Real Breaker

7.6

เขียนโดย คันศร

วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 17.46 น.

  19 บท
  18 วิจารณ์
  18.84K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558 19.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) ย่ำสนธยา2 (จบบท)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
         

Adel  J Everlast
          
          ในขณะที่ศาสกำลังเอื้อมมือเข้าไปเปิดประตูอย่างช้าๆ ทันใดนั้นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อบานประตูไม้ขนาดใหญ่กลับปลิวออกมากระแทกกับศาสเข้าอย่างจังจนตัวของเขากระเด็นออกไปตามแรงของมัน
          “ตอนนี้ล่ะจัดการพวกมันซะ!!!” สิ้นเสียงสั่งการบรรดาศัตรูที่รออยู่ภายในก็พุ่งออกมาจัดการกับศาสที่เสียหลักอเดลเห็นท่าไม่ดีเธอรีบตรงเข้ามาหาศาสในทันที
          “อเดลข้างหลัง!!!” ศาสร้องเตือนอเดลด้วยความตกใจจนเธอรีบหันหลังไป เพื่อจัดการศัตรูที่อยู่ด้านหลังแต่สิ่งที่เธอพบกลับมีเพียงความว่างเปล่าพร้อมๆ กับแสงสว่างจ้าวาปขึ้นมาจากด้านหลัง เมื่อเธอหันกลับไปก็พบพวกมันส่วนใหญ่กำลังต่างชะงักจากการแสงสว่างเมื่อครู่ จนทำให้พวกมันสูญเสียการมองเห็นไปชั่วขณะทำให้สถานการณ์ที่เสียเปรียบพลิกกลับในทันที ศาสรีบใช้ดาบสองมือเล่นงานพวกมันที่กำลังเสียท่าลงทีละคนๆ อย่างง่ายดาย จนทำให้พวกมันที่เหลืออยู่หลังประตูบางคนถึงกับถอดสีหน้า
          “โฮ่ เป็นมนุษย์แท้ๆ ทำได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือนี่” อเดลพูดขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตาของตนเอง
          “กะแล้วเชียว...เจ้าพวกนี้มันแค่มีพลังสินะ แต่ประสบการณ์การต่อสู้จริงแทบไม่มีเลย” ศาสคิดในใจเมื่อเห็นพวกที่เหลือได้แต่ยืนนิ่งมองดูพวกของมันถูกจัดการลงทีละคนๆ
          “ไอ้บ้านี่!! ให้มันน้อยๆหน่อย!!” เสียงตะโกนด้วยความเดือดดาลดังขึ้นพร้อมกับเก้าอี้ยาวที่พุ่งออกมาจากด้านใน ต้องขอบคุณเสียงตะโกนของศัตรูเมื่อครู่ที่ทำให้ศาสไหวตัวทันเขาจึงหลบมันได้อย่างฉิวเฉียด
           เมื่อศาสหันไปก็เป็นไปตามคาดเก้าอี้ที่ลอยมาคงเป็นฝีมือของช่ายร่างใหญ่ที่เขาเคยสู้มาก่อนบางทีบานประตูนั่นก็คงเป็นฝีมือของมันเช่นกัน
          “ขอบคุณที่ตะโกนบอกนะช่วยได้เยอะเลย โง่ยังไงก็ยังไง่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนเลยนะ” ดูเหมือนคำยั่วยุของศาสจะใช้ได้ผลจนทำให้มันถึงกับฉุนขาดวิ่งใส่เขาอย่างเสียสติ
          ถึงแม้ศัตรูจะพุ่งหาเขาด้วยความเกรี้ยวกราดแต่ศาสก็ยังคงตั้งยืนนิ่งอย่างเยือกเย็นเพื่อรอโอกาสโจมตีสวนกลับในครั้งเดียว ทันใดนั้นศาสก็รู้สัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติที่ปรากฎขึ้นเบื้องหน้าพร้อมๆ กับจิตสังหารอย่างรุนแรงที่พุ่งเป้ามายังเขา วินาทีนั้นศาสจึงตัดสินใจยกดาบขึ้นมากันอาวุธลับที่พุ่งเข้ามาเอาไว้ได้ แต่นั่นก็ทำให้เขาเสียสมาธิจนเมื่อรู้ตัวอีกทีการโจมตีของชายร่างยักก็พุ่งเข้ามาประชิดตัวของเขาแล้ว ถึงแม้ศาสจะสามารถฉากหลบออกมาได้อย่างฉิวเฉียด แต่ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกชาไปทั้งขาขวา เมื่อเขาเหลือบดูก็พบว่ามันถูกเล่นงานจากอาวุธลับบางอย่างจนเกิดเป็นบาดแผลตัดขนาดใหญ่ขึ้นพร้อมๆกับเลือดที่เริ่มไหลออกมาจนชุ่มไปทั้งขากางเกง เมื่อสังเกตบนพื้นที่อยู่รอบตัวเขาก็พบอาวุธขว้างคล้ายมีดสั้นปักอยู่บนพื้นมันส่องแสงสีแดงอย่างน่าประหลาดก่อนที่มันจะสลายไปในอากาศ
          “บ้าจริง! โดนเข้าจนได้...มันมีอีกคนอย่างนั้นเหรอ”  ศาสพูดพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆ เพื่อค้นหาศัตรูแต่ก็ไร้ซึ่งวี่แวว
          ในขณะที่อเดลกำลังเข้ามาสมทบ เธอก็ถูกพวกมันที่เหลือล้อมเอาไว้จนเธอไม่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ  ทำให้ศาสที่เห็นเหตุการณ์อยู่อดเป็นห่วงเธอไม่ได้ แต่การต่อสู้ที่ยังติดพันอยู่ทำให้เขาไม่อาจเข้าไปช่วยได้เลย แค่หลบหลีกการโจมตีพร้อมกันทั้งสองด้านก็ตึงมือมากอยู่แล้ว
          เพียงไม่กี่อึดใจเสียงร้องก็ดังระงมไปทั่วจนเมื่อศาสเหลือบไปเห็นก็พบเหล่าบรรดาคู่ต่อสู้ของเธอลงไปนอนกองอยู่บนพื้นรอบตัวเธอด้วยความเจ็บปวด จนทำให้พวกมันที่เหลือได้แต่ยืนสั่นไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
          “อะไรกัน...พวกเจ้าช่วยทำให้ข้ารู้สึกสนุกมากกว่านี้หน่อยสิ”  อเดลพูดในขณะที่เธอกำลังเดินเข้าไปหาพวกมันที่เหลืออย่างไม่กลัวเกรง
          พริบตานั้นเองเงาดำหนึ่งปรากฎตัวขึ้นจากมุมอับในขณะที่อเดลกำลังจดจ่อกับศัตรูที่อยู่ตรงหน้า มันทุ่มพลังทั้งหมดเข้าโจมตีเธอจนมือของมันเกิดแสงสีแดงลุกขึ้นโชติช่วง
          “เปรี้ยง!!!” แรงปะทะจากการโจมตีทำให้เกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ แต่สิ่งที่ศัตรูของเธอไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อมันพบว่าการโจมตีสุดแรงของมันกลับถูกเธอปัดออกไปด้วยมือเปล่า พร้อมๆ กับสีหน้าของเธอที่แสยะยิ้มออกมา
          “ข้าจำได้ เจ้าเป็นหัวหน้าของพวกมันสินะ...ข้ากำลังรอเจ้าอยู่เลย”  อเดลพูดพร้อมกับพยายามจับตัวของมันไว้แต่มันก็สามารถปัดและทิ้งระยะห่างออกไปได้
          “ข้าเองก็ไม่ใช่คนชอบใช้ความรุนแรง...บอกมาเถอะว่าใครเป็นคนบงการเจ้ามา”
          “หึ...อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย พลังที่พวกข้าได้รับมาจากท่านผู้นั้นแม้แต่สายเลือดแท้อย่างแกข้าก็สามารถฆ่าได้” ทันทีที่มันพูดจบแสงที่ลุกอยู่บนมือของมันกลับยิ่งสว่างขึ้นกว่าเก่า เป็นสัญญาณว่ามันเค้นพลังทั้งหมดเพื่อจัดการกับเธอ
          “ก็ได้...ถ้างั้นข้าจะถามมันจากเลือดของเจ้าก็แล้วกัน” เมื่อสิ้นเสียงทั้งคู่ต่างวิ่งเข้าใส่กันอย่างไม่คิดชีวิต
 
          อีกด้านหนึ่งของการต่อสู้ ศาสยังคงถูกรุมโจมตีและด้วยอาการบาดเจ็บที่ขาจนทำให้เขาตกเป็นฝ่ายรับเพียงอย่างเดียวถึงแม้ชายร่างยักที่เขาสู้ด้วยจะมีพละกำลังมหาศาลแต่กลับไม่มีฝีมือในการต่อสู้ระยะประชิดการโจมตีที่สะเปะสะปะของมันถูกศาสอ่านทางออกจนหมด เขาจึงใช้ประโยชน์จากมันโดยหลบหลีกไปรอบๆ ตัวมันเพื่อใช้ร่างของมันเป็นที่กำบังจากการลอบโจมตีของศัตรูที่ยังคงซุ่มรอโอกาสอยู่
          เมื่อการโจมตีธรรมดาไม่สามารถทำอันตรายแก่ศาสได้มันจึงรีบถอยห่างทิ้งระยะออกมา เมื่อศาสเห็นดังนั้นเขาก็สามารถคาดเดาการกระทำต่อไปของมันได้ เพราะเขาเองก็คิดจะจบการต่อสู้นี้ลงเช่นเดียวกัน
          “แกตาย!!!” ชายร่างยักพูดขึ้นพร้อมกับพุ่งเข้าใส่ศาส ทันใดนั้นอาวุธขว้างก็ถูกชัดออกมาพร้อมๆ กัน ในพริบตานั้นเองอาวุธขว้างกลับถูกกันเอาไว้ได้ด้วยดาบข้างหนึ่งโดยที่ศาสไม่ได้หันไปมองมันเลย ในขณะเดียวกันการโจมตีจากชายร่างยักก็กำลังพุ่งเข้าใส่เขาราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ ศาสใช้การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเพื่อเบี่ยงหลบจากวิถีการโจมตีของมัน พร้อมๆ กับดาบของเขาวาดผ่านลงไปบนลำตัวของมัน จนมันล้มทั้งยืนในอากาศ
          ในเสี้ยววินาทีนั้นเองเมื่อชายร่างยักษ์ล้มลงเผยให้เห็นร่างของศาสที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง มือของเขาที่ถือดาบอยู่เมื่อครู่กลับเปลี่ยนเป็นมีดสั้นพร้อมกับขว้างมันออกไปยังกองซากตึกที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ทันทีที่มันพุ่งเข้าใส่เงามืดของตัวตึกเสียงกรีดร้องหนึ่งก็ดังขึ้นด้วยความเจ็บปวดก่อนที่จะปรากฎร่างของชายคนหนึ่งออกมาจากความมืด
          “บะ บ้าน่า!! แกรู้ได้ยังไง!?” มันพาร่างที่โชกไปด้วยเลือดโดยมีมีดของศาสปักอยู่ที่ท้องเดินโซเซเดินเข้ามาหาเขา ราวกับว่ามันไม่ยอมรับในความปราชัย 
          “ก็แค่กลยุทธ์ง่ายๆ ถ่วงเวลารอจนแกควบคุมจิตสังหารไม่ได้แค่นั่นล่ะ...”
          “นะ...นี่แก..ปะ..เป็นมนุษย์....จริงๆ งั้นเห..รอ.....” เมื่อสิ้นเสียงพูดร่างของมันก็ล้มลงไปกองกับพื้น เมื่อกำจัดคู่ต่อสู้ของเขาหมดแล้วศาสจึงตัดสินใจรีบไปสมทบกับอเดล ทันใดนั้นเองร่างๆหนึ่งก็ลอยมาตกอยู่ใกล้ๆกับตำแหน่งที่เขายืนอยู่ เมื่อมองร่างนั้นเขาก็พอจะนึกออกมันคือชายในเงาสีดำที่เขาเคยประมือมาก่อน แต่สภาพของมันในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยบาดแผลจนหมดสภาพ
          “หึ...ท่ายอมแต่แรกก็ไม่ต้องเจ็บตัวขนาดนี้หรอก” เสียงจากอเดลดังขึ้นจากทางด้านหน้าจนศาสถึงกับสะดุ้งเขาแทบไม่รู้สึกตัวถึงการมีอยู่ของเธอเลย อเดลไม่รอช้าเธอยกร่างของมันขึ้นมาด้วยแขนที่เพรียวบางของเธอ ดวงตาของเธอเริ่มส่องแสงสีแดงพร้อมๆ กับเขี้ยวที่งอกออกมาจนพ้นริมฝีปาก จนศาสเองยังรู้สึกพรั่นพรึงกับท่าทีของเธอที่เปลี่ยนไป
          ซึ่งนั่นทำให้พวกที่เหลือต่างตื่นตระหนกพากันวิ่งหนีออกไปกันอย่างไม่คิดชีวิตทันใดนั้นเสียงร้องของเครื่องยนต์ก็ดังขึ้น พร้อมๆกับการปรากฏตัวของรถหุ้มเกราะสำหรับลำเลียงกำลังพลสามคันที่ขับฝ่าแนวกำแพงป้องกันเข้ามาจอดดักอยู่ที่ทางออก เมื่อประตูรถถูกเปิดขึ้นกำลังพลหลายสิบนายต่างวิ่งออกมาตั้งแถวหน้ากระดานสปอตไลท์นับสิบตัวถูกเปิดขึ้นส่องมายังพวกเขาทันที จนทั่วทั้งบริเวณกลายเป็นสีขาวสว่างจ้า
          จนพวกมันที่วิ่งออกไป ได้แต่ตื่นตะลึงกับสิ่งที่เกิดตรงหน้าทันใดนั้นเองเสียงคำรามจากดินปืนก็ดังขึ้นกึกก้องเพียงพริบตาเดียวร่างของพวกมันต่างถูกยิงทะลุจนเลือดของพวกมันสาดกระเซ็นไปทั่วอย่างไร้ความปราณี ท่ามกลางความตกใจของทั้งคู่ ศาสรีบดึงมือของอเดลก่อนที่จะพาเธอวิ่งเข้าไปภายในโบส์ถทันทีก่อนที่พวกเขาจะตกเป็นเป้าการโจมตี โดยทิ้งร่างของชายที่เป็นหัวหน้าของพวกมันพร้อมกับปริศนาในเรื่องราวครั้งนี้ไว้เบื้องหลัง
          ท่ามกลางความตื่นตระหนกและเสียงกรีดร้องที่ดังไปทั่วบริเวณ กองกำลังนั้นต่างรุกคืบเข้ามาเป็นแถวหน้ากระดาน หากยังมีใครที่ยังมีชีวิตหลงเหลืออยู่จะถูกพวกมันฆ่าอย่างไร้ปราณี โดยไม่ฟังคำอ้อนวอนใดๆ พวกมันเดินเหยียบย่ำกองซากศพของคนที่มันเพิ่งฆ่าไปอย่างไม่ไยดี โดยมีศาสและอเดลแอบดูสถานการณ์อยู่ด้านหลังประตูโบส์ถ
          “ฮึ่ม!! พวกมันอีกแล้วเหรอไอ้พวกศาสนจักร...” อเดลพูดขึ้นอย่างเดือดดาลทันทีที่เธอสังเกตเห็นตราสัญลักษณ์ไม้กางเขนที่ถูกประดับลงบนชุดของพวกมัน
          “เวลาไม่มีแล้ว เรารีบไปกันเถอะ” อเดลพูดขึ้นก่อนที่เธอจะพาศาสเดินลึกเข้าไปภายในจนพบแท่นบูชาขนาดใหญ่ที่ทำจากหินแกะสลักแต่มันกลับถูกทำลายจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้เห็นสิ่งที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ภายใน มันคือเส้นทางสู่ห้องลับใต้ดิน
          “โอ้โห....” ศาสพูดขึ้นอย่างลืมตัวเมื่อแสงจากไฟฉายเผยให้เห็นถึงสิ่งที่อยู่ภายใน มันคือโถงทางเดินขนาดใหญ่ที่ถูกตกแต่งไปด้วยงานปูนปั้นรูปแบบศิลปในยุคกลาง ใจกลางของห้องนั้นกลับมีโลงศพที่ถูกสลักขึ้นจากหินอ่อนอย่างสวยงามตั้งอยู่เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆก็พบร่องรอยของการถูกลื้อจนฝาโลงเสียหาย แต่ทว่าภายในกลับว่างเปล่า
          “นั่นคือผืนดินแผ่นสุดท้ายของข้าเอง....ผู้คนที่รักข้าเคยทำไว้ให้เมื่อนานมากแล้ว....” อเดลพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่แฝงไปด้วยความเหงา
          “...มันคือโลงของเธอสินะ” ศาสพูดขึ้นก่อนที่ทั้งคู่จะเดินจากมันไป
เมื่อเดินลึกเข้ามาอีกพวกเขาก็พบทางเดินแคบๆ แตกแขนงกันออกไปราวกับเขาวงกต แต่อเดลก็สามารถนำทางได้อย่างชำนาญจนในที่สุดทั้งคู่ก็มายืนอยู่ ณ ปลายทางที่เป็นทางตัน
          “อะไรกัน...นี่เธอแก่จนเลอะเลือนแล้วเหรอ”
          “นี่เจ้า มาพูดแบบนี้ต่อหน้าหญิงสาวได้อย่างไร...อย่างเจ้าน่ะดูอยู่เงียบๆ เถอะ” เมือพูดจบเธอก็ใช้มือกดลงบนอิฐที่อยู่บนกำแพงในตำแหน่งต่างๆ จนเกิดเสียงคล้ายสลักดังขึ้นก่อนที่เธอจะใช้มือดันไปยังผนังด้านหนึ่งจนกำแพงหมุนเผยให้เห็นถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง มันคือกล่องไม้กล่องเล็กๆใบหนึ่งที่ถูกสลักด้วยอักษรโบราณทั่วทั้งใบ
          ทันใดนั้นทั้งคู่ต่างได้ยินเสียงฝีเท้าคนจำนวนมากใกล้เข้ามา อเดลจึงรีบหยิบมันขึ้นมาพร้อมกับรีบพาศาสหนีออกไป ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงปลายทาง
          “...นี่เราออกมาอีกทางอย่างนั้นเหรอ” ศาสถามขึ้นเมื่อเห็นสภาพรอบๆที่แปลกตาไป
          “ใช่เราออกมาอีกด้านหนึ่ง ข้าออกแบบไว้ก็เพื่อการนี้ล่ะ กำแพงพวกนี้คงจะถ่วงเวลาพวกมันได้สักพักหนึ่---”
          “เจอแล้วพวกมันอยู่ตรงนี้!! แกตาย!!!” ยังไม่ทันจะพูดจบกองกำลังของศาสนจักรก็พบพวกเขาเข้าเสียแล้ว กระสุนนับไม่ถ้วนถูกสาดมายังพวกเขาอย่างไม่ปราณี  
          “ไอ้เจ้าพวกนี้!!” อเดลพูดขึ้นอย่างหัวเสีย พร้อมกับโจมตีใส่เสาหินที่อยู่ด้านหน้าจนเกิดรอยร้าวขึ้นก่อนที่มันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จากแรงกดที่มันรับไว้ เมื่อสูญเสียเสาที่คอยค้ำน้ำหนักไปเพดานของโถงนี้ก็ไม่อาจทรงตัวได้อีกต่อไปมันจึงถล่มลงมาปิดทางของพวกมันไว้ เมื่อได้โอกาสทั้งคู่จึงรีบหนีออกมา  
          ในที่สุดพวกเขาก็มาจนถึงปลายทางก็พบช่องเล็กๆ ช่องหนึ่ง อเดลจึงดันแผ่นหินที่ปิดไว้อยู่ก่อนที่จะลอดช่องนั้นออกมา ศาสรีบหันไปสำรวจรอบๆ ทันทีที่เขาออกมาได้ก็พบว่าเขาอยู่ท่ามกลางสุสานขนาดใหญ่ และป้ายหินเมื่อครู่ก็คือป้ายของหลุมศพนั่นเอง
          “คิดถูกจริงๆ ที่มารอพวกแกอยู่ที่นี่...” เสียงจากชายคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาในขณะที่เงาของเขาค่อยๆ ทอดยาวมายังทั้งคู่ แสงไฟจากสุสานเผยให้เห็นชายรูปร่างปราดเปรียวคนหนึ่งในชุดโอเวอร์โคทสีขาวที่มีลวดลายแปลกตา จนเมื่อกลิ่นเลือดที่คอยคละคลุ้งมากับมัน ในที่สุดศาสก็เข้าใจว่ามันไม่ใช่”ลาย”แต่เป็น”เลือด” จากเหยื่อของมัน นี่เป็นครั้งแรกของเขาที่สัมผัสได้ถึงมนุษย์ที่มีกลิ่นอายที่อันตรายขนาดนี้
          “มัวแต่รออะไรล่ะ...รีบๆเข้ามาได้แล้ว ฉันเหม็นเลือดสกปรกๆ ของแวมไพร์อย่างพวกแกจะแย่แล้ว” ชายคนนั้นกล่าวด้วยท่าทีที่ปราศจากความกลัว  
          ถึงแม้ทั้งคู่จะรู้ดีว่าควรจะหนีออกจากสถานที่นี้ให้เร็วที่สุดเพราะพวกเขาเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วก่อนที่กองกำลังที่เหลือจะมาถึงและเข้าปิดล้อมพวกเขาไว้ แต่สิ่งที่ทั้งคู่รับรู้ได้ก็คือไม่ว่าจะหนีหรือจะสู้ก็เป็นเรื่องที่ยากพอกันโดยเฉพาะศาสที่ขาขวาได้รับบาดเจ็บแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้
          “นั่นสิ...รีบทำให้มันจบๆ ไปดีกว่า ข้าเองก็เบื่อกับสุนัขของศาสนจักรจนแทบจะอาเจียนแล้ว” อเดลกล่าวเสียงแข็ง ในตอนนั้นเองมือของเธอก็เกิดเปรวไฟสีเลือดลุกโชนขึ้นมันเริ่มเปลี่ยนรูปร่างไปจนไม่เหลือเค้าเดิมมันมีสีแดงเลือดและมีเล็บที่ยาวเรียวราวกับกรงเล็บของสัตว์ป่าพร้อมด้วยกลิ่นอายบางอย่างที่แผ่ออกมาจากมันอย่างเข้มข้นจนทำให้บรรยากาศรอบๆ มือนั้นถึงกับสั่นไหว
          “เจ้าดูอยู่เฉยๆ ตรงนั้นล่ะเดี๋ยวมันก็จบแล้ว...” อเดลพูดขึ้นเมื่อเห็นศาสเตรียมทั้งท่าจัดการกับมัน ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงร่างของเธอก็หายไปต่อหน้าเขาพร้อมกับสายลมแรงพัดผ่านตัวของเขาไป
          เพียงพริบตาเดียวร่างของอเดลก็ปรากฏขึ้นด้านหลังของมัน จนแม้แต่ศาสเองยังมองตามความไวของเธอไม่ทันในพริบตาที่เธอเข้าโจมตีนั้นมันสามารถเบี่ยงตัวหลบได้อย่างฉิวเฉียด  ก่อนที่มันจะชักมีดสั้นรูปทรงประหลาดออกมาจากแขนเสื้อทั้งสองข้าง
          ทั้งคู่ต่างใช้ความเร็วเข้าห้ำหั่นกัน จนปรากฎเพียงแสงสะท้อนจากคมอาวุธที่ต้องกับแสงไฟเท่านั้นพร้อมด้วยเสียงจากการปะทะที่ดังขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนภายในเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น จนในที่สุดมันก็ไม่สามารถตามความเร็วจากการโจมตีของเธอได้ทัน มันจึงหาโอกาสเพื่อถอยออกมาตั้งหลัก แต่อเดลไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นด้วยความเร็วของเธอ มันจึงไม่มีทางหนีพ้นจากการจู่โจมของเธอได้เลย จนศาสสังเกตุเห็นบาดแผลที่เริ่มปรากฏขึ้นตามตัวของมันและเลือดที่สาดกระเซ็นอยู่บนพื้นรอบๆ การต่อสู้ของทั้งคู่ แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาราวกับไร้ซึ่งความเจ็บปวด
          “จะยอมแพ้ก็รีบทำซะตั้งแต่ตอนนี้เถอะ ก่อนที่ข้าจะพลั้งมือฆ่าเจ้าซะ!!”
          “หึ! ห่วงตัวแกเองดีกว่ามั้ง อีกเดี๋ยวพวกฉันก็แห่กันมาแล้ว”
          คำพูดดังกล่าวสร้างความกดดันให้กับอเดลไม่น้อยหากไม่รีบจัดการกับมันให้เร็วที่สุดโอกาศหนีของพวกเขาก็จะยิ่งน้อยลงทุกที สิ้นเสียงพูดการโจมตีของเธอยิ่งรุนแรงและรวดเร็วขึ้นจนชายผู้นั้นแทบไม่อาจต้านทานการโจมตีของเธอได้อีกต่อไป ในที่สุดมันก็พลาดท่าร่างของมันถูกอเดลโจมตีจนกระเด็นไปกระแทกเข้ากับป้ายหลุมศพที่อยู่รอบข้างจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ  อเดลไม่รอช้าเธอรีบพุ่งเข้าไปซ้ำ กรงเล็บของเธอพุ่งตรงไปยังหัวใจของมันอย่างรวดเร็วหมายปลิดชีพในครั้งเดียว
          “อ๊ะ!? เกิดอะไรขึ้น” ทันทีที่อเดลตั้งสติได้เธอกลับรู้สึกว่ายิ่งห่างไกลจากเป้าหมายออกไปทุกที ในที่สุดเธอก็เข้าใจศัตรูของเธอไม่ได้ขยับไปไหนเลยแม้แต่น้อยแต่ทว่ากลับเป็นตัวของเธอที่ถูกพลังมหาศาลบางอย่างเข้าปะทะจนกระเด็นออกไป
          เมื่ออเดลรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าเธอนอนกองอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยเลือดของเธอ ซึ่งดูจากรอยเลือดที่ครูดไปตามพื้นเธอน่าจะกระเด็นออกมาไกลทีเดียว ถึงแม้เธอพยายมจะลุกขึ้นแต่ร่างกายกลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง จนเธอไม่อาจประคองกายขึ้นได้อีก
          “...ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาเสียท่าแบบนี้...มันตั้งใจวางอุบายจัดการกับข้าในจังหวะที่เข้าไปปลิดชีพมันสินะ...” ถึงแม้จะเจ็บใจแต่เธอก็ทำได้แค่มองดูศัตรูของเธออยู่บนพื้นเท่านั้น ร่างกายของเธอเริ่มสั่นเพราะอุณหภูมิที่ลดลงอย่างรวดเร็วจากการเสียเลือดมากเกินไป
          “โฮ่...โดน ”เลือดนักบุญ” เข้าไปยังไม่ตายอีกเหรอเนี่ย” ชายคนนั้นกลับลุกขึ้นมาด้วยท่าทางสบายๆ มันจัดเครื่องแต่งกายเล็กน้อยก่อนที่จะเดินเข้าไปหาเธออย่างใจเย็น ศาสไม่รอช้าเขาใช้โอกาศนี้เข้าโจมตีมันจากด้านหลัง แต่การโจมตีของเขากลับถูกหยุดลงได้อย่างง่ายดาย มันโจมตีสวนกลับอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันที่ศาสจะได้ลงดาบ หมัดของมันก็กระแทกเข้ากับตัวของศาสเข้าอย่างจังจนเขากระเด็นล้มลงไป
          “เออ...ฉันไม่สนใจมนุษย์หรอกนะ ไสหัวไปซะฆ่าแกไปก็ไร้ประโยชน์” น้ำเสียงที่เย็นชาของมัน ทำให้ความทรงจำบางอย่างของศาสผุดขึ้นมา จนในที่สุดเขาก็จำได้ เขาเคยพบกับมันมาก่อนหน้านี้ มันคือชายที่เข้ามาโจมตีเขาตรงท่าน้ำนั่นเอง
          “ชั้นไม่สนว่าแกจะเป็นใครหรือมีจุดประสงค์อะไร แต่ครั้งนี้ชั้นจะไม่ยอมเสียท่าให้แกอีก” ศาสพูดพร้อมกับใช้มืออีกข้างชักดาบออกมา
          “หืม...แกพูดอะไรน่ะ” คำพูดอย่างไม่รู้ร้อนของมันทำให้ศาสถึงกับของขึ้นเขาพุ่งเข้าใส่อย่างไม่คิดชีวิต พร้อมกับใช้ดาบกระหน่ำฟาดฟันคู่ต่อสู้อย่างไม่ยั้ง แต่มันก็สามารถปัดป้องการโจมตีของเขาได้ทั้งหมด เมื่อได้เข้าปะทะกันชั่วครู่หนึ่งทำให้ศาสจึงเข้าใจทันทีถึงประสบการณ์และฝีมือของคู่ต่อสู่ที่เหนือกว่าเขามากทั้งการเคลื่อนไหวที่เป็นไปอย่างรัดกุมโดยไม่เปิดช่องว่างและความเยือกเย็นจนของมัน จนทำให้เขาไม่สามารถอ่านทางของคู่ต่อสู้ได้เลย
          “น่าเบื่อ...” มันพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทันใดนั้นรูปแบบการโจมตีของมันก็เปลี่ยนไปทั้งรวดเร็วและแม่นยำ ขึ้น มันเริ่มเข้ารุกไล่เข้ามาอย่างต่อเนื่องในที่สุดดาบของศาสก็ไม่อาจป้องกันตัวของเขาจากคมมีดของศัตรูได้อีกต่อไป ร่างกายส่วนต่างๆ ของเขาถูกโจมตีจากคมมีดที่โหมเข้าใส่ จนร่างของเขาเริ่มอาบไปด้วยเลือด เมื่อรู้ว่าไม่อาจต้านทานการโจมตีของมันได้เขาจึงตัดสินใจถอยออกมา
          “ฉันจะเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ถอยไปซะฉันไม่อยากเสียเวลากับแกอีก...” มันพูดขึ้นพร้อมกับมองไปยังอเดลราวกับว่ามันไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาตั้งแต่แรกแล้ว
          ในสถานการณ์ที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ ที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้คือชายที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมาจนตัวเขาเองยังไม่เห็นทางชนะในศึกครั้งนี้ และอเดลที่ยังคงนอนนิ่งจนไม่รู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ สิ่งต่างๆเริ่มประดังเข้ามาในหัวของศาสมากซะจนเขาอยากหนีออกไปให้พ้น
          “หากนายเป็นอะไรไปล่ะก็ชั้นไม่ยอมแน่ๆ เข้าใจไหม!!” คำพูดหนึ่งที่ดังก้องขึ้นในหัวของศาสช่วยเตือนสติของเขาขึ้นอีกครั้ง มันคือคำพูดสุดท้ายที่เขาได้คุยกับรีอานั่นเอง  
          “เฮ้อ...ขนาดเป็นเจ้าหญิงนิทรายังมาสั่งผมอีกนะ...” ศาสคิดในใจจนตัวเขาเองอดยิ้มออกมาไม่ได้
          “ผมจะจัดการมันและกลับไปช่วยเธอให้ได้” นี่คือสิ่งเดียวที่เขาคิด ศาสกำดาบของเขาเอาไว้แน่นพร้อมกับเหลียวมองไปที่ด้ามของมันก็พบว่าพลังงานในดาบเหลือน้อยเต็มที อีกไม่ถึงหนึ่งนาทีมันคงไม่อาจคงรูปเอาไว้ได้
          “คงรูปอย่างนั้นเหรอ...” ศาสพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฎที่มุมปากก่อนที่เขาจะวิ่งเข้าหามันพร้อมกับคาบดาบไว้ในปาก วินาทีนั้นเองมีดที่อยู่ในซองบนเสื้อถูกชักออกมาอย่างรวดเร็วและขว้างไปยังเป้าหายอย่างต่อเนื่อง
          “เข้าใจล่ะ ฉันจะฆ่าแกซะ” มันพูดพร้อมกับใช้อาวุธของมันปัดมีดที่ถูกขว้างมาอย่างง่ายดายจนในที่สุดศาสก็เข้าใกล้ถึงระยะเป้าหมาย เขาปล่อยดาบที่คาบไว้ออกก่อนที่มือทั้งสองข้างจะพุ่งขึ้นมาสวมจับอย่างรวดเร็วเขาทุ่มพลังทั้งหมดฟันแสกหน้าของคู่ต่อสู้
          แต่การเคลื่อนไหวและกลยุทธ์ที่ศาสใช้ได้ถูกอ่านขาดแต่แรกแล้วมีดของมันถูกยกขึ้นมากันก่อนที่เขาจะได้วาดดาบเสียอีก ในวินาทีนั้นเองสิ่งที่เหนือความคาดหมายก็เกิดขึ้นเมื่อใบดาบเหล็กกล้าของเขากลับกลายเป็นสายหนังมันจึงรูดผ่านการป้องกันลงไปอย่างง่ายดายได้
          “ตอนนี้ล่ะ!!!” เพียงเสี้ยววินาทีที่ศาสกดสวิทย์ มันก็แปรสภาพมาเป็นใบดาบอันคมกริบขึ้นอีกครั้งก่อนที่มันจะเข้าเชือดเฉือนลงบนร่างศัตรูเข้าอย่างจังจนดาบของเขาหักคาร่างของมันพร้อมกับเลือดที่กระเซ็นใส่ใบหน้าของเขา
          “บัดซบ!!! แกทำได้ยัง...ไง” มันเซออกไปก่อนที่จะล้มทั้งยืนลงกับพื้น  เมื่อศาสเห็นดังนั้นด้วยสภาพที่จิตใจและร่างกายที่ฝืนจนมาถึงขีดสุดจนทำให้เขาถึงกับทรุดลงไปกับพื้น
          “อเดล...” นั่นคือสิ่งแรกที่เขาคิด เขารีบเดินเข้าไปเพื่อดูอาการของเธอ
          “หยุด! อย่าขยับ!!!” เสียงตะโกนหนึ่งดังขึ้นเมื่อศาสหันไปโดยรอบก็พบกับกองกำลังของศาสนจักรกำลังตีกรอบล้อมพวกเข้าจากทุกสารทิศ ดวงไฟนับสิบดวงต่างส่องมาที่เขาจนทำให้แทบไม่เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ด้วยกำลังและอาวุธที่มีอยู่เขารู้ตัวดีว่าไม่มีทางหนีรอดจากพวกมันได้เลย
          “รีอา...ขอโทษนะ” ศาสพูดขึ้นอย่างเจ็บปวดชะตากรรมของเขาคงไม่ต่างอะไรกับพวกแวมไพร์ที่ถูกกำจัดไปก่อนหน้าตอนนี้ปืนนับสิบกระบอกได้ถูกเล็งมายังเขาเพียงแค่นิ้วเดียวพวกมันก็สามารถปลิดชีวิตของเขาได้อย่างง่ายดาย
          ทันใดนั้นเองสายลมที่อยู่โดยรอบก็โบกสะบัดจนฝุ่นที่อยู่บนพื้นถูกพัดปลิวฟุ้งไปทั่วพร้อมด้วยเสียงใบพัดดังกึกก้อง เมื่อพวกมันส่องไฟขึ้นไปก็พบเฮลิคอปเตอร์สีดำสามลำกำลังบินอยู่เหนือหัวพร้อมด้วยอาวุธหนักที่เล็งมายังพวกมัน
          “ประกาศ นี่คือกองกำลังป้องกันตนเอง หน่วยงานของท่านไม่มีสิทธิปฏิบัติการในพื้นที่นี้ หากขัดขืนทางเราจะใช้อาวุธหนักเข้าโจมตีทันที ย้ำ” เสียงจากกองกำลังป้องกันตนเองแจ้งเตือน ทำให้พวกมันชะงักไปครู่ใหญ่ พร้อมด้วยเสียงเซ็งแซ่ที่ดังขึ้นในหมู่พวกมันด้วยความสับสนก่อนที่พวกมันจะถอนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ศาสได้รับรู้ก่อนที่เขาจะหมดสติไป
 
          อีกด้านหนึ่งในมุมมืดของเมืองมีชายผู้หนึ่งเดินโซเซไปตามถนนเรียบแม่น้ำในยามวิกาลที่ไร้ซึ่งผู้คน เลือดที่ยังคงไหลออกมาจากปากแผลได้หยดลงบนพื้นเป็นทางยาวตามเส้นทางที่เขาก้าวผ่าน จนในที่สุดเขาก็มาหยุดยืนอยู่หน้าโรงเก็บเรือขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
          “ของที่ข้าให้ต้องการ เจ้าได้มันมาหรือไม่” ในความมืดได้ปรากฎร่างของชายผู้หนึ่งขึ้น
          “ขะ...ขอโทษด้วยครับท่าน ผม พะ พลาดไปแล้ว...อยู่ดีๆ พวกศาสนจักรมันก็บุกเข้ามาสังหารพวกเราครับ...จนเหลือเพียงผมคนเดียวที่รอดมาได้...” ชายที่บาดเจ็บพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาแสดงถึงความหวาดกลัวต่อผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขา
          “....แกเหนื่อยมามากแล้วพักซักหน่อยแล้วกัน” สิ้นเสียงพูดชายผู้นั้นก็ล้มลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด เลือดในกายของเขากลับกลายผลึกมันพุ่งทะลุออกมาจากร่างราวกับหอกนับสิบเล่ม จนตัวของเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา