Creepypasta Family The Broken Myth

9.5

เขียนโดย Leragan

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.43 น.

  24 chapter
  9 วิจารณ์
  37.83K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 14.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) [ตอนพิเศษ 1] Go To Sleep

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 (ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 180 เอ้ย 18 ปี ควรใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ เพราะตอนนี้เป็นตอนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตคน ความบ้าคลั่ง เลือด และอบายมุขบางอย่าง ขนาดตัวผมเองซึ่งเป็นคนเขียนยังต้องใช้วิจารณญานในการเขียนเหมือนกัน..อิอิ)                             

                              ในเมืองแห่งหนึ่ง อากาศในเมืองหนาวเย็น ทั้งยังมีหิมะตกบางๆ  แต่ไร้ซึ่งจุดสิ้นสุด ถึงจะดูเหมือนกับว่าเย็นสบาย แต่ความจริง ความหนาวที่เกิดนี้ทำให้ผิวหนังของคนเราแห้ง และแตกได้ ในเมืองนี้นอกจากจะมีหิมะที่ตกแล้ว ยังเป็นเมืองที่มีความยุ่งเหยิงมากอีกที่นึง ทั้งการอาชญากรรม การฆาตรกรรม การแก่งแย่งชิงดี การต่อว่า รวมถึงการตบตีและทะเลาะเบาะแว้ง เรื่องชกต่อยในหมู่วัยรุ่นนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ในตอนนี้ ที่แห่งหนึ่งในเมืองกำลังเกิดการทะเลาะวิวาทที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่ง
                              "เอ็งลุกขึ้นมาคุยกับข้าก่อนสิ..ไอเจฟ" เด็กหนุ่มคนหนึ่งชกหน้าของผมอย่างแรง ทำให้ผมล้มลงไปนอนกองอยู่กับพื้น และเด็กหนุ่มคนนั้นก็นั่งค่อมไปที่หน้าอกของผม พร้อมกับกระชากคอเสื้อของผมมาอย่างแรง เพื่อให้ผมได้สติ "ทำไมแกถึงฆ่าโคดี้..นี่แกข้ามันทำไมห่ะ ไอ้สลัดเจฟ"
                              ในตอนนี้ร่างกายของผมนั้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะตอบโต้กลับไป ผมได้แค่นั่งรอการทรมานของมัน แต่ผมก็ไม่ยอมเพียงฝ่ายเดียว จึงต้องยอมเล่นของสกปรก เพื่อให้เป็นการยุให้โกรธขึ้นไปอีก
                              "ถุ้ย...ไอ้โง่ นี่แกยังไม่รู้อีกเหรอว่าทำไมชั้นถึงฆ่ามัน มันเพราะพวกแกทั้งสองโบ้ยความผิดที่พวกแกทำมาให้ลูว์ มันทำให้เค้าติดคุก หมดอนาคต ต้องมาลำบากอีก แล้วไอ้โคดี้มันก็ใส่ร้ายป้ายสี บอกเรื่องโกหกให้ตำรวจ..มันน่ะน่าจะตายไปตั้งนานแล้ว...อั้ก" ก่อนที่ผมจะพูดจบ ก็ถูกกำปั้นของเด็กหนุ่มคนนั้นเข้าที่ใบหน้าอย่างเต็มแรง ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นใช้เท้ากระทืบและเตะใส่ลำตัวผมไม่หยุด จนตัวผมนั้นกระอักเลือดออกมาทั้งทางปากและทางจมูก ตอนนี้ภาพทุกอย่างพล่ามัว เหมือนกับชีวิตของผมในตอนนี้
                              "ไอ้ลูว์มันหมดอนาคตตั้งแต่ชั้นอัดฉีดโคเคนใส่เส้นมันแล้ว..พูดแล้วก็นึกถึงหน้ามันตอนนั้นสะใจจริงๆ...ฮ่าฮ่าฮ่า" เด็กหนุ่มคนนั้นหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง อาจด้วยเหตุเพราะความสะใจหรือไม่ก็เพราะฤทธิ์ของยาเสพติด ถึงแม้ว่าคำพูดนี้จะตลกขบขันสำหรับคนพูด แต่มันทำให้ผมเดือดพล่านไปด้วยโทสะ ความอาฆาตแค้นอย่างที่สุด ในหัวของผมตอนนี้ไร้ซึ่งสติและความคิด ตอนนี้ในหัวของผมมีแต่การฆ่าคนตรงหน้า "ไอ้สารเลว..แรนดี้ เอ็งตายไปซะเถอะ"
                              ผมผลักแรนดี้ที่กำลังนั่งค่อมผมให้กระเด็นออกไป และผมก็นั่งค่อมแทน ผมกระชากคอเสื้อของแรนดี้อย่างแรง แต่ด้วยประสบการณ์ของมันทำให้สามารถใช้แรงกระชากนี้เปลี่ยนเป็นการเสริมแรงผลัก ทำให้ผมกระเด็นออกจากที่เดิม แต่ก็ยังพอทรงตัวในท่ายืนอยู่ได้บ้าง มันลุกขึ้นพร้อมกับจ้องตาผมเขม็งใส่ผม ก่อนจะวิ่งมาที่ผมอย่างรวดเร็ว มันใช้มือซ้ายต่อยเข้าไปที่หน้าของผม แต่ผมสามารถหลบได้ ทำให้เกิดช่องว่าง ผมจึงใช้ช่องว่างนี้ ยัดหมัดอัปเปอร์คัทเสยหน้าของแรนดี้ ทำให้เกิดช่องโหว่ขนาดใหญ่ขึ้น ผมจึงใช้เวลานี้ใช้สันมือทุบไปที่ลูกกระเดือกของแรนดี้อย่างแรง ก่อนจะใช้เท้าถีบมันให้ล้ม แล้วไปนั่งค่อมก่อนจะต่อยใส่หน้าอกตรงจุดของหัวใจพอดี แรนดี้ในตอนนี้ทำได้เพียงแค่นอนพะงาบๆ หายใจเพื่อต่อชีวิตของตน แต่มันคงจะสายไป เพราะหมัดสุดท้ายได้เข้ากระทบกับจุดเดิม แรนดี้จึงจบชีวิตลง หลังจากที่ฆ่าแรนดี้ ผมก็ลุกขึ้นมาอย่างช้าก่อนจะมองไปรอบๆ ภาพที่ผมเห็นนั้นคือหมู่คนกำลังร้องไห้ เสียใจ หวาดกลัว รวมทั้งเกลียดชัง และก็มีชายวัยกลางคนสองคนเดินเข้ามาหาเจฟอย่างช้าๆ แต่ด้วยลางสังหรณ์บางอย่าง ผมจึงรีบวิ่งหนีออกไป หลังจากที่ผมหันหลังวิ่งหนีมาทางตรอกซอยแคบๆ ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลังอย่างต่อเนื่อง ผมรู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นชายสองคนนั้นแน่ๆ

                              "หยุดเดี๋ยวนี้นะ..ไอ้ฆาตกร" หนึ่งในชายวัยราวๆสามสิบที่กำลังวิ่งตามผมอยู่พูดขึ้น พร้อมกับกระซิบสั่งการเพื่อนข้างๆของเขา แต่ผมนั้นยังคงได้ยิน "โค้ด..ไปดักหน้าไอ้เด็กนั่นก่อน เดี๋ยวชั้นตามไป เออ..ระวังด้วย ไอ้เด็กนั่นเก่งพอตัวเลย เพราะเด็กที่มันฆ่าน่ะเป็นถึงคนในแก๊งอันธพาลประจำเมืองเชียวล่ะ ระวังด้วยละกัน..ไปได้"

                              "ตามนั้นเลย..แล้วเจอกันเคธ" โค้ดพูดขึ้นก่อนใช้ทางลัดเพื่อจะวิ่งมาดักหน้าผม                              

                              ผมวิ่งไปได้สักพักก็ถูกชายวัยสามสิบคนหนึ่งดักหน้าไว้ ผมหันไปมองรอบกายเพื่อหาเครื่องป้องกันตัว แต่ก็ไม่พบจึงแหงนหน้าไปมองด้านบน จึงพบกับราวตากผ้าเหล็กยาวสักสองเมตร ผมจึงรีบดึงมันลงมาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นผมก็ควงราวตากผ้าสองสามรอบเพื่อสร้างความคุ้นชินแก่มือของผม หลังจากวอร์มได้ที่ ผมก็วิ่งพุ่งไปหาชายคนนั้น ซึ่งในตอนนี้เขาก็กำลังถือไม้กระบองไว้อยู่เช่นกัน ที่ผมทำท่าเหมือนกับจะพุ่งทะลวงไปนั้น มีจุดประสงค์เพื่อหลอกชายคนนั้นให้โจมตี ซึ่งมันเป็นไปตามแผน ผมใช้ราวตากผ้าดีดตัวเองขึ้นข้ามหัวของชายคนนั้นที่ใช้ไม้กระบองตีอากาศ เมื่อลงถึงพื้น ผมรีบบิดตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมกับใช้สันมือนี้ตีเข้าไปที่ท้ายทอยของชายคนนั้นอย่างแรง ก่อนที่ผมจะหันหลังกลับและวิ่งหนีต่อ

                              "โค้ด!! ตื่นสิ..โค้ด ไอ้เด็กชั่ว..เอ้ย!!! มันสนุกนักเหรอ" เคธที่วิ่งมา เห็นสภาพเพื่อนของเขาในสภาพหมดสติ และหายใจแผ่วเบามาก เคธพูดบอกลาโค้ดก่อนจะวิ่งตามผมมาด้วยความเร็วมหาศาล ซึ่งเกิดจากความโกรธ

                              ผมวิ่งไปได้หลายร้อยเมตรจึงคิดว่ารอดจากเนื้อมือชายพวกนั้นแล้ว แต่ผมคิดผิดไป เพราะเมื่อผมหันหลังกลับไป ก็เห็นเคธที่วิ่งด้วยความเร็วผิดมนุษย์เข้ามาใกล้ผมในระยะไม่ถึงยี่สิบเมตร ผมจึงรีบเบี่ยงตัวเองเข้าไปในอู่รถยนต์เก่า เพื่อจะแอบซ่อน แต่เคธนั้นก็กระแทกตัวผมไปชนตู้เก็บน้ำมัน ทำให้น้ำมันเก่าๆ ในขวดนั้นไหลเลอะตัวผมทั้งร่าง หลังจากนั้นพวกเราก็ต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง แบบที่ว่าเขาต่อยมา ผมต่อยกลับ ไปได้สักพักจนทั้งผมและเขานั้นเหนื่อย

                              "มันสนุกนักเหรอ!!" เคธพูดขึ้น

                              "ถ้าเป็นชั้นคงจะไม่สนุกแน่..ถ้ามีน้ำมันไหลเลอะไปทั้งตัว" คำพูดนี้ของเคธ ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าตัวของผมนั้นเลอะน้ำมันทั้งตัว แต่มันคงไม่ทันที่จะหนีเพราะเคธได้โยนไฟแช็กมาใส่ตัวผม

                              ประกายไฟโดนเข้ากับแอ่งน้ำมัน ทำให้เกิดทะเลเพลิงลุกโชนไปทั้งอู่ มันแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งตัวผมด้วย ผมวิ่งออกมาจากอู่ พยายามดับไฟทุกวิธี แต่มันก็ยังคงไม่ดับสักที ผมกำลังจะตาย ผมเห็นพ่อกับแม่ของผมกำลังพยายามใช้น้ำดับไฟที่แผดเผารอบร่างของผมอย่างรีบร้อน แต่มันคงจะไม่ทันการ เพราะตัวผมนั้นไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อต้านกับเพลิงที่ลุกท่วมตัว ผมล้มลงนอนแน่นิ่ง และสิ่งสุดท้ายที่ผมรับรู้ก่อนที่ความมืดจะปกคลุมทุกสิ่งที่ผมมองเห็นและได้ยิน คือ

                              "เจฟ!! ...เจฟ!!!" เสียงของคนที่เป็นห่วงผมมากที่สุด...พ่อกับแม่                              

                              "หลังช้าาาน...ไอ้เจฟเอ้ยยย นึกว่าตัวจะเบาเหมือนขนาด ที่ไหนได้หนักชิบหะ..โอ้ย" ไม่ทันที่ผมจะลืมตาตื่นเสียงอันคุ้นเคยก็บ่นออกมาทางข้างหูของผมสักพักใหญ่ ก่อนจะร้องโอดครวญ "นาตาลี..มียาแก้ปวดมั้ยอ่ะ เค้าปวดหลังอ่ะ"

                              "อ่ะ..อ่ะ...มีจ๊ะ นี่ไง โทบี้..เดี๋ยวชั้นทาให้นะ" นาตาลีหรือคล็อกเวิร์ค หญิงสาวผู้มีนัยตาขวาเป็นเข็มนาฬิกาที่กำลังขยับอย่างไม่มีการหยุดลง ผมแอบหรี่ตามองทั้งสอง ว่าทำอะไรกันอยู่

                              "อืม..แล้วแต่นาตาลีเลย" โทบี้ที่มักพูดสบถหยาบคาย กลับเปลี่ยนบุคลิกการพูดไปอย่างสิ้นเชิง เหมือนจากหน้ามือเป็นหลังมือ โทบี้ถลกเสื้อกันหนาวของเขาขึ้น ทำให้แผ่นหลังกว้างสีขาวปรากฏขึ้นต่อหน้าคล็อกเวิร์ค สิ่งนี้ทำให้เธอเขินและอายเป็นอย่างมาก แก้มของเธอนั้นแดงจนถึงใบหู และด้วยพรสวรรค์บางอย่างของผม ทำให้ผมได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจนาตาลีที่ตอนนี้เต้นแรงและถี่มาก

                              "อ้าว!? นาตาลียังไม่ทาอีกเหรอ..เดี๋ยวชั้นทาเองก็ได้นะ" โทบี้พูดด้วยความเป็นห่วง

                              "ทาแล้วจ๊ะ..ทาแล้วจ๊ะ" เธอรีบพูดตอบกลับไปทันที ดูแล้วเธอน่าจะไม่อยากให้เวลาดีๆในครั้งนี้ต้องเสียไป เธอทาครีมแก้ปวดไปทั่วหลังของทิคคิ โทบี้อย่างมีความสุข จนกระทั่ง...

                              "พรึ่บ!!!" นี่เป็นของการปรากฏตัวอย่างกระทันหันของใครบางคน สิ่งนี้ถูกเรียกว่า 'วาร์ป' หรือ 'เทเลพอร์ต' ซึ่งในที่นี้คงไม่มีใครทำได้ ยกเว้นสเลนเดอร์แมน               

                              "ประตูก็มี..หัดใช้ซะบ้าง!!!" ผมและโทบี้ตะโกนว่าสเลนเดอร์แมนที่มักชอบเข้าห้องอย่างกะทันหัน ตามปกติแล้วเมื่อสเลนเดอร์แมนวาร์ปเข้ามาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย คนอื่นมักจะสะดุ้งโหยง ตกเก้าอี้ก็ยังมี แต่สำหรับเราสองคนนั้นสะดุ้งจนไม่ไหวจะสะดุ้งแล้ว แต่หลังจากผมตะโกนขึ้น ทุกคนก็หันมามองที่ผม ผมไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรดี แต่โชคดีของผมที่ชายไร้หน้าแย่งพูดก่อน

                              "ผมขอโทษละกันครับ..นิสัยแย่ๆนี้มันติดมาตั้งแต่แปดร้อยปีก่อนแล้วล่ะครับ" คำพูดแก้ตัวนี้ผมได้ยินจนจำได้ว่า เพราะเมื่อมีกรณีนี้เกิดขึ้นชายไร้หน้าจะแก้ตัวได้เพียงประโยคนี้เท่านั้น

                              "ว่าแต่มีอะไรล่ะ" ผมถามชายไร้หน้าใส่สูท

                              "อ่อ..มิสเตอร์ครีปเปอร์พาสต้าให้ผมมาเรียกทุกคนให้ไปรวมตัวในห้องใต้ดินครับ แล้วหญิงสาวคนที่ทิกกิ โทบี้ได้พาตัวมาได้ตื่นจากนิทราแล้วครับ" คำพูดอันยืดยาวนี้มีแต่น้ำความ เนื้อความจริงนั้นน้อยมาก คงจะติดเป็นนิสัยตั้งแต่แปดร้อยปีก่อนอีกละสิ..ผมว่า

                              "อืม..ได้ ชั้นก็อยากรู้ว่ายัยเด็กนั่นมันจะบอกอะไรได้บ้าง..พวกเราไปที่ห้องใต้ดินกันเถอะ อย่าเสียเวลาคุยกันตรงนี้เลย" โทบี้กล่าวนำ ก่อนจะเดินออกจากประตูไป ผมและคล็อกเวิร์คจึงเดินตามไป ส่วนสเลนเดอร์แมนนั้นหลังจากปิดประตู เขาก็อันตรธานหายไปจากสายตาทันที ทิ้งไว้เพียงแค่ควันสีดำที่ยากจะมองเห็นในที่มืด

                              คฤหาสน์ของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้านั้นถือว่าใหญ่มาก ไม่ใช่แค่คฤหาสน์ที่ใหญ่ แต่ที่ดินของเขาก็กว้างขวางมากเช่นกัน พื้นที่ราวๆ 2-3 ไร่ ครึ่งนึงคือตัวของคฤหาสน์ และอีกครึ่งนึงคือพื้นที่โล่งกว้างสำหรับทำกิจกรรมอื่นๆ ผมเดินมาได้สักระยะนึง ด้วยความใหญ่โตของคฤหาสน์ทำให้การเดินไปมาแต่ละครั้งนั้นต้องใช้เวลานานกว่าปกติ แต่สุดท้ายก็ถึงทางลงไปสู่ชั้นใต้ดิน มันเป็นทั้งแบบที่เป็นบันไดและลิฟต์ ตรงส่วนของบันไดนั้นต่อยาวลงไปสามสิบเมตร จึงไม่มีมนุษย์คนไหนที่อยากจะขาชาเดินลงไป ส่วนลิฟต์นั้นจะต้องกรอกรหัสให้ถูกต้องจึงจะสามารถลงไปที่ชั้นที่ต้องการได้ และถ้าโชคร้ายกรอกผิดสามครั้งพื้นห้องจะแยกออก ทำให้ผู้อยู่ข้างในลิฟต์ตกลงไปสู่ด้านล่าง และตายในที่สุด ส่วนพวกผม..เหล่าครีปปี้พาสต้าเลือกใช้ทางบันได แต่ไม่ได้เดินลงไปนะ พวกผมใช้การกระโดดลงไปซะมากกว่า เพราะมันไม่เสียเวลาเลย เร็วกว่าใช้ลิฟต์ซะด้วยซ้ำ แต่ก็มีบางคนเท่านั้นที่ไม่สามารถกระโดดลงมาได้ เช่น ฮู้ดดี้ มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า และบางคนที่ไม่ต้องใช้ทั้งสองทางเลยคือพวกที่มีพลังการเคลื่อนที่ชั่วพริบตา เช่น สเลนเดอร์แมน ซัลโก้

                              แต่ในครั้งนี้พวกผมเลือกใช้ลิฟต์ เพราะอยากจะลองเข้าบ้างเป็นครั้งแรก ทิกกิ โทบี้เข้ามาเป็นคนที่สองหลังจากผม และคล็อกเวิร์คเป็นคนสุดท้าย หลังจากเธอเข้ามา เธอก็กรอกรหัสไปบนปุ่มเลือกชั้นของลิฟต์สี่ตัว ถ้าผมมองไม่ผิด รหัสคือ 4 6 8 2 หลังจากนั้นประตูลิฟต์ก็ปิด และเลื่อนลงไปตามสายพานเรื่อยๆ ผมรอไปไม่นาน ลิฟต์ก็หยุดลง พร้อมประตูลิฟต์ที่เปิดออกไปสู่ข้างในของห้องใต้ดิน มันดูเหมือนห้องโล่งกว้างซะมากกว่า แต่ตอนนี้มีแต่หมู่คนจำนวนหลายสิบคนมองไปที่จุดเดียวกัน พวกเราทั้งสามจึงเข้าไปสมทบด้วย

                              "ปล่อยชั้นไปนะ!! เจ้าพวกตัวประหลาด" เสียงของหญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้น

                              "จิตใจของไอโอน่า..ต่อต้านพลังจิตของผม ผมไม่สามารถอ่านค่าความจำในสมองเธอครับ ขอโทษด้วยนะครับ" มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าพูดขึ้นด้วยเสียงที่ดูเศร้าๆ จากการที่ตนเองทำการอ่านค่าความจำในสมองของไอโอน่าไม่ได้

                              "ไม่เป็นไรครับ..ท่าน มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า ต้องมีวิธีอื่นๆที่จะทำให้เธอบอกกับเรา" สเลนเดอร์แมนหันหลังไปคุยกับชายผิวฟ้า หลังจากนั้นชายไร้หน้าก็หันกลับมาก่อนจะย่างก้าวไปหญิงสาวผมสีขาวไข่มุกที่ขณะนี้กำลังถูกมัดด้วยโซ่ปีศาจที่ถูกสร้างโดยจ้าวแห่งความชั่วและความทุกทรมาน ซัลโก้ เธอถูกมัดเข้ากับเก้าอี้มีแขน โดยเธอนั้นก็ถูกมัดมือและเท้าไว้ด้วย ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวชั่วพริบตาออกจากจุดนี้ได้ ชายไร้หน้าในสูท                              

                              "เฮ้ย!!! ยัยหัวหงอก..นี่เธออยากจะบอกดีๆหรือจะต้องให้ได้เลือดก่อนจึงจะบอก...ฮ่ะ" ชายหนุ่มผู้ชำนาญขวานคู่พูดขึ้นด้วยท่าทางข่มขู่

                              "กล้าจริงก็ทำเลย!!! ถ้าแกทำร้ายชั้น..พวกแกนั่นแหละจะโดนเอง และถ้าพวกแกฆ่าชั้น กองทัพภายใต้การบังคับบัญชาของพลตรีนอร์ทสตาร์ กิกะมาสจะต้องมาบุกถล่มรังโสโครกของพวกแกแน่!!" หญิงสาวนัยตาสีฟ้าพูดท้าทายด้วยถ้อยคำที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่

                              "เอาป่ะล่ะ!!!..ยัยหัวหงอก ชั้นไม่ได้แค่เก่งแต่ปากนะเฟ้ย!!..ชั้นกล้าทำจริงเว้ย!!" โทบี้พูดสวนกลับไปด้วยท่าทางโมโห

                              "มาเลยสิ!!..เข้ามาเลย..เข้ามาฆ่าชั้นสิ" ไอโอน่าตะคอกออกไปด้วยท่าทางท้าทายโทบี้..ทิกกิ โทบี้ชายหนุ่มผู้ไร้ความอดทนหยิบขวานสั้นที่อยู่บนพื้นขึ้นมา ก่อนจะง้างมือฟันไอโอน่าด้วยความโกรธ แต่กลับถูกแรงบางอย่างผลักออกไป ร่างของโทบี้กระเด็นจนไปชนกับกำแพงทางด้านหลังสุด โดยหัวของเขาไปกระแทกอย่างแรง ทำให้โทบี้สิ้นสติลง

                              "คุณคล็อกเวิร์คครับ..คุณช่วยไปดูแลทิกกิ โทบี้ให้หน่อยครับ..ถ้าโทบี้ได้สติแล้ว ได้โปรดอย่าให้เค้าเข้ามาที่บริเวณนี้นะครับ" มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าพูดทางกระแสจิตกับคล็อกเวิร์ค หลังจากที่ชายผิวสีฟ้าพูดจบ คล็อกเวิร์คก็พยักหน้าลงก่อนจะวิ่งไปทางทิกกิ โทบี้

                              "สงสัย..ผมจะต้องพา'เค้า'มาจริงๆสินะ.." ชายผิวสีฟ้าพูดขึ้น คำว่า 'เค้า' ของชายคนนี้ทำให้ทุกคนในห้องต้องงงงวย แต่จริงๆแล้ว 'เค้า' คนนั้นทุกคนก็รู้จักดี เพราะเป็นสมาชิกคนใหม่ล่าสุดของครีปปี้พาสต้า แฟมิลี่

                              "คุณสเลนเดอร์ครับ..ช่วยพา'เค้า'มาที่นี่หน่อยครับ" เพียงจบคำกล่าวของชายที่สวมเครื่องช่วยหายใจ ชายไร้หน้าพยักหน้าก่อนทำท่าทางโน้มคำนับและอันตรธานหายไปจากสายตา                              

                              ไม่นานนัก..สเลนเดอร์แมนก็วาร์ปกลับมา โดยมีบุรุษในฮู้ดสีดำปรากฏตัวมาพร้อมกัน ชายคนนี้พูดคุยบางอย่างกับสเลนเดอร์แมน ชายคนนี้มีลักษณะท่าทาง เครื่องแต่งกายที่คุ้นตามาก สำหรับผมนั้น..เดาไม่ถูกเลยว่าเค้าคนนี้เป็นใคร หลังจากนั้นชายลึกลับคนนี้ก็เดินไปที่มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า พร้อมกับทักทายอย่างสุภาพ

                              "สวัสดีครับ..บิ๊กบอส ไม่ได้พบกันนานเลยครับ..คุณเป็นอย่างไรบ้างครับ" ชายลึกลับกล่าวทักทายอย่างสุภาพและเป็นมิตรอย่างมากกับมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า

                              "ไม่ต้องถึงขนาดต้องเรียกผมว่าบิ๊กบอสหรอกครับ..คุณลาอ้อน แม็กซิมัส ผมน่ะสบายดีเหมือนเดิมครับ..แล้วคุณล่ะเป็นอย่างไรบ้าง" ชายผิวสีฟ้าค่อยๆตอบคำถามของลาอ้อนทีละคำถาม ก่อนจะถามกลับไปตามมารยาท

                              "ผมก็สบายดีเช่นกันครับ..ว่าแต่ที่พาผมมาที่นี่น่ะ มีอะไรให้ผมทำเหรอครับ" ลาอ้อน แม็กซิมัสถามขึ้นถึงจุดประสงค์ของการที่พาตัวของเค้ามาที่นี่กับมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า         

                              "ผมต้องการให้คุณช่วยแสดงความทรงจำของสตรีท่านนั้นให้หน่อยน่ะครับ เพราะพลังจิตของผมนั้นก็ยังไม่สามารถมองความทรงจำของเธอได้เลย...ผมจึงคิดว่าพลังเรียลลิตี้เบนเดอร์ของคุณน่าจะสามารถทำได้..." ชายผิวสีฟ้าพูดออกมา

                              "มันก็ไม่แน่หรอกนะครับ ตัวผมเองก็ยังไม่เคยลองทำเลยครับ...แต่ผมจะพยายามแล้วกันนะครับ" หลังจากที่ลาอ้อน แม็กซิมัสกล่าวจบ เค้าก็เดินไปทางไอโอน่าพร้อมกับนำมือไปสัมผัสกับบริเวณหน้าผากของเธอ                               

                              ทันใดนั้นก็เกิดแสงสีขาวเปล่งออกมา ไม่นานนักแสงที่เป็นสายก็ค่อยๆเลื้อยเข้ามาจากแขนไปไหล่ และจากไหล่ก็ไปคอ จนถึงตอนนี้สายของแสงเหล่านั้นกำลังจะเข้าไปที่หัวของลาอ้อน แต่กลับมีแรงบางอย่างผลักตัวเค้าออกไปอย่างแรงจนเค้าล้มลง นั่นทำให้มือของเขาออกห่างจากศีรษะของไอโอน่า สายแสงสีขาวที่ถูกดึงออกมาจากหัวของเธอก็กลับเข้าไปในหัวของเธออย่างรวดเร็ว หลงจากนั้นสติของไอโอน่าที่ถูกพลังของลาอ้อนกดทับก็กลับมาดังเดิม ส่วนร่างของลาอ้อนที่กระเด็นไปนั้นก็เกิดความงุนงง เพราะตามจริงแล้วไอโอน่าก็ใช้พลังไม่ได้ แล้วใครล่ะจะผลักตัวเค้าออกมา!? แต่แล้วก็เกิดรอยแตกของช่องว่างแห่งมิติ ก่อนจะมีเงาของคนในนั้นเดินออกมา

                              "อย่าใช้พลังเรียลลิตี้เบนเดอร์ยุ่งเกี่ยวกับความทรงจำของมนุษย์สิ..ไม่รู้ถึงกฎกับข้อห้ามของพลังบิดเบี้ยวความเป็นจริงหรือไง" บุรุษจากห้วงมิติพูดขึ้นอย่างร้อนรน ชายคนนี้ใส่ชุดกันหนาวสีดำเป็นเสื้อที่สวมไว้ภายใน มีฮู้ดปิดบังใบหน้า และยังใส่เสื้อกาวหรือเสื้อของนักวิทยาศาสตร์อยู่อีกด้วย นอกจากนี้แล้วทุกอย่างก็ดูเหมือนกับมนุษย์ปกติ คือ สวมกางเกงยีน กับรองเท้าผ้าใบ ผมนั้นยังพอตั้งสติได้อยู่บ้าง แต่คนอื่นๆกลับยังคงตะลึงงันกับการปรากฏตัวของชายผู้นี้ "ทำหน้าอย่างนี้แปลว่ายังไม่รู้กันสินะ ข้อห้ามนั้นน่ะมีอยู่สามข้อ คือ หนึ่งอย่าใช้พลังบิดเบี้ยวความเป็นจริงไปเกี่ยวข้องกับความทรงจำมนุษย์ สองอย่าใช้พลังบิดเบี้ยวความเป็นจริงไปเกี่ยวข้องกับเวลา สามอย่าใช้พลังบิดเบี้ยวความเป็นจริงไปเกี่ยวข้องกับ..พลังแห่งอนันตภาพ ส่วนน่ะมีอยู่แค่ข้อเดียว คือ เรียลลิตี้เบนเดอร์ทุกคนไม่สามารถต้องปฏิบัติตามข้อห้ามอย่างเคร่งครัด และผู้ที่ไม่ต้องสนใจเรื่องข้อห้ามจะต้องเป็นผู้ที่ถูกเลือกเท่านั้น!!!"

                              "มีอย่างนี้ด้วยเหรอ..ว่าแต่นายเป็นใครกันแน่เนี่ย" ลาอ้อนเอ่ยปากถามชายลึกลับ ชายลึกลับจึงหันหน้ามามองลาอ้อน มันทำให้ผมรู้ว่าชายคนนั้นอาจไม่มีหัวก็ได้ เพราะเมื่อแสงส่องไปกลับพบแต่ความว่างเปล่าในฮู้ดสีดำนั้น หลังจากที่เค้าหันมา ก็เกิดกล่องข้อความขนาดใหญ่ลอยอยู่บนอากาศ พร้อมกับมีไอคอนหยักขิ้ว แสดงท่าทีเหมือนคำว่า 'จริงเหรอ'

                              "นี่! เจ้านั่นไม่ได้บอกอะไรนายเลยเหรอไง..ฮึ่ย! เจ้าบ้าเอ้ย..นี่ผ่านมากี่ชาปเตอร์แล้วฮ่ะ" ชายลึกลับคนนั้นพูดน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ ก่อนที่จะมีกล่องข้อความขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีไอคอนโมโหแบบเคลื่อนไหวออกมา

                              "ดอกเตอร์ลอสต์ค่ะ!!..ช่วยหนูด้วยค่ะ เจ้าตัวประหลาดพวกนี้มันจับหนูมา หลังจากที่ไอ้ปากฉีกนั่นฆ่าพ่อของหนูไป" หลังจากที่หญิงสาวผมสีฟ้าได้สติกลับมา..เธอก็ตะโกนขอความช่วยเหลือจากบุคคลปริศนา ที่ตอนนี้ไม่นิรนามอีกแล้ว เพราะชื่อของชายลึกลับคนนี้คือ 'ดอกเตอร์ลอสต์' หลังจากที่เธอพูดถึงพ่อของเธอ..พลตรีนอร์ทสตาร์ ชายลึกลับก็หันหน้ามาทางผมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมีกล่องข้อความสามมิติที่มีรูปไอคอนที่ทำตาโตออกมา

                              "พ่อของเธอไม่ได้ตายไปซะหน่อย..ชั้นแค่ใช้สันมือตีท้ายทอของเขาเท่านั้นเอง แต่ไอ้เลือดพวกนั้น..ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามาจากไหน" ผมพูดแก้ความเข้าใจผิด

                              หลังจากนั้นผมกับไอโอน่าก็พูดถกเถียง ด่า และว่ากันไปกันมาจน...

                              "หยุด!!! หมื่นกว่าปีที่ผ่านมา..ชั้นก็พึ่งจะมาเห็นพวกที่ไม่ควรจะได้รับการวิวัฒนาการสองตัว ..เป็นมนุษย์ที่แย่ที่สุดเท่าที่ชั้นเจอมาในรอบแสนปีเล้ยยย!วุ้ย!" ดอกเตอร์ลอสต์บ่นออกมาด้วยความหงุดหงิด แต่บางคำพูดของเค้าก็ทำให้คนหลายๆคนในห้องนี้อึ้งกันไปตามกัน โดยเฉพาะสเลนเดอร์แมน เพราะเค้าไม่เคยนึกว่าจะมีคนที่อยู่มานานเหมือนกับเค้า..หรือนานกว่าตัวเขาเอง

                              "ไอโอน่า..ชั้นจะอธิบายให้ฟังนะ พลตรีนอร์ทสตาร์น่ะไม่ได้ตายเพียงแค่สลบไปจริงๆ เพราะก่อนที่ชั้นจะแหวกมิติมาที่นี่..ชั้นก็พึ่งจะไปหามันมานี่แหละ" ชายลึกลับแสดงการเป็นพยานรู้เห็นให้กับผม

                              "แล้วที่จริง..สันมือของเจฟไม่ได้ทำให้พลตรีนอร์ทสตาร์สลบหรอก เพียงแต่เค้าแกล้งสลบเพื่อให้เจ้าพวกนี้จับตัวของเธอมายังไงหล่ะ..ไอโอน่า" ดอกเตอร์ลอสต์ค่อยๆคลายปมปริศนาต่างๆให้กระจ่างเพื่อบอกความจริง โดยไอโอน่ากำลังจะเอ่ยปาก..แต่กลับถูกดอกเตอร์ลอสต์แย่งพูดไปก่อน "ที่เขาทำอย่างนี้ก็เพื่อจะทำให้เธอรอดพ้นจากเนื้อมือของนักวิจัยปริศนา..ดอกเตอร์แบล็ก!!! ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์การกวาดล้างเหล่ามนุษย์ที่แตกต่าง"

                              "แล้วคุณไปรู้เรื่องพวกนี้มาได้ยังไงกัน" มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าถามออกมาด้วยความสงสัยที่รอคำตอบมาเนิ่นนาน

                              "ที่ผมรู้น่ะ..ก็เพราะผมคือหนึ่งในนักวิจัยระดับสูงในหน่วยงานเอสซีพียังไงหล่ะ" สิ่งที่ดอกเตอร์ลอสต์พูดออกมานั้น..ทำให้คนหลายๆคนถึงกับอึ้งไปกว่าเดิม "เวลาเหลือน้อยแระ..ที่ชั้นมาที่นี่ก็เพราะจะมาบอกว่าสิ่งที่องค์กรกำลังจะทำคือการรวบรวมหนึ่งในสามวัตถุแห่งการเปลี่ยนความเป็นจริง โดยทางองค์กรของเรามีหนังสือเปลี่ยนประวัติศาสตร์ เพียงหมึกหรือเลือดสัมผัสก็จะเกิดหน้าหนังสือที่เนื้อหาในนั้นเป็นความจริงทั้งหมด แม้ว่าจะอะไรในอดีต แต่อยู่ๆก็จะค้นพบในปัจจุบันหลังจากที่หนังสือได้เขียนลงไป อีกหนึ่งก็คือในมือข้างนั้นของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า..ศิลานิมิต ที่จะบ่งบอกความจริงจากในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตจากความฝัน และชิ้นส่วนส่วนสุดท้าย..สมุดโน้ตแห่งจินตนาการ เพียงวาดภาพหรือเขียนอะไรลงไปก็จะบังเกิดความจริง โดยชิ้นส่วนนี้น่ะอยู่ที่..เด็กสาวผมสีชมพูอายุราวๆ 16 ถึง 17 ปี แต่ชั้นไม่รู้หรอกนะว่าเธออยู่ไหน..แต่ยังไงก็ตามพวกคุณจะต้องตามหาเธอคนนั้นให้เจอก่อนที่องค์กรจะได้ตัวเธอไป..งั้นชั้นไปก่อนละ"

                              ก่อนที่ชายลึกลับจะแหวกมิติ มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าก็พูดขึ้น

                              "แล้วคุณรู้ทุกอย่างมาจากไหนกันครับ" มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าพูดขึ้น

                              "สคริปต์จากคนเขียนนิยายเรื่องนี้ไง..ไปถามคนเขียนในเน็ตไป้!!" ก่อนที่เขาจะเข้าไปในประตูมิติ และปล่อยทุกคนในห้องให้อึ้งจนปากค้างต่อไป

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา