The Last Night

9.2

เขียนโดย pyclub70

วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.31 น.

  40 ตอน
  16 วิจารณ์
  32.33K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559 20.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) 011-หลังสงคราม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
011-หลังสงคราม
 
 
        ดวงอาทิตย์ขึ้นสู่เที่ยงวันดวงประทีปแห่งพระแม่เอวาแตกสลายกลายเป็นละอองแสงล่องลอย ปกคลุมท้องฟ้าดั่งดวงดาวพราวแสงระยิบนานชั่วครู่ ก่อนตกลงสู่อ้อมดิน
        ประชาชนรวมทั้งทหารต่างออกมายืนรับสัมผัสกับสิ่งนั้นซึมซับลงร่างกายกันทั้งเมือง ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มคาสึยะที่ยืนอ้ำอึ้งจับจ้องละอองปาฏิหารย์ลงสู่ร่างกายช่วยพื้นพลังอย่างเปี่ยมล้น ทหารและประชาชนบางส่วนที่สิ้นชีวิตไปจากเหตุการณ์เลวร้าย ได้พื้นกลับคืนชีพลุกขึ้นยืนอย่างน่าอัศจรรย์หลังละอองแสงตกกระทบกับร่างอันยังไม่แหลก
 
"คิริว!! คิริว!!"เสียงจากสตรีนางหนึ่งตะโกนขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปทุกทิศทั่วบริเวณที่เธอพื้นคืนชีพ
 
"แม่คร้าบบบบ!!"เจ้าของชื่อนั้นขานรับอย่างดีใจพร้อมวิ่งกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดของแม่ ที่ตื้นตันจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ อ้อมกอดของทั้งสองตกเป็นเป้าสายตา สร้างความประทับใจแก่ผู้ที่เห็นยิ่งนัก
 
 
         ทางด้านนอกกำแพง
 
"เอ๊ะ! เรายังไม่ตายหรอกรึนี่!?"หัวหน้าหน่วยที่18แห่งกองทหารม้า ลุกพรวดนั่งพลางเลิกเสื้อขึ้นมองแผลที่สีข้างอย่างงุนงง แต่ยังไงเธอก็ไม่ได้สนใจ หลังพื้นคืนชีพความรู้สึกแรกเธอนึกถึงพี่สาว
 
"เฮ่ยยยยยยย!!! แฟ!! มิ!! เลีย!!"เธอแหกปากพร้อมวิ่งเข้ายังประตูเมืองที่พังทลายไป
 
"เฮ่ยยยยยยย!!! เอมิลี่!!!"ทางนี้เองก็แหกปากอย่างดีใจวิ่งออกจากเมืองป้อม ทั้งสองวิ่งเข้าหากัน จนในที่สุดก็กระโดดเข้าสวมกอดแห่งกันและกัน ไอรักแฝงด้วยไออุ่นแผ่ถึงกันจนใครหลายคนต้องปรบมือปลาบปลื้ม
 
"ไง แฟมิเลียร้องไห้ขี้มูกโปร่งเลยล่ะสิ"
 
"ไอ้บ้าเอ้ย!!! ไอ้น้องบ้า!!!"แฟมิเลียกล่าวทั้งรอยยิ้มแต่มีน้ำรื้นตา
 
"ฮ่าฮ่าฮ่าๆ"ทั้งสองหัวเราะชอบใจพอกัน โดยมีน้ำตาเป็นสักขีพยานสำหรับสายสัมพันธ์
 
         เรื่องราวปาฏิหารย์ได้ถูกจารึกไว้อีกครั้งในความทรงจำของมนุษยชาติ จากพระผู้มีเมตตาและความรักที่ทรงแสดงอภินิหาร ละอองแสงลอยค้ำฟ้ากลับสู่อ้อมดินจนครบถ้วน วีรบุรุษหลายนายกลับเข้าสู่อ้อมกอดของครอบครัว ส่วนวีรบุรุษที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ชื่อของพวกเขาได้ถูกจารึกไว้ด้านนอกกำแพง เพื่อคอยขมขู่ศัตรูที่คิดจะท้าทายเมืองป้อมปราการเซลสิอุสและเป็นเครื่องยืนยันประกันว่าพวกเขาจะคอยปกป้องเมืองป้อมไปชั่วนิรันดร์
        พิธีงานศพเพื่อสรรเสริญเกียรติถูกจัดขึ้นในสวนอีลาร์ด พร้อมกับตั้งอนุสาวรีย์ฟีเทียร์เซลสิอุสอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อระลึกถึงทหารผู้เสียสละจากสงครามและผู้เคราะห์ร้ายจากโศกนาฏกรรม การสูญเสียครั้งใหญ่นี้จะตราตรึงในหัวใจพวกเขาไปตลอดกาล
        แต่ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ ด้วยความสามัคคีรวมกันเป็นหนึ่ง ทุกคนต่างช่วยกันอย่างขมักเขม่นปรับปรุงบำรุงเมือง จนในที่สุดทุกอย่างเริ่มเข้าสู่สภาพปกติ น้ำใจไมตรีจิตถูกหยิบยื่นให้กัน รอยยิ้มอิ่มสุขถูกแบ่งปัน บาดแผลใจได้รับการเยียวยาด้วยกำลังใจที่ส่งถึงกัน ความสุขจึงเบ่งบาน
 
"เอ้าๆ.. สู้ๆกันหน่อยนะพวกเรา"ในยามศึกรบอย่างไม่กลัวตาย ในยามสบายก็ไม่เคยทอดทิ้งชาวเมือง
         ผบ.ซิกม่าในชุดคนงานกล่าวขวัญให้กำลังใจกับชาวเมือง ที่ยังช่วยกันซ่อมแซมอาคารด้วยใบหน้าอันมาดเข้มพลางยกกำปั้นขึ้น
         ทว่า.. แม้จะเข้มปานใดแต่ริมฝีปากนั้น กลับกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้จนเห็นฟันขาวๆ ชาวเมืองเองก็กันชอบใจจึงพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับภาพนั้นของผบ.ซิกม่า
 
        ดวงตะวันย่ำขอบฟ้ายามเย็นที่เมืองป้อมปราการเซลสิอุส ลมพัดโชยพอเหมาะและไร้เมฆบังตา ท้องฟ้าเปิดโล่ง ดวงดาวเริ่มฉายแสง ดวงจันทร์เผยโฉม แผ่นฟ้าสีส้มอมม่วงที่ริมขอบฟ้าได้นำพาบรรยากาศรื่นเริงสังสรรค์มาสู่ชาวเมือง หลังจากเหน็ดเหนื่อยมายาวนาน เหล้าและข้าวปลาอาหารหวานถูกยกนำมาสู่แก่ทุกคน แกล้มกับการแสดงดนตรีเล็กๆน้อยๆของสาวรุ่นและวงสนทนาที่พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ด้วยเสียงหัวเราะดังไม่หยุดจนพระจันทร์อดยิ้มไม่ไหวและดวงดาวก็อดยินดีไม่ได้ กับภาพความสุขของพวกเขาเหล่านั้นในตอนนี้
 
     
 
        หลายวันถัดมาผบ.เดวิสได้เขียนรายงานอย่างละเอียด ส่งทางเมืองหลวงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตั้งแต่ต้นจนจบและรายงานนี้อีกหลายฉบับยังถูกส่งต่อไปยังทั่วโลก รวมทั้งองค์กรเดลต้ากับองค์เรเมดี้และองค์กรอื่นๆอีกมากมาย เพื่อทำการศึกษาค้นคว้าต่อไป
        ซึ่งเรื่องนี้เอง เป็นผลให้จักรวรรดิครูฟ จักรวรรดิลามิเรส จักรวรรดิเมลเฟรไฮจ์และสหพันธรัฐเออาร์-ติกะ เพิ่มการป้องกันมากขึ้นทุกระเบียบนิ้วหลังเกิดกรณีศึกษาและที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือผบ.เดวิสแห่งเซลสิอุสไม่ได้สรุปรายงานสาเหตุของการถูกบุกรุก
 
       
 
องค์กรเดลต้า ณ มหานครครูฟาริลเต
ห้องประชุมแผนกสถิติ
 
"จากกรณีตัวอย่างของเมืองป้อมปราการเซลสิอุส เราไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นเฉพาะเวลากลางคืนและจากสถิติที่เคยรวบรวมมานับว่านี่เป็นครั้งแรกที่มันเกิดขึ้นช่วงรุ่งอรุณ กองทัพอัศวินในชุดเกราะแบบนั้นโดยมีควันดำชโลมร่างตลอดเวลาและอสูรกระทิงแบร์ริกเป็นสิ่งที่เคยมีอยู่จริงบนโลกนี้เมื่อนานมาแล้ว คำถามคือ..? พวกมันมาจากไหนและต้องการอะไรจนต้องบุกเมือ..."ยังไม่ทันสิ้นเสียงหนุ่มใหญ่ใส่แว่นที่ยืนอยู่หัวโต๊ะหน้ากระดานดำ กลับมีเสียงหนึ่งแทรกขึ้น
 
"สำหรับกองทัพอัศวินที่มีควันดำคาดว่าน่าจะเป็นไอปีศาจล่ะนะ พวกมันหลุดมาจากความมืดรึป่าวครับ? เพราะจากการสอบปากคำพยานที่รอดตายจากความมืดเมื่อรอบศตวรรษที่แล้วหลายๆเสียงยืนยันว่า พวกเขาได้ยินเสียงกีบม้ากระแทกพื้นโดยมีอัศวินเป็นผู้ควบมันมาไล่สังหารเหยื่อ ส่วนอสูรกระทิงแบร์ริกถือว่าเป็นข้อมูลใหม่ครับ"หนุ่มหน้าละอ่อนทางด้านริมขวาโต๊ะหัวแถวเอ่ยแย้งขึ้น
 
"บ้าน่ะ!! ยังไงๆพวกพยานเหล่านั้นก็เคยเจอแต่ในความมืด แล้วหลุดมาจากความมืดเนี่ยนะ!?! นายคงจะหมายความว่าพวกนั้นไม่ใช่แค่ทำให้มนุษย์สาปสูญอย่างที่แล้วๆมา แต่นายคงจะหมายถึงพวกมันรับคำสั่งมาจากใครใช่ไหม ..รึป่าวนะ แล้วที่สำคัญอสูรกระทิงแบร์ริกสูญพันธ์ไปนานแล้ว แต่ถ้าจะพื้นคืนชีพได้จะต้องมีผู้ใช้ศาสตร์แห่งมนต์ตราสายสร้างนิมิตที่มีฝีมือ1คนเพื่อวาดฝันและต้องมีผู้ใช้ศาสตร์แห่งมนต์ตราสายอัญเชิญที่แก่กล้าอีก1คนเพื่อปลุกชีพ หนำซ้ำพวกมันยังมีตั้ง6ตัวแน่ะ เก่งเป็นบ้าเลย2คนนั้นเป็นใครล่ะ ลูส"ชายผมขาววัยดึกแย้งกับลูสหนุ่มหน้าละอ่อนที่นิ่งเงียบและยังคิดอะไรไม่ออก
 
"ที่ทำได้ก็มีแต่ดารุส"เสียงหญิงสาวปลายแถวดังขึ้น เพื่อเรียกความสนใจของชายวัยดึกที่จ้องหน้ากับลูส
 
"ใช่!!! แต่ว่าดารุสตายไปแล้วเป็นพันปี ถึงดารุสยังอยู่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น"ชายวัยดึกสวนกลับหญิงสาวทันควัน จนเธอต้องก้มหน้าลง
 
"เอาล่ะๆ อย่าเพิ่งด่วนสรุปกันเลยนะ กองทัพอัศวินและอสูรกระทิงแบร์ริกที่ยกพลมาภายใต้แสงอรุณถือว่าเป็นเรื่องใหม่เอาเป็นว่าบันทึกลงสถิติไปก่อนละกัน ส่วนเรื่องเงาปีศาจร่างยักษ์ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรเพราะเคยถูกบันทึกไว้นานแล้ว แล้วก็ยัง..."หนุ่มใหญ่ต้องชะงักอีกครั้ง หลังเสียงของลูสดังขึ้น
 
"นานแค่ไหน!!?"
 
"ราว200-300ปีก่อน!!"ชายวัยดึกตวาดเสียงไปทางลูสที่ไม่กล้าสบตา เช่นนี้เองทำให้หนุ่มใหญ่ต้องขยับแว่นด้วยความเบื่อหน่ายระหว่างลูสกับทาร์ตาริคที่กัดกันไม่เลิก
 
"เอิ่ม.. การบ้านของพวกเราต้องพยายามหาคำตอบให้ได้ว่าทำไมพวกนั้นจึงสามารถปรากฏกายได้ภายใต้แสงอรุณและที่สำคัญเป้าหมายของพวกนั้นคือเมืองป้อม"หนุ่มใหญ่รีบทิ้งท้ายก่อนทั้งสองคนนั้นมากไปกว่านี้
 
"เลิกประชุม แยกย้ายกันไปทำงานได้ละ"ว่าเสร็จหนุ่มใหญ่ก็แง้มประตูออกไปเป็นคนแรก
 
"หวังว่าเรื่องนี้คงไม่มีเงื่อนงำนะ"เสียงแหบๆของเด็กชายเอ่ยขึ้น หลังจากห้องประชุมเหลือเพียงแค่3คนรวมทั้งเขา
        การประชุมครั้งนี้ถือว่าผิดหวังยิ่งนักกับปมปริศนาใหม่และบรรยากาศที่ไม่น่าภิรมณ์เท่าไร
 
 
 
 
องค์กรเรเมดี้ จักรวรรดิลามิเรส
ห้องประชุมแผนกวิจัย
 
"ปัจจัยที่ทำให้พวกกองทัพอัศวินเผยกายได้อาจเกิดจากแสงอาทิตย์ยังอยู่ในช่วงรุ่งอรุณบวกกับหมอกยามเช้าจึงทำให้พวกนั้นสามารถเร้นกายได้ หรือทุกคนคิดว่าไง..?"เสียงเรียบเอ่ยขึ้นกับทุกคนที่ตั้งใจฟัง
 
"ก็อาจจะเป็นได้เพราะตอนนั้นพวกนั้นยังไม่ต้องแสงอาทิตย์โดยตรง"หญิงวัยกลางคนเห็นด้วยกับเสียงเรียบ
 
"เรซี่ เธอจะพูดว่าพวกนั้นแพ้แสงใช่ไหม?"คนตรงข้ามเธอเอ่ยถามด้วยใบหน้านิ่ง
 
"น่าจะนะ ถ้าดูจากความน่าจะเป็นแล้ว"เรซี่ตอบอย่างไม่รีรอ
 
"เรื่องนี้อาจจะอยู่เหนือขอบเขตจินตนาการของเราก็ได้นะ ประเด็นคือ 
1. ทำไมพวกนั้นต้องเจาะจงเข้าตีเมืองป้อม
2. ตามเวลารุ่งอรุณถึงสายดวงอาทิตย์จะต้องเลื่อนขึ้นตามตำแหน่งที่ควรจะอยู่ แต่ในรายงานระบุไว้ว่าดวงอาทิตย์หยุดอยู่กับที่หลังเวลาล่วงเลยไปหลายชั่วโมง
3. เรื่องสภาพแวดล้อมที่อยู่ๆท้องฟ้าพลันมืดมิดและอากาศก็หนาวขึ้นจนลมหายใจกลายเป็นไอ
4. เงาปีศาจ
5. ดวงประทีปแห่งพระแม่เอวา
ทั้งหมดนี่มันเหนือคำอธิบายและไม่สามารถสรุปอะไรได้เลย"เจ้าของท่ามือเท้าคางใกล้ๆกับเสียงเรียบ เปิดประเด็นพิศวงซึ่งเหล่าทวยเทพยังไม่สามารถตอบได้
 
"เวทย์มนต์ล่ะ พอจะมีทางเป็นไปได้ไหม?"เรซี่เอ่ยอีกครั้ง
 
"คงไม่น่าจะได้นะ ถึงดารุสจะสามารถควบคุมได้ถึง3สายก็เถอะ ยังไงเขาก็ไม่สามารถกลืนกินดวงอาทิตย์และสร้างดวงประทีปได้หรอก แล้วคนเก่งอย่างเขาจะหาได้ที่ไหน"เสียงเรียบหัวโต๊ะอธิบาย
 
"นั่นสินะ"เรซี่ก้มหน้าเอ่ยครั้งที่4
 
"โดยปกติแล้วคืนแห่งความมืดจะเกิดในตอนที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วโดยมีลางมรณะเป็นตัวชี้บอกเหตุและสิ่งที่อยู่ในนั้นทำได้เพียงแค่ทำให้มนุษย์สาปสูญ เมื่อคิดๆดูแล้ว... "
(เจ้าของร่างนี้เกาคางแปปๆกับขมวดคิ้วเล็กน้อยอยู่ชั่วครู่ก่อนจะว่าต่อ)
"...คืนแห่งความมืดต้องมีเป้าหมายอะไรสักอย่างในเมืองป้อมซึ่งมันเป็นเรื่องที่ผิดปกติเอามากๆ"เสียงเรียบดูรู้สึกมั่นใจมากกับการคาดคะเน
 
"ในรายงานก็ไม่ได้ระบุไว้โดยละเอียดซะด้วยสิ"เรซี่เอ่ยครั้งที่5
 
"ลงพื้นที่.."สาวน้อยหน้ามนเสนอความคิดแผลงๆ
 
"ลงพื้นที่?  พวกนั้นก็คงจะคิดแบบเรานี่แหละ ป่านนี้พวกนั้นคงไปถึงก่อนเราแล้วล่ะมั้ง.. แล้วอีกอย่างการที่จะต้องเข้าไปในพื้นที่นั้นคงเป็นเรื่องที่ยากแล้วแน่ๆด้วยมาตรการการป้องกันขั้นเด็ดขาด"เรซี่เอ่ยครั้งที่6
 
"นั่นสิ หวังว่าพวกนั้นคงไม่นำเรื่องนี้มาอ้างทำสงครามกับเราหรอกนะ ฮ่าฮ่า"เสียงแก่ๆดังขึ้นจากหลังห้องประชุม แต่ไม่มีใครสนใจกับเสียงนั้นเลยแม้แต่น้อย
 
"ประเด็นหลักๆของพวกเราเลยก็คือสืบหาสาเหตุให้ได้ว่าสิ่งที่ออกมาจากความมืดต้องการอะไรจากเมืองป้อมปราการเซลสิอุส ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาพวกมันเลือกเล่นงานแต่มนุษย์และครั้งนี้ซึ่งดูแล้วมันผิดวิสัยมากๆ เราจะลงพื้นที่กัน"เสียงเรียบสรุปการประชุม
 
"ค่ะ"เรซี่เอ่ยครั้งที่7
 
"เราจะลงพื้นที่กันเมื่อไรคะ"สาวหน้ามนตื่นเต้นจัดห้ามใจไว้ไม่อยู่รีบยิงคำถามทันที
 
"ทันทีที่จักรพรรดินีอนุมัติ"
        ก้าวแรกแห่งความหวังของการแก้ปมปริศนาลึกลับ นับตั้งแต่โลกถูกสร้างขึ้นกำลังถูกขับเคลื่อนโดยองค์กรเรเมดี้
 
 
-------------
 
 
 
เกริ่นเรื่องมาซะยาวเลย
จะว่าไปตั้งแต่ตอนที่1ถึงตอนนี้เป็นบทนำก็ได้นะ
ตอนต่อไปจะเข้าสู่เนื้อเรื่องหลักล่ะซึ่งเป็นการเดินทางของเนเน๊ะนั่นเอง
ฝากติดตามกันด้วยครับ
ขอบคุณครับ T^T
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา