The Water's Pure Heart: ดวงใจของสายน้ำ

-

เขียนโดย Valentinlover

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 22.14 น.

  56 ตอน
  0 วิจารณ์
  43.61K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 10.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

55) Mr. Jerome Jang The Soul Waver Saxophone

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

         

The Concertgebouw โรงมหรสพอันยิ่งใหญ่ระดับโลกสำแดงความโอ่อ่าแก่ผู้ชมที่เดินทางมากันแน่นขนัด

ทั้งนี้เพราะพวกเขาทราบว่าจะมีรายการพิเศษที่น่าสนใจอย่างยิ่ง การแสดงพิเศษที่จะมีการเชิญนักดนตรีมีชื่อเสียงมาร่วมแสดง

ตอนนี้วงออเคสตร้าที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในโลก The Royal Concertgebouw Orchestra อยู่ในภาวะพรั่งพร้อม เพื่อเตรียมตัวบรรเลงบทเพลงพิเศษของวัน

พิธีกรมองไปรอบๆตัว

คนดูต่างอยู่ในอารมณ์ที่ตื่นเต้นเนื่องจากรู้อยู่แล้วว่าบุคคลที่จะเป็นตัวเอกของการแสดงชุดต่อไปนี้คือ เจ้าของราวัล Grammy สาขาดนตรีคลาสสิคประเภทเล่นเดียวและได้รับรางวัลสาขาศิลปินดนตรีคลาสซิกหน้าใหม่ในปีเดียวกัน

แล้วยังได้รับอีกหลากหลายรางวัลไปทั่วยุโรปทั้งที่พึ่งจะอายุเพียงสามสิบต้นๆ และอยู่ในแวดวงดนตรีระดับโลกมาแค่เพียงสิบปีเท่านั้น

แต่ในขณะเดียวกันหากเป็นแฟนเพลงแจ๊ส  เขาก็คือเจ้าของทั้งรางวัลดนตรีแจ๊สประเภทโซโล และอัลบัมแจ๊สประเภท Instrumental ยอดเยี่ยมของปี ทั้งของ Grammy และ MTV ยุโรป

รางวัลมากมายนี้สะท้อนออกมาในชื่อที่นิตยสารดนตรีเรียกขานกันว่า The Soul Waver หรือผู้โบกไหวจิตวิญญาณ

“ค่ำคืนที่พิเศษนี้ เราได้เกียรติจาก Mr. Jerome Jang หนึ่งในยอดแห่งนักแซกโซโฟนแห่งยุค มาบรรเลงเพลง Tableaux de Provence ร่วมกับ The Royal Concertgebouw Orchestra เชิญรับฟังครับ”

ชายหนุ่มเดินออกมาพร้อมกับแซกโซโฟนอัลโต้ตัวเก่ง แล้วโค้งแก่ผู้ชม คอนดักเตอร์ และวงดนตรี 

เมื่อคอนดักเตอร์หันมาถามเขาก็ตอบเป็นภาษาดัชต์ที่เตรียมตัวมาว่าพร้อมแล้ว 

แล้วเสียงเพลงจากวงออเครสต้าก็เริ่มสร้างอารมณ์ราวกำลังเดินทางไปสู่มณฑล Provence อัน งดงามในฝรั่งเศส  ครั้งเมื่อแซกโซโฟนเริ่มต้นบรรเลง  เสียงของมันกำจายคลื่นอันแปลกประหลาดวิ่งไปสู่ใจผุ้ชม  หลายคนถึงกับต้องหลับตาลงเพื่อตัดตัวเองจากโลก และเพลิดเพลินอยู่ในโลกแห่งดนตรีที่งดงามที่สร้างโดยวงดนตรีระดับโลก และนักแซกโซโฟนผู้ลือนาม The Soul Waver Mr. Jerome Jang

เสียง แซกโซโฟนที่ต่อเนื่องไม่ขาดตอน หางเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ และพลังที่สอดแทรกอย่างพอเหมาะพอดี  ดวงใจของผู้ชมจึงสั่นสะเทือนเคลื่อนไปอย่างห้ามไม่ได้

กระทั้งเพลงจบ เหล่าคนดูก็ยังคงเงียบงัน  แต่สักครู่เดียวก็ค่อยๆลุกขึ้นแล้วสำแดงการปรบมือแบบ Standing Ovation ให้แก่บทเพลงที่ได้บรรเลงไปอย่างพร้อมเพรียงและกึกก้อง

ชาย หนุ่มก็โค้งให้แก่ผุ้ชม โค้งให้แก่นักดนตรี และเข้าจับมือกับคอนดักเตอร์ระดับโลกและสนทนากันอีกสองสามคำก่อนจะเดินออกไป โดยที่ผู้ชมปรบมือส่งเขาออกไปจนลับสายตา

 

ท่าอากาศยานสคิปโฮล อัมสเตอร์ดัม ชายหนุ่มเดินเรื่อยๆมาเช็คอินที่เคาร์เตอร์ 

พนักงานชายมองหน้าเขา แล้วก็นิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะอ่านชื่อในพาสปอร์ต 

แม้ จะไม่ตรงกับที่เขาคิด แต่เมื่อในเมื่อชายหนุ่มมีกล่องแซกโซโฟนราคาแพงติดตัวมา แถมจ่ายชื้อที่นั่งให้มันด้วยอย่างดี รวมทั้งการการอัปเกรตให้เป็นพิเศษจากสายการบินที่แสดงจากหน้าจอก็เป็น เครื่องยืนยันว่า บุคคลนี้คือบุคคลที่เขาคาดไว้อย่างแน่นอน

Mr. Jang ผม ขออนุญาต  ขอลายเซ็นคุณจะได้ไหมครับ  ผมต้องการเอาไปให้ลูกชาย เขาต้องการเป็นนักแซกโซโฟน  เขาคงดีใจมาก” เจ้าหน้าที่กล่าว ทว่าก่อนจะส่งบอร์ดดิ้งพาสให้ เขาก็ส่งกระดาษกับปากกาให้เสียก่อน

  1. ยิ้มอย่างแจ่มใส รอยยิ้มที่ทำให้ผู้พบเห็นรุ้สึกเป็นกันเองและสดใสไปด้วย

“ลูกชายคุณชื่ออะไร” เขาถาม

“มาคัสครับ” เขาตอบ

ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วก็บรรจงเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า 

“เพื่อมาคัส  ผมอยากให้คุณตั้งใจฝึกฝน เพราะดนตรีไม่มีทางลัด  มีแต่ทางตรงคือการฝึกฝนเท่านั้น  Jerome Jang

ชายหนุ่มรับบอร์ดดิ้งพาสไปแล้ว  แล้วก็ยิ้มให้ก่อนจะเดินออกเคาร์เตอร์ไป

“เขาน่ารักมากเลย” พนักงานสาวอีกคนที่ลอบมองอยู่กล่าว 

“ไม่หยิ่งเลยสักนิด  มิน่าใครต่อใครก็ชื่นชม”

 

  1. มองออกไปที่นอกหน้าต่าง เห็นอาคารสนามบินค่อยห่างออกไป

เมื่อเครื่องบินโดยสารตั้งลำ  เขาก็นึกไปถึงครั้งที่เขาเดินทางออกจากประเทศบ้านเกิด นกยักษ์ลำมหึมานั่นพาเขาออกมาพจญภัย 

ตอนนี้การผจญภัยได้สิ้นสุดลงช่วงหนึ่งแล้ว เขาได้พิสูจน์ตนเองและทำให้โลกมีความสุขด้วยเสียงเพลงของเขา 

วันนี้นกยักษ์อีกลำจะพาเขากลับไป  เพื่อไปมอบความสุขให้กับคนที่บ้านเกิด  ครอบครัวของเขาที่ไม่เจอกันนานและเพื่อนฝูงที่ห่างหายไป...

พวกเขาจะเป็นอย่างไรกันบ้างหนอ..

กัปตันออกเสียงผ่านลำโพงให้แอร์โฮสเตสเตรียมตัว

ชาย หนุ่มก็เตรียมตัวเช่นกัน  กี่ครั้งที่เขาเดินทางด้วยเครื่องบินไปทั้วโลก แต่มือที่เคยจับกุมมือของเขาเมื่อครั้งแรกที่เขาได้เดินทางทางอากาศ ก็คงยังส่งสัมผัสนั้นมาให้อุ่นทุกครั้งไป

เครื่อง ยนต์เจ็ตครางสั่น ส่งกำลังขับดันไปด้านหลัง เจ้านกยักษ์ทะยานไปข้างหน้า แล้วเหินบินมุ่งสู่ฟากฟ้าเพื่อนำพาเสียงดนตรีที่เคยกล่อมโลกไปกลับกล่อม ประเทศที่เขาจากมาแสนนาน

ประเทศไทย...

 

หน้าโรงมหรสพที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในประเทศไทย  ชายหนุ่มวัยสามสิบต้องหันซ้ายแลขวาตลอดเพราะเขารอคอยคนที่นัดหมายไว้ 

สักครู่เขาก็มองเห็น

“เฮีย มาแล้ว” เขาหันไปหาหญิงสาวหน้าตาไม่ได้งดงามมากนัก ทว่าน่ารักน่าเอ็นดูในชุดสวยเต็มยศเพื่อมาชมคอนเสริ์ตระดับโลกของวงดนตรี ชั้นนำจากประเทศอังกฤษ

“ไอ้ซัว” ผู้ที่เข้าแต่งกายภูมิฐานสมกับอาชีพนายแพทย์ มีหญิงสาวใบหน้าสวยงามในชุดหรูไม่แพ้กัน

“โอ้โหหมวยเล็กสวยเชียวน๊า รัศมีเถ้าแก่เนี๊ยวใหญ่จับระยิบระยับเลยน๊า”

ซัวหันไปมองหน้าภริยา

“สวัสดีค่ะแปะตี้ สวัสดีค่ะซ้อแหวน” หมวยเล็กยกมือไหว้

“ป๊าไม่ยอมมาจริงๆใช่ไหม” นายแพทย์หนุ่มถาม

“อืม.. บอกว่าอีฟังไม่รู้เรื่อง  บอกว่ารอออกวีดีโอจะดูเฉพาะตอน ทีเฮียเขาเล่นอย่างเดียว” ซัวตอบ

“เหมือนป๊าของซ้อเลย” แหวนกล่าวบ้าง

“ก็บอกว่าให้รอมีเทป  จะดูเฉพาะตอนเล่นเดี่ยว  ไม่ยอมมาดูบอกว่าหูไม่ถึง”

“ผมเอาบัตรไปให้ที่โรงเรียน อาจารย์อติก็บอกว่าที่นี่ก็ได้  เขาส่งมาให้ตามจำนวนเด็กในวงโยเลย เห็นว่าเฮียออกค่าใช้จ่ายให้เองด้วย แกบอกว่าเฮียเขาอยากให้รุ่นน้องดูเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ”

พี่ใหญ่พยักหน้างึกๆ

แล้วก็มีเสียงประกาศเรียกให้ผู้เข้าชมเข้าสู่ห้องการแสดง

ทั้งสี่จึงชวนกันเดินเข้าไป

หนุ่มวัยสามสิบอีกคนผิวขาว จัดยืนละล้าละลัง 

เขาอยากจะเดินตามผู้ชมคนอื่นเข้าไป  แต่ก็เกรงจะคลาดกับคนที่รอคอย

สักครู่หนึ่ง ซึ่งหนุ่มผิวขาวกำลังจะตัดใจแล้วเดินเข้าไป

“วา” เสียงเรียกพร้อมวิ่งเข้ามา

“รอพี่นานไหม ขอโทษนะพี่ติดสอนเด็ก” ชายหนุ่มผิวขาวกล่าวปนหอบ  ก่อนจะควงแขนหนุ่มรุ่นน้อง

“ไปเข้าไปกัน”

วาทิตส่ายหัว

“พี่อ๊อดก็อย่างนี้ทุกทีเลยนะ”

อ๊อดมองหน้าขาวๆของหนุ่มตัวเล็กกว่า

“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ.. เดี่ยวพี่ก็จูบซะตรงนี้เสียเลย” ว่าแล้วควงแขน

“อย่าบ้าน่า” วาทิตตอบแล้วก็เดินไปตามแรงดึงของอ๊อด

ทั้งคู่คบหากันมาได้ราวห้าปีแล้ว  หลังจากได้พบกันในงานแสดงคอนเสริ์ตที่ฮ่องกง 

“แฟนเก่าเราล่ะวา” อ๊อดถาม

“พี่อู๊ดแกติดงานคอนเสริ์ตที่อเมริกา แต่แกบอกว่าได้ฟังแล้ว ยิ่งฟังยิ่งท้อ  พี่เขาห่างจากเราไปทุกที ไล่ตามยังไงก็ไม่ทัน”

“ก็ ไม่ต้องไล่  พี่เลิกคิดจะไล่ตามมันแล้ว  เราก็ทำของเราให้ดีที่สุด  ไอ้หมอนั้นมันเกินมนุษย์ไป ก็ต้องให้มันไปอยู่ระดับของมัน  เราคนธรรมดาก็ต้องอยุ่ในระดับมนุษย์ของเราต่อไป” อ๊อดกล่าวเมื่อมายืนเข้าคิว

คนข้างหน้าได้ยินเสียงก็หันมา

“เฮ้ยอ็อด” หนุ่มคนที่ควงมากับหญิงสาวที่มองดีๆก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือคนคุ้นหน้า

“อ้าวไอ้ฮ้อย พี่ปัติ โอ้โหมาด้วยกัน ไหนว่าเลิกกันแล้วไง” อ๊อดแซว

ฮ้อยกับปติมาก็หันมองหน้ากัน

“ลิ้นกับฟันกระทบกันบ้าง ก็ไม่แปลกนี่  นายไม่เคยทะเลาะกับวาเลยหรือไง” ปติมาตอบ

 

การแสดงเริ่มไปแล้วนิดหนึ่ง  ตอนที่สองหนุ่มมาถึง เขาต้องขออภัยกับคนที่นั่งอยู่ต้นแถวเพื่อขอทางเข้า

“มาสายเชียวนะมึงไอ้อัส” อ๊อดหันมากระซิบ

“ก็ไอ้เดฟสิ  มันติดงาน  กว่าจะเลร็จก็เกือบจะหกโมง  นี่ก็รีบบึ่งมาเลยนะเนี่ย” อัศวะตอบ แล้วเหล่มองหน้าคู่ชีวิตของเขา

เดฟหันมายิ้มแห้งๆ

“แหม่มันก็นิดหน่อยเอง”

 

การแสดงดำเนินไปตามรายการในสูจิบัตร  จนกระทั้งถึงการแสดงที่คนในโรงมหรสพต่างรอคอย

“ลำตับต่อเป็นการแสดงของ Mr.Jerome Jang กับบทเพลง Concerto for Alto Saxophone and Orchestra, Op. 26ประพันธ์โดย Mr. Paul Creston

คน ดูก็เริ่มปรบมือ  วงออเครสต้าที่สแตนบายรออยู่ก็ลุกขึ้นโดยพร้อมเพรียง  แล้วหนุ่มผิวขาวก็เดินมาบนเวทีพร้อมกับอัลโต้แซกโซโฟน  เขาตอบรับการโค้งของนักดนตรีทั้งหมด  เนื่องจากนี่คือการแสดงสุดท้ายของเขาแก่วงดนตรีที่เขาผูกพันมากว่าสิบปี  การแสดงนี้คือ การแสดงTestimonial ของเขา  นักดนตรีที่คัดมาเล่นในการแสดงแดงนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่เล่นร่วมกันมายาวนาน

เขาโค้งให้แก่คนดู แล้วก็หันไปโค้งให้คอนดักเตอร์

ปกรณ์มองไปที่ชายหนุ่ม  ใจระทึกว่าเขาจะได้ยินเพลงจาก The Soul Waver   อยาก จะรู้จริงว่าวันนี้แซกโซโฟนของหนุ่มคนนี้จะทำให้เขาใจสั่นได้ขนาดไหม  และมันจะพัฒนาไปอย่างไรจากที่ฟังครั้งสุดท้ายเมือสิบปีก่อน

อติหันมองหน้าภรรยาทีเป็นอาจารย์ร่วมโรงเรียน วรรณา ทั้งคู่จับมือกัน 

เขาหันไปมองหน้าบรรดาลูกศิษย์ที่มาจากวงโยธวาทิตทั้งหลายที่เริ่มมีการตื่นเด้น  เขาส่งสัญญาณให้เงียบ

หันกลับมา  จับตาที่หนุ่มที่ยืนอย่างสงบนิ่ง ไม่เปลี่ยนไปเลย  อากัปกริยานั้นคือการเตรียมพร้อม...

นี่คือท่าทางเดียวกับที่เขาได้พบกันครั้งแรก 

แล้วงออเครสต้าก็เริ่มต้นบรรเลง  ชายหนุ่มหลับตาลงรอกระทั้งถึงโน้ตของตัวเอง 

เมื่อมาถึงแซกโซโฟน Selmer Reference 54 ส่งมนตราที่สะกดโลกมาแล้วออกมา 

มวลเสียงทีเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานและการทิ้งหางเสียงไหวระริกทำให้มวลอากาศรอบๆราวจะปั่นป่วนไป 

อ๊อด รู้สึกตัวลอยขึ้น  เขาหลับตาลงเพื่อดื่มด่ำกับเสียงดนตรีที่เหมือนโอบเขาไว้อย่างทรงพลัง  มันพาเขาไปสู่แดนแห่งจินตนาการดังผุ้ประพันธ์คาดหมายว่าจะนำผู้ชมไป 

และโดยมวลเสียงอันทรงพลังนั้นแม้คนที่ไม่รู้จักดนตรีแนวนี้ก็คงจะไปสู่ดินแดนแห่งดนตรีนี้ได้อย่างง่ายดาย

จินไตรเคยบินไปชมการแสดงของเขาคนนี้มาแล้ว  แต่ครั้งนี้เหมือนเขาจะตั้งใจเป็นพิเศษ 

สิ่งที่ได้รับฟังจึงยิ่งกว่าคำว่ายอดเยี่ยม  กระแสดนตรีนั้นเกินกว่าที่จินไตรคาดหวังไว้  ทั้งที่เขาคาดหวังไว้สูงมากแล้ว

จากเด็กหนุ่มที่เล่น Concerto ในห้องเรียนคนนั้น  กลายเป็นนักดนตรีระดับโลกไม่ใช่สิ่งที่เกินความหมาย 

แต่ที่เกินไปกว่าคาดหมายคือ เขาจะกลายเป็นตำนานบทใหม่แห่งวงการดนตรีอย่างแน่นอนที่สุด

ซัวน้ำตาไหลอย่างควบคุมไม่ได้  เขาอยากจะให้มารดามานั่งตรงนี้  มาเห็นเฮียคนรองของเขากำลังแสดงมนตราสะกดคนดู 

“อาม๊าเห็นไหม.. เฮียเขามาไกลมาก เฮียเขาเก่งมากเลยใช่ไหม ม๊า”

 ยี่สิบนาทีกว่าๆ  ผ่านไปอย่างรวดเร็วในความรู้สึกของผู้ชม  แล้วเมื่อมันจบลง ทั้งโรงมหรสพก็สนั่นไปอีกครั้งด้วยปรบมือ Standing Ovation เพื่อสำแดงความขอบคุณแก่บทเพลงอันยอดเยี่ยมนั้น  ยาวนาน ยาวนานมาก...

 

 

เตียงนอนเก่าแต่แทนที่ด้วยที่นอนใหม่ทำให้มันนุ่มและสบายกว่าเดิม  ห้องยังอยู่ในสภาพเดิมคล้ายกับตอนที่จากไป  ลุกขึ้นจากเตียงมองไปรอบกาย 

 

เหมือนกับน้องชายจะพยายามรักษาทุกอย่างเอาไว้ให้เหมือนเดิม

 

ชายหนุ่มเปิดตู้แล้วหยิบเอาแซกโซโฟนอัลโต้ตัวเก่าออกมาดู  แต่เพียงมองมันในกล่องไม่ได้ประกอบ  เนื่องจากคีย์ที่เสียแล้วนั้นไม่สามารถซ่อมแซมได้เหมือนเดิมอีก 

 

เขาปิดกล่อง  แล้วเดินกลับมองหมวกที่สวมไว้บนกล่องแซกโซโฟนโซปราโน่

 

“ผมกลับมาแล้วนะพี่  ตอนนี้ใครๆก็เรียกผมว่า The Soul Waver  ผมก็งงนะ  มันเหมือนเป็นผีหรืออะไรสักอย่างที่เขย่าประสาท สั่นวิญญาณคน.. ก็ตลกดีเนอะ... นี่ตกลงเขาชอบเพลงของผมหรือกลัวผมกันแน่”

 

 

 

ตอนนี้บ้านของเขาเปลี่ยนแปลงไป น้องชายคนเล็กซื้อตึกแถวห้องข้างๆอีกสองห้องแล้วตีทะลุชั้นล่างเปิดเป็นร้าน สะดวกซื้อ โดยซื้อเฟรนไชด์ร้านที่เขาเคยทำงานอยู่ ดังนั้นชั้นสองที่คุ้นเคยก็ไม่ใช่ห้องนอนพี่ชายของเขาอีกต่อไป  แต่กลายเป็นโกดังสินค้า  ชั้นลอยไม่มีห้องนอนบิดาของเขาแต่กลายเป็นพื้นที่พักผ่อนของพนักงาน

 

ดังนั้นตอนที่ชายหนุ่มเปิดประตูออกมาก็พบกับหนุ่มรุ่นคนหนึ่งกำลังกินบะหมี่ กึ่งสำเร็จรูป แถมเส้นยังคาปาก  ทั้งสองประสานสายตากันด้วยความแปลกใจ

 

“เฮียใช่ไหมครับ  ผมจาลูกเจ๊กน้อยไงครับ เฮียจำผมไม่ได้แน่เลย”

 

ชายหนุ่มเริ่มนึกออก  แต่ไม่สามารถประติดประต่อเด็กตัวอ้วนจ่ำม่ำกับภาพหนุ่มวัยสิบแปดที่เรือน ร่างสูงโปร่ง หน้าตาจีนทว่าคมคายคนนี้ได้เลย

 

“จาเหรอเนี่ย.. โอ้โหตัวโตกว่าเฮียแล้วนะเนี่ย” เขากล่าวบนรอยยิ้ม

 

 

 

จาสอนให้ชายหนุ่มใช้เครื่องแคชเชียร์  แต่เขาก็ยังเก้ๆกังๆอยู่ 

 

ดังนั้นตอนที่เด็กหนุ่มมัธยมที่กอดกล่องไคลิเนตไว้เดินมาชำระเงิน

 

เขาคงรำคาญ ซึ่งตอนแรกก็หันไปมองนอกร้าน  แต่พอเริ่มต้องรอนานก็มองหน้าชายหนุ่มอย่างขัดใจ

 

“ขอโทษด้วยนะ... อะได้ละ  สิบห้าบาทครับ” ชายหนุ่มบอก

 

“ต้องบอกว่ารับขนมปังด้วยไหม ลดราคาอยู่” จาเตือน

 

ชายหนุ่มก็กำลังจะกล่าว

 

Mr.Jangใช่ไหมครับ” เด็กหนุ่มร้องอย่างตื่นเต้น

 

“ผมเป็นแฟนเพลงของพี่เลยนะครับ ดีใจจังเลยครับ”

 

 

 

  1. ยืนอยู่บนเวทีในขณะที่ผู้อำนวยการโรงเรียนกำลังเล่าเรื่องราวระหว่างที่เขาศึกษาที่นี่ให้เด็กนักเรียนที่ยืนเข้าแถวฟัง

 

“ผมจึงอยากให้พวกคุณถือเป็นแบบอย่าง  และในโอกาสนี้รุ่นพี่ของพวกคุณคนนี้จะมาแสดงดนตรีที่สร้างชื่อเสียงในระดับโลกให้ฟัง”

 

นักเรียนก็ปรบมือกันเสียงดัง

 

ผู้อำนวยการหันมากล่าวและจับมือก่อนจะลงจากเวทีไป

 

  1. ก้าวมายืนแทนที แล้วรอให้นักเรียนที่ดูแลเครื่องเสียงจัดการเปลี่ยนชุดไมโครโฟนที่ดีกว่ามาแทนชุดที่ผุ้อำนวยการใช้

 

“เทสๆ” Mr.Jang กล่าว

 

“แหม่เดียวนี้ใช้ไมค์อย่างดี  สมัยพี่เล่นเพลงชาติทุกเช้า ไมค์นี่อย่างกับเสียงเป็ดเจ็บท้อง”

 

นักเรียนหัวเราะกัน

 

“เออมม ตอนแรกพี่ก็ว่าจะเล่นเพลงอย่าง Concerto แต่ อาจารย์บอกว่าหูพวกเธอคงไม่ถึง  พี่ก็กลัวว่าเธอจะลำบากเดี่ยวจะต้องปีนเสาธงฟังกัน  หรือไม่ก็ต้องวิ่งขึ้นไปฟังบนดาดฟ้า  ก็เลยเลือกเอาเพลงจากอัลบัมแจ๊สมาเล่นแทน” เขากล่าวต่อไปยังคงเรียกเสียงหัวเราะได้

 

“ถ้าฟังแล้วไม่ชอบใจ รองเท้าก็ไม่ต้องปาขึ้นมานะ  บ้านพี่มีแล้วหลายคู่  แต่ถ้าชอบใจ  ก็ขอแค่เสียงปรบมือก็พอ”

 

กลายเป็นว่านักเรียนปรบมือกันเกรียว

 

เขาส่ายหัว...

 

“ยังไม่ได้เล่นเลยปรบหาอะไรไม่ทราบ ปรบประชดเหรอครับน้องๆ”  พูดแล้วก็ทำตาเหลือกมอง

 

นักเรียนหัวเราะกันครื้นเคร้ง

 

หนึ่งในครูที่ยืนอยู่ นอกอตีและวรรณา ก็ยังมีฐาด้วย

 

“ไม่ฮาไม่ใช่มันจริงๆนะ”

 

“เอาหล่ะ ทนๆฟังกันไปนะ  ถ้าไม่เพราะก็คิดซะว่าใครเชือดควายให้ฟัง  ก็ฟังไปแก้เซ็งแล้วกัน”

 

ยังมีเสียงหัวเราะ  แต่ Mr. Jerome Jang ถอยออกจากไมค์มายืน เขาสูดลมหายใจลึกๆหนึ่งครั้ง จรดปากกับเมาท์พีช

 

ในบรรยากาศยามเช้า  เสียงจากโรงเรียนได้ยินไปไกลพอสมควร  ชาวบ้านแถวนั้นต่างหยุดเพื่อฟัง..  บทเพลงที่เปล่งออกจากแซกโซโฟน เทนเนอร์กำจายพลังของมันสร้างบรรยากาศอันรื่นรมย์ของบทเพลง Killing Me Softly

 

 

 

“ครูอติ ไม่ได้คุมวงแล้ว  ตอนนี้พี่ดูแทน" ฐากล่าวตอนที่เดินนำชายหนุ่มไปยังห้องซ้อมดนตรี

 

แต่พอทั้งสองเข้าไป  สมาชิกวงโยธวาทิตที่รออยู่ก็เริ่มต้นเล่น

 

บทเพลงที่บรรเลงนั้นคือบทเพลงเดียวกันกับที่ส่งให้วงภายใต้การดูแลชายหนุ่ม เป็นแชมป์ประเทศไทยสมัยที่สาม

 

ชายหนุ่มถูกดึงเข้าไปสู่บรรยากาศเก่าๆ 

 

เขายังจำได้ว่าตอนนั้นวาทิตยังเล่นไคลิเนต  แต่ตอนนี้วาทิตคือนักแซกโซโฟนระดับเอเชียที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในวงการดนตรี 

 

อู๊ดเป่าฮอน แต่ตอนนี้อู๊ดกลายเป็นส่วนหนึ่งในวงดนตรีของเมืองบอสตันในอเมริกา และกำลังทำผลงานได้ดี 

 

อ๊อดกับฮ้อยตอนนั้นช่วยเขาดูแลวงโยธวาทิต  ทั้งสองคนหนึ่งกลายเป็นนักไวโอลีนมีชื่อเสียง 

 

อีกคนกลายเป็นนักแต่งเพลงชื่อดัง ที่แต่งเพลงฮิตให้ศิลปินยุคใหม่ไว้หลากหลายแนวเพลง 

 

นายเดฟ ดรัมเมเยอร์ตกงานในตอนนั้น  ตอนนี้ก็ยังโลดแล่นในวงการบันเทิง ในฐานะพิธีกร และดาราสมทบมากฝีมือ 

 

อัศวะตอนนั้นเป็นแค่คนดูแลเครื่องเสียงของโรงเรียนในงานปัจฉิมนิเทศ ก็กลายเป็นผู้สืบทอดกิจการต่อจากบิดา และยังรับร้องเพลงเป็นครั้งคราว 

 

ตั้มหนุ่มใต้ร่างบึก กลายเป็นอาจารย์พละโรงเรียนดัง ในฐานะอดีกกองหลังทีมชาติ 

 

ส่วนปอไปได้ไกลว่า  เขาไปค้าแข้งในต่างแดน ก่อนจะกลับมาเป็นตัวหลักของทีมชาติไทยปัจจุบัน และสโมสรชื่อดังในไทยพรีเมียร์ลีก 

 

แต่น่าเสียดายที่ก้องภพหนึ่งในสหายสนิทในตอนนั้น ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน

 

เขามองหน้ารุ่นน้อง  มองคนเป่าไคลิเนต ที่ทักทายเขาเมื่อหลายวันก่อน 

 

ใครจะรู้ว่าเด็กคนนี้อาจคนที่สร้างสีสันให้วงการดนตรีอีกคนหนึ่ง  

 

แม้น ว่าเด็กเหล่านี้เมื่อเติบโต อาจจะไม่ได้เดินทางในเส้นสายดนตรี  แต่อย่างน้อยเขาก็แน่ใจว่า... ความทรงจำในวงโยธวาทิตนี้จะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้พวกเขาเติบโตขึ้นไปเป็น ผู้ใหญ่ที่ดีได้ในอนาคต

 

เขาเชื่อในพลังของเสียงดนตรี.. และหวังว่ามันจะนำทางพวกน้องๆเหล่านี้ไปพบเจออนาคตที่ดี...

 

อย่างที่เขาเคยประสบมาแล้วเช่นกัน...

 

 

 

“อะไรนี่มึงจะไปไหนอีกเนี่ย” อ๊อดถามเมื่อจุ๊ยบอกว่าพรุ่งนี้ต้องเดินทาง

 

“ญี่ปุ่น” จุ๊ยตอบแล้วคนกาแฟโบราณที่สั่งมาดื่มภายในร้านที่ตกแต่งแบบย้อนยุค ร้านนี้เป็นของอ๊อดเอง  เขาเอาเงินที่สะสมได้จากการแสดงไวโอลีนไปทั่วเอเซียมาเปิดร้าน

 

“ใช่เฮีย แทนที่จะอยู่นานๆ  ผมกะจะเชิญเฮียไปแจมในคอนเสริ์ตอาทิตย์หน้าเสียหน่อย” วาทิตกล่าวบ้าง

 

“เฮียไม่อยากฟังผมเล่นบ้างเหรอ”

 

“เฮียฟังจากเทปหลายครั้งแล้ว  ถึงเฮียจะไม่อยู่แต่วาก็ยังอยู่ในสายตาเฮียอยู่เสมอนะ”  ว่าแล้วก็เอามือจับหัวเหมือนเคย 

 

รอยยิ้มของเขาก็ยังคงอบอุ่นสำหรับวาทิตเสมอ

 

“เฮ้ยๆ” อ๊อดท้วง ดึงมือจุ๊ยออก

 

“นี่แฟนกู เกรงใจกันบ้าง... มิน่าไอ้อู๊ดถึงได้ระแวงมึงนัก”

 

“มึงจะไปทำไมญี่ปุ่น” อ๊อดถาม

 

ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา

 

“มันเป็นสัญญา  ต่อให้เกิดอะไรขึ้น กูก็ต้องกลับไปหาเขาให้ได้สักครั้ง”

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา