พันแสงราตรี

9.9

เขียนโดย กุลภัสสร์

วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 15.17 น.

  4 บท
  6 วิจารณ์
  6,231 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 15.37 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทที่ ๓ - "หมาป่าทมิฬ เงือกวารี มังกรคลั่ง 2"

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
บทที่ 3
 “หมาป่าทมิฬ เงือกวารี มังกรคลั่ง 2”
 

 
 
                ใช่ ใครจะไปเชื่อเอลฟ์ที่แลดูอ่อนโยนตนนี้จะเป็นหัวหน้าของเธอ?
 
                หัวหน้ากองทัพนักฆ่า
 
                ฟังดูดีนะ
 
                เงือกวารีพยายามอย่างมากที่จะไม่หันไปจ้อง ‘มังกรคลั่ง’ เขม็งมากเกินไปจนดูน่าเกลียด คองามระหงเชิดตรงเพื่อให้คงภาพของ ‘นักฆ่า’ มืออาชีพ แม้กระทั่งท่าทางผ่อนคลายยามเมื่ออยู่ใกล้จิ้งจอกไฟก็หายไป และถูกแทนที่ด้วยความหยิ่งยโสและมั่นอกมั่นใจ 
 
                เอลฟ์สาวสาบานได้ว่าไม่ได้ตั้งใจทำให้ตัวเองดูน่าหมั่นไส้เลยสักนิด
 
                มันก็แค่…
 
                “อาการไม่สบายเป็นยังไงบ้าง เงือกวารี” น้ำเสียงนุ่มนวลชวนฝันของคนที่ทำให้เธอต้องเปลี่ยนท่าทีกระทันหันทำให้ใจของเอลฟ์สาวกระตุกเฮือก ความตั้งใจเมื่อกี้ที่ว่าจะสบตากับอีกฝ่ายไม่หลบมีอันต้องฝ่อไปภายในเวลาอันรวดเร็ว
 
                เธอหลบตาสีโกเมนของอีกฝ่ายอย่างขลาดขาว
 
                ตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้มีความมั่นใจมากเท่าที่ตัวเองเคยคิด  
 
                และเมื่อกี้…อะไรนะ? ชวนฝันงั้นเรอะ?
 
                โอ ดูท่าทางอาการจะหนักไปแล้วนะ เงือกวารี
 
                “ข้าไม่เป็นไร…” แม้แต่เสียงที่ตอบไปยังแผ่วกว่าที่คิดเลย! เงือกวารีแยกเขี้ยวในใจเมื่อ…สาบานได้ว่าเมื่อกี้เธอเห็นแววรู้ทันในสายตาที่มองมาของจิ้งจอกไฟ!
 
                และทันใดนั้น จิ้งจอกไฟก็หันกลับไปมองมังกรคลั่งด้วยใบหน้านิ่งเรียบ และเริ่มพูดกับอีกฝ่ายโดยไม่มองหน้าเธอด้วยน้ำเสียงที่เฉยไม่แพ้หน้าตาว่า
 
                “ข้าว่าอาการหนัก พาไปห้องพยาบาลเถอะ”
 
                ‘ขอบใจข้าซะ’
 
ทำไมเธอรู้สึกเหมือนกับว่าแผ่นหลังของเจ้าน้ำแข็งนั่นกำลังพูดแบบนี้นะ?
 
                ‘อย่ามาทำเป็นสู่รู้นักได้ไหม’ ใจจริงอยากจะถามกลับไป หากว่าต้นตอของอาการแปลกๆของเธอยังคงยืนหัวโด่อยู่ตรงกลาง มองสายตาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันและสายตานิ่งเรียบทว่ากลับแฝงไปด้วยแววแปลกๆของ ‘ลูกน้อง’ ทั้งสองอย่างงุนงง ฉงน สงสัยเต็มที่ ก่อนจะหันความสนใจมาที่เงือกวารีอย่างเป็นห่วง
 
                “หรือเจ้าไม่สบายหนักจริงๆ?”    
 
                “มะ ไม่!”
 
                ทำไมเสียงต้องสูงด้วย
 
                เงือกวารีนึกอยากตบหน้าตัวเอง ใบหน้างามแดงก่ำจนแทบจะกลายเป็นมะเขือเทศ
 
                มังกรคลั่งขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะเสียงที่ทำร้ายแก้วประสาทหูที่แสนเปราะบางของเขา และตัดสินใจตอนนั้นเองว่าหล่อนคงไม่ได้เป็นอะไรหนักขนาดนั้นหากสามารถพูดเสียงดังขนาดนี้ได้ จึงหันกลับไปคุยกับจิ้งจอกไฟต่ออย่างเป็นการเป็นงาน
 
                ทำไมเงือกวารีรู้สึกเหมือนสายตาเฉยๆของจิ้งจอกไฟกำลังบอกเธออย่างสมเพชเวทนาว่า ‘เสียโอกาสไปเพราะตัวเองแท้ๆ’ กันเนี่ย?
 
                เอ๊ะ รึเธอคิดไปเอง?
 
                “วันนี้เจ้ามีภารกิจที่ประตูเมืองตะวันออกเฉียงเหนือนี่”
 
                เอ๊ะ?
 
                เงือกวารีผงกหัวขึ้นทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘ประตูเมืองตะวันออกเฉียงเหนือ’ นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างและสั่นระริก เธอจ้องมองไปยังจิ้งจอกไฟนิ่งแม้เขาจะไม่ได้หันมาทางเธอก็ตาม และตอนที่เอลฟ์หนุ่มพยักหน้า ตอนนั้นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่หัวใจของหล่อนแทบจะหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
 
                จะไม่ให้ตกใจได้ไงในเมื่อที่นั่นคือ…
 
                “ข้ารู้” นั่นคือคำตอบสั้นๆของคนที่มีชื่อขัดกับบุคลิกตัวเองอย่างสิ้นเชิง
 
                ก่อนที่ใครจะทันได้ขยับตัวหรือแม้แต่จะหายใจ เงือกวารีก็เดินเข้าไปประชิดร่างของน้ำแข็งก้อนมีชีวิตด้วยความเร็วที่น่าตกใจในสายตาของคนที่เพิ่งจะเห็นเป็นครั้งแรก และก่อนที่ใครจะได้เอ่ยหรือแม้แต่อุทาน เธอก็จับหมับเข้าที่ข้อมือของเอลฟ์ที่มีร่างใหญ่โตกว่าตัวเองมาก แล้วพูดเสียงเรียบที่รู้สึกได้ถึงความกดดัน 
 
                “ยืมตัวจิ้งจอกไฟสักหน่อยได้ไหม?”
 
                สุดท้าย ก่อนที่มังกรคลั่งจะได้พูดอะไร ทั้งสองคนก็หายไปพร้อมกับใบไม้สีเขียวและเสียง ‘ปุ้ง’
 
                มังกรคลั่งกระพริบตาปริบๆ            
 
                ‘อะไรกันเนี่ย!?’
 
 

 
 
 
                “ที่มังกรคลั่งพูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไง!?”
 
               จิ้งจอกไฟทำเป็นไม่เห็นสายตาโกรธาของเอลฟ์สาวที่ถือวิสาสะลักพาตัวเขาออกมาจากงานแต่อย่างใด ซ้ำยังเบือนหน้าหนีไม่ยอมสบตากับเอลฟ์สาวตรงๆอีกต่างหาก
 
               นัยน์ตาสีโกเมนนั่นดูเหมือนกำลังจ้องมองไปยังที่ๆห่างไกล
 
               หากเป็นเวลาปกติ เงือกวารีคงจะหัวเราะและบอกปัดท่าทางที่ดูจะเป็นเหมือนปกตินั่น แต่นี่…
 
               มันไม่ใช่เวลาปกติ! และเธอจะไม่บอกปัดการกระทำใดๆของอีกฝ่ายทั้งนั้น!
 
               ตอนนี้ในอกของเอลฟ์สาวเต็มไปด้วยความสับสน เจ็บปวด และไม่เข้าใจ และเพราะความรู้สึกที่มากมายในเวลาเดียวกันนี่เองที่ทำให้เธอเริ่มหอบหายใจหนักขึ้นเรื่อยๆ นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลสั่นระริกและแดงก่ำ ซ้ำเนื้อตัวยังสั่นเทิ้มเพราะความหวาดกลัว …ความกลัวในสิ่งที่เธอมั่นใจว่าตัวจิ้งจอกไฟเองก็รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
 
               ทำไมสายตาของจิ้งจอกไฟถึงได้ว่างเปล่าขนาดนั้น?
 
               ทำไมต้องทำหน้าตาเหมือนปลงกับทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้วแบบนั้น?
 
               “ทำไมเจ้าไป…”
 
               น้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าเอลฟ์สาวพยายามแค่ไหนที่จะไม่ให้มันสั่นจนน่าหวาดเสียวนั้นไม่ได้ทำให้จิ้งจอกไฟละสายตาจากอากาศธาตุตรงหน้าตนมาที่หล่อนแต่อย่างใด และนั่นทำให้หล่อนยิ่งกลัว…
 
               ปกติ แม้ว่าจะรำคาญแค่ไหน แต่เมื่อเธอมีท่าทางตกใจ เขาจะต้องหันมาสบตาตรงๆสิ
 
               “…”
 
               “เจ้า…ท่าน…ท่านสัญ…สัญญาแล้ว…” เงือกวารีรู้สึกว่ากว่าแต่ละคำจะหลุดออกจากปากของเธอไปได้ มันช่างยากเหลือเกิน ยากเสียจนเธอรู้สึกว่าตอนนี้แทบจะไม่มีแรงที่จะยืน… แม้แต่มือที่เธอพยายามที่จะให้มันนิ่งก็ไม่ยอมหยุดสั่นเสียที ทำให้เธอรู้สึกราวกับตัวเองย้อนกลับไปเป็นเด็กหญิงในอดีต…
 
               เด็กหญิงที่ช่วยอะไรตัวเองไม่ได้เลยคนนั้น
 
               ขอบตาร้อนผ่าว…
 
               เงือกวารีรู้สึกเหมือนช่องว่างในใจที่เคยเป็นแผลเหวอะหวะเพราะไม่มีใครต้องการเริ่มถูกเปิดออกอีกครั้ง…และรู้สึกเหมือนมีมีดเป็นสิบๆเล็บแทงตรงไปรอบๆดวงใจ ความว้าเหว่ในอดีตเมื่อครั้งที่เธอไม่มีใคร….ความเจ็บปวดยามเมื่อครั้งที่หาคนเหลียวแลไม่เจอ ช่วงเวลาที่เธอร่ำร้องหาคนเข้าใจ
 
               ช่วงเวลาที่เธอเรียกร้องขอให้ได้พบกับคนที่ตายไปแล้ว…
 
               และช่วงเวลาที่เธอได้เห็นใบหน้าเย็นชาทว่ากลับเต็มไปด้วยแสงแห่งความอบอุ่นคนนี้…
 
               ‘อาจารย์’
 
 

 
 
 
                ‘หนาว…’ เสียงที่แผ่วเบาและแห้งแหบราวกำลังจะขาดใจที่ดังจากริมฝีปากเล็กๆของเอลฟ์เด็กหญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งซึ่งนั่งหลบมุมมืดๆที่เต็มไปด้วยหิมะไม่ได้รับความสนใจจากคนที่เดินผ่านไปผ่านมาราวกับมองไม่เห็นเลยสักนิด แต่เด็กหญิงเจ้าของเสียงก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนมันเป็นเรื่องแปลก
 
               …มันเป็นอย่างนี้มาตั้งนาน ตั้งแต่เด็กน้อยจำความได้
 
               จนตอนนี้เธอมีอายุห้าขวบแล้ว…
 
                ‘หิวเหลือเกิน ข้าคงจะต้องตายไปตามลำพัง…อย่างที่เจ้าดิกกอรี่ว่าไว้แน่ๆ’ เด็กหญิงคิดในใจ แม้ควรจะรู้สึกเจ็บปวด แต่ความชาหนึบที่ขาและแขนกลับเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอไม่รู้สึกถึงสิ่งๆนั้น เสื้อผ้าเก่าๆและฉีกขาดนี่ก็ช่วยเพียงแค่ปกปิดร่างกายของเด็กน้อยตัวเล็กๆไม่ให้ดูน่าเกลียดเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนร่วมในการช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับเธอเลยแม้แต่นิดเดียว 
 
               คนที่เผอิญเดินผ่านแล้วเห็นได้แต่คิด
 
               ท่ามกลางหิมะที่ตกโปรยปรายนี่ ปาฏิหารย์แค่ไหนแล้วที่เธอรอดมาได้ขนาดนี้
 
               นัยน์ตาที่เริ่มจะขาดชีวิต ไอหนาวที่ปรากฏขึ้นทุกครั้งที่เธอหายใจ ซึ่งตอนนี้เริ่มปรากฏแบบขาดห้วงแปลกๆก็เป็นสัญญาณอย่างดีว่าเธอ…ใกล้ถึงเวลาเต็มทีแล้วที่เธอจะต้องกลับสู่ผืนดิน
 
               เพราะเหตุนี้เอง พวกเขาเลยไม่สนใจที่จะช่วย เพราะมั่นใจ…ช่วยยังไงก็ไม่ทัน
 
               พวกเขาเดินผ่านมา…ก็ผ่านไป…
 
               ยกเว้น
 
               เอลฟ์ตนหนึ่ง…
 
               เอลฟ์ที่มีเส้นผมสีเงิน เอลฟ์ที่มีนัยน์ตาสีโกเมนที่แสนเย็นเยียบเสียยิ่งกว่าหิมะ เอลฟ์ตนที่ตัดสินใจที่จะเดินตรงไปหาร่างเล็กๆและรวบเธอเข้าหาตัว…รวบเธอเข้าหาไออุ่นที่เธอต้องการ
 
               เอลฟ์ที่กระซิบกับเด็กหญิงด้วยน้ำเสียงกระด้าง
 
               ‘แข็งใจ’
 
               ก่อนจะหายตัวไปจากบริเวณพร้อมกับใบไม้สีเขียว…ซึ่งไม่รู้ว่ามาจากไหนท่ามกลางหน้าหนาวที่ทุกอย่างกลายเป็นสีขาวโพลน
 
 

 
 
 
               จนถึงปัจจุบัน เงือกวารีก็ยังคงจำภาพเสื้อสีดำที่เขาใส่ในวันนั้นได้ดี ไออุ่นของเสื้อคลุมที่เธอซุกเข้าหาทันทีราวกับสัตว์ป่าตัวหนึ่งที่ไร้ที่พึ่ง และเสียงที่เย็นชาทว่า…กลับอ่อนโยนเสียจนเธอคลายใจ สลบไปในอ้อมแขนของเขาแทบจะทันที ‘นอนซะ’
 
               และสิ่งสุดท้ายที่เธอรับรู้ในวันนั้น…คือกลิ่นเลือดที่ควรจะทำให้เธอรู้สึกกลัวและรังเกียจ
 
               …แต่ก็ไม่
 
               “ท่านอาจารย์…”
 
                จิ้งจอกไฟจ้องปฏิกิริยาของคนที่ได้ชื่อ ‘ลูกศิษย์’ คนก่อนของตนเอง และคนที่ ‘เกือบจะเป็น’ เพื่อนของเขาด้วยสายตาเรียบเฉย ไร้อารมณ์
 
               ดังเช่นที่ทุกคนเห็นเป็นประจำ
 
               ไร้ความโมโห ไร้ความอ่อนโยน และไร้ซึ่ง…หัวใจ
 
                แต่สำหรับเงือกวารีที่รู้จักเขามาตลอด 19 ปีของชีวิต…ได้เห็นไฟที่เคยเต้นอยู่ในแววตาของเขายามเมื่อเขาเห็นเธอประสบความสำเร็จแล้ว…
 
สายตาของเขาในตอนนี้ทำให้เธอนึกสะท้อนในอก
 
                ‘รัศมีอันอบอุ่นที่ข้าเคยเห็นเมื่อตอนเป็นเด็ก มันหายไปไหน หายไปพร้อมกับกาลเวลารึเปล่าหนอ?’
 
                ได้แต่ก่นด่าตัวเอง ทำไมไม่เห็นเมื่อก่อนหน้านี้?
 
                “อาจารย์…” คำเรียกที่ไม่ได้ยินมานานสามารถทำให้หนังตาของจิ้งจอกไฟกระตุกเล็กน้อย และเพียงแค่นั้นก็ทำให้เงือกวารีรู้สึกเหมือนความพยายามของเธอไม่สูญเปล่าเสียทีเดียว
 
                อย่างน้อยเขาก็จำได้ว่าเคยมีศิษย์เช่นเธอ 
 
                “ท่านจำสัญญาได้ไหม?” น้ำเสียงของเอลฟ์สาวฟังดูไม่แน่ใจนัก และสีหน้าที่ซีดอยู่แล้วก็ซีดหนักเข้าไปเมื่อไร้คำตอบจากอีกฝ่าย ทว่า ท่ามกลางความหมดหวัง ความขบขันที่เกิดจากความคุ้นชินต่อท่าทางของจิ้งจอกไฟก็สามารถทำให้เธอเผยรอยยิ้มเศร้าๆออกมาได้ ‘ท่านอาจารย์นี่ช่างดื้อ…ดื้อเหมือนเดิมไม่มีผิด’
 
                “…” ไร้คำตอบ
 
                เงือกวารีหลับตาเบาๆ ก่อนจะถามต่อ แม้จะไม่อยากได้คำตอบว่า
 
                “ท่านคิดจะไปตายจริงๆสินะ”
 
                สิ้นคำถาม จิ้งจอกไฟก็เหลือบมองมาลูกศิษย์ของตนด้วยหางตา และ…โดยที่อีกฝ่ายไม่เห็น นัยน์ตาของเอลฟ์หนุ่มก็อ่อนลงเมื่อเห็นท่าทางสิ้นหวังและกระวนกระวายใจของเงือกวารีเข้าเต็มๆตา  
 
                “ข้าดูสิ้นคิดขนาดนั้นเชียวหรือ?”
 
                “ใช่”
 
                “ยังไง”
 
                “ก็…” เงือกวารีรู้สึกเหมือนขอบตาเริ่มร้อนผ่าวๆอีกครั้งเมื่อต้องพูดถึงสิ่งที่ไม่อยากจะพูด แต่ก็ยังทำเป็นใจแข็ง พูดชี้แจงต่อโดยพยายามไม่ให้ตนเองหลุดร้องไห้ออกมา “ท่านสัญญา…ท่านบอกจะไม่รับภารกิจที่นั่นอีก” 
 
                ความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีและความเป็นผู้หญิงแกร่งทำให้ท่ายืนและใบหน้าไม่ทรยศความรู้สึกใดๆออกมา แต่ในขณะเดียวกัน ความเป็นผู้หญิงที่ทำให้นัยน์ตาของหล่อนสั่นระริกและมองอ้อนวอนมาที่เขาเหมือนจะบอกให้เขาบอกว่าล้อเล่นอยู่ก็ทำให้จิ้งจอกไฟเห็นได้ชัดเจนว่าหล่อนกำลังคิดอะไร
 
                “แล้วเจ้าคิดว่าข้าตายง่ายไหม?” จิ้งจอกไฟถามต่อโดยไม่มองหน้าของเงือกวารี แต่ถึงกระนั้นก็ยังได้ยินเสียงสะดุ้งเฮือกของเธอที่ดังลอยมาเข้าหูเบาๆอย่างชัดเจน 
 
                “ไม่”
 
                หากจิ้งจอกไฟเป็นคนที่แสดงความรู้สึกง่ายดายกว่านี้แม้เพียงสักนิด เขาอาจจะหลุดยิ้มออกไปแล้วก็ได้เพราะน้ำเสียงเชื่อมั่นในตัวของเขาที่มาจากลูกศิษย์
 
                “แล้วเจ้าจะกลัวทำไม” เอลฟ์หนุ่มกล่าวด้วยกระแสตำหนิระคนสงสัย เพราะข้าไม่ใช่คนที่จะแสดงความรู้สึกอะไรออกไปได้…
 
                “ท่านอาจารย์…” เงือกวารีถอนหายใจเบาๆ อกที่หนักอึ้งเพราะความเจ็บปวดและความกลัวว่าจะถูกทอดทิ้งเริ่มเบาลงอย่างช้าๆ “ท่านเป็นเหมือนกับผู้ปกครองคนแรกของข้า เป็นคนที่ให้ความอบอุ่น ทำให้ข้ามีชีวิตรอดมาได้ ท่านไม่คิดว่ามันแปลกหรือหากว่าข้าจะไม่เป็นห่วงท่านน่ะ”
 
                …นั่นสินะ
 
                จิ้งจอกไฟนึกในใจอย่างสมเพชตัวเอง
 
                …น่าแปลกที่เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องแบบนี้เลย ยามเมื่ออาจารย์ของเขาใกล้จะตายเพราะเลือดที่ไหลจนจะหมดตัว
 
                ยามที่เห็นอาจารย์ที่ ‘ฝึกสอนวิชาฆ่าคน’ ให้แก่เขาค่อยๆหมดสิ้นซึ่งพลังชีวิตไปอย่างช้าๆ…ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า และเงียบงัน
 
               เป็นเพราะว่าเขาตกใจใช่รึเปล่า?
 
                หรือเป็นเพราะว่า…เขาเป็นคนเลือดเย็น เป็นคนใจไม้ไส้ระกำเฉยๆ?
 
                สงสัยจะอย่างหลัง
 
                “ข้าไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก”
 
                …แต่ก็อยากรู้เหมือนกัน โลกหลังความตายจะสวยงามเหมือนอย่างที่เคยได้ยินมารึไม่
 
                รึว่ามันจะเป็นนรก ที่รอเขาอยู่กันแน่
 
                เงือกวารีมีท่าทีโล่งใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อจิ้งจอกไฟพูดจบ นัยน์ตาโศกเมื่อครู่กลับเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายอย่างมีความสุขเมื่อคิดว่าอาจารย์ที่เธอรักประหนึ่งบิดาคนหนึ่งยังไม่ได้คิดจะจากเธอไปไหน ร่างกลมกลึงเดินเข้ามาประชิดเอลฟ์หนุ่ม (ที่ความจริงก็ไม่หนุ่มเท่าไหร่นัก) ก่อนที่จะยกมือขึ้นโอบกอดจิ้งจอกไฟดังที่เคยทำประจำเมื่อครั้งเป็นเด็กตัวเล็กๆ และพึมพำเสียงเล็ก
 
               “ท่านอาจารย์…”
 
               แม้จิ้งจอกไฟจะไม่กอดตอบ แต่เงือกวารีกลับรู้สึกเหมือนอยากจะอยู่ตรงนี้ไปนานๆ… อยากซึมซับความอบอุ่นของร่างสูงไปเยอะๆอย่างเพียงพอที่จะใช้ไปตลอดชีวิต เพราะไม่รู้ทำไม รูโหวงและความรู้สึเคว้งคว้างในใจถึงได้ไม่ยอมหายไปสักที แม้จะได้ยินคำยืนยันจากปากของอีกฝ่ายแล้วก็ตามเถอะ
 
 

 
 
คุยกับนักเขียน:
สวัสดีค่ะ วันนี้โพสต์ตอนใหม่ให้ทุกท่านได้อ่านกันสบายๆ... (เหรอ) อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้เนอะ เกสไม่ค่อยถนัดนวนิยายที่มีฉากต่อสู้เท่าไหร่ หรือถ้าจำเป็นต้องมีก็อาจจะเลี่ยงๆการเขียนฉากนั้นไป เพราะฉะนั้นอย่าหวังเรื่องต่อสู้แสนอลังการเลย... #สลด
แต่เพื่อเป็นการชดเชย ไรเตอร์เขียนฉากมุ้งมิ้งไว้เยอะมาก
เรื่องนี้จะเป็นนวนิยายที่เน้นความรัก มากกว่าความเป็นแฟนตาซียิ่งใหญ่ ขอให้คอแฟนตาซีแอคชั่นกระจายโปรดทำใจ -0- 
ขอบคุณค่ะ
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา