The Water's Pure Heart: ดวงใจของสายน้ำ

-

เขียนโดย Valentinlover

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 22.14 น.

  56 ตอน
  0 วิจารณ์
  43.60K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 10.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) พลังแห่งเสียงดนตรี

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

         

บรรยากาศ การประกวดวงโยธวาทิตสนามนี้ เหมือนเป็นการตัดสินวงที่ดีที่สุดในประเทศไทย เพราะเป็นการปะทะกันของวงโยธวาทิตทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย  และมีรางวัลเป็นถ้วยทรงเกียรติ กับสิทธิที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไปแข่งขันต่างประเทศซึ่งเป็นเดิมพันใหญ่

“ปีนี้วงจาก...” แล้วก็ออกชื่อโรงเรียนชายล้วนใหญ่ที่ชนะเลิศปีที่แล้ว

“เด็กคนนั้นไม่ได้เล่นเองแล้วนี่  ก็อยากจะรู้ว่าจะเอาอะไรมาสะกดจิตกรรมการ”

ที่พูดนี้คือกรรมการคนหนึ่งสนทนากันหมู่

“นทีธารน่ะเหรอ แต่เด็กคนนั้นก็สะกดจิตเราจริงๆนะ  เสียงแซกของเขา  ปลายๆเสียงมันวิ่งจี๊ดเข้านี่เลย... ผมเกือบหัวใจวายตาย” อีกกรรมการอีกท่านพูดทำท่าจับหัวใจ

“เห็น ครูอติบอกว่าเปลี่ยนมาขายความพร้อมเพรียง เอาระบบเก่าๆมาสู้ แต่เน้นมากๆ อันนี้เป็นไอเดียของนายนทีธารเองเลยนะ” กรรมการอีกคนที่สนิทสนมกับครูผู้ฝีกสอนกล่าว

“ก็จะรอดู”

 

จุ๊ยกวาดตามองทุกคนที่อยู่ตรงหน้า หันสอบตากับอ็อดและฮอย

“ขอบใจที่ทุกฝ่าฟันกันเข้ามาได้  ถึงเราจะมาได้ถึงรอบชิงแต่เรายังมาได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น  และต่อให้เราจะชนะวันนี้ก็ยังแค่ครึ่งทาง  แม้แต่พี่เองก็แค่ครึ่งทาง  เพราะความฝันของพวกเราคือการยืนอยู่บนสายทางของดนตรีที่เรารัก” จุ๊ยกล่าว แววตาฉาบไปด้วยความมุ่งมั่น

“แต่ถึงจะเป็นครึ่งทาง  พวกเราก็ต้องทำให้มันดีที่สุด เพราะทุกย่างก้าวของเราสำคัญ  ตอนที่พี่เรียนดนตรีใหม่ๆ อาจารย์ของพี่คนแรก  เคยบอกเขาว่า  เส้นทางสายดนตรีไม่เคยมีจุดสูงสุด แต่มันจะสูงไปเรื่อยๆตราบเท่าที่เรายังเดินไปกับมัน  ดังนั้น...”

จุ๊ยมองไปทั่วๆ แล้วหยุดที่วาทิต

“แม้เราจะอ่อนแอ แต่เราจะไม่ท้อ”

จากนั้นก็มองมาที่อู๊ด

“แม้เราจะเข้มแข็งเราก็ต้องไม่ประมาท”

แล้วมองไปตรงไป

“เราจะสร้างทุกย่างก้าวด้วยความมั่นคง มั่นใจ  และทำทุกก้าวของเราให้ดีที่สุด”

วาทิตมองภาพนั้นด้วยหัวใจที่เต้นระรัว... พี่จุ๊ยของเขา

 

วรรณามองลงไปในสนามการแสดงของลูกศิษย์ของเธอกำลังจะเริ่ม

จุ๊ยอยู่ที่ข้างสนามยืนเอามือไขว้หลังอย่างมาดมั่น โดยมีสองสหายสนิทยืนอยู่ใกล้ๆ

แล้วก็เริ่มต้น  เสียงรัวกลองที่ดังพร้อมเพรียง กึกก้องสะท้อนและราวจะสั่นสนามให้ไหวได้  เครื่องเป่าพร้อมประโคมอย่างมั่นคงมั่นใจ  เครื่องสายเครื่องเคาะทุกอย่างประสานกันอย่างลงตัว

แม้ จะเคลื่อนที่ แปรขบวน ความพร้อมเพรียงและแม่นยำก็ไม่ลดไป ทุกคนก้าวไปจุดที่ตัวเองซ้อมมาเป็นพันๆครั้ง ทุกคนรักษาพื้นที่ตัวเองอย่างดีที่สุด

ทุกคนตระหนักดีว่าพวกเขาคือส่วนหนึ่งของวง...

ไม่มีดรัมเมเยอร์หรือแม้แต่การแสดงอื่นประกอบ เป็นการแสดงของวงโยธวาทิตล้วนๆ 

แสดงออกถึงพลังอย่างเต็มที  แม้เหงื่อจะโทรมกาย และแม้จะเหนื่อยล้า  วาทิตก็ตั้งใจแสดง  เขาจะให้ทุกคนรู้ว่าเขาไม่อ่อนแอ และเขาได้รับการฝึกสอนมาจากใคร

“นี่มัน” กรรมการท่านหนึ่งพึมพำ

“วงโยธวาทิตจริงๆนั้นหล่ะ  นี่หล่ะวงโยธวาทิต”

 

จุ๊ยยืนมองน้องๆในชุดเครื่องแต่งกายเรียบๆ เดินและเล่นดนตรีกันอย่างเป็นแบบแผน 

เขาก็อยากจะรู้ว่าเขาคิดถูกหรือคิดผิดที่ออกแบบการแสดงออกมาแบบนี้  ไม่ใช่ว่าเขาจะดูหมิ่นการแสดงประกอบ  แต่เขาต้องการบอกให้รู้ว่าพลังของวงโยธวาทิตไม่ใช่มีแค่การเต้นการลีลาศ หรือสีสันสวยงาม  แต่มันคือพลังของเสียงดนตรี และความพร้อมเพรียงของนักดนตรีด้วย

เขาพิสูจน์มันมาเกือบทุกเวที  และนี่คือเวทีที่สำคัญที่สุด 

“น้องมันตั้งใจผิดปกติหรือเปล่าวะจุ๊ย”  ฮอยกระซิบ

“จะว่าไปตั้งแต่รอบแรกกูยังไม่ได้ยินพวกมันบ่นเลยสักคำนะเนี่ย”  อ็อตสนับสนุน

จุ๊ยมองไปตรงๆ 

ชอบใจ.. นะทุกคน  ไม่ชนะก็ไม่เป็นไร ขอบใจมาก

 

 

ทุกวงจากทุกโรงเรียนเดินพาเรดกลับเข้าสนามมาอีกครั้ง  แล้วมายืนรอการประกาศผล

ซึ่งก็ประกาศไปแล้วสองรางวัล  มาถึงรางวัลสุดท้ายซึ่งก็คือรางวัลชนะเลิศ จุ๊ยที่ตอนนี้ลงมายืนในสนามด้วยถึงกับมือเย็น

เขามองนิ่งที่สแตนท์  นึกไปถึงเมื่อปีที่แล้ว  เขาก็ยืนอยู่ในสนามแบบนี้  แต่ไม่ใช่แค่ผู้ควบคุมวง  แต่เป็นผู้แสดงเอง

“ก่อนที่เราจะประกาศรางวัลชนะเลิศ  ประธานคณะกรรมการตัดสินมีเรื่องจะกล่าวค่ะ” พิธีกรบอก

แล้วประธานผู้ตัดสินก็ก้าวเข้ามา  โด้งให้ประธานในพิธี

“กราบเรียนท่านประธาน ผมในฐานะประธานการตัดสิน ขออนุญาตกราบเรียนว่า  ตลอดหลายปีที่เราได้จัดให้มีการประกวดวงโยธวาทิต  การประกวดมีการพัฒนาไปมาก มีการแสดงสวยงาม และน่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง  แสดงออกถึงความตั้งใจจริงของบรรดาผู้เขาประกวด และทีมงานผู้อยู่เบื้องหลัง” แล้วท่านก็วรรค

“แต่นี่คือการประกวดวงดนตรี  เราลืมไม่ได้ว่าดนตรีคือหัวใจหลักของการแสดง  ดังนั้นในปีนี้  ผมขออนุญาตใช้ดนตรีเป็นเครื่องตัดสินหลัก”

อ็อดหันมองหน้าจุ๊ย

“แต่แม้ผลการตัดสินเป็นเช่นไร  ก็ขอให้ทุกคนรักษาความตั้งใจอย่าให้เลือนหาย  พวกคุณได้ใช้ความสามารถทุกด้านอย่างดีแล้ว เพียงแต่ว่า  วันนี้ คณะกรรมการ โดยเฉพาะตัวกระผมเองที่เกี่ยวช้องกับการดนตรีโดยตรงต้องตัดสินใจออกมาอย่าง เป็นเอกฉันท์ ด้วยพลังและความสามารถที่วงที่ได้รับรางวัลแสดงออก  พวกเราจึงขอตัดสินใจเลือกให้พวกเขาเป็นผู้ชนะเช่นนี้ ขอบคุณครับ”

แล้วพิธีกรสองหญิงชายก็ก้าวขี้นมา

“รางวัลชนะเลิศการประกวดวงโยธวาทิตชิงถ้วยประเทศไทยได้แก่ ได้แก่”

สนามเงียบ

พิธีกรประกาศชื่อออกมา  แต่จุ๊ยหูชาไปเลียแล้ว  เขาหันหลังไปมองเห็นน้องกระโดดขี้นสุดตัว  อ๊อดกับฮอยก็กระโดดกอดและเขย่าตัวเขาอย่างแรง

ที่น่าประทับใจคือแม้คู่แข่งก็หันมาปรบมือให้พวกเขาอย่างพร้อมเพรียง

จุ๊ยกำกับน้องๆให้เก็บอุปกรณ์ให้เรียบร้อย เพราะถ้าปล่อยไปเดี่ยวจะดีใจเกินไปจนข้าวของหาย

“เฮ้ยจุ๊ย” ฮ้อยหยุดมือที่ช่วยน้องแยกส่วนฮอนเพื่อเก็บ

“ไอ้ไก่”

จุ๊ยหันไป

 

“นี่ไม่ว่ากูจะอยู่ที่ไหน ก็แพ้มึงทุกทีสินะ” ไก่ในชุดนักดนตรีกล่าว  เข้าท้าวแขนกับราวของอัฒจันทน์

“บ้าน่า กูเคยคิดจะแข่งกับมึงที่ไหน” จุ๊ยตอบ แล้วตบบ่ามัน

“เราฝึกด้วยกัน เล่นเครื่องดนตรีอย่างเดียวกัน  เราคือทีมเดียวกันมาโดยตลอดต่างหาก”

ไก่เหลือบตามองจุ๊ย

“ยังโกรธกูหรือเปล่าวะเรื่องนั้น”

จุ๊ยนิ่ง

“ไม่แล้วล่ะ  ไม่อย่างนั้นกูจะมายืนคุยกับมึงอยู่นี่หรอ”

“แต่กูยังโกรธตัวเอง” ไก่บอกออกไป

“กูก็ไม่ควรพูดรึเปล่าวะ  ถ้ากูไม่พูด ไม่เอาเล่าเป็นมุขตลกในโต๊ะอาหาร  ทุกอย่างก็ไม่เป็นอย่างนี้”

“กูถึงได้ลาออกจากโรงเรียน  แต่มีงรู้ไหม  ต่อให้กูไปไหน  เหมือนผีพี่ไตรก็ยังตามไปหลอกกูอยู่  กูไม่เล่นแซกแล้วจุ๊ย  เพราะเวลากูเล่นกูนึกถึงพี่เขา”

ไก่หันมามองจุ๊ย  นึกอยากจะมีโทรจิตเขาจะได้อ่านออกว่าสายตาที่มองตรงไปของจุ๊ยมันหมายถึงอะไร

“แล้วตอนนี้มึงเล่นอะไร”

“กูกลับไปเป่าไคลิเนต บางทีก็โอโป” ไก่ตอบ

จุ๊ยหัวเราะหึๆ

“มึงก็ทิ้งแซกไม่ลงอยู่ดี  ไม่อย่างนั้นมึงคงไปเล่นเครื่องสายหรือเครื่องเคาะแล้วหล่ะ”

ไก่อึ้งนิ่ง

ไก่เคยเรียนที่เดียวกับจุ๊ย  แต่เพราะเหตุการณ์หนึ่งที่ไก่คิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุ ไก่จึงลาออกไปตอนจบม.สี่  สมัยก่อนเขากับจุ๊ยถือเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนกับจุ๊ยกับอ๊อตตอนนี้ เพราะจริงแล้วอ๊อดคือเด็กที่เข้ามาใหม่ตอนม.ปลาย  แต่จุ๊ยกับไก่เป็นคู่หูกันมาโดยตลอดตั้งแต่ม.หนึ่ง

“กูว่า” จุ๊ยโอบไหล่ไก่อย่างสนิท

“มึงเลิกฝืนตัวเองเถอะ  นอกจากพี่ไตร ก็มีมึงนี่ล่ะที่เล่นเข้าขากับกู  ถ้าคนอื่นเขาชมกูอย่างนั้นอย่างนี้  มึงก็ถือว่าควรเป็นคนที่ถูกชมเหมือนกันไม่ใช่เหรอ  อีกอย่างถ้ามึงคิดว่านี่คือการไว้อาลัย หรือการแสดงความเสียใจ  กูว่ามึงผิดละ  มึงลืมไปแล้วมั๊งว่าคนที่คอยเคี่ยวพวกเราคือพี่ไตร  พี่ไตรคงอยากให้มึงกลับมาเล่นมากกว่า  เลิกเล่น” 

แล้วจุ๊ยก็ปล่อยมือ หันมาเผชิญหน้ากับไก่

“มึงจำไว้  กูรู้จักพี่ไตรดี  พี่ไตรไม่มีทางอยากให้เด็กที่เขาเคี่ยวเข็ญทิ้งสิ่งที่เขาสอนเด็ดขาด  มึงเชื่อกูสิ”

ไก่ประสานตากับจุ๊ยโดยไม่อาจหลบได้ จนกระทั้งจุ๊ยเป็นฝ่ายหันไปเอง

“มึงก็เล่นดีนี่” จุ๊ยกล่าว

“กูแอบดูอยู่”

“หึ แต่ก็แพ้พลังของน้องๆมึง  โคตรตะลึงเลยว่ะ  ใครคิดตีมนี้ มึงรึว่าครูอติ” ไก่ส่ายหน้ากล่าว แล้วก็ถาม

“ตอนน้องมึงรัวกลอง  แมร่งยังกับกลองสงคราม  กูนี่รู้สึกอย่างกับยืนบนกำแพงเมือง แล้วข้าศึกมาล้อม เครื่องเป่าแมร่งก็ชัดเจนสุดๆ เหมือนมาเป่าข้างหู เครื่องสายก็เปะสุดๆ  เดินก็อย่างกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทำ เป๊ะซะจนกูหาคนผิดตำแหน่งไม่เจอ  พวกมันเล่นกันตั้งใจจริงๆ  พวกกูใส่ไปร้อย  น้องมึงใส่ไปร้อยห้าสิบ ก็แพ้อยู่แล้วล่ะ”

จุ๊ยยิ้มแล้วเอี่ยวหน้าเข้ามา

“มึงอยากรู้เคล็ดลับไหม”

ไก่มองหน้าจุ๊ย

“อะไรของมึง”

“กูแอบหยอดยาบ้าลงไปในน้ำที่พวกมันกินกัน”

“ไอ้สัตว์” ไก่ผลักหัวจุ๊ย

“ถ้าพร้อมขนาดนั้นกูว่ามึงเอายาสั่งลงไปมากกว่ามั้ง  สั่งหันซ้ายแม่งก็หัน หันขวาแม่งก็หันซะอย่างนั้น”

“ใครบอกกูแอบฝั่งชิพใส่สมองพวกมัน  แล้วเอารีโมทกดเอา”

“อ้าว กูก็นีกว่ามึงเอาปราสิตแพร่เข้าสมองพวกมันแล้วสั่ง”

“เฮ้ยไม่ใช่ รีโมทธรรมดานี่หล่ะ”

“อ้าวนึกว่าจอยเกมส์”

“ใช่ที่ไหนรีโมททีวีนี่หล่ะ”

“เฮ้ยเดียวนี้เขา เซตอับบ๊อกซ์ ทีวีดิจิตอลมีงหลังเขาเปล่าวะจุ๊ย”

“อ้าวก็อยู่หน้าบ้านมึงนิดนึงนั้นล่ะ แหม่ทำเป็นพูด”

ฮอยมองภาพนั้นจากจุดที่ห่างไปพอสมควร  เขาอดอมยิ้มไม่ได้

 

ผ่านช่วงเวลาที่หวานชื่น  สามหนุ่มก็ต้องกลับมาเผชิญกับความจริง  วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันซ้อมใหญ่ประจำสัปดาห์  แต่จุ๊ยมอบหมายให้ฮ้อยเป็นคนดูแลน้องๆซ้อม  ส่วนเขาอ็อดก็หิ้วเครื่องดนตรีส่วนตัวมาที่หน้าหอศิลป์กรุงเทพมหานคร 

“อายเหมือนกันนะเนี่ย” ฮ๊อดบ่นแล้วมองไปบนทางเดินสกายยวอร์คของสถานีรถไฟฟ้า

“เฮ้ยเพื่อน้อง ท่องไว้เพื่อน้อง เพื่อน้อง เพื่อน้อง”

อีอดก็ท่องตาม

“เพื่อ น้อง เพื่อน้อง เพื่อน้อง...เอาเว้ยเพื่อน้อง” เขาตะโกนแล้วชูกำปั้นหันมานึกว่าจะเจอจุ๊ยยืนอยู่ด้วย แต่กลายเป็นว่าจุ๊ยเดินไปคุยกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

เขาก็เลยกลายเป็นเป้าเดี่ยวให้คนที่ผ่านไปผ่านมอง

“ไอ้เหี้ยจุ๊ย” เขาพึมพำตอนซ่อนหน้าหลังกล่องไวโอลิน

 

ฮอยเดินควงไม้กลองตามตึก พลางฮัมเพลงเบาๆ 

“ป่านนี้ไอ้สองคนนั้นจะเป็นยังไงบ้างว๊า” เขาบ่นก่อนจะหยุด  สูดลมหายใจลึกๆ  ระหว่างนึกว่าจะบอกน้องๆยังไงที่จุ๊ยคนที่ไม่เคยขาดซ้อมเลยสักครั้งหายไป

แต่พอเข้ามา  ห้องคนตรีว่างเปล่า  ว่างเปล่าจริงๆ  ไม่ใช่ไม่มีแค่น้องๆ  แต่เครื่องดนตรีมูลค่ารวมกันหลายล้านก็หายไปด้วย

“เฮ้ย...เราโดนยกเค้ารีเปล่าวะเนี่ย”

แล้วเขาก็วิ่งไป

“ช่วยด้วยยามหมูวงโยโคนยกเค้า”

 

ตกลงเพลงกันได้สองสหายก็เตรียมเครื่องดนตรีให้พร้อม

“อ้าวจุ๊ย” เสียงเรียกทำให้หยุด

“มาทำไรกันวะ” ก้องภพมากอดคอ  เขาไม่ได้มาคนเดียวแต่มากับเพื่อนในชมรมศิลปะอีกหลายคนเดินมาล้อมพวกเขาไว้

จุ๊ยกับอ๊อดมองหน้ากัน

“มาเล่นเปิดหมวก” จุ๊ยตอบตามตรง แต่บิดวัตถุประสงค์นิดหน่อย

“กูกับไอ้อ็อดจะมาเล่นเปิดหมวกหาเงินพาน้องไปเลี้ยง เพราะพวกกูยังไม่ได้เลี้ยงพวกมันเลย”

“อ้อเหรอ พวกกูมาขายเสื้อหวะ” ก้องภพดึงเสื้อที่ใส่ให้ดู เป็นลายสกรีนเขียนว่า

Victory is the goal, but enjoying the game is the prize”

“เหม่เก๋ดีวะ ชัยชนะคือเป้าหมาย แต่การสนุกกับเกมคือรางวัล  ลึกนะเนี่ยใครคิดวะ” จุ๊ยถาม

“มึง” ก้องภพตอบคำเดียว

จุ๊ยขมวดคิ้ว

“กู... คิดตอนไหน”

“เออมึงคิด”  ก้องภพตอบ

“เอ้าเล่นสิ กูจะขายเสื้อตรงนี้  เอาให้เต็มที่  เอาเสียงแซกสะกดโลกของมึงเรียกคนให้กูหน่อย”

จุ๊ยกับอ็อดมองหน้ากัน

“เอ้าเล่นก็เล่น  แต่มึงขายเสื้อไป อย่ามายุ่งกับกล่องรับบริจาคกูนะเว้ย” จุ๊ยพูดแล้ววางกล่องลงตรงพื้นข้างหน้า

“เฮ้ยจุ๊ย” เสียงเรียกจากด้านบน

จุ๊ยเงยหน้า  บนสกายวอร์กตั้มกับปอที่เป็นนักฟุตบอลโรงเรียนก็ยืนอยุ่ด้านบนโบกมือมา  ไม่ได้มาแค่สองคนแต่มากันยกทีม อยู่ในชุดแช่งแต่ถือลูกบอลมาคนละลูก

“แล้วพวกมันมาทำไมกัน” จุ๊ยหันมาถามกับก้องภพ

“ก็มาเดาะบอล โชว์เปิดหมวก คล้ายกับมึง”

“เพื่ออะไรวะ” อ๊อดเกาหัว

“ชมรมฟุตบอลได้งบเต็มอยู่แล้ว”

ก้องภพโบกมือ

“ก็มันไม่พอ  ต้องหาเพิ่ม พวกมึงเล่นไปเหอะ  ดีเลยจะได้ช่วยๆกันเรียกคน  คนมามุงเยอะกูจะได้ขายเสื้อดีๆ”

จุ๊ยกับอ็อดมองหน้ากันอีกรอบ  แต่ก็ตัดสินใจเริ่มต้น

จุ๊ยเริ่มเป่าก่อน เพราะเป็นเพลงที่แซกโซโฟนเป็นเสียงนำ  เสียงแซกโซโฟนของจุ๊ยหยุดคนได้เหมือนเดิม  คนเป็นจำนวนมากเดินมามุงกันตั้งที่จุ๊ยเล่นไปได้แค่ไม่ถึงนาที

แล้วก็ถึงตาอ็อด ซึ่งจริงๆถ้าเป็นวงดนครีก็คือดนตรีทั้งหมดบรรเลง

อ็อดหลับตาแล้วสีโน้ตแรกออกไป

แต่เสียงที่ดังกระหึ่มกลายเป็นเครื่องดนตรีนานาชนิด

จุ๊ยกับอ็อดไม่ได้หยุดเล่น ด้วยความที่ฝึกฝนมาอย่างดี  แต่หันกลับมา

เด็กชมรมศิลปะที่บังอยู่ก็ถอยออกไป

ที่เห็นคือวงโยธวาทิตทั้งวงของกำลังบรรเลงเพลงอย่างเต็มที่และตั้งใจ

พอหมดท่อนแซกโซโฟน หากเป็นการเล่นคู่จะเป็นไวโอลีนที่เล่นเดียว  แต่นี่ทั้งวงก็เลยกลายเป็นบรรดาเครื่องสายทั้งหมด

จุ๊ยกวาดตาไปรอบสถานที่ เขาจึงได้เห็นเด็กนักเรียนโรงเรียนเดียวกันกำลัง ถือป้ายที่มีคำจั่วหัวว่า

“Victory is the goal, but enjoying the game is the prize” และเชิญชวนให้คนบริจาคเงิน  บ้างขายเสื้อบ้าง ขายขนมบ้างให้กับคนที่เดินผ่านไปผ่านมาในบริเวณนั้น

ไม่ห่างไปเดฟยืนโพสท่าเซลฟี่กับเด็กสาวๆหลายคน เสร็จแล้วก็ยกกล่องให้บริจาค  สมาชิกชมรมฟุตบอลก็เดาะบอลกันอย่างขมันขมีเพื่อเรียกให้คนบริจาคเงิน

ครูวรรณากับครูอติก็ยังมาช่วยขายเสื้อด้วย..

จุ๊ยไม่รู้ว่าน้ำตามันร่วงลงตอนไหน  แต่รู้ตัวตอนที่เดฟเดินมาซับให้

“อย่าร้องไห้สิ  ทุกคนมาข่วยจุ๊ยแล้วไง”

จุ๊ยยิ้มแล้วตะโกนออกไป

“ขอบคุณมากทุกคน”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา