กับดักรักจอมบงการ
9) กับดักรักจอมบงการ ตอนที่ 9 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความสามชั่วโมงต่อมาชัยรัตน์ก็ขับรถมาส่งอลินธิดาที่ลานจอดรถของสถานีช่องCAN อีกครั้ง และไม่ได้ความคืบหน้าอะไรไม่ต่างจากการคว้าน้ำเหลว เพราะพบกรันต์ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงหลังออกจากสำนักงานใหญ่ของเครือธุรกิจพร้อมพบ โฮลดิ้ง นั่งรับประทานอาหารเย็นสุดหรูกับดาราสาวรัตน์ระพีในโรงแรมแห่งหนึ่ง จากนั้นทั้งคู่ก็พากันไปนั่งพลอดรัก ฟังเพลงในผับของโรงแรมเดียวกันนั้นราวสามสิบนาที จากนั้นทั้งคู่ก็แยกกันที่หน้าโรงแรมและพบกรันต์ก็เดินทางกลับคฤหาสน์โภไคยสกุลทันที
“พรุ่งนี้เริ่มใหม่ เราจะตามเขาตั้งแต่ก่อนเที่ยง ให้มันรู้กันไปว่ามันจะเกินความพยายามของเรา” ชัยรัตน์บอกกับเพื่อนร่วมงานสาวอย่างให้กำลังใจ
“โอเค... ฉันไม่ท้ออยู้แล้ว แอบตามพฤติกรรมของคนนี่ก็สนุกดีเหมือนกันนะ มันทำให้เราได้รู้ว่าคนรวยเขาใช้ชีวิตกันแบบไหน” อลินธิดาอิงตัวเข้ากับข้างรถยนต์ของตนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราวประชด
“นี่ประชดใช่ไหม?”
“เปล่า...” ปฏิเสธเสียงสูงปรี๊ด “นี่ถ้าเราทำข่าวบันเทิงหรือนิตยสารกอสสิปนะ ได้ภาพเด็ดๆมาขึ้นปกหลายภาพเลย”
“คุณนี่ร้ายเกินตัวนะน้ำผึ้ง ผมชักกลัวผู้หญิงตัวเล็กๆขึ้นมาแล้วสิ” พูดพลางมองนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบสี่ทุ่ม “ไม่คุยด้วยแล้วนะ วันนี้กลับบ้านผิดเวลา ผู้หญิงตัวเล็กของผมจะอนุญาตให้นอนห้องเดียวกันกับเธอรึเปล่าก็ไม่รู้”
“ขนาดนั้นเชียว แปลว่าพฤติกรรมไม่น่าไว้ใจ เจ้าชู้ใช่ไหม”
“ลูกสาม เมียสี่ ล้อเล่นน่า... ไปจริงๆแล้วนะ คุณก็รีบกลับบ้านเถอะ ดึกมากแล้ว”
อลินธิดาโบกมือให้เพื่อนร่วมงานก่อนที่จะเปิดประตูสอดตัวเข้าไปในรถของตัวเองบ้าง พลางคิดในแง่บอกว่าถึงแม้วันนี้จะไม่ได้อะไรคืบหน้าแต่อย่างน้อยก็ได้เพื่อนร่วมงานที่ดูท่าว่าจะเข้าขากันได้เป็นอย่างดีอีกคน เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงรีบขับรถกลับบ้าน พลางคิดถึงเพื่อนสนิทของตนขึ้นมาทันที
คะนึงนิจ ซึ่งเป็นน้องสาวคนละแม่กับพบกรันต์จะรู้ไหมนะว่าพี่ชายของตนนั้นคิดทำอะไรอยู่? หากไม่นานอลินธิดาก็มีคำตอบให้กับตัวเองว่า... ตั้งแต่รู้จักกับคะนึงนิจมาจากประถมถึงปัจจุบัน ก็เพิ่งได้รู้ว่าเพื่อนสนิทของตนนั้นเป็นน้องสาวต่างมารดากับพบกรันต์ เมื่อตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยปีที่ 2 คะนึงนิจนั้นพูดเสมอว่าตัวเองแทบจะไม่เคยรู้สึกว่ามีพี่ชายอยู่บนโลกนี้อีกคน เพราะไม่ได้เติบโตขึ้นมาด้วยกัน ต่างสภาพแวดล้อม จึงเป็นไปไม่ได้ที่คะนึงนิจจะตอบคำถามในสิ่งที่ตนอยากรู้
อลินธิดาได้แต่ถอนหายใจกับตัวเอง เพราะการแอบสะกดรอยตามเขา คงเป็นวิธีการเดียวที่จะทำให้เธอได้รู้ในสิ่งที่ยังคลุมเครือในตอนนี้
สายจัดของวันต่อมา... อลินธิดาและชัยรัตน์ก็ยิ้มให้กันด้วยความดีใจ เพราะเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงของการนั่งรอ ก็ได้เห็นว่ารถยนต์คันหรูกำลังแล่นออกจากสำนักงานใหญ่ของเครือธุรกิจพร้อมพบ โฮลดิ้ง ทันทีที่เบนท์ลี่ย์สีดำสนิทเคลื่อนตัวผ่านหน้าไป รถเก๋งสภาพกลางเก่ากลางใหม่ก็เคลื่อนตัวตามในระยะห่างพอสมควรเพราะกลัวว่าเขาจะรู้ตัวเสียก่อนแต่ขณะเดียวกัน สายตาของอลินธิดาก็จับจ้องที่รถคันหรูอย่างไม่คลาดสายตา
“เมื่อเช้าตอนที่รอคุณอัดรายการ ผมโทรคุยกับทีมบี ทางนั้นก็ว่าคุณพอลยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร รายนั้นทำตัวตามสบายมากกว่าคุณพบกรันต์เสียอีก เพราะออกรอบทั้งวันทั้งคืน” ชัยรัตน์บอกในขณะที่บังคับพวงมาลัยตามรถยนต์คันหรูที่อยู่ในอีกเลนหนึ่งของช่องจราจร
“ออกรอบทั้งวันทั้งคืน” อลินธิดาทวนคำพูดนั้นซ้ำพลางถามออกมาด้วยความสงสัย “ถ้าอีกสองวันต่อจากนี้ พวกเขาทั้งสองฝ่ายเงียบอย่างนี้มันก็มีสองทางที่เป็นไปได้ ทางแรกคือเราหลงทางมาตั้งแต่ต้น ที่ดินผืนนั้นอาจจะไม่ได้ถูกซื้อเอาไว้เพื่อสร้างห้างสรรพสินค้า เราอาจจะได้ข้อมูลเท็จมา ทางที่สองก็คือ พวกเขาอาจจะตกลง เจรจาหรือสั่งการอะไรสักอย่างในตอนเวลาตีกอล์ฟ ทานอาหารหรือทำกิจกรรมอย่างอื่นก็ได้ การเจรจาตกลงอะไรสักอย่างมันไม่จำเป็นต้องทำกันในห้องทำงานอย่างเดียวนี่”
“ผมก็คิดเหมือนคุณ แต่... สิ่งที่คุณคิดจะทำมันเสี่ยงเกินไปนะ น้ำผึ้ง” ชัยรัตน์บอกพลางหันหน้ามาสบสายตากับครีเอทีฟสาวสวยมากความสามารถ
“ถ้าเราไม่เสี่ยงเรื่องนี้ก็ไม่กระจ่าง ถ้าจะรอให้ทุกอย่างมันเปิดเผยออกมาเอง ช่องCAN ก็จะได้รายงานข่าวที่ไม่ต่างจากช่องอื่น ฉันต้องอยู่ใกล้กับคุณพบกรันต์ให้มากที่สุด ถ้าเขาไปทานอาหารกับใครสักคนอย่างน้อยฉันก็ต้องได้นั่งโต๊ะติดกับเขา”
ชัยรัตน์ส่ายหน้าดิก เพราะถ้าอาจหาญไปทำเช่นนั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่พบกรันต์จะไม่รู้ตัว “ไม่มีทาง คุณจะทำยังไงถึงจะถ่ายรูปคนที่นั่งทานอาหารโต๊ะข้างๆได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว”
“แล้วใครว่าฉันจะถ่ายรูปล่ะ” อลินธิดาปฏิเสธแต่สายตากลับจ้องมองที่รถยนต์คันหรูไม่กระพริบตา “คุณก็ไปหามุมเหมาะถ่ายรูปสิ ส่วนฉันจะเข้าไปใกล้เขาที่สุดเพื่อเก็บเสียงที่เขากำลังคุยกับใครสักคน”
“นี่มันอะไรกัน! บอกหน่อยเถอะว่าผมเป็นนักข่าวหรือนักสืบ?”
“นักสืบข่าวก็แล้วกัน” อลินธิดาตอบด้วยน้ำเสียงขันๆ ไม่รู้ทำไมถึงได้คิดว่าคนที่ซื้อที่ดินผืนนั้นจะต้องเป็นพบกรันต์แน่ๆ เพราะมันเป็นที่ดินกลางเมืองและเคยได้ยินเขาเปรยว่า ชีวิตนี้เขาอยากสร้างศูนย์สรรพสินค้าที่ติดอันดับโลก ให้ผู้คนทั่วไปได้เห็นว่ามันเป็นแลนด์มาร์กที่อยู่คู่ประเทศไทย และคนไร้หัวใจอย่างเขาก็คงไม่สนใจเรื่องมนุษยธรรม สิ่งที่นักธุรกิจอย่างเขามองมีเพียงผลประโยชน์ของตนเท่านั้น
วันนี้อลินธิดาใส่เสื้อยืด กางเกงสกินนี่สวมแจ็กเก็ตยีนส์ซีดๆทับอีกชั้น ใบหน้าผ่องใสปราศจากเครื่องสำอางทั้งยังสวมแว่นตากันแดดกรอบใหญ่และหมวกแก็ปหักปีกให้โค้งเพื่ออำพรางใบหน้า และอลินธิดาก็ได้ประโยชน์จากการอำพรางตัวเช่นนี้ เพราะไม่มีใครทักทายหรือจำเธอได้เช่นเคย ทั้งวันเธอสามารถเข้าไปใกล้ตัวของพบกรันต์ได้ตามที่ตั้งใจไว้แต่กลับไม่ได้ความคืบหน้าอะไรเลย
ตอนเที่ยงเขามีนัดกับผู้ชายท่าทางภูมิฐานสองคนในร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งเธอเองก็สามารถเข้าไปนั่งอยู่ด้านหลังของเขา ได้ยินเสียงพูดของเขาอย่างชัดเจนแต่มันก็เป็นเพียงการตกลงต่อสัญญาเช่าของบริษัทนำเข้าเครื่องสำอางแบรนด์เนมหลายยี่ห้อเท่านั้น
จากนั้นเขาก็กลับเข้าสำนักงานใหญ่ของกลุ่มธุรกิจเครือพร้อมพบ โฮลดิ้ง ในช่วงบ่ายสามโมงจนกระทั่งถึงบัดนี้!
“ตอนแรกผมคิดว่าคนรวยๆนี่น่าจะได้ใช้ชีวิตสบายกว่าเราๆนะ แต่เห็นทีจะต้องเปลี่ยนความคิด เห็นได้ชัดว่าวันๆหนึ่งคุณพบกรันต์ทำงานมากกว่าสิบห้าชั่วโมง” ชัยรัตน์บอกในขณะที่มองนาฬิกาดิจิตัลซึ่งติดมากับรถยนต์ ซึ่งมันเป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว “แล้วเขาเอาเวลาที่ไหนไปเที่ยว คั่วผู้หญิงอย่างที่เป็นข่าวไม่เว้นแต่ละวันกันนะ”
“เขามันพวกชอบสร้างภาพ ไม่แน่นะ เขาอาจจะนัดผู้หญิงให้มาหาที่นี่ก็ได้” อลินธิดาบอกด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันราวกับประชดตัวเองที่ครั้งหนึ่งเคยตกหลุมพรางของผู้ชายคนนี้ แต่ถ้าจะพูดให้ตรงกับใจก็คงต้องบอกว่า บัดนี้ก็ยังแอบชอบ แอบรักอยู่ทั้งที่ปากตะโกนปาวๆว่าเกลียดเขานักหนา
อลินธิดาตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนจนไม่รู้ว่ามีรถยนต์คันหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวผ่านหน้าขึ้นไปยังชั้นของผู้บริหาร
“เฮ๊ย! นั่นมันคุณมุกดารินนี่นา!” ชัยรัตน์อุทานออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองพลางแตะที่ข้อศอกของเพื่อนร่วมทีมให้มองดูภาพนั้น และมันทำให้เหยี่ยวข่าวทั้งสองคนเคลื่อนตัวลงจากรถยนต์ทันที เพียงแค่มองตากันก็รู้แล้วว่าต้องตามขึ้นไปชั้นบน ให้รู้ให้เห็นกับตาตัวเองว่า มุกดาริน อดีตคนรักของพบกรันต์ซึ่งบัดนี้ คนทั่วไปต่างก็รู้กันดีว่าเธอคือผู้หญิงของเจ้าของห้างพอลการ์เดน มาทำอะไรที่นี่? ในยามวิกาลเช่นนี้?
“เราคงต้องเดินขึ้นไป และหวังว่าแปลนลานจอดรถชั้นผู้บริหารจะเป็นเหมือนชั้นอื่นๆ” เธอคงจะได้ใช้ประโยชน์ของเสาต้นใหญ่เพื่ออำพรางตัวให้เข้าใกล้มุกดารินให้มากที่สุด อลินธิดาคิดในใจ วิ่งขึ้นไปชั้นบนพร้อมๆกับชัยรัตน์ โดยที่ในมือยังถือโทรศัพท์เครื่องบาง ซึ่งใช้ได้สารพัดประโยชน์
ทั้งคู่วิ่งพร้อมย่อตัวให้ต่ำลงเมื่อขึ้นไปถึงชั้นบน... อลินธิดาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อลานจอดรถชั้นผู้บริหารก็มีเสาต้นใหญ่ตั้งอยู่เป็นระยะๆ พนักงานรักษาความปลอดภัยก็ยังเดินป้วนเปี้ยนอยู่เฉพาะประตูทางเข้าตึกเท่านั้น สายตาของเหยี่ยวข่าวทั้งสอง จับจ้องไปยังรถสปอร์ตสีเหลืองสดซึ่งจอดติดเครื่องอยู่ไม่ไกลนัก
“คุณไปหลบที่เสาต้นนั้นก็แล้วกันจะได้เห็นข้างหน้าชัดๆ เดี๋ยวผมจะอ้อมไปทางด้านหลัง” ชัยรัตน์บอกพลางชี้นิ้วไปยังเสาอีกสองต้นที่อยู่ห่างจากหน้ารถสปอร์ตไม่ไกล
“แต่ฉันว่าคุณไปรอที่รถดีกว่านะ เผื่อเขาออกไปด้วยกัน จะได้ตามทัน ยังไงเสียถ้าเขาจะคุยกันบนรถ เราก็คงเก็บได้แค่ภาพ” อลินธิดาออกความเห็น ซึ่งก็ทำให้ชัยรัตน์เห็นด้วยกับคำพูดของเธอเช่นกัน
“เอาอย่างงั้นเหรอ?” เมื่อได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าเร็ว ชัยรัตน์ก็รีบวิ่งกลับไปทางเดิมทันที
อลินธิดาย่อตัวให้ต่ำลง เดินเร็วๆไม่กี่ก้าวก็สามารถเข้าไปใกล้กับรถสปอร์ตคันงาม ทั้งยังสามารถมองเห็นคนในรถได้อย่างชัดเจนทีเดียว จึงรีบใช้กล้องจากโทรศัพท์ของตนเพื่อบันทึกภาพดังกล่าว
หลังจากที่มุกดารินลดโทรศัพท์ลง ไม่นานนักก็เห็นร่างสูงใหญ่ของพบกรันต์เดินออกมาโดยมีพนักงานรักษาความปลอดภัยเปิดประตูกระจกให้ เขาเดินแกมวิ่งด้วยความรีบร้อน เปิดประตูพร้อมสอดตัวเข้าไปในรถสปอร์ตอย่างรวดเร็ว
ภาพที่มุกดารินโผเข้าสู่อ้อมกอดของพบกรันต์ทำให้หัวใจของอลินธิดาเจ็บแปลบ มือบางกำโทรศัพท์แน่น หากแต่ความรวดร้าวภายในหัวใจที่เห็นภาพบาดตาตรงหน้าทำให้มือสั่นจนต้องยกอีกมือขึ้นมาประคองราวกับว่าโทรศัพท์เครื่องบางนั้นมีน้ำหนักมากเกิน
“มุกจะทนไม่ไหวและนะคะพีท เขามันไม่ใช่คน!” มุกดารินร่ำไห้กับอกกว้างของผู้ชายที่ตนรัก
พบกรันต์หลับตาลงอย่างระงับอารมณ์ พอจะคาดเดาเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นกับอกนี้ เธอจะเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่ไอ้สารเลวนั่นมันทำร้ายจิตใจ! “แล้วออกมาหาผมอย่างนี้ พอลไม่สงสัยเอาเหรอ”
“คุณก็รู้ว่าทุกการกระทำของพอลต้องมีผลประโยชน์ต่อเขา เหมือนที่เขาปล่อยให้มุกมาหาคุณเพราะรู้ว่าต้องมาคาบข่าวสำคัญไปให้เขาได้อีก” หลายครั้งที่พบกรันต์ยอมเอาความลับของธุรกิจตน บอกให้เธอได้รู้เพื่อที่เธอจะได้เอาข่าวไปบอกให้กับ พอล เฉิน ในบางครั้งที่เห็นว่าห้างพอล การ์เดนสามารถแย่งลูกค้าของแม็กซ์มอลล์ไปได้ ก็เป็นเพราะพบกรันต์ยอมเสียผลประโยชน์เพื่อปกป้องไม่ให้มุกดารินถูกพอล เฉิน ทำร้ายจิตใจมากนัก
“ผมสั่งให้คนติดต่อซื้อที่ดินผืนนั้นแล้ว ราคาไม่อั้นด้วย” พบกรันต์บอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าหนักแน่นนัก
มุกดารินดึงตัวออกจากอ้อมแขนอบอุ่น มองใบหน้าหล่อเหลาของผู้ชายตรงหน้าด้วยความเป็นห่วง “ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกนายหน้าขายที่ดินจะต้องปั่นราคาให้สูงลิบลิ่ว แล้วคุณจะสู้พอลได้ยังไง”
พบกรันต์ยิ้มที่มุมปากให้กับหญิงสาว ใช้มือแตะเข้าที่ต้นแขน ลูบขึ้นลงอย่างปลอบประโลม หากแต่เป็นเหมือนการหยอกเย้าในสายตาของอลินธิดาที่มองภาพนั้นผ่านจอโทรศัพท์ “ผลประกอบการของแม็กซ์มอลล์มากกว่าพอลการ์เดนทุกปีนะ คุณจำเป็นต้องห่วงผมเรื่องนี้ด้วยเหรอมุก”
“มุกรู้ค่ะ ลำพังตัวของพอลเองเขาไม่มีเงินมากมายเท่าคุณอยู่แล้ว แต่... ฉันสีหน้าและแววตาของพอล มุ่งมั่นที่จะเอาชนะคุณมากๆ จนบางทีมุกก็กลัวใจของเขา”
“คุณกำลังจะบอกอะไรผม?” พบกรันต์ถาม
“มุกกำลังคิดว่าเขาต้องมีแหล่งเงินทุนนอกประเทศ”
พบกรันต์นิ่งอย่างคนกำลังใช้ความคิด “เท่าที่ผมรู้... พอลไม่เหลืออสังหาริมทรัพย์อื่นใดอีกแล้วเพราะเท่าที่เขามีอยู่ก็เอาไปจำนองกับแบงก์ที่ฮ่องกงจนหมดเพื่อกอบกู้ธุรกิจเมื่อห้าปีที่แล้ว นอกเสียจากว่า... จะใช้บริการพวกนายทุนในตลาดมืด”
“เป็นสิ่งที่มุกกำลังหาคำตอบอยู่ค่ะ แต่พักนี้เขาดูนิ่งกว่าเมื่อก่อนมาก ไม่หอบเอางานหรือเอกสารต่างๆกลับมาทำที่บ้านเหมือนเมื่อก่อน แต่มุกคิดว่าต้องได้รู้คำตอบแน่ๆค่ะ ขอเวลาอีกไม่นาน” มุกดารินบอกกับชายหนุ่มอย่างหนักแน่น หากแต่เขากลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“อย่าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายอย่างนั้นเลย มันไม่มีประโยชน์หรอก เพราะถ้าพอลตัดสินใจให้พวกนายทุนในตลาดมืดเข้ามาลงทุนในธุรกิจด้วย นั่นก็หมายความว่าธุรกิจของพอลต้องกลายเป็นแหล่งฟอกเงินไปโดยปริยาย มีทุนมหาศาลก็จริงแต่ถ้าพลาดขึ้นมาก็พินาศกันหมด แถมตัวเองก็ไม่รอด ต้องเข้าไปนอนเล่นในคุกไม่รู้กี่ปี” พบกรันต์บอกพลางถอนหายใจ ขยับตัวให้หันไปเผชิญหน้ากับมุกดาริน ยกมือข้างหนึ่งแนบกับข้างแก้มเนียน “อยู่นิ่งๆ รักษาตัวเองให้ดี เรื่องทั้งหมดปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผม ขอแค่คุณอดทน อีกไม่นานก็จะเป็นอิสระ”
มุกดารินยกมือขึ้นแนบหลังมือหนา เอียงแก้มเข้ากับฝ่ามืออบอุ่นด้วยสายตามีความหวัง “ความจริงแล้วมันเป็นเพราะมุกใช้ชีวิตประมาทเองนะคะ ถึงได้มีสภาพเป็นอย่างนี้ คุณต่างหากที่คอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา มุกรักคุณนะคะพีท”
อลินธิดามองภาพที่ทั้งคู่พลอดรักกันในที่ลับตาคนด้วยความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่ ถูกเขาหลอกให้หลงรัก แต่แท้จริงแล้วเขาก็ยังติดต่อและฝังใจอยู่กับคนรักเก่า!
“กลับไปบอกพอลตามที่ผมพูด คราวนี้พอลแพ้ไม่ได้ ผมก็จะไม่แพ้เหมือนกัน ขอเพียงอย่างเดียวให้คุณอดทนไว้ อีกไม่นานเรื่องนี้จะต้องจบลงเสียที” พบกรันต์บอกกับตัวเองว่าต้องฉุดมุกดารินขึ้นมาจากอเวจีของพอล เฉิน ให้ได้
น้ำเสียงห่วงใยและสายตาเป็นห่วงที่ส่งมาให้ ทำให้มุกดารินเคลื่อนตัวเข้าไปจุมพิตที่ปลายคางแฝดด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง “ขอบคุณนะคะ ขอบคุณที่ไม่เคยทิ้งกัน มุกสัญญาว่าต่อไปนี้จะรักและซื่อสัตย์กับคุณคนเดียว”
อลินธิดาต้องเบือนหน้าหนีจากภาพแสลงใจนั้น กัดริมฝีปากล่างของตัวเองจนชาไปหมด ไม่รู้หรอกว่าทั้งคู่นั้นจะพูดคุยเรื่องอะไร แต่ดูจากภาพเหตุการณ์แล้วก็คงหนีไม่พ้นการพลอดรัก พร่ำคำหวานหูเหมือนคู่รักที่ต้องหลบซ่อนเพราะกลัวว่าจะเป็นที่ครหาของสังคม หากเสียงปิดประตูที่ดังขึ้นในไม่กี่อึดใจต่อมาก็ทำให้รีบหันกลับมาจ้องมองที่เป้าหมายอีกครั้ง และได้เห็นเพียงแผ่นหลังกว้างของพบกรันต์ที่เดินกลับเข้าไปด้านในอาคารเช่นเดิม ไม่นานรถสปอร์ตคันหรูก็เคลื่อนตัวออกไป เหลือก็แต่เพียงแค่ตัวเองที่ต้องทรุดตัวนั่งลงอย่างคนหมดแรง มองไปทางไหนก็ไม่เห็นหนทางที่จะลืมผู้ชายคนนี้ได้เสียที...
แต่เมื่อกลับถึงบ้านอลินธิดาก็บอกกับตัวเองว่าจะต้องกระชากหน้ากากของผู้ชายไร้หัวใจคนนี้ออกให้คนในสังคมได้รับรู้ว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายที่ดีพร้อมอย่างที่สาวๆค่อนประเทศฝันหา การที่เขาทำตัวเจ้าชู้ เปลี่ยนคู่ควงไม่ช้ำหน้านั้น อาจจะเป็นเพียงการกุเรื่องขึ้นมาหลอกลวงคนอื่น เพราะแท้จริงแล้วเขายังแอบนัดพบกับอดีตคนรักซึ่งกลายเป็นผู้หญิงของคู่แข่งทางธุรกิจไปแล้ว
อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นที่ได้โต้ตอบ มอบบทเรียนให้กับเขาบ้างเพราะยังไงเสียเขาก็ปักใจเชื่อไปแล้วว่าเธอเป็นคนเขียนข่าวฉาวของเขาขึ้นมา ด้วยสัมพันธภาพอันดีกับบรรณาธิการของนิตยสารรายปักษ์ที่เคยร่วมงานด้วย ภาพลับของพบกรันต์และมุกดารินก็ถูกส่งให้กับบรรณาธิการนิตยสารที่รับผิดชอบเขียนคอลัมน์คุณหนูจอมแฉต่อจากเธอทางอีเมล
เรื่องฉาว คาวโลกีย์เช่นนี้จึงถูกแทรกในนิตยสารรายปักษ์ที่จะวางแผงอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ และรับรองว่า ข่าวดังกล่าวมันจะดังกระฉ่อนเมืองไม่แพ้กับข่าวในเล่มที่แล้วแน่
สองวันต่อมา... ชาตรีเรียกทีมนักข่าวภาคสนามทั้งสามทีมเข้าประชุมก่อนที่จะให้ทั้งหมดแยกย้ายกันไปทำงาน เพราะสองวันที่ผ่านมายังไม่มีทีมใดได้ข่าวความคืบหน้าแต่อย่างใด ทีมสามที่เฝ้าจับตาดูสถานการณ์ในชุมชนอย่างใกล้ชิด แต่ดูเหมือนว่าคนในชุมชนจะใช้ชีวิตเช่นเดิมเพราะยังไม่มีคนออกมาชี้แจงอย่างชัดเจน เจ้าของที่ดินก็ยังไม่ได้ออกมาแสดงความประสงค์ว่าต้องการให้ชาวบ้านย้ายออกแต่อย่างใด และที่สำคัญชาวบ้านเองก็ไม่รู้ว่าจะขยับขยายไปอยู่ที่ไหนอีกด้วย
ชาตรีพยักหน้ารับหลังจากที่ฟังรายงานจากทีมหนึ่ง และทีมสองที่ติดตามทั้งพบกรันต์และพอล เฉิน ซึ่งยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด จึงหันมาซักถามทีมสามที่เฝ้าดูเหตุการณ์ในชุมชน “แล้วทีมสามเป็นยังไงบ้าง?”
“ชาวบ้านก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิมครับ พ่อค้าแม่ค้าในตลาดก็เริ่มกลับมาเปิดร้าน ขายของเป็นปกติ และยังไม่มีวี่แววว่าจะมีนักเลง อันธพาลที่ไหนมาทำลายข้าวของอีก” นักข่าวภาคสนามทีมซีรายงาน
“เป็นไปได้ไหมที่ยังไม่มีการไล่ที่อย่างจริงจังนี่เพราะที่ดินผืนนี้ยังขายไม่ได้” ชาตรีตั้งข้อสันนิษฐาน
“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะคะ แต่น้ำผึ้งคิดว่าอีกไม่นานที่ดินผืนนี้ต้องขายได้ และภาวนาไม่ให้เกิดเรื่องร้ายแรงในการขับไล่ก็แล้วกัน” อลินธิดาแสดงความคิดเห็น
“ทำไมน้ำผึ้งคิดอย่างนั้นล่ะ” ชาตรีถาม
“ที่ดินแปลงใหญ่ที่อยู่สุดซอย ด้านท้ายของที่มันมันติดกับแนวรั้วบ้านของน้ำผึ้งเลยนะคะ ถ้าขึ้นไปมองจากชั้นบนก็จะเห็นว่ามีรถตัก รถบดอัดเข้ามาปรับหน้าดินแล้ว มันเหมือนเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าที่ดินแปลงนี้ต้องขายได้อย่างแน่นอน” อลินธิดาบอก “อยู่ที่ว่าใครจะสู้ราคามากกว่าเท่านั้นเอง”
“แหม... ใครโชคดีได้เป็นเจ้าของที่ดินราคามหาศาลนี้กันนะ” ชาตรีเปรยออกมาด้วยความอยากรู้พลางมองนาฬิกาซึ่งบอกเวลาสายมากแล้ว จึงรีบกำชับนักข่าวทุกคนให้ตั้งใจทำงาน “เอาล่ะ... เราเสียเวลามามากแล้ว หวังว่านับจากนี้คงจะได้เบาะแสที่เป็นประโยชน์ให้เราคลำหาทางสว่างได้บ้าง แยกย้ายกันไปทำงานเถอะ”
เมื่อได้ยินโปรดิวเซอร์พูดเช่นนั้น นักข่าวทั้งสามทีมก็รีบแยกย้ายกันออกจากฝ่ายบรรณาธิการข่าวของช่องCAN ทันที หากแต่เสียงเรียกของสคลิปไรเตอร์ก็ทำให้ร่างอรชนของอลินธิดาชะงักการก้าวเดิน พลางนัดแนะให้ชัยรัตน์ไปรอที่รถก่อน
“ขอเวลานิดนึงค่ะ ดิฉันปรับสคลิปข่าวให้กระชับขึ้นตามที่คุณน้ำผึ้งต้องการแล้ว ลองอ่านดูก่อนนะคะว่าจะให้ปรับเปลี่ยนตรงไหนอีกบ้าง” สคลิปไรเตอร์สาวส่งกระดาษในมือให้กับอลินธิดา
“โอเคค่ะ... ให้ผู้ประกาศหญิงสรุปข่าวสลับกันไปกับผู้ประกาศชาย คิดว่ามันจะทำให้คนดูไม่เบื่อและโทนเสียงที่เปลี่ยนไปจะสามารถดึงความสนใจของคนดูได้” อลินธิดาบอกพลางยิ้มให้กับสคลิปไรเตอร์ เมื่อสั่งการทุกอย่างไว้เรียบร้อยจึงรีบเดินออกมาจากห้อง แต่ต้องยืนนิ่งจ้องหน้ากับผู้หญิงที่กำลังมองตนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตาขบขัน
“ตายจริง! เพิ่งเคยเห็นพีธีกรมากความสามารถแต่งตัวได้ซกมกที่สุด ที่เขาร่ำลือกันนักหนาว่าแต่งตัวได้น่ามอง ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่ง ภาพลักษณ์นั้นมันหดหายไปไหนเสียหมด” รัตน์ระพีเอ่ยถามด้วยวาจาถากถาง พลางคิดในใจว่าวันแรกของการทำงานเป็นพิธีกรก็ได้ปะทะคารมกับเสี้ยนหนามหัวใจเสียแล้ว
“เธอนี่สายตาไร้รสนิยมมากถึงมากที่สุดเลยนะรัตน์ระพี ทั้งชุดของฉันนี่ราคารวมๆกันได้มากกว่าค่าตัวเธอเป็นพิธีกรหนึ่งเทปเสียด้วยซ้ำ เธอดูไม่ออกหรอกรึ?” อลินธิดาถามแล้วทำน้ำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอราวกับเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงสินะ! คำว่ารสนิยมเนี่ยมันหยั่งรากลึกอยู่ในตัวแต่ละบุคคล อย่างเธอคงต้องพยายามเรียนรู้ต่อไปอีกนาน”
รัตน์ระพีหน้าตาโกรธจัด ไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ได้ยินเช่นนั้นแต่ไม่รู้จะโต้เถียงด้วยคำพูดเผ็ดร้อนใด
“ฉันไปล่ะนะ มีงานสำคัญต้องทำ อ้อ... แล้วจะบอกให้รู้เอาไว้ว่าฉันไม่ใช่นางเอกในนิยายที่จะต้องหงอให้นางอิจฉาอย่างเธอ รับรองว่าฉันมีวิธีการรับมือกับคำพูดและการกระทำอันไม่เข้าท่าของเธอ ชนิดที่เธอคาดไม่ถึงเชียวล่ะ”
รัตน์ระพีได้แต่กำมือแน่น มองตามร่างของอลินธิดาที่หายเข้าไปในลิตฟ์ด้วยความเจ็บใจ หากแต่ต้องเก็บอาการเอาไว้เพราะไม่อยากให้เป็นจุดสนใจของคนอื่น อีกทั้งวันนี้ยังเป็นวันแรกของการเริ่มงานใหม่จึงไม่อยากให้เกิดเรื่องเสียภาพลักษณ์ แต่ระหว่างที่นั่งแต่งหน้านั้นก็เกือบจะหลุดกรี๊ดออกมาเมื่อ หทัยกานต์ส่งภาพลับของพบกรันต์และอดีตคนรักมาให้ทางแอปพลิเคชั่นหนึ่ง ไม่นานก็ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วบรรยายภาพ ความว้าวุ่นใจ ร้อนรนใจที่เกิดขึ้นทำให้รัตน์ระพีไม่มีสมาธิในการทำหน้าที่พิธีกรเอาเสียเลย เพราะไม่คิดว่าการจะมัดใจผู้ชายอย่างพบกรันต์จะยากเช่นนี้
ท่าทางที่เขาดูสนใจ หลงใหลได้ปลื้มในตัวของเธอนั้นมันไม่ได้เป็นเครื่องการันตีเลยว่าเขาคิดเช่นนั้นจริงๆ ความจริงแล้วไม่ใช่เพียงอลินธิดาที่จะต้องกำจัดให้พ้นทาง แต่ยังมีมุกดาริน นักแสดงสาวสวยที่หายหน้าไปจากวงการแสดงไปหลายปีเพิ่มมาอีกคน!
สำนักงานใหญ่กลุ่มธุรกิจเครือพร้อมพบ โฮลดิ้ง
คำรบเดินเข้ามาในห้องทำงานของเจ้านายด้วยท่าทางรีบร้อนพร้อมวางเอกสารฉบับหนึ่งลงบนโต๊ะทำงานของเจ้านาย
“อะไรของแกอีกว่ะ นี่มันจะถึงเวลานัดทานข้าวเย็นของฉันแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงได้มีงานด่วนมาอีก?” พบกรันต์ถามด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย เพราะหลังอาหารกลางวันในห้องทำงานนี้เขาก็ยังไม่ได้เงยหน้าจากเอกสารกองโตเลย
“ด่วนที่สุดครับ เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงด้วย”
เมื่อได้ยินมือขวาของตนรายงานด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง พบกรันต์ก็หยิบกระดาษแผ่นบางขึ้นมาไล่เรียงสายตาอ่านข้อความในนั้นทันที “เป็นไปได้ยังไง ถูกแบงก์ยึดจนเรื่องถึงบังคับคดีแล้ว เจ้าตัวรู้รึเปล่า?”
“คิดว่าไม่น่าจะทราบครับ”
“อะไรนะ เป็นไปได้ยังไง?” พบกรันต์ถามเสียงสูงพลางเงยหน้าขึ้นมองคนสนิทอย่างไม่อยากเชื่อ
“คือเท่าที่ผมทราบมา บ้านพร้อมที่ดินแปลงนี้ไม่มีการผ่อนชำระทางธนาคารมาเป็นเวลานานมากแล้วนะครับ เหมือนต้องการจะปล่อยให้ถูกยึด ขนาดว่าวันนี้ทางบังคับคดีเปิดประมูลบ้านพร้อมที่ดินยังไม่มีใครไปคัดค้าน ผมเลยสันนิษฐานว่าเธอไม่น่าจะทราบว่าบ้านถูกยึดไปแล้ว” คำรบรายงานเจ้านาย
“พรุ่งนี้ส่งคนไปจัดการให้เรียบร้อย อย่าให้พลาดเพราะถ้าเรารู้ พอลมันก็ต้องรู้เหมือนกัน” พบกรันต์บอกพลางลดสายตามองยังกระดาษในมืออีกครั้ง พลางคิดถึงใบหน้างดงามของอลินธิดา ดูเหมือนว่ายิ่งเขากันเธอให้ห่างจากเรื่องยุ่งยากมากเท่าไหร่ก็เหมือนจะมีพลังบางอย่างดึงดูดเธอให้เข้าใกล้มากขึ้นเท่านั้น
พบกรันต์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนที่จะลุกขึ้นเต็มความสูง เมื่อเอกสารตรงหน้าของวันนี้หมดลง โดยไม่ลืมที่จะหันไปกำชับมือขวาอีกครั้ง “อย่าให้พลาดนะคำรบ เท่าไหร่ฉันก็ไม่เกี่ยงราคา”
“ครับท่าน” คำรบรับคำพร้อมเดินตามหลังเจ้านายไปติดๆ
ไม่กี่นาทีต่อจากนั้น รถยนต์คันหรูของพบกรันต์ก็เคลื่อนตัวอยู่บนท้องถนน มุ่งหน้าสู่ร้านอาหารแห่งหนึ่งตามคำบัญชาของผู้ชายที่นั่งอยู่เบาะหลัง ซึ่งมีท่าทีเงียบผิดปกติ สีหน้าดูเคร่งเครียดขึ้นหลังจากที่ได้รับรู้ข่าวสารเมื่อครู่
“ผมสังเกตเห็นว่ารถคันนี้ตามเรามาห้าวันแล้ว” จู่ๆเสียงของคนขับรถก็พูดขึ้นทำลายความเงียบภายในรถ แต่ด้วยสติของคนที่ระวังภัยอยู่ตลอดเวลาก็ไม่ได้ทำให้พบกรันต์มีท่าทีลุกลี้ลุกลน เหลียวซ้ายแลขวาเป็นสัญญาณให้ศัตรูรู้ตัว
“คันข้างหลังนี่เหรอ?” คำรบถามพลางยกโทรศัพท์เครื่องบางขึ้นมองภาพของรถยนต์ผ่านหน้าจอโทรศัพท์ “ตั้งห้าวันแล้วทำไมเพิ่งมาพูดเอาตอนนี้”
“ไม่แน่ใจ เพราะบางครั้งก็ตามห่างๆ บางครั้งก็ตามอยู่ข้างหลัง” คนขับรถพูดน้อยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ปาปารัสซี่รึเปล่า หมู่นี้ฉันลงข่าวซุบซิบบ่อยยิ่งกว่าดารา ถ้าเป็นพวกหมาลอบกัดหรือจ้องทำร้ายมันคงไม่ปล่อยฉันไว้ถึงห้าวันหรอก” พบกรันต์เปรย โดยที่ยังมองไปด้านหน้าเช่นเดิม
“ไม่เชิงปาปารัสซี่หรอกครับ” คำรบลดโทรศัพท์ในมือลงเมื่อพิจารณาหญิงชายที่นั่งอยู่ในรถด้านหลังอย่างดีแล้ว “คุณอลินธิดาครับ ส่วนผู้ชายอีกคนน่าจะเป็นนักข่าวหรือไม่ก็ช่างภาพ”
คำตอบนั้นทำให้พบกรันต์หัวเราะหึๆในลำคอ ไม่ทราบเหตุผลแท้จริงในการกระทำของเธอหรอก แต่ความดื้อรั้นไม่ยอมคนของเธอทำให้เขาเริ่มสนุก “สงสัยคงจะว่างจัดสินะแม่คุณ”
คำรบอมยิ้มกับคำประชดประชันของเจ้านาย “หวังว่าภาพลับๆของท่านคงไม่ใช่ฝีมือของเธอนะครับ”
“หึ... ฉันยังแปลกใจอยู่ว่าช่องCAN จ้างเธอไว้แล้วไม่มีงานให้ทำหรือยังไง ถึงได้ตามจิกฉันไม่เลิกอย่างนี้” พบกรันต์ส่ายหน้าอย่างระอาใจ นี่แม่คุณคงยังไม่รู้ตัวสินะ ว่าหายนะกำลังจะไปเยือน!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ