ความรักของตุ๊กตา(เจ้าเก่านะ)

8.5

เขียนโดย enma[kuroki]

วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 13.21 น.

  3 ตอน
  0 วิจารณ์
  4,914 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ตอนที่33:การประชุมของหน่วยBlack lish

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

  ณ ภายในความฝันของเอเรียส(เวลาในโลกจริง08:00)

        ‘’…………..’’เอเรียสยืนมองสภาพของแพนโดร่าที่ถูกขังอยู่ในกรงนกขนาดใหญ่และถูกมัดด้วยลำต้นของกุหลาบสีดำที่มีหลามแหลมเหมือนเข็มด้วยใบหน้าที่นิ่งและด้วยสายตาที่เย็นชา

        ‘’ปะ...ปล่อยฉันนะเอเรียส...อ๊าก!’’แพนโดร่าเงยหน้ามองเอเรียสที่ยืนมองเธออยู่หน้ากรงพร้อมกับพยายามดิ้นแต่เมื่อแพนโดร่าขยับตัวหนามจากลำต้นของกุหลาบดำก็ทิ่มแทงเข้าไปในร่างกายเธอมากขึ้น

        ‘’ยิ่งเจ้าขยับมากเท่าไร....หนามนั้นก็จะยิ่งทิ่มแทงเจ้านะ.....’’เอเรียสเดินเข้าไปใกล้ๆกรงของแพนโดร่าแล้วเอื้อมมือไปจับแก้มของแพนโดร่าแล้วเลื่อนมือขึ้นไปดึงโบว์ที่มัดผมของแพนโดร่าให้หลุดออก

        ‘’ฉะ...ฉันไม่สน!..ยังไงฉันก็จะกลับไปหาเจ้านายของฉัน!’’แพนโดร่าพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะหมดแรงพร้อมกับหยุดดิ้นสักพักก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วแล้วจ้องหน้าเอเรียสแต่แล้วก็ถูกลำต้นของต้นกุหลาบดำกระชากกลับมาทำให้แพนโดร่าล้มลงไปนอนกับพื้นและหนามของต้นกำหลาบดำก็ยิ่งทิ่มแทงลึกเข้าไปในผิวหนังของแพนโดร่ามากขึ้น

        ‘’ข้าไม่เข้าใจ....ทำไมเจ้าถึงอยากจะกลับไปหาเจ้ามนุษย์ที่อ่อนแอคนนั้นที่เจ้าเรียกว่าเจ้านายนะ...’’

        ‘’ทำไมนะหรอ..เธอก็หน้าจะรู้นี้เพราะฉันก็คือเธอ เธอก็คือฉันยังไงละ’’แพนโดร่าค่อยๆลุกขึ้นมานั่งแล้วยิ้มให้เอเรียสอย่างอ่อนโยน

        ‘’เจ้าก็คือข้า...ข้าก็คือเจ้างั้นหรอ....ไม่ใช่...ไม่ใช่ๆๆๆๆๆๆ!!!! ข้าไม่ใช่เจ้า ข้าก็คือตัวข้า! ข้ากับเจ้าไม่ใช่คนๆเดียวกันสักหน่อย!!!’’เอเรียสยืนก้มหน้าพร้อมเอามือทั้ง2ของเธอกุมหัวแล้วตะโกนออกมาอย่างสุดเสียงจนทำให้ห้องมืดนั้นแตกสลายไปและทำให้เอเรียสสะดุ้งตื่นขึ้นมา

       ‘’พี่เอเรียสเป็นอะไรหรอค่ะ?’’เรร่านั่งมองเอเรียสแล้วตกใจนิดๆเพราะเอเรียสจู่ๆก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา

       ‘’อะ...องค์หญิงเรร่าเองหรอ....ข้าไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะแค่ฝันร้ายนิดหน่อยนะค่ะ’’เอเรียสเอามือข้างหนึ่งกุมใบหน้าไว้พร้อมกับพูดตอบเรร่า

       ‘’ค่ะ แต่ว่าหน้าพี่เอเรียสซีดมากเลยนะค่ะหรือว่าพี่จะเป็นไข้’’เรร่ามองเอเรียสด้วยสีหน้าที่เป็นห่วง

       ‘’ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆค่ะ...ขอบคุณมากๆเลยนะค่ะองค์หญิงเรร่าที่เป็นห่วงข้า...’’เอเรียสหันไปมองเรร่าแล้วค่อยๆเอื้อมมือไปลูบหัวเรร่าอย่างอ่อนโยน

       ‘’*ก๊อกๆ*ขอประทานอภัยนะขอรับองค์หญิงเรร่าและท่านเอเรียส  อีกสักประมาณ1ชั่วโมงจะมีการประชุมขอให้ท่านเอเรียสไปประชุมที่ห้องๆนั้นด้วย’’เสียงของแบล็คเดินมาเคาะประตูก่อนจะเปิดประตูเข้าไปเดินมาหาเอเรียส

       ‘’ข้ารู้แล้ว...เดี๋ยวข้าจะตามไปละกัน..’’เอเรียสหันไปพูดตอบแบล็คที่เดินมาหาตน

       ‘’อีกตั้ง1ชั่วโมงสินะ งั้นพี่เอเรียสกับลุงแบล็คไปที่สวนดอกไม้กับหนูหน่อยได้ไหมค่ะ’’เรร่าหันไปมองทั้ง2แล้วพูดชวนทั้ง2ไปที่สวนดอกไม้ที่ จะต้องผ่านเข้าไปในกระจกบานใหญ่ที่อยู่ในห้องของเรร่าซึ่งการที่จะเปิดประตูมิติเพื่อไปยังสวนดอกไม้นั้นเฉพาะคนในหน่วยblack lishกับวาลฮาฟหรือคนที่พลังเทียบเท่ากับคนในหน่วยblack lishเท่านั้นที่จะเปิดมันได้

       ‘’ได้สิขอรับ^^ ถ้าองค์หญิงเรร่าอยากไปกระผมก็จะพาไป’’

       ‘’เย่!!ดีใจจัง แล้วพี่เอเรียสละค่ะ’’

       ‘’ได้สิค่ะ...’’เอเรียสพูดพร้อมกับพยักหน้าตอบ

         เรร่าดีใจมากที่แบล็คกับเอเรียสตอบตกลงว่าจะพาเธอไปสวนดอกไม้ เรร่ารีบจับมือกับเอเรียสทันที แบล็คเดินไปยืนที่หน้ากระจกพร้อมกับเรร่าและเอเรียสแล้วใช้นิ้วชี้ขวาเขียนตัวอักษรโรมันโบราณบนกระจกเป็นคำว่าopenจากนั้นเรร่าก็รีบจูงมือเอเรียสกับแบล็คเข้าไปในกระจก

       ‘’ว้าว~สวยจังเลย ดอกไม้ก็หอมสุดๆไปเลยละค่ะพี่เอเรียส ลุงแบล็ค’’เรร่ายืนจับมือเอเรียสกับแบล็คเอาไว้พร้อมกับมองไปรอบๆสวนดอกไม้ที่กว้างมากจากนั้นก็ค่อยๆปล่อยมือทั้ง2แล้วหมุนตัว1รอบก่อนจะนั่งลงแล้วดมดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้า

       ‘’นั้นสิขอรับ ดอกไม้พวกเนี้ยหอมสุดๆไปเลยละ’’แบล็คพูดพร้อมกับเดินไปนั่งข้างๆเรร่าแล้วยิ้ม

       ‘’จริงสิ! ทำมงกุฎดอกไม้ให้พี่เอเรียสกับลุงแบล็คดีกว่า พี่เอเรียสจะได้ยิ้มสักที’’เรร่าพูดพร้อมกับเด็ดอกไม้ทีละดอกมานั่งทำเป็นมงกุฏดอกไม้อยากตั้งใจแบล็คนั่งดูเรร่าที่กำลังทำมงกุฏดอกไม้อยู่สักพักแล้วก็ลุกเดินไปหาเอเรียสที่กำลังยืนดูเรร่า

       ‘’เห็นองค์หญิงเรร่ายิ้มแบบนี้แล้วนึกถึงลูกสาวข้าเลยแหะ’’แบล็คพูดพร้อมกับเดินไปยืนเอามือไผ่หลังข้างๆเอเรียสแล้วก้มหน้านิดๆ

       ‘’เจ้ามีลูกด้วยงั้นรึแบล็ค?....’’เอเรียสพูดตอบแบล็คแต่ไม่ได้หันไปมองแบล็คเลยเพราะกำลังตั้งใจมองเรร่าที่กำลังนั่งทำมงกุฏดอกไม้

       ‘’แหม่ๆ~ ก็ต้องมีสิเพราะข้าอายุเยอะแล้วนี้’’แบล็คพูดพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย

       ‘’งั้นรึ....นี้แบล็คข้าขอถามอะไรหน่อยสิ’’

       ‘’จะถามอะไรงั้นรึเอเรียส?’’

       ‘’สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ้าคือใครงั้นรึ?....’’เอเรียสพูดพร้อมหันไปมองแบล็ค

       ‘’แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญสำหรับข้านั้นก็คือครอบครัวยังไงละ’’แบล็คหันไปยิ้มให้เอเรียสแล้วหันไปมองเรร่า

       ‘’ครอบครัว....คืออะไรงั้นหรอ’’

       ‘’ครอบครัวคืออะไรงั้นหรอ ถ้าสำหรับข้านะครอบครัวก็คือคนที่เรารักหรือคนที่สำคัญกับเรายังไงละ แล้วสิ่งสำคัญสำหรับเธอละ?’’

       ‘’สิ่งที่สำคัญสำหรับข้างั้นหรอ.....’’เอเรียสยืนคิดพลางมองเรร่าที่ชูมงกุฎดอกไม้ที่เธอพึ่งทำเสร็จเมื่อกี้ จู่ๆเอเรียสก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ใจขึ้นมาทำให้เห็นภาพความทรงจำของบางส่วนของแพนโดร่าที่มีใบหน้าอันยิ้มแย้มของเรนอยู่และรีบเอามือกุมซ้ายกุมใบหน้าของตัวเองเอาไว้

       ‘’เป็นอะไรไปนะหนูเอเรียส’’แบล็คหันไปมองเอเรียสพอดี

       ‘’จู่ๆ...ภาพความทรงจำของยัยนั้นมันพุดขึ้นมาในหัวข้านะ...’’

       ‘’ภาพความทรงจำของแพนโดร่าสินะ เอาน่าๆเจ้าพยายามเยือกเย็นเอาไว้ละกัน ‘’แบล็คพูดพลางคิดในใจว่า(แสดงว่าพลังของเอเรียสยังไม่เสถียรพอที่จะกักขังแพนโดร่าไว้ได้ตลอดสินะ)

       ‘’พี่เอเรียส~ ลุงแบล็คค่ะ~หนูทำมงกุฎดอกไม้เสร็จแล้วนะค่ะอันที่มีดอกไม้สีม่วงเยอะๆนี้ของพี่เอเรียสนะค่ะส่วนอันที่มีชมพูก็ของลุงแบล็คนะค่ะ’’เรร่าลุกขึ้นพร้อมกับถือมงกุฏดอกไม้2อันแล้วเดินมาหาเอเรียสกับแบล็ค

       ‘’ขอบพระคุณมากเลยนะขอรับองค์หญิงเรร่า~กระผมขอน้อมรับมงกุฏนี้ด้วยความเต็มใจนะขอรับ’’แบล็คพูดแล้วยิ้มพร้อมกับหยิบมงกุฏดอกไม้จากเรร่ามาวางไว้บนหัวของตัวเอง

       ‘’องค์หญิงเรร่าตั้งใจทำสิ่งนี้ให้กับข้า.....ขอบพระคุณมากเลยค่ะ.....ข้าก็ขอน้อมรับไว้เช่นกัน....’’เอเรียสรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่มีคนทำสิ่งของแบบนี้ให้กับเธออย่างตั้งใจเอเรียสจึงยิ้มเล็กน้อยแล้วโค้งคำนับก่อนจะคุกเข่าลงเพื่อที่ให้เรร่าวางมงกุฏดอกไม้ไว้บนหัว

       ‘’ลุงแบล็คค่ะ! เห็นไหมๆพี่เอเรียสเขายิ้มแล้วละ’’เรร่าดีใจมากๆที่เห็นเอเรียสยิ้มได้สักทีดีใจซะจนกอดเอเรียสแน่น

       ‘’โอ้~นานๆทีจะเห็นเธอยิ้มได้แบบนี้นะเนี้ยหนูเอเรียส’’แบล็คยืนมองทั้ง2พลางพูดไปด้วย

       ‘’งะ...งั้นหรอ...’’เอเรียสพูดพร้อมกับโดนเรร่ากอดแน่น

       ‘’หนูนะชอบพี่เอเรียสตอนยิ้มมากที่สุดเลยนะค่ะรู้ไหม’’เรร่าเงยมองหน้าของเอเรียสพร้อมกับพูดแล้วยิ้มอย่างดีใจ

       ‘’ถ้าองค์หญิงเรร่าชอบตอนที่ข้ายิ้มละก็ข้าจะพยายามยิ้มบ่อยๆละกันนะค่ะ’’เอเรียสมองเรร่าพร้อมกับยิ้มอย่างอบอุ่น

       ‘’จริงหรอค่ะ เย่!ดีใจจัง’’

   ทั้งเรร่า เอเรียสและแบล็คนั้นต่างก็พากันคุยอย่างสนุกสนาน ในใจของเอเรียสอดคิดไม่ได้ว่าทำไมตัวเธอถึงได้ยิ้มได้เยอะขนาดนี้เพราะอะไรกันนะหรือเพราะคนรอบๆตัวมีความสุขกันนะ เวลาผ่านไปสักพักแบล็คก็พูดขึ้นว่า

      ‘’โอ๊ะ!ได้เวลาประชุมแล้วนี้ องค์หญิงเรร่าขอรับได้เวลากลับไปที่ห้องของท่านแล้วนะขอรับ’’แบล็คหยิบนาฬิกาประจำหน่วยblack lishขึ้นมาแล้วเปิดเพื่อดูเวลา

      ‘’กลับไปที่ห้องขององค์หญิงกันเถอะค่ะ...’’เอเรียสพูดพร้อมกับจับมือเรร่าแล้วพาเรร่าเดินออกจากกระจกพร้อมๆกลับแบล็ค เมื่อทั้ง3คนเดินออกมาจากกระจกแล้วประตูมิติก็ปิดลงจากนั้นเอเรียสก็ปล่อยมือเรร่าแล้วรีบเดินออกจากห้องเรร่าไปพร้อมกับแบล็คเพื่อรีบไปที่ห้องประชุม

ณ ห้องประชุมที่อยู่ชั้นใต้ดินของตึกขององค์กรDH[Dark Heart]

    แบล็คกับเอเรียสรีบเดินมายังห้องประชุมที่อยู่ชั้นใต้ดินของตึกขององค์กรนี้ในขณะที่กำลังรีบเดินไปนั้นมงกุฏดอกไว้ที่อยู่บนหัวของทั้ง2ก็ค่อยๆสลายหายไป แบล็คใช้มือทั้ง2ดันประตูที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวและสูงกว่าคนทั่วไปถึง30เท่าและมีขอบเป็นลายอักษรประหลาด เมื่อแบล็คดันประตูเข้าไปได้ระดับหนึ่งแล้วก็มีเสียงขึ้นพูดว่า

      ‘’พวกเจ้า2คนนี้ช้าชะมัดเลยนะ~ ท่านองค์ราชากับพวกข้ารอจนรากเกือบงอกแล้วนะ’’เสียงที่พูดขึ้นมาระหว่างแบล็คกำลังเปิดประตูก็คือเสียงของชิโดกินั้นเอง ภายในห้องประชุมมีโต๊ะประชุมขนาด6ที่นั่งโดยคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะก็คือวาลฮาฟที่พึ่งได้มาไม่นานแต่เรร่ายังไม่รู้ว่าวาลฮาฟกลับมาแล้ว ด้านขวาของวาลฮาฟคนที่นั่งก็คือวิโนน่า ดาฟเน่ ส่วนด้านซ้ายจะมีชิโดกิและมีที่ว่างไว้นั้นก็คือที่ของแบล็คส่วนที่นั่งท้ายโต๊ะนั้นก็คือที่นั่งของเอเรียส แบล็คกับเอเรียสเดินก็รีบเดินมานั่งที่นั่งของตัวเอง

      ‘’ว่าแต่องค์ราชาจะประชุมเรื่องอะไรงั้นรึ....’’วิโนน่าพูดพลางหันไปมองวาลฮาฟ

      ‘’สาเหตุที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาประชุมในวันนี้นั้นก็คือข้าไปเจอสิ่งที่คิดว่าหน้าจะเป็นวิธีที่จะทำให้ทั้งอาณาจักรนี้ไม่สิทั้งโลกใบนี้จะเป็นของพวกเรา’’วาลฮาฟพูดพร้อมกับหยิบม้วนกระดาษเก่าๆเล่มหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเสื้อคลุมของเขาแล้วโยนไปกลางโต๊ะทำให้ม้วนกระดาษคลี่ออก เนื้อหาภายในกระดาษเก่าๆนี้มีอักษรโบราณเขียนไว้ประมาณและมีภาพเขียนลักษณะเหมือนผู้หญิงคนยืนเอามือแตะคริสตัลคล้ายรูปดาวครึ่งหนึ่งเป็นสีประกายรุ้งส่วนอีกครึ่งเป็นสีดำสนิทและมีผู้หญิงอีก1คนเป็นคนถือคริสตัลรูปดาวนั้นเอาไว้ ภาพผู้หญิงในกระดาษนั้นมีลักษณะที่เหมือนกันทุกอย่างยกเว้นผู้หญิงคนกลางฝั่งซ้ายมีคริสตัลรูปหยดน้ำสีฟ้าตรงกลางเป็นรูปพระจันทร์สีดำอยู่กลางอกและมีดวงตาสีแดงฉานส่วนฝั่งขวามีคริสตัลรูปหยดน้ำเหมือนกันแต่ตรงกลางนั้นเป็นรูปดาวสีดำอยู่ตำแหน่งเดียวกันและมีดวงตาสีม่วงดังอัญมณี

      ‘’คริสตัลนี้เหมือนกับของเจ้าเลยนะเอเรียส....’’วิโนน่าพูดพร้อมกับชี้ไปที่คริสตัลรูปหยดน้ำสีฟ้าที่ตรงกลางเป็นรูปดาวสีดำให้เอเรียสดู

      ‘’สรุปคือองค์ราชาคิดที่จะยอมใช้ลูกสาวของท่านเป็นตัวแกนกลางในการควบคุมพลังของบทเพลงแห่งวิญญาณหรือก็คือให้ลูกสาวของท่านเป็นผู้ขับร้องแทนเอเรียส...’’ดาฟเน่พูดพร้อมกับหันไปมองวาลฮาฟ

      ‘’เธอเกือบพูดถูกนะแต่ผิดตรงที่จะให้เรร่ามาขับร้องแทนเอเรียสนะมันเป็นไปไม่ได้หรอกเธอไม่สามารถขับร้องเพราะเธอคือผู้ถือชิ้นส่วน1ใน5ของคริสตัลนี้ซึ่งผู้ที่ถือชิ้นส่วนของคริสตัลนี้จะไม่สามารถขับร้องบทเพลงแห่งวิญญาณเพราะถ้าขืนขับร้องไปละก็เสียงอาจจะหายไปตลอดการหรือไม่ก็ตาย ผู้ที่จะขับร้องบทเพลงแห่งวิญญาณนั้นจะต้องมีคริสตัลรูปหยดน้ำติดตัวมาด้วยตั้งแต่เด็กและจะต้องมีพลังแห่งความมืดที่มหาสารสิงสถิตอยู่ด้วย  ตามเดิมแล้วคริสตัลนี้มีสีประกายรุ้งสวยงามจึงถูกเรียกว่าออโรร่าเรนโบว์คริสตัล ว่ากันว่าเจ้านี้นะสามารถทำให้คำขอของผู้ครอบครองปราถนาได้แต่เมื่อหลายร้อยปีก่อนหน้านี้เจ้าคริสตัลนี้ได้ถูกผู้นำตระกูลที่ถูกสาปรุ่นสุดท้ายแยกส่วนออกเป็น5ส่วน ปัจจุบันชิ้นส่วน1ใน5อยู่กับลูกสาวของข้า ส่วนที่2อยู่กับผู้สืบทอดสายเลือดของผู้นำตระกูลที่ถูกสาป และอีก3ส่วนที่เหลือนั้นยังหาเบาะแสไม่ได้เลยว่ากระจายไปอยู่ที่ไหน’’

      ‘’ข้าขอถามอะไรสักนิดนึงนะขอรับองค์ราชา งั้นก็แสดงว่าอีกไม่กี่วันนี้ที่จะครบกำหนด1อาทิตย์คงจะต้องเลื่อนไปอีกสินะ’’แบล็คพูดพร้อมกับยกมือขวาขึ้นเพื่อถามวาลฮาฟ

      ‘’ใช่ เพราะยังต้องหาให้ครบถ้าหากแย่งชิงมาครบ5ส่วนแล้วพลังที่จะครอบครองโลกทั้งใบก็อยู่แค่เอื้อมแล้วเอาละเลิกประชุมได้เอเรียสตามข้ามาก่อน ส่วนที่เหลือแยกย้ายกันไปฝึกกันให้เต็มที่ก่อนแล้วข้าจะเรียกรวมตัวใหม่กันอีกรอบ’’

      ‘’yes! My majesty king!’’ทุกคนในห้องประชุมกล่าวคำรับคำสั่งแล้วก็ค่อยๆตัวตัวไปทีละคนเหลือแต่เอเรียสที่กำลังเดินตามวาลฮาฟออกจากห้องประชุมไป ในขณะที่พวกวาลฮาฟกำลังเดินมาที่ห้องของเรร่า เรร่าก็กำลังนั่งมองรูปถ่ายของเธอที่ถ่ายคู่กับวาลฮาฟ

      ‘’นางฟ้าตัวน้อยๆของพ่อจ๋า!!! พ่อกลับมาแล้วจ้ะ!’’วาลฮาฟรีบเปิดประตูเข้าห้องของเรร่าแล้ววิ่งเข้าไปสวมกอดเรร่า

      ‘’อ๊ายยย!!อย่ามาแตะต้องตัวฉันนะเจ้าคนโรคจิต อาว!ปะ ปะป๋า!เองหรอค่ะ’’เรร่าตกใจมากที่จู่ๆวาลฮาฟวิ่งเข้ามาสวมกอดทำให้เธอเพลอชกเสยคางวาลฮาฟจนกระเด็นหงายท้องลงกับพื้นไปเลย

      ‘’เอิ่ม...เจ้านายเป็นอะไรรึเปล่าค่ะ...=-=’’เอเรียสพูดพร้อมเดินพยุงตัววาลฮาฟขึ้นมา

      ‘’ปะป๋าละก็มากอดหนูแบบไม่ทันได้ตั้งตัวหนูก็ตกใจหมดเลยสิค่ะ=3=!’’เรร่าพูดด้วยน้ำเสียงที่โมโหเล็กน้อยพร้อมกับยืนกอดอกไปด้วย

      ‘’แฮะๆ พ่อขอโทษจ้ะที่หลังพ่อจะไม่ทำแบบนี้แล้วละ อ้อ!พ่อนะมีของฝากมาด้วยนะลูกเดินไปนั่งบนเตียงก่อนสิแล้วก็หลับตาด้วยนะ วาลฮาฟพูดพร้อมกับโดนเอเรียสพยุงขึ้นมา

      ‘’อะไรหรอค่ะปะป๋า?’’เรร่าทำหนาสงสัยแล้วก็เดินนั่งบนเตียงตามที่วาลฮาฟสั่งพร้อมกับหลับตา

      ‘’จง......ออกมา!!!’’วาลฮาฟพูดพร้อมกับเอามือล่วงเข้าไปในเสื้อคลุมมีขนสัตว์สีแดงตรงฮู้ดของเขาจากนั้นเขาก็หยิบตุ๊กตาโลมาตัวสีชมพูออกมาแล้วเอามาวางบนตักของเรร่า

      ‘’หืม?นี้มันตุ๊กตาปลาโลมาที่หนูชอบนี้! ขอบคุณนะค่ะปะป๋า~’’เรร่าลืมตาขึ้นมาแล้วมองไปที่ตักพร้อมกับยิ้มดีใจอย่างบอกไม่ถูกพร้อมกับถือตุ๊กตาปลาโลมาแล้วกระโดดกอดวาลฮาฟแน่น ในขณะที่เรร่ากับวาลฮาฟกำลังกอดกันนั้นเอเรียสก็ยืนดูพร้อมกับรู้สึกถึงความอบอุ่นในใจอีกครั้งหนึ่งแล้วคิดว่า*นี้นะหรือครอบครัว.....*

      ‘’พี่เอเรียสดูนี้สิค่ะปะป๋าเขาซื้อตุ๊กตาปลาโลมาสีชมพูมาด้วยน่ารักไหมค่ะ’’เรร่าปล่อยกอดจากวาลฮาฟแล้วเดินอุ้มตุ๊กตาปลาโลมาหาเอเรียสแล้วชูตุ๊กตาให้ดู

      ‘’ก็...น่ารักดีนะค่ะ น่ารักทั้งตุ๊กตาแล้วก็ตัวองค์หญิงเรร่าด้วยนะค่ะ’’เอเรียสพูดพร้อมกับยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือขวามาลูบหัวเรร่าเบาๆ

      ‘’โอ้...ไม่หน้าเชื่อเธอจะยิ้มได้นะเนี้ยเอเรียสข้าต้องไปเคลียร์เอกสารนิดหน่อยฝากดูแลเรร่าด้วยละ’’วาลฮาฟพูดพร้อมกับหันไปมองเอเรียสที่กำลังลูบหัวเรร่าแล้วเดินออกจากห้องของเรร่า

      ‘’ไงหนูวิโนน่าไม่ได้เจอกันนานยังสวยเหมือนเดิมเลยนะ’’เสียงของแบล็คที่กำเดินไปตามทางเดินแล้วไปเจอวิโนน่ากำลังยืนกอดอกพิงกำแพงเหมือนกำลังรออะไรสักอย่างอยู่

      ‘’ไงตาแก่แบล็ค....’’วิโนน่าพุดพร้อมกับเลิกกอดอกแล้วเดินไปหาแบล็ค

      ‘’แหม่ๆ~ทักกันแบบนี้เลยรึหนูวิโนน่าแต่ช่างเถอะ ข้ามีเรื่องจะถามเจ้าสักหน่อยนะช่วยตามข้ามาด้วยจะได้’’แบล็คพูดพร้อมกับมองตาของวิโนน่าแล้วใช้นิ้วเขียนบนอากาศเหมือนจะส่งซิกว่ามีคนกำลังแอบฟังอยู่หลังเสาที่3จากทางซ้ายข้างหลังข้า

      ‘’ได้สิ....’’วิโนน่าพูดพร้อมเดินไปพร้อมแบล็ค

      ‘’ชิ...ดันรู้ตัวซะได้แต่ไม่เป็นไรเอาแผนการใหม่ของข้าไปบอกองค์ราชาดีกว่า’’คนที่แอบซ่อนอยู่หลังเสาที่3จากทางซ้ายนั้นก็คือชิโดกิที่กำลังแบกหุ่นกระบอกชายที่มีความสูงประมาณ160เซนติเมตรและดูอายุประมาณ14ปี ผมสีน้ำเงิน ดวงตาสีแดง สวมชุดและหมวกที่มีขนนกสีแดงติดอยู่บนหมวกกัปตันโจรสลัดสีน้ำตาล สวมถุงมือสีขาวรองเท้าบูดสีดำและสวมสร้อยที่มีจี้เป็นรูปดาวสีเงิน ชิโดกิหายตัวไปในวงเวทย์สีเขียวพร้อมกับหุ่นกระบอกที่แบกอยู่ไปทันทีหลักจากที่พูดจบ

     ทางด้านวาลฮาฟที่กำลังนั่งพิงเก้าอี้ที่หันไปทางหน้าต่างหลังโต๊ะทำงานพร้อมกับมองท้องฟ้าไปด้วย

      ‘’องค์ราชา~ข้ามีแผนการเล็กๆน้อยๆมาบอกท่านเผื่อท่านจะถูกใจ’’ชิโดกิปรากฏตัวขึ้นมาจากวงเวทย์ของเขาพร้อมกับแบกหุ่นกระบอกมาด้วย

      ‘’เจ้านี้ก็เสียมารยาทจริงๆเลยนะชิโดกิหัดเคาะประตูก่อนเข้าห้องซะมั้งสิ....แต่ก็เอาเถอะ แผนการอะไรที่เจ้าจะมาบอกข้า’’วาลฮาฟพูดพร้อมกับหมุนเก้าอี้หันไปทางชิโดกิแล้วตั้งศอกขวาไว้บนโต๊ะแล้วเอาหน้าพิงมือขวา

      ‘’ข้านะนึกถึงเรื่องๆหนึ่งในอดีตของผู้สืบทอดสายเลือดตระกูลที่ถูกสาปได้ ไม่สิต้องเรียกว่าภรรยาข้ามากกว่า~ ข้าเลยคิดว่าจะใช้เด็กชายคนนี้เพื่อไปป่วนทางฝ่ายภรรยาสักหน่อยนะ’’ชิโดกิค่อยๆวางหุ่นกระบอกลงกับพื้นแล้วจากจากนั้นก็เกิดวงเวทย์สีเลือดบนอกของหุ่นกระบอกนั้นและหอกสีเลือดของชิโดกิก็ปรากฏมาอยู่ในมือขวาของชิโดกิในขณะนั้นวาลฮาฟก็จ้องมองหุ่นกระบอกกับชิโดกิว่าจะเกิดอะไรขึ้นและจากนั้นชิโดกิก็ได้เอ่ยคทาขึ้นมาว่า

      ‘’ดวงวิญญาณอันหม่นหมองของบุตรชายแห่งตระกูลอินฟีนีตี้ฮาร์ตผู้ที่เป็นน้องชายของอดีตผู้นำตระกูลอินฟีนีตี้เมื่อหลายพันปีก่อน....จงมาสถิตในหุ่นกระบอกนี้และจงรับใช้ข้า จงเชื่อฟังข้าแต่เพียงผู้เดียว!!!’’เมื่อชิโดกิเริ่มเอ่ยคทาอัญเชิญดวงวิญญาณก็มีออร่าสีดำครอบคลุมตัวหุ่นกระบอกจากนั้นชิโดกิก็กัดนิ้วชี้ของตัวเองจนเลือดออกหยดลงบนวงเวทย์ตรงกลางอกของหุ่นจากนั้นก็ใช้หอกแทงเข้าที่กลางอกของหุ่นแล้วดึงหอกออกมา วงเวทย์สีเลือดบนอกของหุ่นก็หายไปมือของหุ่นกระบอกนั้นก็ค่อยๆขยับ ผิวของหุ่นก็ค่อยๆเหมือนมนุษย์มากขึ้นและลุกขึ้นมายืนต่อหน้าวาลฮาฟและชิโดกิ

     ‘’โอ้~...’’วาลฮาฟอึ้งเล็กน้อยพร้อมกับมองหุ่นกระบอกที่อยู่ตรงหน้า

     ‘’เอาละนำตัวกับท่านองค์ราชาหน่อยสิทาสผู้ซื่อสัตย์ของข้า~’’ชิโดกิพูดพร้อมใช้มือทั้ง2จับที่ไหล่ของหุ่นกระบอกนี้แล้วกระซิบข้างหูของหุ่น

     ‘’ข้าคือ....คือบุตรชายแห่งตระกูลอินฟีนีตี้ฮาร์ตและเป็นน้องชายของอดีตผู้นำตระกูลเมื่อหลายพันปีก่อนชื่อเนปจี อินฟีนีตี้ฮาร์ต....ขอรับ’’หุ่นกระบอกได้เอ่ยนามของตนตามที่ชิโดกิบอกพร้อมกับมองใบหน้าของวาลฮาฟก่อนที่จะโค้งคำนับ

     ‘’เจ้าจะใช้เด็กคนนี้ไปป่วนเจ้าพวกนั้นจริงๆรึ’’วาลฮาฟพูดพร้อมกับมองเนปจีแล้วหันไปมองชิโดกิ

     ‘’ก็จริงสิครับ~ ภรรยาข้านะมีนิสัยที่จะไม่ทำร้ายคนในครอบครัวหรือคนสำคัญเด็ดขาดถ้าไม่จำเป็นจริงๆโดยเฉพาะถ้าเป็นน้องชายแท้ๆของเธอแล้วละก็~ หึหึหึ’’ชิโดกิพูดแล้วก็กลั้นขำเล็กน้อย

     ‘’งั้นรึ ข้าจะคอยดูผลงานเจ้าก็แล้วกันไปได้แล้ว’’วาลฮาฟพูดพร้อมกับหันเก้าอี้กับไปทิศเดิม

     ‘’ครับๆ~’’ชิโดกิพูดจบแล้วหายตัวลงไปในวงเวทย์สีเขียวพร้อมๆกับเนปจี

     ‘’อีกในไม่ช้าครอบครัวของพวกเราก็จะกลับมาอยู่ครบกันเหมือนเดิมแล้วนะไซเรน...’’วาลฮาฟพูดพร้อมกับหันไปหยิบกรอบรูปของวาลฮาฟ เรร่า และผู้หญิงผมสีขาวดวงตาสีแดงอ่อนสวมชุดกระโปรงสีขาวที่ชื่อไซเรนแล้วมองดูรูปนั้นอยู่สักพักจากนั้นก็มีควันสีดำลอยออกมาจากเงาของวาลฮาฟแล้วก่อตัวเป็นในลักษณะมนุษย์เพศชาย ผมยาวถึงบ่าสีเทา ดวงตาสีแดง สวมชุดคล้ายชุดพวกเทวดาสีดำในกรีก มีกำไลทองอยู่ที่ข้อมือของชายคนนั้นทั้ง2ข้าง กำลังยืนแสยะยิ้มอยู่ข้างหลังก่อนจะพูดกระซิบข้างหูของวาลฮาฟว่า

     ‘’ความฝันของเจ้ากับความฝันของข้ากำลังจะเป็นจริงแล้ว~~’’หลังจากชายคนนี้พูดจบก็สลายตัวกลับไปเป็นควันสีดำลอยเข้าไปสิงในตัววาลฮาฟ

               -ทางด้านแบล็คกับวิโนน่าที่เดินจนมาถึงหน้าห้องที่เอเรียสเคยอยู่-

     ‘’แล้วเจ้าจะถามข้าเรื่องอะไรงั้นรึแบล็ค.....’’วิโนน่าพูดพร้อมกับเดินไปยินกอดอกพิงกำแพง

     ‘’พอดีข้านะรู้สึกว่าพลังของเอเรียสนะเริ่มไม่เสถียรพอที่จะจองจำแพนโดร่าไว้ในหัวใจของเอเรียสได้นะสิ ข้าเลยคิดว่าอีกไม่นานพลังของทั้ง2คนอาจจะต่อต้านกันแล้วทำให้แยกออกจากกันนะ เจ้าคิดว่าไงละ?’’แบล็คพูดพร้อมทำท่าทางคิดไปด้วย

     ‘’สิ่งที่เจ้าคิดนะอาจจะเป็นจริงก็ได้นะ....ยกตัวอย่างเช่นพลังของเอเรียสเป็นขั้วลบส่วนพลังของแพนโดร่าเป็นขั้วบวก ซึ่งถ้าขั้วต่างกันก็จะดึงดูดกันใช่ไหมและแต่ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกลายเป็นขั้วเดียวกันก็จะเกิดการต่อต้านยังไงละ’’

     ‘’งั้นก็แสดงว่าเอเรียสเริ่มจะมีพลังด้านบวกของแพนโดร่าไหลเข้ามาแล้วสินะ’’

     ‘’อื้ม.....ถ้ามีธุระแค่นี้แล้วข้าขอตัวไปก่อนละ...’’หลังจากที่วิโนน่าพูดเสร็จก็สลายตัวกลายเป็นไอเย็นลอยหายไปในทันที

     ‘’เฮ้อ....จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้กันนะ’’แบล็คถอนหายใจเล็กน้อยพร้อมกับเดินกลับไปยังห้องพักของตน

                  ทางด้านพวกเรน เกียร์ เอมี่ เอเลนและแมร์รี่กับคิระ อัลทีมิส เบอร์มิวด้าที่กำลังนั่งอยู่ในห้องรักษาตัวเพื่อดูอาการของพลูเทีย คุโระและไกอาร์บรรยากาศในห้องนั้นเงียบมากและทุกคนก็มีสีหน้าไม่ค่อยดีสักเท่าไร

     ‘’คุณหนูขอรับ....อย่าเป็นอะไรไปเลยนะครับ...ถ้าไม่มีคุณหนูแล้วพวกเราจะทำยังไงกันละครับ....’’เสียงของอัลทีมิสที่กำลังสั่นเพราะร้องไห้พร้อมกับนั่งกุมมือซ้ายของพลูเทียไว้แน่นอยู่ข้างๆเตียง ส่วนคิระนั้นก็ยืนมองหน้าของพลูเทียด้วยสีหน้าที่นิ่ง

     ‘’อะ...โอ้ย...เจ็บชมัด ’’ 

     ‘’นั้นสิเมี้ยว~...’’เสียงของคุโระกับไกอาร์ที่ค่อยๆฟื้นขึ้นมาแล้วพยายามจะลุก

     ‘’โอ๊ะ!! ท่านคุโระกับท่านไกอาร์ตื่นแล้ว’’เบอร์มิวด้าพูดออกมาด้วยความดีใจ

     ‘’ดีจังที่ไกอาร์ไม่เป็นอะไร!’’เอมี่รีบเข้าไปกอดไกอาร์ทันที

     ‘’คุณคุโระกับคุณไกอาร์อาการเป็นยังไงบ้างครับ’’เรนเดินเข้าไปถามทั้ง2

     ‘’พวกข้าอาการดีขึ้นแล้ว...เพราะพลูเทียเธอส่งพลังชีวิต80%ของเธอมาให้กับพวกข้าทั้ง2...ทำให้อาการบาดเจ็บทั้งหมดหายเป็นปลิดทิ้งไปแล้วละ...’’คุโระพูดพร้อมกับก้มหน้า

     ‘’เฮ้อ.....’’คิระเอามือล้วงกระเป๋าเสื้อคลุมของเขาก่อนจะเดินออกจากห้องไป

     ‘’ท่านคิระจะไปไหนหรือขอรับ’’อัลทีมิสหันไปถามคิระที่กำลังจะเดินออกจากห้อง

     ‘’ไปสูดอากาศข้างนอกเดี๋ยวมา...’’คิระพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งๆก่อนจะเดินออกไป

     ‘’ท่านคิระจะไปไหนรึครับ? แล้วคุณหนูของพวกเราอาการเป็นยังไงบ้างครับ’’เสียงของฮาโอที่เดินนำพวกโลกิ ดราโก้ ธันเดอร์ เซโร่ ออโรร่า ดาร์กเนสและโนเอลร่าผ่านมาเจอคิระพอดี

     ‘’ข้าจะไปสูดอากาศนอกบ้านซะหน่อย ส่วนอาการของทั้ง3คนคุโระกับไกอาร์อาการบาดเจ็บทั้งหมดหายแล้วละเพราะพลูเทียแบ่งพลังชีวิต80%ของเธอให้กับทั้ง2...พลูเทียยังไม่ฟื้น..’’พูดจบคิระก็เดินเอามือล้วงกระเป๋าเสื้อคลุมผ่านพวกโลกิไปแต่ในขณะที่คิระกำลังเดินไปนั้นคิระก็แอบกำมือแน่นและกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ

*ก๊อกๆ*

     ‘’ขออนุญาตเข้าไปนะขอรับ’’เสียงของฮาโอที่เคาะประตูก่อนจะเปิดประตูห้องเข้าไปพร้อมๆกับพวกโลกิ ดราโก้ ธันเดอร์ เซโร่ ออโรร่า ดาร์กเนสและโนเอลร่า

     ‘’เป็นยังไงบ้างคุโระ...’’ออโรร่ารีบเดินเข้าไปหาคุโระที่เตียงพร้อมกับลูบหัวคุโระเบาๆ

     ‘’ข้าไม่เป็นอะไรแล้วละ..’’

     ‘’ท่านพี่ไกอาร์ๆ!อาการเป็นไงบ้างขอรับ’’ธันเดอร์พูดพร้อมกับเดินมานั่งที่ปลายเตียงที่ไกอาร์

     ‘’พี่ไม่เป็นอะไรแล้วละจ้ะ’’ไกอาร์ยิ้มให้กับธันเดอร์

     ‘’เอาน่าอัลทีมิสคุณหนูของพวกเราเจอแผลแค่นี้คุณหนูไม่เป็นอะไรหรอกเชื่อข้าสิ’’โลกิเดินมาจับไหล่ซ้ายของอัลทีมิสพร้อมกับพูดปลอบใจ

     ‘’ใช่แล้วละ ถ้าพวกเราเชื่อมั่นในตัวคุณหนู…’’

     ‘’เหมือนที่คุณหนูเชื่อมั่นในตัวพวกเราคุณหนูจะต้องไม่เป็นอะไรแน่’’ดาร์กเนสกับโนเอลร่าก็มาพูดเสริมเพื่อปลอบใจอัลทีมิส

     ‘’แล้วพลังในการักษาของพวกนายไม่มีอย่างงั้นรึ’’เอเลนยืนกอดอกพิงกำแพงถามพวกอัลทีมิส

     ‘’พวกข้านะ...ไม่มีพลังในการักษาหรอกนอกจากคุณหนูพลูเทีย คุณหนูคุโระ คุณหนูไกอาร์ เบอร์มิวด้าและคุณคิรันที่มี’’เซโร่หันไปพูดตอบเอเลน

     ‘’พวกข้ามีแต่พลังในการโจมตีในการป้องกันและในการเพิ่มความเร็วเท่านั้นนะ’’ดราโก้ก็หันไปพูดเสริมให้เซโร่

     ‘’อ้อ!จริงสิ ว่าแต่คุณอัลทีมิสผู้ชายที่ชื่อคิระนี้คือ---‘’ในขณะที่เอมี่กำลังเดินไปถามอัลทีมิสนั้น อัลทีมิสก็พูดแทรกขึ้นว่า

     ‘’ท่านคิระเป็นคนช่วยชีวิตแลคอยดูแลคุณหนูพลูเทียตั้งแต่ตอนเด็กๆก่อนที่คุณหนูจะมาเจอข้านะ...หรือเรียกงสั้นก็ประมาณพ่อบุญทำนะ...’’

     ‘’เอาละ!ในเมื่อทุกคนทำหน้าเศร้ากันแบบนี้งั้นข้าจะไปทำพายแอปเปิ้ลอร่อยๆให้ทานละกันนะ’’เสียงของคิสึรันที่เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับมีคิรันยืนอยู่ข้างๆ

     ‘’เดี๋ยวข้าจะเฝ้าพวกพลูเทียให้เองนะ อัลทีมิสนายไปพักบ้างเถอะ’’คิรันพูดพร้อมกับยิ้มและกระดิกหูจิ้งจอกของเธอเล็กน้อย

     ‘’ตะ...แต่ว่าข้าไม่อยากห่างจากคุณหนูนะ’’

     ‘’เอาเถอะน่าๆ!’’

     ‘’นายนะหัดพักซะบ้างสิ’’ฮาโอกับโลกิเดินเข้ามากอดคออัลทีมิสพร้อมกับลากอัลทีมิสออกจากห้องไป

     ‘’งั้นพวกเราขอฝากคุณพลูเทียด้วยนะครับคุณคิรัน’’เรนเดินมาพูดฝากพลูเทียกับคิรันก่อนจะเดินตามพวกที่เหลือไปที่ห้องอาหาร แต่ในขณะที่เรนกำลังจะเดินออกไปนั้นคิรันก็ได้พูดว่า

     ‘’เรน ถึงนายในตอนนี้จะยังไม่รู้สึกถึงพลังของตัวเอง แต่ถ้านายปราถนาที่จะปกป้องใครสักคนละก็พลังของนายก็จะตื่นขึ้นมาอย่างแน่นอน ‘’

     ‘’ปรารถนาที่จะปกป้องใครสักคนงั้นหรอครับ...’’เรนพูดพลางมองมือขวาของตนและนึกถึงตอนที่ตัวเองไปช่วยพลูเทียก่อนจะเดินออกจากห้องไป    ทางด้านคิระนั้นที่กำลังเดินมานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกอยู่ที่หลังบ้านของพลูเทียและมีดอกกุหลาบสีแดงสดปลูกไว้อยู่รอบๆบริเวรนั้น

     ‘’รู้ทั้งรู้ว่าพลังชีวิตเหลือเต็มทีแล้วถ้าขืนแบ่งพลังชีวิตของตัวเองเกิน70%ไป....ก็อาจจะหลับไปอย่างยาวนานแท้ๆ...ยัยลูกบ้าบอกกี่ครั้งก็ไม่เคยฟัง...’’คิระเงยหน้ามองท้องฟ้าพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะโกรธ

     ‘’เอาน่าๆ~…..นายก็หน้าจะรู้นี้ว่ายัยนั้นนะชอบฟื้นตัวเองมาตั้งไหนแต่ไรแล้ว...นายก็เคยใช้วิธีนี้ช่วยชีวิตพลูเทียไม่ใช่รึไง’’เสียงของผู้หญิงอายุประมาณ25ปีมัดผมไว้ข้างซ้ายมือของเธอสีดำสนิทและผมยาวพอๆกับผมของพลูเทีย เนื้อตาสีดำสนิทนัยต์ตาสีแดงฉานเหมือนสีเพลิง สูงประมาณ170เซนติเมตร สวมเสื้อกล้ามสีม่วงไว้ข้างในส่วนเสื้อนอกเป็นเสื้อคลุมแขนและชายเสื้อยาวสีดำมีฮู้ดและมีขนนกสีม่วงอยู่รอบๆฮู้ด ปลายแขนเสื้อและชายเสื้อคลุม กางเกงขาสั้นสีดำ สวมรองเท้าบูทหนังสีน้ำตาล ขาข้างซ้ายและขวานั้นมีมีดสั้นเก็บไว้ฝักที่ติดกับเข็มขัดขนาดเล็กที่รัดกับขาทั้ง2ข้างไว้ และยังมีใบหน้าและสัดส่วนร่างกายที่คล้ายกับพลูเทียมากต่างกันแค่ไม่มีหูกับหางแมวและความสูงยืนกอดอกพิงหลังต้นไม้

     ‘’เจ้าออกมาจากร่างพลูเทียทำไม...คุโระกิ’’คิระพูดพร้อมกับลุกขึ้นและเดินไปหาผู้หญิงที่คิระเอ่ยชื่อมา

 ‘’แหม่~อยู่ในร่างของยัยนั้นนานๆข้าก็เบื่อนะสิเลยถือโอกาศที่พลังของยัยพลูเทียยังไม่เสถียรออกมาข้างนอกเพื่อที่จะมาสู้กับนายยังไงละ’’คุโระกิพูดพร้อมกับยืนเอามือไพ่หลังแล้วยิ้มไปด้วย

     ‘’ถ้าเจ้าอยากจะออกมาเพราะอยากสู้กับข้า...เจ้าคงปามีดสั้น2เล่มนั้นมาตั้งแรกแล้วละ...เจ้าต้องการอะไรจากข้าบอกมา’’คิระมองคุโระกิด้วยสีหน้าที่จริงจัง

     ‘’ข้านะไม่ได้ต้องการอะไรหรอกนะ~~แต่ว่าอยากจะมาบอกว่าระวังตัวไว้ให้ดีเพราะข้ารู้ถึงอันตรายบางอย่างกำลังจะเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ทุกๆที...ไม่แน่ว่าเหตุการณ์บทเพลงแห่งวิญญาณอาจจะหวนคือกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งก็ได้นะ’’คุโระกิพูดพร้อมกับกลับไปยืนกอดอกพิงต้นไม้เหมือนเดิมแล้วเงยมองนกสีฟ้า2ตัวที่กำลังบินมาเกาะอยู่บนกิ่งไม้

     ‘’งั้นหรอ..’’คิระพูดจบก็เดินกลับเข้าไปในบ้านของพลุเทียพร้อมกับเอามือล้วงกระเป๋าเสื้อคลุม เมื่อคิระเดินไปได้สักพักคุโระกิก็ตะโกนพูดว่า

     ‘’อ้อ! นี้คิระนายนะอย่าลืมอธิบายเรื่องออโรร่าเรนโบว์คริสตัลให้กับเจ้าพวกคนในบ้านทุกคนด้วยละ!’’คุโระกิตะโกนบอกจบก็สลายตัวหายไปพร้อมกับขนนกสีดำ ทางด้านพวกเรนและพวกอัลทีมิสนั้นที่กำลังนั่งทานพายแอปเปิ้ลที่คิสึรันทำ

     ‘’สุดยอด!! อร่อยสุดๆไปเลย’’เอมี่กับแมร์รี่พูดพร้อมๆกันด้วยน้ำเสียงที่ดีใจสุดๆ

     ‘’นั้นสิ อร่อยกว่าที่ผมเคยทำเลยนะเนี้ย’’เกียร์พูดออกมาด้วยความตะลึงเล็กน้อยเพราะความอร่อย

     ‘’เอาอีกๆๆๆ>w<’’ไกอาร์กับดราโก้และธันเดอร์ตะโกนขอพายอีก

     ‘’ไกอาร์เธอก็หัดเงียบๆหน่อยสิย่ะ....= =’’คุโระกับออโรร่าหันไปพูดตักเตือนไกอาร์กับดราโก้และธันเดอร์ที่กำลังตะโกนขอพายจากคิสึรัน

     ‘’รสชาติก็งั้นๆละนะ ขออีก’’เอเลนพูดไปแล้วทานพายแอปเปิ้ลหมดอย่างรวดเร็ว

     ‘’เจ้านี้ปากไม่ตรงกับใจเลยนะเอเลน- - ‘’อัลทีมิสเดินมารินน้ำชาเอิร์ลเกรย์ให้กับทุกๆคนพร้อมกับหันไปพูดกับเอเลน

     ‘’คุณเรนทำไมคุณไม่ทานพายของท่านคิสึรันละค่ะ?’’เบอร์มิวด้าหันไปถามเรนที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่หลังจากป้อนพายให้เซโร่

     ‘’นั้นสิๆ พายออกจะอร่อยขนาดนี้’’ดาร์กเนสพูดจบก็ตักพายแล้วทานพายเข้าไปทั้งชิ้นทันที

     ‘’นายลองทานสิเรน อร่อยนะ’’เกียร์หันไปมองเรนตามเสียงของอัลทีมิสที่ถามเรน

     ‘’อะ...อื้ม  โอ๊ะ!อร่อยแหะ’’เรนหั่นพายเป็นชิ้นพอดีคำและตักเข้าปากไปจากนั้นเรนก็อุทานออกมาเพราะรสชาติของพาย

     ‘’ยังไงคิสึรันก็ทำพายได้อร่อยที่สุดแล้วละนะ~’’โนเอลร่าพูดแล้วยกถ้วยชาขึ้นมาเพื่อที่จะดื่มชา

     ‘’เมื่อกี้นายทำหน้าเหม่อๆนี้เป็นอะไรรึเปล่านะ’’คิสึรันเดินไปจับไหล่ขวาของเรนแล้วพูดถาม

     ‘’ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับคุณคิสึรัน แต่ผมแค่นึกถึงคำพูดของคุณคิรันที่พูดกับผมก่อนผมจะเดินออกมาจากห้องนะครับ’’เรนหันไปเงยมองคิสึรันทันทีที่โดนจับไหล่ขวาของตน

     ‘’คิรันพูดอะไรกับนายงั้นรึ?’’คิสึรันทำหน้าสงสัยพร้อมกับถามเรน

     ‘’คุณคิรันธอบอกกับผมว่า ถึงตัวผมในตอนนี้จะยังไม่รู้สึกถึงพลังของตัวเอง แต่ถ้าผมคิดที่จะปราถนาปกป้องใครสักคนละก็พลังของผมก็จะตื่นขึ้นมานะครับ’’ในตอนที่เรนพูดจบนั้นก็มีเสียงของคิระพูดขึ้นมาว่า

     ‘’ทุกๆคนตามมาที่ห้องนั่งเล่นด้วยข้ามีเรื่องที่จะต้องเล่าให้พวกเจ้าฟัง’’คิระพูดจบก็เดินนำพวกเรนและพวกอัลทีมิสไปทันที เมื่อทุกๆคนเดินมาถึงห้องนั่งเล่นแล้วต่างคนก้นั่งบนโซฟาแต่ละตัวที่มี

     ‘’ท่านคิระขอรับเรื่องที่จะมาเล่าให้พวกกระผมฟังนี้เป็นเรื่องออะไรหรอขอรับ’’อัลทีมิสยกมือขวาขึ้นมาก่อนจะเอ่ยถามคิระ

     ‘’ก่อนจะพูดเรื่องที่ข้าจะเล่าให้ฟังข้าขอแนะนำตัวกับพวกมนุษย์และถามชื่อก่อน ข้าคิระเป็นพ่อบุญทำของพลูเทีย แล้วเจ้าพวกมนุษย์ละชื่ออะไรกันบ้าง’’คิระกอดอกพร้อมกับพูดแนะนำตัวแล้วถามชื่อพวกเรน

     ‘’ผมเรน เอเทนอลฮาร์ตครับ’’

     ‘’ผมเกียร์ ออลาเกียร์’’

     ‘’ฉันเอมี่ ไวโอฮาร์ตค่ะ’’

     ‘’กระผมเอเลน ครอสครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ’’

     ‘’ฉันแมร์รี่ อีวิลสปีริตค่ะ จริงๆฉันเป็นวิญญาณแต่ที่อยู่ในสภาพร่างมนุษย์ได้ก็เพราะทำพันธสัญญากับเอเลนะนะค่ะคุณคิระ’’

     ‘’งั้นหรอ แสดงว่าพวกเจ้าคือผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของ7ตระกูลใหญ่สินะ’’

     ‘’ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของ7ตระกูลใหญ่หรอค่ะ?’’แมร์รี่พูดพร้อมกับทำหน้าสงสัย

     ‘’เรื่องของ7ตระกูลใหญ่นี้จำได้ว่าคุณพ่อของฉันเคยเล่านิทานให้ตอนฉันยังเด็กๆว่า7ตระกูลใหญ่นี้เป็นผู้ที่เคยช่วยเหลือของอาณาจักรเซเว่นคัลเลอร์คิงด้อมที่พวกเราอาศัยอยู่ให้พ้นภัยจากพลังความมืดและปีศาจจนผ่านไปนับหลายปีผู้คนก็ค่อยๆลืมเลือนประวัติของ7ตระกูลใหญ่ไปจนหมด’’เอมี่กอดอกพลางนึกย้อนไปถึงตอนสมัยเด็กที่แบล็คเคยนั่งเล่าเรื่องของ7ตระกูลใหญ่

     ‘’ตระกูลเอเทนอลฮาร์ต ตระกูลอินฟีนีตี้ฮาร์ต ตระกูลไวโอฮาร์ต ตระกูลออลาเกียร์ ตระกูลครอส ตระกูลอีวิลสปีริต และตระกูลดาร์กออโรร่า 7ตระกูลนี้เป็น7ตระกูลที่ถูกผนึกพลังศักสิทธิ์เพื่อปกป้องอาณาจักรจากสิ่งชั่วร้าย ซึ่งเรื่องที่จะข้าต้องเล่าให้พวกเจ้าฟังนะพวกเจ้าคงพอจะรู้จักตำนานออโรร่าเรนโบว์คริสตัลสินะ’’คิระพูดพร้อมกับดีดนิ้วทำให้เกิดไฟสีดำในลักษณะสี่เหลี่ยมพื้นผ้าแล้วปรากฏภาพคริสตัลลักษณะเป็นรูปดาว5แฉกมีแสงสีรุ้งเปล่งประกายออกมา

     ‘’ก็พอจะรู้จักนะครับเพราะตำนานออโรร่าเรนโบว์คริสตัลนะเป็นตำนานประจำอาณาจักรเลยนะครับ ว่ากันว่าคริสตัลนี้นะมีลักษณะเป็นรูปดาว5แฉกมีพลังที่มหาสารมากและมีแสงสีรุ้งเปล่งประกายตลอดเวลาจนได้ชื่อว่าออโรร่าเรนโบว์คริสตัลและสามารถขอพรอะไรก็ได้สำหรับคนที่ครอบครองคริสตัลนี้แต่ถว่าก็ต้องแลกกับสิ่งสำคัญที่สุดด้วยเช่นกัน แต่คริสตัลนั้นก็ถูกใครคนนึงใช้พลังแยกคริสตัลออกเป็น5ส่วนทำให้คริสตัลนั้นกลายเป็นสีดำและกระจัดกระจายไปในดินแดนใดสักดินแดนนึงใน7ดินแดนในอาณาจักรนี้แหละ’’เกียร์พูดขึ้นเสริมแต่เมื่อเกียร์พูดจบนั้นคิระก็พูดขึ้นว่า

     ‘’ข้านี้แหละ...ที่เป็นคนแยกคริสตัลนั้นออกเป็น5ส่วนนะ เพื่อไม่ให้เรื่องในวันนั้นมันไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก... ถ้าคริสตัลนี้ไปอยู่ในมือคนชั่วคริสตัลนั้นก็จะมีพลังชั่วร้ายที่มหาสารถูกปล่อยออกมา....แต่ถ้ามาอยู่ในมือของผู้ที่มีพลังศักสิทธิ์อย่างพวกเจ้าละก็คริสตัลก็จะปลดปล่อยพลังแห่งสวรรค์ออกมา....แต่ว่าผู้ที่จะครอบครองได้จะต้องเป็นคนที่คริสตัลเลือกเพียงคนเดียวเท่านั้น ข้ารู้แค่ว่าส่วนหนึ่งอยู่ที่ปลอกคอของพลูเทียลูกสาวข้า อีก4ส่วนนั้นข้าไม่รู้ว่าอยู่ไหน แต่ถ้าหนึ่งในชิ้นส่วนของคริสตัลอยู่ใกล้ๆละก็คริสตัลจะเปล่งแสงเพื่อเรียกหากันและกัน’’

     ‘’เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องได้รับการฝึกใช้พลังและฝึกฝีมือในการต่อสู้โดยพวกอัลทีมิสเพื่อเตรียมรับมือกับทุกสถานการณ์ยกเว้นเบอร์มิวด้าเธอก็ต้องมาฝึกด้วยนะ เพราะฉะนั้นเอเลนกับแมร์รี่จะได้ฝึกกับคุโระ ดราโก้ คิสึรันและโนเอลร่า ส่วนเกียร์กับเอมี่จะได้ฝึกกับไกอาร์ ธันเดอร์ เซโร่และดาร์กเนส และสุดท้ายเรนและเบอร์มิวด้าจะได้ฝึกกับ อัลทีมิส ออโรร่า ฮาโอ โลกิและข้า’’คิระยืนขึ้นและก็ปรากฏภาพภาพกลุ่มฝึกของเอเลนกับแมร์รี่ขึ้นในไฟสีดำในลักษณะสี่เหลี่ยมพื้นผ้าที่คิระสร้างขึ้นต่อมาก็ปรากฏภาพกลุ่มฝึกของเกียร์กับเอมี่แล้วสุดท้ายก็ปรากฏภาพกลุ่มฝึกของเรนและเบอร์มิวด้า

     ‘’เดี๋ยวก่อนนะค่ะท่านคิระ ทำไมกลุ่มฝึกของหนูกับคุณเรนถึงมีคนฝึกเยอะจังค่ะ=[]=’’เบอร์ยกมือขวาขึ้นก่อนที่จะเอ่ยถามคิระ

     ‘’จะจัดให้พอดีมันก็ไม่ได้เพราะคนไม่พอก็เลยเหลือเศษนี้แหละ แล้วก็เบอร์มิวด้าเธอนะยังควบคุมพลังครึ่งนึงของตัวเองไม่ได้เลยไม่ใช่รึ และเรน...พลังของนายนะยังหลับใหลอยู่จึงต้องให้ข้าอัลทีมิส ออโรร่า ฮาโอ และโลกิซึ่งรู้วิธีที่จะปลุกพลังได้ดีที่สุดฝึกให้ยังไง’’คิระหันไปพูดตอบเบอร์มิวด้าแล้วหันไปพูดกับเรน

     ‘’แล้วจะเริ่มฝึกกันตอนไหนหรอครับคุณคิระ?’’เอเลนยกมือขวาขึ้นหลังจากที่คิระพูดจบและพูดถามคิระ

     ‘’กลุ่มฝึกของเอเลนกับแมร์รี่เริ่มฝึกตั้งแต่พรุ่งนี้ วันต่อมาเกียร์กับเอมี่ก็ฝึกต่อจากกลุ่มของเอเลน และวันต่อมาเรนกับเบอร์มิวด้าก็ฝึกต่อจากกลุ่มของเกียร์ แล้วเวียนกันฝึกคนละวันไปเรื่อยๆจนจบหลักสูตรการฝึกของแต่ละกลุ่ม ซึ่งสถานที่การฝึกนะข้าจะให้พวกเจ้าไปฝึกกันที่ป่าที่นอกมิตินี้แหละข้าเตรียมสถานฝึกไว้ให้แล้วเดี๋ยวจะนำทางไปให้รีบตามมาละกัน’’คิระพูดจบปุ๊บก็เดินออกจากห้องนั่งเล่นนำทางพวกเรนและพวกอัลทีมิสไปยังสถานที่ฝึก พอออกมานอกมิติและทุกคนเดินมาได้สักพักแล้วคิสึรันก็เดินไปกระซิบถามคิระว่า

     ‘’ท่านคิระครับแล้วแบบนี้พวกศัตรูจะไม่รู้ที่อยู่สถานที่การฝึกของพวกเราหรอครับ’’

     ‘’อาจจะไม่รู้ก็ได้เพราะว่าข้าได้ใช้พลังส่วนหนึ่งอำพลางไว้ให้เห็นบริเวณนั้นเป็นป่าปกตินะ ถึงแล้วละ’’คิระกระซิบตอบไปด้วยพร้อมกับเดินนำต่อจนมาถึงสถานที่ฝึกซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบอยู่และตรงใจกลางนั้นเป็นลานกว้างประมาณ3กิโลเมตรด้านหลังของลานกว้างนั้นมีบ่อน้ำขนาดใหญ่อยู่

     ‘’โอ้โห!!=0=’’พวกเรน เกียร์ เอเลนเอมี่และแมร์รี่ต่างอุทานออกมาด้วยความอึ้งเพราะความกว้างของลานฝึก

     ‘’ที่นี้จะเป็นลานฝึกของพวกเจ้าและข้าจะมาคอยดูทุกวันของการฝึกของทุกๆคน เท่าที่ข้าสัมผัสถึงพลังของพวกเจ้าได้นอกเหนือจากข้าและพลูเทียที่มีพลังของ1ใน7พลังมังกรคนยังมีอีกด้วยนะเนี้ย’’คิระหันไปพูดกับทุกคนแล้วหันไปจ้องที่เอเลน

     ‘’คุณคิระนี้รู้ดีจริงๆเลยนะครับ ใช่แล้วละกระผมนะมีพลังของ1ใน7พลังมังกรซึ่งก็คือพลังของมังกรไฟแห่งความพิโรธ’’เอเลนพูดพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย

     ‘’แล้วพลังของพวกเจ้าละเป็นแบบไหนรึ?’’คิระหันกลับมาถามเกียร์ เอมี่ แมร์รี่และเรน

     ‘’ของผมรู้สึกจะเป็นพลังสร้างสิ่งมีชีวิตทั้งในน้ำและบนบกได้ยกเว้นมนุษย์ด้วยน้ำที่มีพลังเหมือนของจริงเกือบทุกอย่างจากเจ้าสัญญาลักษณ์รูปหยดน้ำที่มือผมนะครับถ้ามีน้ำก็สามารถจะสร้างได้จำนวนครั้งละมากๆได้แต่ถ้าไม่มีน้ำจะเรียกออกมาได้สูงสุดแค่2ตัวนะครับ’’เกียร์พูดพร้อมกับยกมือขวาแล้วปรากฏสัญญาลักษณ์รูปหยดน้ำที่หน้ามือให้คิระดู

     ‘’ของหนูเป็นพลังเรียกศาสตราวุธนะค่ะสามารถเรียกอาวุธที่มีอยู่จริงบนโลกนี้ออกมาใช้ได้จากสัญญาลักษณ์รูปหยินหยางนี้นะค่ะ’’เอมี่พูดพร้อมกับยกมือขวาแล้วปรากฏสัญญาลักษณ์รูปหยินหยางบนพลังมือให้คิระดูเช่นกัน

     ‘’ของหนูเป็นพลังควบคุมอุณหภูมิของวัตถุหรือส่วนต่างๆของร่างกายนะค่ะสามารถจะเพิ่มอุณหภูมิจนร้อนสุดๆหรือจะลดอุณหภูมิให้เย็นจนแข็งก็ได้ซึ่งตัวควบคุมพลังก็อยู่ที่สัญญาลักษณ์รูปไฟนะค่ะ’’แมร์รี่พูดพร้อมกับชี้ไปบนหน้าผากของตนแล้วปรากฏสัญญาลักษณ์รูปไฟบนหน้าผากของตน

     ‘’โห~พลังพวกเจ้าน่าสนใจดีแหะ เอาละรีบกลับกันเถอะก่อนที่จะมืดไปมากกว่านี้’’หลังจากคิระพูดจบทุกคนก็รีบเดินกลับไปเข้าไปในมิติเพื่อกลับไปบ้านของพลูเทีย

     ‘’กลับกันมาแล้วหรอทุกๆคนอาหารเย็นนะเตรียมเสร็จแล้วนะมาทานกันได้เลย ส่วนเรื่องเสื้อผ้าแหละห้องของพวกเรนข้าก็เตรียมไว้ให้แล้วละ’’เสียงของคิรันที่เปิดประตู้บ้านออกมาต้อนรับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

     ‘’เตรียมเสื้อผ้ากับห้องให้พวกเราด้วยงั้นหรอครับ ดีใจจังเลยเนอะทุกคน’’เรนพูดออกมาด้วยความดีใจสุดๆพร้อมกับหันไปพูดกับเอเลน เกียร์ เอมี่และแมร์รี่

     ‘’ใช่!!’’เอเลน เกียร์ เอมี่และแมร์รี่พูดเป็นเสียงเดียวกันด้วยความดีใจ

     ‘’ท่านพี่คิรันยิ้มแบบนั้นนี้มีเรื่องอะไรดีๆเกิดขึ้นหรอค่ะ’’เบอร์มิวด้ารีบวิ่งเข้าไปกระโดดกอดคิรันแล้วเงยหน้าถาม

     ‘’ก็พลูเทียนะอาการดีขึ้นจนพ้นขีดอันตรายแล้วละ!แต่ตอนนี้เธอยังหลับอยุ่ข้าเลยย้ายเธอให้ไปนอนในห้องของเธอ แต่ว่าอย่าพึ่งเข้าไปในห้องเธอละเพราะ---’’คิรันรับกอดเบอร์มิวด้าแล้วพูดด้วยความดีใจไม่ทันที่คิรันจะพูดจบคิระกับอัลทีมิสก็รีบวิ่งอย่างรวดเร็วไปยังไปยังห้องของพลูเทียจนพวกที่เหลือมองไม่ทัน

     ‘’ฮ่าๆ~สงสัยท่านพี่อัลทีมิสกับท่านคิระคงจะเป็นห่วงคุณหนูพลูเทียมากเลยนะนั้น’’ฮาโอพูดพลางขำเล็กน้อย

     ‘’แต่ก็ดีแล้วละนะที่พลูเทียจี้ปลอดภัยแล้ว ฉะนั้นมากินกันให้เต็มที่เลยกันเถอะเมี้ยว!’’ไกอาร์พูดพร้อมกับรีบวิ่งเข้าบ้านไปยังห้องทานอาหาร

     ‘’โอ้!!’’ทุกๆคนในที่นั้นพูดเป็นเสียงเดียงกันและรีบวิ่งตามไกอาร์ไป แต่ในขณะที่ทุกๆคนกำลังวิ่งไปนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความตกใจของอัลทีมิสกับคิระทำให้พวกคุโระ ไกอาร์ คิรัน เบอร์มิวด้า ฮาโอ โลกิ ดราโก้ ออโรร่า คิสึรัน เซโร่ ธันเดอร์ ดาร์กเนส และโนเอลร่ารีบวิ่งไปที่ห้องนอนของพลูเทียทันที

     ‘’เกิดอะไรขึ้นหรออัลทีมิสท่านคิระ! วะ...วอท!!=[]=พวกผู้ชายห้ามเข้านะรีบๆออกไปก่อนดาร์กเนสกับโนเอลร่ารีบพาอัลทีมิสกับท่านคิระออกไปด่วน’’คุโระรีบเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของพลูเทียแล้วก็ต้องตกใจกับสภาพของพลูเทียที่นอนเปลือยกายอยู่บนเตียงของเธอและอัลทีมิสกับคิระที่นอนหมดสติจมกองเลือดกำเดา

     ‘’เกิดอะไรขึ้นหรอค่ะคุณคุโระ วอท!!=[]= เรน เกียร์ เอเลนอย่าพึ่งวิ่งมานะ!’’พวกเรนรีบวิ่งตามมาแล้วเอมี่กับแมร์รี่ก็เดินมาถามคุโระและก็ต้องตกใจกับสภาพของพลูเทียเช่นกันและรีบตะโกนห้ามเรน เกียร์และเอเลนทันที

     ‘’รับทราบ!’’ดาร์กเนสกับโนเอลร่ารับคำสั่งจากคุโระและรีบลากร่างของอัลทีมิสกับคิระที่หมดสติออกจากห้องนอนของพลูเทียทันทีและจากนั้นคิรันกับเบอร์มิวด้าก็ช่วยกันทำความสะอาดพื้นที่มีเลือดส่วนคุโระกับไกอาร์ก็ค่อยๆช่วยกันจับพลูเทียมาใส่ชุดนอนยาวสีดำปลายแขนเสื้อและปลายชายเสื้อเป็นลายลูกไม้สีม่วง

     ‘’เฮ้อ~เกือบไปๆ แล้วทำไมพลูเทียถึงอยู่ในสภาพนี้ละคิรัน’’คุโระยืนเท้าเอวมองพลูเทียที่กำลังนอนหลับสนิทแล้วหันไปถามคิรัน

     ‘’สำหรับปีศาจจิ้งจอกอย่างฉันกับคิสึรันวิธีที่จะให้พลังธรรมชาติเข้ามารักษาและฟื้นฟูร่างกายจะต้องถอดเสื้อผ้าให้หมดนะข้าเลยลองใช้วิธีนี้กับพลูเทียดูนะแล้วก็ได้ผลดีซะด้วย’’คิรันพูดพร้อมกับเดินไปปิดผ้าม่าน ในขณะที่คิรันกำลังพูดนั้นจู่ๆหูกับหางของพลูเทียก็ขยับไปมาเหมือนได้กลิ่นอะไรบางอย่างที่น่าสนใจและพลูเทียก็ลุกพรวดตื่นขึ้นมาแล้วทำทาดมกลิ่นแบบแมวจากนั้นร่างของพลูเทียก็กลายสภาพเป็นแมวดำ มีดวงตาสีม่วงเหมือนอัญมณีและมีปลอกคอเหมือนกับที่เธอสวมจากนั้นก็รีบวิ่งตามกลิ่นไป

     ‘’ดะ เดี๋ยวสิพลูเทีย!/คุณพลูเทีย!’’ทุกๆคนพูดห้ามพลูเทียในร่างแมวก่อนจะรีบวิ่งตามหาพลูเทีย ทุกๆคนก็เดินหากันรอบบ้านไม่ว่าจะมุมไหนซอกไหนหรือแม้แต่ห้องอาหารที่คิดว่าจะพลูเทียหน้าจะอยู่แต่กลับไม่อยู่เลย ทันใดนั้นเรนก็เจอเข้ากับอะไรบางอย่าง

     ‘’นี้! ทุกๆคนอาหารบนโต๊ะหายไปหมดเลยแถมผมเจอปลอกคอของคุณพลูเทียด้วยละ’’เรนเรียกทุกๆคนมาแล้วหยิบปลอกคอของพลูเทียขึ้นมาดู

     ‘’หืม? ไม่ผิดแน่เลยเมี้ยว นี้เป็นปลอกคอของพลูเทียจริงๆเพราะไกอาร์สัมผัสได้ถึงออร่าพลังบางๆของพลูเทียจากปลอกคอนี้’’ไกอาร์เอื้อมมือไปแตะปลอกคอของพลูเทียแล้วก็กระดิกูเล็กน้อยก่อนจะพูด

     ‘’อาหารที่หายไปบนโต๊ะก็หน้าจะฝีมือของพลูเทียนั้นแหละ แต่ว่าปลอกคอมันหลุดออกมาได้ยังไงกันละหน้าจะไม่มีใครสามารถถอดปลอกคอออกมาได้เลยนะแม้แต่ตัวพลูเทียเองหรือท่านคิระยังไม่สามารถถอดได้มันเพราะอะไรกัน’’คุโระยืนกอดอกแล้วหลับตาคิด

     ‘’เออ..จากการคาดเดาของหนูนะค่ะท่านคุโระ ในเมื่อตัวท่านพลูเทียเองหรือท่านคิระไม่สามารถถอดปลอกคอของพลูเทียออกได้ คนที่ถอดปลอกคอออกก็หน้าจะเป็นคนที่มอบปลอกคอนี้ให้กับท่านพลูเทียละมั้งค่ะ’’เบอร์มิวด้ายกมือขวาขึ้นก่อนจะอธิบายการคาดเดาของตัวเองให้ทุกคนฟัง

     ‘’เกิดอะไรขึ้นงั้นหรอขอรับทุกๆคน’’

     ‘’นั้นสิทำไมถึงมารวมตัวกันแบบนี้ละ’’เสียงของอัลทีมิสและคิระที่กำลังเดินมาหาทุกคนพร้อมกับดาร์กเนสและโนเอลร่าที่เดินตามมา

     ‘’คือว่า...คุณพลูเทียเธอกลายสภาพเป็นแมวแล้วก็วิ่งหนีหายไปต่อหน้าพวกเรานะค่ะ พวกเราก็เลยตามหาคุรพลูเทียกันทั่วบ้านแต่ก็ไม่เจอเลย เจอแต่ปลอกคอของคุณพลูเทียที่ตกอยู่บนพื้นนะค่ะ’’เอมี่หันไปพูดตอบอัลทีมิสและคิระ

     ‘’อะไรนะ!!คุรหนูหายไปงั้นหรอ ไม่จริง!!’’อัลทีมิสเมื่อได้ยินสิ่งที่เอมี่พูดเกี่ยวกับเรื่องของพลูเทียก็ถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น

     ‘’เป็นไปไม่ได้! ปลอกคอของพลูเทียจะหลุดออกมาได้ยังไงกัน แย่แล้วละ...ข้าขอออกคำสั่งให้ทุกคนรีบตามหาโดยเร็วที่สุดข้าจะขี่เจ้าม้าดำเฮอร์มิตไปตามหาที่ข้างนอกมิติส่วนพวกเจ้าทั้งหมดก้ออกตามหาภายในมิตินี้!!’’คิระพูดด้วยน้ำเสียงที่ตกใจแบบสุดๆตอนที่ได้ยินสิ่งที่เอมี่พูดแล้วรีบออกคำสั่งกับทุกๆคนด้วยเสียงที่หนักแน่นก่อนจะรีบวิ่งออกจากบ้านของพลูเทียแล้วผิวปากเรียกม้าดำเฮอร์มิตจากนั้นก็ควบเจ้าม้าดำเฮอร์มิตออกจากมิติไปอย่างรวดเร็ว ส่วนพวกเรนและพวกอัลทีมิสก็วิ่งออกตามหาทุกๆที่ในมิติ ทั้งพวกเรนและพวกอัลทีมิสต่างก็ตะโกนเรียกหาพลูเทีย ในขณะนั้นเองจู่ๆจี้ที่ปลอกคอของพลูเทียก็สั่นไปมาแรงมากจนมือของเรนที่ถือปลอกคอไว้สั่นไปด้วยพร้อมกับคริสตัลสีฟ้าที่เรนห้อยที่คอไว้ก็เปล่งแสงออกมาและรวมกันเป็นลำแสงเล็กๆชี้ออกไปทางที่จะออกจากมิติและเสียงกระดิ่งที่ดังก้องไปทั่วทั้งมิติทำให้พวกอัลทีมิสที่ไปตามหาพลูเทีบบริเวณอื่นรีบวิ่งและรีบบินกลับมาตามเสียงกระดิ่ง

     ‘’อ่ะ!ทำไมปลอกคอของคุณพลูเทียสั่นแบบนี้ละ’’เรนตกใจมากที่จู่ๆปลอกคอของพลูเทียก็สั่นไปมาแรงสุดๆ

     ‘’เกิดอะไรขึ้นนะเรน ทำไมมือนายสั่นแบบนั้นละ’’แมร์รี่รีบวิ่งนำพวกเอเลน เกียร์และเอมี่ตามเสียงกระดิ่งที่ดังก้องจากคริสตัลสีฟ้าของเรน

     ‘’เกิดอะไรขึ้นรึเรน!’’เสียงของอัลทีมิสที่กำลังบินมาหาพวกเรนพร้อมกับคนอื่นๆที่บินและวิ่งตามมาในร่างที่แท้จริง

     ‘’มือฉันไม่ได้สั่นนะแต่ว่าปลอกคอของคุณพลูเทียต่างหากที่สั่นไปมาแรงมากจนมือฉันสั่นไปด้วยนะ’’เรนหันไปตอบแมร์รี่ที่กำลังวิ่งมาหาเรนพร้อมๆกับพวกเอเลน เกียร์และเอมี่

     ‘’ลำแสงสีฟ้าขาวแบบนี้มัน...ไม่ผิดแน่พวกเรารีบวิ่งตามลำแสงนี้ไปกันเถอะ’’เอเลนจ้องมองไปที่ลำแสงที่ออกมาจากคริสตัลสีฟ้าที่เรนห้อยคอไว้แล้วทำหน้าจริงจังพร้อมกับบอกให้พวกเรนและพวกอัลทีมิส หลังจากสิ้นสุดคำพูดของเอเลนแล้วทุกๆคนก็รีบวิ่งตามลำแสงตากคริสตัลสีฟ้าของเรนไปจนถึงสถานที่ฝึกของพวกเขาและปลายสุดของลำแสงนั้นก็ชี้ไปที่ร่างของเด็กชายที่มีความสูงประมาณ160เซนติเมตรและดูอายุประมาณ14ปี ผมสีน้ำเงิน ดวงตาสีแดง สวมชุดและหมวกที่มีขนนกสีแดงติดอยู่บนหมวกกัปตันโจรสลัดสีน้ำตาล สวมถุงมือสีขาวรองเท้าบูดสีดำและสวมสร้อยที่มีจี้เป็นรูปดาวสีเงินกำลังนั่งขัดตะมาดพร้อมกับเอามือลูบหัวพลูเทียในร่างแมวดำนอนคดอยู่บนตัก

     ‘’ฮึบ...พวกคุณมากันแล้วสินะ...’’เด็กชายคนนั้นค่อยๆลุกขึ้นมาพร้อมกับอุ้มพลูเทียในร่างแมวดำพร้อมกับหันไปทางพวกเรน

     ''หรือว่านายคือ....''อัลทีมิสจ้องมองไปที่เด็กชายคนนั้นอย่างประหลาดใจเล็กน้อย และตอนนั้นเองคิระก็ควบเจ้าม้าดำเฮอร์มิตกลับมาพอดี

     ''นายคือเนปจีน้องชายแท้ๆของพลูเทียสินะ...''เสียงของคิระที่กำลังลงจากหลังของเจ้าม้าดำเฮอร์มิตและเดินตรงไปหาคูลทันที

     ''ใช่แล้วละครับ...อะ ผมขอคืนท่านพี่ให้กับท่านละกันนะ''เนปจียิ้มเล็กน้อยก่อนจะอุ้มพลูเทียในร่างแมวดำคืนให้กับคิระ เมื่อร่างของพลูเทียกลับสู้อ้อมกอดของคิระร่างของพลูเทียก็กลับสู่สภาพเดิมในสภาพที่กำลังหลับสนิททันใดนั้นปลอกคอของพลูเทียก็หายไปจากมือของเรนแล้วมาปรากฏบนคอของพลูเทียดังเดิมพร้อมกับลำแสงจากคริสตัลสีฟ้าของเรนค่อยๆหายไป

     ''แล้วทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี้กันละ''คิระรับตัวพลูเทียกลับมาและอุ้มในท่าอุ้มเจ้าหญิงพร้อมกับมองเนปจี

     ''ทำไมนะหรอครับ...ก็ผมอยากจะกลับมาอยู่กับท่านพี่ของผมเลยออกตามหาท่านพี่จะมาถึงที่นี้ยังไงละครับ''เนปจีเงยมองคิระพร้อมกับพูด

     ''งั้นนายก็มากับข้า...รีบกลับกันเถอะนี้มันก็ดึกแล้วแถมทุกๆคนยังไม่ได้ทานอะไรกันเลยสินะ''คิระหันไปพูดกับพวกเรนแล้วเดินไปหาเจ้าม้าดำเฮอร์มิตพร้อมกับเนปจีแล้วสั่งให้มันย่อตัวลงเพื่อให้คิระที่อุ้มพลูเทียอยู่ขึ้นขี่ได้ง่ายพร้อมกับเนปจีและควบกลับเข้าไปในมิติ ส่วนคิรันกับคิสึรันก็รวมร่างกันและกลายสภาพร่างปีศาจจิ้งจอกที่แท้จริง(ขนาดตัวปกติประมาณสุขัขจิ้งจอกธรรมดาแต่ถ้าอยู่ในสภาพร่างที่แท้จริงจะมีขนาดเพิ่มขึ้นอีก50เท่า)ให้พวกเรนขึ้นขี่หลังและรีบวิ่งตามคิระเข้ามิติไป ในขระนั้นเองเรนก็แอบคิดอยู่ในใจว่าตนนั้นมีพลังอะไรกันแน่แล้วคริสตัลสีฟ้าของตนนั้นทำไมถึงนำทางไปหาพลูเทียได้ คำถามนี้ยังวนเวียนในหัวเรนอยู่ไปสักพักใหญ่ๆ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา