ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.82K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

24) บทที่ ๒๔: เด็กหญิงสามคนเปิดศึก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๒๔

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

เด็กหญิงสามคนเปิดศึก

                วิญญาณนางยักษ์ล่องลอยไปเรื่อยๆ … งานนี้นางพลาด เพราะฉะนั้นนางก็หมดประโยชน์ไม่มีความจำเป็นอะไรกับโลกคนเป็นอีกต่อไป แต่ความสงสัยก่อนจะมาทำร้ายพวกศรีนั้นทำให้นางไปสู่ภพหน้าไม่ได้

                “เฮ้อ… ตายแล้วก็ไปดีกว่า” ถึงจะสงสัยก็ตามแต่นางก็ไม่อยากราวีผู้ที่ส่งนางมาให้ตอบสิ่งที่นางสงสัย ตายแล้วก็แล้วกันไป เป็นเรื่องปรกติของจุดจบการต่อสู้ รอดชีวิตคือชนะ เสียชีวิตก็คือแพ้

                นางยักษ์ลอยเหนือพื้นมองท้องฟ้ายามเช้า ก่อนไปสู่ภพหน้าหรือชดใช้กรรมในนรกอันมืดมิดนั้นนางก็ขอให้ได้มองท้องฟ้าเป็นภาพสุดท้ายก่อนจะไปเจอการลงโทษในนรก การฆ่าสัตว์หรือทำร้ายก็ก่อกรรมได้เช่นกัน นางไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลยไม่กังวล อย่างไรเสียนางก็ต้องชดใช้กรรมที่ไม่ได้ตั้งใจด้วยอยู่แล้ว

                ดวงอาทิตย์แสนอบอุ่นนั้นช่างเจิดจ้านัก ท้องฟ้าก็สว่างไสว วิญญาณตนอื่นก็ล่องลอยไม่ต่างจากนาง บางตนก็ยิ้มให้นางยักษ์แต่นางทำเป็นไม่สนใจ ทำให้วิญญาณที่เหลือหัวเราะเล่นเอานางหน้าแดงเพราะอาย

                ถ้าเป็นแบบนี้นางก็มีความสุขแล้วล่ะ…

                “…”

                นางยักษ์ยิ้มบางๆ

                วาบ…

                วิญญาณนางยักษ์สลายเป็นละอองขึ้นไปบนท้องฟ้า เป็นช่วงเดียวที่สายลมพัดมาเบาๆ หอบเอากลีบดอกไม้ปลิวตามแรงลมว่อนไปทั่ว

                ภาพนั้นช่างงดงามเหลือเกิน…………

 

                ศรีกับเพื่อนคนอื่นๆ เดินทางมาถึงเรือนของมณฑา ลักษณะเป็นแบบสมัยรัชกาลที่ ๕ ทางลาดเป็นหินอ่อนเว้นทำทางเป็นน้ำมีกระเบื้องเป็นพื้นเดิน มีบ่อน้ำพุทางขวามือกระจายน้ำต้องแสงอาทิตย์วิบวับ ดอกไม้ฝั่งเอเชียและตะวันตกเลือกจัดวางได้เหมาะสวยงามลงตัวดี ศรีมองรอบๆ อย่างตื่นเต้น เธอพยายามอดกลั้นไม่ให้หยิบโทรศัพท์มาถ่ายแม้ร่างกายจังยังเจ็บอยู่ก็ตาม สีหน้าที่ไม่ดีของเธอทำให้ว่าวต้องคอยลูบหลังตลอด

                “ถ้าอย่างไรก็พักดื่มชาเถิด ประเดี๋ยวฉันจะให้คนรับใช้นำขนมมาให้นะ” มณฑาเอ่ยเมื่อเข้ามาในเรือน เด็กๆ พยักหน้าแล้วเลือกที่นั่งอย่างเงียบๆ

                สักพักคนรับใช้นำขนมมาให้ ขนมที่นำมาเป็นของไทยและทางตะวันตก กลีบลำดวน ถ้วยฟู โอเรโควี่ ซาวิน แมเดเลน ฯลฯ และอีกหลากหลายที่ทำให้เด็กๆ เผลอทำน้ำหกจากปาก ปักเป้ายกมือขึ้นเพื่อที่จะถามมณฑาซึ่งเดินกลับมาแล้ว นางยิ้มพลางมองเขา

                “เอ่อ ท่านมณฑาครับนี่ขนมรองรับหรือจัดงานเลี้ยงครับเนี่ย” ปักเป้าเอ่ยพร้อมกับชี้นิ้วไปทางขนมสองประเทศ มณฑาหัวเราะพลางโบกพัดไปมาก่อนจะตอบ

                “รองรับสิ! แหม เจอเพียงนี้น้ำลายยืดเชียว” คำนั้นทำให้เด็กๆ บางคนที่เผลอทำน้ำลายยืดจากปากต้องรีบเช็ด ยิ่งทำให้นางหัวเราะมากกว่าเดิม บางคนก็หน้าแดงเพราะแสดงความน่ารังกียจให้นายิกาผู้สูงศักดิ์เห็น

                “พวกเธอก็ทานไปก่อนละกัน ฉันจะไปเยี่ยมอรัญญิก”

                “ครับ/ค่ะ!”

                ไม่มีใครเอ่ยรั้งไว้ เด็กๆ แม้จะหิวโซเพราะยังไม่ได้ทานอาหารมื้อเช้าแต่พวกเขาก็ใช้ส้อมตักทานทีละชิ้นเพื่อไม่ให้เสียมารยาท แม้บางคนจะไม่อยากทานแต่ก็ตักเพื่อไม่ให้เสียมารยาทอีกเช่นกันแต่ไปมาๆ กลับทานหลายๆ ชิ้น ท่าทางเอร็ดอร่อยของเด็กๆ ทำให้คนรับใช้อมยิ้มอย่างเอ็นดู

                จะมีแต่ศรีที่ลอบมองมณฑาซึ่งกำลังเดินออกไป นางรู้สึกถึงสายตาจึงชะงักแล้วหันไปยิ้มให้เธอ รอยยิ้มนั้นไร้ซึ่งอันตราย ทำให้ศรีผ่อนคลายลงได้

                กระนั้นเธอก็ต้องเตรียมใจไว้ก่อน

 

                เด็กๆ มานั่งตรงศาลากว้างตรงหลังเรือน แม้จำนวนจะมากแต่ศาลาก็กว้างพอให้อยู่ได้สบายๆ โดยไม่ต้องนั่ง นอน ยืนเบียดเสียดกัน เด็กผู้ชายบางคนรวมกลุ่มออกไปข้างนอกเพื่อซื้อของ ที่เหลือจึงนั่งเล่นไปเรื่อยๆ

                และแล้วพวกเขาก็กลับมา พงสณะยิ้มแฉ่งมาแต่ไกลพลางโบกไม้โบกมือด้วย ศรีรู้สึกว่าใบหน้ามีเส้นกระตุกแปลกๆ แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจพงสณะ

                “ศรี! ลองดื่มปะ น่าสนุกดีนะ” พงสณะเอ่ยเมื่อมาถึงพลางหยิบขวดน้ำเล็กๆ ใส่ของเหลวสีม่วง ศรีมองมันอย่างสงสัยพงสณะจึงตอบสายตานั้น เพื่อนๆ คนอื่นจึงมาล้อมรอบเพื่อดูด้วย

                “เจ้านี่คือยาเปลี่ยนเพศน่ะ มีฤทธิ์ได้ประมาณ ๑ วันต่อหนึ่งหยด”

                “ข้าเข้าใจแต่ซื้อมาทำไม?” ขนมชั้นถามพลางกอดอก พงสณะยิ้มชอบกลและตอบ

                “เอ่อ… ไว้หาที่เงียบๆ เดี๋ยวฉันจะตอบนะ” พงสณะเอ่ยด้วยความกังวลกับสายตาแคลงใจของศรีที่มองมา เพราะเหตุที่เขาซื้อยามานั้นมันเกี่ยวกับตัวเธอ

                “ตอบมาเดี๋ยวนี้เลยนะ” ขนมชั้นไม่ได้เอ่ยแต่เป็นศรีต่างหาก พงสณะก้าวถอยหลังเมื่อเธอเข้ามาหา

                “ม่ะ มันไม่มีอะไรหรอกจ้ะ ฉันก็แค่พูดไปเรื่อยแหละ…”

                “จริงรึ? ไม่น่าใช่เนอะ หน้านายมันซีดๆ นะ” ศรียิ้มกริ่ม รังสีสังหารแผ่ปกคลุมทำให้คนอื่นๆ ถอยออกห่างทิ้งเพื่อนตนเผชิญหน้ากับเด็กหญิงเกล้ามวยผม พงสณะจนมุมเมื่อเขาถอยจนติดกับเสาศาลา… ไม่มีที่หนีแล้ว……

                “เอ่อ… เค้าเพิ่งนึกได้ว่ามันมีขอตัวก่อนนะ!” พูดจบเขาก็ไม่รอช้าที่จะวิ่ง ขาของศรีฟาดเข้ามาแต่ไม่โดนเพราะพงสณะก้มตัวแล้วรุดหนีออกไปก่อน ศรีไล่ตามพงสณะไป ทำให้เพื่อนๆ หัวเราะ บางคนอย่าง กลีบเย้า ดินขาวก็ส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยหน่าย

                ไม่นานนัก ศรีก็ลากร่างไร้วิญญาณของพสณะกลับมา เธอพยุงร่างบอบช้ำก่อนจะปล่อยนอนตรงพื้นเมื่อมาถึง …แถบจะกระอักเลือดเลยทีเดียว เฉาก๊วยและเพื่อนๆ คนอื่นมองสภาพศพ (?) ด้วยความหวาดกลัว เฉาก๊วยกระซิบกับ ขนมชั้น

                “ฉันขอตั้งโหมดให้ศรี”

                “อะไร?”

                “ศรีโหมดโหดสังหาร!”

                ป้าบ!

                ขนมชั้นตบศีรษะเฉาก๊วยด้วยความหมั่นไส้ สถานการณ์คอขาดบาดตาย (??) ยังเล่นได้อีก

                 ศรียิ้มน่าขนลุกพร้อมกับใช้เท้าเหยียบตรงเป้ากางเกงแล้วกดๆ เข้าไปทำให้เด็กชายฟื้นคืนชีพอีกครั้ง

                “พ่ะ พอแล้วจ้า! เดียวน้องเค้าตายนะ!!”

                “หึๆ ระหว่างน้องเอ็งกับตัวเอง เอ็งจะเลือกอะไร”

                “สองอย่างจ้า…” พงสณะแสร้งทำเป็นบีบน้ำตาเพื่อให้เธอเห็นใจ แต่ศรีไม่เขลาขนาดนั้นเธอจึงกระแทกส้นเท้าใส่เป้ากางเกงอย่างไม่ปรานี พงสณะดิ้นไปมาพลางเอ่ย

                “พอแล้ว… ตัวเอง… เค้าบอกก็ได้” คำตอบนั้นทำให้ศรียิ้มอย่างพอใจก่อนจะชักเท้ากลับแล้วพยุงพงสณะไปนั่งบนเก้าอี้หลังจากนั้นสักพักเขาก็ตอบ

                .

                .

                .

                “อ๋อ… เป็นอย่างนี้นี่เอง หึๆ อยากเห็นฉันเป็นผู้ชายว่างั้น?”

                “ขอรับ” พงสณะตอบกลับทีเล่นทีจริง ศรีพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะเอ่ย

                “งั้นลองก็ได้”

                “จริงอะ!” พงสณะเอ่ยอย่างดีใจ จู่ๆ รพิก็เข้ามากอดคอเขาแล้วกล่าว “พี่พงสณะก็ดื่มด้วยสิ ผมเองก็อยากเห็นพี่เป็นผู้หญิงเหมือนกันนะ”

                “นั่นสิๆ” ซีอาห์เข้ามาแทรก คนอื่นๆ ก็เริ่มเข้ามา

                “งั้นให้ศรีดื่มเป็นแรกเนอะ เพราะถ้าดื่มหมดทุกคนก็ลำบากน่ะสิ” ยุพินกล่าว เพื่อนๆ เห็นด้วยจึงพยักหน้า ว่าวนึกสนุกขึ้นมาจึงเอาด้วย

                “ดื่มอย่างเดียวมิได้ ให้ท่านพี่ศรีแต่งตัวเป็นผู้ชายด้วยดีไหมเจ้าคะ?”

                “เดี๋ยวๆ ชักจะไปกันใหญ่แล้ว พี่เองก็อยากลองนะ แต่ผมพี่มันยาวขนาดนี้ถึงจะเปลี่ยนเป็นผู้ชายหน้ามันก็ไม่เปลี่ยนหรอก”

                “งั้นก็ตัดสิ” แววไพรเอ่ยล้อเล่นแต่ทำให้ศรีน้ำตาแทบไหล แป้งมันเด็กหญิงสวมเสื้อกระโปรงสีเขียวเอ่ยอย่างเห็นพ้อง

                “เห็นด้วย! ยาวขนาดนั้นตัดออกก็ได้นี่ เดี๋ยวมันก็ยาวอีกนั่นแหละ”

                และแล้วปฏิบัติการเปลี่ยนเพศ (?!) ก็เริ่มขึ้น ศรีชี้หน้าพงสณะพลางคิดในใจว่าเป็นเพราะเขานั่นแหละที่ทำให้เธอโดนแบบนี้ เด็กๆ ลากศรีไปแต่งตัวโดยเพื่อนผู้หญิงของตัวเองจัดให้ ส่วนผู้ชายก็ออกไปรอดู

                แววไพรขอคนรับใช้ยืมห้องเพื่อแต่งตัวให้ศรี คนรับใช้ไม่คัดค้านปล่อยให้ยืมห้องไปเล่นแต่งตัวตุ๊กตาได้ตามสะดวก (?)

                มณฑาลอบมองเหตุการณ์อย่างขบขัน จริงๆ แล้วนางมาแอบดูเพราะการได้เห็นเด็กๆ เล่นกันนั้นทำให้นางรู้สึกดีบอกไม่ถูก

                ทำให้นึกถึงช่วงที่นางยังเป็นเด็กๆ ภาพซอ อรัญญิกและพินทุสมัยยังเด็กผุดขึ้นมาราวกับจะเชิญชวนให้ไปเล่นด้วยกันอีกครั้ง

                ในตอนนั้น…

                .

                .

                .

               

                “มณฑา มาเล่นด้วยกันเถิด” ซอกล่าวอย่างร่าเริง น้ำเสียงนุ่มนวลที่เอ่ยนั้นช่างอบอุ่นนัก มณฑายิ้มก่อนจะเข้าไปหาแต่เธอเพิ่งนึกอะไรได้จึงเอ่ยเศร้าๆ

                “ขอโทษนะ ท่านแม่บอกว่าไม่ให้ฉันไปเล่นน่ะ เธอเองก็ด้วย ท่านแม่มิว่าฤ?”

                “ก็… ว่าอยู่ดอกนะ… แต่ช่างเถิด! ข้าซ้อมดนตรีจนเหนื่อยแล้วอยากเล่นบ้างน่ะ นะ เล่นเถิดมณฑา” เด็กหญิงสวมเสื้อลูกไม้ส่ายหน้าก่อนจะเอ่ย

                “ฉันขอโทษ แต่ท่านแม่สั่งห้ามฉันเด็ดขาดเชียวล่ะ”

                “งั้นฤ… มิเป็นไร”

                “…”

                “หากวันไหนเจ้าเป็นอิสระก็มาได้เสมอนะ… ข้าจะรอ”

                .

                .

                .

                “หึๆ อิสระฤ? น่าขำ! กว่าฉันจะได้มันมาก็โตจนไปไม่ได้อีกแล้ว!!”

                พลั่ก!!

                มณฑาชกมือกับต้นไม้อย่างแรง ต้นไม้สั่นไหวจนใบไม้ร่วงลงบนพื้น น้ำตาปริ่มออกมาแล้วไหลนองหน้า… มันไม่มีอีกแล้ว นางไม่สามารถไปเล่นกับพวกซอได้ ทั้งๆ ที่นางอุตส่าห์ทำทุกวิถีทางแต่พอหลุดพ้นมานางก็เติบโตจนมิอาจไปวิ่งเล่นได้อีก มณฑาสะกดความเคียดแค้นไว้ให้ลึกที่สุดในใจ หากไม่ใช่เพราะเกิดเป็นลูกผู้มียศถาบรรดาศักดิ์แล้วล่ะก็นางอาจจะได้วิ่งเล่นอย่างมีความสุขแท้ๆ เชียว…

                “ฮึก…” นางกลั้นเสียไว้ก่อนจะเช็ดน้ำตา ข่มความเจ็บปวดที่ทรมานจนหัวใจแทบแหลกสลาย

                “…ท่านมณฑา ท่านมิสบายใจเรื่องอะไรฤๅเจ้าคะ?” เสียงคุ้นเคยเอ่ยกับนาง รองนายิกาของมณฑานั่นเอง นางรีบเช็ดน้ำตาก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่น กาสะลองยิ้มบางๆ ก่อนยื่นมือสัมผัสแก้มเบาๆ แล้วเขี่ยนิ้วเช็ดน้ำตาที่หลงเหลืออยู่

                “ท่านมณฑาเล่ามาเถิด ข้าขอใช้นามรองนายิกาเป็นประกันว่าจะมิเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเจ้าค่ะ” กาสะลองเอ่ยอย่างเป็นห่วง มณฑาเบือนหน้าหนี

                น่าอายจริงๆ เผลอร้องไห้เสียได้

                หมับ

                มณฑากุมมือกาสะลองที่ลูบแก้มอยู่ก่อนจะดึงมากุมไว้ที่อก สัมผัสไออุ่นแผ่ออกมาทำให้กาสะลองเผลอยิ้มด้วยความสบายใจ มณฑายิ้มฝืนๆ ก่อนจะเอ่ย

                “มิมีอะไรดอก อย่าห่วงเลย ฉันเป็นถึงนายิกาเชียวนะ ไม่แพ้อะไรง่ายๆ ดอกน่า” มณฑาเปลี่ยนสีหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างร่าเริง ทำให้กาสะลองพลอยยิ้มไปด้วย

                “ดีแล้วล่ะเจ้าค่ะ”

 

                “แถ่นแทนแท้น! เสร็จแล้วจ้าทุกคน ศรีในร่างชาย!!” แววไพรเอ่ยเสียงดังเรียกทุกคนให้หันมาดู พงสณะยิ้มแฉ่งแล้วละความสนใจจากขนมชั้นที่เล่นเมื่อครู่ไปหาศรี

                เด็กหญิง… ไม่สิ ต้องเรียกว่าเด็กชายอยู่ในชุดนักเรียนชายประถม โซค่อนที่ดูอยู่ขมวดคิ้วก่อนจะถาม

                “มันต่างกับตอนแรกตรงไหนเนี่ย?”

                “ต่างสิยะ! อย่างน้อยศรีก็มีเหมือนของพวกนายแล้วนะ!!” แววไพรแวดใส่โซค่อนจนแว่นตาเขาเกือบหล่น เด็กชายสวมแว่นยิ้มอย่างไม่ใส่แล้วเอ่ยต่อ

                “แต่หน้าก็เหมือนเดิมอะ!”

                ป้าบ!!

                แววไพรฟาดร่มบ่อสร้างตบกบาลเด็กชายสวมแว่นไปหนึ่งที เขาลูบศีรษะพลางโวยวาย

                “อะไรของหล่อนเนี่ยยายแว่น!”

                “กรี๊ด! ก็นายถามอะไรไม่รู้ แล้วที่นายว่าฉันพูดยังกับว่านายไม่ใส่แว่นงั้นแหละ ไอ้สี่ตา!!”

                หลังจากนั้นทั้งสองก็ฟาดอาวุธใส่กันและกัน (?...) ดอกเข็มที่แอบไปซื้อน้ำมะพร้าวหัวเราะขบขันรวมทั้งเพื่อนคนอื่นๆ ด้วย กลีบเย้าหรี่ตามองอย่างเบื่อหน่ายเช่นเดียวกับศรี เด็กหญิงผู้ที่เปลี่ยนทั้งร่างกายและเสื้อผ้าเป็นผู้ชายถอนหายใจ ถึงจะเปลี่ยนไปไม่มากแต่ก็เปลี่ยนแค่อวัยวะในส่วนที่ผู้หญิงไม่มีกันนั่นแหละ

                “ศรี งั้นตอนนี้ฉันก็กอดเธอได้แล้วสิ เพราะเธอกลายเป็นผู้ชายแล้ว” พงสณะเอ่ยอย่างยินดีพลางทำท่าจะโผเข้ากอดศรี เธอถอยไปข้างหลังพร้อมกับตั้งท่าจะส่งเขาไปภพวิญญาณ (?)

                “ไม่ได้! ชาติกำเนิดฉันเป็นผู้หญิงนะ!!”

                “นะศรี”

                พลั่ก!

                ซ่า!!

                ไม่รอช้าให้ผู้ชายลามกอย่างเขาลวมลามต่อไป ศรีจัดการถีบเขาให้ตกบ่อดอกบัวข้างทาง สร้างความตะลึงให้แก่เพื่อนๆ ใบหน้าโกรธของเธอค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสดใส ศรีหันไปยิ้มให้เพื่อนก่อนจะเอ่ย

                “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ พวกเธอเล่นต่อเถอะ”

                อึ๋ย

                เพื่อนๆ ต่างมีสีหน้าที่ซีด พลางคิดว่าเป็นอย่างนี้ใครมันจะกล้าเล่นต่อ โซค่อนกับแววไพรไม่ฟาดฟันต่อ เด็กหญิงสวมแว่นเดินมาหาศรีก่อนจะกอดคอเธอ

                “แหม… ศรีพอเป็นร่างชายก็ไม่ค่อยต่างอย่างที่เจ้าสี่ตาพูดจริงๆ แต่อย่างน้อยเธอก็มีในสิ่งที่ผู้ชายเขามีกันนี่เนอะ” แววไพรหรี่ตามองอย่างยั่วยวน ศรีมองเพื่อนชาวภาคเหนือด้วยใบหน้าที่เขินอาย พอคิดว่าตนเองมีสิ่งนั้นแล้วมันรู้สึกแปลกๆ อย่างไรชอบกล

                “อะ!” ศรีรู้สึกถึงสัมผัสจากแผ่นหลัง ยุพินไล้นิ้วไปตามไขกระดูกที่หุ้มด้วยเนื้อหนังขาวนุ่ม พลางกระซิบข้างหูศรีด้วยเสียงแหบพร่า

                “น่ากินจัง…”

                “พอได้แล้วเจ้าค่ะ!” ว่าวที่ดูมานานอดทนไม่ไหวจึงกระชากศรีออกจากมารผจญทั้งสอง แววไพรและยุพินต่างชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ

                ชิ! คนกำลังจะกินเนื้อซะหน่อย ขัดจริงๆ!

                แววไพรคิดพลางมองว่าวอย่างไม่ละสายตา

                “เฮอะ! ยายเด็กเหลือขอ ฉันก็แค่พูดเล่นเองยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” แววไพรปรับสีหน้าให้ดีขึ้นพร้อมกับยิ้มเยาะว่าวเพื่อเป็นการกัด

                “ใช่! เธอมีสิทธิ์อะไรมาว่าพวกฉันล่ะ”

                “!”

                ว่าวอัญเชิญว่าวจุฬาออกมา ทำไมเธอถึงรู้สึกหงุดหงิดอยู่ตลอดนะทั้งๆ ที่ศรีก็ไม่ได้เป็นอะไรกับแววไพรเกินเพื่อน แต่ในเมื่อตอนนี้ยังอยู่วัยประถม เธอก็จะรีบสร้างโอกาสเพื่อให้ศรีตกหลุมเธอ แต่พวกเสือหิวโหยทั้งหลายมันไม่ยอมเลิกเสียที

                “คิดจะทิ้งระเบิดเหรอ?”

                คำถามของแววไพรเสมือนน้ำมันที่ราดในกองไฟให้มากยิ่งขึ้น

                แย่แล้ว

                ศรีคิดด้วยความกังวล

                จากนั้นการเปิดศึกก็ได้เริ่มขึ้น เสียงของมีคมปะทะและระเบิดที่ทิ้งตัวลงมาอย่างไม่ปรานี ศรีและเพื่อนคนอื่นๆ พยายามจะยั้งไว้แต่ ว่าว แววไพรและยุพินไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย ศรีไม่อยากให้มีเรื่องแบบนี้ดำเนินต่อไป นอกจากจะเป็นการบั่นทอนความสัมพันธ์แล้วยังสร้างความเสียหายให้ที่อยู่ของผู้อื่นด้วย

                ระหว่างนั้นเด็กชายในชุดราชประแตนก็เดินเข้ามา ดวงตาเหมือนเหยี่ยวของเขามองสมรภูมิอย่างเย็นชาและแฝงไปด้วยความหงุดหงิดไม่น้อย เขาชักดาบออกมาแล้วพุ่งตัวเข้าไปฟันกลางสมรภูมิ

                “!!”

                 เด็กหญิงสามคนผู้เป็นต้นเหตุหันไปมองเขาอย่างตะลึง ว่าวขนาดใหญ่เกินปรกติขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ร่มบ่อสร้างมีรอยฉีกขาด พัดปลายติดขนสีแดงแยกจากกันเป็นสองซีก

                “ท่ะ ท่านจารุ”

                เด็กหญิงสามคนเอ่ยชื่อเด็กชายพร้อมกัน เด็กชายเจ้าของนามจารุยิ้มเย็นเยียบพลางเอ่ย

                “นี่มันเรื่องอะไรกัน เจ้าพวกเด็กเหลือขอ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา