เงารัก...อธิษฐาน[อ่านต่อจากตอนที่ 25 นะเออ]

9.8

เขียนโดย บุหงา

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 22.04 น.

  29 ตอน
  6 วิจารณ์
  30.46K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 มกราคม พ.ศ. 2557 12.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

27) ตอนที่ 27-100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

~27~

เข้าใจผิดใช่ไหม

 

                ผมตื่นขึ้นมาด้วยอาการงุนงง  ปวดหัวมากๆเลย โดนทุบหัวเหมือนปลาแบบนี้สงสัยชาติที่แล้วผมคงเคยทุบหัวปลาแล้วเอาไปโยนทิ้งให้มันดิ้นพลาดๆด้วยความเจ็บปวดแล้วตัวเองก็มองดูความเจ็บปวดนั้นด้วยความสุขละมั้ง เพราะไอ้คนที่ทุบหัวผมมันทุบเสร็จก็ยืนหัวเราะอย่างมีความสุขเลยละ

                “ซันเจ็บหัวมากไหม แล้วเจ็บตรงไหนอีกรึเปล่า”

                เสียงใสๆของดาวฉุดผมให้ออกจากภวังค์ความคิดที่คิดขึ้นมาเล่นๆแต่ก็อาจเป็นจริงก็ได้ใครจะไปรู้ใช่ไหมละ แล้วผมก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบให้ดาวและยิ้มกว้างแบบฝืนๆ ก็มันเจ็บหัวมากเลยนี่นา สงสัยจะเคยทุบหัวปลาเล่นจริงๆ

                “ไม่เป็นไร ซันไม่เป็นไร แล้วดาวละโดนพวกมันทำร้ายรึเปล่า”

                ผมถามดาวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า แล้วดาวก็ส่ายหน้าให้ผมเป็นคำตอบ แค่นี้ผมก็สบายใจเพราะก่อนที่จะหมดสติไปผมห่วงดาวมากๆ

กลัวพวกนั้นจะทำร้ายดาว ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นผมจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลย...

                “แค่นั้นซันก็ดีใจที่ดาวไม่เป็นไร”

                ผมพูดพร้อมส่งยิ้มให้ดาวอย่างอ่อนโยน

                “แล้วใครทำร้ายซันรู้ไหม”

                ดาวพูดขึ้นพร้อมเอามือมากุมมือผมไว้ ทำให้คิดถึงสมัยก่อนเลยแฮะ แต่ต่างกันที่ดาวนอนอยู่บนเตียง ผมนั่งเก้าอี้แล้วกุมมือเธอไว้ต่างหากตอนนั้นรู้สึกอบอุ่นมากๆเลย ตอนนี้ก็เช่นกัน

                จริงสิคนที่ทำร้ายผมเขาบอกว่าเป็นอาผมนี่นา...จะจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ แค่ถามแม่ของผมก็คงได้คำตอบ

                “ซันไม่รู้หรอกดาว...เขาอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าซันเป็นคนที่เจ้านายเขาจ้างมาทำร้ายก็ได้ อย่าคิดมากเลย”

                “แต่ถ้าหากเขามาทำร้ายซันอีกละจะทำยังไง”

                “หายโกรธซันแล้วเหรอ?”

                ผมไม่ตอบคำถามของดาว แต่กลับถามคำถามขึ้น และส่งสายตาล้อเลียนไปให้ดาว

                “ยะ..ยัง!”

                ดาวปฏิเสธเสียงสั่น

                “หว้าแย่จังเลยนะ น่าจะโดนทุบหัวจนตายเลย  เพื่อดาวจะยกโทษให้ซันบ้าง”

                แล้วผมก็โดนซัดผลัวะเข้าที่แขนทันที

                “ซันบ้า! เรื่องที่ดุกดิกตายยังไงก็ไม่ให้อภัยหรอก...”

                ดาวพูดแค่นั้นก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องทันที เดี๋ยวนี้มีพัฒนาขึ้นแฮะ ไม่ด่าเฉยๆแล้วมีทำร้ายร่างกายด้วย เป็นเมื่อก่อนละก็นะด่าเฉยๆเท่านั้นแหละ และคำด่าที่แรงที่สุดของดาวก็ไอ้คำเมื่อกี้นี้แหละ

                แต่ดุกดิกเหรอมันตายเพราะโดนรถชนหลังจากที่ดาวจากผมไปแค่สองปีเท่านั้นเอง ผมเสียใจจริงๆที่ดูแลมันไม่ดี เอ๊ะ ไม่ยกโทษให้เรื่องดุกดิก แล้วเรื่องของผมละยกโทษให้รึยัง...

                “ดาว!”

                ผมร้องเรียกดาว และจะลุกขึ้นไปหาดาวแต่ก็ปวดหัวจนลุกยังไงก็ลุกไม่ไหว

                “อะไรซัน หนูดาวกลับบ้านไปแล้วทะเลาะกันอีกรึไง หนูดาวโกรธจนหน้าแดงเลย”

                แม่ผมเดินเข้ามาแล้วชักสีหน้าใส่ผมทันที ก็ดาวเป็นลูกสาวสุดที่รักของแม่ผมตั้งแต่เด็กๆแล้วนี่นา ตอนเด็กนะถ้าดาวร้องไห้เมื่อไรผมผิดตลอดแหละ

                “ครับ ทะเลาะกันอีกแล้วละ”

                ผมอ้อมแอ้มตอบ

                “เรานี่จริงๆเลย ดาวเขาหายโกรธซันตั้งนานแล้วนะ ยังไม่รู้อีกเหรอ แล้วเมื่อกี้ไปพูดอะไรให้เขาโกรธอีกละ”

                “ฮะ...อะไรนะแม่ดาวหายโกรธผมนานแล้วเหรอ”

                ผมยิ้มแก้มแทบปริเมื่อได้ยินอย่างนั้น แต่แม่ของผมกลับมองผมค้อนๆ

                “ว่าแต่รู้ตัวคนร้ายรึเปล่าลูก ใครเป็นคนทำร้ายซันกัน”

                “ซันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันคงต้องถามแม่ก่อนครับว่าเรื่องมันเป็นยังไง ผมถึงตอบได้...ทำไมเมื่อยี่สิบกว่าปี่ที่แล้ว พ่อต้องตายด้วยครับ”

                ผมถามคำถามไปได้รับแต่ความเงียบจากแม่ของผมเท่านั้นที่เป็นคำตอบ ตอบกลับมา

               

                แล้วผมก็ต้องกลับมาทำงาน ทั้งที่ยังไม่ได้รับคำตอบยืนยันจากดาวเลยว่าหายโกรธผมจริงๆแล้วใช่ไหม เฮ้อแย่จริงๆ งานก็แยะเพราะลางานมาหลายวัน

                “สวัสดีครับพี่เบล วันนี้ทำไมถึงมาทำงานตอนเที่ยงละครับ”

                ผมทักพี่เบลที่เดินส่งยิ้มมาให้แต่ไกล

                “กลับมาจากพบลูกค้าน่ะ ว่าแต่ซันเถอะ ได้ข่าวว่าโดนทุบหัวมาเป็นไงบ้าง”

                “ก็...ไม่เป็นอะไรแล้วครับแค่ยังรู้สึกปวดหัวอยู่นิดหน่อย”

                “งั้นไปทานข้าวกันเถอะจ้า”

                “อ้าวแล้วพี่เบลไม่ได้ ทานข้าวกับลูกค้ามาก่อนแล้วเหรอครับ”

                “กิน แต่กินได้ไม่เท่าไรเห็นอีตาลูกค้าแก่ๆทำตาเยิ้มใส่แล้วกินไม่ลง ถ้าไม่ใช่ลูกค้าระดับวีไอพีละก็แม่จะเพ่งกะบาลเข้าให้”

                “ครับงั้นไปครับ”

                “เอ่อแล้วบอสละซัน”

                “ยังอยู่ที่บ้านนู้นแหละครับ ตอนกลับผมชวนมาด้วยนะแต่ก็ไม่ยอมกลับสงสัยยังงอนไม่หายมั้งครับ”

                “อ้าวไปทำอะไรให้บอสงอนละ รายนั้นงอนอยากจะตาย แต่ทำท่างอนไปงั้นแหละ”

                “เป็นแบบนั้นจริงๆเหรอครับ งั้นผมก็ยังมีลุ้นนะสิ”

                “ยะ...พอจะมีลุ้น แต่จะจีบบอสรึไง อย่าลืมสิเราเป็นแค่ลูกจ้างนะซัน ถึงซันจะเคยรู้จักบอสก็เหอะ ไงก็ทำใจไว้บ้างนะพี่ขอเตือนด้วยความหวังดี ปะไปหม่ำกันได้แล้ว อย่ามัวโอ้เอ้”

                คำพูดของพี่เบลทำให้ผมเศร้าลงถนัดใจ มันคงจะเป็นแบบนั้นจริงนั่นแหละผมคงต้องเตรียมใจไว้ แต่ความตั้งใจของผมแต่แรก แค่ขอเพียงดาวให้อภัยกับสิ่งที่ผมทำไปทั้งหมดเท่านั้นไม่ใช่รึไง ทำไมต้องรู้สึกเศร้าขนาดนี้นะ มิน่าถึงได้มีสำนวนไทยที่ว่าได้คืบจะเอาศอกเกิดขึ้น

 

                หลังจากเลิกงานผมก็กลับคอนโดตามปกติ และระแวงว่าจะมีคนมาทำร้ายตัวเองตลอด เฮ้อรู้สึกเป็นโรคจิตเลยละเห็นใครเดินผ่านก็ระแวงว่าเขาจะมาทำร้ายตัวเองตลอด ความรู้สึกแบบนี้มันแย่จังเลยนะครับ

                “เฮ้ย!”

                ผมสะดุ้งเฮือก เพราะผมที่กำลังจะใช่คีย์การ์ดเปิดห้องก็มีใครไม่รู้วางมือลงบนบ่าของผม

                “ไงกว่าจะตามตัวเจอนะซัน”

                น้ำเสียงเรียบๆติดเย็นชาแบบนี้เป็นใครไม่ได้ นอกจากดิน

                “นายมีอะไร ตกใจหมด”

                “นายทำอะไรผิดมารึไงถึงต้องตกใจด้วย”

                “เปล่าฉันแค่ระแวง เพราะมีคนมาทำร้ายฉันจนต้องเข้าโรงพยาบาลมาแล้วครั้งหนึ่งที่บ้านน่ะ ว่าแต่นายมีอะไรจู่ๆก็โผล่มาโทรหาฉันก็ได้นี่ดิน”

                “ไม่มีอะไรหรอกแค่กำลังสงสัยอะไรบ้างอย่างอยากให้นายช่วยอะไรฉันหน่อย”

                “แล้วทิมละ”

                “ทะเลาะกับพ่อ...มันกำลังอารมณ์ไม่ดี”

                “พัทละ”

                “ไปออสเตเรีย ไปดูเครื่องเพชรที่นั่น”

                “พีละ”

                “ติดแข่งบาสนัดสำคัญ ซ้อมอย่างหนักปลีกตัวมาช่วยไม่ได้”

                “สรุปเหลือฉันคนเดียวใช่ไหม”

                “อืมประมาณนั้น

                “งั้นตอนนี้ฉันก็ไม่วางเหมือนกัน ต้องสรุปงานให้เสร็จภายในอาทิตย์นี้เพราะวันงานจัดแสดงสิ้นค้าใกล้เข้า

มาแล้ว”

                “เออน่า ทางบริษัทนายใช้โรงแรมฉันจัดแสดงสิ้นค้าใช่ไหมเดี๋ยวฉันลดให้สิบเปอร์เซ็นต์”

                “ฉันเป็นเพื่อนนาย...นายก็ควรลดให้ฉันแต่แรกแล้วไม่ใช่รึไง”

                “เอ่อน่าลดให้ตั้งสิบเปอร์เซนต์แล้วนะ อย่าบ่นมากดีเท่าไรที่ลดให้น่ะ”

                โธ่ งกจริงๆ

                “ได้ๆ ว่าแต่ให้ช่วยเรื่องอะไรละ?”

                “ช่วยเปิดหน้ากากของใครบ้างคน”

 

                จากนั้นดินก็พาผมมาที่ผับแห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหนเพราะไม่ได้เป็นผับที่ผมกับเพื่อนๆเคยมา ดินเดินนำเข้าไปพร้อมสอดส่องสายตาไปทั่วทั้งผับ จากนั้นก็หยุดสายตาไว้ที่ผู้หญิงคนหนึ่ง...น้ำหวาน ใช่เป็นน้ำหวานเองละที่ดินกำลังมองหา

                “นายพาฉันมาจับผิดน้ำหวานเหรอ”

                “ก็ไม่เชิงเป็นน้ำหวานหรอก”

                ดินตอบแล้วหันไปจ้องอีกทาง แล้วผมก็หันไปมองตามอ้อน้ำพลอย...

                “งั้นเป็นน้ำพลอยสินะ

                “ใช่”

                “นายแน่ใจเหรอว่าน้ำพลอยสวมหน้ากากจริงๆ ฉันเคยรู้จักน้ำหวานมาก่อนฉันว่าเป็น...”

                “แล้วนายรู้จักน้ำพลอยรึไง”

                คำพูดของดินทำให้ผมเงียบไปโดยปริยาย ก็จริงอย่างที่ดินพูดว่าผมไม่รู้จักน้ำพลอย แต่ผมก็ไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นน้ำพลอยอยู่ดี

                “นายมั่นใจว่าเป็นน้ำพลอยจริงๆงั้นเรามาลองดูกันสักตั้ง”

                ผมพูดแล้วเดินเข้าไปใกล้น้ำพลอยกับน้ำหวานที่เดินมาหยุดคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ดินเองก็เดินตามผมมาหลบมุมแอบฟังน้ำพลอยกับน้ำหวานคุยกันผมกับเหมือนกัน

                “เธอจะเอายังไงน้ำหวาน เธอแย่งพี่หินไปจากฉันไม่พอ แย่งดินไปอีกฉันก็หลีกทางให้แล้วเธอจะเอายังไงกับฉันอีก”

                “เห็นแกเจ็บกว่านี้ฉันถึงจะพอใจในสิ่งที่แม่แกทำกับฉันไว้ยังไงละ”

                “แม่ฉันไม่ได้ทำอะไรเธอเลย เธอต่างหากที่ทำตัวของเธอเอง”

                “อย่าเถียง...ฉันว่าแม่เธอผิดก็ต้องผิดสิ”

                “ไม่! แม่ฉันไม่ผิด!”

                “เอ๊ะอีนี่หนิ ฉันบอกว่าอย่าเถียงไงเล่า เป็นแค่ลูกเลี้ยงพ่อฉันอย่ามาสะเออะ”

                “เธอก็เหมือนกันเป็นแค่ลูกเลี้ยงแม่ฉันก็อย่าได้ลามปามมาว่าแม่ฉัน หรืออย่างน้อยแม่ฉันก็เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เด็ก”

                “กรี๊ดน้ำพลอย!”

                “เรียกทำไมฉันจำชื่อตัวเองได้”

                เพลี้ยะ!

                “โอ๊ย!”

                “เป็นไงละ คราวนี้จะเถียงฉันอีกไหม น้องนอกคอก”

                “แล้วพี่ทำร้ายพี่หินแล้วโยนความผิดมาให้ฉันทำไม ทำไม!”

                “ไม่ต้องถาม ถึงรู้ไปแกก็ต้องเป็นคนยอมรับว่าแกเป็นคนทำร้ายนายหินจนฆ่าตัวตาย ไม่ใช่เพราะฉัน ไม่อย่างนั้นแกก็น่าจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กับน้ำเพชรพี่ชายสุดที่รักของแกบ้าง”

 

                “น้ำเพชรเป็นพี่ชายของน้ำพลอยหรอกเหรอ แล้วน้ำพลอย...ฉันเข้าใจผิดมาตลอดเลยใช่ไหมซัน”

                “ก็เป็นอย่างที่นายกับฉันได้ยินนั่นแหละ รีบไปขอโทษน้ำพลอยซะ...ถ้าหัวใจนายกำลังเจ็บปวดเพราะเผลอทำร้ายน้ำพลอยเข้า แต่ถ้าไม่รู้สึกอะไรเลยก็ปล่อยมันไว้แบบนี้แหละ เดี๋ยวเรื่องมันก็จะจบลงไปเอง”

                ผมพูดพร้อมกับหันหลังเดินกลับไปในทางออกของผับปล่อยให้ดินตัดสิ้นใจเอง เพราะน้ำพลอยเธอยังคงยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้นอยู่เลย

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา