月は眠れぬ 〜 Sleepless Moon

-

เขียนโดย triomagicalgirls

วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 15.54 น.

  4 บท
  1 วิจารณ์
  5,454 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558 16.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) Sleepless Moon 03

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ไดสุเกะ
สายลมหมุนจากสุสานตรงดิ่งกลับไปยังสำนักองเมียวชานเมืองหลวงอย่างรวดเร็วจนแทบไม่มีใครสังเกตุ
ครั้นเมื่อสายลมคลายตัวออก จึงเผยให้เห็นยักษ์หน้าตาน่ากลัวตนหนึ่งพยุงชายหนุ่มในชุดขาวซึ่งข้อมือข้างหนึ่งบาดเจ็บจนเลือดหยดเป็นทาง
"ขอบใจที่มาช่วยนะ ฟูจิน"
คำพูดพร้อมรอยยิ้มอ่อนระโหยของผู้เป็นนาย ทำให้ยักษ์รับใข้ผู้บังคมลมได้อย่างฟูจิน ยิ่งขมวดคิ้วฉับด้วยความหงุดหงิดกว่าเดิม
"ข้าเรียนนายท่านหลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอขอรับ ว่าการทำแบบนี้มันอันตรายเกินไป ...นี่หากข้ามาไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น?เหตุจึงไม่ยอมฟังคำเตือนของข้าบ้าง!!!"
ฟูจินพยุงเจ้านายเข้าเรือนพลางสวดญาณยักษ์กัณฑ์ใหญ่ใส่เจ้านายที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็เอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่ แถมยังทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโตให้ข้ารับใช้อย่างเขาต้องคอยเป็นห่วงเสียทุกที
"เลิกบ่นเสียทีเถอะน่า ที่สำคัญกว่าตำหนิเรื่องที่ผ่านไปแล้ว คือรักษาบาดแผลของนายท่านก่อนไม่ใช่รึไง"
เสียงอ่อนโยนใจดีดังออกมาจากห้องนอนด้านใน ก่อนเจ้าของเสียงจะก้าวออกมารับผู้ที่เพิ่งกลับมาทั้งสอง
"ยินดีต้อนรับกลับมา ขอรับนายท่าน"
"โทษทีนะ ที่กลับมาสภาพนี้ แถมยังทำพื้นเลอะเทอะอีก ขอโทษนะ"
ใบหน้าเรียวได้รูปซึ่งหม่นหมองลงเนื่องจากเพื่อโดนสวดมาหมาดๆ หันมองยักษ์รับใช้อีกตน พร้อมกับลู่หูหมาป่าลงต่ำ เพื่อแสดงถึงการสำนึกผิด
"โธ่... นายท่าน ไม่กังวลเรื่องนั้นหรอกขอรับ มาดูแผลท่านดีกว่า ทำไมเลือดถึงได้ไหลเยอะขนาดนี้"
ดวงตากลมโตแสนเศร้าที่ช้อนมองมา ทำให้ไรจินอดไม่ได้ที่จะเข้าไปดึงเจ้านายออกจากบ่าคู่หูจอมโหดแล้ว
พาเข้าไปนั่งทำแผลในห้องนอนที่เขาเพิ่งจัดเตรียมเสร็จเมื่อครู่ โดยมีฟูจินยืนพิงกรอบประตูมองด้วยท่าทางหงุดหงิดอยู่ข้างๆ
"ไรจิน เจ้าเลิกโอ๋นายท่านสักทีได้ไหม เลือดออกแค่นี้ไม่ตายหรอกน่า!!"
เมื่อพูดแล้วถูกคู่หูเมินเฉยไม่ใส่ใจใยดีใดๆ ฟูจินจึงบ่นอย่างไม่สบอารมณ์ทิ้งท้าย ก่อนจะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
"ที่สำคัญที่เป็นแบบนี้เพราะเจ้าแต่ให้ท้ายนั่นแหละ นายท่านเลยไม่เคยฟังคำเตือนของข้าสักที!!!"
คำพูดเช่นนั้นของยักษ์ผู้ควบคุมสายลมกระแทกใจผู้เป็นนายโดยตรงอีกครั้ง หูที่ลู่ลงต่ำอยู่แล้วก็ลู่ลงมาอีกจนแทบจะติดกับศีรษะ
เช่นเดียวกับใบหน้าเรียวคมที่ยังคงก้มมองแต่บาดแผลที่ข้อมือของตัวเองไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา
"อย่าสนใจคำพูดไร้สาระของหมอนั่นเลยขอรับ มันแค่เป็นห่วงท่านก็เลยพาลไปเรื่อย ...เชิญท่านเปลี่ยนชุดเถอะ แล้วพักผ่อนเสีย ข้าจะเอาผ้าเปื้อนเลือดพวกนี้ไปซักให้"
ไรจินกล่าวพลางโกยเสื้อตัวนอกที่ถูกเลือดย้อมจนกลายเป็นสีแดงขึ้นแล้วเดินออกไปนอกห้องเพื่อจัดการงานบ้านชิ้นใหม่นี้ให้เสร็จ
"อืม... ขอบใจนะ"
เจ้าหนุ่มส่งยิ้มไร้เดียงสาคืนให้เป็นรางวัล ขณะที่สอดตัวเองเข้าไปในผ้าห่มที่ได้รับการอุ่นด้วยก้อนถ่านอย่างว่าง่าย
"ราตรีสวัสดิ์ ขอรับ"
เมื่อเห็นเช่นนั้น ยักษ์ผู้ควบคุมสายไฟจึงถอยออกจากห้องได้อย่างวางใจ
###
วันรุ่งขึ้น
ขณะที่ไรจินกำลังเปลี่ยนสมุนไพรที่แผลของเจ้านายหนุ่มอยู่ ข้ารับใช้จากในวังก็ให้คนส่งสารเรียกตัวมาให้ฉบับหนึ่ง
"ท่าทางฝั่งนั้นจะร้อนใจน่าดูนะขอรับ ถึงได้ส่งคงมาตามแต่เช้าขนาดนี้"
ไรจินกล่าวพลางถอนใจอย่างหงุดหงิด นี่เจ้านายของเขาเพิ่งจะบาดเจ็บมาแท้ๆ อาหารเช้าก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องแท้ๆ เจ้ามนุษย์พวกนั้นช่างไร้น้ำใจกันเสียจริง
"ไม่เป็นไรหรอก ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ รบกวนเตรียมรถให้ทีนะ"
หากแต่เพราะนายท่านเป็นคนจริงจัง เมื่อรับงานมาแล้วก็มักจะทุ่มสุดตัว จนกลายเป็นฝืนตัวเองอยู่บ่อยๆ พวกเขาจึงมักจะเป็นห่วงอยู่เสมอ
"ขอรับ นายท่าน"
แต่เพราะรู้ว่าตนเองไม่อาจจะเปลี่ยนความตั้งใจของเจ้านายได้จึงได้แต่รับคำสั่งอย่างเสียไม่ได้
###
"ไปก่อนนะ"
องเมียวหนุ่มในชุดขาวราวกับกับหิมะแรกของฤดูหนาวกล่าวกับไรจิที่ตามออกมาส่งด้วยรอยยิ้มสดใส ผิดกับสภาพอากาศขมุกขมัวของเช้านี้เสียเหลือเกิน
"กรุณารับนี้ไว้ด้วยขอรับ เข้านี้ท่านยังไม่ได้ทานอะไรเลย อย่างน้อยๆ เอาข้าวปั้นนี่ไว้ทานรองท้องระหว่างเดินทางนะขอรับ"
ยักษ์รับใช้ยื่นกล่องข้าวใบเล็กให้องเมียวหนุ่มก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นไปบนเกวียนเทียมวัวที่จอดรออยู่ด้านนอก
"ขอบใจนะ ข้าชอบข้าวปั้นของไรจินที่สุดเลยล่ะ"
ไดสึเกะรับกล่องข้าวด้วยรอยยิ้มเปี่ยมไปด้วยความยินดี จากนั่นจึงก้าวขึ้นเกวียนไป ทิ้งยักษ์รับใช้ไว้เบื้องหลัง
...
ฮิโรชิ
หลังจากล้มเหลวในการจับสมุนขององเมียวสีขาวแล้ว ปีศาจดูดเลือดก็ออกล่าเหยื่อคลายความหิวโหยท่ามกลางราตรีอันหนาวเหน็บ
อาหารคืนนี้เป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านที่นานๆ ทีเขาจะลิ้มลองเพื่อหลีกพ้นความจำเจที่สัมผัสจากบรรดาหญิงสาวในรั้ววังบ้าง
ทว่าในคืนนั้นเอง ที่คดีใหม่ก็เกิดขึ้นอีกครั้งโดยที่เขาไม่อาจล่วงรู้มาก่อนว่าจะทำให้ได้พบกับบุคคลที่ต้องการหามากที่สุดโดยที่การออกแรงที่ผ่านมาเรียกได้ว่าสูญเปล่าอย่างแท้จริง
###
เช้าวันถัดมา ข้าราชการหนุ่มในเสื้อคลุมสีหม่นยาวเลียบพื้นกำลังเดินงัวเงียวนอยู่ในตำหนักของตนเอง วันนี้เป็นวันหยุด ฮิโรชิอยากจะพักผ่อนโดยการนั่งเล่นอยู่ในห้องส่วนตัวกับแมวเลี้ยงของตนเองมากกว่าจะพบปะกับใคร
แต่ข้าราชการหนุ่มก็ได้เพียงแค่หวัง เมื่อคนรับใช้แจ้งให้ทราบว่ามีสาสน์เรียกจากในวังให้เขาเข้าไปหาองค์จักรพรรดิ์โดยด่วน
"ให้ตายสิ..."
ข้าราชการหนุ่มร่างผอมบางบ่นงึมงำ ขณะยืนให้คนรับใช้แต่งตัวให้เป็นชุดทำงานสีดำสนิทสำหรับเข้าเฝ้าผู้นำของแผ่นดิน เรื่องที่เขาต้องการสืบยังไม่คืบหน้าก็ดูเหมือนจะมีงานใหม่จากองค์จักรพรรดิ์ส่งลงมาเพิ่มอีกแล้ว
"จริงด้วย..."
ก่อนจะก้าวเท้าขึ้นรถเกี้ยวส่วนตัว เขาก็นึกขึ้นได้จึงหันไปสั่งกับคนรับใช้ที่จัดการธุระในบ้านซึ่งมารอส่งเขาไปทำงานเช่นเดียวกับคนรับใช้คนอื่นๆ
"เจ้าช่วยส่งของกำนัลที่ข้าเตรียมเอาไว้ให้บุตรีของท่านไดนากอนให้ที อย่าลืมบอกว่ามาจากข้าล่ะ"
"ให้ท่านหญิงน่ะหรือขอรับ?"
"ใช่ ฝากบอกนางด้วยว่า ให้รักษาสุขภาพด้วย คราวก่อนที่เจ็บป่วยไปนานทำให้ข้าเป็นห่วง"
ชายหนุ่มนึกถึงเสียงอ่อนหวานที่ได้พูดคุยกับนางชั่วขณะหนึ่งแล้วยิ้มท่าทางมีความสุขขึ้นมา อย่างน้อยๆ ก็ทำให้หัวใจที่อ่อนล้าจากเรื่องงานของเขากลับมามีเรี่ยวแรงได้อีกครั้ง
ถึงเมื่อคืนก่อนจะได้เห็นเพียงแค่ม่านกั้นและบานประตู แต่สักวันเขาต้องได้ยลโฉมหน้าของนางให้ได้ในสักวันหนึ่ง
###
ฮิโรชิก้าวเดินอย่างสง่างามมุ่งหน้าสู่ท้องพระโรงตามกำหนดการณ์ที่ได้รับมอบหมาย เบื้องหน้าของข้าราชการหนุ่มคือม่านไม้ไผ่ที่กั้นเขาและองค์จักรพรรดิ์เอาไว้ เมื่อก้มคุกเข่าลง เสียงเอ่ยทักจากหลังแผ่นม่านก็ดังขึ้น
"ไม่ได้เจอกันเสียนานนะ"
"พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท..."
นานเท่าไรแล้วนะ ที่เขาไม่ได้ก้าวเท้าเข้ามาในท้องพระโรงนี้เพื่อพบกับบุคคลที่มีสายเลือดเดียวกันด้วยเป็นพี่น้องพ่อเดียวกัน สายเลือดของผู้ปกครองแผ่นดินนี้
แม้จะมีสายเลือดของจักรพรรดิ์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่าง ทว่าข้าราชการหนุ่มก็ยังอยู่ห่างไกลจากบุคคลตรงหน้ามากนัก ด้วยว่าเชื้อสายฝั่งมารดาต่ำต้อยกว่าพระสนมคนอื่นๆ ภายในวัง นับตามยศฐาบรรดาศักดิ์แล้วแทบจะเรียกได้ว่าเป็นปลายแถวสุดท้ายในราชวงศ์
โชคยังดีที่จักรพรรดิ์องค์ก่อนทรงมีเมตตา แต่งตั้งตำแหน่งขุนนางชั้นสูงให้แก่เขา เพื่อเป็นเกียรติ์และปกป้องตัวเขาที่อ่อนแอให้ปลอดภัยจากสังคมอันโหดร้ายไปในตัว
ชายหนุ่มรู้สึกซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณ ดังนั้นจึงสาบานแก่ตนเองว่าจะทำหน้าที่ตำแหน่งข้าราชการให้ดีที่สุด และระยะห่างระหว่างเขากับจักรพรรดิ์องค์ปัจจุบันซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชายจึงแสนห่างไกลอย่างที่เป็นอยู่บัดนี้ แต่ฮิโรชิก็พอใจในชีวิตปัจจุบันของตนเองดี
"ว่าแต่พระองค์มีพระประสงค์อันใด ถึงได้รับสั่งให้ข้าเข้ามาในท้องพระโรงแห่งนี้?"
ข้าราชการหนุ่มเอ่ยเข้าเรื่อง ถ้าถึงขั้นที่องค์จักรพรรดิ์ยังต้องการความช่วยเหลือจากเขา แสดงว่างานคราวนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเสียแล้ว
"เจ้าได้ยินข่าวคดีผีดูดเลือดแล้วใช่ไหม?"
ดวงตาเรียวเบิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนผงกศีรษะน้อมรับ
"ขอรับ ข้าได้ยินว่ามีหญิงสาวที่เสียชีวิตไปหลายรายแล้ว..."
"เมื่อเช้ามีคนพบศพเพิ่ม ดูเหมือนว่าทางเราจะชักช้านิ่งนอนใจไม่ได้แล้ว"
สิ่งที่ได้ยินยิ่งสร้างความตกใจให้แก่ชายหนุ่มผู้ปิดบังฐานะผีดูดเลือดของตนอย่างยิ่งยวด เพียงแค่คืนเดียว คนร้ายยังย่ามใจลงมือกระทำการโหดเหี้ยมต่อได้ ทั้งที่ทางการก็เริ่มต้นการสืบสวนแล้วแท้ๆ
"เราเชื่อว่าเจ้าทำได้ จึงอยากให้เจ้ามาร่วมสืบคดีนี้ด้วยอีกแรง..."
น้ำเสียงเชื่อมั่นและหนักแน่นของพระองค์ยิ่งทำให้ชายหนุ่มไม่อาจปฏิเสธได้แม้แต่น้อย ไม่สิ เขาเต็มใจจะเข้าสืบสวนคดีนี้อย่างเต็มตัวด้วยความยินดีเช่นกัน
"ข้าขอน้อมรับบัญชา!"
"เพื่อให้สืบสวนได้เร็วขึ้น เราจะให้เจ้าร่วมมือกับอีกคน"
"อีกคนหนึ่ง?"
เงาขององค์จักรพรรดิ์เบือนไปทางอีกด้านหนึ่งของกรอบบานประตู ก่อนจะปรากฏร่างสูงในชุดคาริกินุสีขาวสะอาดสะอ้านที่เดินเข้ามาในท้องพระโรงที่เขานั่งอยู่
บุคคลตรงหน้าสร้างความตื่นตะลึงให้แก่ฮิโรชิเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอกันซึ่งๆ หน้าอีกครั้ง
องเมียวในชุดขาวผู้นั้นที่เขาพบในเรือนของท่านไดนากอน
"เจ้า!"
ดูเหมือนอีกฝ่ายก็ตกใจไม่แพ้กัน ดวงงตากลมโตเบิกกว้างก่อนรีบหลบสายตาอย่างรวดเร็ว แล้วเดินมานั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ
"พวกเจ้ารู้จักกันด้วยรึ?"
"เปล่าพะยะค่ะ แค่ตกใจนิดหน่อย..." ฮิโรชิรีบโกหก
จะให้พูดออกไปได้อย่างไรว่าเป็นบุคคลที่อยากเจอตัวมากที่สุด ณ ตอนนี้ เพราะเรื่องหมาป่าสีขาวเมื่อคืนวานยังค้างคาใจเขาไม่หาย
แต่ชายหนุ่มก็อดกลั้นต่อความอยากรู้นั้นเอาไว้ตั้งแต่เริ่มเข้าประชุมสืบสวนครั้งแรกร่วมกับคณะคนอื่นกระทั่งเสร็จการประชุมซึ่งกินเวลานานพอสมควร
เมื่อการประชุมที่ดูไม่มีความคืบหน้ามากเท่าใดนักจบลง ฮิโรชิก็พบว่าร่างสูงใหญ่ในชุดสีขาวนั้นหายออกจากวงประชุมอย่างรวดเร็วราวลมกรด ชายหนุ่มรีบตามออกไปด้วยหวังว่าจะไม่คลาดสายตาอีกเป็นครั้งที่สอง
###
เขาเห็นแผ่นหลังกว้างเดินหนีเร็วๆ อยู่ไม่ไกล ฮิโรชิรีบก้าวขายาวๆ ตามไปอย่างเงียบกริบไม่ทันให้เป้าหมายรู้ตัว พอถึงจังหวะที่คว้าแขนขององเมียวได้ ข้าราชการหนุ่มก็ยื่นมือไปบีบข้อมือใต้เนื้อผ้าขาวอย่างแรง
"อึ่ก...!" เสียงอุทานหลุดออกมาและร่างสูงกว่าก็สะดุ้งตัวโหย่งอย่างน่าประหลาด เขานึกสงสัยว่าเพราะออกแรงมากเกินไปหรืออย่างไร ทั้งที่แค่พยายามเยื้ออีกฝ่ายไม่ให้หนีไปเสียดื้อๆ ก็เท่านั้น
"ข้ามีเรื่องที่อยากจะถามเจ้า" ฮิโรชิรีบซักถาม ก่อนตัดสินใจดึงแขนยาวให้เข้าไปหลบมุมหนึ่งซึ่งลับตาผู้คน
ชายหนุ่มร่างสูงเม้มปากแน่น ไม่ปริปากออกเสียงใดๆ หลังจากที่เขาผลักให้อีกฝ่ายชนหลังติดผนัง ฮิโรชิยังไม่ปล่อยข้อมือที่จับเอาไว้ เผื่อว่าอีกฝ่ายจะใช้จังหวะนั้นวิ่งหนีเขาไปเสียก่อน
ดวงตาของอีกฝ่ายพยายามไม่สบตาของเขา สร้างความหงุดหงิดให้ชายสูงศักดิ์มากยิ่งขึ้น ไม่เคยมีใครที่กล้าไม่สบตาเขาเวลาที่เขาต้องการพูดด้วย
"ก่อนอื่น... ทำไมเจ้าถึงไม่มองตาข้า?"
คราวนี้องเมียวหนุ่มชะงักงัน แล้วค่อยๆ หันหน้ามามองเขาแบบเต็มตา ใบหน้าเรียวสวยได้รูปพร้อมกับดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนใช้สายตาจดๆ จ้องๆ เขาคล้ายกำลังหวาดกลัวอยู่
ฮิโรชิจึงถอนหายใจแล้วเอ่ยเสียงที่อ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย
"เรื่องเมื่อคืน เจ้าเป็นคนส่งหมาป่าสีขาวไปที่สุสานใช่ไหม?"
องเมียวในชุดขาวไม่เอ่ยคำพูดออกมา ได้แต่ก้มมองและเบือนสายตาราวกับใช้ความคิดอยู่ ทั้งที่ไม่ใช่คำถามยากเย็นแท้ๆ ฮิโรชิขมวดคิ้วแล้วบีบข้อมือให้แรงขึ้น เสียงร้องแรกจึงหลุดออกจากปากของชายร่างสูง
"โอ๊ย!"
"หึ เจ้าก็มีเสียงนี่นา แล้วทำไมไม่พูดล่ะ!?" ตั้งแต่ในที่ประชุมแล้วที่อีกฝ่ายแทบไม่พูดใดๆ ออกมา จะมีบ้างก็ตอนที่ปรึกษาหารือถึงข้อมูลที่มี แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการและพึงพอใจ
"ข้า..." ใบหน้าที่ดูหล่อเหลาก้มลงเล็กน้อยเหมือนอยากหลบหน้า ทำให้คนที่เกลียดการเมินเฉยเช่นฮิโรชิรู้สึกหงุดหงิดเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
"ข้าถามว่า เจ้าเป็นคนส่งหมาป่าไปสำรวจสุสานเมื่อคืนนี้ใช่หรือไม่?"
"ท่าน... ต้องการรู้ไปเพื่ออะไร?" เสียงทุ้มเอ่ยคำถามแสนเบาหวิวยิ่งกว่าขนนก ข้าราชการหนุ่มรู้สึกว่าคนตรงหน้าไม่ต้องการตอบคำถามของเขา
"ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องรู้ ข้าต่างหากที่ต้องการรู้..." เมื่อเพิ่มแรงบีบ อีกฝ่ายก็นิ่วหน้าเจ็บปวด จมูกของปีศาจดูดเลือดได้กลิ่นเลือดจางๆ จากข้อมือที่เขาจับแน่นอยู่นั่นเอง
"นี่เจ้า..."
หากฮิโรชิจำไม่ผิด หมาป่าที่โดนกับดักเมื่อคืนนี้บาดเจ็บที่ขาหน้าข้างซ้าย
ซึ่งก็ตรงกับองเมียวหนุ่มตรงหน้าที่มีแผลบาดเจ็บที่ข้อมือซ้ายเช่นเดียวกัน
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างหมาป่าสีขาวและองเมียวอยู่นั่นเอง เสียงของอีกฝ่ายก็ดังขึ้นอีกครา
"ข้าต้องการรู้ว่าสภาพศพของเหยื่อเป็นอย่างไร..."
ฮิโรชิรีบละวางเรื่องของหมาป่าแล้วมองใบหน้าขององเมียวที่ยังติดตรึงอยู่กับที่ ทว่าดวงตากลมโตก็ไม่ยอมสบตาของเขาตรงๆ อีกครั้ง
"แล้วที่เจ้าหาข้อมูลมาได้ มีอะไรบ้างที่ข้ายังไม่รู้จากในท้องพระโรง?"
"เรื่องนั้น..." คิ้วสีดำเข้มขมวดแน่นขึ้น ก่อนจะเม้มปากสีแดงเรื่อเอาไว้แน่น "ข้า... ข้าไม่รู้แล้ว"
ปีศาจหนุ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังโกหกเขาซึ่งๆ หน้าอยู่ ทว่าก็ไม่รู้จะหาวิธีเช่นไรที่จะเค้นคำตอบออกจากปากของคนตรงหน้าได้ มือเรียวสวยที่ว่างอยู่อีกข้างจึงเอื้อมไปบีบลำคอขาวเนียนแทน
"อ๊ะ...!"
"ข้ารู้ว่าเจ้ามีเรื่องที่กำลังปกปิดข้าอยู่ อย่าให้ข้าต้องใช้ไม้หนักกว่านี้กับเจ้า" จากประสบการณ์ที่พบปะผู้คนมากมาย ฮิโรชิรู้สึกว่าคนตรงหน้าเป็นพวกหัวอ่อนที่ว่าง่าย หากจี้ได้ถูกจุด
ทว่าตอนนี้เขาอาจต้องใช้ไม้แข็งบังคับอีกฝ่าย หากเขาหาจุดที่ว่านั้นไม่เจอ
"ข้าบอกไม่ได้เด็ดขาด!" เสียงนั้นฝืนขัดขืนมากยิ่งขึ้น แม้ว่าเขาจะใช้กำลังข่มขู่มากขึ้นก็ตามที "ต่อให้เป็นท่านที่มีอำนาจสูงกว่าข้าก็ตามที!!"
"เจ้าเป็นคนเลือกให้ข้าต้องทำเช่นนี้เองนะ อย่ามาโกรธข้าทีหลังก็แล้วกัน" ฮิโรชิเหยียดยิ้มราวกับปีศาจร้าย ก่อนเริ่มลงมือล้วงข้อมูลของอีกฝ่ายด้วยวิธีการของตนเอง
นิ้วทั้งห้าอันแข็งแกร่งบรรจงบีบลำคอระหงเอาไว้ อีกฝ่ายเบิกตากว้างและเริ่มทุรนทุรายเพราะขาดอากาศหายใจ ชายหนุ่มผู้มีพลังของปีศาจดูดเลือดใช้กำลังที่มีดึงฝืนให้ร่างที่สูงกว่าโน้มใบหน้าลงมาใกล้ชิดกับริมฝีปากของเขา
ก่อนที่ริมฝีปากบางเย็นเฉียบจะประทับลงบนริมฝีปากแดงระเรื่อของอีกฝ่าย ลิ้นอุ่นร้อนกวาดเข้าโพรงปากนุ่มที่เปิดอ้าอยู่ และคมเขี้ยวของปีศาจดูดเลือดก็จิกกัดลงบนลิ้นอ่อนนุ่มของอีกฝ่าย
"อือ!!!"
...
ไดสึเกะ
หลังจากที่เดินทางมาถึงตำหนักมังกรเขียวซึ่งเป็นที่ประทับของผู้ดำรงอำนาจสูงสุดของอาณาจักรแห่งนี้ องเมียวหนุ่มก็ถูกเชิญให้เข้าร่วมประชุมที่ท้องพระโรงทันที
"ขอรับ ข้าได้ยินว่ามีหญิงสาวที่เสียชีวิตไปหลายรายแล้ว..."
"เมื่อเช้ามีคนพบศพเพิ่ม ดูเหมือนว่าทางเราจะชักช้านิ่งนอนใจไม่ได้แล้ว"
ซึ่งก่อนที่ร่างสูงในชุดขาวสะดุดตาจะเดินเข้าไปถึงที่จัดประชุมนั้นก็ได้ยินเสียงของคนสองคนคุยกันอยู่ก่อนแล้ว เสียงของคนทั้งสองเป็นเสียงที่คุ้นหูชายหนุ่มเป็นอย่างดี
หนึ่งคือ ผู้ทรงอิทธิพลที่ไม่อาจปฎิเสธความต้องการได้ส่วนอีกคน ... เป็นที่ทั้งอยากพบ และไม่อยากพบในเวลาเดียวกัน
ขุนนางหนุ่มสูงศักดิ์ที่เขารู้จักเพียงแต่ตำแหน่งของเจ้าตัวเท่านั้น
"เพื่อให้สืบสวนได้เร็วขึ้น เราจะให้เจ้าร่วมมือกับอีกคน"
"อีกคนหนึ่ง?"
เสียงของขุนนางหนุ่มผู้หยิ่งทะนงกล่าวทวนซ้ำประโยคของคู่สนทนาด้วยน้ำเสียงข้องใจ ประจบกับเวลานั้น องเมียวหนุ่มก็เดินเข้ามาถึงที่ประขุมพอดี
"เจ้า!"
เสียงอุทานที่หลุดออกมาโดยไม่ทันให้ตั้งตัวนั้น ทำให้องเมียวหนุ่มตกใจไม่แพ้กัน ดวงตากลมโตซึ่งเบิกกว้างกว่าปกติ จึงเผลอจ้องมองอีกฝ่ายเสียเนิ่นนาน ก่อนรีบหลบสายตาอย่างรวดเร็ว แล้วเดินมานั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ
... ชะตาเอ๋ย ทำไมจึงเจาะจง ให้พวกเราได้พบกันเฉพาะเวลาแบบนี้ด้วยนะ ...
"พวกเจ้ารู้จักกันด้วยรึ?"
"เปล่าพะยะค่ะ แค่ตกใจนิดหน่อย..."
ฝ่ายขุนนางปฏิเสธกลับอย่างรวดเร็ว เหมือนแทบไม่ต้องใช้ความคิดอะไร ก็แน่อยู่แล้ว ใครเค้าจะไปจำได้ แค่เคยเดินผ่านกันครั้งสองครั้งเท่านั้น
ชายหนุ่มลอบถอนใจอยู่เพียงลำพัง ด้วยความรู้สึกสับสน เพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำตัวยังไงกับอีกฝ่ายดี
ทั้งเรื่องที่อีกฝ่ายเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับแรกในคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ แต่นอกจาก 'กลิ่น' ที่ได้จากหลุมศพเมื่อวานแล้ว ก็ไม่มีหลักฐานใดชี้ชัดว่า ขุนนางหนุ่มผู้นี้คือผู้ร้ายในคดีสยองขวัญดังกล่าว
และไหนยังจะมีเรื่องที่ชายหนุ่มบุกไปถึงสุสานเมื่อวานอีกด้วย การกระทำของเขาเต็มๆปด้วยข้อน่าสงสัยเต็มไปหมด
ทว่าเมื่อถูกสั่งให้ร่วมงานกัน การพบปะกันก็คงเป็นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเช่นนั้นแล้ว องเมียวหนุ่มจึงตัดสินใจที่บอกข้อมูลเฉพาะที่ได้รับการตรวจสอบแล้วเท่านั้นออกไป
ส่วนเบาะแสที่ชวนสงสัยอื่นๆ นั้นเขาตั้งใจจะเก็บไว้เพียงลำพัง จนกว่าข้อสงสัยทั้งหมดจะกระจ่าง เขาจึงตั้งใจจะไม่บอกใครทั้งนั้น
ดังนั้นทันทีที่เลิกประชุม องเมียวหนุ่มจึงรีบเดินออกจากท้องพระโรงเพื่อกลับไปสืบเรื่องคดีที่เกิดขึ้นต่อ
ทว่า...
ดูเหมือนอะไรๆ ก็ไม่เป็นไปตามที่เขาคิดเลยสักอย่างเดียว เมื่อจู่ๆ ระหว่างทางเดินกลับไปที่รถ ข้อมือที่ได้รับบาดเจ็บจากการสืบสวนเมื่อวานกลับถูกมือเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งข้างหนึ่งคว้าเอาไว้ได้
"ข้ามีเรื่องที่อยากจะถามเจ้า"
มือข้างนั้นไม่เพียงแต่พยายามหยุดการเคลื่อนไหวของเขาไว้เท่านั้น หากแต่ยังฉุดรั้งให้เข้าไปหลบมุมหนึ่งซึ่งลับตาผู้คน เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ขุนนางหนุ่มต้องการคำตอบ ย่อมไม่ใช่แค่เรื่องคดีที่ผ่านการประชุมเมื่อครู่นี้อย่างแน่นอน
ปัง!
ร่างเพรียวบางหากแต่หลบซ่อนพละกำลังอันมหาศาลผิดรูปร่างนั้นผลักคู่กรณีเข้าชนกับกำแพงอย่างแรง หากแต่ฝ่ายองเมียวหนุ่มกลับยังเม้มปากแน่น ไม่ยอมให้สิ่งใดหลุดลอดออกมาแม้แต่น้อย โดยเฉพาะดวงตากลมโตที่หลุบลงต่ำ เพื่อแอบซ่อนความหวั่นกลัวที่ฉายชัดอยู่ภายใน
"ก่อนอื่น... ทำไมเจ้าถึงไม่มองตาข้า?"
คำถามคาดคั้นของอีกฝ่าย ทำให้ไดสึเกะต้องลอบกลืนน้ำลายที่ฝืนเหนียวลงคอ ก่อนจะเค้นความกล้าที่มีอยู่น้อยนิด ยังคับตัวเองให้เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายได้ในที่สุด
"เรื่องเมื่อคืน เจ้าเป็นคนส่งหมาป่าสีขาวไปที่สุสานใช่ไหม?"
เหมือนคู่สนทนาของเขาจะรับรู้ความหวาดหวั่นนั้นได้ จึงถอนใจออกมาเฮือกใหญ่คล้ายกับปลดปลงเล็กน้อย ก่อนจะปรับน้ำเสียงเย็นชาของตนให้อ่อนนุ่มลง
เศษเสี้ยวแห่งความอ่อนโยนที่แฝงอยู่ในความเย็นชาแข็งกระด้างของขุนนางหนุ่ม ทำให้ไดสึเกะนึกถึงคืนที่ตนเองหลงทางแล้ว บังเอิญเดินไปพบชายหนุ่มขึ้นมาได้
... บางทีเขาอาจจะเป็นคนดีก็ได้นะ ...
หากแต่เพราะมัวแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเองจนลืมที่จะตอบคำถามของอีกฝ่าย มือเย็นเฉียบที่แข็งราวกับคีมก็ยิ่งเพิ่มแรงบีบลงบนขัอมือที่ยังบาดเจ็บ ความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้ชายหนุ่มเผลอหลุดเสียงร้องออกมา
"โอ๊ย!"
"หึ เจ้าก็มีเสียงนี่นา แล้วทำไมไม่พูดล่ะ!?"
"ข้า..."
ความเจ็บปวดเมื่อครู่นี้ช่วยเตือนสติให้แก่เขาที่กำลังจะบอกความจริงทั้งหมดออกไปว่า ต่อให้ขุนนางหนุ่มเบื่องหน้าจะเป็นคนดีเพียงใด หรือต่อให้ไม่ได้เป็นฆาตกรในคดีนี้ก็ตาม
อย่างไรเสีย 'มนุษย์' ก็คือมนุษย์อยู่ดี ความหวาดกลัวของเหล่ามนุษย์ที่มีต่อปีศาจเป็นสิ่งที่เขารู้ดีที่สุด และเพื่อไม่ให้เกิดความหวาดกลัวเช่นนั้นขึ้น เขาจึงคงร่างของชายหนุ่มไว้ แล้วเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับตลอดเวลา
หากรู้ความจริงเรื่องเมื่อวาน เขาที่เป็นปีศาจคงถูกขับไล่ออกจากสังคมมนุษย์อีกครั้งเป็นแน่
... ไม่อยากจะต้องกลับไปอยู่คนเดียวอีกแล้ว ...
"ข้าถามว่า เจ้าเป็นคนส่งหมาป่าไปสำรวจสุสานเมื่อคืนนี้ใช่หรือไม่?"
"ท่าน... ต้องการรู้ไปเพื่ออะไร?"
เมื่อสงสัยแล้ว หนทางที่เร็วที่สุดที่จะได้รู้คือถามอีกฝ่ายออกไปตรงๆ
"ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องรู้ ข้าต่างหากที่ต้องการรู้..."
หากแต่ฝ่ายนั้นกลับไม่เพียงไม่ตอบคำถาม ซ้ำยังเพิ่มแรงบีบกดซ้ำลงมาจนแผลที่ยังไม่สมานตัวดีมีเลือดไหลซึมออกมาจนได้
"นี่เจ้า..."
ไดสึเกะมองข้อมือของตัวเองด้วยสีหน้าซีดเผือก ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองสังเกตุสีหน้าอีกฝ่าย ซึ่งท่าทางเอะใจถึงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน
"ข้าต้องการรู้ว่าสภาพศพของเหยื่อเป็นอย่างไร..."
ดังนั้นก่อนที่คู่สนทนาจะจับความเชื่อมโยงของตัวเขาและหมาป่าสีขาวเมื่อวานได้ ไดสึเกะจึงตัดสินใจบอกจุดประสงค์ของการไปสุสานเมื่อวาน เพื่อตัดจังหวะการคิดของอีกฝ่ายลงเสีย
"แล้วที่เจ้าหาข้อมูลมาได้ มีอะไรบ้างที่ข้ายังไม่รู้จากในท้องพระโรง?"
และเหมือนว่ามันจะได้ผล เมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นตั้งคำถามกับเขาอีกครั้ง คำถามเชิงคาดคั้นทำให้องเมียวหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกต้อนเข้ามุมจนไร้ซึ่งหนทางหลบหนี
"เรื่องนั้น..." คิ้วสีดำเข้มขมวดแน่นขึ้น ก่อนจะตัดสินใจเม้มปากเน้นไม่ยอมให้สิ่งใดหลุดลอดออกไปมากกว่านี้
"ข้า... ข้าไม่รู้แล้ว"
ทว่าคำตอบนั้นกลับไม่เป็นที่น่าพอใจแก่คนฟัง มือข้างหนึ่งที่ว่างอยู่จังพุ่งเข้ามาบีบรัดลำคอของเขาไว้แล้วออกแรงบีบเค้นอากาศออกจากร่างกายของเขาทันที
การกระทำเช่นนั้นสร้างความตกใจให้แก่องเมียวหนุ่มไม่น้อย แต่ว่าสิ่งที่สร้างความตื่นตกใจให้แก่เขามากที่สุดคือ การจู่โจมจากริมฝีปากเย็นเฉียบและการดูดเลือดจากปลายลิ้นของเขา
ความรู้สึกที่พละกำลังค่อยๆ ถูกสูบให้เหือดหายออกจากร่างกายทีละน้อยพร้อมๆ กับเลือดที่ถูกดูดออกไป ...นี่หรือคือความรู้สึกของหญิงสาวเคราะห์ร้ายเหล่านั้น
... ไม่สิ!!! นี่มันไม่เหมือน ...... กลิ่นที่ติดอยู่ที่ศพไม่ใช่กลิ่นนี้ ...
"ไม่!!! ท่านโชนะกอน ปล่อยข้า!!!"
เมื่อได้รู้ถึงเรื่องนั้น องเมียวหนุ่มจึงใช้พลังเฮือกสุดท้ายผลักออกฝ่ายออกอย่างแรง จนฝ่ายนั้นล้มลงไปนั่งอยู่พื้น
"...ไม่ใช่ ...ท่านไม่ใช่ ..."
...
ฮิโรชิ
ขณะที่กำลังดูดเลือดจากริมฝีปากนุ่มอยู่นั่นเอง กระแสความทรงจำของอีกฝ่ายก็ไหลเวียนผ่านเลือดที่เขากำลังดื่มกินอยู่
เหตุการณ์เมื่อวานที่มีเขาอยู่ด้วยปรากฏขึ้นในมโนภาพ ปีศาจหนุ่มต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อความทรงจำที่ปรากฏในใจขององเมียวหนุ่มนั้นคือภาพจากมุมมองของหมาป่าสีขาวตัวนั้น
เจ้าหมาป่ากำลังสืบหาหลักฐานจากซากศพของเหยื่อรายก่อนๆ กลิ่นที่ติดอยู่บนเหล่าร่างอันโชคร้ายนั้นบ่งบอกว่าคดีนี้ไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ธรรมดา แต่เป็นปีศาจดูดเลือดเช่นเดียวกับเขา
อีกฝ่ายล่วงรู้มาก่อนจะเริ่มต้นสืบสวนคดีนี้แล้วว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เป็นปีศาจดูดเลือด
ทว่าความรู้สึกปฏิเสธเมื่อครู่นี้กลับปรากฏขึ้นเด่นชัดท่ามกลางกระแสธารแห่งความสับสนภายในใจ ว่าเขาไม่ใช่ปีศาจดูดเลือดที่เป็นคนร้ายในคดีฆาตกรรมต่อเนื่องครั้งนี้
"ไม่!!! ท่านโชนะกอน ปล่อยข้า!!!"
เสียงตะโกนพร้อมกับแรงต่อต้านที่ผลักอกของเขาอย่างแรง ทำให้ฮิโรชิที่กำลังจดจ่อในความทรงจำของอีกฝ่ายหลุดกระเด็นลงไปล้มกับพื้น
ข้าราชการหนุ่มเอาหลังมือเช็ดมุมปากที่เปรอะเลือดขององเมียว เงยหน้าขึ้นมองข้างบนก็เห็นร่างสูงในชุดขาวที่มีสีหน้าหวาดกลัวระคนตกใจ ก่อนจะรีบส่ายหน้าราวกับอยากสลัดบางอย่างออกไป
"...ไม่ใช่ ...ท่านไม่ใช่ ..."
องเมียวหนุ่มไม่ได้สลบล้มลงดั่งเช่นเหยื่อของเขาคนอื่นๆ ฮิโรชิขมวดคิ้ว หรือว่าพลังลบความทรงจำของเขาไม่ได้ผล...?
ทั้งที่เตรียมใจว่าจะต้องจูบกับผู้ชายแล้ว แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นช่างสร้างความน่าหงุดหงิดและไม่ถูกใจเขาเลยสักนิด
เขาต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายพูดว่าไม่ใช่...!
ร่างสูงใหญ่ทำท่าจะหันหลังเพื่อวิ่งหนี ฮิโรชิรีบเอ่ยเสียงกึกก้อง
"หยุดอยู่ตรงนั้นซะ!"
อีกฝ่ายชะงักกึกดั่งคำพูดของเขาเป็นประกาศิต ฮิโรชิลุกขึ้นแล้วเดินไปจับข้อมือที่มีบาดแผลแล้วกระชากให้ร่างนั้นเข้ามาชิดใกล้เขาอีกครา
"จะหนีไปไหน ข้ายังไม่เสร็จธุระกับเจ้า"
"แต่ข้าไม่มีธุระอะไรกับท่านแล้ว..."
"หึ..."
ถึงแม้จะรู้สึกขยะแขยงที่ล่วงรู้ว่าองเมียวตรงหน้าคือปีศาจหมาป่าที่จำแลงเป็นมนุษย์ แต่เขาก็นึกวิธีดีๆ ที่จะใช้บุคคลตรงหน้าให้เป็นประโยชน์กับตนเองมากที่สุด
"แล้วถ้าข้าบอกว่า ข้ารู้ตัวจริงของเจ้าแล้ว เจ้ายังอยากจะหนีข้าไปอีกไหม?"
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ก่อนรีบหลุบหลบสายตาของเขาอีกครั้ง น่ารู้สึกขัดใจที่อีกฝ่ายไม่กล้าสบตาของเขา
ทว่าช่างเถอะ เขาก็สรรหาวิธีให้อีกฝ่ายต้องจ้องหน้าของเขาได้โดยไม่ต้องใช้กำลังมากนัก
"ปิดบังไปก็เปล่าประโยชน์ ปีศาจหมาป่าอย่างเจ้าน่ะ ถ้าไม่มีความช่วยเหลือจากข้า มันก็เท่านั้นแหละ"
คราวนี้ใบหน้านั้นหันมาเผชิญกับเขาตรงๆ ฮิโรชิรู้สึกคล้ายกับว่าดวงตาคู่นั้นกำลังแสดงความโกรธในคำพูดของเขาจึงต่อต้านด้วยแววตาที่ดูแข็งกร้าวขึ้น
เหมือนเจ้าหมาป่าสีขาวเมื่อคืนวานนี้ไม่มีผิด...
"ท่านรู้ได้อย่างไร..." เสียงนั้นยังคงแผ่วเบา แต่แฝงความโกรธเคืองอยู่
"เรื่องของข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้" ข้าราชการหนุ่มเอ่ยเข้าเรื่อง "ข้ามีเรื่องที่จะให้เจ้าทำ... จงมาร่วมมือกับข้าซะ"
...
ไดสึเกะ
'... โลกนี้สิ่งที่อันตรายสำหรับเจ้าที่สุดคือสิ่งที่เรียกว่า ความลับ....โดยเฉพาะความลับของเจ้า'
อยู่ๆ ในหัวก็ได้ยินเสียงของอาจารย์ดังแว่วเข้ามาในสมอง สมัยฝึกวิชา ท่านอาจารย์มักจะกล่าวถึงมันด้วยความกังวลอยู่บ่อยๆ ถึงขนาดให้เขาสัญญาว่า เพื่อความปลอดภัยของตัวเองให้ฆ่าทุกคนที่รู้ความลับนี้เสีย
... หากกำจัดทิ้งตรงนี้ ก็ไม่กลัวอะไรอีกต่อไป ...
ชายหนุ่มคิดพลางจ้องมองปีศาจดูดเลือดที่ยืนแสยะยิ้มอย่างผู้ชนะอยู่เบื้องหน้า
จริงอยู่ที่เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เป็นปีศาจดูดเลือด แต่ถ้าคิดจะสู้กันแล้ว เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้เหมือนกัน
ที่สำคัญกว่านั้น เขาคิดว่าการที่เชื้อพระวงศ์ถูกแฉว่าเป็นปีศาจดูดเลือดในเวลาเช่นนี้ มันร้ายแรงกว่า การที่องเมียวจิเป็นลูกครึ่งปีศาจแน่นอน
... การกำจัดคนที่ล่วงรู้ความลับของเขานั้นง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ ...
แต่ว่า ...
ในเมื่อได้พิสูจน์ได้แล้วว่า อีกฝ่ายไม่ใช่ศัตรูที่เขาต้องกำจัด แถมอีกฝ่ายยังหยิบยื่นโอกาสเข้าหาให้เขาอีกด้วย
... มันคงน่าเสียดายนัก หากจะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไป ...
"... แล้วท่านจะให้ข้าทำอะไร?"
องเมียวหนุ่มแสร้งถอนหายใจอย่างปลงตก ขณะเอ่ยถามความต้องการของอีกฝ่าย ราวกับจำยอม
ขุนนางผีดูดเลือดหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ จากนั้นจึงออกคำสั่งแรกให้องเมียวหนุ่มปฏิบัติตามทันที

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา