The Water's Pure Heart: ดวงใจของสายน้ำ

-

เขียนโดย Valentinlover

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 22.14 น.

  56 ตอน
  0 วิจารณ์
  43.63K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 10.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) สายน้ำที่รักของเดฟ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

จุ๊ยรีบไปที่โรงอาหาร เพราะไปช้าร้านข้าวมันไก่เจ้าอร่อยก็เลยคิวยาว  แต่กระนั้นเขาก็ยังตัดสินใจต่อคิว  แล้วต้องชะเง้อคอมองเป็นระยะว่าไก่จะเหลือพอถึงเขาหรือไม่

ตอนนั้นเองที่จุ๊ยรู้สึกโดนประชิดจากด้านหลัง

“ทำไมผมจุ๊ยหอมจัง ใช้ยาสระผมอะไร” พูดแล้วดมบนหัวของเขาเพราะคนพูดที่อยู่ด้านหลังตัวสูงกว่าเขา

จุ๊ยตอบแต่เป็นชื่อยาล้างห้องน้ำแทน

อีกฝ่ายหัวเราะหึๆ

“สำหรับจุ๊ยใช้อะไรผมก็หอมทั้งนั้น” ว่าแล้วก็โอบเอวแถมแนบสนิทจนเป้ากางเกงถูกับของหลังจุ๊ยบริเวณบั่นเอว

“หื่นจริงนะมึงเนี่ย” จุ๊ยว่าแล้วสะบัดตัวหนี

“เอาอะไรมาถูหลังกูอีกแล้ว”

นายคนนี้เป็นลูกครึ่งไทยอเมริกันหน้าตาผสมตะวันออกผสมตะวันตกอย่างลงตัว  ชื่อจริงคือเดวิด แต่ให้เพื่อนๆเรียกว่าเดฟ

“ก็จุ๊ยทำให้ผมอดใจไม่ได้สักที “ เดฟส่งสายตาเต็มที่

เดฟเป็นเกย์แบบเปิดเผย  เป็นเกย์รุกที่ไม่ออกสาว  แถมหน้าตาดี จึงเป็นขวัญใจชาวเกย์ของโรงเรียน  แม้เรียนกันคนละห้องกับจุ๊ย  แต่ก็เรียนที่นี่มาตั้งแต่มัธยมต้นจึงรู้จักจุ๊ยเป็นอย่างดี  แถมยังแสดงออกชัดเจนว่าสนใจในตัวเขา

“ผมเลี้ยงจุ๊ยเองมื้อนี้  แต่เดี่ยวกินเสร็จจุ๊ยไปนั่งเล่นกับผมตรงบันไดดาดฟ้าหน่อยสิผมมีเรื่องจะคุยด้วย”

ไม่พูดเปล่ายังเอามือมาจับแก้มจุ๊ยด้วย

จุ๊ยถอนหายใจ เอามือออก

“ไม่กินแม่งล่ะ เชิญมึงกินไปตามสบายเลยนะ”

“เฮ้ยจุ๊ยผมมีเรื่องจะคุยด้วยจริงๆนะ”

“เอออ กูรู้  คุยไปแดกกูไปน่ะสิ” เขาตอบแล้วก็เดินออกจากแถว

“ไม่นะ  ผม..” เดฟทำท่าจะตาม

จุ๊ยทำท่าตั่งการ์ดสูงแบบนักมวย

“อย่านะเฟ้ย นักดนตรีก็ต่อยเจ็บนะมึง”

จุ๊ยทำท่าย่างสามขุมแต่ถอยหลัง แล้วกลับหลังหันเดินไป

เดฟมองตามไป  มีแวดตาเศร้าลงเล็กน้อย แต่ก็กลับมาร่าเริงอย่างเก่า

“ตัวหอมชิบหาย” เขาดมมือตัวเอง 

“ชื่นใจ”

 

จุ๊ยมารวมกลุ่มกับเพื่อนร่วมห้องที่นั่งกันอยู่ทีแถวโต๊ะประจำ

“มึงก็ยอมๆมันไป  มันเผื่อมันจะหายเงี่ยนมึงซะที” คนพูดคือปอ  เพราะทั้งกลุ่มสังเกตเห็นเหตุการณ์จากระยะไกล

“กูเห็นมันเข้าหามึงแต่ละที สิงได้ สิงมึงไปละ”

จุ๊ยคลุกข้าวในจานเพื่อให้น้ำแกงผสมกับข้าวจะได้กินในแบบที่เขาชอบ

“ไม่ไหวล่ะ  ตัวสูงใหญ่ขนาดนั้น ของของมันไม่เท่า’นี่’หรือไงวะ” ว่าแล้วจุ๊ยก็ยกแขกขึ้นกำหมัดประกอบ

“ตายห่า  โดนไปที  กูมิขี้ไม่ต้องเบ่งไปตลอดชาติ”

แล้วก็หยิบช้อนช้อมมากินตักข้าวกิน

“อ้าวไม่ดีเหรอ จะได้ขี้คล่อง” เจ้าของประโยคนี้คือตั้ม หนุ่มใต้ผิวเข้ม  นักเรียนทุนจากพัทลุง  พูดติดสำเนียงใต้

“ไม่อะ... กูยังชอบอารมณ์ตอนเบ่ง” จุ๊ยส่ายหัว  ตักขาหมูเข้าปาก แล้วตามด้วยข้าว เคี้ยวแล้วกลืน

“ยิ่งเวลาไม่ได้ขี้สักสองวันนะ  เบ่งแล้วมันหลุดออกมา...โหยแม่ง...สุดยอด”

เสียงวางช้อนจากข้างหนึ่ง

“ไอ้จุ๊ยมึง กูกินผัดฝักทองอยู่ไอ้สัตว์” ไอ้ฮอยเพื่อนร่วมห้องและร่วมวงดนตรีของจุ๊ยอุทธรณ์

“ทำไมกินไม่ลง มากูแดกเอง” จุ๊ยมองหน้า แล้วเอื้อมไปตักฟักทองจากจานเพื่อนมาใส่ปาก เคี้ยวให้แบบไม่ปิดปากจงใจให้เห็นเหลืองเละในปาก

มองจุ๊ยแล้วก็ส่ายหัว แต่อัศวะก็อมยิ้ม

เขารู้จักจุ๊ยมาตั่งแต่มัธยมต้นเช่นกัน  แต่รู้จักจริงจังตอนม.2  จากการไปเป็นตัวแทนโรงเรียนไปกิจกรรมเข้าค่ายที่ต่างจังหวัด

จุ๊ยเป็นคนที่เหมือนไม่มีสาระ  เขาพูดเล่นพูดหัวได้ตลอดไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น  แถมยังเป็นคนตลกลามกหยาบคายแบบเด็กหนุ่มคะนองทั่วๆไป  แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงจังจุ๊ยจะเป็นคนละแบบ  เขาตั้งใจกับทุกอย่าง  และเวลาจุ๊ยตั้งใจทำงานนั้นดุราวกับเป็นคนละคนกับจุ๊ยในยามปกติ 

แล้วที่สำคัญคือเขาเป็นคนอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ..

นี่กระมังที่ทำให้ใครๆก็รักจุ๊ย ไม่ว่าในแบบไหนแง่ไหน  เพราะ หากต้องการเพื่อนเล่น เพื่อนคุยจุ๊ยก็จะเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วครื้นเครง ถ้าหากต้องการคนที่จะวางใจพึงพาได้ จุ๊ยก็จะทำหน้าได้อย่างดี  และถ้าต้องการกำลังใจ...

“เฮ้ยกูก็ปลอบใจคนไม่เก่งนะ” นั้นคือประโยคติดปากจุ๊ยเวลาเข้าหาเพื่อนที่กำลังมีปัญหา... แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยสักนิด

 

“แล้วนี่ไอ้อ๊อดไปไหน” จุ๊ยถามขี้นโดยมุ่งไปที่ฮ้อย

“ไม่รู้ว่ะ” ฮ้อยตอบ

 

 

“ต๊ายตาย.. แกดู แกดู... ใครว่านักดนตรีขี้ก้าง  แกดู”  เจ้าของเสียงเป็นเกย์สาวทำท่าบิดไปบิดมาด้วยความเขิน

ทั้งกลุ่มที่นั่งอยู่ จีงหันมาสนใจ 

เด็กหนุ่มพับเสื้ออย่างเรียบร้อยก่อนจะวิ่งลงไปในสนาม  เขารับลูกบอลที่เพื่อนเขี่ยส่งมาให้ด้วยเท้า แล้วเตะไปข้างหน้า

ผิวใต้ร่มผ้าจะขาวกว่าปกติ  มันเลยสะท้อนแดด  พอวิ่งไปสักพักก็อาบเหงื่อจนมัน  พลิกตัวกล้ามเนื้อก็บิดไปตาม 

“ซิกแพค ซิกแพค..  โอ้ยฉันจะตาย” นางหนึ่งกล่าวแล้วเอาผ้าเช็ดหน้ามาบิดเป็นเกลียว

“โอ้ยยยย พี่จุ๊ยขา... ขอน้องสักคืนจะไม่ลืมพระคุณเลย”

“ก็มีความหวังอยู่นะ” คนหนึ่งกล่าว  นางคืออิม เพื่อนเรียกอิม  นางเรียกตัวเองอิมเมจิ้น  นางเคยอยู่วงโยธวาทิตตอนม.ต้น

“ถ้าที่เขาเม้าท์เรื่องนั้นเป็นจริง พวกแกอาจมีความหวัง”

“เรื่อง...” เพื่อนอีกคนหันมา

“อ้าวก็เรื่องแซกคู่ไง  พี่ไตรรุ่นพี่เราสองปีไง ถ้าพี่เขายังอยู่จะอยู่มหาลัยแล้ว” อิมตอบ

“อ้ออ” คนลากเสียงคือคนบิดผ้าเช็ดหน้า

“แต่พี่ไตรแกมีแฟนไม่ใช่เหรอ  ชะนีหน้าสวยนั้นไง ที่ไปงานศพ ฉันเป็นตัวแทนนักเรียนไป จำได้”

“อ้าวก็ไม่แน่...” อิมกอดอก

“อะไรมันก็เกิดขึ้นได้นี่...”

ไม่ได้ดีดดิ้นเหมือนคนอื่น  เมืองฟ้าเด็กหนุ่มผิวขาวแบบคนเหนือนั่งฟังการสนทนาเฉยๆ  แม้จะสนใจฟังเรื่องจุ๊ยอยู่บ้าง  แต่หันกลับไปในสนามเขามองใครอีกคน...

ผิวขาวแบบคนเหนือเหมือนกัน  เรือนร่างสูงโปร่ง  ใบหน้าทะเล้นนั้นยิ้มแย้ม...  แล้วเมืองฟ้าก็ยิ้มออกมา

“แต่แกอย่าไปพูดเรื่องพี่ไตรมั่วๆเชียวนะ  จุ๊ยมันรู้แกตาย... เห็นอย่างนี้เอาเรื่องนะแก  ถ้าเป็นเรื่องพี่ไตร” อิมกล่าวออกมา

 

แม้จุ๊ยเล่นแซกโซโฟนเป็นหลัก  แต่จริงๆแล้วจุ๊ยสามารถเล่นเครื่องดนตรีได้ทุกชนิดในวง  ดังนั้นในยามที่ความจำเป็นมุ่งไปที่เครื่องสาย จุ๊ยก็โยกตัวเองไปช่วยอ็อดที่เป็นมือหนึ่งไวโอลินติวเครื่องสายให้กับน้องๆ

ดังนั้นที่วาทิตพบคือจุ๊ยกำลังยืนสีไวโอลินส่งเสียงแว่วหวานให้กับน้องสองคนฟังเป็นตัวอย่าง

วาทิตจีงถือโอกาสนั่งฟังอย่างเพลิดเพลิน

“อย่างนี้นะ  ลองดู  ลองสีทั้งท่อนพร้อมๆกัน” จุ๊ยกล่าวแล้วลดไวโอลินลง  แล้วก็นั่งลง

นักไวโอลินที้งสองจึงลุกยืนสีตามคำบอกเล่า จุ๊ยก็ใช้นิ้วโบกเหมือนไวทยากร  แต่พอหันมาเห็นวาทิตก็กวักมือเรียก

วาทิตก็เดินมานั่งลงข้างๆ

จุ๊ยมองที่นักไวโอลิน ปากก็ฮัมทำนอง  จากนั้นเขาก็หลับตา...

ใบหน้าของจุ๊ยต้องแสงเป็นมันเพราะทำโน่นทำนี่มาทั้งวัน  วาทิตคิดอยากจะเอาผ้าเช็ดหน้าซับให้แต่ก็ไม่กล้า ได้แต่เอาผ้ามากำไว้แน่น

เพลงจบ

“อืมม ใช่ได้ แต่” จุ๊ยชี้ไปที่ไวโอลินของนักดนตรีคนหนึ่ง

“สายมันหย่อนไปนิดๆ  ลองปรับใหม่ดู  ส่วนของอาร์ท  เวลาลงปลายเสียง เผื่อด้วยว่าเพื่อนจะทิ้งจังหวะไม่พร้อมเรา  เวลาเล่นวงสำคัญต้องพร้อมเพรียง  อย่าโชว์ออฟมาก”

แล้วจุ๊ยก็ลุกขึ้น

“เอ้าซ้อมกันไป  เอาท่อนนี้ท่อนเดียวเลย เพราะจะเป็นคิวที่เป็นเสียงไวโอลินเด่นอย่างเดียว  เอาให้เนียน”

แล้วเขาก็หันมาหาวาทิต

“ไปเครื่องเป่าของเราซ้อมอยู่ข้างล่าง”

 

เดินตามจุ๊ยลงมาที่ลานหลังตึกก็เห็นต้นเสียงเครื่องเป่าที่ดังไม่เป็นจังหวะและไม่เป็นเพลงเพราะต่างคนต่างเป่า

“ไหนเล่นเพลงที่เล่นเมื่อเช้าให้ฟังหน่อย เอาท่อนเมื่อเช้าเลยนะ”

วาทิตตอบว่าครับ  แล้วก็วางกระเป่าเพื่อหยิบอุปกรณ์

ระหว่างนั้นจุ๊ยหันไปฟังคนที่เป่าฮอนอยู่ไม่ไกล  เขาเดินเข้าไปขมวดคิ้วแต่ฟังจนจบท่อน

“ไอ้อู๊ดนี่มึงใช้ลมเยอะไปปะ  แล้วมึงจะเป่าจบเพลงไหม ตายก่อนพอดี”

“โอ้ยไม่มีพี่  ผมลมเยอะ” อู๊ดหันมาพูดอวด

“โถไอ้ควาย  เดี่ยวกูแนะนำน้องเขาเสร็จถึงตามึง  เอาทั้งเพลง  เอาด้วยลมที่มึงเป่าเมื่อกี้ด้วยนะ ถ้ามึงหมดลมกูจะให้เขาเตะมึงรอบวง”

อู๊ดทำหน้าแปลกๆ

“เหม่ทีเรียกวาเรียกวาน้อง ที่ผมเรียกไอ้... ลำเอียงเปล่าวะเนี่ย”

วาทิตชะงักมือที่กำลังเหน็บReed เข้าที่ปลายปากเป่าของไคลิเนต

“ก็น้องเขาน่ารัก  แต่มึงมันน่าถีบ” พูดแล้วก็ยกขาถีบที่ขาอู๊ดเบาๆ

“เออๆ จำไว้เลย  ผมมันไม่ขาว ไม่น่ารัก  ไม่มุ๊งมิ๊งนี่  พี่เลยไม่สนใจจะดูแล” อู๊ดทิ้งประโยคประชดตอนท้ายแล้วถืออุปกรณ์วิ่งไปเสียก่อนที่จุ๊ยจะถีบมันทัน

ตอนนี้หน้าวาทิตร้อนฉ่า

 

“อืมม.. วาใช้ลมผิดน่ะ”  แล้วจุ๊ยก็แบมือ

วาทิตรู้ว่าหมายถึงไคลิเนต จึงส่งให้

พอจุ๊ยเป่า  มันเป็นคนละเรื่องเลย... เสียงหวานหูของไคลิเนตมันยิ่งหวานไปกันใหญ่เมื่อจุ๊ยเป่า...

“เสียงดนตรีของไอ้จุ๊ยมันแปลกมาก... ไม่ว่าจะเป็นอะไร  ลองเป็นมันเล่น  มันจะฟังดูดีขี้นกว่าคนอื่นแทบทุกอย่า  อย่างกับเทพอะพอลโลมาเอง” นั้นเป็นสิ่งที่พี่อ็อคเคยพูดให้คนอื่นฟัง

วาทิตฟังเพลินจนจบท่อน

“เข้าใจไหม” จุ๊ยถาม

วาทิตสะดุ้ง  ตัดสินใจส่ายหน้า

จุ๊ยก็ไม่ได้ว่าอะไร  แต่อยู่ๆก็จับมือของวาทิต  แล้วเอามาทาบที่อกของเขา

“เดี่ยวพี่จะเป่าใหม่นะ แล้วเธอสังเกตุการเคลือนไหวของอกพี่”

วาทิตได้สัมผัสถึงความอบอุ่น  และเสียงต่ำๆของหัวใจ  เด็กหนุ่มเกือบจะพลุ่งพล่าน  ทว่าเสียงของไคลินเนตของจุ๊ยตรึงเขาไว้อยู่กับที่

“เข้าใจไหม หรือจะลองอีกที” จุ๊ยถาม

แต่คนตอบไม่ใช่วาทิต

“เอา... “  แล้วก็ขยับเข้ามาด้านหลังจุ๊ย

“น้องเอามือจับอกไว้  ผมจะเอามือกุมเป้าจุ๊ยให้เอง”

จุ๊ยถอนหายใจแล้วจะถองศอกใส่ แต่เดฟโดนบ่อยจึงรู้ทัน ถอยหลบได้ทัน

“นี่มึงบุกถึงถิ่นกูเลยนะ  ชมรมมึงเขาไม่มีอะไรทำหรือไงวะ”

จุ๊ยส่งไคลิเนตให้วาทิต

“มี... แต่ต้องมีจุ๊ยอยู่ด้วย เพราะเราต้องการจุ๊ยพรุ่งนี้” เดฟตอบแสดงอาการจริงจังด้วยการไม่เข้ามาลวนลามต่อ

“ทำอะไร... จะให้กูไปเล่นงานอะไรให้อีก ละครเวที?” จุ๊ยกอดอกถาม

“ใช่เล่น... แต่ไม่ใช่ดนตรี.. เป็นละคร” เดฟตอบ

จุ๊ยทำหน้างง

“มึงบ้า... กูเล่นละครเป็นที่ไหน” จุ๊ยตอบออกไปด้วยความเคยชิน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา