ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.84K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

23) บทที่ ๒๓: มณฑาเชิญสังรศรีไปสอบถาม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๒๓

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

มณฑาเชิญสังรศรีไปสอบถาม

                วันจันทร์ที่ ๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘

                เช้า

                ณ โรงพยาบาล

                ธันนะมองร่างของเด็กหญิงเกล้ามวยผมด้วยความเป็นห่วงและโมโหในเวลาเดียวกัน… ไม่ใช่เพราะโกรธเธอแต่โกรธตัวเองต่างหาก เขาเจ็บใจที่ตนไม่สามารถช่วยเหลือเธอ… ธันนะสลัดความกังวลทิ้งก่อนจะหันไปมองพงสณะที่ใช้นิ้วลูบมือศรีเบาๆ ธันนะมองสักพักก่อนจะเอ่ย

                “ยามหลับก็ยังแอบลูบอีกเรอะ”

                “ใช่ แล้วนายจะทำไม?” พงสณะยิ้มเยาะพลางบีบนิ้วศรีเบาๆ ธันนะมองอย่างขุ่นเคืองก่อนจะกระชากมือศรีออก พงสณะยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ

                “เรื่องของฉัน”

                “งั้นที่ฉันทำเมื่อกี้มันก็เรื่องของฉันเหมือนกัน”

                ดวงตาสองคู่สบกัน จดจ้องราวกับจะฉีกกระชากเนื้อของอีกฝ่ายให้จงได้ ผ่านไปไม่ถึง ๓ นาทีธันนะก็เบือนหน้าหนีสร้างความพอใจให้แก่พงสณะ

                “นี่… ธันนะ…………… ฉัน เป็นอะไรไปเหรอ?” เสียงเด็กหญิงเอ่ยด้วยความอ่อนแรง เด็กชายทั้งสองหันไปมองพร้อมกัน พงสณะรีบเข้าหาเธอก่อนจะถาม

                “ศรี เป็นไงบ้าง เจ็บมากไหม?”

                “ก็ยังเจ็บอยู่… แต่ไม่เป็นไรแล้วล่ะจ้ะ……………” ศรียิ้มบางๆ แต่มันช่างโรยรานัก ธันนะแสร้งทำหน้าเย็นชา เขาไม่ตอบเธอเพราะพงสณะเข้ามาแทรกก่อน

                “ธันนะ…”

                “อะไร?” ธันนะเหลือบมองศรีเหมือนไม่ใส่ใจเธอ ศรีรู้ข้อนี้ดีเพราะแต่ไหนแต่ไรบุคลิกเขาก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว คงเหมือนกับพงสณะนั่นแหละที่มีข้อเสียภายนอกแต่ภายในนั้นจิตใจของเขาเต็มไปด้วยความอบอุ่นเสมอ

                ศรีนึกด้วยความรู้สึกดีๆ ก่อนจะถาม

                “เป็นอย่างไรบ้าง?” ธันนะหันไปมองศรีตรงๆ สบกับดวงตาข้างซ้ายที่แดงเพราะเลือด ตาข้างขวาถูกผ้าพันแผลปิดไว้ ธันนะเผลอกลั้นหายใจเพราะภาพอันโหดร้ายนั้นมันช่างขัดแย้งกับรอยยิ้มอันอ่อนโยนของเธอนัก

                “ก็… ไม่เป็นไร”

                “ดีจัง…”

                เมื่อศรีเอ่ยจบทั้งห้องก็เงียบเป็นเป่าสาก พงสณะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อดี สักพักเขาก็ตัดสินใจหยิบหนังสือในกระเป๋าของเธอที่วางไว้บนโต๊ะ

                “ฉันอ่านหนังสือให้ฟังไหม?” พงสณะยิ้มพร้อมกับลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง ศรียิ้มอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะตอบ

                “ตามแต่สะดวก” เด็กชายยิ้มอย่างยินดี หนังสือเก่ามีกลิ่นสาบจากตู้ไม้ติดมาด้วย ฝุ่นก็แต้มเล็กน้อย พงสณะเห็นเช่นนั้นจึงเอาหนังสือถูกับเสื้อตนเองอย่างจริงจังทำให้ศรีซึ่งมองอยู่ขำคิกคัก พงสณะพลิกหน้าหนังสือที่กระดาษขึ้นเป็นสีเหลืองแสดงให้เห็นว่ามันมีอายุมานานแล้ว

                “งั้นก็ทำตัวผ่อนคลายนะครับ อ่า… อ้าว! มันเป็นกลอนหรอกเหรอ”  เขากล่าวด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าเนื้อความข้างในเป็นกลอน พงสณะพลิกหน้าหนังสือไปมาพลางขมวดคิ้วอย่างกลุ้ม

                “…มันเป็น… กลอน…”

                “ใช่แล้วล่ะ พอจะอ่านได้ไหม?”

                ศรีถามพลางอมยิ้ม เธอทราบดีว่าถึงแม้เขาจะเคยประกวดอ่านกลอนมาแล้วได้อันดับที่ ๒ ถ้าจะให้เขาอ่านหนังสือเล่มนี้ให้ก็ไม่มีปัญหา เพียงแต่เนื้อกลอนอยู่ระดับที่ทั้งคู่ยังเรียนไม่ถึงจึงอาจจะมีบางคำที่อ่านยาก

                “ไหวจ้ะ” ถึงพงสณะจะตอบเช่นนั้นอย่างมั่นใจแต่ลึกๆ แล้วเขากลัวเหลือเกิน ถึงจะอ่านผิดเขาก็ไม่อายถ้าไม่มีธันนะอยู่ด้วยล่ะนะ

                “งั้นก็เริ่ม” ศรีเอ่ยอย่างร่าเริง ธันนะที่เหลือบมองเด็กหญิงรู้สึกสบายใจที่เธอไม่เป็นอะไรแล้ว แถมท่าทางจะจำอะไรไม่ได้ด้วยถึงไม่กล่าวเรื่องเมื่อคืนเลยแม้แต่น้อย

                ท่ามกลางความสงบที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและเสียงเด็กชายเอื้อนร้องกลอน ก็มีใครบางคนเปิดประตูเข้ามา

                เป็นเด็กชายผิวขาวซีดผมสีดำปลายสีกรมท่า สวมชุดนักเรียน ชายเสื้อหลุดลุ่ยออกมาไม่เรียบร้อย อีกคนเป็นเด็กชายผมสีดำปลายผมสีทองแดงสวมชุดนักเรียนเช่นกันแต่จัดเสื้อได้เรียบร้อยกว่า แม้ลักษณะดังกล่าวจะแตกต่าง ทว่าใบหน้า และท่าทางของทั้งสองกลับสงบนิ่งเหมือนกัน

                ศรี พงสณะและธันนะมองเด็กชายสองคน ศรีจำเด็กชายสองคนนี้ได้ พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนเดียวกับเธอ …เป็นคนที่คอยช่วยเหลือเธอมาตลอด

                คอยช่วยถึงขั้นมาป้องกันเธอเพื่อไม่ให้---

                พอคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครั้นศรีเกือบถูกรถชน… เธอก็อดจะหลั่งน้ำตาออกมาไม่ได้ ทำไมพวกเขาถึงต้องทำดีกับเธอนะ

                “ศรี… ตาข้างขวาถูกควักออกไปเหรอ?” เด็กชายผมสีดำปลายสีกรมท่าถามพลางมองตาขวาของเธอ ศรีพยักหน้าอย่างเหม่อลอย เพราะคาดไม่ถึงว่าเด็กชายทั้งสองจะมาที่นี่ด้วย เธอนิ่งไปสักพักก่อนจะตอบอย่างร่าเริง

                “ใช่แล้วล่ะจ้ะ ว่าแต่นายสองคนมาได้ยังไงเหรอ?”

                “ก็นะ… ฉันรู้จักโลกนี้มาก่อนเธอน่ะ”

                “ งั้นเหรอจ๊ะ”  

                พงสณะเหลือบมองอย่างเบื่อหน่าย ทำไมเด็กชายสองคนนั้นถึงต้องมาขัดจังหวะด้วยนะ!

                “อืม ศรี เธอน่ะ… อยากได้ดวงตาไหม?” เด็กชายคนเดิมถามด้วยเสียงที่นิ่ง ศรีทำตาโตเพราะคาดไม่ถึงว่าเขาจะถามเรื่องนี้ เธอก้มหน้าพลางคิด… เธอใช่ว่าไม่อยากได้ดวงตา แต่คิดว่าไหนๆ ก็ถูกควักออกไปแล้วก็ไม่อยากได้ใหม่เพราะหากเผลอมีเหตุการณ์แบบเมื่อคืนอีกก็จะต้องเสียดวงตาอย่างน่าเสียดาย

                ศรีคิดได้เช่นนั้นจึงส่ายหน้าพร้อมกับตอบ

                “ไม่ล่ะจ้ะ ถ้าได้มาอีกก็ไม่แน่ว่าจะโดนควักออกไปอีก”

                “แต่ฉันไม่อยากเห็นเธอมีตาข้างเดียว” เด็กชายผมสีดำปลายสีทองแดงเอ่ย น้ำเสียงเรียบนิ่งนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจ เขาเดินมาหาเธอก่อนจะเท้าแขนกับเตียงแล้วยื่นหน้าไปใกล้เธอ ศรีค่อยๆ ถอยออกมาแล้วถาม

                “ทำไมล่ะ?”

                “ฉันไม่อยากตอบ” เด็กชายกล่าวอย่างไร้อารมณ์ก่อนจะแกะผ้าพันแผลของศรีออก ดวงตาข้างซ้ายเบิกโพลงอย่างตกใจที่อยู่ๆ เขาก็ทำแบบนี้ พงสณะเห็นท่าไม่ดีเมื่อเด็กชายทำท่าจะใช้นิ้วลูบตาจึงเข้าไปกระชากคอเสื้อแล้วเอ่ย

                “นายจะทำอะไรน่ะ!”

                “ไม่บอก”

                “ถ้านายไม่บอกอย่างน้อยก็อย่ามายุ่งกับศรีจะได้ไหม?!”

                “ไม่ได้”

                “นี่นาย!!” พงสณะอารมณ์เริ่มเดือด เขากัดฟันด้วยความโกรธ เด็กชายไม่สนใจท่าทีนั้นจึงเอามือไขว้หลังก่อนจะเอ่ย

                “อย่างน้อยฉันก็เป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนเดียวกับเธอ มีสิทธิ์ที่จะยุ่งได้เช่นเดียวกับนายที่เป็นคู่หมั้น”

                “!!!”

                พงสณะไม่โต้ตอบแต่กำมือแน่น ส่วนเด็กชายอ้าปากจะเอ่ยต่อแต่ถูกรั้งไว้โดยเด็กชายข้างหลัง

                “พอเถอะคิมหันต์” เด็กชายเจ้าของนามคิมหันต์หันไปมองเด็กชายผมสีดำปลายสีกรมท่าและหันกลับมามองพงสณะ  คิมหันต์ถอยห่างจากพงสณะก่อนจะเอ่ยกับศรี

                “ฉันจะให้ดวงตาแก่เธอ” ประโยคนั้นทำให้เธอและพงสณะตะลึง ธันนะที่เงียบอยู่นานเพื่อดูสถานการณ์เองก็เป็นเช่นเดียวกัน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วฟังต่อไป

                “ดะ ดวงตา--- ไม่ได้นะ! ฉันขอบคุณจริงๆ จ้ะที่นายเสียสละให้ฉันแต่ฉันรับไว้ไม่ได้หรอก!!” ศรีกล่าวอย่างกังวล เธอเองก็ไม่มีสายเลือดเดียวกับคิมหันต์ที่เขาจะต้องมาให้ดวงตาแก่เธอซึ่งไม่มีความผูกพันธ์อะไรขนาดนั้น เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ย

                “อย่าดื้อสิ”

                “ฉันไม่ยอมหรอก!” ศรีกล่าวอย่างจริงจัง คิมหันต์มองนิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ

                “ก็ได้”

                “…”

                ศรีไม่เอ่ยอะไรอีก เมื่อเป็นเช่นนั้นคิมหันต์จึงหันหลังก่อนจะก้าวออกจากห้องพร้อมกับเด็กชายที่มากับเขา เมื่อประตูปิดลงศรีก็ผ่อนกายที่เกร็งจากนั้นก็พลิกร่างให้หันข้างทางประตูกระจก

                ทิ้งให้เด็กชายสองคนมองหน้ากันอย่างไม่ยอมแพ้

 

                หญิงสาวสวมเสื้อลูกไม้นามมณฑาเดินตามขั้นบันใดไปทีละชั้นๆ นางยิ้มกริ่มพลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน… ในที่สุดเนตรของเด็กหญิงเกล้ามวยผมก็เปิดขึ้นมา แต่น่าแปลก… ทั้งๆ ที่มันถูกผนึกไว้ด้วยรัดเกล้าลงอาคมชั้นสูงไว้นี่

                เหตุใดมันถึงคลายผนึกได้?

                “สวัสดีครับท่านมณฑา ท่านมาเยี่ยมใครเหรอครับ?” แพทย์ชายวัยกลางคนเอ่ยทักมณฑา ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดเพราะนางเป็นถึงนายิกาภาคกลางก็ย่อมเป็นที่รู้จัก มณฑายิ้มบางๆ ให้ก่อนจะถาม

                “สวัสดี ฉันมาเยี่ยมเด็กผู้หญิงที่ชื่อสังรศรีน่ะ”

                “อ๋อ เด็กคนนั้นผมเพิ่งไปตรวจเอง ถ้ายังไงให้ผมพาไปส่งนะครับ”

                “คิกๆ มิต้องขนาดนั้นก็ได้ คิดจะขายขนมจีบฤ?” มณฑาขำคิกคักเมื่อเห็นว่าแววตาของแพทย์นั้นเพ้อชอบกล… แพทย์คนนั้นมีท่าทีเขินอายจึงเอ่ยอย่างร้อนรนก่อนจะกล่าวลาและเดินจากไป

                มิใช่ว่าหลงเสน่ห์เราดอกนะ

                นางคิดด้วยความขบขันและภูมิใจในความงามของตนเอง ผมสีทองออกส้มยาวหยักศกตรงปลาย ดวงตาสีส้มสดใสยามสบตาช่างเร่าร้อนดั่งอัคคีนัก ราวกับว่าหากมองดวงตาคู่นี้จะโดนแผดเผาให้เป็นเถ้าถ่าน ทว่านางก็ใช่เป็นสตรีซึ่งหลงตนเอง มณฑาออกจะรู้สึกเสียใจด้วยซ้ำที่ความงามนั้นมีมากกว่าความสามารถ แม้นางจะมีความสามารถหลายอย่างและเก่งจนถึงชั้นครูกระนั้นนางก็ยังไม่พอใจ

                นางมีคุณสมบัติกุลสตรีพร้อมทุกอย่างไม่ว่าวิชาอะไรนางก็ทำได้ทุกอย่าง เว้นแต่วิชาดนตรีที่นางทำไม่ได้

                ---นั่นเองที่ทำให้นางไม่พอใจซอ---

                ทั้งอิจฉาและเจ็บใจ แต่ใช่ว่านางจะเกลียดซอ หญิงสาวผู้ถือซอสามสายไปด้วยทุกหนมีความเก่งกาจเชี่ยวชาญในวิชาดนตรี เป็นอดีตศิษย์เอกเจ้าสำนักเลื่องชื่อแต่มีเหตุบางอย่างถูกขับไล่ออกมา ซึ่งเรื่องนี้มณฑาก็ทราบดี แม้ในใจจะอิจฉาแต่ก็อดสงสารไม่ได้ เป็นที่ชื่นชมและรักของเหล่าครูบาอาจารย์วิชาดนตรีแต่ถูกเฉดหัวออกมาก็ย่อมต้องเสียความรู้สึกเป็นธรรมดา แต่นางก็ไม่อาจทำเป็นเมินได้

                เพราะว่าทั้งสองเป็นเพื่อนกัน

                มณฑานึกเรื่องระหว่างตนกับซอก็ยิ้มเศร้าๆ แต่พอตนเองเดินมาถึงห้องที่จะมาเยี่ยมแล้วก็เปลี่ยนสีหน้า มีเสียงเด็กๆ เล่นคุยกันแว่วมา นางฟังพลางแย้มยิ้มก่อนจะเปิดประตูเข้าไป

                “ฉุบ---- ฉุบ--- แง้! แพ้อีกแล้วอะ!!” เสียงของพสณะดังไปทั่วห้อง กลบความเงียบของเด็กชายสวมเสื้อกล้ามที่นั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ซึ่งยืมเด็กหญิงมา มณฑายิ้มขบขันกับความช่างเล่นของพงสณะก่อนจะเดินเข้าไปใกล้แล้วเอ่ย

                “เงียบๆ สิ ประเดี๋ยวคนไข้ห้องอื่นก็มิได้พักผ่อนกันพอดี”  พงสณะกับศรีที่เล่นเป่ายิงฉุบกันสะดุ้งเล็กน้อยเพราะตกใจ ทั้งสองและเด็กชายสวมเสื้อกล้ามมองนาง

                “สวัสดีครับท่านมณฑา

                “สวัสดีค่ะ”

                “สวัสดีครับ”

                เด็กๆ สามคนยกมือไหว้สวัสดีซึ่งหญิงสาวก็ไหว้ตอบรับ ก่อนจะเอ่ย

                “ศรี อาการเป็นอย่างไรบ้าง”

                “ก็ไม่ค่อยเจ็บแล้วค่ะ” ศรีตอบด้วยความฉงนทำไมมณฑาถึงรู้ชื่อเธอได้ โดยไม่มีใครสังเกต แววตาของมณฑาก็ฉายแววเคลือบแคลงสงสัย

                “ดีแล้วล่ะ แต่ฉันขอถามหน่อยได้ฤๅไม่”

                “ได้ค่ะ”

                “ทำไมเนตรของเธอจึงถูกปลดผนึก?”

                “!!?” ศรีตะลึงกับคำถามของนาง--- เนตรนั่นอีกแล้วเหรอ?

                มันมีความลับอะไรซ่อนอยู่?

                “จะว่าฉันใจร้ายก็ได้นะที่มิช่วยน่ะ เมื่อคืนฉันลอบมองเหตุการณ์แล้ว รัดเกล้าของเธอก็ไม่ได้ถูกถอดออกแต่ไยพลังเนตรถึงฟื้นมาล่ะ?” ยิ่งถามเด็กหญิงก็ยิ่งไม่เข้าใจ เธอไม่อยากได้ยินเรื่องนี้ แต่ทำไมผู้คนถึงชอบได้ถามนัก?

                “หนูเองก็ไม่ทราบค่ะ” ศรีตอบตามความจริง มณฑาพยักหน้าพร้อมกับคิด

                ช่วงที่พวกศรีอยู่ในงานดวงจันทร์ก็ถูกบดบัง มันจะเกี่ยวข้องฤๅเปล่านะ แต่มิน่านี่ เพราะมันจะถูกบังฤๅก็เป็นทุกคืน

                แล้วมันเพราะอะไรล่ะ?

                “ช่างเถิด หากเธอหายเมื่อใดก็ไปพักที่เรือนฉันละกัน”

                “ขอบคุณค่ะ แต่หนูมีที่พักแล้วไม่เป็นไรหรอกค่ะ”

                “ช่วยไปขอซอด้วยเถิดนะ เพราะฉันมีเรื่องอยากถามเธอน่ะ” มณฑาเอ่ยพลางใช้พัดของตนพัดหน้าเบาๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงร้อนนัก แม้เครื่องปรับอากาศจะเย็นฉ่ำแต่นางรู้สึกว่ามีไฟมาลนใกล้ๆ

                ศรีหลุบตาลง เธอไม่อยากให้ใครมาสักถามเรื่องของตนเองเลย กี่ครั้งแล้วที่ถูกสงสัย ธันนะที่นั่งเงียบมานานเงยหน้าจากหนังสือที่เขาแกล้งทำเป็นอ่านแล้วเอ่ย

                “ท่านจะถามเรื่องอะไรเหรอครับ?” คำถามนั้นทำให้ทั้งสามคนหันไปมอง มณฑาตาโตเพราะคาดไม่ถึงแต่ก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะก่อนจะตอบ

                “เอาเป็นว่าถ้าไปที่เรือนแล้วถามน่าจะฟังสะดวกกว่านะ เพราะฉันมีเรื่องจะถามหลายเรื่องเชียวล่ะ” พูดจบนางก็ก้าวเดิน เมื่อถึงประตูนางก็หยุดแล้วเอ่ยทิ้งท้าย

                “เพราะมันไม่ใช่คำถามที่ฟังแล้วรู้สึกเฉยๆ ดอกนะ”

                แอ๊ด…

                ปัง

                “…” ทุกอย่างเงียบเชียบ ธันนะขมวดคิ้วด้วยความกังวล พงสณะยิ้มฝืนๆ ก่อนจะหันไปเล่นกับศรีต่อโดยที่เธอไม่มีกระจิตกระใจจะเล่น

                “ถ้าคราวนี้ชนะเธอต้องให้ฉันจูบมือนะ” พงสณะเอ่ยพลางยิ้มอย่างเต็มใจอีกครั้งแบบทีเล่นทีจริงแต่วาจาที่ล่อลวงเด็กหญิงผู้อยู่กับผู้ชายสองคนนั้นทำให้เธอเดือดขึ้นมา

                “พงสณะ…”

                “จ๊ะ?” เหงื่อเริ่มผุดตามผิวหนัง พงสณะรู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างที่แผ่มากขึ้นเรื่อยๆ … เขาพลาดเสียแล้ว

                “ไปตายซะ!!”

                ผัวะ!!

                ศรีใช้แขนยันกับเตียงแล้วเหวี่ยงขาใส่พงสณะเต็มแรงเล่นเอาเขาเลือดแทบกระอักออกจากปากเลยทีเดียว เด็กชายผู้ล่อลวงเด็กหญิงล้มหงายหลังตึงตกจากเก้าอี้ ธันนะที่ลอบสังเกตการณ์เริ่มหน้าซีดเพราะหวาดกลัวเธอ ศรีหายใจฮึดฮัดก่อนจะล้มตัวนอนแล้วหันหลังให้พงสณะ เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนพร้อมกับยกเก้าอี้ขึ้นพลางคิดอย่างเศร้าๆ แต่แฝงไปด้วยความยินดี

                ช่างเป็นหญิงที่แกร่งนัก ขนาดบาดเจ็บหนักยังอุตส่าห์มีแรงฟาดใส่ฉันอีก… ช่างเถอะ แบบนี้แหละผู้หญิงในฝันของฉัน

                หากเกิดมีอันตรายต่อตัวเธอฉันจะได้หายห่วง

                พงสณะกลับมานั่งอีกครั้งแล้วเท้าคางกับเตียง มองดูเด็กหญิงอันเป็นที่รักของเขาด้วยความเอ็นดู ท่าทางเธอจะงอนเสียแล้ว พงสณะคิดพลางอมยิ้ม เขารู้ดีว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่ชอบให้ผู้ชายมาลวมลามไม่ว่าจะทางกาย วาจา หรืออะไรก็ตาม รวมทั้งดูถูกผู้หญิงก็ด้วย

                และชาติ

                “…”

                ‘ฉัน… ต่อให้ต้องทำร้ายก็จะไม่ยอมให้ใครมาหยามชาติเด็ดขาด’

                ศรีเคยกล่าวกับเขาเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและจริงจัง… จริงใจ ข้อนี้พงสณะเองก็เข้าใจเธอ เพราะแม้นี่จะเป็นยุคสมัยใหม่แล้วแต่การที่ชาวต่างชาติเคยว่าร้ายต่อประเทศบ้านเกิดของเธอเมื่อครั้นยังเด็กทำให้ศรียอมรับไม่ได้

                พงสณะหวนนึกถึงเรื่องนั้นพลางยิ้มเศร้าๆ

                หลังจากนั้นซอก็เปิดประตูเข้ามาแล้วคุยกับเขา เรื่องของอรัญญิกที่ถูกทำร้ายจึงพามาส่งที่โรงพยาบาลด้วยตัวนางเอง พงสณะก็พูดถึงเรื่องที่มณฑาเข้ามาของให้ศรีไปขอนางเพื่อจะได้ตอบถามที่เรือนของตน

                หลายวันผ่านไปไม่นานนักศรีก็ได้ออกจากโรงพยาบาลโดยมีเด็กหญิงรุมล้อมสักถามและพยุงร่างของเธอด้วยความเป็นห่วง ทีแรกพงสณะก็จะช่วยแต่กลับถูกศรีเหวี่ยงขาใส่เสียก่อน ทำให้บางคนเหงื่อตกและหัวเราะไปตามๆ กัน

                ถึงจะมีเรื่องโชคร้ายเข้ามาในชีวิตไร้เดียงสาของเด็กประถม กระนั้นศรีก็จะไม่ท้อถอย… แม้เธอไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ลางสังหรณ์บางอย่างกลับทำให้เธอคิดว่าต่อจากนี้จะไม่ใช่เพียงแค่การต่อสู้เท่านั้น…

                กลีบดอกราชพฤกษ์ร่วงลงมาตัดหน้า เด็กหญิงเกล้ามวยผมมองมันพลางคิดด้วยรอยยิ้มที่หดหู่…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา