนร่างของเธอจนกระเด็น

"มิ...มิรัน!!"

แองเจลอยด์ที่อ่อนแรงลงมากยันตัวขึ้นมาจากพื้นได้อย่างยากลำบากเนื่องจากข้อมือขวาที่หักของเธอ ประกอบกับความอ่อนล้าจากการฝืนเร่งพลังเกินขีดจำกัดร่างกายจนเฉียดระดับอิคลิปส์โหมด ซึ่งการตัดสินใจครั้งนั้นของเธอได้ทำให้สมดุลแกนปีกแปรรูปของเธอเกิดเสียไปทันที

และเส้นผมสีฟ้าของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงทีละนิด จนเด็กชายที่มองการต่อสู้ครั้งนี้อยู่เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมมิรันที่เขาพบในสมัยของเขานั้นถึงมีผมสีม่วง แต่ในสมัยนี้เธอกลับมีผมสีฟ้า...


ห่างออกไปประมาณ30เมตร เด็กชายคนหนึ่งต้องการที่จะออกมาช่วยแองเจลอยด์สาวคนนั้นต่อสู้กับสัตว์ประหลาดใจจะขาด หากแต่ติดที่พลังของเขาในตอนนี้แทบไม่ต่างกับเด็ก5ขวบทั่วๆไปที่มีอยู่เกลื่อนโลก ซึ่งหากเขาออกไปให้อัลเกียเห็นเพียงหางตา มันคงจะระงับอารมณ์ไม่อยู่ปล่อยพลังใส่เขาจนตายไปง่ายๆอย่างแน่นอน หากแย่ไปกว่านั้น... มันอาจจะฆ่ามิรันที่เป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของทุกคนในตอนนี้จนตายไปด้วยแน่ๆ

และนี่คือ...การต่อสู้ระหว่างจิตใจทั้งสองด้านของฮิซาชิ


"รีบเข้าไปช่วยเถอะ..! ยังไงนายก็เป็นผู้ชาย นายคิดจะปล่อยให้ผู้หญิงสู้อยู่คนเดียวได้ยังไง"

"จะบ้าเหรอ! นายในตอนนี้ไม่มีพลังเหมือนกับเมื่อก่อนนี้อีกแล้วไม่ใช่เหรอ!? จะหนีไปก้ไม่มีใครว่าหรอกน่า!!"
"แต่เพราะนายได้พบกับมิรัน...นายถึงได้เจอกับพวกseiriพวกนั้นไม่ใช่เหรอ! นายไม่อยากเจอกับมิคาสะอีกแล้วหรือไง!"
"ก็แค่seiriห้าคนสิบคน... ยังไงนายก็ต้องได้พบกับยัยพวกนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอไง!!"


ในตอนนั้นเอง... อัลเกียก็กระโดดขึ้นยืนสองขาเพื่อเตรียมเล่นลูกไม้เดิมที่ใช้ได้ผลสังหารดีอีกครั้งหนึ่ง กรงเล็บใต้ท้องของมันเปิดออกพร้อมกับลูกไฟที่พุ่งออกมาใส่มิรันที่คุกเข่าอยู่กับพื้น ก่อนที่ลูกไฟลูกนั้นจะ..!!!!



"ใช่...ฉันจะได้เจอกับยัยพวกนั้นแน่! แต่ในฐานะศัตรูนะ!!"


ชั่วพริบตาก่อนที่ท่าไม้ตายของสัตว์ประหลาดจะเข้าปะทะร่างของแองเจลอยด์ที่ฝืนทำใจกล้ายืนเผชิญหน้ากับมันโดยไม่คิดที่จะขยับหนีแม้แต่นิดเดียว อันที่จริงคือ... มิรันเร่งพลังขึ้นสูงเกินขีดจำกัดที่แม้แต่แกนปีกแปรรูปจะทานรับได้มานานจนเธอไม่มีแรงที่จะขยับร่างกายอีกแล้ว

และในตอนนี้เองที่การตัดสินใจของเด็กชายก็ได้เริ่มขึ้น..!



เปรี้ยงงงง!!! ครืนนนน....



ไม่รู้ว่าเพราะเทพเจ้าดลบันดาลหรือว่ามีคนบ้าที่ไหนกระโดดเข้ามาขวางวิถีกระสุนเพลิงของอัลเกียหรืออย่างใด แต่ลูกไฟพลังทำลายสูงของมันถูกอะไรบางอย่างอัดกระแทกหรือผ่าออกจนกลายเป็นคลื่นความร้อนพลังทำลายต่ำในพริบตาเดียวก่อนที่จะเข้าปะทะกับเป้าหมายที่มันเล็งเอาไว้


และเมื่อมิรันลืมตาขึ้นมาหลังจากที่หลับตาลงไปรอรับความเจ็บปวดที่จะตามมา... ม่านตาของเธอก็ถูกบีบเข้าหากันโดยแสงสีขาวที่ลอดผ่านเข้ามาจนต้องหลับลงไปอีกครั้ง


สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าseiriที่อ่อนแรงจากการฝีนตัวเองนอกจากแสงสว่างวาบนั้นคือ มีมนุษย์เด็กคนหนึ่งเข้ามายืนขวางระหว่างเธอกับสัตว์ประหลาดที่กำลังคลั่งจากการที่เครื่องยนต์ในตัวเริ่มร้อนขึ้นมาโดยไม่เกรงกลัวแง่งฟันที่แหลมคมที่พร้อมจะบดได้แม้กระทั่งกระดูกให้กลายเป็นเศษแคลเซียมในเวลาไม่กี่วินาทีแม้แต่น้อย...


"เจ้าหนู... นี่เธอ..!"


มิรันเห็นสิ่งที่เปลี่ยนไปบนร่างกายของเด็กชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน ชุดเสื้อผ้าเด็กที่เธอพยายามค้นหาจากกองเสื้อผ้าเก่าๆของเธอก่อนที่จะวิวัฒนาการครั้งแรกนั้นได้เลือนหายไปก่อนจะมีชุดผ้าวันพีซสีขาวล้วนที่สะท้อนแสงจนแสบตา ลายกล้ามเนื้อที่เรียบและอ่อนนุ่มอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์อายุ5ขวบเริ่มมีก้อนแข็งๆแทรกขึ้นมาราวกับคนที่เริ่มเล่นกล้าม

ซ้ำความรู้สึกของมิรันยังบอกเธออีกว่า... พลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างของฮิซาชินั้นได้ตื่นขึ้นมาส่วนหนึ่งแล้ว


"เป็นไปไม่ได้น่า... ก็เธอไม่ใช่seiriนี่นา!"

มันก็จริงอยู่ที่ฮิซาชินั้นไม่ใช่seiri และมนุษย์กับseiriนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถมาไขว้กันได้เหมือนสายพันธุกรรมโปเกมอน แต่หากมิรันเอาสิ่งที่ฮิซาชิเคยพูดเอาไว้มาเรียงประกอบกัน... ทุกสิ่งในนั้นสามารถนำมาใช้อธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ทั้งหมด!!


แต่ถึงจะน่าเบื่อที่ต้องอธิบายซ้ำซาก แต่สำหรับฮิซาชิแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่อะไรที่น่ารำคาญมากสักเท่าไหร่ ในทางกลับกัน... การที่จะให้seiriที่เพิ่งจะเกิดมาได้เพียงสองปีให้เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตที่เธอยังไม่ได้มีประสบการณ์ร่วมด้วยนั้น

มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว...


"มิรัน... เธอไปนั่งกินขนมรอได้เลย อีกเดี๋ยวก็จบแล้วล่ะ!"

ฮิซาชิก็พูดไปงั้นแหละ... อันที่จริงถึงมิรันอยากจะช่วยเขาต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าหลายเท่าที่กำลังโกรธจนสามารถจับมนุษย์ในร่างเด็กให้ได้เรียนรู้ความรู้สึกของการที่ถูกก้อนแคลเซียมจำนวนมากกำลังบดเนื้อของเขาลงไปถึงกระดูกให้กลายเป็นเศษเนื้อเละๆภายในไม่กี่วินาทีสักแค่ไหน แต่ด้วยเรี่ยวแรงที่ลดลงมากของเธอนั้นทำให้สาวน้อยทำได้เพียงนั่งดูอยู่เฉยๆเท่านั้น



"ถึงฉันจะห่างการต่อสู่มาสองอาทิตย์ก็เถอะ... ฉันน่ะสามารถจัดการแกได้ง่ายๆเลยนะ!"

ฮิซาชิตั้งท่าต่อสู้พร้อมทั้งกวักมือเชื้อเชิญสัตว์ประหลาดให้รี่เข้ามาหาเขา ซึ่งอัลเกียก็รับคำเชิญนั้นด้วยการก้มหัวลงก่อนที่จะพุ่งเข้ามาปะทะกับฮิซาชิตรงๆ ซึ่งหากเขารับการพุ่งปะทะของมันเข้าไปเต็มๆในร่างกายของเด็กที่เจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่... มันคงไม่ต่างจากกรณีของฮานามิในร่างมนุษย์ตอนที่ถูกสิบล้อพุ่งชนสักเท่าไหร่หรอก


ก็"คงจะ"...นั่นแหละนะ!


ถึงเสียงตะโกนห้ามของผู้คนที่มองดูการต่อสู้ล้มมวยระหว่างสัตว์ประหลาดกับเด็กผีที่มีกล้ามเนื้อเหมือนผู้ใหญ่จะดังสักแค่ไหน... ฮิซาชิก็ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้ว่าจะถูกอัลเกียสัมผัสตัวแล้วก็ตาม ซึ่งหากสังเกตดูการต่อสู้ที่แล้วๆมาของฮิซาชิ จะเห็นได้ว่าเขาไม่ได้ใช้กำลังเข้าว่าเพียงอย่างเดียว

ฮิซาชิยังมี "กลยุทธ์" และ "การฉกฉวยโอกาส" เป็นอาวุธเสริมถึงสองอย่าง


ทันทีที่อัลเกียกำลังจะพุ่งเข้ากระแทกร่างของเด็กชายคนนั้น ฮิซาชิก็กระโดดตีลังกาข้างข้ามหลังของอัลเกียไปอย่างรวดเร็วโดยอาศัยข้อเสียเปรียบของสัตว์สี่เท้าที่หันกลับมาทันทีไม่ได้ให้เป็นประโยชน์ ซึ่งทันทีที่อัลเกียหันกลับมา... ที่ข้างลำตัวของมันก็ถูกฝ่าเท้าของใครบางคนกระแทกเข้าตรงๆจนล้มลงไปกับพื้น


สัญชาตญาณการต่อสู้ของฮิซาชิได้บอกเจ้าตัวถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ฮิซาชิรีบกระโดดข้ามหัวอัลเกียไปด้านหน้าเป็นจังหวะเดียวกับที่มันกระโดดยกตัวขึ้นยืนสองขา เตรียมใช้ท่าไม้ตายที่มันและทุกๆคนคุ้นเคย ซึ่งนั่นทำให้มิรันที่ดูการต่อสู้นั้นอยู่ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก


"บ้าไปแล้ว!! รีบหลบออกมา...ฮิซาชิคุง!!!"


มิรันพยายามอย่างมากที่จะยันตัวเองลุกขึ้นไปพาฮิซาชิออกมาจากเลนการต่อสู้ หากแต่แค่ขยับปีกให้ได้ก็เต็มกลืนแล้ว ในตอนนั้นเองลูกไฟจำนวนมากก็ถูกปล่อยออกมาจากช่องท้องของอัลเกียเข้าทำร้ายเด็กชายที่ทำร้ายมันก่อนอย่างเดือดดาล

แต่ถึงอย่างนั้น... ที่ใบหน้าของเด็กชายกลับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา


"ก็บอกไปแล้วไงว่าอีกเดี๋ยวก็จบแล้วน่ะ!"

พอพูดจบฮิซาชิก็กางม่านพลังป้องกันการโจมตีทั้งหมดของอัลเกียเอาไว้ ม่านพลังของฮิซาชิในครั้งนี้ต่างไปจากเมื่อครั้งที่เขาต่อสู้กับพวกไกอา ทันทีที่ม่านป้องกันนั้นสะสมพลังทำลายเอาไว้ถึงขีดสุด... ฮิซาชิก็ทำลายม่านพลังลงอย่างเด็ดเดี่ยว

เป็นจังหวะเดียวกับที่การโจมตีของอัลเกียชะงักลงโดยไม่ทราบสาเหตุ!

"ฮิซาชิ..."

ฮิซาชิชูมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะจนปรากฏแสงสว่างสีขาวเหมือนคลื่นน้ำขึ้นมาระหว่างมือทั้งสองข้างนั้น พลังแสงนั้นค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นจนเข้มข้นมากเมื่อเขาลดมือลงถึงระดับอก ในจังหวะที่อัลเกียกำลังพุ่งเข้ามาเล่นงานฮิซาชินั้น... เขาก็ผลักมือขวาออกจนเกิดเป็นละอองแสงกระจายออกมาอาบร่างของสัตว์ประหลาดเอาไว้อย่างอ่อนโยน

แบบเดียวกับที่เขาเคยทำกับมิคาสะเมื่อก่อนที่เธอจะสูญเสียแขนขวาไปในการต่อสู้กับอาคาริ


ไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่อัลเกียเริ่มที่จะสงบลงทีละนิดเมื่อได้อาบแสงเหล่านั้น ราวกับว่านอกจากความสามารถในการรักษาบาดแผลแล้ว...ละอองแสงนั้นจะมีความสามารถในการชำระล้างจิตใจที่ขุ่นเคืองให้เย็นลงได้อีกด้วย!


หลังจากที่ได้รับความอ่อนโยนจากฮิซาชิไปแล้ว อัลเกียก็หันกลับลงหลุมที่มันปรากฏตัวออกมาโดยไม่กลับมาอีกเลย วึ่งสร้างความประหลาดใจให่กับผู้คนที่เห็นเหตุการณ์นั้นเป็นอย่างมาก


.....................................................


"ทำไมนายถึงไม่จัดการสัตว์ประหลาดนั่นไปเลยล่ะ...ทั้งๆที่ต่อให้มันจะฆ่านายก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด อึ๋ยยยย....."


มิรันถามเหตุผลที่ฮิซาชิไม่คิดที่จะฆ่าอัลเกียให้ตายไปเสียเพื่อไม่ให้มันออกมาอาละวาดที่ไหนได้อีก ซึ่งในตอนนั้นคนที่จะตอบคำถามให้เธอได้กำลังเข้าเฝือกข้อมือที่หักไปของเธออยู่


"เธออยากจะรู้เหตุผลสินะ..."
ฮิซาชิเงยหน้าขึ้นมาจากข้อมือที่บวมเป็นสีม่วงตามเส้นผมของมิรันราวกับอยากจะตอบคำถามใจจะแก่ ซึ่งในตอนนี้เส้นผมสีม่วงนั้นได้กลับคืนเป็นสีฟ้าตามเดิมราวกับเป็นเพียงผลกระทบเล็กน้อยจากการเปิดใช้โหมดต่อสู้อันหนักหน่วงเพียงไม่นาน


"ก็เพราะว่าศัตรูของฉัน...มีเพียงผู้นำมาซึ่งความวิบัติเท่านั้น!!"

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา