30 days for youสามสิบวันของผมกับนายเจ้าหนี้ตัวร้าย

10.0

เขียนโดย enzang2660

วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.42 น.

  16 บท
  3 วิจารณ์
  17.48K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 10.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) บทที่ 4 รับเคราะห์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่ 4
รับเคราะห์
                  
                   ผมเคยวาดฝันไว้ว่า หากผมป่วยหรือบาดเจ็บนอนซม สิ่งที่ผมต้องการก็แค่ใครสักคนที่เขาจะใจดีสละเวลามาดูแลผม  ผมคิดแบบนั้น แต่นั่นอาจหาไม่ได้กับแม่บังเกิดเกล้าของผม
                   “อย่าลืมเอาผ้าห่มของเปาไปซักนะยู”
                   “คร้าบ~”
                   “วันนี้เปามันดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลยแหะ”
                   “มันก็หน้าย่นเหมือนโดนสิบล้อทับแบบนี้ทุกวันอ่ะ”
                   “ดูแลเปาด้วยนะยู แม่ไปก่อนนะ”
                   ลับแผ่นหลังแม่ไปผมก็หันมองลูกพี่ที่นอนน้อยลายยืดอยู่กับพื้น  ที่ผมหยุดเรียนโง่อยู่บ้านวันที่สองนี่ไม่ใช่ว่าโรคสำออยกำเริบจนเดินไม่ได้นะ แต่แม่บอกไหน ๆ ก็ขาเจ็บแล้วก็หยุดอยู่บ้านดูแล(รับใช้)เจ้าเปามันด้วย
                   “สรุปฉันเกิดมาเป็นเป็นขี้ข้าลูกพี่สินะ”
                   ผมถอนหายใจยาว  ทิ้งแผ่นหลังราบไปกับโซฟา  ซักพักบานประตูกระจกก็ถูกเลื่อนออกโดยที่ร่างของใครบางคนแทรกเข้ามาภายใน
                   “ไหนบอกสิว่าบุกรุกเข้าบ้านคนอื่นต้องจำคุกกี่ปี” ผมเอ่ยถามลอย
                   “มาตรา ๓๖๔ ผู้ใดไม่มีเหตุอันสมควร เข้าไปหรือซ่อนตัวอยู่ในเคหสถาน อาคารเก็บรักษาทรัพย์สินหรือสำนักงานในความครอบครองของผู้อื่น หรือไม่ยอมออกไปจากสถานที่เช่นว่านั้น เมื่อผู้มีสิทธิที่จะห้ามมิให้เข้าไปได้ไล่ให้ออก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
                   “ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ตามนั้นแหละ เชิญออกไปได้แล้ว”
                   “เสียใจด้วยนะ แม่นายอนุญาตให้ฉันเข้ามาเอง”
                   “ไม่ต้องการ”
                   “ฉันซื้ออาหารเช้ามาให้ด้วย”
                   ธันชูถุงพลาสติกสีขาวขุ่นก่อนจะเดินไปหลังเคาเตอร์เพื่อเตรียมอาหาร  น่าแปลกที่วันนี้มันใส่ชุดลำลองเสื้อยืด กางเกงขายาวแทนที่จะเป็นชุดนักศึกษา
                   “วันนี้ไม่มีเรียนหรอ”
                   “ไม่มี”
                   “แล้วไม่ไปค่ายปลูกป่าหรอ พวกดาวเดือนต้องไปไม่ใช่หรอ”
                   “ไม่ไป”
                   “จะไม่เป็นไรหรอ ทำไมไม่ไปล่ะ”
                   “ฉันโทรไปบอกแล้วว่าไม่ไป ขาเจ็บ”
                   “เดี๋ยว?คนเจ็บมันฉันไม่ใช่หรอ!”
                   พูดแล้วขึ้น ถ้าวันนั้นมันจับรถไว้ผมคงไม่ต้องอยู่ในสภาพนี้หรอก
                   “สามีภรรยาก็เหมือนบุคคลๆเดียวกัน”
                   “มันจะมั่วนิ่มเกินไปแล้วมั้ง! แล้วใครเป็นเมียแกห๊ะ!”
                   “ตอนแรกฉันตั้งใจจะให้ยูเลือกก่อนนะ แต่ถ้าอยากเป็นฝ่ายรับฉันก็ยินดี”
                   โอ้ย! ยิ่งคุยด้วยเส้นประสาทผมยิ่งกระตุกรัว มันจะกวนผมให้ได้อะไรเนี่ย  ไม่อยากทะเลาะด้วยหรอกนะ  พอได้กินโจ๊กหอม ๆ แล้วผมก็หิวขึ้นมาทันทีเลย  รู้ใจดีนี่ว่าผมกำลังอยากกินโจ๊ก
                   “ของยู”
                   หมูกระเทียม หมูฝอยและข้าวเหนียวถูกจัดใส่จานขนาดเท่าฝ่ามือ  อันนี้ก็น่ากินนะแต่ผมอยากกินโจ๊กมากกว่าอ่ะ
                   “อันนี้ของเปา”
                   ผมมองตามร่างสูงที่บรรจงวางชามอันเต็มไปด้วยข้าวเนื้อละเอียดส่งกลิ่นหอมชวนหิว
                   “ฉันจะกินโจ๊ก!”
                   “เทไปแล้ว”
                   “ทำไมไม่ถามก่อนเล่า!”
                   “แบ่งกันเองแล้วกัน”
                   ของที่เทใส่ชามแล้วหมามันแบ่งกันได้ด้วยหรอ! ถึงจะอยากแบ่งแค่ไหนก็ไม่ทันแล้วล่ะ  เจ้าหมาหน้าย่นตวัดลิ้นสาดน้ำลายแสดงความเป็นเจ้าของเรียบร้อยแล้ว  แต่ก็ต้องหดลิ้นกลับเมื่อเจอกับความร้อนระอุของโจ๊ก
                   “มันยังไม่กิน ให้เอาชามมาแบ่งไหม”
                   “จะบ้าหรอน้ำลายเยิ้มเต็มชามขนาดนั้นแล้ว! เดี๋ยวติดเชื้อหมาบ้าจะทำยังไงเล่า!”
                   “เชื้อมันทำอะไรยูไม่ได้หรอก เชื้อยูแรงกว่าเยอะ”
                   “เดี๋ยวก็กัดซะหรอก!!”
                   “ฉันเรียกค่าทำขวัญนะจะบอกให้”
                   “เลิกคุย!”
                   เรื่องเงินเรื่องทองผมไม่มีจะจ่ายหรอกนะ
                   “ฉันเอารถมอไซค์ไปซ่อมให้แล้วนะ จ่ายให้เรียบร้อย”
                   มันเดินมานั่งลงข้างผม  เรื่องนี้ผมก็กังวลอยู่เหมือนกันมันบอกว่าเบรกขาดเลยต้องเปลี่ยนสายเบรก 
                   “ขอบใจนะที่ออกให้”
                   “ฉันบวกเพิ่มกับหนี้เก่าไปแล้ว”
                   “ขอบคุณ....”
                   น้ำตาแห่งความปลื้มปิติแทบจะเหือดแห้งกลายเป็นเลือดจับตัวหนาแน่นแทน  เป็นหนีเพิ่มอีกแล้วกู  ฮืออออ
                   “ฉันคิดดอกไม่แพงหรอก”
                   “แค่กระอักเลือดสินะ”
                   “หมดตัวเลยล่ะ”
                   “มึงงงงง!!”
                   ชีวิตของผมทำไมมันโชคร้ายแบบนี้นะ  สวรรค์คิดจะกลั่นแกล้งผมไปถึงไหนกัน  ไอ้บ้านี่ด้วย! ผมไปทำอะไรให้มันทำไมต้องมารีดเลือดกับปูตัวน้อยๆอย่างผมด้วย
                   “ผ่อนวันละสิบบาทนะ”
                   “ผ่อนหมดลูกฉันคงบวชพอดี”
                   “เวอร์น่า”
                   “ฉันคิดดอกรายวันนะ”
                   “ใจร้ายเกินไปแล้วนะเว้ย! ลดหน่อยสิ”
                   “ลดให้ห้าบาท”
                   “ช่วยได้มาก ขอบพระคุณมาก!”
                   “ไม่เป็นไร”
                   “กูประชด!!”
                   ผมเขวี้ยงหมอนอิงใส่มัน  หันไปสวาปามอาหารอันโอชะด้านหน้าดับอารมณ์โมโห  ไอ้เจ้าหนี้ตัวร้ายก็ยังไม่วายหาเรื่องรีดไถผมอยู่ดี
                   “มื้อนี้จ่ายด้วยนะ”
                   “ไอ๊อ่าย (ไม่จ่าย)”
                   “ฟังไม่รู้เรื่อง ไม่ต้องกินแล้วคายออกมา”
                   “อากอ้ายอ่ออาเอาไออากเอง!(อยากได้ก็มาเอาในปากเอง!)”
                   “ได้!”
                   เฮ้ย! ทีประโยคยาวอย่างนี้ดันฟังออก  มือใหญ่บีบแก้มผมพร้อมโน้มใบหน้าเข้ามาหา  นึกจะเบี่ยงหน้าหลบมือมันก็ล็อคจับไว้เลยทำอะไรไม่ได้  ได้แต่ประท้วงอู้อี้  เดี๋ยวก็ถุยใส่หน้าซะหรอก อะๆ ไม่เอาเสียดายกลืนก่อน
                   “เฮ้ย! เอาหน้าออกไป!”
                   “กินแล้วจ่ายด้วย”
                   “ไม่จ่าย!”
                   “งั้นก็เลือกเอาจะจ่ายด้วยเงินหรือจ่ายด้วยร่างกาย”
                   เหอออ! ขุ่นพระ เซรีบบัมเอ็งทำงานผิดปกติไปแล้วหรอวะ!
                   “ร่ายกายแล้วกัน”
                   ผมอ้าปากค้างตาแทบกระโดดออกมารำไทเก็ก เฮ้ย! รอให้กูตอบก่อนไม่ได้หรือไง
                   “เอาจริงดิ!”
                   “จริง!”
                   “มึงบ้าแล้ววว!”
                   “ติดเชื้อมาจากยูไง”
                   “อย่ามาโทษกู!”
                   ถึงแม่ผมจะพร่ำสอนว่าอย่าไปกัดใครเดี๋ยวเขาติดเชื้อเอา แต่เชื้อผมมันไม่น่าแรงพอจะทำให้ใครวิปริตได้ขนาดนี้นะ
                   “อะ...ไอ้ธัน!”
                   มันกดไหล่ผมจมไปกับโซฟาก่อนขยับตัวโน้มตามลงมา  ผมกระพริบตาปริบ ๆ เหมือนสมองมันไม่สั่งการ  สงสัยเส้นประสาทผมมันจะขรุขระมากการสั่งการมันเลยวิ่งมาช้าซะเหลือเกิน  เอามือชกมันสิฟะไอ้ยู! ไม่งั้นเสร็จมันแน่! ว๊ากกก! นี่ผมจะเสร็จมันจริงๆหรอเนี่ย
                    ติ๊งหน่อง!
 
                   เสียงสัญญาณออดดังช่วยชีวิตผมไว้พอดี  ธันหยุดชะงักแทบทันที เลยเป็นโอกาสทองให้ผมได้ผลักตัวมันออกไปห่าง ๆ
                   “ฉะ..ฉันจะไปเปิดประตู”
                   “ฉันไปเอง”
                   ร่างสูงรีบรุดออกไป  ไม่ทันได้เห็นว่ามันทำหน้าบึ้งที่มีคนมาขัดจังหวะหรือเปล่า อ่ะ! ผมก็ไม่ได้หวังให้มันทำหน้าไม่พอใจหรอกนะ
                   ซักพักนึงธันก็เดินนำเหล่ามนุษย์เพศชายจำนวน 3 คนกับเพศหญิงอีก 2 คนเข้ามาภายใน  สองคนแรกก็คือไอ้เมศ ไอ้เฟรม ตามมาด้วยยัยแฝดจอมจุ้นลินกับนิน และคนสุดท้าย....
                   “พี่เก่ง!”
                   ใบหน้าขาวใสประดุจใยสำลีแบบนี้จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้  เจ้าของชื่อคลี่ยิ้มจนรอยข้างแก้มบุ๋มลงไป
                   “ทักพี่ก่อนเพราะเห็นของกินใช่ไหมเนี่ย”
                   พี่เก่งพูดแหย่พลางชูถุงขนมพรุงพรังในมือขึ้น  ผมได้แต่อมยิ้มเขิน ๆ แหม ผมไม่ใช่คนเห็นแก่กินซะหน่อยนะ...รู้ทันจริง!
                   “ไม่ต้องลำบากซื้อมาก็ได้นะครับ  เกรงใจ”
                   “ในถุงไม่ใช่ของพี่คนเดียวหรอก มีคนอื่นฝากมาเยี่ยมด้วย”
                   “ดีจัง รู้งี้จะได้รถล้มบ่อย ๆ จะได้มีของฟรีกิน”
                   “อย่างงั้นพี่คงเป็นห่วงแย่”
                   จะเขินดีไหม  ถ้าเป็นคนที่ผมพูดมาชอบผมคงลอยเป็นลูกโปร่งสวรรค์ไปแล้วล่ะ 
                   “ห่วงตัวเองเถอะครับ เดี๋ยวจะโดนแฟนเขาต่อยปากแตก”
                   งานเสี้ยมงานตีขอให้บอกไอ้เฟรมเถอะ! ตัวดีนักเชียว
                   “เจ้าของเขายังไม่ว่าเลย ทำไมคนอื่นชอบยุ่งจัง”
                   ผมมองไปทางธัน  มันยังยืนนิ่งเป็นท่อนไม้  ไม่แสดงออกทางสีหน้าและแววตา  เรียกว่าเป็นปกติเวลาอยู่กับคนอื่นล่ะนะ  มันคงไม่หึงหรอกเนอะ
                   “โห้ย! ธันปล่อยให้คนอื่นเรียกคะแนนแบบนี้ได้ไงอ่า”
                   “ใช่ ๆ มันต้องหึงโหดๆ แบบลากนายเอกไปปล้ำหลังครัว”
                   ยัยแฝดสายวายเริ่มโวยวาย  ผมนี่ขนลุกขนพองไปทั้งร่าง  ลากไปปล้ำเลยหรอ เฮ้ย! มันจะเกินไปไหม
                   “พอ ๆ ยัยสองคนนี้อย่าเอาเรื่องจริงมาล้อเล่นสิ”
                   “ไอ้เมศมึง!”
                   ถ้าไม่ติดว่ายกขาแล้วมันเจ็บนะผมจะเอาเท้าจารึกบนใบหน้าของมันซักทีนึง!
                   “นี่พวกกูมาผิดเวลาเปล่าวะ ทำไมแฟนมึงดูหน้าตึงๆ” ไอ้เมศยังคงถามต่อ
                   “หน้ามันก็เป็นเงี้ยแหละ”
                   “หรอ แล้วอยู่บ้านมึงไม่ติดกระดุมเสื้อหรอวะ”
                   กระดุม?  พอมองลงไปที่เสื้อคอปกของตัวเอง  มันไม่มีกระดุมกลัดอยู่เลย แถมคอมันยังกว้างจนเห็นเข้าไปถึงลิ้นปรี่เลยด้วย
                   “เห้ยๆ กูมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่าเนี่ย”
                   ทั้งหมดเล็งเป้าไปที่ชายหนุ่มหน้านิ่งที่ยืนพิงเสาไม่แสดงอาการอะไร  ผมก็โล่งอกไปเปาะหนึ่ง แต่พอมันหันมาสบตาผมเท่านั้นแหละมันก็เม้มมุมปากขึ้นแล้วถอนหายใจเบา ๆ
                   “กรี๊ดดดดดดดดดดดด/กรี๊ดดดดดดดดด”
                   ไอ้เมศยิ้มกรุ่มกริ่ม  ส่วนยัยแฝดก็แผดเสียงลั่นบ้านเล่นเอาผีบ้านผีเรือนตกใจกันทั้งหลังเลยทีเดียว
                   “บ้า! ไม่ได้ทำอะไรกันซะหน่อย!” ผมรีบแก้ตัวก่อนเลย
                   “ร้อนตัวนะมึง” ไอ้เฟรมรีบดัก
                   “เอ้า! อากาศมันร้อนไงกูเลยต้องปลดกระดุม!”
                   “ร้อนเชี่ยไรแอร์เย็นชิบหาย”
                   “มึงก็ อย่าจับผิดกูดิ”
                   “นั่นไง! มึงทำจริงๆใช่ไหม”
                   “ไม่ช่ายย!”
                   กูแก้ต่างอะไรไปพวกมึงก็ไม่ฟังกูแล้ว ขนาดยัยแฝดนั่นยังเลือดกำเดาพุ่งกระฉูดแล้ว  พวกเธอคิดกันไปถึงไหนวะเนี่ย
                  
                   ปุ้บ!
 
                   ถุงขนมหล่นลงบนโต๊ะอย่างกับจัดวาง  พี่เก่งขยับแว่นมองมาทางผมสลับกับธัน  อย่าบอกนะวะพี่เขาดันเชื่อเจ้าพวกนี้
                   “พี่กลับก่อนนะ” พี่เก่งบอกแล้วหันหลังกลับ
                   “เดี๋ยวสิครับพี่เก่ง! ไอ้พวกนี้มันแกล้งผมเฉย ๆ ไม่มีอะไร” ผมรีบบอก
                   “คนจะกลับจะไปรั้งเขาไว้ทำไม  เขาจะกลับไปกินน้ำใบบัวบกก็ปล่อยเขาไปสิ” ไอ้เฟรมพูด
                   “พี่นึกได้ว่ามีธุระน่ะ”
                   “จริงอ่ะ โล่งอกนึกว่าพี่บ้าจี้ตามไอ้พวกนี้ซะอีก”
                   “ข้ออ้าง!”
                   กระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านหน้าผมไป  ตอนนี้พี่เก่งกับไอ้เฟรมจ้องตาอย่างกับจะกินอีกฝ่ายเข้าไป  นี่ถ้าขืนส่งมีดให้ล่ะก็ได้ฟันกันตายแน่เลย
                   “ไม่เชื่อก็ตามใจนะ ฉันไม่แคร์อะไรนายอยู่แล้ว”
                   “ไม่ต้องเมตตาสละสายตาผ่านม่านตาตี่ๆนั่นมามองผมหรอกครับคุณพี่”
                   “พี่กลับก่อนนะ ไว้คราวหน้าพี่จะซื้อขนมมาให้ใหม่”
                   “ผมกลับด้วยสิ ผมก็มีธุระพอดี”
                   “ธุระอะไรไม่ทราบ”
                   “ธุระที่อยากรู้ว่าคุณพี่จะไปแอบร้องไห้ที่ไหน”
                   ตาย... พวกมึงต้องการทำสงครามกันใช่ไหม  ใครก็ได้หยุดทีเถอะ
                   “คุณสองคน?”
                   พ่อตุ๊กตาไขลานเริ่มขยับปากพูดบ้างหลังจากยืนเงียบกริบมาจนเกือบจบตอน  สองคนนั้นทำหน้างงกึ่งตกใจ(ตกใจทำไมวะ ตกใจที่มันพูดได้หรอ) ธันเลยว่าต่อ
                   “ขอเชิญไปที่ประตูหน่อยครับ”
                   สองคนนั้นเหมือนโดนยาสั่ง  เดินไปที่ประตูอย่างเบลอ ๆ
                   “ออกไปยืนตรงนั้นนะครับ”
                   มันชี้นิ้วสั่งให้สองคนนั้นไปยืนตรงทางเดินหน้าบ้าน
                   “กลับบ้านดี ๆ นะครับ”
                   สิ้นเสียงมันก็เลื่อนประตูปิดส่งแขกให้ผมเสร็จสรรพ  ซ้ำยังมีหน้าเดินมาแกะขนมที่พี่เก่งหิ้วมาให้อีก  เออ มึงไล่เขาแต่กลับมานั่งกินของ ๆ เขาเนอะ ผมได้แต่หัวเราะ  ไม่คิดว่ามันจะกล้าทำกับเพื่อนและรุ่นพี่ผมแบบนี้ สะใจดีชะมัด
                   “ไล่เขาแล้วยังจะกินของเขาอีก” ผมแซวมัน
                   “เพราะฉันไม่อยากให้ยูกินของๆคนอื่นน่ะสิ”
                   ผมเม้มปากข่มอาการบนใบหน้า  ไม่ใช่โกรธนะแต่ปากผมมันเหมือนจะยิ้มอ่ะ  บ้าเอ๊ย! จะยิ้มทำไมกันเล่า
                   “กลับบ้านกูคงความดันขึ้น” ไอ้เมศบ่น
                   “ไรมึง” คำถามอันเต็มไปด้วยความปรารถนาดีจากผม
                   “หวานเกิน”
                   หวานอะไรไม่หวานซักนิด! หลังจากนั้นผมกับไอ้เมศก็ก่อสงครามแย่งขนมกัน  สุดท้ายก้โดนไอ้ธันแย่งไปกินซะหมด  แอบได้ยินเสียงบ่นจากแฝดสาวว่าต้องการเลือดเพิ่มด้วย  พวกเธอฟินระยะสุดท้ายแล้ว  ไอ้ระยะสุดท้ายน่าจะเป็นสมองมากกว่านะ  เพี้ยนไปกันใหญ่แล้วไอ้พวกบ้าพวกนี้
 
                   “ติดไฟแดงอีกแล้ว! ขับอย่างนี้เมื่อไหร่จะถึงบ้านเนี่ยคุณพี่”
                   เฟรมสะบัดหัวตัวเองให้ยุ่งเหยิง ปากก็ต่อว่าคนขับรถด้านข้าง  เก่งพยายามสะกดความรำคาญไว้ในใจ เขาเป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่แสดงอารมณ์ขุ่นมัวต่อหน้ารุ่นน้อง  แต่กับเด็กคนนี้....
                   “มาขับเองสิ”
                   “จริงเปล่า บอกไว้ก่อนนะว่าผมเคยขับรถแข่งมาแล้วด้วย”
                   “งั้นหรอ ไม่ยักรู้”
                   “ในเกมน่ะนะ ฮ่าๆ”
                   “เหอะ!”
                   “มา ๆ เปลี่ยนกันเดี๋ยวผมขับเอง”
                   “ฉันไม่เอาชีวิตอันมีค่าไปฝากไว้กับนายหรอกนะ”
                   “คนเราเกิดมาก็ต้องตาย จะกลัวอะไร”
                   “ฉันยังตายไม่ได้เพราะมีสิ่งที่อยากทำอยู่”
                   “อะไรอ่า”
                   “ไม่รู้สักเรื่องจะได้ไหม”
                   “พูดแบบนี้ยิ่งอยากรู้เลยอ่ะ ต่อมน้ำเหลืองผมนี่สั่นไปหมดเลย~”
                   “สงสัยนายใกล้จะตายแล้วล่ะมั้ง”
                   “พูดกับคุณพี่แล้วปวดประสาท!”
                   ...ฉันต่างหากที่ปวดประสาท ทั้งโดนยั่วโมโห ทั้งโดนก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว... เก่งได้เพียงแต่บ่นอยู่ในใจ  ขืนพูดออกไปเจ้าเด็กนี่คงเดินเคลื่อนทำลายระบบประสาทเขาอีกแน่
                   “โชคดีหว่ะ! เหลือขนมกล่องนึง”
                   เฟรมเอี้ยวตัวไปเบาะหลัง  คว้าได้กล่องสีน้ำตาลผูกทับด้วยริ้บบินสีทอง  ด้วยความอยากกินเฟรมรีบแกะกล่องขนมออกทันที  เก่งที่ลอบมองอยู่ก็รีบออกปากห้าม
                   “นั่นมันของยู!”
                   “เหอะน่า มันก็ได้ไปเยอะแล้วถือว่าช่วยมันกินไง”
                   “เก็บเดี๋ยวนี้”
                   “ไม่ โห้! ช็อกโกแลตซะด้วย”
                   เมื่อเปิดกล่องออกก็พบกับขนมหวานก้อนกลมจัดวางอยู่ภายในกล่อง  เฟรมไม่สนคำพูดของรุ่นพี่รีบโยนช็อกโกแลตก้อนกลมเข้าปากทันที
                   “หว๊าน...หวาน”
                   ไม่พอยังทำหน้าเคลิ้บเคลิ้มป่วนประสาทหนุ่มแว่นด้านข้าง  เก่งขมวดคิ้วจอดรถข้างทางแล้วลงมือแย่งกล่องขนมกลับมา
                   “นายนี่มันเป็นเพื่อนภาษาอะไรห๊ะ!”
                   เขาขึ้นเสียงดัง  อีกฝ่ายทำตาโตก่อนจะนิ่งสนิทไป  เก่งรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันทีหรือว่าเขาจะตวาดเสียงดังเกินไป
                   “เฮ้...”
                   เก่งรู้สึกถึงความผิดปกติ  ใบหน้ายียวนที่ทำเหมือนเคลิบเคลิ้มกับรสชาติเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นเหยเกผิดรูป  เฟรมอ้าปากปล่อยคราบขนมเหนียวเหนอะหนะลงในรถ ทำเอาเก่งสะดุ้งและต่อว่าทันที
                   “เฮ้ย! เลอะเทอะหมดแล้วเจ้าเด็กบ้า!”
                   เฟรมเปิดประตูคายของทั้งหมดออกจากปากพร้อมบ้วนน้ำลายทิ้ง  เขาหันกลับเข้ามาควานหาอะไรบางอย่างไหนรถ  เมื่อได้ขวดน้ำเขาก็รีบคว้าไปใช้ทันที
                   เก่งเห็นท่าทางเฟรมดูไม่ดีด้วยความเป็นรุ่นพี่เขาจึงเป็นห่วงรุ่นน้อง  มือปลดสายรัดแล้ววิ่งไปดูอาการคนที่นั่งโก่งคออยู่นอกประตู
                   “เป็นอะไรหรือเปล่า”
                   เมื่อเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นคราบน้ำที่ไหลออกมาจากปากก็หยดลงมา  เก่งตาโตเมื่อเห็นว่าน้ำนั่นเป็นสีแดงเขารีบจับเด็กหนุ่มอ้าปากตรวจดูด้านใน  ลิ้นสีชมพูในตอนนี้ถูกลบไปด้วยเลือดถึงแม้จะถูกบ้วนออกไปบ้างแล้วแต่ก็ยังไหลออกมาอยู่ดี
                   “อัน..อี..อะ”
                   “ไม่ต้องพูดๆ”
                   เห็นท่าทางไม่ดี  เขาก้มลงมาเศษโลหะเล็กๆที่สะท้อนแสงออกมาจากกองเศษขนม
                   ...ไม่ผิดแน่ มันต้องเป็นเศษใบมีด...
                   เขารู้สึกขนลุกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว  มันน่าหวาดเสียวซะเหลือเกิน  เก่งลองเอาฝากล่องบดขยี้ก้อนช็อกโกแลต  ภายในนั้นเต็มไปด้วยเศษโลหะแหลมน่ากลัว  เขาไม่อยากจะนึกเลยว่าจะเคี้ยวเจ้านี้และกลืนลงไป ข้างในคอเขาจะเป็นอย่างไร
                   “ถือว่าเป็นการลงโทษที่แอบกินขนมคนอื่นแล้วกัน”
                   เฟรมได้แต่ย่นจมูกไม่พอใจที่โดนซ้ำเติม
                   ..โชคดีที่ยูไม่ได้กินมันเข้าไป...
                   แต่เขาก็ไม่ได้อยากให้เจ้าเด็กนี้มากินมันแทนหรอกนะ  เพราะความตะกละแท้ ๆ เชียวที่ทำให้เป็นแบบนี้  เขาคนไม่มีคนทะเลาะด้วยไปอีกยาวเลย 
                   ..ใครเป็นคนทำเรื่องนี้กันนะ...
                   เรื่องนี้เขาต้องหาคำตอบให้ได้!
 
 
 
++++++++++++++++++++
ยังมีคนอ่านอยู่ไหม หรือไม่มีตั้งแต่แรกแล้วT^T

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา