The Water's Pure Heart: ดวงใจของสายน้ำ

-

เขียนโดย Valentinlover

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 22.14 น.

  56 ตอน
  0 วิจารณ์
  43.67K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 10.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

32) ใช้กำลัง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

         

เพราะติดสอบพวกพี่ฐาก็เลยงดรับงานไป  กลับมารับอีกทีก็ในหลังสอบเสร็จแล้ว  วันนี้จึงเป็นวันแรกหลังจากพักไปหนึ่งเดือน  แถมเป็นงานใหญ่อีกต่างหาก  มีดารานักร้องมามากมาย 

จุ๊ยกำลังตรวจสอบแซกโซโฟนอยู่ในบริเวณที่จัดไว้สำหรับผู้ที่จะเข้ามาทำการแสดงบนเวทีใช้เป็นจุดพัก 

อาราอิที่อยู่ในชุดหล่อหันมาเห็นระหว่างเดินออกมาจากห้องแต่งตัวก็เลยเดินมาทัก

กลายเป็นว่าทั้งสองคุยกันน้อยยิ่งกว่าเดิมจนฐาสงสัย เพราะเคยเห็นจุ๊ยคุยกับอาราอิอย่างสนิท

“มีอะไรวะ  ทำไมพูดกันแค่คำสองคำ”  ฐาพูดแล้วก็เอาทรัมเปตมากอดไว้ นั่งลงข้างจุ๊ย

“อ้อเปล่า ก็ไม่เห็นเหรอเขาแต่งตัวซะหล่อขนาดนั้น  คงกำลังรีบไปขึ้นเวทีนะพี่  เขามันดาราหญ๊าย”

“แล้วอย่างอื่นล่ะหญ๊ายด้วยไหม” โย่งที่นั่งฟังอยู่ถามตามภาษาปากไว

“อืมมม อันนี้พี่ต้องไปลองดูนะ  แต่ดูท่าจะ... อืมมม ได้จุกเลยหล่ะ ถ้าโดนไปที” จุ๊ยตอบแล้วทำตาโตๆปะหลับปะเหลือก

โย่งหัวเราะ

แต่สายตาปานอยู่กับอีกด้านหนึ่ง 

“เอ็งดูเมียเอ็งสิ  ทำไมเดี่ยวนี้สนิทกับลูกชายเจ้าของบริษัทเครื่องเสียงจังวะ”

จุ๊ยหันตามไป  เดฟในชุดที่หล่อไม่แพ้อาราอิกำลังยืนหันหลังให้อัศวะจัดสาบเสื้อด้านหลังให้

เออ... จะว่าไปพักนี้เดฟก็ไม่ค่อยมากวนเขาเท่าไหร่ นอกจากผ่านมานานๆครั้งก็จะตอดนิดตอดหน่อยไปตามภาษา  แถมทุกครั้งที่มาก็จะมีอัศวะเดินมาด้วย  และดูจะสนิทกันมากอย่างที่ปานตั้งข้อสังเกต

“น้องๆครับเตรียมตัวครับผมคิวต่อไป” เจ้าหน้าที่เวทีเดินมาเรียก

 

บนเวทีวง Quartet Love ของพวกรุ่นพี่คณะดุริยางค์ กำลังบรรเลงเพลงSing Sing Sing อยู่

 อัศวะที่พึ่งตอบวิทยุจากหลังเวทีไปก็มายืนดู

เพื่อนจุ๊ยเด็กปีหนึ่งต่อปีสองกลับกลมกลืนไปกับพวกรุ่นพี่ได้อย่างแนบเนียน 

หันไปอีกทางก็เห็นเดฟที่อยู่ข้างเวทีก็ยืนดูอยู่ด้วยกัน

เป็นการยากที่จะอ่านความรู้สึกของเดฟจากตรงนี้  แต่ตอนนี้อัศวะไม่สนใจแล้วเดฟจะรู้สึกอย่างไร  เขาสนแต่ว่าตอนนี้พัฒนาการของความรู้สึกของเขากับเดฟพัฒนาไปมากแล้ว  เขาก็เลยหันหลังแล้วเดินออกไปด้านนอกเพราะมีวิทยุเรียกจากช่างไฟที่มีปัญหาอยู่

 

พอจัดการธุระของช่างไฟเรียบร้อยอัศวะก็เดินผ่านมาตรงที่มีกลุ่มเด็กหัวเกรียนในชุดวงโยธวาทิตนั่งอยู่  สังเกตให้ดีจึงได้รู้ว่าคือวงจากโรงเรียนเก่าของเขานั้นเอง  แต่พอจะเดินเข้าไปใกล้  ก็ประสบเหตุพอดี

เด็กหนุ่มกำลังกระชากคอเสื้อกันไปมาอย่างรุนแรงไม่ใช่การเล่นแน่นอน

“เฮ้ยๆอะไรกัน” อัศวะร้อง และแทรกเข้าตรงกลาง

“อะไรกันวะเรียนโรงเรียนเดียวกันกัดกันเป็นหมา”

สองคนออกจะงงกับการเข้ามาห้ามของอัศวะ

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” อัศวะถามแล้วมองหน้าทีละคน

คนหนึ่งหลบตา อีกคนกลับถามกลับ

“พี่ยุ่งอะไร”

อัศวะเชิดหน้าขึ้นก่อนจะกล่าว

“อ้อกูไม่ยุ่งก็ได้  แต่กูจะให้พ่อมึงจัดการ” 

 

จุ๊ยพึ่งเดินลงจากเวทีเข้ามาในส่วนพักของนักดนตรี ฐาก็เดินเข้าบอกว่ามีรีเควสพิเศษเพราะเขาเป็นคนที่เดินไปคุยกับผู้จัดการเวที

“เขาขอให้เราเล่นอีกไปอีกสองเพลง  พอดีนักร้องที่มีคิว รถติดอยู่”

จุ๊ยพยักหน้าเงิ่ดๆ

“จุ๊ย” เสียงเรียกพร้อมกับการเข้ามาของอัศวะ

“ลูกหลานลิงมึงก่อเรื่อง”

 

จุ๊ยกับฐานั่งเผชิญหน้ากับเด็กสองคนหายซ่าเป็นปลิดทิ้งเพราะทั้งสองเป็นเด็กวงโยธวาทิตรุ่นมัธยมต้นตอนที่จุ๊ยเป็นหัวหน้าวง

“มึงกัดกันเป็นหมาอย่างนี้แล้วจะเล่นร่วมวงกันได้ไง” จุ๊ยกล่าวแล้วเหลือบไปมองหน้าสมาชิกวงคนอื่นที่พากันมานั้งล้อมอยู่ในบริเวณ

“วง คือวง  คือความสามัคคี  พวกมึงกัดกันแบบนี้เค้าเรียกสามัคคีหรือวะ  ดนตรีขัดเกลาให้เราเป็นคนอ่อนโยน  แต่มึงสองคนนี่เป็นเหี้ยอะไรมากัดกันเอง แล้วนี่อายเขาไหม  ชื่อสถาบันก็อยู่บนสายสะพายไอ้ดรัมที่นั่งหัวโด่อยู่นั้น  มึงทำอะไรไม่นึกถึงวงก็นึกถึงโรงเรียนบ้างวะ  เดี่ยวเขาจะหาว่าโรงเรียนเรานักเลง”

สองคนมองหน้ากัน แล้วก็กล่าวออกมาพร้อมก้มหน้า

“ผมขอโทษครับ”

“ตามกฎ  เดี่ยวพวกมึงกลับโรงเรียน ไปแบกกลองใหญ่วิ่งรอบสนามสามรอบ ถ้าอาจารย์ถามว่าใครสั่งก็บอกไปว่ากูสั่ง เข้าใจไหม”

ฐารู้สึกทึ่งกับความเด็ดขาดของจุ๊ย  ก็สมแล้วที่เป็นอดีตหัวหน้าวงที่ได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จสูงสุด เพราะเป็นนักดนตรีตัวหลักตั้งแต่ชนะเลิศครั้งแรก  และยังเป็นคนนำชัยชนะมาให้กับวงอีกครั้งในสมัยตัวเองหัวหน้าวง

“แล้วนี่หัวหน้าวงไปไหน” ฐาถามขึ้นมา

เงียบไม่มีใครตอบ

“ใครเป็นหัวหน้าวง” จุ๊ยถามเสียงเข้ม เพราะตั้งแต่เข้าปีสองเขามัวแต่วุ่นวายด้วยเรื่องต่างๆก็เลยไม่ติดตามเรื่องของวงโยธวาทิต

“แล้วมันไปไหนวะ ปล่อยให้พวกมึงกัดกันเป็นหมาอย่างนี้  ไปตามมันมาเดี่ยวกูจะจัดการให้เข็ด”

หนึ่งในเด็กที่นั่งล้อมวงก็ยกมือตอบว่า

“พี่วาครับ  พี่เขาบอกว่าจะไปกับคุยกับผู้ประสานงาน”

อัศวะที่ยืนดูอยู่ตรงนั้นด้วย  ได้ฟัง ก็ป้องปากหัวเราะ

“เอาสิวะพี่จุ๊ย  จัดการเลยน้องวาของมึงเอง  โน่นมาโน่นแล้ว”

จุ๊ยมองตามไปอาการพยักเพยิบของอัศวะ

เด็กหนุ่มผัวขาวจัดเดินกึ่งวิ่งมา คงมีใครบอกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

“เอาเลยพี่จุ๊ยใจร้าย  แดกหัวน้องวาของมึงเลย”  อัศวะยั่วอีก จุ๊ยเลยเขกหัวมันไปทีหนึ่ง

วาทิตวิ่งมาถึงก็ยกมือไหว้

“วา” จุ๊ยเสียงเข้มด้วยแล้วลุกขึ้น

“มานี่”

สองคนเดินตามกันออกไป

ฐาทำหน้างง

“ใครวะ”

“อ้อ” อัศวะตอบปนรอยยิ้มสะใจ

“เด็กมันพี่ เด็กมัน”

 

วาทิตอธิบายเหตุผลโดยมีจุ๊ยนั่งกอดอกมองหน้าเขาอยู่

“ผมขอโทษครับเฮีย  ผมไม่คิดว่าน้องๆจะทะเลาะกัน”

เอาเข้าจริง  แค่เห็นหน้าขาวๆของวาทิตยิ่งซีดลงไปอีก  เขาก็ใจอ่อนแล้ว 

“นี่เราโตขึ้นนะ  ไม่ได้เจอกันนาน” จุ๊ยถามแล้ววางมือบนหัววาทิต

วาทิตเปลี่ยนสีหน้าจากที่เหมือนจะร้องไห้  ยิ้มออกมา

“ไอ้การเป็นหัวหน้าวงน่ะ  เราต้องมีทั้งปราบและปลอบ  วาเป็นคนอ่อนโยน  พวกน้องเลยอาจได้ใจ  นานๆที่ก็ต้องทำให้เขาเห็นว่าเราจริงจังบ้าง  เข้าใจไหม”

วาทิตพยักหน้า  แววตาของจุ๊ยยังอบอุ่นเหมือนเคยไม่มีผิด

“พี่จุ๊ย” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นขัด

อู๊ดเดินฉับๆมา

“ทำอะไรแฟนผม  เด็กมันก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเขาไปคุยกับผู้ประสานงานอยู่  แล้วพี่จะมาอะไรกับวามากไปเปล่าวะพี่”

อู๊ดเดินมาเผชิญหน้ากับจุ๊ย 

“เอ้ย พี่อู๊ด” วาทิตเอามือจับแขนอู๊ด

“ไม่ต้องเลยวา  พี่ไม่ยอมหรอก” อู๊ดปลดแขนวาออก

“ถ้าพี่ลงโทษวา  ไม่ยอมหรอก  ผมก็อดีตหัวหน้าวงเหมือนกัน  เราศักดิศรีเท่ากัน  ผมไม่ยอมแน่ๆ”

จุ๊ยหันมองหน้าอัศวะที่เดินตาม  เขายักไหล่แล้วหันไปอีกทางเหมือนบอกว่าไม่รู้ไม่ชิ

“อะไรของมึง  นี่มึงกล้ากับกูแล้วเหรอไอ้อู๊ด  นี่กูเป็นคนสอนมึงเล่น สอนมึงทุกอย่าง  มึงขึ้นเสียงกับกูเหรอวะ” จุ๊ยทวงบุญคุณ

“เรื่องอื่นผมไม่ว่า  แต่พี่มารังแกแฟนผมไม่ได้” อู๊ดประกาศ

จุ๊ยชักสงสัย

“นี่มึงพูดว่าแฟนสองรอบละ” เขาขมวดคิ้ว

“ก็วาเป็นแฟนผม” อู๊ดยืนยัน

จุ๊ยอึ้งกับท่าที่หนักแน่น

“วา ไปเป็นแฟนไอ้หมาอู๊ดตั้งแต่เมื่อไหร่”

วาทิตยิ้มเจื่อนๆ แล้วตอบออกมา

“ก็นานแล้วครับเฮีย”

“อุ๊บบะ... มาแรง” อัศวะร้องออกมา

“เฮ้ย..” จุ๊ยถึงกับลุกขึ้น

“นี่สองคน  เป็นแฟนกัน... อะไรวะกูงง ล้อเล่นรีเปล่าเนี่ย”

“ไม่ได้ล้อเล่นครับ” อู๊ดว่าแล้วดึงตัววาทิตลุกขึ้นมาโอบเอวไว้

“พี่ห้ามรังแกวา  แล้วก็ห้ามหลีวาด้วย”

จุ๊ยทำหน้าเหยเก

“กูนี่นะ หลีน้องวา”  จุ๊ยชี้อกตัวเอง

“เออ... พี่เลิกทำเป็นเอ็นดูวาได้แล้ว  อย่างนี้แฟนผมหวั่นไหว  พี่ก็มีพี่เดฟอยู่..”

“เฮ้ย” อัศวะขัดคออู๊ด

“อย่าลามปาม  เดฟน่ะของกู”

จุ๊ยหันขวับไปมองหน้า

“อะไร มึงจัดการเรื่องของมึงไป อย่ามายุ่งเรื่องกูกับเดฟ” อัศวะดันจุ๊ยให้หันกลับ

จุ๊ยมองหน้าทั้งคู่

“นี่ซีเรียส” จุ๊ยถาม

สองคนมองหน้ากัน  ก่อนอู๊ดจะพยักหน้ายืนยัน

“เฮ้ยจุ๊ย” ฐาเดินกึ่งวิ่งมา

“เร็วไปเร็วจะถึงคิวแล้ว”

จุ๊ยก็เลยต้องเดินไป

“กูต้องการคำอธิบายไอ้อู๊ด มึงรอกูเดียว  อย่าพึ่งกลับ ส่วนน้องวา  กลับไปได้  ต้องพาน้องกลับบ้านใช่ไหม” เขาหันมาสั่งก่อนจะเดินไป

อู๊ดหันมามองหน้าวาทิต  แล้วทั้งสองก็กุมมือกัน 

อัศวะตบบ่าอู๊ดก่อนจะเดินไปทางเดียวกับจุ๊ย

“สู้ๆ อย่าไปกลัวมัน”

 

 

แต่วาทิตก็ไม่ได้กลับ  ยังคงชมการแสดงของ The Quartet love ที่เล่นเพลง Killing Me Softly ต่อด้วย Unchained Melody ซึ่งเป็นการโชว์ของจุ๊ยเพราะเน้นที่เสียงแซกโซโฟน

 

วาทิต ยิ่งได้ฟังยิ่งทึ่ง  ว่าไปแล้วเขาก็ไม่ฟังจุ๊ยเล่นจริงๆจังๆและสดๆมานานมากแล้ว  ฟังอีกที่เขาว่าจุ๊ยก้าวมากกว่าที่เขาจำได้ไปอีกขั้นแล้ว

 

“ไอ้พี่จุ๊ยมัน..” อู๊ดกล่าวออกมาทั้งที่กำลังหลับตา

 

“จะเก่งไปไหนวะเนี่ย เล่นขนาดนี้กูก็ตามพี่ไม่ทันสักทีสิวะ”

 

อาราอิที่แอบมองจุ๊ยมาจากหลังเวที  บนเวทีนั้นมันเหมือนโดนครอบครองไปแล้วด้วยจุ๊ย  แม้นี่จะเป็นงานอีเว้นท์ ที่ด้านล่างก็มีกิจกรรมต่างๆมากมาย  แต่เหมือนคนหันมาสนใจกับการแสดงบนเวที  ตอนนี้คนเริ่มมุงเข้ามาหน้าเวทีมากขึ้นเรื่อยๆ 

 

“โยชิ” ผู้ประสานงานมาเรียก

 

“ครับ” อาราอิขานแล้วเดินมาหา

 

ในระหว่างนั้น เขาก็เหลือบไปเห็นหญิงชายคู่หนึ่งเดินเข้ามา  ทั้งคู่หยอกล้อต่อกระซิกกัน

 

แต่เพราะอาราอิกำลังฟังผู้ประสานงานชี้แจ้งการเปลี่ยนแลงรายการเพราะมีศิลปินบางคนมีปัญหาเรื่องการเดินทาง  ดังนั้นเขาจึงได้แค่มองไป

 

 

 

“ตกลงสองคนคบกันจริงๆ ว่างั้น” จุ๊ยมองหน้าทั้งสองที่นั่งอยู่ตรงหน้า

 

“แล้วไปทำกันท่าไหน ถึงได้ตกลงเป็นแฟนกัน”

 

“ก็...” อู๊ดลากเสียง

 

“ก็หลายท่านะพี่”

 

โครมเดียวตกเก้าอี้  แต่อู๊ดก็ยังลุกมายิ้มแหะๆ

 

จุ๊ยลดขาลง  ยังดีที่กางเกงที่เขาใส่เป็นกางเกงทรงย้อนยุคทำให้มันคับแน่น  ไม่อย่างนั้นจะกระทืบซ้ำเสียอีกสองที

 

“เออ... กูรู้ท่าเดียวก็เมื่อยแย่สิวะ” จุ๊ยตอบ

 

แล้วก็มองรุ่นน้องทั้งสอง  เพราะอู๊ดเองก็ถือเป็นศิษย์เอกของจุ๊ยที่เคยเคี่ยวมากับมือตั้งแต่มัธยมต้น 

 

“เอาวะ  มันเรื่องของพวกมึง  แล้วยังไงดีวะกูต้องอวยพรรีเปล่าวะ”

 

วาทิตยิ้มอายๆ

 

“เรายังไม่ได้แต่งงานกันนะเฮีย” 

 

“เออว่ะ” จุ๊ยเกาหัวแกรกๆ

 

“จุ๊ย  เพิ่มอีกสองเพลงมึง” ปานเดินเข้ามาบอก

 

“เออๆ พี่เดียวไป” จุ๊ยตอบ

 

อู๊ดเลยมองหน้ากันกับวาทิตแล้วก็ลุกขึ้นพร้อมๆกัน

 

“งั้นเรากลับก่อนนะเฮีย” อู๊ดลากเสียงพูด

 

จุ๊ยขยี้หัวอู๊ดแรงๆ

 

“แหม่กระแดะ  มึงน่ะเชื้ออะไรมาเรียกกูเฮีย”

 

อู๊ดหัวเราะแล้วก็ขยับเข้ากระซิบ

 

“พี่.. บางทีการได้เปิดเผยในสิ่งที่เราอยากจะเปิดเผยมันก็ทำให้เราเหมือนปลดปล่อยเนอะพี่เนอะ”

 

จุ๊ยมองหน้าอู๊ด คำพูดนั้นช่างสะกิดใจ

 

จุ๊ยหันกลับไปหาวา

 

“หัวหน้า   ดูแลน้องดีๆ  มีอะไรก็ไม่ต้องปรึกษาเฮียแล้วนะ  ไอ้เหี้ยนี่มันช่วยเราได้  ถึงมันจะบวมๆ บ้าๆ ก็พอใช้ได้อยู่”

 

วาทิตมองหน้ากับอู๊ด แล้วก็พยักหน้า

 

สองคนเดินคู่กันไป  แม้ไม่ได้จับมือแต่ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างโยงทั้งคู่เอาไว้ 

 

บางทีโลกก็จะเล่นตลกกับเรา  บางทีเราก็อาจไม่เข้าใจเหตุผลบางอย่าง... และบางทีก็อาจต้องปล่อยให้หัวใจชักพาแทนจะเป็นเหตุผล...  นั้นคือคำพูดของมารดาของเขานั้นเอง

 

 

 

อาราอิหมดคิวไปแล้วเพราะนักแสดงหนุ่มคนที่ต้องรับช่วงต่อจากเขามาถึงด้วยอาการกระหืดกระหอบ

 

เขาก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนั่งให้ช่างแต่งหน้าจัดการลบเครื่องสำอางออกให้ 

 

แต่ระหว่างนั้น  เขาก็เห็นใครคนหนึ่งจากกระจก

 

ผู้ชายวัยห่างจากเขาแค่ไม่ถึงหกปีดี  ก็เหมือนจะมองเห็นว่าอาราอิมองอยู่ก็เลยทัก

 

“ว่าไปไงอาราอิ ไม่เจอกันตั้งนาน” เขาวางนิตยสารที่อ่านอยู่ลุกมายืนกอดอกด้านหลัง

 

“โตขึ้นจากที่เจอกันครั้งที่แล้วเยอะนี่”

 

อาราอิไม่ตอบ  เขาพยายามควบคุมอารมณ์

 

นายคนนี้ชื่อเทียน  เคยเป็นวีเจวัยรุ่นชื่อดัง แต่เพราะมีข่าวฉาวนับไม่ถ้วน  เริ่มจากที่มีความสัมพันธ์กับสไบทองมารดาของเขา แล้วยังมีข่าวมั่วยา และไปมีความพัวพันกับการตั้งครรภ์ของดาราสาวอีกคน  ซึ่งมารดาเขาเองนั้นล่ะจัดการจนหมด  แล้วจับส่งไปเรียนที่อังกฤษเพื่อชุบตัว

 

“ที่จริงเราควรจะดีๆกันไว้นะ  ก็เห็นอยู่ว่าเราคงหนีกันไม่พ้น  เพราะแม่ของนายกับฉันก็รักกัน  สักวันนึงฉันก็อาจต้องเรียกนายว่าลูกชายก็ได้”เทียนกล่าวต่อไป

 

อาราอิลุกขึ้น  แม้ช่างแต่งหน้าสาวประเภทสองที่รู้เรื่องดีจะพยายามรั้งก็ตาม

 

“ขอโทษ ผมมีพ่อคนเดียว  ไม่คิดจะมีพ่อที่อายุใกล้เคียงกัน”

 

“อ้าว...” เทียนยักคิ้ว

 

“ถ้าฉันกับแม่นายแต่งงานกัน  เราก็เรียกว่าเป็นพ่อเลี้ยงลูกเลี้ยงกัน  นายน่าจะเข้าใจ  ไม่อย่างนั้น  แม่ของนายคงไม่หย่ากับพ่อของนายเพื่อฉันหรอกจริงไหม”

 

อาราอิยักหน้าช้าๆ  สูดลมหายใจทีเดียวลึกๆ

 

แล้วโดยไม่คาดฝันเขาก็ชกเปรี้ยงไป 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา