The Water's Pure Heart: ดวงใจของสายน้ำ

-

เขียนโดย Valentinlover

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 22.14 น.

  56 ตอน
  0 วิจารณ์
  43.62K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 10.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

51) ความรักของฮ้อย..

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

         

ฮ้อยพึ่งกลับมาจากมหาวิทยาลัย และพึ่งจะจอดรถในช่องจอดประจำ  วันนี้เป็นวันที่เขากับสองสหายสนิทไม่ได้เรียนด้วยกัน เนื่องจากฮ้อยมุ่งจะไปสายจะเป็นนักแต่งเพลงมากกว่านักดนตรีของจุ๊ยกับฮ้อย ก็เลยเลือกวิชาเรียนที่แตกต่างกันไป

แต่ระหว่านั้น  เขาก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งลากกระเป๋าล้อเลื่อนมาด้วยมือข้างหนึ่งอีกข้าง ถือของพะรุงพะรัง  แล้วของชิ้นหนึ่งก็ร่วงลงมา  เธอใส่กระโปรงแคบก็เลยลำบากกับการจะหยิบ แถมข้าวของก็มากพออยู่แล้ว  ฮ้อยก็เลยเดินเข้าไปหยิบให้

แม้แว่บแรกจะเห็นเป็นผู้หญิงแต่ถ้าพิจารณาดีๆ  เธอเป็นผู้หญิงข้ามเพศแน่นอนที่สุด

“ขอบคุณค่ะน้อง” เธอกล่าวแล้วก็ย่อตัวลงนิดหนึ่งให้ฮ้อยเอาของวางไว้บนสุด

หากเดินไปได้นิดหน่อยมันก็หล่นลงมาอีก

“ผมช่วยพี่ดีกว่า พี่อยู่ชั้นไหนครับ” ฮ้อยอาสา  ตอนที่มาหยิบของให้อีกครั้ง

 

ดวงหน้าของเธอเคยเป็นผู้ชายมาก่อน  จึงพอสังเกตได้นิดๆว่ามีเค้าผู้ชาย  แต่ร่างกายที่ผ่านการแปลงมาแล้วก็ดูเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เพียงแต่ฮ้อยมีประสบการณ์พบเจอกระเทยมาพอสมควรที่บ้านต่างจังหวัดเพราะ เพื่อนของเขาคนหนึ่งก็แปลงจนเป็นผู้หญิงเต็มตัวเหมือนกับเธอคนนี้

พอไปถึงห้อง เธอก็เปิดประตูแล้วเอาของไปวางไว้โต๊ะที่ใกล้ที่สุดก่อนจะออกมารับ

“ขอบคุณนะคะ น้องนี่หล่อแล้วยังใจดีอีกนะเนี่ย” เธอกล่าวชมเชย ด้วยน้ำใจใจจริงมากกว่าเป็นการจีบแซว

“ไม่เป็นไรครับ” ฮ้อยตอบ

“พี่พึ่งย้ายมาหรือครับ เพราะห้องนี้ไม่มีคนอยู่มานานแล้ว”

เธอแปลกใจ

“คะ แต่น้องทราบได้ยังไงว่าเคยเป็นห้องว่าง”

ฮ้อยหัวเราน้อยๆ แล้วชี้ประตูห้องฝั่งตรงข้าม

“ผมอยู่ห้องนี้ครับ”

เธอร้องอ้อแล้วก็กล่าวขอตัวไปจัดข้าวของ

ฮ้อยก็หันไปเปิดประตูเข้าห้องไป

 

ฮ้อยกำลังดูทีวีอยู่ตอนที่อ๊อดกลับมาพร้อมอาหารเย็น

“กินข้าวยัง มากินกันกูซื้อพะแนง กับผัดฝักทองมาด้วย”

ฮ้อยหันมองหน้าเพื่อน

“มึงรู้ได้ไงว่ากูชอบกินผัดฝักทอง”

“ไอ้จุ๊ยมันบอก” อ๊อดว่า แล้วก็วางของไว้ที่เคาร์เตอร์ที่กั่นส่วนครัวแล้วก็เข้าห้องน้ำไป

ฮัอยหันมองบนกับข้าว แล้วก็ลุกขึ้นไปหยิบจานมาเทกับข้าวใส่

อ๊อดออกมาแล้วก็เดินมาช่วยด้วยการเทข้าวใส่จาน

แต่เสียงกริ่งประตูดังขึ้น

อ๊อดก็เดินไปเปิด ปรากฏว่าเป็นหญิงสาวใบหน้าสวยงามในชุดลำลอง

“น้องฮ้อยอยู่ไหมค่ะ”

ฮัอยได้ยินชื่อตัวเองเลยเดินมา

“อ้อ พี่นั้นเอง”

“ตอบแทนที่ช่วยพี่นะคะ” แล้วเธอก็ยื่นส่งถุงใบหนึ่งมาให้

“ช๊อกโกแล็ต  สองคนไปแบ่งกันนะคะ”

ฮ้อยเดินมารับ ส่วนอ๊อดถอยไปยืนข้างๆ

“ขอบคุณครับพี่ ไม่ต้องก็ได้เราเพื่อนบ้านกัน”

เธอยิ้มละไม

“ก็ถือเป็นการทักทายเพื่อนบ้านด้วยไงค่ะ”

แล้วเธอก็กล่าวขอตัว  แต่ฮ้อยก็นึกได้ว่ายังไม่รู้จักชื่อ

“เดี่ยวครับพี่ พี่ชื่ออะไร”

“ปาล์มค่ะ” เธอตอบแล้วก็ยิ้มให้ก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องตัวเอง

“ใครวะ” อ๊อดถาม

ตอนที่ฮ้อยเอาถุงขนมมาวางไว้บนโต๊ะชุดรับแขก แล้วเดินไปที่เคาร์เตอร์ชุดครัวลากเก้าอี้มานั่ง

“ดีเหมือนกันมีเพื่อนบ้านสาวๆสวยๆ” อ๊อดนั่งลงข้าง

ฮ้อยมองหน้า

“มึงดูไม่ออกหล่ะสิ”

อ๊อดตักพะแนงมาราดข้าว

“ออกอะไร”

“ก็พี่เขาเป็นผู้ชาย  คือกูหมายถึงเขาเป็นผู้หญิงข้ามเพศ” ฮ้อยเฉลย

“หา.. ผุ้ชาย” อ๊อดตาโต

“จริงอ่ะ สวยมากเลยนะนั่น”

“อืม กูดูออก มึงเห็นแว่บเดียวเลยไม่ได้สังเกตใช่ไหม” ฮ้อยกล่าว

อ๊อดทำหน้าทึ่งอยู่ครู่

“เออ...แล้วำทำไมมึงถึงถามชื่อเขา ก็รู้จักกันไม่ใช่เหรอ ก็เห็นเขาเรียกชื่อมึง”

พออ๊อดพูดอย่างนี้ ฮ้อยเลยฉุกคิด

“เออวะ เมื่อกี้พี่เขาเรียกชื่อกูด้วยนี่หว่า  แต่กูยังไม่ได้บอกชื่อพี่เขาเลยนี่หว่ากูจำได้”

“เออ... แล้วเมื่อกี้ยังบอกว่าแบ่งซ๊อกโกแล็ตมาให้สองคน  แล้วเขารู้ได้ไงว่ามึงอยู่กับกู” อ๊อดตั้งข้อสังเกตอีกประการ

 

อ๊อดไม่มีเรียนวันนี้  แต่ฮ้อยต้องไปเพราะกลุ่มเรียนของเขามีTestนอกรอบ เขาก็เลยต้องไป

ตอนกำลังจะเปิดประตู ได้ยินเสียงที่ด้านนอกเหมือนมีคนคุยกัน  แต่พอเปิดออกมา เจอเพื่อนบ้านใหม่กำลังหอมแก้มหนุ่มน้อยคนหนึ่งอยู่  ฮ้อยรีบปิดประตูคืนเพราะไม่อยากเป็นก้าง  แต่กลายเป็นหนุ่มคนนั้นที่เรียก

“ฮ้อย  เฮ้ยจะไปไหน”  อัศวะทัก แล้วเดินมาเอามือดึงประตูไว้

“อ้าว ไอ้อัส” ฮ้อยตอบ

หันไปมองหน้าเพื่อนบ้าน เห็นเธอยิ้มกริ่ม  เขาก็เลยดึงอัศวะเข้ามาในห้อง

“เฮ้ยนี่มึงนอกใจไอ้เดฟเหรอวะ” ฮ้อยถามเสียงเบา

“นอกใจอะไรนั่นพี่กู” อัศวะตอบ

“มึงจำพี่กูไม่ได้เหรอวะ”

ฮ้อยงง แต่พอลำดับเหตุการณ์ได้

“เดี่ยวนะ... มึงอย่าบอกนะว่านี่คือพี่ปัติ”

“เออ.. ทำไมงงล่ะสิ  นี่หละพี่ปัติ  ตอนนี้แกเปลี่ยนเป็นปาล์มแล้ว  เมื่อวานแกยังโทรมาถาม ว่าเพื่อนกูที่อยู่วงโยชื่ออะไร ก็คิดว่าน่าจะเป็นมึง เลยบอกพี่เขาไป”

 

“พอพี่ปัติไปเรียนมหาวิทยาลัย แกก็เริ่มเปลี่ยนไป  ตอนหลังพ่อจับพิรุธได้ก็คาดคั้น  เลยทะเลาะกันใหญ่โต  แล้วพี่เขาก็ออกจากบ้านไป ลาออกจากมหาวิทยาลัย ต่อมาแกก็ไปทำงานที่พัทยา กลายเป็นผู้หญิงเต็มตัว  แล้วก็ไปเจอแฟนของแกที่เป็นคนฝรั่งเศส ก็เลยย้ายไปอยู่ที่ต่างประเทศ แต่แฟนแกพึ่งเสียไปได้สองเดือนกว่าๆ แกก็เลยกลับมาเมืองไทย”  อัศวะเล่าตอนที่ขับรถ

“เรื่องของพี่ปัติน่ะ  ไอ้จุ๊ยก็รู้ดี  เพราะตอนที่พี่ปัติกับพ่อทะเลาะกัน  ฉันก็เล่าให้จุ๊ยฟัง  มันก็เลยรู้เรื่องหมดแล้ว  แล้วก็เล่าให้มันฟังเป็นระยะ”

“ไม่เห็นมึงเล่าให้กูฟัง” ฮ้อยท้วง 

“อ้าวก็มันน่าเล่าไหมเล่า  มึงจะให้กูไปเที่ยวโพทะนาเรื่องครอบครัวให้คนอื่นฟังได้ยังไง  แค่นี่กูก็กลุ่มใจจะแย่แล้ว” อัศวะกล่าว

พอดีในช่วงนั้น  เพลงของอัศวะเองก็ดังจากวิทยุที่เปิดค้างไว้

“เสียงมึงก็ใช้ได้นะ  แล้วเป็นไงบ้าง แฟนเพลงมึงเยอะขนาดไหน” ฮ้อยถาม

“ก็มีพอสมควร  ก็มีแฟนคลับตามไปกรี๊ดทุกที่ ที่หลายร้อยเหมือนกัน” อัศวะตอบ 

“เหรอ” ฮ้อยกล่าว  อันนี้ต้องยอมรับตามตรงว่าเขาไม่ได้ติดตามงานเพลงของเพื่อน เพราะไม่ใช่กลุ่มงานเพลงที่เขาสนใจ

“แต่กูว่าจะไม่ต่อสัญญากับบริษัท” อัศวะพูดออกมา

“อ้าว” ฮ้อยหันมามองหน้า

“ทำไมหล่ะ”

“กูจะเลิกแล้ว  กูเบื่อจะต้องหลบซ่อนๆไปเวลาไปไหนกับเดฟ” อัศวะถอนหายใจ พอดีรถติดก็เลยหันมามองหน้าฮ้อย

ตอนนั้นแสงที่สะท้อนมาจากตึกที่เป็นอาคารกระจกตกลงบนหน้าของเขา  จริงแล้วฮ้อยเป็นหนุ่มหน้าหล่อคนหนึ่ง  เพียงแต่เพราะเขาไม่ได้มีความโดดเด่นด้านบุคลิกภาพ ทำให้อาจไม่ค่อยมีคนสนใจเขามากนัก  แต่เขาก็มีคิ้วเช้ม จมูกโด่งสัน  ริมผีปากบางและแดงจัดแบบคนไม่สูบบุหรี่ 

“ดูๆไปมึงก็หล่อนะ  ปากก็น่าจูบ ขอจูบที่ได้เปล่า”

“ไอ้เหี้ย...” ฮ้อยด่าแบบลากเสียง

“ไม่เอาอะ เดี่ยวเกิดมีคนเอาไปฟ้องได้เดฟ  แม่งตัวโตกว่ากูแถมล่ำด้วย  กูสู้มันไม่ไหวนะเว้ย”

“เฮ้ย ไอ้เดฟน่ะตัวดีเลย” อัศวะกล่าว

“มันบอกว่าบางทีมองไปก็อยากจะจูบมึงนะ  เคยคิดจะแอบจูบปากมึงตั้งหลายครั้ง  มันบอกว่าปากมึงน่าดูด”

“เออ.. ยังดีนะที่มันชอบไอ้จุ๊ย  ถ้าเป็นกู กูสู้แรงมันไม่ไหวนะเนี่ย  ไม่งั้นเสร็จ กูเป็นเมียมันไปแล้ว กูไม่ได้แข็งแรงอย่างไอ้จุ๊ย  ไอ้นั้นมันวิ่งวันละสามกิโล กูวิ่งไปครึ่งโลก็หอบละ” ฮ้อยส่ายหัว

“มี แฟนเพลงรุ่นเก่า ขอเพลงนี้  จริงเพลงนี้ก็ไม่ได้ล้าสมัยอะไร  เพราะจริงๆก็เป็นหนึ่งในเพลงที่ถูกขอช่วงวาเลนไทน์มาอย่างต่อเนื่อง  แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ  เป็นวันที่ศิลปินชื่อดังในอดีตคุณภูธนะ ที่เคยฝากผลงานเพลงสไตร์ร๊อกระดับตำนานไว้หลายเพลง ขับร้องเพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายบนเวทีคอนเสริ์ตครั้งสุดท้ายของเขา  บทเพลงนี้เพื่อคนที่เขารักมากที่สุด คุณนราชล”  ดีเจวรรค

“เพลงแสงสว่างในหัวใจ”

ทั้งสองเงียบไปเพื่อฟัง

“เสียงโคตรดี” อัศวะกล่าวออกมา

“กูนี่ยอมแพ้เลย  พี่เขามีพลังเสียงที่น่าอัศจรรย์จริงๆ  กูเคยพยายามร้องเพลงแกนะ  ตาย แป๊กสนิท ไม่ไหว”

ฮ้อยหันมามองหน้าอัศวะ

“มึงชอบพี่เขา  มึงเลยคิดจะออกจากวงการเหมือนพี่เขาใช่ไหมล่ะ”                 

อัศวะพยักหน้า ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียดอีกรอบ

“มีส่วน.. แต่กูไม่โชคดีเหมือนพี่เขา ที่พี่เขามีครอบครัวสนับสนุน  ที่จริงก็มีสักกี่คนที่จะโชคดีแบบนั้น  กูก็เห็นแต่ครอบครัวไอ้จุ๊ย นี่ล่ะที่รับโยชิเป็นเป็นส่วนหนึ่งหน้าตาเฉย  ถ้ากูพาเดฟเข้าบ้านอย่างนั้นมีหวังพ่อกูเอาปืนไล่ยิงแหง่”

 

 

จุ๊ยกำลังกวาดพื้นหน้าร้านอยุ่ตอนค่ำหลังจากปิดร้านแล้ว  พอดีเหลือบไปเห็นหญิงวัยกลางคนที่คุ้นเคยเดินมา

 

เขายกมือไหว้

 

“พึ่งกลับเหรอครับซ้อ” จุ๊ยถาม

 

เธอคือมารดาของหลิว  เธอเป็นเภสัชกร

 

“อ้าว จุ๊ยไม่ค่อยได้เจอกันเลย  ตั้งแต่ปิดร้านไปก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านเลยไม่ค่อยได้เห็นหน้าจุ๊ยเท่าไหร่” เธอกล่าวเพราะหลังจากหลิวไปเมืองนอกไม่นาน เธอกับสามีก็ตัดสินใจปิดร้านขายยา แล้วไปเช่าที่ขายอยู่ในห้างสรรพสินค้าแทน

 

เธอชื่นชมความเติบโตของจุ๊ยที่เธอเห็นมาตั้งแต่เล็กอยู่ครู่

 

“เดือนธันวานี้หลิวจะกลับมาแล้วนะ คงปลายเดือนช่วงก่อนคริสมาสต์”

 

“ครับ”จุ๊ยรับคำ

 

“ผมทราบแล้ว หลิวบอกผมไว้เหมือนกัน”

 

เธอพยักหน้าช้าๆ

 

แล้วก็เงียบไป  ก่อนจะมองไปภายในบ้าน

 

ก่อนจะพูด

 

“เรื่องของเธอสองคนน่ะ” ซ้อกล่าว

 

“จริงๆซ้อก็ไม่อยากจะไปยุ่ง  แต่เพราะหลิวเป็นลูกสาว ซ้อก็อดไม่ได้”

 

จุ๊ยมองหน้าเธอ เพราะเธอวรรคไปนานพอสมควร

 

“ซ้ออยากจะให้จุ๊ยตัดสินใจให้เด็ดขาด  พูดกันไปเลยว่าจะยังไง  เพราะหลิวจะได้ไม่ต้องรอจุ๊ยต่อไปอีก  แล้วจุ๊ยก็จะได้คบกับ นายโยชิได้อย่างสะดวกใจมากขึ้นด้วย  ไม่ค้างๆคาๆกันอยู่อย่างนี้” เธอกล่าวออกมาในที่สุด

 

“คือ ซ้อก็เสียดายนะ ที่จุ๊ยไม่ได้คบกับหลิว  แต่ซ้อก็ไม่อยากให้มันกลายเป็นเรื่องลำบากใจชองเธอเหมือนกัน  อีกอย่างเธอก็ไม่แน่ใจอีกแล้วใช่ไหมล่ะ  ที่ว่าเธอจะรักผู้หญิงได้หรือเปล่า”

 

“ขอโทษที่ต้องพูดตรงๆแบบนี้นะ  คือซ้อเองก็ไม่ได้รังเกียจจุ๊ย  ความเอ็นดูของซ้อต่อจุ๊ยยังเหมือนเดิม  แต่ซ้อก็อยากให้จุ๊ยตัดสินใจให้ดี  จริงอยู่เธอสองคนโตมาด้วยกัน  แต่เมื่อวันหนึ่งเรารู้แล้วว่าเราเป็นอะไร  การพูดไปตรงๆบางที่ก็รักษาความเป็นเพื่อนของเธอสองคนไว้ได้นะ  อย่าลังเล   พูดไปให้เด็ดขาด  เพราะถ้าไม่เด็ดขาด  มันก็จะคาราคาซังแล้วกลายเป็นเจ็บกันไปหมดทุกคน”

 

 

 

เดฟนั่งโบกพัดด้วยปึกบทภาพยนตร์ มองฟ้ามันก็มีเมฆนะ  แต่เพราะฝนคงกำลังจะตก  มันก็เลยรู้สึกอบอ้าวดีเหลือเกิน

 

อาราอินั่งลงข้าง หันไปทางเดียวกันคือมองกองถ่ายกำลังถ่ายทำดาราคนอื่นอยู่

 

“เป็นไงบ้าง นายกับอัส  ตกลงจะเอายังไงกันดี  แอบคบกันไปแบบนี้เหมือนเดิมหรือยังไง”

 

เดฟหันมามองหน้าอาราอิ

 

“ก็คงต้องเหมือนนาย” เดฟตอบ

 

“นายกับจุ๊ยต้องคบกันไปอย่างนี้เรื่อยๆ  ของฉันก็คงจนกว่าพ่อของอัสเขาจะรู้แล้วก็อาละวาดอีกรอบ แล้วค่อยว่ากันอีกที”

 

“มันไม่มีทางออกทางอื่นเลยเหรอ  อย่างเช่นคุยกันดีๆอะไรอย่างนั้น” อาราอิถาม

 

“ไม่ มีทาง  พ่อของอัสเขาเกลียดอะไรที่ต่างไปจากที่เขาคิด  อัสบอกว่าพ่อต่อต้านทุกอย่างที่ไม่ได้เป็นไปในสิ่งที่เขาเห็นด้วย  ประมาณว่าเผด็จการน่ะ” เดฟเล่าตามปากคำของอัศวะ

 

“แล้วแม่ล่ะ ไม่ลองเข้าใช้แม่เป็นสื่อ” อาราอิเสนออีกทาง

 

“ก็ยากอีก  แม่ของอัสเป็นแนวช้างเท้าหลังสมบูรณ์ ไม่อย่างนั้นจะอยู่กับพ่อของอัสได้เหรอ เพราะรายนี้ไม่ชอบให้เถียง ไม่ชอบให้โต้แย้ง” เดฟว่า

 

“แปลว่ายาก” อาราอิกล่าวสรุป  แล้วก็ตบบ่าเดฟ

 

“มันต้องมีหนทางสิวะอย่างพึ่งท้อ”

 

เดฟถอนหายใจ

 

“ไม่ได้ท้อ  แต่ทำใจแล้วล่ะ ฉันทำใจมาตั้งแต่รู้ตัวว่าชอบอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน  มันก็ต้องมีวิถีที่ผิดจากชาวบ้าน  แล้วก็ต้องมีชาวบ้านบางคนที่ลุกขึ้นมาต่อต้าน... ฉันชินแล้วล่ะ”

 

 

 

วันนี้อ๊อดก็ทำเหมือนเดิมคือวันไหนตรงกับวันพุธที่เป็นวันเกิดของเมืองฟ้า เขาก็จะต้องลงมาใส่บาตรตอนเช้า

 

แต่วันนี้อยู่ดีๆฮ้อยก็บอกว่าจะลงไปใส่ด้วย

 

จริงๆแล้วเป็นเพราะฮ้อยมักจะเห็นเพื่อนบ้านใหม่ของเขาใส่บาตรวันละสามรูปทุกวัน เขาก็เลยนึกอยากจะทำบุญบ้าง

 

พอลงมาก็ได้เจอกันจริงๆ

 

“อ้าวสองหนุ่ม  ตื่นแต่เช้าเลยนะ”

 

อ๊อดยิ้มแทนคำตอบ  แล้วเดินไปซื้ออาหารใส่บาตรที่ร้านข้างแกงที่ตั้งอยุ่ริมถนนตรงหน้าคอนโดมิเนียมนั่นเอง

 

“สองชุดนะ” ฮ้อยหันไปบอก

 

แล้วเดินใกล้กับเธอ

 

“พี่ปัติ เอ้ยพี่ปาล์มใส่บาตรทุกเช้าเลยนะครับ”

 

ปติมายิ้ม 

 

“เรียก ปัติอย่างเดิมน่ะดีแล้ว.. พี่ก็กระแดะไปอย่างนั้นล่ะ  แต่พี่ก็ไม่เคยเปลี่ยนชื่อหรอกนะ  ชื่อในบัตรก็ยังเป็น” แล้วก็ดัดเสียงให้แมน

 

“นายปติมา”

 

ฮ้อยหัวเราะเบาๆ

 

พอดีพระเดินข้ามา เธอก็ออกมาปากนิมนต์

 

“มาช่วยกันใส่หน่อยสิ” ปติมาออกปาก

 

ฮ้อ ยก็เลยถอดรองเท้าแล้วก็ยืนบนพื้น  เขารอให้ปติมาเอาข้าวใส่ลงไปก่อนตามด้วยอาหาร พอพระท่านปิดบาตร ยกยามขึ้น เขาก็เอาขนมกับน้ำใส่ลงในย่ามแล้วย่อตัวลงยกมือไหว้

 

พระให้พรแล้วก็กล่าว

 

“ขอให้อายุมั่นขวัญยืนรักกันยืนยาวนะโยม”

 

ปติมาอมยิ้มแต่ยังไม่พูดอะไร

 

พอพระเดินไปสักระยะ ก็หันไปมองหน้ากับฮ้อยก่อนจะหัวเราะออกมาทั้งคู่

 

“ท่านคงคิดว่าเราเป็นแฟนกัน” เธอกล่าว

 

ฮ้อยมีสีแดงๆแต้มที่แก้มขาวๆ  เกาหัวแกรกๆ

 

“พี่ไปก่อนนะ  เดี่ยวพี่จะไปธุระ”

 

แล้วเธอก็เดินไป

 

กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆแตะจมูกคล้ายจะทิ้งร่องรอยให้อาวรณ์

 

“แหม่ๆ  หวานแหว่ว ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน” อ็อดส่งเสียงแซว

 

“พูดมาก” ฮ้อยรีบมาล็อกคอเพื่อไม่ให้เพื่อนพูดมาไปกว่านี้ เพราะปติมายังพ้นไปไม่นาน ได้ยินก็หันมามอง

 

ฮ้อยเขินจนต้องลากเพื่อนให้หันกลับ

 

“ไอ้สัตว์พี่เขาได้ยินเลยเห็นไหม”

 

อ๊ฮดที่โดนล๊อกอยุ่พยายามมองหน้าเพื่อน เพราะตอนนี้ฮ้อยหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัดเจน

 

ไม่เคยเป็นมาก่อน  ฮ้อยไม่เคยเขินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย  อย่างน้อยเท่าที่อ็อดจำได้

 

 

 

ที่ซึ่งปติมาบอกฮ้อยว่าจะไปคือบ้านของเธอเอง  พอรถแท็กซี่จอด ปติมาก็ชำระเงินแล้วลงจากรถ

 

เธอ กวาดตามดูบ้านหลังใหญ่ที่เป็นสมบัติตกทอดมาจากบรรพบุรุษ  โดยยังคงส่วนที่เป็นเรือนไทยไว้บางส่วน แต่ก็มีการบูรณะต่อเดิมด้วยโครงสร้างสมัยใหม่

 

คนรับใช้เก่าแก่ที่บังเอิญกลับมาจากจ่ายตลาดก็เห็นเธอก็เริ่มพินิจ

 

“คุณ ปัติใช่ไหม  คุณปัติขา คุณปัติ” เธอเข้ามาเกาะแขนปติมา  เธอจำได้แม้ปติมาจะเปลี่ยนเป็นผุ้หญิงไม่ใช่เด็กหนุ่มคนเดิม นั้นเพราะเธอเคยเห็นรูปของปติมาจากที่อัศวะเปิดให้ดูจากโทรศัพท์มือถือ

 

“คุณแม่อยุ่ไหม” ปติมาถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

 

“อยู่ค่ะ  เร็วๆเข้ามา  คุณนายต้องดีใจมากแน่เลยค่ะ”

 

 

 

บัวแก้วดีใจจนร้องไห้  เมือได้เห็นลูกชายคนโต แม้ตอนนี้จะไม่เหลือเค้าของปติมาคนเดิม เด็กหนุ่มที่เคยเป็นนักกีฬาแบตมินตันของโรงเรียนคนนั้น  แต่เธอก็ยังกอดหอมลูกชายในร่างของลูกสาวอย่างรักใคร่

 

“อย่าร้องไห้สิค่ะแม่ เห็นแล้วปัติใจคอไม่ดีเลย” ปติมาแล้วหันไปหยิบกระดาษทิชชู่จากกระเป๋าเช็ดรอบดวงตาให้มารดา

 

“ก็แม่คิดถึงปัติ  ปัติกลับมาเมื่อไหร่ ทำไมไม่มาอยู่บ้าน” แม่กล่าวอย่างยิ้ม

 

ปติมานิ่งไปนิดหนึ่ง

 

“อย่าเลยคะ แม่  ปัติอยู่ข้างนอกดีกว่า”

 

บัวแก้วถอนหายใจ

 

“แม่เข้าใจ  แต่ก็อยากให้ปัติเข้าใจพ่อด้วย  พ่อเขาหวังกับเราสองคนมาก  พ่อเขาเป็นพวกหัวเก่า  ปัติก็รู้”

 

“ค่ะ ปัติก็พยายามเข้าใจ  แต่พ่อต่างหากไม่พยายามเข้าใจคนอื่น นี่ก็มีปัญหากับน้องด้วย” ปติมาเผลอกล่าวออกไป พอรู้ตัวก็ตกใจ  แต่พอเห็นหน้าบัวแก้วไม่แปลกใจก็คลายใจลงนิดหน่อย

 

“เรื่องตาอัสน่ะ มันร้ายแรงสำหรับพ่อ  หัวเด็ดตีนขาดเขาก็ไม่ยอมแน่นอน  ตอนลูกชายคนงานนั้นก็ทีหนึ่งแล้ว  ตอนนี้หนักกว่าเก่าเสียอีก  แต่พ่อเขาทำอะไรไม่ได้  เพราะอีกฝ่ายเป็นลูกชายของคุณทัพ นักธุรกิจใหญ่  นี่ขนาดไปคุยกับคุณทัพ ก็หน้าแตกกลับมาเพราะคุณทัพเขาทำใจได้กับเรื่องลูกชายแล้ว  ก็เลยบอกมานิ่มๆว่าให้มาห้ามคนของเราดีกว่ากว่า เพราะเขาไม่มีธุระอะไรจะห้ามเดฟ  เพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว” บัวแก้วเล่า

 

“นี่พ่อไปคุยกับพ่อของเดฟเลยเหรอคะ” ปติมาร้องเสียงสูง

 

มารดาพยักหน้า

 

“แล้วพ่อรู้แล้วหรือยังว่าสองคนกลับมาคบกันกันอีกแล้ว” ปติมาถาม

 

“รู้แล้ว  แต่ยังยุ่งๆอยู่เพราะหมู่นี่มีปัญหาในบริษัท เครื่องเสียงชุดใหญ่เสียหายตอนขนส่ง  ตอนนี้ก็หัวหมุนอยุ่แต่ไม่นานหรอก คงจะกลับมาเล่นงานนายอัสแน่นอน”

 

ปติมาถอนหายใจแล้วก็มองไปรอบบ้าน

 

“แล้วไปไหนคะนี่ เจ้าต้วแสบน่ะ”

 

“ไปเรียน  ออกไปตั้งแต่เข้าแล้วหล่ะ” มารดาบอก แล้วก็จับแขนลูกของเธอ

 

“เดี่ยวปัติอยู่กินข้าวเที่ยงกับแม่ก่อนนะ วันนี้พ่อไปต่างจังหวัดอีกสองสามวันถึงจะกลับ”

 

 

 

เดฟจุมพิตลงบนแผ่นหลังที่เปลือยเปล่าของอัศวะที่นอนหลับตาอยู่

 

“โดดเรียนทั้งคู่  จะจบไหมเนี่ย” อัศวะกล่าวออกมา

 

เดฟทิ้งกายลงเหนือร่างนั้นซุกไซร้ซอกคอก่อนจะกระซิบ

 

“ฉันก็บอกแล้วว่าอย่างยั่ว อย่ายั่ว... เป็นไงละ Absent ทั้งคู่  วิชานี้นับชั่วโมงเรียนเสียด้วยนะ”

 

“เดฟรู้จักพี่ปัติใช่ไหม” อัศวะถามแล้วพลิกตัว  ทำให้เดฟต้องขยับไปนอนตะแคงอยู่ข้างๆ

 

“อ๋อพี่ชายของอัสรีเปล่า ที่เป็นนักแบตของโรงเรียน” อัศวะตอตอนนี้หันตะแคงมองหน้าเดฟที่เอาแขนท้าวหนุนหัวให้สูงขึ้น

 

“ใช่... นี้พี่ปัติกลับมาแล้วนะ” อัศวะกล่าว

 

“แต่เอ.. เห็นอัสบอกว่าพี่เขาแปลงเพศแล้วนี่หน่า ถ้าพ่ออัสเห็นไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่เหรอ” เดฟจำได้จากที่อัศวะเล่า

 

อัศวะถอนหายใจ

 

“ก็นี่ล่ะทำให้กลุ่มใจกำลังสองเลย.. ถ้าพี่ปัติเจอกับพ่อ พ่อต้องพาลมาถึงอัส  แล้ว...” อัศวะพูดได้แค่นั้น

 

เพราะเดฟจุบริมผีปากเข้า

 

“พรุ่งนี้ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของพรุ่งนี้...”เขากระซิบข้างหูแล้วก็ซุกไซ้ไปบนซอกคอ

 

อัศวะโดนดันเบาๆก็พลิกตัวหงาย

 

เดฟคล่อมร่างเขาไว้สบตาอย่างลึกซึ้ง

 

“พรุ่งนี้อาจดีกว่าวันนี้ก็ได้จริงไหมล่ะ”

 

ทั้งคู่ก็ดึงดูดเข้าหากันด้วยแรงปรารถนา  จุมพิตที่ดูดดื่มตรึงกันเอาไว้ ในขณะที่มือเดฟก็ลูบไล้ลงไปต่ำผ่านสะดือลงไป

 

อัศวะเกร็งตัวต่อสัมผัสนั้นมือเดฟปล่อยการจูบแล้วโลมไล่ลงไปเรื่อยๆ เขาก็ครางฮือออกมา

 

บทเพลงที่เปิดดังแช่มช้าในท่วงทำนองอันนุ่มนวล เป็นไปในทิศทางเดียวกับการสัมผัสของเดฟ ทว่าเสียงเบสและกลองเป็นจังหวะกระตุ้นราวกับจังหวะจะโคนที่ช่ำชองของเดฟต่อ ร่างกายของอัศวะ เขาครางออกมาผสมกับเสียงเพลงอย่างคล้องจอง

 

Wicked games ของ The Morning

 

ในช่วงเวลานั้นโทรศัพท์ที่เปิดไว้เพียงระบบสั่นก็เคลื่อนไหวอยู่อย่างเดียวดาย บนโต๊ะที่อยุ่ห่างออกไป หมายเลขที่แสดงคือหมายเลขของสินธุ

 

 

 

สินธุหงุดหงิดจนเกือบปาโทรศัพท์ทิ้ง

 

“นี่มันบ้าอะไรของมัน พอจะใช้งานก็หายหัวไม่รับโทรศัพท์” สินธุบ่น  ใจก็อดคิดไม่ได้หรอกว่าคงอยู่กับไอ้ดาราหน้าหล่อแต่เป็นตุ๊ดคนนั้น

 

“กลับไปจะเล่นงานให้”

 

“นายครับ แล้วจะเอายังไงเรื่องเด็กที่ทำเครื่องเสียงเสียหาย” เลขาคนสนิทกล่าว

 

“ก็ไล่ออกให้หมดสิ” สินธุตอบอย่างหงุดหงิด

 

“แต่มันเป็นอุบัติเหตุนะครับ  จะโทษเด็กทั้งหมดก็ไม่ได้” เลขาแย้งด้วยความเห็นใจ มองไปยังบรรดาช่างหนุ่มสามคนที่ยืนอยู่

 

“ก็ไม่รู้จักระวัง ข้าวของเสียหายหมด  ไล่ออกให้หมด  แล้วหักเงินเดือน เดือนนี้ของมันไว้ด้วยเอามาชดเชย” สินธุตอบ

 

“แต่มีคนหนึ่งเมียท้องแก่ใกล้คลอด นายไล่มันออกแล้วมันจะไปหางานจากไหน  ตอนนี้งานหายากนะครับ” เลขาแย้งด้วยใจเมตตา

 

“แล้วเขาก็อยู่กับพวกเรามานานแล้วด้วย”

 

“เรื่องของมัน  ไล่ออกไปให้หมด” สินธุตอบแล้วก็เดินฉับๆไป

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา