The Water's Pure Heart: ดวงใจของสายน้ำ

-

เขียนโดย Valentinlover

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 22.14 น.

  56 ตอน
  0 วิจารณ์
  43.63K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 10.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) เด็กผู้ชายชื่อจุ๊ย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

      พัดลมเพดานส่งเสียงครางต่ำๆราวกับอุทธรณ์ถึงอายุของมัน  จนเด็กหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่กับสมุดบัญชีและเอกสารวางบิลมากมายต้องเงยหน้าขึ้นมอง

“ชิบหาย... บางที ไอ้หูเรานี่แมร่งก็ดีเกิน” เด็กหนุ่มบ่น  มองพัดลมที่หมุนเอื่อยๆ

“ลุงพัดลมคร๊าบ ผมรู้ว่าลุงเหนื่อยมาทั้งวัน  แต่ผมต้องทำให้เสร็จครับ  ผมสัญญาว่าจะเช็ดลุงจนสะอาดวันเสาร์นี้แน่นอนครับ  อย่าบ่นนักเลย  ผมมันหูดีเกิน ได้ยินลุงบ่นทุกคำเลย”

เหมือนจะคุยกันรู้เรื่อง  พัดลมก็หยุดส่งเสียงครางไปเฉยๆ  เด็กหนุ่มทำท่าสะดุ้ง  แล้วก็โคลงหัวเบาๆก่อนจะก้มหน้าทำงานต่อ

“ขอบคุณคร๊าบผม”

นานเท่าไหร่ไม่รู้  แต่รู้ตัวอีกทีก็คือเมื่อเสียงวางขาร่มดังสะท้อนของอาแปะขายน้ำเต้าหู้ดังมาบอกเวลาประจำวัน

“อ้าว...” เด็กหนุ่มหันมองนาฬิกาเรือนเก่าที่แขวนไว้บนผนังหลังหัวของเขา

“เช้าซะละไม่ได้ต้องนอนกันพอดี  ดีนะเสร็จแล้ว”

แล้วเด็กหนุ่มก็เก็บข้าวบนโต๊ะใส่ลิ้นชัก  จากนั้นก็ลุกขี้นบิดไล่ขี้เกียจก่อนจะเดินฮัมเพลงบรรเลงคลาสิคของ Joseph Haydn The Finale of the symphony no. 82 เดินเข้าไปในครัว

“จุ๊ย” เสียงเรียกดังมาจากชั้นลอย

“ครับป๊า”  เขาขาน

“ซาอี้(น้าสาวคนที่สาม)ของลื้อเอาบะจ่างมา  เอาออกมาอุ่นนะ”

เด็กหนุ่มมองลงมาเห็นถุงบะจ่างที่ว่าในชั้นล่างสุด

“ครับ ผมเห็นแล้วครับ” เด็กหนุ่มตอบออกไป

อุ่นเสร็จก็ต้องเอามาแกะใส่จาน จากนั้นก็ยกออกมาด้านนอก  เขาวางจานแล้ววิ่งไปแย่งไม้สอยจากมือบิดา

“เดี่ยวจุ๊ยทำเอง ป๊าไปกินบะจ่างนะครับ  ผมอุ่นวางไว้บนโต๊ะแล้ว”

บิดามองหน้าบุตรชายก่อนจะเดินเข้าไป

นี่คือกิจวัตรของจุ๊ย  ตอนเช้าเขาต้องมีหน้าที่เอาสินค้าภายในร้านขายเครื่องเหล็กและอะไหล่ออกมาเรียงหน้าร้าน  แม้จะหนักแต่ก็ไม่มีจำนวนมากเท่าไหร่ที่ต้องเอาออกมา ก็แค่เอาของพวกตัวอย่างท่อและข้าวของอีกหลายชิ้นออกมาแขวนด้านนอกเพื่อให้ ลูกค้ามองเห็น  เข็นลังของออกมาอีกสองสามลัง อุปกรณ์ก่อสร้างชิ้นใหญ่ๆอีกนิดหน่อย แล้วก็เสร็จ  จากนั้นก็กวาดหน้าร้าน และทำความสะอาดขี้แมว

“ห่าเอ้ยเห็นหน้าบ้านกูเป็นส้วมหรือไง” จุ๊ยบ่นขณะเอากระดาษหนังสือพิมพ์มาหยิบแล้วห่อ

“เหม็นฉิบหาย... แมวบ้านี่ อย่าให้เจอตัวนะ  จับเอาลวดร้อยตูด ให้ไม่ต้องขี้ไปตลอดชาติเลย”

เดินเข้ามาภายในบ้าน  บิดากำลังนั่งตรวจสมุดบัญชีที่จุ๊ยพึ่งทำเสร็จเมื่อคืน

“ป๊าครับ  วันนี้ผมต้องซ้อมถึงดึกนะครับ  เพราะอาทิตย์หน้าเราจะไปประกวดชิงแชมป์ประเทศไทยแล้ว”

บิดาเหลือบมองหน้าลูกชาย  แล้วก็ตอบว่าอืมแค่คำเดียว

จุ๊ยก็เลยเดินต่อเข้าไปกำลังจะเลี้ยวขึ้นบันได หนุ่มร่างสูงก็วิ่งสวนลงมา

“ขอโทษจุ๊ย” แล้วก็หันไปคว้ารองเท้าบนชั้นตรงหน้าครัว

“ผมอุ่นบะจ่างให้แล้วเฮียตี้กินก่อนไหมครับ” จุ๊ยถาม

ตี้หันมาทำหน้าเซ็งเบื่อ

“ไม่เอาล่ะจุ๊ย  มันเลี่ยนจะตาย เฮียไปกินที่ ม.ดีกว่า”

แล้วเขาก็เดินฉับๆออกไป

“ผมไปแล้วนะป๊า”

“เออ.. แล้วตอนเย็นจะกลับมากินข้าวไหม  อั๊วจ้างแปะซาตุ๋นซุปไก่โสมมาให้  ดื่มบำรุงสมอง ใกล้จะสอบแล้วไม่ใช่เหรอ” บิดากล่าวแก่ลูกชายคนโต

“โอ๊ย ป๊า  ซุปไก่มันมีประโยชน์จริงๆที่ไหนเล่า  ผมมีLab ตอนเย็น  คงกลับมากินข้าวเย็นไม่ทันนะครับ”

จุ๊ยมองเห็นแต่พี่ชายคว้ากุญแจรถจากบนโต๊ะแล้วเดินออกไป

เขาก็เลยเดินต่อขึ้นบันได

“อาซัวล่ะจุ๊ย” เสียงป๋าตามไล่หลังมา

“เดี่ยวผมไปปลุกครับ” จุ๊ยตอบ

 

 ครอบครัวของเขาในตอนนี้มีสมาชิกอยู่ห้าคน  บิดา พี่ชายคนโตเฮียตี้ นักศึกษาแพทย์ปีสี่ ตัวเขาเองนักเรียนมัธยมหก  และน้องชายน้องสาวฝาแฝดอีกสองคน  ซัวกับฮัว แต่ฮัวถูกส่งไปอยู่กับยี่อี้(น้าสาวคนรอง) ที่ระยองตั้งแต่เด็กๆ เพราะคำทำนายของหมอดูว่าซัวกับฮัวแม้เป็นฝาแฝดแต่ดวงขัดกัน  ถ้าหากอยู่ด้วยกันจะมีใครคนหนึ่งต้องตาย  แม้ป๊าจะไม่ใช่คนเชื่อเรื่องพวกนี้อย่างฝังหัว  แต่ก็ทำตามคำแนะนำนั้น  ส่วนซัว...น้องชายที่อายุห่างกับจุ๊ยแค่สองปีนั้น...

“ไอ้ซัว มึงนอนกินบ้านกินเมืองแข่งกับนักการเมืองหรือไงวะ  นี่มันกี่โมงแล้วไม่ไปโรงเรียนเหรอ”  จุ๊ยร้องพร้อมเคาะประตู

เงียบ

เงียบสำหรับคนอื่น... แต่หูดีเกินขีดมาตรฐานของจุ๊ยได้ยินเสียงเคลื่อนไหวภายใน  และได้ยินเสียงสนทนากัน เป็นเสียงของซัว กับ...

“ไอ้ซัวเปิดประตู” จุ๊ยส่งเสียงเข้มเด็ดขาด

ซัวเรียนโรงเรียนอาชีวะ เพราะเขาไม่ชอบสนใจการเรียนตามแผนของมัธยม  แล้วก็เป็นเด็กที่หัวแข็งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรก็เลยรู้สึกขบถกับความคิดของป๊าที่อยากจะให้เรียนต่อสายสามัญ

แต่ตั้งแต่ซัวเข้าโรงเรียนอาชีวะ ก็มักจะกลับบ้านดึกๆ  เริ่มสูบบุหรี่และกินเหล้า

ประตูเปิดออกตามคำสั่ง

“เฮียจุ๊ย” ซัวยิ้มอ้อนๆในแบบที่จุ๊ยอ่านออกว่าต้องมีอะไรร้องขอ

เขาค่อยๆเปิดประตูให้จุ๊ยเห็นภายใน

บนเตียงมีเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มนั่งอยู่ ยกมือไหว้เขาอย่างเก้งๆกังๆเพราะเขิน

“ไอ้ซัวนี่มัน” จุ๊ยหลุดปากออกไปเสียงดัง

“เฮียเบาๆดี๊  เดี่ยวป๊าได้ยิน” ซัวปิดปากจุ๊ยแล้วลากเข้ามาภายในห้อง

“เฮียต้องช่วยผมนะ  ก็เฮียนั้นหล่ะผิด”

จุ๊ยทำตาโต

“อ้าวไอ้ห่า กูผิดยังไง... นี่มึงพาลูกสาวบ้านไหนก็ไม่รู้มาบ้าน เสือกมาบอกว่ากูผิด กูเป็นคนฉุดเขามาหรือไง” จุ๊ยเอ็ด

“ก็เมื่อคืนผมกะว่าจะแอบพาออกไปตอนตีสอง แต่เฮียดันตื่นมาตอนนั้น  ผมก็เลยกลัวเฮียจะโวยจนป๊ารู้ก็เลย... ไม่กล้าออก” ซัวพูดทั้งทำหน้าจ๋อยๆ

ดวงหน้าของซัวคมคายแบบหล่อเหลา  เป็นตี๋หล่อที่เนื้อหอมพอสมควร...

เขาถอนหายใจ

“เฮียช่วยผมนะ” ซัวเกาะแขนจุ๊ยออดอ้อนในแบบที่ทำเสมอกับจุ๊ยเวลาจะขอความช่วยเหลือจากจุ๊ย

จุ๊ยมองหน้าเด็กสาวก่อนทีนึง  นึกอยากจะถีบน้องชายสักทีแต่ก็เกรงใจเด็กสาว

“ครั้งเดียวนะ... อย่าให้มีครั้งที่สอง “จุ๊ยชี้หน้าน้องชาย

“แล้วเราน่ะ อย่าคิดว่าไอ้ซัวมันจะจริงจัง เรียนหนังสือหนังหาดีกว่า อายุเท่าไหร่แล้วนี่  ดูเหมือนยังม.ต้น  เรียนหนังสือหนังหาดีกว่านะน้อง  อย่ามาหลงหน้าหล่อๆของไอ้นี่มาก ไอ้นี่มันเมียเยอะ”  จุ๊ยเผาน้องชายซึ่งหน้า  แล้วก็เดินออกมา

บนรถเมล์ที่มีผู้โดยสารแน่นขนัด  จุ๊ยยืนชิดกับเด็กสาวผิวขาวเนียน ผมยาวสลวยรวบมัดอย่างเรียบร้อย  ชุดนักเรียนมัธยมปลายของโรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังเรียบกริบ และถูกระเบียบแป๊ะ

“ซัวนี่ร้ายกาจจริงๆ นี่ถ้าแปะจุ๊งเห็นมีหวังบ้านแตก” เด็กสาวกล่าว

“ก็ไม่หรอก” จุ๊ยตอบ

“ป๊าไม่ใช่คนชอบโวยวาย แต่ไอ้ซัวอาจโดนเรียกไปฟาดซักโหล แต่ขอบใจหลิวมากเลยนะ  ถ้าไม่ได้หลิวพาไปทางบ้านหลิว จุ๊ยคงต้องจับใส่ตระกล้าชักรอกลงจากดาดฟ้า”

หมิวมองจุ๊ยส่ายหัวพลางยิ้มในลักษณะของเขา

จุ๊ยไม่ใช่คนหล่อประเภทสะดุดตา  เขาหน้าตาธรรมดาแต่มีรอยยิ้มที่ทำให้โลกของหลิวงดงามขึ้น

เธอกับจุ๊ยเป็นเพื่อนกันแต่เล็กๆ เพราะบ้านอยู่ติดกัน  จุ๊ยเป็นคนร่าเริง ใครอยู่ใกล้มักจะอารมณ์ดี  ทีสำคัญคือความจิตใจดี และเป็นคนขยันขันแข็งซึ่งเป็นจุดที่แม้แต่พ่อแม่ของหลิวยังชมบ่อยๆ และรักเอ็นดูเขามาก  ซึ่งที่จริงผู้ใหญ่แถวนั้นที่เห็นจุ๊ยมาแต่เด็กก็มักเอ็นดูจุ๊ยอยู่แล้วทุกคน

“หลิวถ้าจะมีแฟน ถ้าไม่ได้อย่างจุ๊ย หนูไม่ต้องพามาให้ป๊าดูหน้านะ ป๊าอยากได้อย่างจุ๊ย” บิดากล่าวในเชิงเล่นในโต๊ะอาหาร เล่นเอาเด็กสาวหน้าร้อนฉ่า

“ป๊าก็อย่าไปแซวลูกสิ ดูสิหน้าแดงเป็นลูกพลับแล้ว” มารดาปราม  แต่กลับเป็นฝ่ายแซวเสียเอง

“แต่ม๊าก็อยากได้นะ ขยันๆแบบนี้รับรองหนูไม่อด”

“เป็นอะไร.. มีไข้หรือร้อน  หน้าแดงเชียว” จุ๊ยทัก

หลิวหันขวับ

“เปล่า”

จังหวะนั้นมีคนเบียดออกมา  เป็นผู้ชาย

จุ๊ยดึงหลิวเข้ามา แล้วเอาตัวบัง

“เออไอ้นี่...กูรู้ทันหรอก.. “จุ๊ยกล่าว แล้วส่งสายตาไม่เป็นมิตรไล่หลังชายคนนั้น

“หลิวระวังนะ  ไอ้นี่มันโรคจิต  วันก่อนจุ๊ยแอบเห็นมันเอาเป้าถูกก้นเด็กผู้หญิง  ไอ้ตั้ม ไอ้ปอเกือบจะเข้าไปต่อยแล้ว”

จุ๊ยกล่าวจบก็หันกลับมา

“อ้าวทำไมหน้าแดงกว่าเดิมอะ  เป็นไข้เหรอ”

 

ใน สนามฟุตบอลของโรงเรียนชายล้วนแห่งนี้วุ่นวายเหมือนทุกวัน ด้วยทีมฟุตบอลมากกว่าสิบทีมที่แบ่งปันพื้นที่สนามขนาดมาตรฐานสนามเดียวกัน ด้วยสมานฉันท์อย่างน่าอัศจรรย์

เด็กหนุ่มผิวขาวเรือนร่างสูงเดินในลักษณะลากเท้า  เขาวางกระเป๋าหนังสือดังตุ๊บ เล่นเอาเพื่อนๆที่นั้งเพลินๆสะดุ้ง

“อะไรของมึงเนี่ย  ตกใจ” เพื่อนร้อง

 “กูง่วง กูเพลีย” เขาบอกแล้วทิ้งกายลงกับม้านั่งยาว จากนั่งก็นอนลงบนตักของเด็กหนุ่มหน้าจีนที่กำลังอ่านนิตยสารเกี่ยวกับดนตรี

“ไปทำอะไรมาล่ะไอ้อ๊อด  ดูหนังโป๊แล้วว่าวจนดึกจนเพลีย?” คนโดนนอนตักถาม

“เปล่า... “ อ๊อดพลิกตัวแล้วพลิกตัวหันเข้าหาตัวคนถูกหนุน จนแก้มมาชนเป้ากางเกง  เล่นเอาเด็กหนุ่มหน้าจีนสะดุ้ง

“ไอ้ห่า” เขาผลักจนเพื่อนร่วงลงไปบนพื้น

“มึงนี่ลามก... “

อ็อดตะกายขี้นมานั่ง  หัวเราะ

“เป้ามีงหอมวะจุ๊ย”

“ไอ้สัตว์” จุ๊ยตบกระบาลอ็อดด้วยหนังสือ

“กูล้างดี.. เปลี่ยนกางเกงในทุกวัน  ไม่ได้ซกมกเหมือนมึงจะได้เหม็น”

เพื่อนคนอื่นก็หัวเราะกันครืนเครง

“พี่จุ๊ยครับ” เด็กม.สี่คนหนึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา

“ครูอติเรียกครับ”

 

ห้องพักครูที่อยู่ติดกับห้องดนตรี เป็นห้องพักของครูผุ้สอนวิชาดนตรี  ปกติจะมีครูอยู่สี่คน  แต่ตอนนี้ยังเช้าจึงมีแค่อติคนเดียว

เขาติดรูปของเด็กหนุ่มที่กำลังเป๋าแซกโซโฟนบนเวทีประกวดระดับประเทศลงบนบอร์ดแสดงผลงานของนักเรียน

บนบอร์ดมีรูปของเด็กนักเรียนที่สร้างชื่อเสียงด้านคนตรี  มีทั้งประเภทเดี่ยวและวงโยธาวาทิต  แต่เกือบทุกรูปความสำเร็จของนักเรียนในช่วงห้าปีนี้ ต้องมีเด็กหนุ่มมือแซกโซโฟนคนนี้อยู่ด้วย 

เขาชื่อนทีธาร หรือจุ๊ย 

“สวัสดีครับครู”

อติหันมา  จุ๊ยพึ่งเงยจากอาการไหว้

 

เอกสารที่ยื่นมาคือเอกสารตามคำบอกเล่าของอติ

“จุ๊ยไปลองทบทวนดูนะ โอกาสแบบนี้หาไม่ได้แล้ว  สถาบันที่ยื่นข้อเสนอมาเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษ  เขาส่งคนมาซุ่มดูจุ๊ยหลายเดือนแล้ว แต่ครูก็กลัวจุ๊ยกดดันเลยไม่ได้บอก   แล้วเขาติดต่อครูมาเมื่อวานนี้  ให้สถานทูตเอาเอกสารนี้มาให้  เขาต้องการแค่ให้จุ๊ยยอมรับเงื่อน แล้ว ทุกอย่างจะเรียบร้อยหมด  จุ๊ยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสักบาท”

เด็กหนุ่มปกติแล้วจะมีรอยยิ้มเสมอ เหมือนกับโลกไม่มีอะไรน่ากังวล  รอยยิ้มที่เป็นกำลังใจให้วงโยธาวาทิตในทุกๆเวลา ไม่ว่าแพ้หรือชนะ  เป็นเหตุให้ทุกคนรักหัวหน้าวงจุ๊ย  และเป็นแรงบันดาลใจเด็กอีกหลายคน

“แต่ผม... “ จุ๊ยมีสีหน้ากังวลอย่างชัดเจน  แต่ก็ยังยิ้ม

“ผมยังเรียนไม่จบเลยนะครับ”

“ก็ไม่ต้องให้จบนี่จุ๊ย  การเรียนดนตรีเขาไม่ได้ใช้วุฒินะจุ๊ย  เขาวัดกันที่ฝีมือ ฝีมือคือสิ่งสำคัญ  โอกาสอย่างนี้แม้แต่ครูเองยังอยากได้  แต่ครูไม่มีสิ่งที่เธอมี..” อติลุกมาบีบไหล่ของจุ๊ยด้วยมือข้างหนึ่ง

“มันเป็นเรื่องดีที่จุ๊ยเป็นคนกตัญญู และความรับผิดชอบสูง  แล้วจุ๊ยก็ทำได้ดีมาโดยตลอด   แต่นี่ไม่ใช่การละทิ้งความรับผิดชอบนะ  จุ๊ย คิดดูสิถ้าจุ๊ยเรียนจบเป็นนักดนตรีมีชื่อเสียง  จุ๊ยก็จะสามารถจุนเจือครอบครัวได้  พ่อของจุ๊ยก็ต้องภูมิใจแน่นอน  ถ้าท่านยังมีข้อสงสัยอะไร ครูยินดีจะไปคุยกับท่านให้”

จุ๊ยหรี่ตาลงชั่วครู่ แล้วถอนหายใจ

“ผมจะคิดดูครับ”

 

จุ๊ยเดินผ่านตามทางเดิน   เขาได้ยินเสียงเป่าเครื่องดนตรี จึงหยุดฟัง  เดินเข้าไปในห้องเรียนก็เห็นเด็กหนุ่มดวงหน้าสะอาดสะอ้านกำลังเขม่นเป่าไคลิเนต

เขายืนกอดอกยิ้มจางๆ

วาทิตเป็นเด็กชั้นมัธยมปีที่สี่  เขามีรูปร่างเล็ก  แต่กลับใฝ่ฝันจะเล่นแซกโซโฟน  จุ๊ยจึงแนะนำว่าให้วาทิตเริ่มจากไคลิเนตก่อน

จุ๊ยเห็นเม็ดเหงื่อก็เลยหยิบล้วงหยิบกระดาษทิชชูในกระเป๋าออกมาซับให้

“เป่าต่อสิ” เขาบอกเสียงเบาๆ เพราะเด็กหนุ่มมีอาการคล้ายชะงักจะหยุด

“เล่นต่อให้จบท่อน  อย่าเล่นครึ่งๆกลางๆ  คนอื่นจะรำคราญ แล้วเราก็ไม่ได้อะไรด้วย”

วาทิตมองตาจุ๊ยที่ดูแสนอ่อนโยน  เขาเป่าต่อจนจบท่อนโดยสามารถไม่ถอนสายตาได้

แต่พอเป่าจบก็ก้มหน้า

จุ๊ยเอียงคอ ยืดตัวตรงกอดอก

“ลมเรามันยังไม่พอนะ  พี่แนะนำให้เราไปว่ายน้ำหรือวิ่งทุกเข้า  ไม่อย่างนั้นเวลาเป่าจะเป็นลมตายเอา  แถมลมหมดด้วย”

วาทิตทำหน้าเศร้า จุ๊ยจึงโอบไหล่ “เอาน่า สู้ๆพี่เป็นกำลังใจให้”

แล้วจุ๊ยก็เดินออกไป เพราะเพลงมาร์ชโรงเรียนสัญญาณเรียกเข้าแถวดังขึ้น  วาทิตมองตามไป

ท่อนแขนของพี่จุ๊ยอบอุ่นเหลือเกิน...

 

วรรณาเดินตรวจแถวเด็กนักเรียนที่เธอประจำชั้นแล้วก็เดินออกมาท้ายแถวเพื่อรวมยืนร่วมกับอาจารย์ท่านอื่น

“แฟชั่นมาใหม่อีกแล้วนะ” อาจารย์สอนวิชาภาษาญี่ปุ่นกล่าวแก่เธอ

“นี่ดูสิ  กางเกงมันดูแปลกๆเห็นไหม  เดี่ยวจะปรึกษาผอ.ว่าผิดระเบียบรึเปล่า”

วรรณายิ้ม

“ปล่อยๆบ้างเถอะค่ะ  ตึงเกินไปเดี่ยวก็พาลจะประท้วงเอา” คนออกความเป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ จริงๆคนสอนวิชานี้น่าจะเป็นคนเข้มข้นระเบียบ  แต่เธอกลับไม่ได้มีบุคลิกแบบนักคณิตศาสตร์เลย  เธอเป็นคนทันสมัย  พูดจาฉะฉานน่าฟัง  เด็กๆจึงชอบกันมาก

คนสอนญี่ปุ่นก็จะแย้ง

แต่เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นผ่านลำโพง เป็นเสียงเป่าของแซกโซโฟนที่กังวานทว่านุ่มนวลแม้เครื่องเสียงจะไม่ได้ดีดั่งในโรงมหรสพ  แต่มันก็ไม่สามารถกลบความงามในเส้นเสียงของเพลงที่ได้รับการถ่ายทอดโดยนักดนตรีมือเอกของโรงเรียน

ปีที่แล้วตอนที่เธอเข้ามาสอนใหม่ๆ ได้ยินการบรรเลงนี้ครั้งแรก ถึงกับลืมร้องเพลงชาติแถมยังเผลอปรบมือให้ด้วย

มองไปก็เห็นเด็กหนุ่มยืนตัวตรงบรรเลงเครื่องเป่าอย่างตั้งใจ  นทีธาร  เด็กในห้องที่เธอประจำชั้นนั่นเอง

“เมื่อก่อนเคยเป็นการเล่นคู่...” มีอาจารย์ท่านหนึ่งเคยบอกไว้

“แต่พอคนที่เป่าคู่กับนายจุ๊ยเสียไป  ก็ไม่มีใครเป๋าคู่กับเขาได้อีก  คือยอมแพ้ถอนตัวไปทุกราย  ที่สุดก็ต้องเป่าคนเดียว”

เด็กคนนี้มีพรสวรรค์อย่างมาก..

แต่.. เธอต้องลอบถอนหายใจเมื่อนึกถึงสิ่งที่อติ อาจารย์หนุ่มผุ้สอนดนตรีและเป็นที่ปรึกษาของวงโยธวาทิต มาร้องขอให้เธอช่วย

“เด็กที่กตัญญู... มันพูดยากนะคะ  ให้ดิฉันคุยกับเด็กเกเรยังจะง่ายเสียกว่า  เด็กคนนี้ดูผิวเผินเป็นเด็กเชื่อฟัง  แต่เขาก็มีจุดยืนในตัวเข้มแข็งมาก  ดิฉันว่าคงยาก  จุดนี้อาจารย์ก็รู้นี่ค่ะ” เธอตอบออกไปอย่างนั้น

“ครับผมทราบ... แต่ถ้าเราช่วยกัน  ผมว่าเขาอาจจะใจอ่อน  ผมไม่อยากจะเรียกจุ๊ยมาคุยบ่อยๆตอนฝึกซ้อม  กลัวเขาจะเสียสมาธิ  ก็คงต้องรบกวนอาจารย์ที่เป็นที่ปรึกษานั้นล่ะครับ” อติตอบมา

“แต่อาจารย์ใส่ใจเด็กมากเลยนะครับ  รู้จักเขาแค่ปีเดียวก็อ่านออกแล้วจุ๊ยเป็นคนอย่างไร”

อาจารย์สาวหันไปทางแถวอาจารย์ผุ้ชายที่อยู่ห่างออกไป

 

อ๊อดสัปหงกโงกเงกไปมาตั้งแต่ต้นชั่วโมงเรียน  แล้วที่สุดเขาก็เกือบฟุบกระแทกกับโต๊ะแต่จุ๊ยก็รับไว้ได้ทัน

“ห่าเอ้ย ไปอดหลับอดนอนมาจากไหนวะ” จุ๊ยเอี่ยวหน้ามากระซิบ

“นี่มันชั่วโมงอาจารย์พัฒน์ ประเดียวมึงก็ได้โดนทำโทษ”

“ก็มันง่วงนี่หว่า  เมื่อคืนก็เข้านอนตามเวลานั้นล่ะแต่นอนไม่ค่อยหลับ” อ็อดตอบ  แล้วตาของเขาก็หรี่ลงอีกรอบ

“เหรอ... ง่วงมากเลยใช่ไหม”

“ก็ใช่สิ... เนี่ยตาจะปิดให้ได้เลย”

“อยากหายง่วงไหมล่ะ”

อ๊อดเลยลืมตาหันมาหาจุ๊ย

“เอาลูกอมมาสิ  ขอหน่อยจะได้หายง่วง”

แต่จุ๊ยเม้นปากแน่น  เบิกตาโตและพยับเผยิบให้รู้

อ๊อดบ่นพึมพำแล้วหันไปตามสัญญาณ

“ซวยแล้วกรู”

อาจารย์พัฒน์วัยราวสามต้นๆ ขยี้หัวอ๊อด

“ไปหน้าชั้น”

“คร๊าบผม” อ๊อดยิ้มแหย่ๆแล้วลุกไป

จุ๊ยมองตามไปหัวเราะเบาๆคิกๆคักๆ

“เธอด้วยนทีธาร”

จุ๊ยสะดุ้ง

“แต่ผมไม่ได้...”

“ไป” อาจารย์พัฒน์ย้ำเสียงหนักแน่น

“มัวแต่นั่งมองเพื่อนสัปหงก  แทนที่จะตั่งใจเรียน”

จุ๊ยเอามือมาตะเบะแบบกลับข้าง

“กับป๋ม”

ที่จริงอาจารย์พัฒน์ไม่ใช่คนดุหรือระเบียบจัดอะไร  เป็นอาจารย์ที่ค่อนข้างเฮฮา  แม้จะสอนวิชาเกี่ยวกับสังคม ประวัติศาสตร์ และศาสนา  แต่อาจารย์พัฒน์กลับมีวิธีการสอนที่ทำให้นักเรียนชอบ และหัวเราะกันครืนเครงในบางคาบเรียนที่ไม่ได้มีความเข้มข้นของเนื้อหาไม่มากนัก

แต่ใครก็รู้  อย่าได้เผลอไม่ตั้งใจฟังแกสอนให้เห็นอาจโดนลงโทษแปลกๆได้

“เอ้าเมื่อกี้เล่าถึงไหน” อาจารย์ถาม  แต่ตอบเอง

“อ้อหนุมาน.. หนุมานเนี่ยแกเป็นลูกพระพายใช่ไหม  แต่ถ้าอาจารย์จะบอว่าจริงๆแล้วแกเป็นลูกพระศิวะต่างหาก  โดยแกใช้พระพายเป็นสื่อ แล้วนางสวาหะเป็นแม่อุ้มบุญ จะเชื่อไหม”อาจารย์พัฒน์มองไปทั่วๆ เห็นเด็กทำหน้างง

“พวกเธอสงสัยกันหล่ะสิ.. ทำไมหล่ะก็อาจารย์สมัยประถมกับบอกว่าหนุมานเป็นลูกพระพาย  ทำม๊ายตาอาจารย์นี่ถึงมาบอกอย่างนี้  อยากรู้ไหม...ว่าทำไม”

จุ๊ยหันไปมองหน้ากับอ๊อด  ที่จริงเขาชอบอาจารย์พัฒน์อยู่ไม่น้อยนะ  ถึงจะออกเพี้ยนๆเพราะเรียนมาก  แต่เพราะอาจารย์พัฒน์มักจะท้าทายเด็ก ด้วยการสร้างข้อสงสัยเสมอในสิ่งที่สอน  และมักจะแสดงให้เห็นเลยว่าสิ่งที่สอนพวกเขาตอนนี้ยังสอนไม่หมด  ยังมีอีกมากให้ค้นคว้า 

“ไม่บอก” อาจารย์พัฒน์ก็ลงเอยด้วยการอมพะนำ

“ถ้าใครอยากรู้ก็ต้องหาคำตอบเอง  แล้วถ้าใครได้คำตอบ  เอาโพสในแฟนเพจของอาจารย์นะ  จะมีคะแนนพิเศษให้”

มีเสียงบ่นว่าอีกละ  บางคนก็บอกว่ายั่วแล้วไม่ทำให้เสร็จ  ค้างคามากๆ

“เอ้าๆ แต่วันนี้อาจารย์จะจำลองเหตุการณ์ของกำเนิดหนุมานตามรามเกียรติไทยให้ดู  มานี่สินางสวาหะ”

อ๊อดเดินหน้าเซ็งไปหา

“นางสวาหะนี่ แกถูกสาบนะ  ให้ยืนขาเดียว เหนี่ยวกินลม” อาจารย์พัฒน์บอก

“เอ้ายืนขาเดียว”

อ๊อดก็ยกข้าขึ้นข้างหนึ่ง

“ไม่ใช่ไม่แมนขนาดนี้ เราเป็นผู้หญิง  ต้องยืนแบบนางแบบเพลย์บอยสิ  ยกขาหนึ่งกระดกไปข้างหลัง อีกข้างย่อๆหน่อย แล้วค่อมตัวแอ่นอกมาข้างหน้า”

พูดไม่พูดเปล่าทำให้ดู เรียกเสียงหัวเราะลั่นห้อง

อ๊อดเลยนึกสนุกทำตาม ยืนย่อค่อมตัว ขากระดก อกแอ่น

อาจารย์ยืดตัวตรง

“เอ้าอ้าปาก”

อ๊อดก็อ้าปาตามคำสั่ง

“ไม่ใช่ๆ  หรี่ตาข้างหนึ่งทำปากเจ่อๆแล้วพูดว่าคิมมูจี่ แล้วไม่ต้องหุบปากอ้างค้างไว้”

ตอนนั้นก็เริ่มมีเสียงหัวเราะกันแล้ว

แต่พออ๊อดทำตาม หรี่ตาลงข้างหนึ่ง ทำปากเจ่อ

“คิมูจี่”

เสียงหัวเราะประสานกันดังลั่น  โดยเฉพาะหัวหน้าห้องนายก้องภพ  ซึ่งนั่งหน้าห้อง    จุ๊ยต้องเข้าไปช่วยรั้งตัวเพราะหัวเราะจนเกือบตกเก้าอี้

“อ้าวๆใจเย็นๆ  ยังมีพระพาย”

แล้วอาจารย์ก็หันซ้ายหันขวา หันไปหยิบเอาไม้บรรทัดของนักเรียนคนที่นั่งใกล้มือที่สุด

“มานี่ มาตรงนี้”

จุ๊ยรู้ชะตาว่าคงจะทุเรศไม่แม้กันแน่นอน

เดินส่ายหัวดุกดิกมา

“ถือไว้สองมือตรงระหว่างเป้า”

จุ๊ยรับไม้บรรทัดมาแล้วก็เอามากำไว้ด้วยสองมือตรงตำแหน่งเป้ากางเกง

“แยกขาย่อเข่า แล้วทำตาโตๆหื่นมองหน้านางสวาหะ”

จุ๊ยย่อเข่าแล้วตำตาโตๆหื่นๆอย่างที่ว่า

“กระดกค... เอ้ยไม่ใช่ไม้บันทัดตั้งตรงแล้วกระโดดไปข้าง แล้วพูดเสียงสั่นๆห้าวๆว่า  โอ๊ยยยย สุโขยเน่”

พอจุ๊ยทำตามเท่านั้นล่ะ ไม่ใช่แค่เสียงหัวเราะ  แต่ยังมีเสียงโครมของนายก้องภพที่ล้มลงหงายลงไปเพราะไม่มีจุ๊ยช่วยรับ

จุ๊ยยกกองรายงานที่เพื่อนส่งให้อาจารย์เดินตามอาจารย์พัฒน์ไปที่รถโตโยต้ากลางเก่ากลางใหม่ของอาจารย์  ที่จริงอาจารย์พัฒน์ไม่ใช่อาจารย์ประจำ  แต่เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยที่มาช่วยสอนตามนโยบายใหม่ของกระทรวงศึกษาในรายวิชาที่เสริมเข้ามาในแต่ละแผนการเรียน

“วางตรงนี้เลยนะ”  อาจารย์พัฒน์บอก

พอวางลงที่ที่นั่งเบาะหลัง แล้วก็หันมา

อาจารย์พัฒน์ยืนกอดอกอยู่

“ได้ยินว่าเราจะไม่เรียนต่อ”

จุ๊ยทำหน้าปั้นยากแล้วตอบ

“ยังไม่แน่ครับ  ผมแค่คิดว่าจะไม่เรียนต่อเท่านั้นเอง”

อาจารย์พัฒน์เป็นอาจารย์พิเศษก็จริง  และพึ่งมาสอนที่นี่แค่สองปี แล้วยังสอนแค่สัปดาห์ละครั้ง แต่ก็สอนห้องของจุ๊ยตลอด  แล้วก็ยังเป็นลูกชายคนเล็กของน้าสาวรองของเขาด้วย

“เพราะเรื่องของฐานะของพ่อเธอใช่ไหม  ได้ยินว่าขายตกมากเลยไม่ใช่เหรอ” อาจารย์พัฒน์หรือจริงๆคือเฮียพัฒน์ของจุ๊ย วางมือบนบ่าของจุ๊ย

จุ๊ยยังไม่ได้หน้าจ๋อยซะทีเดียว ยังมีรอยยิ้มอ่อยๆให้เห็น

“ก็ส่วนหนึ่งครับ”

พัฒน์ถอนหายใจแล้วหันไปมองพระพุทธรูปประจำโรงเรียน

“กตัญญูเป็นเรื่องที่ดีนะจุ๊ย  อย่าหาว่าเฮียสอด  แต่จุ๊ยต้องคิดถึงตัวเองบ้าง  ไอ้เฮียตี้ของจุ๊ยล่ะ  เรียนหนักยังไงก็มันก็ช่วยอาเตี๋ยว(น้าเขย) ได้บ้างไม่ใช่เหรอวะ  อย่าให้มันมัวแต่เที่ยว”

“ไม่ได้เที่ยวนะ เฮียเขาเรียนหนัก” จุ๊ยแก้แทนให้

พัฒน์ถอนหายใจ

“ไอ้เรามันก็เป็นซะอย่างนี้ล่ะจุ๊ย  โลกสวยเหลือเกิน โดยเฉพาะกับเรื่องครอบครัวแกนี่ล่ะ”

จุ๊ยเกาหัวปอยๆ

“มันมีแฟนแล้ว ป๊าแกรู้รีเปล่า”

จุ๊ยตกใจนิดหน่อย แต่ก็ส่ายหน้า

พัฒน์ถอนหายใจอีกรอบ 

“เอาเหอะ  ก็เป็นเรื่องของมันหล่ะนะ  เฮียก็ไม่อยากพูดมาก  แต่เรื่องของเราเฮียไม่ไหวนะ  แต่ก็ยอมรับการตัดสินใจของแก แต่ ถ้าแกคิดว่านี่คือการทำตามสั่งเสียของอี้เหม่ย  ฉันว่าแกคิดผิด  อี้เหม่ยอยากให้เรียนสูงๆไม่แพ้ไอ้ตี้หรอก”

พัฒน์เห็นรอยยิ้มของจุ๊ยจางหายไปสนิท  เขาจี้ถูกส่วนเปราะบางของน้องชายลูกพี่ลูกน้องโดยตรง

“เอาเหอะ  คิดดูดีๆแล้วกัน “

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา