Creepypasta Family The Broken Myth

9.5

เขียนโดย Leragan

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.43 น.

  24 chapter
  9 วิจารณ์
  37.85K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 14.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) ภารกิจช่วยองค์หญิง (The Princess Rescue Mission)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                         “เฮ้!  เจฟคุง นายเห็นอะไรบ้างมั้ย” สุนัขปีศาจจากด้านล่างพูดกับเจฟ เดอะ คิลเลอร์ที่ปีนขึ้นไปบนต้นไม้สูงกว่า 10 เมตรเพื่อสอดส่องบางอย่างจากบนต้นไม้

                        “ชั้นไม่เห็นใครอยู่เลย” ชายปากฉีกบอกอสูรสุนัขถึงความไร้ผู้คนบนถนนทางด้านหน้าของพวกเขา เจฟจึงตัดสินใจกดเครื่องสื่อสารไร้สายที่หู เพื่อติดต่อไปหาคนๆหนึ่งที่รู้จักดี “ฮัลโหล..สเลนเดอร์ ทางชั้นไม่เห็นใครอยู่เลย…แล้วทางนายล่ะ..เจออะไรบ้างมั้ย”

                        “ก็เจอบ้าง..แต่ไม่มากน่ะครับ..ผมวาร์ปไปทั้งในป่าเกือบทุกที่ในเมืองนี้ ชานเมืองอีกหลายแห่ง และวาร์ปในตัวเมืองอีกก็ยังไม่เจอเลย..แต่ผมก็ได้เบาะแสใหญ่ๆ มา 2 อย่าง…” สเลนเดอร์แมนเว้นระยะคำพูด พร้อมกับกด ‘โฟนออน’ เพื่อสร้างห้องสื่อสารรวมให้ทุกคนได้ยินในสิ่งที่เขากำลังจะพูด “เบาะแสที่หนึ่ง..ผมได้ไปพบครูอาจารย์จากโรงเรียนแห่งหนึ่งที่กำลังเดินมาคนเดียว ผมจึงแปลงกายและถามเขาจนได้เบาะแสมาว่า คนที่เราตามหาน่ะ คือ เด็กผู้หญิงที่ชื่อ ‘โอริซิส ริกะ’ เธอคนนี้เป็นลูกครึ่งชาวเอเชีย เธอเรียนอยู่ที่โรงเรียนนานาชาติที่ชื่อ ‘อินเตอร์เนชชั่นแนลโนเลดจ์’ และเบาะแสที่สอง..ผมได้ไปเจอเด็กสาวคนหนึ่งที่บอกมาว่าเป็นเพื่อนของริกะ เธอบอกมาว่า..ริกะมักจะชอบเข้าไปในป่าทางเหนือบ่อยๆ โอเค..ตอนนี้ใครอยูที่ป่าทางทิศเหนือบ้างครับ”

                        “ชั้นอยู่…” ลาอ้อนที่ตอนนี้อยู่ที่ป่าทางทิศเหนือ เห็นอะไรบางอย่างทางด้านหน้าจึงเคลื่อนตัวมาหลบอยู่ทางด้านหลังของต้นไม้ต้นหนึ่งก่อนจะปิดระบบสื่อสาร “แล้วชั้นก็เจออะไรบางอย่างด้วย..ตัดสายล่ะ”

                        

                        ลาอ้อนชะโงกหน้าออกมาจากที่กำบังเพื่อแอบมองบางอย่าง และเขาก็พบกับคนที่น่าจะเป็นเธอคนนั้น!!! หญิงสาวผู้มีผมสีชมพูดั่งดอกซากุระยามบาน ตอนนี้เธอกำลังถูกกลุ่มคนในเครื่องแบบผู้คุมขององค์กรเอสซีพีปิดล้อมอยู่ ชายในชุดผู้คุมคนหนึ่งทำท่าทีเสนอบางอย่าง ลาอ้อนจึงตัดสินใจใช้พลัง‘ล่องหน’ เพื่อทำให้ตัวของเขาไม่สามารถถูกมองเห็นได้ พร้อมกับย่องอย่างแนบเนียนไปที่ข้างหลังกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างช้าๆ จนถึงจุดหมาย                  

                         “...สาวน้อย ได้โปรดส่งเจ้าสมุดเล่มนั้นมาให้ลุงหน่อยนะ แล้วลุงจะไม่ทำอะไรหนู” ชายวัยกลางคนๆหนึ่ง ผู้เป็นหนึ่งในหัวหน้าผู้คุมของหน่วยงานเอสซีพีพูดให้ข้อเสนอเด็กสาวผมชมพู

                        “ไม่ได้หรอกค่ะ..นี่มันสมุดที่แม่ของหนูให้ก่อนท่านจะจากไป ...มันคือสิ่งที่แม่ของหนูเหลือให้เพียงสิ่งเดียว ขอโทษนะค่ะ..หนูคงให้สมุดนี้กับคุณไม่ได้จริงๆ อย่าทำอะไรหนูเลยนะค่ะ” หญิงสาวในชุดนักเรียนพูดอ้อนวอน เพื่อไม่ให้กลุ่มคนตรงหน้านำของสำคัญของเธอไป

                        “ยัยเด็กนี่..พูดดีด้วยก็ไม่ยอมฟัง ให้ตายเถอะ..อุตส่าห์จะปล่อยไปดีๆอยู่แล้วนะ สงสัยจะต้องสั่งสอนยัยพวกเด็กไม่ฟังผู้ใหญ่ซะหน่อยแล้ว” ชายผู้คุมอีกคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด ก่อนจะชักปืนพกกระบอกหนึ่งขึ้นมาจ่อไปที่ศีรษะของเด็กสาวคนนั้นก่อนจะลั่นไก โดยที่ผู้ถูกจ่อยิงยังไม่ทันตั้งตัว

                        เมื่อลาอ้อนเห็นดังนั้นจึงปลดสภาพล่องหนก่อนที่จะวิ่งเข้าไปบังที่วิถีกระสุนที่ถูกยิงออกมา เมื่อมันเข้ามาใกล้ร่างของลาอ้อน กระสุนก็อันตรธานหายไป ก่อนจะปรากฏขึ้นและพุ่งทะลุศีรษะของผู้ยิง ทำให้เลือดและสมองบางส่วนกระจายออกมาด้านนอก ก่อนที่ร่างไร้วิญญาณจะล้มลง นี่ทำให้กลุ่มคนขององค์กรเอสซีพีนั้นแตกตื่นเป็นอย่างมาก ยกเว้น..หัวหน้าผู้คุมคนนั้นที่ไม่มีทีท่าแตกตื่นเลย ลาอ้อนหันไปมองเด็กสาวคนนั้นก่อนจะพยักหน้าเพื่อบอกให้เธอวิ่งออกจากบริเวณนี้ หลังจากนั้นเธอก็พยักหน้าก่อนจะหยิบสมุดเล่มนั้นขึ้นมา ทำให้ลาอ้อนเกิดความงุนงงและกังวล

                        “นี่! ทำไมไม่รีบไปล่ะครับ..องค์หญิง หรือต้องให้กระผมอุ้มไป” ลาอ้อนหันมาพูดกวนประสาทกับริกะ แต่สาวผมชมพูก็ยังไม่มีท่าทีจะหยุด จนกระทั่งวาดรูปในสมุดนั้นเสร็จ ก็หันหน้ามายิ้มอย่างมีเล่ห์กลให้ลาอ้อน แต่แล้วดวงตาของลาอ้อนก็เกิดวงแหวนเวทย์สีชมพู พร้อมกับพูดบางอย่างโดยไม่รู้ตัว “ขอโทษครับ..องค์หญิง กระผมจะไม่พูดสิ่งที่ไร้การศึกษาอย่างนี้อีกแล้วครับ..องค์หญิงริกะ”

                        ‘นี่ตูพูดอะไรไปฟะเนี่ย’ ลาอ้อนพูดกับตนเองในใจ แต่เขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้เลยตอนนี้

                        “องค์หญิงขอรับ..ได้โปรดให้กระผมช่วยเถอะนะครับ” ลาอ้อนเปล่งเสียงอย่างไร้การควบคุม หลังจากที่ชายหนุ่มเอ่ย หญิงสาวก็ยิ้มก่อนจะพยักหน้า หลังจากปฏิกิริยาของหญิงสาวเกิดขึ้น แขนที่ไร้การควบคุมของชายหนุ่มจึงช้อนตัวเด็กสาวผมชมพูขึ้นมาอุ้ม ตามด้วยการวิ่งอันรวดเร็ว ซึ่งลาอ้อนก็ไม่ได้ทำด้วยตนเองเช่นเดิม

                        ลาอ้อนที่กำลังอุ้มเด็กสาวผมชมพูวิ่งซิกแซ็กหลบกระสุนปืน เลเซอร์ และมีดของเหล่าผู้คุมขององค์กรเอสซีพีที่กำลังตามมาข้างหลังอย่างกระชั้นชิด ในขณะที่ลาอ้อนวิ่งอยู่ เขาก็เหลือบมองเด็กสาวที่อยู่ในอ้อมอก เธอกำลังเขียนอะไรบางอย่างที่ดูคุ้นตา

                          ......เธอกำลังวาดร่างของลาอ้อนลงในสมุดโน้ตของเธอ

                         “นะ..นี่...องค์หญิงกำลังเขียนอะไรขอรับ” ลาอ้อนเอ่ยถามริกะ แต่ด้วยมนตร์สะกดของเธอ ทำให้สรรพนามและลักษณะการพูดผิดแปลกไปจากที่เขาต้องการจะพูด

                         “ชั้นกำลังจะให้ดาบกับเธออยู่น่ะ..อัศวินของชั้น” ริกะตอบด้วยน้ำเสียงใสไพเราะดั่งเทพธิดา โดยไม่ได้หันหน้ามาที่ลาอ้อนแม้แต่น้อย แต่น้ำเสียงของเธอทำให้ผู้ฟังเกือบจะหลงเชื่อว่าตนเองเป็นอัศวินของเธอ หลังจากที่เธอจบบทสนทนากับชายหนุ่ม เธอก็วาดร่างของลาอ้อนลงในสมุดโน้ตเสร็จพอดี และตามด้วยการวาดดาบคาตานะอันเรียวยาว ก่อนจะเอ่ยเสียงใสของเธออีกครั้ง “อัศวินของชั้น..หยุดอยู่ตรงนี้เลยค่ะ”

                         “ตามการบัญชาของท่านขอรับ..องค์หญิง” ลาอ้อนที่วิ่งด้วยความเร็วสูง ค่อยๆชะลอความเร็วของเขาลง ก่อนจะหยุดการเคลื่อนไหว พร้อมกับหันไปเผชิญหน้ากับศัตรูที่อยู่ทางด้านหลังของเขาที่ตอนนี้คนเหล่านั้นก็หยุดเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน ลาอ้อนยกตัวของริกะลงก่อนจะตั้งท่าเตรียมการต่อสู้ “แล้วองค์หญิงจะให้กระผมทำอย่างไรกับคนเหล่านั้นต่อครับ”

                         “จงใช้ดาบ...” คำว่า ‘ดาบ’ ทำให้ลาอ้อนเกิดความงงงวย เพราะตอนนี้ตัวเค้าไม่มีสิ่งที่ถูกเรียกว่าดาบแม้แต่เล่มเดียว ...ยกเว้นบางสิ่งที่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ดาบ’

                         “สงสัยอะไรเหรออัศวิน..ข้าสั่งให้ท่านใช้ดาบ..ดาบที่แข็งแกร่งที่สุดที่ท่านมีในตอนนี้ยังไงล่ะ” ลาอ้อนมองหน้าขององค์หญิงผมชมพู และแสดงสีหน้าเหมือนกำลังจะพูดว่า ‘เอาจริงดิ’ เมื่อริกะเห็นเช่นนั้นจึงมองหน้าลาอ้อนด้วยความสงสัย แต่แล้วเธอก็คิดขึ้นได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่มีใครสนับสนุนจากทางด้านหลัง เธอจึงเอ่ยออกปากไป “ไม่ต้องกลัวหรอกอัศวิน..ข้าจะเป็นเกราะให้ท่านเอง ดังนั้นท่านไม่ต้องเป็นห่วง”

                         เมื่อได้ยินเช่นนั้นลาอ้อนจึงทำหน้าแหยเหมือนกำลังจะสื่อว่า ‘ไม่เข้าใจตูเลย’ หลังจากนั้นสัญชาตญาณของอัศวินพร้อมกับความคิดบางอย่างก็พลุ่งพล่าน ลาอ้อนเตรียมท่าชักดาบ..ดาบที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขามีในตอนนี้...ดาบที่ตัวเขามีมาแต่กำเนิด มือของเขาขยับลงจนถึงส่วนขา พร้อมกับปลดพันธนาการของปลอกดาบ ก่อนจะจับไปที่ปลายซิปกางเกงและรูดลง เมื่อริกะเห็นกิริยาของลาอ้อน ทำให้เธอต้องหน้าแดงมากก่อนจะตั้งสติและรีบห้ามสิ่งน่าอายที่ลาอ้อนกำลังจะทำ

                         “ไม่ใช่ดาบอันแข็งแกร่งและทรงพลังเล่มนั้น..ข้าหมายถึงดาบคาตานะตรงพื้นเล่มนั้น” ริกะพูดในขณะที่ใบหน้าของเธอนั้นแดงก่ำ เพราะความอาย เมื่อลาอ้อนได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปทางที่ริกะชี้ เมื่อเห็นมัน เค้าจึงเก็บและมองริกะก่อนจะยิ้มอย่างเขินอาย ไม่นานก็หันกลับมาหาศัตรูก่อนจะชักดาบคาตานะออกจากปลอกดาบ เขาตั้งท่าเตรียมรบ ทำให้เหล่าผู้คุมรอบข้างต้องตั้งท่าตาม ทันใดนั้นลาอ้อนก็เขวี้ยงปลอกดาบคาตานะไปในทางของผู้คุมคนหนึ่ง ก่อนจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงจนเหมือนสามารถวาร์ปได้ แต่ตัวเค้าไม่รู้แม้แต่น้อยว่าเค้าลืมบางอย่าง...บางอย่างที่สำคัญมาก

                         ...เค้าลืมไปว่า ในตอนที่เค้ากำลังจะชักดาบอันแข็งแกร่งและทรงพลัง เค้าปลดเข็มขัดที่พันธนาการปลอกดาบเล่มนั้นอยู่ออกไป

                         

                         ...แน่นอนว่า กางเกงต้องหลุดแน่ๆ

                         เมื่อลมมหาศาลกระแทกกับชายกางเกงที่บานออกทำให้เกิดแรงประทะมหาศาลจนทำให้ป้อมปราการสุดยอดของเค้าหลุดออก ใช่..มันคือกางเกง แต่เค้าก็ไม่ยังไม่รู้ว่าเกืดอะไรขึ้นกับส่วนล่างของเขา เพราะตัวเขากำลังยุ่งกับการวางแผนต่อสู้ เมื่อปลอกดาบกระทบพื้น หัวของผู้คุมที่เป็นเป้าหมายของลาอ้อนก็หลุดออกจากบ่า ตามด้วยสายฝนโลหิตและร่างไร้วิญญาณของผู้คุมไร้หัวที่ร่วงลงบนพื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก ลาอ้อนหันไปทางศพของผู้คุมพร้อมกับสะบัดเลือดที่ติดกับใบดาบออกแล้วหันมองไปทางด้านหน้า แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นมีดที่กำลังจะฟาดฟันใส่ตัวเขา แต่ด้วยสัญชาตญาณ..เค้าจึงถอยร่างออกหนึ่งก้าว ทำให้เขาถูกปลายมีดฟันแค่เพียงชายเสื้อเท่านั้น แต่ถึงแม้จะเทพยังไงก็ไม่รอดพ้นไปได้ทุกอย่าง ลำแสงเลเซอร์ก็พุ่งมาจากที่ใดที่หนึ่งพุ่งมาทางลาอ้อนในขณะที่ตัวเขายังไม่ตั้งตัว ทำให้ร่างของลาอ้อนถูกเลเซอร์ยิงเข้าไปเต็มหน้าอก แต่ด้วยพลังของเรียลลิตี้เบนเดอร์ชั้นสูง ทำให้เขาสามารถทนทานต่อแสงเลเซอร์นี้ได้ในระดับหนึ่ง ..แต่เสื้อผ้าน่ะมันไม่ทนทานไปกลับผู้สวมหรอกนะ เสื้อกันหนาวสีดำและกางเกงบอกเซอร์ของเขาถูกเผาไหม้ด้วยแสงเลเซอร์ของฝ่ายผู้คุมเอสซีพี จนในสภาพนี้ของลาอ้อน สามารถใช้คำว่า ‘เปลือย’ ได้เลย ลาอ้อนเคลื่อนตัวหลบลำแสงเพื่อหยุดการสร้างความเสียหาย ในขณะที่ตัวเค้าขยับเค้าก็รู้สึกถึงความเย็นตรงหว่างขา เค้าจึงหันไปมองส่วนล่าง แน่นอน..จะมีอะไรเหลือล่ะ ลาอ้อนรีบกุมส่วนล่างเอาไว้ ด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะหันไปหาองค์หญิงผมชมพูที่ตอนนี้หน้าแดงก่ำ ในลักษณะที่ว่าเห็นแล้วอึ้ง

                         “องค์หญิง!!! ..อย่ามัวแต่มองดาบอันทรงพลังของกระผม กระผมก็อายเป็นนะองค์หญิง.. ท่านช่วยเสกชุดมาให้กระผมจะได้มั้ยขอรับ ได้โปรด” ลาอ้อนพูดในขณะที่ใบหน้าของเค้านั้นแดงก่ำ ในตอนนี้มือทั้งสองข้างของเขานั้นรับภาระหนักเพราะต้องกุมดาบทั้งสองเล่มไว้ในคราเดียวกัน เมื่ออัศวินเปลือยกายพูดขอร้องกับองค์หญิง เธอจึงไม่รอช้า..เธอรีบตั้งสติก่อนจะวาดชุดที่เธอคิดได้ในตอนนี้

                         ถึงแม้จะถึงคราวเสียเปรียบชายหนุ่มก็ไม่หวาดหวั่น ลาอ้อนมองไปทางฝ่ายศัตรูที่ตอนนี้มีอยู่ราวห้าสิบคนด้วยดวงตาที่มุ่งมั่นถึงแม้ว่าจะเปลือยอยู่ก็ตาม หลังจากที่สายตาของเหล่าผู้คุมหันมาที่ลาอ้อนเป็นจุดเดียวกัน ลาอ้อนจึงใช้โอกาสนี้เบี่ยงเบนความสนใจของเหล่าผู้คุมด้วยการโยนดาบคาตานะขึ้นกลางอากาศ ผู้คุมหันมองใบดาบที่พุ่งขึ้นสู่อากาศอย่างจดจ่อจนเปิดช่องโหว่ ลาอ้อนจึงรีบเคลื่อนตัวไปด้านหลังของเหล่าผู้คุมก่อนจะลงมือปิดชีพอย่างรวดเร็วด้วยวิธีต่างๆ ทั้งการล้วงและกระชากหัวใจ หักคอ ใช้มีดของผู้คุมคนอื่นแทงใส่หลังศีรษะของผู้คุมผู้โชคร้ายจนใบมีดทะลุไปอีกด้าน เพียงไม่กี่วินาทีจำนวนของผู้คุมจากห้าสิบกว่าคน ตอนนี้เหลือเพียงแค่สามคน ชายหนุ่มพุ่งกลับมาตรงจุดเดิม พร้อมกับยื่นมือขวารับดาบที่ตกลงมา โดยที่มือข้างซ้ายยังคงปิดบังบางอย่างอยู่ภายใน

                         “เสร็จแล้วล่ะ..อัศวิน” ริกะพูดด้วยความดีใจ เมื่อลาอ้อนได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองร่างของตน ซึ่งตอนนี้ร่างของเขากำลังเปล่งแสงสีเหลืองอยู่..เพียงเสี้ยววินาทีแสงสีเหลืองนั้นก็ดับลง ตามด้วยร่างในชุดสูทสีดำ เนกไทสีแดง รองเท้าผ้าใบสีดำขาว เมื่อลาอ้อนเห็นเช่นนั้นจึงเปล่งรอยยิ้มขึ้น พร้อมกับพุ่งตัวเข้าหาหัวหน้าผู้คุมอย่างรวดเร็ว พร้อมกับฟันกลางหน้าอกของหัวหน้าผู้คุมนับไม่ถ้วน ก่อนจะใช้หลังมือกระแทกใส่หน้าของหัวหน้าผู้คุมทำให้ตัวของหัวหน้าผู้คุมกระเด็นออกไปในพุ่มไม้ แต่แล้วร่างที่กระเด็นไปนั้นกลับระเบิดร่างออกก่อนจะตกถึงพื้น แทนที่เลือดจะกระเด็นออกมา กลับกลายเป็นควันสีดำ กระจายและร่วงหล่นลงมาบนพื้นแทน ก่อนจะเกาะกลุ่มรวมตัวกลายเป็นรูปร่างของบางสิ่ง มันทำให้ลาอ้อนเกิดความกดดันอันมหาศาลขึ้นมาทันที

                         “ฮึ..ฮึ นี่แหละพลังอันไร้เทียมทานของหัวหน้าผู้คุมสโมค ในร่างนี้แกทอะไรหัวหน้าของพวกเราไม่ได้หรอก..นอกจากว่าแกจะจับต้องควันได้อ่ะนะ” หนึ่งในสองผู้คุมที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในตอนนี้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มีความมั่นใจ

                         หลังจากผู้คุมคนนั้นพูดจบ กลุ่มควันเหล่านั้นก็รวมตัวจนเป็นรูปร่างของมนุษย์ได้สำเร็จ ตรงส่วนที่น่าจะเป็นส่วนของใบหน้าของกลุ่มควันเหล่านั้นถูกแทนที่ด้วยหัวกะโหลกมนุษย์ ที่ภายในดวงตาของหัวกะโหลกนั้นมีแสงสีแดงดั่งโลหิตบังเกิดขึ้น แต่มันยังคงทอดสายตาลงบนพื้นดินเช่นเดิม ซึ่งมันทำให้เกิดความกดดันและความเครียดแก่ชายหนุ่มขึ้นไปอีก

                         ทันใดนั้น!!! มันก็ทอดสายตามาทางลาอ้อนอย่างรวดเร็วและกะทันหันจนน่ากลัว ก่อนที่มันจะยกมือที่เต็มไปด้วยควันทมิฬของมันขึ้นมาในทิศทางของลาอ้อน ก่อนจะยิ้มให้กับลาอ้อน และแตกกระจายเป็นกลุ่มควันหกสายพุ่งเข้าใส่ร่างกายของลาอ้อนอย่างรวดเร็ว กลุ่มควันเหล่านั้นพุ่งทะลุร่างกายของลาอ้อนโดยไร้ร่องรอยของเสื้อที่ฉีกขาด แต่กลับสร้างความเสียหายภายในร่างกายของลาอ้อนเป็นอย่างมาก จนกระทั่งทำให้ลาอ้อนนั้นกระอักโลหิตจากปากของเขาลงบนพื้นมากจนทำให้ริกะที่อยู่ทางด้านหลังของลาอ้อนตกใจมาก

                         “อัศวิน!!!” ริกะตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจ เธอจึงได้รีบวิ่งไปหาลาอ้อนด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ แต่แล้วมือข้างหนึ่งกางออก ลาอ้อนกางมือเพื่อบอกกับหญิงสาวว่าตนนั้นยังไม่เป็นอะไร ทั้งๆที่ตนต้องใช้ดาบคาตานะค้ำดินเพื่อยันตัวเองขึ้นมายืนเช่นเดิม

                         “ไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ..องค์หญิง กระผมยังคงต่อสู้กับเจ้าพวกนั้นได้อยู่ขอรับ” ลาอ้อนตอบด้วยน้ำเสียงอันห้าวหาญ ก่อนจะตั้งดาบในท่าตั้งโจมตี

                         ในขณะเดียวกันนั้นกลุ่มควันเหล่านั้นก็รวมตัวกลับมาเป็นร่างของปีศาจควันเช่นเดิม ไม่ทันที่ปีศาจควันจะรวมร่างสำเร็จ ดาบคาตานะก็ฟาดฟันใส่ร่างของมันจนขาดครึ่ง แต่ทันทีที่ร่างของมันถูกตัดออก ร่างของมันก็กลับมาเชื่อมเช่นเดิม แต่ถ้าพูดตามจริงล่ะก็มันเหมือนกับใช้ดาบตัดควันซะมากกว่า ซึ่งแน่นอน...ฟันให้ตายก็ไม่ขาด แต่ไม่ใช่แค่นั้น..ด้วยการฟันของลาอ้อนนั้นออกแรงไปเต็มแรง การที่ฟันไม่โดนร่างศัตรูจึงทำให้เขาเสียการทรงตัวและเปิดช่องโหว่ขนาดใหญ่ เมื่อร่างควันของผู้คุมสโมคเห็นดังนั้นจึงแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย พร้อมกับรวบรวมพลังหมัดควันเพื่อต่อยไปที่หัวใจของลาอ้อน แต่ทันใดนั้น..ดาบขนาดใหญ่ที่ยาวกว่า 50 เมตรก็พุ่งลงมาตรงจุดที่มนุษย์ควันอยู่พอดี การลงของดาบยักษ์นั้นทำให้เกิดแรงลมปะทะใส่ร่างของมนุษย์ควัน จนทำให้การโจมตีของสโมคนั้นพลาดเป้าไปโดยกลางท้องของลาอ้อน ทำให้กล้ามเนื้อ อวัยวะภายใน และกระดูกสันหลังของเขานั้นขาดและหัก จนเลือดที่อยู่ภายในท้องนั้นพุ่งออกมาจากรอยฉีกขาดของผิวหนัง จนทำให้ลาอ้อนต้องส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจนสิ้นสติ เพราะเสียเลือดจากรอยฉีกขาดภายในท้องมากเกินไป

                         “อัศวิน!!!” ริกะที่อยู่ทางด้านหลังถึงกับกรีดร้องทั้งน้ำตา เมื่อเห็นร่างของลาอ้อนที่นอนแน่นิ่ง จากแววตาโศกเศร้า เพียงพริบตาแววตาของเธอก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น เธอมองค้อนไปที่สโมคอย่างโกรธแค้น “แก!!!  แกบังอาจมาฆ่าอัศวินของชั้น...อย่าอยู่เล้ยยยย!”

                        “ความกระหายเลือด..ความโกรธแค้น..ความชิงชัง..ความอิจฉา..ความริษยา..การทรยศ ดาบต้องคำสาปแห่งการล้างแค้น..มุรามาสะ” ริกะร่ายคถาอัญเชิญดาบในตำนานของญี่ปุ่นนาม ‘มุรามาสะ’ ที่ปรากฏออกมาจากประกายไฟไร้เจ้าของจนหลอมรวมกลายเป็นใบดาบสีเงินคมกริบ พร้อมยังมีคราบเลือดติดอยู่ที่ปลายของใบดาบ เธอคว้าดาบต้องคำสาปที่ลอยอยู่กลางอากาศมา เธอหยุดนิ่งไปนาน จนทำให้สโมคผิดสังเกต เขาจึงไม่ลีลาเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ พุ่งไปด้วยความเร็วสูงไปทางของริกะ ภายในระยะไม่มาก หญิงสาวผมชมพูก็หันมามองศัตรูที่สีหน้ามุ่งมั่นก่อนจะใช้มุรามาสะฟันอากาศธาตุ การฟันนี้ ทำให้เกิดคลื่นสีโลหิตออกไปกระทบกับร่างของสโมค โดยที่ตัวปีศาจควันไม่หลบหลีกใดๆ แทนที่คลื่นนั้นจะผ่านร่างของมนุษย์ควัน แต่มันกลับลากตัวมนุษย์ควันไปด้วย ทำให้ตัวของมนุษย์ควันกระเด็นถอยหลังไปกระทบกับต้นไม้ทางด้านหลังจนร่วงลงไปนอนแน่นิ่ง เธอกลับมายืนตามปกติเช่นเดิม ก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างของสโมค แต่ทันใดนั้น!?!

                         “อ๊าาาาาาาาาา!!!” สาวผมชมพูกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับล้มลงและหมดสติไป

                         “เธอลืมพวกเราไปได้ยังไงเนี่ย..ฮ่าฮ่าฮ่า” ชายในชุดผู้คุมองค์กรเอสซีพีพูดออกมาพร้อมหัวเราะ

                         “ทำยังไงกับเด็กคนนี้ต่อดีค่ะ..หัวหน้า” หนึ่งในนักวิจัยสาวคนนึงที่เหลือรอดจากการไล่ฆ่าของลาอ้อนพูดขึ้น

                         “ฝ่ายลำดับสูงสุดขององค์กรของเรา..O5 บอกให้พวกเราจับตัวเด็กคนนี้ไปแบบยังมีชีวิต เรากลับไปที่ไซต์ 44 กันก่อนค่อยแจ้งทาง O5” ปีศาจควันที่ตอนนี้กลับร่างมาเป็นมนุษย์เช่นเดิมพูดตามคำสั่งของ O5 ก่อนจะสั่งอีกสองคนให้จับร่างไร้สติของริกะและเดินตามเขาไป

                         ในความมืดในจิตใจของลาอ้อนที่ใกล้จะตายเต็มทน..พลังของเค้าช่วยอะไรเค้าไม่ได้ในตอนนี้..ความหวังที่มีเพียงหริบหรี่..โชคชะตาที่พยายามจะฆ่าผู้เป็นนาย ทันใดนั้น!! ก็เกิดแสงในความมืด ทำให้ลาอ้อนที่กำลังจะจมอยู่ในความตายแหงนหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าที่ยังคงไร้ความหวัง หลังจากที่แสงนั้นบังเกิดขึ้น สตรีปริศนาก็ปรากฏตัว ในขณะนั้นแสงที่บังเกิดขึ้นก็ดับลง ทำให้ลาอ้อนสามารถมองเห็นใบหน้าของสตรีผู้นั้นอย่างชัดเจน เธอเหมือนกับเจน เดอะ คิลเลอร์ ผู้ที่ช่วยชีวิตเค้าไว้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน ทั้งดวงตาและสีผมที่ดำสนิท สีผิวขาวซีด และทรวดทรงหุ่นที่ดี ไร้ส่วนเกินของเนื้อหนัง เธอสวมใส่เพียงแค่ชุดราตรีสีดำสนิทเพียงสิ่งเดียว เธอเดินออกจากมิติแสงมาทางลาอ้อนอย่างช้าๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ใกล้กับลาอ้อน เธอก็หยุดเดินลง ก่อนที่เธอจะลืมตาขึ้น พร้อมกับยื่นมือมาทางของลาอ้อน แล้วมองหน้าลาอ้อนด้วยสีหน้าเป็นห่วง ลาอ้อนเห็นดังนั้นจึงยื่นมาของไปจับมือของเธอ หญิงสาวนิรนามจึงดึงมือของลาอ้อนออกจากวังวนแห่งความสิ้นหวัง เมื่อลาอ้อนคลานออกมาได้สำเร็จ เขาก็ชันตัวลุกขึ้นยืน

                         “ขอบคุณคุณมากนะครับ..ที่ช่วยผมออกมาจากวังวนบ้าๆนี่” กล่าวขอบคุณแก่หญิงสาวนิรนาม แต่ใบหน้าของเธอก็ยังคงเศร้าหมอง มันทำให้ลาอ้อนเกิดความสงสัยและเป็นห่วง เขาจึงถามเธอไป “คุณเป็นอะไรไปเหรอครับ..ทำไมถึงทำหน้าอย่างนี้ล่ะ”

                         “ขอ..ขอร้องล่ะ ท่านได้โปรดเถอะ ได้โปรดช่วยน้องสาวของเราจากเหล่าทรชนพวกนั้นด้วยเถิด” หญิงสาวนิรนามพูดขอร้องกับลาอ้อน ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าโศกเศร้า

                         “น้องสาวของคุณเป็นใครเหรอครับ..” ลาอ้อนที่ยังงงกับสถานการณ์ ถามหญิงสาวผมดำออกไป

                         “น้องสาว..น้องสาวของเราคือ..โอริซิส ริกาเนะ” ชื่อน้องสาวของหญิงสาวนิรนาม ทำให้ลาอ้อนเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด เขาจึงเข้าไปประกบมือของหญิงสาวเข้ากับมือของเขา

                         “ผมจะไปช่วยเธอแน่นอนครับ..คุณไม่ต้องห่วงหรอกนะครับ” ลาอ้อนพูดให้ความหวังกับหญิงสาวในชุดราตรีสีทมิฬ ทำให้เธอนั้นเกิดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าของเธอ ยามที่เธอยิ้มช่างงดงามดั่งนางฟ้าบนสรวงสวรรค์ถึงแม้ว่าร่างกายของเธอจะมีเพียงแค่สีดำกับสีขาว

                         “ขอบคุณท่านมากนะค่ะ...ลาอ้อน แม็กซิมัส” หญิงสาวกล่าวขอบคุณแก่ชายตรงหน้าก่อนจะเดินถอยหลังเข้าไปในประตูมิติแห่งแสงที่บังเกิดขึ้นภายหลัง ปล่อยให้ลาอ้อนยืนงงกับสิ่งที่เขาได้ยิน เขาพยายามตั้งคำถามกับตนเองว่า ‘เธอรู้จักชื่อเราได้ยังไง’ แต่ถึงจะคิดมากแค่ไหนก็หาคำตอบไม่พบ แต่แล้วในพริบตาที่มิติแห่งแสงปิดลง มันก็เกิดระเบิดขึ้น ทำลายมิติแห่งความสิ้นหวังจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงแต่ความขาวโพลน ก่อนที่เขาจะตั้งสติ รวบรวมสมาธิ ใช้นิ้วมือของเขาแหวกมิติขาวโพลนนี้ออกไปสู่ความเป็นจริง

                         “คุ..คุณลาอ้อน ตื่นแล้วเหรอครับคุณลาอ้อน” เด็กผู้ชายดวงตาสีเลือด ในชุดที่เหมือนกับตัวละครเอกในเกมๆหนึ่งพูดขึ้น..หรือว่าเขาจะเป็นคอสเพลย์!?

                         “นี่!..นายใครกัน” ลาอ้อนถามเด็กผู้ชายปริศนาเบื้องหน้า “แล้วยัยหัวชมพูล่ะ”

                         “ผมชื่อเบนครับ..เบน ดราวน์” เด็กชายผมสีทองพูดออกมา ก่อนจะยิ้มให้ลาอ้อน “และถ้าคุณคนที่หัวชมพูคนนั้น..หมายถึงคุณโอริซิส ริกะล่ะก็..คุณมาสกี้กับคุณฮู้ดดี้กำลังติดตามกลุ่มคนที่ลักพาตัวคุณริกะไปอยู่น่ะครับ คุณลาอ้อน..ไม่ต้องห่วงหรอกนะครับ”

                         “เฮ้อ..ก็หวังว่างั้น” ลาอ้อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ‘ขอให้ไม่เป็นอะไรนะ..ยัยหัวชมพู’

                         ณ ศูนย์ควบคุม 25b ในไซต์ 44 ขององค์กรเอสซีพีที่อยู่ลึกลงไป 200 เมตรจากระดับน้ำทะเล และยังอยู่ใต้ชั้นหินที่มีความทนทานสูง ทางเข้าศูนย์นั้นเป็นลิฟท์ที่มีประตูไททาเนียมหนา 20 ซม. กั้นทุกๆ 50 เมตร ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการใช้งานลิฟต์นี้จึงถูกปล่อยให้น้ำทะเลท่วมขังไว้ข้างใน และในทางเดินเข้าศูนย์หัวหน้าผู้คุมสโมค และลูกทีมอีกสองคนได้นำพาเด็กสาวผมสีชมพูเข้ามาในศูนย์ พวกเขาเดินตรงไปในห้องวิจัยใหญ่ในศูนย์นี้ สโมคที่แบกริกะอยู่นั้น วางร่างของริกะลงบนโต๊ะวิจัย แต่ด้วยความที่ร่างของสโมคนั้นยังไม่กลับมาเป็นดังเดิม ทำให้ร่างของริกะกระแทกเข้ากับโต๊ะจนเธอได้สติ แต่เธอยังคงทำเป็นว่ายังไม่ได้สติ

                         “เจ้าบ้าสโมค!!..นี่แกระวังบ้างไม่เป็นหรือไงฟ่ะ” นักวิจัยคนหนึ่งตะโกนด่าหัวหน้าผู้คุมเสียงดัง

                         “ก็ร่างกายข้ายังไม่เสถียรนี่..ทำไงได้เล่า” สโมคตะโกนตอบกลับไปด้วยเสียงที่ดังกว่า ก่อนที่ทั้งคู่จะด่ากลับไปกลับมาไม่หยุด โดยที่คนอื่นรอบๆ ไม่มีทีท่าจะห้ามปราม เหมือนเรื่องนี้จะเป็นเรื่องปกติสำหรับที่นี่ ไม่นานหลังจากนั้นก็เกิดเสียง..เสียงที่ทำให้ทั้งคู่หยุดทะเลาะกัน..เสียงที่ทำให้ทุกคนต้องฟัง..เสียงที่ทุกคนหวั่นเกรง

                         ...เสียงระบบรักษาความปลอดภัยแจ้งเตือนการแหกที่คุมขังของ SCP-076-2...

                         “เจ้าเอเบิล..มันแหกคุกอีกแล้วเหรอฟ้ะ” นักวิจัยที่ด่ากับสโมคอยู่นั้นพูดขึ้นด้วยเสียงดังลั่น ก่อนจะเกิดเสียงประตูไทเทเนียมแตกเป็นชิ้นๆ พร้อมกับเศษซากศพและกองเลือดของนักวิจัยและเหล่าผู้คุม

                         “เจ้าพวกโง่!!! ข้าถามพวกแกว่าเจ้าลอสต์มันอยู่ไหน..หูหนวกกันหรือไง” ชายเชื้อสายเซมิติกผู้ที่มีรอยสักรูปปีศาจอยู่เต็มตัวพูดขึ้น ก่อนจะเขวี้ยงหัวของผู้คุมคนหนึ่งใส่ผนังเหล็กกล้าเต็มแรงจนหัวนั้นทะลุเข้าไปในผนังเหล็กทันที

                         “เจ้าลอสต์มันไม่ได้อยู่นี่ว่ะ..เอเบิล งั้นมาเล่นกับคอนดรากีคนนี้กับเจ้าลมควันหน้าโง่นี่..ไปก่อนละกัน” ชายนามคอนดรากีพูดด้วยน้ำเสียงขำขัน

                         ในขณะที่ทั้งสามเผชิญหน้ากัน นักวิจัยและผู้คุมคนอื่นๆต่างหนีออกจากห้องนั้นอย่างเร็วไว..เหมือนรู้หน้าที่ ทำให้ในห้องนั้นเหลือเพียงคอนดรากี สโมค และเอเบิล โดยเมื่อริกะเห็นสถานการณ์ก็รีบวิ่งตามเหล่านักวิจัยไป คอนดรากีที่อยู่ในห้องหยิบปืนลูกซองสองกระบอกจากในกระเป๋าเขาขึ้นมาถือ ทางด้านของสโมคก็เปลี่ยนร่างกลายเป็นปีศาจควัน ส่วนเอเบิลนั้นก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน เขาแหวกมือในอากาศก่อให้เกิดมิติสีดำขึ้น และเอื้อมมือเข้าไปคว้าดาบคู่ในมิติทมิฬนั้นออกมา ก่อนที่ทั้งสามจะตั้งท่าเตรียมต่อสู้

                         “คงจะได้เวลาสนุกกันแล้วสิ..ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า” คอนดรากีหัวเราะออกมา

                         “สนุกไปคนเดียวเฮอะ..เจ้ากล๊วก..‘คนเด้าขี้’..” สโมคพูดล้อเลียนชื่อของคอนดรากี ก่อนที่เขาจะขำ

                         “นี่!!..พวกแกหูหนวกกันใช่มั้ย ชั้นถามว่าเจ้าลอสต์! มัน! อยู่! น้ะ....” ไม่ทันที่เอเบิลจะพูดจบก็ถูกกระสุนปืนลูกซองของคอนดรากียัดใส่หน้าของเขาจนมันสมองกระจายออกมาด้านนอก แต่เอเบิลก็ยังคงยืนอยู่ได้

                         “ไอ้@#$!!! มันเจ็บนะเฟ้ย!!!” ประโยคสุดท้ายของเอเบิลคือจุดเริ่มต้นของการตะลุมบอน เมื่อทั้งสามพุ่งเข้าใส่กัน

                         ทางด้านของริกะนั้น..เธอยังคงวิ่งหนีออกมาจากห้องวิจัยใหญ่ เธอวิ่งออกมาอย่างไม่สนใจใครจนเดินไปชนเข้ากับใครบางคน

                         “ว้ายยย!!!..” ริกะและหญิงสาวอีกคนต่างร้องเสียงหลงทั้งคู่

                         “ขอโทษค่ะ..ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะ..เอ๋ ว้าย” ริกะพยายามจะกล่าวขอโทษหญิงสาวเบื้องหน้า แต่เธอกลับไปพบกับบางอย่างข้างหลังหญิงสาวคนนั้น ทำให้ริกะเกิดกลัวขึ้นมา นั่นคือ ‘รยางค์เทนทา เคิลสีดำ’

                         “นี่เธอ..ไม่ต้องกลัวชั้นหรอก เจ้าพวกนี้น่ะ..ผมของชั้นเอง” หญิงสาวผมสีดำเบื้องหน้าอธิบายถึงรยางค์แปลกๆข้างหลังของเธอ นั่นทำให้ริกะทำสีหน้าเหมือนจะบอกว่า ‘นั่น! ผมเหรอ’ แต่หญิงสาวนิรนามเหมือนจะเข้าใจ เธอจึงปัดผมที่ปิดหน้าเธออยู่ออก ก่อนจะแนะนำตัว “ชั้น!! หนึ่งในนักมายากลเส้นผมชื่อก้องโลก...ฮีโรอิค อเล็กซานดร้า”

                         “อีโรติกเหรอ..ว้าย!! อย่าบอกนะว่าเธอ..” ริกะทำท่าทางสะดุ้งโหยงกับความหมายของ ‘อีโรติก’

                         “ใช่..ชั้นเป็นดาราหนังประเภทนั้นแหละ...จะบ้าเหรอ ชั้น ‘ฮีโรอิค’ ไม่ใช่ ‘อีโรติก’ ย่ะ” อเล็กซานดร้าพูดแก้มุขของริกะ ทำให้ริกะยิ้มอย่างผ่อนคลายก่อนจะเดินพูดคุยตามประสาผู้หญิงกะผู้หญิงจนลืมไปว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลัง

                         “ปั้ง!!!” เสียงเศษผนังเหล็กกระจายออก พร้อมกับร่างปีศาจควันของสโมค โดยผู้ที่ออกมานั้นคือ เอเบิล!!! ที่ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรูพรุนจากกระสุนปืน รอยขีดข่วน รอยเลือด และกระดูกที่โผล่ออกมาจากกล้ามเนื้อ เอเบิลเดินออกมาจากช่องโหว่นั้นก่อนจะหันมาทางหญิงสาวทั้งสอง

                         “ว่าไง..ฮ่าฮ่าฮ่า” เอเบิลหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งในสภาพที่ดูไม่ได้

“เละเทะซะเหมือนหมาขี้เรื้อนเลยยังจะยืนอยู่ได้อีก..ถึกอย่างกับแมลงสาบ” อเล็กซานดร้าพูดออกมาอย่างลืมตัว ทำให้เอเบิลโมโหขึ้นมาทันที

                         “เมื่อกี้แกว่าใครกันฟ่ะ” เอเบิลหยิบดาบคู่จากห้วงมิติ ก่อนจะกระโดดพุ่งมาทางอเล็กซานดร้าเพื่อที่จะฆ่าเธอ เหมือนกับเจ้าตัวที่ก็คิดว่าตนไม่รอดแน่ๆ แต่ทว่า...

                         “ตุ้บ!!!” เกิดแรงกระแทกมหาศาลกลางอากาศ ทำให้ร่างของเอเบิลกระเด็นออกไปไกลกว่าสามสิบเมตร ซึ่งมันมาพร้อมกับการปรากฏตัวของบุรุษในฮู้ดสีดำกับชุดนักวิจัยที่ออกมาจากรอยแยกของมิติไร้ที่มา

                         “เป็นอะไรกันบ้างมั้ย..เด็กๆ” ชายนิรนามพูดขึ้นมา “เดี๋ยวชั้นจะพาพวกเธอออกจากที่นี่เอง แต่ก่อนอื่น..ชั้นขอสะสางบางอย่างให้เสร็จก่อนละกัน”

                         “ลอสต์..ลอสต์ ข้าอยากจะสู้กับเจ้ามาตั้งนานแล้ว” เอเบิลที่กระเด็นออกไปจากแรงกระแทก กลับยืนขึ้นมาดังเดิม พร้อมกับหักกระดูกตามส่วนต่างๆที่บิดเบี้ยวให้กลับเข้าที่ รวมถึงบาดแผลต่างๆก็สมานอย่างรวดเร็วเกินคน

                         “ท่าทางฉากต่อสู้จะยาวน่าดู..ท่าปล่อยให้เจ้านั่นเขียนต่อเรื่อยๆ เจ้านั่นคงจะเซ็งน่าดู งั้น...” เมื่อนักวิจัยไร้หน้าพูดจบ เขาก็ทำการดีดนิ้ว ทำให้มิติด้านหลังของเขาฉีกขาดโดยภายในมีทิวทัศน์ภายนอกศูนย์ปรากฏอยู่ “พวกเธอทั้งสองคนเข้าไปในประตูมิตินั้นก่อน เดี๋ยวชั้นตรึงเจ้าบ้านี่ไว้ให้”

                         “แล้วเราจะเชื่อใจคุณได้ยังไงกัน..” ริกะพูดแทนเพื่อนของเธอ “..พอเราเข้าไปในเจ้าประตูมิตินั่น คุณอาจจะให้พวกของคุณลักพาตัวไปก็ได้”

                         ‘เฮ้อ!..ชั้นอยากจะด่าไอ้คนเขียนที่ใส่นิสัยไม่ไว้วางใจใครเข้าไปในตัวละคร อย่าให้เจอนะ..เจอเมื่อไหร่พ่อสับเละแน่’ ลอสต์คิดในใจก่อนจะพูดขึ้นในขณะที่เขากำลังหันมองไปทางเอเบิล ซึ่งเขากำลังวิ่งมาหาลอสต์ด้วยความเร็วสูง “ชั้นให้พวกเธอเลือกนะว่าจะยืนรอให้เจ้าบ้านี่มาฆ่าหรือจะเชื่อใจชั้นแล้วเข้าประตูมิตินั้นไป ...ตอนนี้พวกเธอเหลือเวลาอีกสามวินาทีก่อนที่เจ้าบ้านี่จะพุ่งมาถึงชั้น”

                         “ไปกันเถอะ..ริกะ เส้นผมของชั้นบอกว่าชายคนนี้ไว้ใจได้” อเล็กซานดร้าพูดขึ้น พร้อมกับดึงมือของริกะเพื่อเข้าประตูมิติ แต่ริกะกลับคัดค้าน

                         “เธอไว้ใจคนง่ายเกินไปรึเปล่า..ซานดร้าจัง” ริกะโต้คำพูดกับอเล็กซานดร้าที่เธอคิดว่าเธอเชื่อคนโดยไม่มีเหตุผล

                         “ริกะ..” อเล็กซานดร้าจับมือริกะไว้ก่อนจะชี้ไปทางลอสต์ที่กำลังรวบรวมพลังหมัดเพื่อที่จะต่อยไปทางเอเบิลที่อยู่เบื้องหน้า อเล็กซานดร้าพูดบางอย่างขึ้นมา ทำให้ริกะเข้าใจหลายๆสิ่ง “ชายคนนี้น่ะคือพ่อของชั้นเอง ดังนั้นริกะ..เธอเชื่อใจเขาได้”

                         “เอ่อ..” ลอสต์เปล่งเสียงขึ้น ทำให้หญิงสาวทั้งสองคนหันไปทางเขา ซึ่งตัวลอสต์นั้น เขากำลังเอามือของเขาจับดาบคู่ของเอเบิลอย่างเกร็งๆ “เร็วๆหน่อยก็ดีนะ..สาวๆ”

                         “เร็ว..ริกะ ไปกันเถอะ” อเล็กซานดร้าจับข้อมือของริกะก่อนจะจูงเธอเข้าประตูมิติไป เมื่อพวกเธอเข้าไปแล้ว ประตูนั้นก็อันตรธานหายไป

                         เมื่อลอสต์เห็นดังนั้นจึงผลักเอเบิลที่เข้าปะทะออกไปจากตัว พร้อมกับต่อยหน้าของเอเบิลที่ยังไม่ทันตั้งตัวจนเอเบิลกระเด็นออกไปหลายสิบเมตร แต่ก็ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ เอเบิลใช้มือเช็ดเลือดที่ไหลมาจากปากออก

                         “เรามาจบเรื่องตรงนี้กัน..ดีมั้ย เอเบิลคุง” ลอสต์พูดออกไปในขณะที่เขากำลังเอามือล้วงกระเป๋าด้วยความมั่นใจ ส่วนทางด้านผู้ฟังก็หยิบดาบที่ตกลงบนพื้นขึ้นมา

                         “ข้าก็คิดอย่างเจ้า...ช่างน่ายินดียิ่งนักที่นักรบอย่างเราทั้งสองจะมาสู้กันอย่างสมเกียรติกันที่แห่งนี่ งั้นอย่ารอช้าอยู่เลย..เรามาจบเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเสียที” เอเบิลพูดขึ้นในขณะที่ตนกำลังยืนกอดอกอยู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นท่าเตรียมสู้

                         “งั้นจะรออะไรเข้ามาเลย...” ลอสต์ตะโกนออกไป ก่อนที่เขาจะพุ่งตัวไปทางเอเบิล ส่วนทางเอเบิลเมื่อเห็นเช่นนี้ เขาก็พุ่งไปทางลอสต์เช่นกัน ก่อนที่ทั้งสองจะฟาดฟันกันอย่างบ้าคลั่ง

                         ทางด้านของอเล็กซานดร้าและริกะที่ออกมาจากประตูมิตินั้น ก็สำรวจว่าพวกตนอยู่ที่ใด เมื่อพวกเธอหันหลังไป พวกเธอก็ได้รู้ว่าพวกเธออยู่ภายนอกสถาบันของเอสซีพีแล้ว ก่อนที่พวกเธอจะหันมาคุยกัน เสียงที่ไม่คุ้นหูก็ถูกเปล่งขึ้น

                         “คุณครับ..คุณใช่คุณโอริซิส ริกะหรือเปล่าครับ” ริกะรีบหันไปทางต้นเสียงก็พบบุรุษสองคน คนที่พูดนั้นเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่กะทัดรัด เขาใส่เสื้อโค้ดสีน้ำตาลทึบพร้อมถุงมือสีดำและกางเกงยีนสีดำ แต่ที่น่าสังเกตที่สุดคือหน้ากากสีขาวที่ปรากฏเพียงดวงตาและปากที่มีสีดำสนิทซึ่งทั้งสองอย่างนั้นไม่มีการแสดงถึงความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น ส่วนอีกคนนั้นใส่เสื้อกันหนาวมีฮู้ดสีส้ม เขาสวมฮู้ดอยู่ แต่ด้วยแสงที่สาดส่องไปทำให้ริกะมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน นั่นคือความมืดและส่วนของดวงตากลมโตสีแดงกับปากที่บึ้งตึงสีแดงเท่านั้น

                         “ใช่ค่ะ..ชั้นคือคนที่คุณพูดนั่นแหละค่ะ ทำไมเหรอค่ะ” ริกะตอบกลับไปด้วยสีหน้าสงสัย

                         “พวกเราได้รับคำขอจาก ดร.ลอสต์ เซเคร็ต ให้พาคุณไปที่ปลอดภัยน่ะครับ” ชายใส่หน้ากากไร้ความรู้สึกสีขาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม พร้อมกับโค้งคำนับสักพักก่อนจะกลับขึ้นมายืนเช่นเดิม

                         “ใครคือ ดร.ลอสต์ เซเคร็ตเหรอ..อเล็กซานดร้าจัง” ริกะหันหน้าไปถามเพื่อนของเธอ

                         “ก็คือคนที่ช่วยเราจากคนที่มีรอยสักเต็มตัวนั่นแหละ..พูดง่ายๆก็พ่อชั้นเองนั่นแหละนะ” หญิงสาวผมสีดำพูดตอบเพื่อนของเธอที่กำลังทำหน้าสงสัย

                         “พ่อของเธอชื่อ ลอสต์ เซเคร็ตเหรอ..ทำไมนามสกุลไม่เหมือนเธอล่ะ” หญิงสาวขี้สงสัยยังคงถามเพื่อนอยู่

                         “ชั้นใช้นามสกุลของแม่น่ะ..ส่วนพ่อชั้นไม่ยอมเปลี่ยนนามสกุล” คำตอบสั้นๆของอเล็กซานดร้าทำให้ริกะ สาวขี้สงสัยได้เข้าใจ “แล้วพ่อของชั้นให้พาพวกเราไปที่ไหนล่ะ”

                         “พ่อก็จะพาพวกหนูไปที่บ้านของพวกเขาไงล่ะ..บ้านของพวกเขาน่ะเป็นถึงคฤหาสน์เลยเชียวนะ” ลอสต์ที่มาจากไหนก็ไม่รู้ ปรากฏทางด้านหลังของริกะและอเล็กซานดร้าอย่างกระทันหันจนทำให้ทั้งคู่ต้องตกใจ

                         “โธ่! พ่อชอบโผล่มาแบบนี้ตลอดเลย..รู้มั้ยหนูตกใจนะ” หญิงสาวผมดำวิ่งเข้าไปกอดพ่อของเธอ ก่อนที่เธอจะหันกลับไปพูดกับชายทั้งสอง “แล้วอยู่ไหนกันล่ะ..ที่ๆนั่นน่ะ”

                         “คฤหาสน์ของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าอยู่ในป่าสเลนเดอร์ฟอเรสต์ทางใต้ของเมืองนี้..ถ้าจะไปที่นั่นคงจะต้องรีบกันหน่อย ไม่เช่นนั้นเราจะหลงป่าในเวลากลางคืน” ชายที่สวมหน้ากากสีขาวพูดเช่นเดิม ส่วนคนที่สวมชุดกันหนาวสีส้มนั้นก็ยังคงเงียบอยู่เช่นเดิม

                         “มีชั้นอยู่ก็ไม่ต้องห่วงหรอกน่า” พ่อของอเล็กซานดร้าพูดขึ้น พร้อมกับปรากฏกล่องข้อความขึ้นบนอากาศ ซึ่งมีรูปอีโมติคอนเคลื่อนไหวได้กำลังทำสีหน้าภาคภูมิใจขึ้น ก่อนที่เขาจะดีดนิ้ว ทำให้เกิดออร่าสีขาวกระจายออกจากตัวของเขาปกคลุมร่างของคนทั้งห้า หลังจากนั้นไม่นานแสงนั้นก็ดับลง ริกะจึงลืมตาขึ้นพร้อมทั้งประหลาดใจกับสิ่งที่เห็น เพราะเธอนั้นมาปรากฏตัวหน้าประตูของคฤหาสน์หลังใหญ่มหึมาตรงหน้าเธอ แต่เสียงหนึ่งที่ทำให้ริกะต้องประหลาดใจที่สุด

                         “ยินดีต้อนรับกลับครับ..ท่านองค์หญิงโอริซิส ริกะ” เสียงของชายคนหนึ่งที่เคยช่วยเหลือเธอจากผู้คุมของเอสซีพี เสียงนี้ทำให้หัวใจของริกะเต้นแรง พร้อมทั้งน้ำตาที่หลั่งไหลอย่างห้ามไม่ได้ “กระผมอัศวินลาอ้อน แม็กซิมัสจะปกป้องท่านองค์หญิงเฉกเช่นเดิม แต่กระผมจะทำให้ดีกว่าเดิมนะขอรับ”

                         “ละ..ลาอ้อน!!!” เสียงหวานของริกะถูกเปล่งออกมา ก่อนที่เธอจะวิ่งเข้าไปกอดลาอ้อนทั้งน้ำตา แต่เต็มไปด้วยความสุข ก่อนที่ทั้งคู่จะหันหน้ามามองกันแล้วยิ้มให้กัน

                         “ยินต้อนรับนะครับ คุณริก้าาาาาา! ..โอ้ย!!!” เบน ดราวน์ที่วิ่งอย่างดีใจโดยไม่ดูตาม้าตาเรือพุ่งเข้าชนใส่ลาอ้อนกับริกะที่กำลังยิ้มให้กันอยู่ ทำให้ลาอ้อนเสียหลักล้มลง จึงพลอยทำให้ริกะที่อยู่ในอ้อมอกล้มลงไปด้วย แล้วริมฝีปากของทั้งคู่ก็ประกบกันจนสนิท ดวงตาของทั้งคู่เบิกกว้าง แต่พวกเขาก็ยังคงปล่อยให้อยู่ในสภาพนี้ต่อไปโดยไม่สนใจใครที่มอง

                         เบน ดราวน์ที่กุมหัวตนเองเมื่อเงยหน้าขึ้นก็ถึงกับตาโบกกว้าง กับเลิฟซีนตรงหน้า ส่วนคนอื่นๆทั้งอเล็กซานดร้า ลอสต์ มาสกี้ต่างตกตะลึง มีแต่เพียงฮู้ดดี้เท่านั้นที่กำลังถือกล้องถ่ายวิดีโอ พร้อมกับปากที่เปลี่ยนจากบึ้งตึงเป็นรอยยิ้ม ส่วนทางด้านของเจฟและเจน กับโทบี้และคล็อคเวิร์คต่างหน้าแดงกันหมด ในขณะนั้นมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าก็นั่งรถเข็นมาถึงพอดี โดยเขามาพร้อมกับสเลนเดอร์ที่ตอนนี้อยู่ในร่างของสเปลนเดอร์ จำอวดตัวสูงใหญ่ที่ใบหน้ามีเพียงแค่ดวงตาที่เป็นวงกลมสีดำ รอยยิ้มเบิกกว้างที่เป็นสีดำ กับผิวสีเนื้อ และซัลโก้ในร่างมนุษย์ เมื่อพวกเขาทั้งสามมาเห็นฉากเลิฟซีนเบื้องหน้า พวกเขาก็อดอมยิ้มไม่ได้

                         “ช่างเป็นภาพที่น่าอภิรมย์จริงๆเลย..คุริ..คุริ..คุริ” สเปลนเดอร์แมนพูดออกมา พร้อมกับเอามือปิดปากแล้วหัวเราะออกมาด้วยภาษาแปลกๆ

                         “ข้าก็คิดเหมือนเจ้านั่นแหละ..ถึงข้าจะเป็นถึงจ้าวแห่งความชั่วและความทุกข์ทั้งปวง แต่เมื่อมาเห็นภาพเช่นนี้ข้าก็รู้สึกมีความสุขยังไงไม่รู้ ฮ่าฮ่าฮ่า” มนุษย์ผิวสีแดงสลับดำพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบิกบาน

                         ผ่านไปไม่นานหลังจากนั้นลาอ้อนและริกะที่ล้มลงจูบกันอย่างดูดดื่มนั้นก็ผละปากออก ก่อนจะรีบลุกขึ้นมายืนในลักษณะที่เขินอายกันทั้งคู่ แต่ทั้งสองคนก็ยังคงจับมือกันเช่นเดิม

                         “Yes! แน่นอนนะครับคู่นี้ ..Yes! แน่นอน” โทบี้ตะโกนหยอกล้อคู่รักคู่ใหม่ของครอบครัวครีปปี้พาสต้า ทำให้ทั้งคู่นั้นยิ่งอายมากขึ้นไปอีก โดยริกะนั้นรีบเอามือทั้งสองปิดใบหน้าที่แดงก่ำของเธอด้วยความเขินอายมากๆ

                         “โทบี้! ..นี่ก็ชอบล้อคนอื่นเค้า เนี่ย! ดูสิ! นายทำเจ้าสาวอายม้วนต้วนหมดแล้วนะ ฮ่าฮ่าฮ่า” เจฟที่เหมือนพยายามจะว่าโทบี้ที่ล้อ แต่เขาก็กลับเป็นคนล้อแทน ก่อนที่โทบี้และเจฟจะหัวเราะเสียงดังลั่น

                         “ฮ่าฮ่าฮ่า..อั้ก!!!” เจฟและโทบี้ที่หัวเราะลั่น กลับลงไปนอนกองกลับพื้นในท่ากุมส่วนล่างของเขาไว้ เพราะถูกสองสาวนั่นคือ เจน เดอะ คิลเลอร์ และคล็อคเวิร์คเตะเข้าไปที่กล่องดวงใจ ทั้งเจฟและโทบี้ต่างเจ็บปวด แต่เจฟนั้นก็ยังคงไม่หยุด “เจนจ๋า..ทำอย่างนี้กับท่านสามี ระวังจะร้องทั้งคืนนะจ๊ะ”

                         “ตาเจฟฟฟฟ!!!..เดี๋ยวครั้งนี้ชั้นจะเอาไม่ให้เหลือแม้แต่เจ้าแท่งนั้นเล้ยยย” เจนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เกรี้ยวกราดจนน่าหวาดผวา

                         “เมียจ๋า..เค้าขอโทษน้าาาาา” เจฟพนมมือก่อนจะพูดออกมาด้วยลักษณะกวนๆ

                         “ใครเมียแกย่ะ!!!” เจนตะโกนออกมาดังลั่น

                         ในขณะที่ทุกคนกำลังมีความสุขกันอยู่นั้น ลอสต์พูดออกมาดังลั่น

                         “ซวยแล้ว...” เสียงของลอสต์ทำให้ทุกคนหันไปทางเขากันหมด “วันนี้มันวันเกิดของยัยพิงก์นี่นา”

                         “ลูก! อยู่กับพวกเขาที่นี่ไปก่อนนะเดี๋ยวพ่อมารับ” เมื่ออเล็กซานดร้าได้ยิน เธอก็เข้าใจที่พ่อของเธอพูด แล้วจึงพยักหน้าขึ้นลง และเมื่อลอสต์เห็นปฏิกิริยาของลูกของเธอ เขาก็กลับหลังหันเดินไปก่อนจะยกมือขวาขึ้นสูง

                         “ลาก่อนพวก!!!” ลอสต์พูดบอกลาทุกๆคน แล้วจึงอันตรธานหายไปจากสายตาของทุกคน และทันทีทันใดที่ลอสต์หายตัวไป ก็มีกลุ่มเดินเข้ามาหน้าประตูของคฤหาสน์ ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาเป็นจุดสนใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อพวกเขารู้ ชายคนนึงในกลุ่มพูดออกมาด้วยเสียงอันดัง

                         “สวัสดีทุกๆคน..จำพวกเราได้หรือเปล่า” ชายในชุดของตัวตลกจมูกทรงกรวยสีขาวสลับดำทั้งตัว

                         “ลาฟฟิ้ง แจ็ค!!!” อสูรสุนัขสีชาดตะโกนออกมาอย่างมีความสุขกับการกลับมาของเพื่อน มันรีบวิ่งเข้าไป ก่อนจะกระโดดใส่ลาฟฟิ้ง แจ็ค พร้อมกับเลียหน้าของเขา

                         “สวัสดีครับ..คุณลาฟฟิ้ง แจ็ค ..แซลลี่ ..และคุณมิลโร่” มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้ากล่าวทักทายแขกทั้งสามคนที่ประกอบไปด้วยตัวตลกขาวดำ..ลาฟฟิ้งแจ็ค เด็กหญิงที่ใบหน้าถูกอาบไปด้วยเลือด ซึ่งเธออยู่ในชุดเดรสสีชมพูกับตุ๊กตาหมีที่อยู่ข้างกายเธอ..แซลลี่ และคนสุดท้าย เธอเหมือนกับเจฟ เดอะ คิลเลอร์มาก เพียงแต่เธอเป็นผู้หญิงเท่านั้น..มิลโร่ “ว่าแต่...ทำไมคุณถึงกลับมาก่อนละครับ ไม่ใช่ว่าคุณจะกลับมาเดือนหน้าเหรอครับ”

                         “จริงๆแล้ว..เราก็ว่าจะกลับมาที่นี่ตอนเดือนหน้าแหละครับ แต่พอดีพวกเรานึกขึ้นได้ว่าเดือนนี้มีวัน ‘รียูเนี่ยน’ น่ะครับ..พวกเราเลยรีบกลับมากันเร็ว เพราะวัน ‘รียูเนี่ยน’ น่ะคือวันพรุ่งนี้แล้วครับ” ลาฟฟิ้งแจ็คพูดกับมิสเตอร์ครีปปี้หลังจากที่เขากับแซลลี่เดินเข้ามาถึงด้านหน้าของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าแล้ว

                         ส่วนมิลโร่นั้นก็วิ่งเข้าไปกระโดดกอดเจน เดอะ คิลเลอร์ ก่อนจะพูดกับเธอต่อ

                         “แม่จ๋าจำหนูได้รึเปล่าค่ะ..ว่าแต่พ่อเป็นอะไรไปเหรอค่ะ ทำไมถึงไปนอนที่พื้นล่ะค่ะ” มิลโร่ทำหน้าสงสัยกับท่าทางของเจฟ ซึ่งเธอเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ ทั้งๆที่เจฟและเจนนั้นพ่อแม่ของเธอเลย

                         “พ่อน่ะชอบทำเรื่องไม่ดีน่ะ แม่ก็เลยต้องสั่งสอนน่ะ” เจนพูดออกมาพร้อมกับเชิดหน้าให้กับเจฟ

                         “พอดีพ่อกำลังคุยกับแม่เรื่องที่จะให้น้องกับหนูน่ะ” เจฟพูดพร้อมกับยืนขึ้นมาจากพื้น พร้อมกับมองไปที่เจนที่กำลังอึ้งกับคำพูดของเจฟ

                         “จริงเหรอค่ะ..เย้! หนูอยากได้น้องเร็วๆจังเลย พ่อค่ะ..เร็วๆนะค่ะ” มิลโร่แสดงอาการดีใจเป็นอย่างมาก

                         “ลูกพูดซะขนาดนี้..เห็นทีพ่อจะต้องจัดให้เต็มที่ซะแล้ว ใช่มั้ยจ๊ะ..ที่รัก” เจฟกวาดสายตายียวนไปทางเจน ทำให้เจนทำหน้าเซ็งกับความพ่ายแพ้ที่ตนได้รับ ก่อนจะจูงมือมิลโร่เข้าไปในคฤหาสน์ เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงเดินมาที่ทิศทางของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าที่กำลังพูดคุยกับสเปลนเดอร์แมนอยู่ เพื่อที่จะมาตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาพูด

                         “คุณสเปลนเดอร์แมนครับ..มีใครบ้างครับที่จะมาในวัน ‘รียูเนี่ยน’ครับ” มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าบนรถเข็นหันไปมองชายจำอวดทางด้านหลัง ชายจำอวดเมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็อันตรธานหายไปก่อนจะปรากฏกลับมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเอกสารปึกหนา

                         “สำหรับคนที่มาแน่นอนก็จะมีคุณโซนิคดอทอีเอ็กอี คุณลอสต์ซิลเวอร์ คุณพัพเพ็ทเทียร์ คุณบลัดดี้เพนท์ คุณเจสัน คุณแคนดี้ ป็อป คุณซีโร่ คุณฮีโร่บราย คุณพิงกาเมน่า และคุณโฮมมิไซเดิล ลูน่ะคุริ คุริ...” เมื่อชื่อสุดท้ายถูกเอ่ยขึ้น มันก็ทำให้เจฟเดอะคิลเลอร์ตกตะลึงไปในทันที

                         “พี่ลู...พี่ชายของชั้นเป็นครีปปี้พาสต้าด้วยเหรอ!!!!!!!!” เจฟ เดอะ คิลเลอร์ตะโกนออกมาอย่างตกใจ ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาสงบลงโดยคนที่ชอบมีส่วนร่วมกับทุกงาน

                         “ก็ใช่น่ะสิ!..นายนี่ไม่รู้อะไรเลยนะ” ลอสต์แหวกมิติออกมาพูด ก่อนจะหุบมิตินั้นลงจนไร้ร่องลอยของรอยฉีกขาดของมิติ โดยที่หลายคนที่เห็น พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า 'สอดรู้สอดเห็นเรื่องของเขา..แล้วยังจะมาด่าอีก'

                         แล้วทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติเช่นเดิม ก่อนที่ทุกคนจะเข้าคฤหาสน์ไปและเสียงสุดท้ายที่ดังขึ้นก่อนที่ประตูคฤหาสน์จะถูกปิดลงนั่นคือ

                         "น้องชายตู!!!" โทบี้ตะโกนออกมาด้วยเสียงดังลั่นในขณะที่เขากำลังกุมเป้าอยู่

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา