บัลลังก์เลือด สงครามสี่เผ่าพันธุ์

8.5

เขียนโดย นางแกงพเนจร

วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 21.00 น.

  5 ตอน
  0 วิจารณ์
  6,716 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 15.56 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) นภาเริ่มปั่นป่วน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

.. ณ บ้านของตระกูลวิรุฬห์กร เหมือนจันทร์กำลังนั่งอ่านสมุดบันทึกของอาคินอยู่ ..

“เดือนสิงหาคม พุทธศักราช 1902 ข้าได้สังเกตเห็นถึงความแตกต่างในหมู่พี่น้องของข้า เลือดเนื้อที่ผูกพันกันภายใต้แรงกดดันในชีวิตผีดิบอย่างพวกเรา นานวันยิ่งขจัดพวกเขาให้ห่างไกลจากความเป็นมนุษย์ที่พวกเขาเคยเป็น ขนิษฐาดวงใจข้า รวิภา เติบโตขึ้นแลไม่ใคร่แยแสเรื่องความโหดเหี้ยม ทว่าปัญหาที่แท้จริงนั้นอยู่ที่อนุชาข้า นคเรศ เขายังคงซ่อนความเปล่าเปลี่ยวของเขาด้วยความอำมาหิต แม้กระนั้นข้ายังคงยึดมั่นกับความหวังที่ว่าข้านั้นเป็นเชษฐาของพวกเขา ที่จะนำพาพวกเขาไปสู่เส้นทางที่ดีงาม เส้นทางที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความปรองดองในครอบครัว ถ้าหากข้านั้นล้มเหลว มรดกของครอบครัวเราคงจมลงสู่ความมืดมิดเป็นแน่” สิ่งที่อาคินเขียนไว้ในสมุดจดบันทึก
     ที่หน้าบ้าน นคเรศกำลังเผาศพของผีดิบอีกสองตน เหมือนจันทร์เปิดประตูบ้านออกมา เธอเห็นนคเรศเผาศพอยู่จึงกลับเข้าไปในตัวบ้าน
“ฉันไม่เชื่อเลยว่าพี่จะเคลียร์ศพผีดิบพวกนั้นโดยที่ไม่มีฉัน...พี่ก็รู้ว่าฉันชอบจุดไฟ” รวิภากำลังวีนเรื่องเผาศพโดยที่ไม่ชวนในห้องของนคเรศ
“อันที่จริง ฉันควรจะปล่อยให้พวกมันเน่าเหม็นอยู่ที่หน้าบ้านด้วยซ้ำ นอกจากนี้ มันเป็นความรับผิดชอบของฉัน พวกมันทำร้ายคนท้องไม่มีทางสู้ คนที่กำลังอุ้มท้องลูกของพี่” นคเรศพูด
“โอ้...อึ้งจังที่ได้เห็นว่าพี่พึ่งรู้ตัวว่ามีหน้าที่เป็นพ่อคน โดยมีอสูรสาวอุ้มท้องเด็กน้อยลูกผสมให้อยู่” รวิภาแขวะ นคเรศขำ เหมือนจันทร์เดินเข้ามาเธอกอดสมุดบันทึกของอาคินไว้ที่อก
“และอสูรตนนี้อยากรู้ว่าแผนของเราคืออะไร?” เหมือนจันทร์ถาม
“ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะนิยามแผนการของเราว่าอะไร ที่รัก...เพราะแผนของฉันคือการครองโลก หรือแผนของรวิภาคือการตามหาความรักที่โหดร้ายบนโลกใบนี้ที่โหดร้ายเช่นกัน” นคเรศแขวะรวิภากลับ เธอหยิบพู่กันแล้วปาแบบลูกดอกใส่นคเรศ เขารับไว้ได้ พี่น้องหยอกล้อกันรุนแรง
“หรืออาจจะเป็นแผนไปช่วยอาคิน รู้ไหมเขาเป็นพี่ชายที่ดีนะ ซึ่งตอนนี้ตกไปอยู่ในมือศัตรูคู่อาฆาตของนาย หลังจากที่
นายข้างหลังแทงเขา” เหมือนจันทร์จริงจัง
“อันที่จริงแทงข้างหน้าต่างหาก” นคเรศกวนประสาท
“เธอสองคนพูดเองว่าจะพาเขากลับมา แล้วยังไง ไม่มีแผนเลยหรือไง” เหมือนจันทร์พูด รวิภาเหล่ตามองนคเรศ
“โอเค...อย่างแรกเลยนะ มนชิตไม่ได้เป็นศัตรูคู่อาฆาตของฉัน มันเป็นเพื่อนฉัน ถึงแม้ว่ามันจะไม่รู้เรื่องแผนการทำลายชุมชนเหนือธรรมชาติของมันก็ตาม ณ ย่านเมียงออกแห่งนี้ แต่ยังไงก็ยังเป็นเพื่อนฉัน อย่างที่สอง...ฉันแทงอาคินเพื่อให้มนชิตไว้ใจ แล้วถ้าฉันรู้ว่ามันเก็บพี่ชายฉันไว้ให้อยู่ในกำมือผู้ใช้อาคมที่น่ารังเกียจนั่น แน่นอนฉันจะได้ชั่งน้ำหนักตัวเลือกที่แตกต่างกันนิดหน่อย และอย่างที่สาม...น้องสาว เชิญ” นคเรศอธิบายแผนการ
“แผนที่สามคือ เธอต้องเรียกร้องความสนใจจากนคเรศ เพื่อให้เขาไปขอร้องมนชิตให้ส่งตัวอาคินกลับมา” รวิภาอธิบายแผนการ
“นั่นไม่ใช่แผนการทั้งหมดจริงๆใช่ไหม?” เหมือนจันทร์ฟังแบบงงๆ
“โอ้ ขอร้องล่ะ นคเรศอาจจะมีข้องอ้างที่น่าสมเพชสำหรับพี่น้อง แต่ก็ไม่มีใครที่โหดร้ายไปมากกว่าเขา” รวิภาพูดให้กระจ่าง
“นั่นมันแค่แผน A ที่รัก มันยังมีแผน B อีก” นคเรศพูด
“แล้วอะไรคือแผน B?” เหมือนจันทร์ถามแบบเอือมๆ
“สงครามยังไงล่ะ” นคเรศตอบ

...............................................................................................

     .. ณ เมืองจตุราชิต ถนนบัวบุญ ย่านเมียงออก มนชิตมาที่ร้านตัดชุดสูทกับทยุต เขากำลังลองชุดสูท ..
“ฉันใส่ชุดสูทแล้วดูดีชะมัด” มนชิตคุยกับทยุตขณะที่เขากำลังมองดูตัวเองในกระจก ทยุตหัวเราะ มีเสียงรายการข่าวพูดเรื่องประกาศคนหายในโทรทัศน์ของร้านตัดชุด ผู้ประกาศข่าวพูดถึงจิรพัสและเพื่อนสาวของเขา ทยุตกำลังดู
“เพื่อนของฉันแล้วก็พวกที่ท่าเรือต้องอาสามาแน่ๆ เพราะมีพยานบอกว่าเห็นสองคนนั้นเมาตกลงไปในแม่น้ำบางสะพานกับตา พวกเขาค้นหามาทั้งสัปดาห์ คงไม่มีใครป้วนเปี้ยนแถวนี้” ทยุตพูดกับมนชิตเรื่องข่าว
“เยี่ยมมาก คนหนึ่งเป็นแค่ศพในถังขยะ ส่วนอีกคนตอนนี้เป็นผีดิบ...มีอะไรอีกไหม?” มนชิตถามต่อ ตอนนั้นเองพนักงานในร้านถูกเข็มจิ้ม เธอเลือดออกเขาจึงเดินเข้าไปดู
“ฉันขอนะที่รัก” มนชิตดูดเลือดเธอจากแผลเข็มจิ้ม
“มีอีกอย่าง ฉันส่งคนของเรา 3 คนไปตามหาอสูรในย่านของพวกหมอผี และฉันก็ไม่เห็นพวกเขาอีกเลยตั้งแต่นั้นมา” ทยุตรายงานต่อ มนชิตเลิกดูดเลือด
“หมายความว่ามีผีดิบสิบตนที่ตายในสัปดาห์ที่ผ่านมางั้นเหรอ...นายคิดว่าเป็นไปได้ไหม ที่พวกอสูรจะเข้ามาในเมืองเพื่อก่อเรื่องวุ่นวาย” มนชิตพูด
“ฟังนะ ฉันรู้ว่านายกับนคเรศเป็นเพื่อนกัน...ความจริงก็คือตั้งแต่พวกผีดิบตนแรกปรากฏตัวขึ้น...” ทยุตพูด
“โอ้ ไม่เอาน่า ทยุต...ยังไม่หายโกรธฉันเรื่องที่กัดนายงั้นเหรอ เจ้าคิดเจ้าแค้นจริงๆ” นคเรศเดินเข้ามาพูดแทรก
“ฉันก็แค่เห็นว่าตอนนี้นายให้เขาอยู่แบบอิสระในที่ของนาย” ทยุตแสดงเจตจำนง
“อ่อ ใช่...ที่จริงครอบครัวฉันและฉันก็เคยอยู่ที่นี่ เราเป็นคนสร้างที่นี่ขึ้นมา” นคเรศพูด
“โอเค ไม่เอาน่าทั้งสองคน...นายก็รู้ว่าทยุตเป็นคนวงในของฉัน และนคเรศก็เป็นเพื่อนเก่า ผู้มีพระคุณของฉัน อีกทั้งเขายังเป็นแขกของฉัน...ดังนั้น ขอให้สงบศึกไว้ก่อน...นายต้องการอะไร พี่ชาย?” มนชิตต้องเบรกทั้งสองคนไว้ เขาถามนคเรศต่อ
“เกรงว่าน้องสาวของฉัน รวิภายืนกรานที่จะต้องช่วยอาคิน เธอให้ฉันมาขอร้องนาย เธอไม่ค่อยโอเคกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่” นคเรศเข้าเรื่อง
“ฉันจะบอกว่า...” มนชิตกำลังพูด
“เราไม่ยอมให้มีผีดิบตนแรกอยู่ในเมืองนี้ถึงสามตนหรอกนะ พวกเราครึ่งหนึ่งคิดว่าพี่ชายของนายเป็นคนฆ่าผีดิบของเรา” ทยุตพูดแทรก
“นั้นเป็นข้อกล่าวหาผีดิบตนแรกใช่ไหม?” นคเรศของขึ้น
“ก็ใช่” ทยุตไม่เกรงกลัว
“ลองพูดว่าผีดิบตนแรกอีก...” นคเรศพุ่งตัวเข้าไปหาทยุต
“ฉันบอกให้สงบศึกไม่ใช่เหรอ...เอาน่า ไปเดินเล่นกับฉัน” มนชิตเข้ามาห้ามไว้ เขาดึงตัวนคเรศออกมา ทั้งสองคนเดินกลับมาที่ผับ M บ้านของมนชิต
“คนในวงในของนายไม่ตลกเอาซะเลย” นคเรศพูดถึงทยุต
“เขาขี้ระแวงน่ะ แต่ก็ภักดีกับฉัน ฉันช่วยชีวิตเขาไว้ตอนปี 2337 ตอนเจอเขากำลังใกล้ตายเพราะพิษบาดแผลจากสงคราม นอกโรงหมอ...เขาฆ่าคนเพื่อฉัน และตายเพื่อฉันได้ อีกอย่างนะ เขาชอบเล่นทรัมเป็ต แถมเก่งมากด้วย ไม่แน่นายอาจจะได้มีโอกาสดูเขาเล่นก็ได้นะ...เพราะคืนนี้เราจะมีปาร์ตี้ นายจะมาใช่ไหม?” มนชิตเล่าเรื่องของทยุตให้นคเรศฟัง
“ฉันจะพลาดโอกาสที่จะได้พบปะกับสภาของเมืองได้ไงล่ะ ในเมื่อคนพวกนั้นรับเงินบริจาคก้อนใหญ่จากนาย” นคเรศพูด
“พวกนั้นมันห่วย แต่ก็ปล่อยให้ราทำในสิ่งที่อยากจะทำ เพื่อแลกกับคอนเนคชั่นทางสังคม เหมือนเก็บเขี้ยวของชาวบ้านไว้กับเรา...ฟังนะเรื่องพี่ชายนาย ฉันก็อยากจะช่วยหรอกนะ แต่ทยุตพูดถูกคนของฉันจะตกอยู่ในอันตราย พวกเขาเห็นครอบครัวนายย้ายกลับมา การตายของผีดิบ มันทำให้พวกเขากังวล ถ้าฉันให้อาคินกลับไปตอนนี้ อาจจะทำให้เกิดเรื่องเข้าใจผิดว่าใครคือคนคุมที่นี่จริงๆ นายเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม?” มนชิตพูด
“นายก็ต้องเข้าใจนะว่าฉันจำเป็นต้องถาม” นคเรศตอบ

...............................................................................................

รวิภาเดินอยู่ริมถนนในตัวเมือง เธอกำลังคุยโทรศัพท์กับนคเรศ

“นี่ เรย์ ด้วยความรักยิ่งเลยนะ ต้องใช้เวลานานขนาดไหนในการถามคำถามง่ายๆเนี่ย” รวิภาพูด
“นานกว่าที่เธอคิดแล้วกัน คำตอบที่ได้ก็เป็นไปตามคาด...ไม่ คนของมนชิตชื่อ..ทยุต..เริ่มสงสัย มันคิดว่าเธอฆ่าคนของมัน” นคเรศรายงาน ตอนนี้เขาอยู่กับจิรพัส และผีดิบที่ถูกจับขึงไว้อีกหนึ่งตน ณ โรงนาแห่งหนึ่งในเมืองจตุราชิต จิรพัสถูกนคเรศสะกดจิตให้แทงผีดิบตนนั้นไปเรื่อยๆ เพื่อให้หญ้าวังเวียนที่อยู่ในเลือดไหลออกไปให้หมด
“ไม่จริง ฉันฆ่าแค่แปดตนเอง ฉันน่าจะทำให้ทยุตเป็นศพที่เก้า” รวิภามีน้ำโห
“มนชิตเล่นบทเป็นมิตร เราจะฆ่าเพื่อนสนิทมันไม่ได้ ไม่งั้นมันจะรู้ว่าเรากำลังคิดจะทำอะไร” นคเรศพูด
“หลังจากนี้คงเข้าสู่สงครามจริงๆแล้วล่ะ” รวิภาพูด
“เธอรู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไงกับหมอผี?” นคเรศถาม
“ฉันเชื่อว่าฉันทำได้” รวิภาเดินมาถึงร้านขายเครื่องรางของขลัง ย่านเมียงออก
“ดี เธอจัดการเรื่องของ..สมิตา เดชาภัทรจินดา..ฉันจะเริ่มแผนการขั้นต่อไป” นคเรศพูดจบก็วางสาย
“โอ้ ดีใจจังที่เธอมาตามคำขอได้...อาคินถูกกริชแทงและกำลังนอนเน่าอยู่ในโลง ตอนนี้เราเสียเวลามามากพอแล้ว” รวิภาหันมาเจอกับสมิตาพอดี พวกเธอยืนคุยกันหน้าร้าน
“คุณโชคดีนะที่ฉันมาได้ คุณต้องการอะไร?” สมิตาถาม
“เหมือนจันทร์ถูกทำร้ายเมื่อคืนนี้ โดยลูกสมุนของมนชิต เพราะมีใครบางคนไปบอกว่ามีอสูรอยู่ในย่านหมอผี และเมื่อวานเธอก็แวะมาที่นี่ที่เดียว ใครก็ตามที่เห็นเธอที่นี่ต้องเป็นคนคาบข่าวไปบอกเขา...ดูและเรียนรู้ไว้ซะ” รวิภาพูดจบก็เดินเข้าไปในร้าน สมิตาตามไปติดๆ เธอยังไม่เข้าใจเท่าไหร่ คะนึงเนตรเดินออกมาจากหลังร้าน เธอถือกล่องลังกระดาษใส่ของออกมา
“ไง ..แป้ง..” คะนึงเนตรทักทายอย่างสนิทสนม เธอเรียกชื่อเล่นของสมิตา
“หวัดดี ..เนตร..” สมิตาทักตอบ รวิภาทำเนียนเลือกของในร้าน
“ตรงนั้นมีแต่ดอกดาวเรืองค่ะ สำหรับการดึงดูดเพศตรงข้ามนะ คงดูดีถ้าคุณจะใช้” คะนึงเนตรหันไปเห็นรวิภา เธอโปรโมทสินค้าในร้าน
“ฉันสนใจอย่างอื่นมากกว่า อย่างเช่น...ไม่รู้สิ ทศพิศมั่ง” รวิภาเข้าเรื่อง คะนึงเนตรหยุดชะงักนิดหนึ่ง
“ทศพิศ ทำไมคุณถึงอยากได้มันล่ะ?” คะนึงเนตรไม่สบตารวิภาเลย เธอทำเนียนเดินไปวางของอีกมุมหนึ่งในร้าน รวิภาใช้ความเร็วจัดตัวเธอแล้วบีบคอไว้
“ได้โปรดอย่ามาเล่นลิ้นกับฉัน” สิ้นคำพูดของรวิภา เธอใช้มือเดียวจับตัวคะนึงเนตรทุ้มลงที่เคาน์เตอร์ร้านทันที
“รวิภา!” สมิตาตระโกนเรียกชื่อเตือนสติเธอแต่ไม่ได้ผล รวิภากระชากคะนึงเนตรไปอีกมุมหนึ่งของเคาน์เตอร์ เธอบีบคอหล่อนไว้อยู่
“ฉันเพิ่งขายให้อสูรไป แค่นั้นจริงๆ” คะนึงเนตรตอบเพราะความกลัว
“เธอกำลังโกหกฉัน ชื่ออะไรนะ เนตรใช่ไหม...ฉันขอแนะนำให้เธอตอบคำถามฉันอย่างตรงไปตรงมา” รวิภาบีบแน่นขึ้นจนคะนึงเนตรเริ่มหายใจไม่ออก
“สมิตา” คะนึงเนตรเรียกเธอเพื่อขอความช่วยเหลือ
“แค่ตอบคำถามคะนึงเนตร ขอร้องล่ะ” สมิตาช่วยกล่อมเธอ รวิภาบีบเบาลง
“ใช่ ฉันบอก แต่คุณคงไม่เข้าใจหรอก ฉัน...ฉันรักเขา” คะนึงเนตรยอมรับ รวิภาจับเธอโยนลงจากเคาน์เตอร์ เธอใช้รองเท้าส้นเข็มที่ใส่อยู่จ่อไปที่คอห้อยของคะนึงเนตร
“งั้นก็บอกฉันมา ใครคือผีดิบที่รักของเธอ” รวิภาถามต่อ คะนึงเนตรไม่ยอมพูด เธอจึงจี้ส้นเข็มไปที่คอห้อยพร้อมทิ่มมันลงไปทุกเมื่อ
“ฉันจะนับถึงสาม” รวิภายื่นคำขาด

.. ณ โรงนาแห่งหนึ่งในเมืองจตุราชิต นคเรศเดินมาหาจิรพัส ..

“ฉันสั่งให้นายเอาเลือดมันออกให้หมด...ทำไมนานนักล่ะ?” นคเรศพูด
“ขอโทษที ผมไม่ใช่พวกที่ชำนาญเรื่องการทรมานแบบโบราณน่ะ” จิรพัสหันไปตอบ นคเรศรำคาญนิดๆ เขาเลยใช้ความเร็วหยิบคราดแล้วแทงไปทีผีดิบตนนั้นอย่างรุนแรง
“เขาทำให้คุณโกรธขนาดนั้นเลยเหรอ?” จิรพัสตกใจนิดๆ
“ไม่เกี่ยวหรอกว่ามันทำอะไร มันเกี่ยวกับสิ่งที่มันจะทำต่างหาก และเมื่อเราเสร็จจากตรงนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันต้องการให้มันเป็นเหมือนนาย...ฉันทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ~ ทีนี้แทงซะ ~” นคเรศมีแผนเสมอ เขาสะกดจิตให้จิรพัสแทงผีดิบตนนั้นแรงๆ จิรพัสทำตามที่เขาบอก
“นี่มันบ้าชัดๆ...ผมไม่อยากทำสิ่งนี่ แต่ผมก็ต้องทำ” จิรพัสมีสติตลอดแต่เขาบังคับตัวเองไม่ได้
“มันเรียกว่าการควบคุมจิตใจ ผีดิบสามารถควบคุมจิตใจมนุษย์หรือผีดิบที่อายุน้อยกว่าได้ ส่วนพวกผีดิบตนแรก คือครอบครัวฉันและฉันสามารถบังคับผีดิบได้ทุกตน นอกจากนี้ก็ไม่มีใครสามารถควบคุมจิตใจของผีดิบตนแรกได้เลย ตามฉันทันไหม?” นคเรศอธิบาย จิรพัสพยักหน้า
“เยี่ยม...นี่คือวิธีสร้างพวกน่าขยะแขยงที่ออกหากินตอนกลางคืนให้เหมือนกับนาย ตอนนี้นายทำตามคำสั่งของฉันโดยที่ไม่มีใครรู้” นคเรศพูดต่อ เลือดของผีดิบตนนั้นไหลออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
“แล้วทำไมผมถึงไม่ถูกรีดเลือดออกจากตัวแบบนี้ล่ะ?” จิรพัสถามต่อ
“แน่นอน..จิรพัส..เพราะว่าฉันได้นายมาก่อนที่นายจะมีหญ้าวังเวียนอยู่ในตัว เห็นไหม...ว่ามันป้องกันการถูกสะกดจิตได้ มนชิตใช้มันกับลูกสมุนของมันทั้งหมด ตั้งแต่ฉันกลับเข้ามาในเมืองและนั่นคือเหตุผลที่เพื่อนของเราต้องมีเลือดที่ปราศจากหญ้าวังเวียน เพื่อที่ฉันจะสามารถบังคับให้มันทำตามทุกคำสั่งของฉันได้...พี่ชายฉันที่ถูกจองจำ ตอนนี้ต้องการความช่วยเหลือ และเราจะไม่ออมมือเด็ดขาด ...เอามานี่” นคเรศพูดจบก็ดึงคราดกลับมา เขาแทงใส่ผีดิบตนนั้นอย่างเต็มกำลังแล้วบิดซี่โครงจนหัก
“รีบทำให้เสร็จ ฉันต้องใช้กองทัพและผู้นำทัพ ไม่ใช่แค่สร้างขึ้นมา...” นคเรศส่งคราดคืนให้จิรพัส โทรศัพท์ของเขาดังขึ้น เป็นสายของรวิภา นคเรศกดรับทันที
“ว่าไง?” นคเรศพูด
“พี่พูดถูกเรื่องคนทรยศ โชคดีนะ เธอยังไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเรา หรือสิ่งที่เรากำลังจะทำ พี่อยากได้ยินส่วนที่เหลือซึ่งจะทำให้พี่ต้องประทับใจที่สุดไหมล่ะ?” รวิภารายงาน จิรพัสกำลังแทงผีดิบตนนั้นไม่ยั้งมือ
“บอกมา” นคเรศพูด
“เธอคบกับใครบางคน เป็นคนวงในของมนชิต ทายสิว่าใคร” รวิภาบอกใบ้
“มือขวาที่ชอบใส่หมวกโง่ๆนั่นใช่ไหม?” นคเรศยิ้มออกมาทันที
“เอาไปสองแต้มเลย ทยุตคบกับศัตรู” รวิภาเฉลย
“หมายความว่ามันไม่รู้ตัวว่ากำลังเป็นตัวแปรสำคัญในแผนการของเราทั้งหมด” นคเรศถูกใจถึงที่สุด
“ฉันบอกแล้ว พี่ต้องประทับใจ” รวิภาก็ไม่ต่างกัน
“โอ้ เด็กกันเหลือเกิน มีความรักในเมืองที่หมอผีกับผีดิบกำลังจะทำสงครามกัน...ทำไมเรื่องมันเศร้าขนาดนี้นะ” นคเรศพูด

...............................................................................................

     .. ณ บ้านของตระกูลวิรุฬห์กร รวิภาลากตัวสมิตามาทีนี่ นคเรศกลับมาที่บ้าน ทั้งสามคนคุยกันในห้องรับแขกและปิดประตูห้องมิดชิด เหมือนจันทร์เดินมาที่ประตูเพื่อแอบฟัง เธอไม่ได้มีส่วนร่วมในครั้งนี้ ..
“คุณจะเลิกคิดได้ไหม...มันไม่มีทาง” สมิตาพูด เธอนั่งอยู่บนโซฟาขณะที่ทั้งสองคนยื่นค้ำหัวเธอ
“เรื่องง่ายๆ เราต้องการให้เธอใช้คาถาระบุตำแหน่งหาตัวพี่ชายของเรา” รวิภาพูดถึงจุดประสงค์
“หมอผีที่ใช้อาคมในเมืองนี้จะถูกจับและถูกฆ่าตาย” สมิตาเอือมที่จะพูดเรื่องนี้แล้ว
“แน่นอน สำหรับเรื่องนั้นดูเหมือนว่าเธอจะต้องออกไปนอกเมืองก่อนนะ เพราะรายละเอียดสำคัญที่เราทำข้อตกลงกัน มนชิตมีอาวุธลับ มันถึงได้รู้ว่าตอนไหนที่หมอผีเล่นคุณไสย” นคเรศพูดเสริม เขาและน้องสาวนั่งลงที่โซฟาเช่นกัน
“เด็กผู้หญิงตัวประมาณนี้ ดูมีเสน่ห์ เห็นแล้วน่าหงุดหงิด” รวิภาอธิบายลักษณะของดารายา
“ดารายาเหรอ...คุณเห็นเธอที่ไหน?” สมิตารู้จักดารายา เธอดูตื่นเต้นเล็กน้อย นคเรศคาดไม่ถึงนิดๆที่สมิตารู้จักอาวุธลับของมนชิต
“ฉันก็ไม่รู้ นังเด็กเหลือขอนั่นลบความทรงจำของฉัน หลังจากที่หล่อนโยนฉันออกนอกหน้าต่าง ใจดำจริงๆ” รวิภาตอบ
“ฉันขอตัดเข้าเรื่องสำคัญก่อนนะ...ดารายามีอาคิน พวกหมอผีของเธอ ฉันขอเดาว่าต้องการให้ดารายาออกห่างจากมนชิต แต่เราไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นเราจึงต้องการคาถาอาคม” นคเรศพูดเข้าเรื่อง
“แต่ดารายาจะรู้ว่าเราจะทำอะไร” สมิตาพูด
“นอกจากว่าจะมีหมอผีคนอื่น ขอเรียกว่าผู้ทรยศที่เป็นต้นเหตุของเรื่อง...คะนึงเนตรจะต้องใช้อาคมที่มีพลานุภาพสูงในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งจะทำให้เกิดม่านหมอกปิดบังคาถาเล็กๆของเธอจากดารายา” รวิภาเสนอทางออก สมิตาไม่เห็นด้วย เธอส่ายหน้า
“คะนึงเนตรไม่สมควรตาย” สมิตาพูด นคเรศเริ่มหงุดหงิดเขาตบโต๊ะและลุกขึ้นเดินไปนั่งใกล้ๆสมิตา
“..สมิตา เดชาภัทรจินดา.. เธอเองก็ไม่ได้มีศีลธรรมนักหรอกนะ...เธอจะชนะสงครามไม่ได้ถ้าไม่มีการสูญเสียเกิดขึ้น ไอ้สิ่งเล็กๆน้อยๆนี้ ไม่ว่ามันจะน่าสลดใจแค่ไหนก็ตาม กี่ครั้งแล้วที่พวกผีดิบมักจะนำหน้าไปหนึ่งก้าวเสมอ รู้ในสิ่งที่พวกมันไม่น่าจะรู้...พี่สาวของเธอถูกฆ่ากลางแยกจัตุรัสชัยชินีเพราะใช้อาคม พวกมันรู้ว่าเธอเล่นของได้ยังไง เธอได้พยายามหนีหรือเปล่าล่ะ?” นคเรศพูดประนีประนอม
“เธอถูกจับได้ว่าซ่อนตัวอยู่ในโกดังของเรือบรรทุกสินค้าก่อนที่มันจะออกจากท่าเรือบางสะพาน” สมิตาพูด
“แล้วใครกันล่ะที่เป็นคนบอก ใช่คนวงในและเป็นคนสำคัญของมนชิตหรือเปล่า คนที่จัดการธุระของมันที่ท่าน้ำใช่ไหมล่ะ” นคเรศพูดให้กระจ่าง
“คะนึงเนตรกับทยุต” สมิตาต้องยอมรับว่าสงครามย่อมมีการสูญเสีย

...............................................................................................

     .. ณ ผับ M นคเรศกับมนชิตกำลังยืนดูทยุตเล่นทรัมเป็ตอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาเล่นได้เก่งเลยทีเดียว ..
“นายพูดถูก เขาเก่งมาก” นคเรศชมทยุตให้มนชิตฟัง
“ใช่ไหมล่ะ ฉันเรียกเขาว่า ‘พ่อหนุ่มนักดนตรี’ น่ะ สาวๆคลังเขาจะตาย แต่เขามีแฟนแล้วนะ เขาคบอยู่กับหมอผีสาวสวย พวกเขารักกันดี แต่ฉันก็ไม่รู้สิ” มนชิตรู้เรื่องนี้อยู่แล้วแต่ก็มีบางเรื่องที่คาใจ
“เพื่อนที่ฉลาดที่สุดของนายไปคบกับศัตรูของนาย แต่นายก็ทำเป็นไม่สนใจ” นคเรศพูด
“ฉันสนอยู่แล้ว แต่ทยุตไม่ใช่เด็กๆ เขามีทางเลือกเป็นของตัวเอง แถมฉันยังได้หน่วยข่าวกรองเพิ่มขึ้นด้วย นอกเสียจากว่าเขาจะไม่ทำอะไรที่เป็นภัยในสิ่งที่เรากำลังจะทำอยู่ตอนนี้ ฉันหมายถึง...ยกตัวอย่างนะ ผีดิบเป็นเจ้าภาพในงานการกุศล พวกเรามีสังคมร่วมกันที่นี่ ซึ่งก็ไม่มีใครทำลายมันได้แน่” มนชิตพูด
“เพราะ...นายไม่ต้องการให้พวกหมอผีแข็งข้อไปมากกว่านี้ จากข่าวที่หมอผีแฟนสาวนั่นบอกว่าเจออสูรในเมือง และเป็นตัวการทำให้พวกผีดิบของนายหายตัวไป...ฉันมั่นใจว่านายก็คิดเหมือนกับฉันว่ามีความเป็นไปได้ ที่จะเป็นกับดัก” นคเรศปั่นหัวมนชิต
“ถ้าอย่างนั้น บางทีฉันคงต้องส่งข้อความสักหน่อยแล้วล่ะ...ทยุต พาทีมผีดิบออกไปอาละวาดคืนนี้ ไปไล่ที่กันซะหน่อย” มนชิตเชื่อสนิทใจ ทยุตอึ้งนิดๆ เขาพยักหน้าตามคำสั่ง
“อ่อ ทยุต เอาให้สยดสยองเลยนะ” มนชิตยื่นคำขาด
     

     .. ณ ร้านรสนิยม รวิภากำลังตีเนียนชวนกรองขวัญคุยเรื่อยเปื่อยอย่างสนุกสนาน เธอนั่งอยู่ที่บาร์ กรองขวัญลืมสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปแล้ว ..
“เพราะอย่างนั้นฉันจึงกลับมาที่นี่ เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้พี่ชาย เราจึงต้องเผชิญหน้ากัน ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญอย่างนั้นใช่ไหมกรองขวัญ” รวิภาพูดเรื่องของตัวเองให้สาวบาร์ฟัง
“ขวัญ ฉันคงต้องเปลี่ยนป้ายชื่อแล้วล่ะ พวกหนุ่มๆที่เมาชอบมาจีบฉันโดยอวดอ้างสติปัญญาและการศึกษา คุณแน่ใจนะว่าคุณไม่เคยมาที่นี่มาก่อน เพราะฉันคุ้นหน้าคุณยังไงไม่รู้” กรองขวัญพูด เธอรินเหล้าให้รวิภา
“เราน่าจะเคยเดินสวนกันข้างนอกมั้ง เธอคุยอยู่กับ..มนชิต จรัสไพศาล..งั้นเหรอ เขาเป็นเพื่อนฉันเอง ฉันได้ข่าวว่าเขาตกหลุมรักสาวบาร์เทนเดอร์ผมลอนที่ร้านรสนิยม” รวิภาพูดถึงบุคคลที่สาม
“ฉันไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไรนะ เขาก็แค่ตามจีบฉัน ไม่รู้สิ เขามีเสน่ห์มาก ซึ่งก็หมายความว่าฉันควรจะอยู่ให้ห่างจากเขา” กรองขวัญเขินเล็กน้อย เธอทำเป็นเดินไปหยิบแก้วมาเก็บ
“ฉันเป็นพวกมีปัญหาเรื่องความรักน่ะ ตัวฉันในตอนนี้” รวิภาพูดถึงปมของเธอ
“พวกนั้นแย่มากใช่ไหมล่ะ คนหนึ่งที่คุณลืมเขาไม่ลง แม้ว่าคุณจะรู้ดีกว่าและคุณรู้ดีกว่าเขาเสมอ ถูกไหม?” กรองขวัญวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็ว
“ฉันชอบเธอนะ ขวัญ สาวๆส่วนมากมักจะโชคร้ายจากอารมณ์หงุดหงิดและขี้บ่น” รวิภาพูด
“ขอบคุณ...ฉันก็คิดว่างั้น” กรองขวัญพูด
“เฮ้ ฉันต้องไปงานการกุศลที่จัดโดยผู้ใหญ่ใจบุญคืนนี้ เขาเป็นคนที่ค่อนข้างชอบงานปาร์ตี้ เธอสนใจไหม?” รวิภาเข้าเรื่องทันที

...............................................................................................

     .. ณ ห้องใต้ดินในบ้านหลังหนึ่งของเมืองจตุราชิต ผีดิบที่ถูกนคเรศและจิรพัสจับมาเอาหญ้าวังเวียนออกจากเลือดจนหมดสิ้น เขาจึงถูกนคเรศสะกดจิตได้อย่างง่ายดาย ..
“เข้าใจใช่ไหมว่านายต้องทำอะไรบ้าง?” นคเรศถามผีดิบตนนั้น ในขณะที่เขากำลังใส่เสื้อผ้า ผีดิบตนนั้นพยักหน้า
“เยี่ยม” นคเรศพูด
     

     .. ณ ย่านเมียงออก หมู่บ้านเมียงออก เหล่าผีดิบจำนวนมากบุกเข้ามาอาละวาดทำลายข้าวของและไล่ฆ่าหมอผีที่ขัดขืนตามคำสั่งของมนชิต นำทีมโดยทยุตและดนัย จิรพัสแฝงตัวเข้าร่วมด้วย ผีดิบทุกตนดูสนุกสนานในการไล่ล่าและพังที่อยู่อาศัยของพวกหมอผี จังหวะนั้นเองทยุตได้แอบเข้าไปทางหลังร้านขายเครื่องรางของขลัง ..
“คุณ” ทันทีที่คะนึงเนตรเห็นใบหน้าของทยุต เธอก็วิ่งเข้าไปกอดเขาทันที ทยุตก็เช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั่น?” คะนึงเนตรถามแฟนหนุ่มของเธอ
“นคเรศน่ะ เขาโน้มน้าวให้มนชิตหาเรื่องพวกหมอผีด้วยข้อหาที่ว่า หมอผีกำลังคิดที่จะต่อต้านเขา มนชิตเลยให้เรามาเป็นเครื่องส่งสาร แล้วถ้าเขาคิดว่าฉันกำลังเมตตากับศัตรูเพียงเพราะว่าฉันคบกับหมอผีสาวแสนสวย...” ทยุตพูดไปโยนข้าวของในร้านให้กระจุยกระจายเพื่อสร้างสถานการณ์ในร้าน คะนึงเนตรดึงแขนเขาเอาไว้ เธออมยิ้ม
“พูดอีกทีสิ” คะนึงเนตรเดินเข้ามาโอบกอดเขา มือของเธอค่อยๆลูบไปที่แก้มของเขาทั้งสองข้าง
“ผมรักคุณ คะนึงเนตร…แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ผมสัญญา” สิ้นคำพูดของทยุต เขาบรรจงจูบอันหวานซึ้งให้กับเธอ ก่อนที่จะเดินออกมาจากหลังร้าน เขาพบกับผีดิบตนนั้นที่ถูกนคเรศสะกดจิต
“ฉันจัดการที่นี่เรียบร้อยแล้ว” ทยุตทำเป็นตีเนียน พูดจบเขาก็เดินออกไป แต่ผีดิบตนนั้นไม่ได้อยู่ในอาณัติของเขา มันทำตามแผนใช้ความเร็วพุ่งตัวเข้าไปทางหลังร้านทันที เสียงร้องของคะนึงเนตรดังขึ้นขณะที่ผีดิบตนนั้นลากเธอออกมาจากหลังร้าน
“ทยุต!” คะนึงเนตรตระโกนเรียกชื่อเขา ทยุตหันหลังกลับมาพบว่าผีดิบตนนั้นผลักเธอติดกับกำแพงร้านแล้วกัดเธอ คะนึงเนตรส่งเสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
“ปล่อยเธอไปซะ...ออกไป!” ทยุตใช้ความเร็วพุ่งตัวไปที่ผีดิบตนนั้น เขาใช้พละกำลังกระชากผีดิบตนนั้นกระเด็นไปอีกฝั่ง ตอนนั้นเองดนัยและผีดิบตนอื่นๆเพิ่งสังเกตเห็นเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ทยุตไม่รอช้า เขาใช้ความเร็วพุ่งตัวไปนั่งค่อมผีดิบตนนั้นไว้ เขาหยิบขาเก้าอี้ไม้ที่หักเป็นปลายแหลมขึ้นมาแล้วแทงไปที่อกของผีดิบตนนั้นทันที มันสิ้นใจตายในที่สุด ความโกรธของทยุตค่อยๆลดลง ขณะที่สติของเขาเริ่มกลับมา เขารู้ว่าเขาทำผิดกฎอย่างร้ายแรง และผีดิบตนอื่นๆก็เห็นเหตุการณ์นี้ทั้งหมด ผีดิบทุกตนรวมทั้งดนัยเดินเข้ามาล้อมเขาไว้ คะนึงเนตรกำลังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอได้แต่ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก ทยุตรู้สึกสำนึกผิดแต่มันไม่ทันเสียแล้ว

     .. ณ บ้านของตระกูลวิรุฬห์กร นคเรศนั่งอยู่ในห้องทำงานกำลังวุ่นวายอยู่กับเอกสารบางอย่าง ตอนนั้นเองโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เป็นสายของรวิภาเช่นเคย เขากดรับสาย ..
“ไง น้องสาวตัวน้อย” นคเรศพูดสาย
“พี่ชาย ฉันแน่ใจว่ามนชิตจะต้องว้าวุ่นหัวใจในคืนนี้” รวิภารายงาน
“ยังไง?” นคเรศเปลี่ยนเป็นเปิดลำโพงแทน เขาจัดเอกสารไปคุยไป
“เอาเป็นว่าเขาจะไม่มีเวลามาสนใจพวกเราแน่นอน ฉันได้ทำอะไรลงไปนิดหน่อย...ว่าแต่พี่ได้ทำอะไรเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะได้อาคินกลับคืนมาอย่างปลอดภัยบ้างไหม?” รวิภาถาม
“ตอนนี้ฉันกำลังเตรียมประกันภัยไว้ เพื่อป้องกันความใจอ่อน” นคเรศตอบ
“หมายความว่าไง?” รวิภาถามต่อ
“เราจำเป็นต้องมีแรงจูงใจที่เหมาะสมกับคะนึงเนตร เพื่อที่เธอจะสามารถใช้อาคมได้ในคืนนี้...ฉันกำลังสร้างแรงจูงใจนั้น มนชิตสั่งให้สมุนไปอาละวาดพวกหมอผี ฉันก็แทรกแซงบางสิ่งเข้าไปเพื่อให้เกิดความผิดพลาด มนชิตอาจจะไม่กังวลเรื่องความรักของทยุต แต่ถึงอย่างนั้นยังมีความผิดอย่างอื่นที่เขาอาจจะทำมัน ซึ่งมีความเป็นไปได้น้อยมากที่เขาจะได้รับการอภัยโทษ...ยกตัวอย่างเช่น ผีดิบฆ่าผีดิบ นั้นคือสิ่งที่อภัยให้กันไม่ได้ และถ้าคะนึงเนตรต้องการที่จะปกป้องรักแท้ของเธอจากบทลงโทษของมนชิต ต่อจากนั้นก็คือภารกิจชิงตัวนักโทษ ซึ่งจะทำแบบนั้นได้ก็ต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่เรียกว่าอิทธิฤทธิ์มนต์ขลัง ...แล้วอะไรล่ะที่คุ้มค่าสำหรับความตาย ถ้าไม่ใช่เพื่อความรัก” แผนของนคเรศสมบูรณ์แบบ

...............................................................................................

     .. ณ ผับ M คืนนี้ที่นี่เป็นเจ้าภาพจัดงานการกุศลในธีมหน้ากากแฟนตาซี แขกเหรื่อในงานมีแต่ชนชั้นสูง คนรวย และเหล่าเซเลบคนดังมากมาย ทุกคนต่างใส่ชุดแฟนตาซีจัดเต็ม  รวิภาควงนคเรศเข้ามาในงาน เธอใส่ชุดเดรสสีดำที่ทำจากขนอีกายาวจนติดพื้น ส่วนนคเรศใส่สูทสีดำ ดูเรียบหรูและดูภูมิฐาน สองพี่น้องเดินเข้ามาอย่างสง่าและโดดเด่น เป็นที่จับตามองยิ่งนัก ..
“พี่ว่าที่นี่เหมาะเป็นฉากบังหน้าดีนะ สำหรับค่ำคืนนี้” นคเรศมองดูรอบๆงานที่เต็มไปด้วยความหรูหรา มีระดับ มนชิตทำได้ดีเลยทีเดียว เปลี่ยนจากผับเป็นห้องจัดงานที่มีระดับขึ้นมาได้ ตอนนั้นเองรวิภาสังเกตเห็นกรองขวัญเดินเข้ามาในงานนี้ เธอมาในชุดเดรสสีขาวแขนกุดยาวติดพื้น ช่วงอกเป็นลูกไม้แนบเนื้อ ใต้นมลงมาถึงช่วงล่างเป็นเลื่อมเพชรปักด้วยงานละเอียด เธอมีปีกสีขาวติดที่ด้านหลัง ดูเหมือนเทพธิดาผู้ทรงสง่า กรองขวัญโดดเด่นไม่แพ้สองพี่น้องเลยทีเดียว เธอสวยจนนคเรศตกตะลึง เขาเลิกหยุดมองเธอไม่ได้ และเมื่อเขาเริ่มดึงสติกลับมา
“เธอมาทำอะไรที่นี่?” นคเรศถามน้องสาว
“เธอดึงความสนใจของมนชิตได้ดีน่ะสิ กว่าผู้หญิงคนใหม่ของเขาจะมา ห้องนี้ก็เต็มไปด้วยผีดิบแล้วล่ะ” พูดจบรวิภาก็เดินไปหาเจ้าหล่อนทันที
“ไง ที่รัก เธอดูดีนะ” รวิภาทักกรองขวัญ ขณะที่สองสาวกำลังยืนคุยกัน มนชิตสังเกตเห็นกรองขวัญในงานจากบนชั้นสอง
“ปาร์ตี้นี้ดูไร้สาระดีนะ แต่ฉันว่ามันก็ได้บรรยากาศดี น่าจะสนุก” ขณะที่กรองขวัญกำลังคุยกับรวิภา เธอสังเกตเห็นนคเรศ เขากำลังยืนมองเธออยู่
“นั่นใช่แฟนห่วยๆของคุณหรือเปล่า?” กรองขวัญถาม
“ที่จริง เขาเป็นพี่ชายน่ะ และน้องสาวผมก็พูดถูก คุณดูสวยมากจริงๆ” นคเรศเดินเข้ามาหาทั้งสองสาว เขามองกรองขวัญตาไม่กระพริบสักนิด
“คุณแต่งตัวแบบนี้ก็ดูดีเหมือนกันนะ” กรองขวัญชมกลับ
“อย่างี่เง่าน่า ที่รัก ผมน่ะเป็นปีศาจร้ายจำแลงมา” นคเรศพูด
“ทั้งสองคนคุยกันไปก่อนนะ ฉันจะไปหาอะไรดื่ม” รวิภาตัดบทส่วนเกินอย่างเธอออก
“เต้นรำด้วยกันไหม?” นคเรศชวนกรองขวัญ เขายื่นแขนให้เธอ
“ได้สิ” กรองขวัญไม่ปฏิเสธ เธอควงแขนเขาทันที
“ขอสก๊อตแก้วหนึ่งค่ะ” รวิภาเดินมาสั่งเหล้ากับบาร์เทนเดอร์ที่บาร์ เธอเหลือบไปเห็นมนชิตกำลังเดินตรงเข้าไปหาเธอ รวิภาถอนหายใจแรงราวกับว่าจงใจให้เขาได้ยิน
“นี่เธอพยายามจะทำตัวน่ารักด้วยการชวนคุณกรองขวัญมาที่นี่งั้นเหรอ?” มนชิตพูด
“อ่าว ฉันคิดว่าหล่อนเป็นแฟนนายซะอีก นายคงชอบจิตใจอันดีงามของหล่อนสินะ บางทีฉันน่าจะควักมันออกมาให้นายกินซะ” รวิภาพูดจาประชดประชันตามเคย
“หืม เวลาเธอหึงก็น่ารักดีนะภา” มนชิตพูด ขณะเดียวกัน กรองขวัญและนคเรศกำลังยืนพักหลังจากที่พวกเขาเพิ่งเต้นรำเสร็จ ทั้งสองคนสังเกตเห็นการสนทนาหน้าบาร์ระหว่างรวิภาและมนชิต
“ผู้ชายแย่ๆที่รวิภาพูดถึง...ฉันรู้สึกว่าต้องเป็นมนชิตแน่ๆ” กรองขวัญดูออก
“เป็นผมจะไม่เก็บมาคิดมากหรอกนะ เรื่องมันนานมาแล้ว” นคเรศพูด
“ฉันชักจะเริ่มสงสัยแล้วสิว่าน้องสาวของคุณคือยัยตัวแสบ” กรองขวัญเธอเป็นคนพูดตรง นั่นคือสิ่งที่นคเรศชอบ เขาหัวเราะออกมา
“นั่นก็เพราะว่าเธอเป็นคนเริ่มความสัมพันธ์นี้ขึ้นมาน่ะ ...ฟังนะ ...ผมคงต้องขอตัวสักครู่” นคเรศไม่อยากให้กรองขวัญต้องมาเกี่ยวข้องกับสงคราม เขาสังเกตเห็นว่ามนชิตเห็นกรองขวัญแล้ว เขาจึงปลีกตัวออกมา กรองขวัญไม่ได้สงสัยอะไร
“คุณขวัญ” เสียงของมนชิตเรียกชื่อเธออย่างสนิทสนม
“ไง เจ้าพ่อปาร์ตี้” กรองขวัญทักทาย
“มันดูเป็นงานหรูๆมากกว่าปาร์ตี้นะ ผมน่าจะเชิญคุณด้วยตัวของผมเอง...” มนชิตรู้สึกผิดที่ไม่ได้ชวนเธอมาร่วมงาน
“โอ้ ไม่เป็นไรเลยค่ะ พวกเราแค่คุยกัน ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น คุณทำงานเถอะ ฉันจะพยายามสนุกกับงานที่คุณทำละกันนะ” พูดจบกรองขวัญก็เดินออกมา
“อะไรกัน จะให้ผมทิ้งคุณไว้คนเดียวอย่างนั้นเหรอ ทั้งๆที่คืนนี้คุณสวยมากขนาดนี้ ให้ตายสิ” มนชิตจับมือเธอไว้ เหนี่ยวรั้งไม่ให้ไป

...............................................................................................

     .. ณ บ้านของตระกูลวิรุฬห์กร เหมือนจันทร์เดินเล่นริมสระว่ายน้ำหลังบ้าน ท่ามกลางความเงียบสงบและมีเสียงของเหล่าแมลงดังเป็นระยะๆ จู่ๆเธอก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างอยู่นอกกำแพงบ้าน เธอจึงเดินไปดู สิ่งที่เธอพบก็คืออสูรตนหนึ่ง มันยืนอยู่ข้างต้นไม้ ลักษณะของมันมีผิวเนื้อที่เป็นสีน้ำตาลดวงตาสีเหลืองดูสง่างาม มันไม่ทำอะไรนอกจากยืนมองเธอนิ่งๆ เหมือนจันทร์จ้องมันกลับเช่นกัน เธอกำลังสงสัย ..
“คุณไม่ควรออกมาที่นี่” เสียงของศรีบุญ เธอโผล่มาจากไหนไม่รู้
“คุณเป็นใคร?” เหมือนจันทร์หันมาด้วยความตกใจ เธอไม่รู้จักผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้
“ขอโทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณกลัวนะ ฉันชื่อศรีบุญ เราเคยเจอกันแล้ว ฉันเป็นเพื่อนสนิทของสมิตา” ศรีบุญแนะนำตัว
“คุณเป็นหนึ่งในพวกหมอผีสินะ” เหมือนจันทร์เข้าใจแล้ว
“สมิตาขอให้ฉันมาดูแลคุณ ขณะที่ทุกคนไม่อยู่บ้าน ...คุณรู้ใช่ไหมว่ามันสนใจคุณอยู่” ศรีบุญไม่ตกใจสักนิดที่ได้เห็นอสูร เธอกลับชวนเหมือนจันทร์คุยต่อด้วยซ้ำ เหมือนจันทร์หันไปมองอสูรที่ยังคงจ้องเธออยู่
“เด็กในท้องของคุณเป็นครึ่งผีดิบครึ่งอสูร คุณกับนคเรศได้สร้างบางอย่างที่พิเศษขึ้นมานะ” ศรีบุญพูด เหมือนจันทร์หัวเราะนิดๆ
“คุณพูดเหมือนกับอาคินเลย...เขาคิดว่าเด็กคนนี้จะทำให้เรากลายเป็นครอบครัวแสนสุข แต่สุดท้ายเขาก็หายตัวไป และฉันก็ไม่รู้ว่านี่...คืออะไรกันแน่” เหมือนจันทร์พอคิดถึงอาคิน เธออดสับสนไม่ได้ว่าพละที่เธอต้องแบกรับไว้นี้ มันดีหรือไม่ดี
“รู้ไหม ฉันสามารถทำบางอย่างได้นะเกี่ยวกับเด็ก ถ้าคุณต้องการ ...หมายถึง ฉันสามารถรู้ได้ว่าเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง” ศรีบุญอยากจะช่วยเธอ
“ฉันนึกว่าคุณใช้คุณไสยไม่ได้ซะอีก” เหมือนจันทร์งงนิดๆ
“มันไม่ใช่ไสยศาสตร์อะไรหรอก มันเป็นเคล็ดลับเก่าๆของคนในหมู่บ้านน่ะ ยายฉันเป็นคนสอน ...เอาน่า อย่างน้อยๆคุณก็ต้องอยากรู้บ้างล่ะ” ศรีบุญพูด

     .. ณ ผับ M ทุกอย่างภายในงานดำเนินไปได้ด้วยดี ไม่มีอะไรติดขัด กรองขวัญกำลังเต้นรำอยู่กับมนชิต รวิภาและนคเรศได้แต่ยืนมองทั้งคู่เต้นรำกัน ..
“ฉันจำได้ คุณเคยบอกฉันว่าคุณทำงานเกี่ยวกับชุมชุนของเมือง” กรองขวัญถามเรื่องอาชีพการงาน
“เกี่ยวกับการระดมทุนของชุมชนน่ะ พอจัดงานเลี้ยง คนก็มาบริจาค นั่นล่ะงานของผม ...คุณต้องคิดว่าผมเป็นปีศาจแน่ๆ” มนชิตตอบ
“แล้วรวิภาล่ะ เธอเป็นหนึ่งในผู้บริจาคเหรอ?” กรองขวัญถามถึงบุคคลที่สาม
“เธอเป็นเพื่อนเก่าของผมเอง” มนชิตตอบ
“ดูจากลักษณะของคุณสองคนแล้ว ไม่น่าจะเก่าเลยนะ ...เธอดูเด็กกว่าฉันซะอีก” กรองขวัญขุดขึ้นเรื่อยๆ
“คุณจะต้องแปลกใจ เราเจอกันตั้งแต่ผมเด็กๆ พักเรื่องของเธอเถอะ ...ตอนนี้ผมต้องการให้คุณอยู่กับผม
ที่นี่” มนชิตแนบชิดกรองขวัญมากขึ้น พวกเขากำลังหวานซึ้ง
“หล่อนคือปีศาจที่น่ากลัวจริงๆ นี่แค่เรื่องเล็กๆนะ” นคเรศพูด สองพี่น้องใช้ความพิเศษของผีดิบ พวกเขาได้ยินทั้งหมด
“ไร้สาระน่า พวกเขาเหมาะสมกันดีออก พี่อยากจะดึงดูดความสนใจของมนชิต ก็สำเร็จแล้วนี่ไง” รวิภาพูดกับนคเรศ แต่ตาของเธอจ้องทั้งสองคนไม่กระพริบ ตอนนั้นเองดนัยก็เดินเข้ามาในงาน เขามองหามนชิต ขณะที่ทั้งมนชิตและกรองขวัญกำลังแนบชิดกันมากๆจนริมฝีปากจะประกบกันอยู่แล้ว ดนัยเดินเข้ามาขัดขวางบรรยากาศที่ว่านี้พอดิบพอดี เขากระซิบที่ข้างหูของมนชิต นคเรศและรวิภารู้ตัวทันทีว่าแผนที่วางไว้สำเร็จตามคาด
“ตาฉันบ้างล่ะ” พูดจบรวิภาก็เดินออกไปจากงานทันที มนชิตมองไปที่ทยุตที่กำลังเดินเข้ามาในงานด้วยสายตาที่ผิดหวัง ทยุตมองเขาด้วยสายตาที่สื่อความหมายว่าฉันขอโทษและไม่ได้ตั้งใจ
“ขอตัวก่อนนะครับ” พูดจบมนชิตก็เดินออกไปจากงานอีกคน ดนัยตามเขาไปติดๆพร้อมกับลากตัวทยุตไปด้วย นคเรศมองไปที่กรองขวัญ เจ้าหญิงแสนสวยของงานกำลังถูกทอดทิ้ง ยังไม่พ้นประตูทางออก มนชิตบีบคอทยุตดันไปติดกับกำแพง เขาโกรธมาก
“มึงทำบ้าอะไรวะ!” มนชิตโกรธจนแทบจะขย้ำคอของทยุต ดนัยจึงรีบเข้ามาห้าม
“ไม่ใช่ที่นี่ อย่าเพิ่ง” ดนัยผลักมนชิตออก นคเรศหันไปมองเหตุการณ์ที่หน้าประตู เขายิ้มด้วยความสะใจ ส่วนกรองขวัญผู้ซึ่งมองเห็นเช่นกัน เธอรู้สึกผิดหวัง เมื่อเจ้าชายของเธออาจจะไม่ได้เป็นอัศวินแห่งความยุติธรรมอย่างที่เธอคิด

...............................................................................................

.. ณ สุสานบรรพบุรุษ ตอนนี้คะนึงเนตรยืนอยู่กับสมิตา เธอกำลังร้องไห้คร่ำครวญ ..

“ฉันรู้ว่าเธอคิดว่าเขาคือปีศาจ” คะนึงเนตรร้องไห้ไปพูดไป เธอประคองสติตัวเองไม่ได้
“มันไม่สำคัญหรอกว่าฉันจะคิดอะไร ทยุตฆ่าผีดิบด้วยกัน เขาทำผิดกฎที่ร้ายแรงที่สุดของมนชิต เธออาจจะไม่จะได้เจอเขาอีกเลยก็ได้นะ” สมิตาพูดย้ำให้คะนึงเนตรร้องไห้หนักกว่าเดิม
“นอกจากเราควรจะทำสักอย่าง” สมิตาเริ่มเข้าแผนการที่วางไว้
“เราเหรอ?” คะนึงเนตรเริ่มกลับมามีสติอีกครั้ง
“ฉันอยากจะช่วยคนของเรา ส่วนเธอก็อยากจะช่วยทยุต...มันมีหนทางเดียวที่เราจะทำมันได้ทั้งสองอย่าง” สมิตาพูด คะนึงเนตรพยักหน้าตาม เธอเข้าใจแผนการในครั้งนี้แล้ว

     สองสาวไปเตรียมอุปกรณ์เพื่อประกอบพิธีกรรมอย่างเร่งด่วน เมื่อทั้งสองคนได้ของมาครบแล้ว พวกเธอไปที่หน้าหลุมศพของตระกูลเดชาภัทรจินดา สองสาวคุกเข่าลงที่หน้าหลุมศพ คะนึงเนตรจัดเรียงอาหารคาวหวานใส่จานพร้อมช้อนซ้อมและจุดธูปหนึ่งดอกปักไว้ที่อาหาร ส่วนสมิตาเตรียมกล่องไม้เก่าๆมาหนึ่งกล่อง นำมาวางตรงหน้าพวกเธอ มันคือมรดกของบรรพบุรุษตระกูลเธอ เพื่อใช้เป็นสื่อกลางระหว่างพวกท่านกับพวกเธอ คะนึงเนตรหยิบดอกไม้แห้งมาวางไว้ตรงหน้าเช่นกัน สมิตาหยิบจานแก้วที่ใส่ข้าวสารเสกไว้เรียบร้อยแล้ว เธอนำมาวางไว้ระหว่างกันและกัน ทั้งสองคนช่วยกันจุดเทียนจำนวนหนึ่งไปตั้งไว้รอบๆหลุมศพแล้วแบ่งบางส่วนตั้งไว้ตรงหน้าของพวกเธอ
“พร้อมนะ” สมิตาให้สัญญาณกับคะนึงเนตร ทั้งสองคนเริ่มพิธีกรรมทันที พวกเธอทำจิตให้สงบนิ่งจนเกิดสมาธิ คะนึงเนตรเริ่มโปรยข้าวสารเสกไปรอบๆข้าวของที่อยู่ตรงหน้า สมิตาก็เช่นกัน พอผลัดกันโปรยเสร็จ พวกเธอก็นั่งสงบนิ่งไปสักพัก จู่ๆก็เกิดลมพัดรุนแรงขึ้นตรงหน้าของพวกเธอ ทั้งสองคนรู้สึกถึงพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งมาพร้อมกับสายลมและเข้าสู่ร่างกายของพวกเธอทันที นี่คือพิธีกรรมขอพลังจากบรรพบุรุษ ให้พวกท่านช่วยเสริมบารมีและอิทธิฤทธิ์

     .. ขณะเดียวกัน ณ ห้องใต้หลังคาแห่งหนึ่งในเมืองจตุราชิต ดารายากำลังนอนหลับอย่างสบาย จู่ๆเธอก็รู้สึกกระสับกระส่ายและกระวนกระวายอย่างรุนแรงจนต้องตื่นขึ้นมากลางดึก เธอเห็นภาพนิมิตเป็นลางๆว่ามีหมอผีสาวสองคนกำลังทำพิธีกรรมบางอย่างอยู่ที่สุสานใจกลางเมือง ..
“มนชิต มีบางอย่างกำลังมา” ดารายากลัวว่าสิ่งที่เธอเห็นกำลังจะเป็นภัยกับมนชิต เธอจึงรีบลุกออกจากเตียงตรงไปที่กระดาษวาดภาพของเธอ เธอเริ่มวาดรูปผู้หญิงที่เห็นในนิมิต ระหว่างวาดเธอก็รู้สึกถึงอำนาจบางอย่างที่คุ้นเคยดี
“ไสยเวทย์” ดารายารู้แน่ว่าพวกหมอผีกำลังจะโต้กลับผีดิบ

          .. ณ ชั้นสองของผับ M บริเวณห้องของมนชิต มันเป็นส่วนตัวและห่างจากงานปาร์ตี้พอสมควร เขากำลังสอบสวนทยุตด้วยอารมณ์โมโห ..
“ฉันอยากได้ยินจากปากของนาย” มนชิตพูด
“เห้ย มนชิตไม่เอาน่า” ทยุตพูด
“เล่ามา เดี๋ยวนี้!” มนชิตสั่ง
“พวกเรากำลังอาละวาดอยู่ในหมู่บ้านเมียงออก ผู้ชายคนหนึ่งมันเป็นผีดิบ มันทำร้ายเนตรโดยที่ไม่มีเหตุผล” ทยุตอธิบาย
“มันชื่อ..เมฆ.. ฉันเป็นคนเปลี่ยนมันเอง และด้วยเหตุผลทั้งหมด มันก็ไม่ได้พอใจนักหรอก ...แฟนนายเป็นหมอผี ไอ้เมฆเป็นผีดิบ และตอนนี้มันตายแล้ว” มนชิตรู้จักกับผีดิบที่ตายไป ตอนนั้นเองกรองขวัญเดินออกมาจากงาน เธอแอบมองมนชิตจากชั้นล่าง
“ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ทยุตไม่มีอะไรจะพูดอีก
“แต่มึงทำผิดกฎที่ร้ายแรงที่สุดของกู ไอ้เหี้ยยุต ...เราเป็นเพื่อนกันมานานเท่าไหร่แล้ว สองร้อยกว่าปีใช่ไหม?” มนชิตใส่ยับ
“ใช่” ทยุตตอบ
“กูเปลี่ยนมึงให้เป็นอมตะ กูให้ของขวัญอันล้ำค่ากับมึง” มนชิตพูด
“และกูก็ให้ความภักดีกับมึงเสมอมา ...ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ กูยังเป็นเพื่อนคนเดิมของมึง มนชิต ...กูสาบาน กูจะไม่มีวันเปลี่ยนเป็นอื่น” ทยุตพูดจนมนชิตใจเย็นลงบ้าง กรองขวัญเฝ้ามองเหตุการณ์นี้ทุกวินาที

...............................................................................................

นคเรศเดินตามกรองขวัญมา เขามายืนข้างๆเธอ

“คุณพูดถูก ที่รัก” นคเรศพูด
“เขากำลังโกรธอยู่ใช่ไหม....ฉันคิดว่าตอนนี้ฉันรู้แล้วล่ะว่าควรทำยังไงต่อไป” กรองขวัญพูดขณะที่สายตาของเธอมองไปที่มนชิต แล้วเธอก็เดินจากไป จังหวะนั้นจิรพัสเดินเข้ามาหานคเรศ เขายืนแผ่นกระดาษบางอย่างให้กับจิรพัส พอรับกระดาษมาเก็บไว้จิรพัสก็เดินขึ้นไปบนชั้นสอง เขาตรงไปที่มนชิต นคเรศจับตาดูอยู่ตลอดเวลา
“เราเจอนี่ในบ้านของแฟนเขา” จิรพัสทำตามแผนของนคเรศ เขายืนกระดาษแผ่นนั้นให้มนชิต มนชิตรับมันมาแล้วกางออก มันคือรายละเอียดและวิธีการปลุกเสกแหวนอาทิตย์
“เนี่ยเหรอไอ้คำว่าเพื่อนของมึง ตลกดีนะ เพราะสิ่งที่กูเห็นคือหมอผีแฟนมึงมีคาถานี่อยู่ในกำมือ ทั้งๆที่กูเป็นคนเก็บไว้!” มนชิตของขึ้นอีกครั้ง
“มนชิต ฉันไม่เคยเห็นมันมาก่อน” ทยุตรู้ว่าเขากำลังถูกหักหลัง
“หุบปาก! เห็นๆกันอยู่ว่ามึงยังสวมแหวนที่กูให้มึง แล้วมึงต้องการอะไรจากคาถานี้ เพื่อสร้างแหวนวงใหม่ใช่ไหม ...บางทีมึงกับคะนึงเนตรคงจะอยากออกจากเมืองแล้วไปสร้างอาณาจักรเล็กๆเป็นของตัวเองสินะ” มนชิตใส่ยับ
“มนชิต ฟังดิ!” ทยุตพยายามให้มนชิตฟังคำพูดจากปากเขาบ้าง
“นี่คือบทเรียนสำหรับคำว่าเพื่อน เพื่อนจะไม่โกหกกู เพื่อนจะต้องไม่แหกกฎของกู และเพื่อนจะไม่มีวันขโมยสิ่งที่เป็นของกู! ....เนื่องจากเขาฆ่าพวกเดียวกัน ฉันขอตัดสินให้ ทยุต เวียงชุม จำคุกใต้ดินเป็นเวลา 100 ปี” มนชิตระเบิดอารมณ์ก่อนที่เขาจะตัดสินโทษของทยุต นคเรศที่แอบเฝ้ามอง เขายืนยิ้มอย่างสะใจ
“ในที่สุดมันก็เริ่มแล้วสินะ” นคเรศพูด ขณะเดียวกัน คะนึงเนตรกำลังเดินอยู่บนถนนบัวบุญ เธอกำลังมุ่งหน้าไปที่ผับ M ในมือซ้ายของเธอถือมีดหมอลงอาคมเอาไว้ด้วย

     .. ณ สุสานบรรพบุรุษ สมิตากำลังเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบพิธีกรรมสำหรับภารกิจของเธอ เธอกางแผนที่ของเมืองจตุราชิตออก แล้ววางมันลงบนพื้น จุดเทียนตั้งไว้ตรง 4 มุมกระดาษแผนที่ มีผงขี้เถ้าใส่จานสังกะสี และตุ้มเหล็กเก่าๆวางอยู่ข้างๆกระดาษ รวิภาตรงเข้ามาหาเธอ สมิตาหันไปมอง ..
“เธอในทำสิ่งที่ถูกต้อง มันคือหนทางเดียวที่เราจะหาอาคินเจอ” รวิภาปลอบใจเธอ
“ฉันทำในสิ่งที่ฉันต้องทำ ฉันรู้แค่นี้ล่ะ” พูดจบสมิตาก็หยิบผงขี้เถ้ามาหนึ่งกำมือ แล้วโรยให้มันอยู่ในจุดกึ่งกลางเป็นกลุ่มก้อนบนแผนที่ จากนั่นเธอก็หยิบตุ้มเหล็กมาแกว่งมันไปเรื่อยๆพร้อมกับบริกรรมคาถา
“สะระขุ สะ ตัสะ เต เด...” นี่คือคาถาระบุตำแหน่งที่ตั้ง

...............................................................................................

     .. ณ ผับ M ผีดิบสมุนของมนชิตกำลังลากตัวทยุตออกจากผับเพื่อไปที่คุกใต้ดินของเมืองจตุราชิต นคเรศจับตามองทุกๆวินาที ทยุตเดินออกจากร้าน ตามด้วยมนชิตและสมุนผีดิบเป็นสิบๆตน ตอนนั้นเองคะนึงเนตรเดินมาถึงหน้าผับ เธอเดินตรงเข้าหาฝูงผีดิบทันที สงครามกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ..

ทยุตตกใจกับการปรากฏตัวของคะนึงเนตรที่นี่

“วะ เส ดา ฤา ...กุ งา ดา เฝ ...วะ ระ สา ...เด เง ทุ อู มะ อู” คะนึงเนตรบริกรรมคาถาบางอย่างขณะที่เดินตรงเข้ามา เหล่าผีดิบทั้งหมดหยุดเดินแล้วมองไปที่เธอ นคเรศแอบดูอยู่บนหน้าต่างชั้นสองของผับ

     .. ณ ห้องใต้หลังคาแห่งหนึ่งในเมืองจตุราชิต ดารายายังคงวาดภาพของคะนึงเนตรอย่างต่อเนื่อง ..
“เนตร อย่า!” ทยุตไม่อยากให้เธอเปิดศึกตอนนี้ แต่คงไม่ทันแล้ว คะนึงเนตรกางมือขึ้นเตรียมใช้อาคมที่ท่องมา
“ตรงเวลาดีจัง” แผนของนคเรศกำลังเป็นไปอย่างราบรื่น

          คะนึงเนตรเริ่มใช้อาคมทันที อิทธิฤทธิ์จากคาถาของเธอทำให้เกิดคลื่นเสียงบางอย่างที่มีความรุนแรงระดับสูง แรงสั่นของมันทำให้หลอดไฟสาธารณะแถวนั้นแตกกระจายทั้งหมด ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าผีดิบที่ยืนประจันหน้าเธอล้วนแต่ล้มลงกับพื้นเพราะทนการสะท้อนของคลื่นเสียงอันรุนแรงนี้ไม่ได้ พวกเขาเจ็บปวดและทรมานที่หัว ขณะเดียวกันดารายาที่กำลังวาดภาพใบหน้าของคะนึงเนตรให้เสร็จนั้น เธอก็สัมผัสได้ถึงอาคมที่ทรงพลังมากๆ เธอพยายามต้านมันไว้และวาดรูปต่อ ฝูงผีดิบพยายามฝืนอาคมของคะนึงเนตรและจู่โจมเข้าใส่เธอ ทำให้เธอสร้างคลื่นเสียงนั่นเป็นระลอกที่สอง พวกเขาแพ้อย่างราบคาบและล้มลงกับพื้นนอนดิ้นทุรนทุราย

     ขณะนี้ดารายาวาดรูปใบหน้าของคะนึงเนตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว มนชิตไม่ยอมแพ้ เขาฝืนลุกขึ้นอีกครั้งเพื่อเข้าปะทะกับเธอ แต่ก็ถูกคลื่นเสียงของคะนึงเนตรอันใส่เป็นระลอกที่สามจนเขาสู้ไม่ไหวล้มลงกับพื้นเช่นกัน เสียงของเหล่าผีดิบที่กรีดร้องด้วยความทรมานโหยหวนไปทั่วทั้งถนน
“ดะ อู วา ยะ!” คะนึงเนตรยังคงสวดคาถาต่อเนื่อง

.. ณ สุสานบรรพบุรุษ สมิตายังคงตั้งสมาธิสวดคาถาระบุตำแหน่งอยู่ ..

“สะระขุ สะ ตัสะ เต เด...” พิธีกรรมเริ่มสัมฤทธิ์ผล ขี้เถ้าที่กองอยู่บนกระดาษเริ่มขยับด้วยตัวมันเองไปในทิศทางเดียวกัน
“เร่งมือหน่อย” รวิภาพูด เธอกลัวไม่ทัน
“วะ สะ ระ ฤา” มนชิตกำลังลุกขึ้นยืนอีกครั้ง คะนึงเนตรสวดคาถาหักกระดูกขาของเขาทั้งหมด มนชิตล้มลงกับพื้น
“ไม่!!!” ดารายาไม่ยอมแพ้ เธอใช้รูปวาดใบหน้าของคะนึงเนตรเป็นสื่ออาคมของเธอ แล้วส่งพลังอำนาจของเธอไปบังคับร่างของมนชิตให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง คะนึงเนตรตกใจเล็กน้อยไม่คิดว่าผีดิบตนนี้จะอึดขนาดนี้
“เธอบุกมาถึงที่นี่เพื่อช่วยแฟนของเธอสินะ เข้ามาเลย สาวน้อย!” มนชิตพุ่งเข้าไปหาคะนึงเนตร คราวนี้เขาถูกหักกระดูกบั้นท้ายจนคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด ดารายาได้รับผลกระทบจากอาคมของคะนึงเนตร เธอล้มลงกับพื้นเช่นกัน
“ตายซะ ไอ้ลูกหมา!” คะนึงเนตรชูมีดหมอลงอาคมที่ถือไว้ขึ้นมาเตรียมแทงไปที่หัวใจของมนชิต
“เนตร อย่า!” ทยุตตระโกนออกไปพยายามจะห้ามเธอแต่ไม่ได้ผล จังหวะนี้เองนคเรศใช้ความเร็วพุ่งเข้าไปหักคอคะนึงเนตร เธอล้มลงกับพื้นและเสียชีวิตทันที สงครามก็จบลง
“สะระขุ สะ ตัสะ เต เด...” ในขณะที่อาคมของสมิตากำลังได้ผล เธอเกิดหยุดชะงักเพราะจู่ๆก็สัมผัสถึงอาคมของคะนึงเนตรไม่ได้แล้ว
“มีบางอย่างผิดปกติ คุณไสยของคะนึงเนตรหายไป ...ฉันยังลุยต่อได้อยู่” สมิตาไม่ยอมแพ้ อีกเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น
“เธอทำต่อไม่ได้นะ ดารายาจะสัมผัสได้” รวิภาไม่เห็นด้วย
“ไม่ ฉันยังสามารถหาตัวดารายาได้อยู่ ฉันขอแค่เวลาเพิ่มอีกหน่อย” สมิตาดื้อจะทำต่อ รวิภาเลยตัดสินใจดึงกระดาษแผนที่ออก พิธีกรรมถูกทำลาย สมิตาลุกขึ้นแล้วหันไปมองรวิภาด้วยความไม่เข้าใจ
“เธออาจจะยอมตายเพื่อนำหมอผีเด็กของเธอกลับมา แต่เหมือนจันทร์กับเด็กในท้องไม่สมควรที่จะตายไปกับเธอ อาคินจะต้องไม่ยกโทษให้พวกเราแน่ๆ สุดท้ายแล้วการช่วยเหลือเขาก็จะสูญเปล่า ...มันจบแล้ว เราทำไม่สำเร็จ” รวิภาอธิบายเหตุผล แผนการเป็นอันยุติ
กลับมาที่หน้าผับ M ผีดิบทุกตนรวมถึงมนชิตรอดตายไปอย่างหวุดหวิด
“ไม่ เนตร ไม่ ไม่ ...ไม่” ทยุตคลานเข้าไปโอบร่างของคะนึงเนตรที่นอนแน่นิ่งไป เขากอดเธอไว้ น้ำตาของลูกผู้ชายหลั่งไหลออกมา มนชิตยืนขึ้นได้แล้วมองหน้านคเรศ เขาพยักหน้าให้

     .. ณ คุกใต้ดินของเมืองจตุราชิต มีไว้เพื่อจองจำเหล่าผีดิบที่ทำผิดกฎ ทยุตถูกล่ามโซ่ไว้ที่ข้อมือทั้งสองข้าง มนชิตยืนอยู่ตรงหน้าเขา ...
“บอกฉันที ...หล่อนมีค่าสำหรับนายมากขนาดนั้นเชียวเหรอ?” มนชิตถาม
“ฉันรักหล่อน” ทยุตตอบ มนชิตเสียบหมุดเหล็กไปที่ท้องของทยุตให้ทะลุติดกับกำแพงทันที
“ฉาบมันซะ ปล่อยให้มันเน่าตายอยู่ในนี้ล่ะ” มนชิตสั่งผีดิบตนหนึ่ง เขาเริ่มก่ออิฐสร้างกำแพงปิดร่างของทยุตทั้งเป็น นี่คือบทลงโทษในคุกของผีดิบ พวกเขาจะถูกล่ามโซ่ ตอกหมุดตรึงไว้กับกำแพงแล้วโบกปูนฉาบร่างขังลืมไปอีกที

...............................................................................................

     .. ณ ผับ M หลังจากที่ปาร์ตี้จบลงและทุกคนทยอยกันกลับไปหมดแล้ว นคเรศหยิบเหล้ามาให้มนชิตดื่ม พวกเขายืนอยู่ตรงระเบียงชั้นสองของร้าน ..
“คุณขวัญเห็นเหตุการณ์อะไรบ้าง?” มนชิตถามถึงบุคคลที่สาม
“เธอเห็นตอนพวกนายเถียงกัน...แค่นั้นเพื่อน มันผ่านไปแล้ว นายแก้ไขมันไม่ได้ ...นายชอบเธอจริงๆใช่ไหม?” นคเรศถาม
“ฉันดีใจที่เธอไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ ...บางทีมันก็ดีนะ ที่ได้เห็นโลกในแบบที่มนุษย์ธรรมดาเห็นบ้าง” มนชิตตอบ นคเรศเงียบไปพักหนึ่ง
“ฉันเสียใจด้วยเรื่องทยุต เขาเป็นเพื่อนที่ดีของนายคนหนึ่ง” นคเรศพูด
“ฉันสร้างเขา ให้เขาเป็นอย่างที่อยากจะเป็น เห็นได้ชัดว่าฉันไว้ใจคนผิด” มนชิตพูด เขายังไม่หายเสียใจเรื่องทยุต
“มันไม่ง่ายเลยนะ” นคเรศพูด เขาดื่มเหล้าไปหนึ่งกริบ
“นายช่วยฉันคืนนี้ ฉันคิดว่าฉันเป็นหนี้นายอีกครั้ง ...นายขอพี่ชายคืน นี่อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ฉันพอจะทำได้” มนชิตยอมคืนอาคินให้ในที่สุด

     .. ณ ร้านเหล้าแห่งหนึ่งในเมืองจตุราชิต กรองขวัญมานั่งที่ร้านนี้ เธอสั่งเบียร์สดหนึ่งแก้วมาดื่ม นคเรศเปิดประตูร้านเข้ามา เขาตรงไปหาเธอแล้วนั่งข้างเธอ ..
“คุณขวัญ” นคเรศพูด
“อย่าพยายามพูดอะไรทั้งนั้น ฉันรู้ว่าคุณมาเพราะเรื่องเขา คุณมาที่นี่เพื่ออธิบายเรื่องทุกอย่างให้เพื่อนของคุณ คุณหวังดี แต่...” กรองขวัญไม่อยากฟัง
“แต่คุณเคยเจ็บมาก่อนหน้านี้ และคุณก็ไม่พร้อมที่จะเปิดโอกาสใหม่” นคเรศเข้าใจดี
“ก็ประมาณนั้น ...ผู้ชายที่ฉันเห็นวันนี้ ไม่ใช่ผู้ชายอย่างที่ฉันคิด และถ้าเขาเป็นคนโมโหร้ายแบบนั้น...” กรองขวัญรู้สึกผิดหวัง
“ดูเหมือนว่าคุณจะยิ่งกว่าคำว่าอกหักนะ เหมือนโดนทำลายความเชื่อใจ ...กรองขวัญ สาวสวยบาร์เทนเดอร์ผู้กล้าหาญ ....ผมขอโทษ แต่ผมอยากให้คุณให้โอกาสมนชิตอีกครั้ง” นคเรศและกรองขวัญเหมือนถูกต้องมนต์ของกันและกัน ก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่าไม่ควร
“ว้าว หู
ฉันต้องเพี้ยนแน่ๆ” กรองขวัญเรียกสติกลับมา
“ไม่หรอก คุณได้ยินถูกแล้ว พวกเรามีบทบาทที่ต้องเล่นกันต่อไป คุณไปงานปาร์ตี้ของมนชิต ~ คุณเต้นรำ คุณรู้สึกแย่ที่เขาทะเลาะกับเพื่อนต่อหน้าคุณ แต่สิ่งที่คุณจะจำได้ทั้งหมดนี้ คือมันเป็นคืนที่ดีมาก ~” นคเรศสะกดจิตกรองขวัญ

...............................................................................................

     .. ณ บ้านของตระกูลวิรุฬห์กร รวิภากำลังนั่งเซ็งอยู่ที่เปียโนของอาคิน เธอกดเปียโนเล่นไม่เป็นทำนอง ตอนนั้นเองนคเรศก็กลับมาที่บ้าน ..
“คืนนี้คือมหากาพย์แห่งความล้มเหลว” รวิภาหยุดเล่นแล้วหันไปพูดกับนคเรศ
“ในทางกลับกัน น้องสาว คืนนี้มันคือผลงานชิ้นเอก” นคเรศไมเห็นด้วย
“พี่บ้าไปแล้วเหรอ คะนึงเนตรตายก่อนที่สมิตาจะทำพิธีเสร็จ” รวิภาพูด
“ฉันรู้ ฉันเป็นคนฆ่าคะนึงเนตรเอง” นคเรศพูด
“พี่ทำอะไรนะ?” รวิภาอารมณ์เปลี่ยนทันที
“มันไม่มีทางที่หมอผีจะไม่ฆ่ามนชิต มนชิตอยู่ตรงหน้าเธอ ฉันเลยช่วยชีวิตมัน แล้วตอนนี้ฉันก็ได้ในสิ่งที่ฉันต้องการ” นคเรศพูด รวิภาลุกจากเปียโนมายืนตรงหน้าเขา
“สมิตาเชื่อใจพี่ ฉันเชื่อพี่ยิ่งกว่าสัญชาตญาณที่ดีมากของฉัน” รวิภาหงุดหงิด
“ตื่นได้แล้ว รวิภา ...พวกหมอผีไม่ได้อยู่ข้างใคร พวกมันอยู่ข้างตัวเอง ดารายาคือสิ่งที่พวกมันต้องการ และเมื่อพวกมันได้หล่อนไปเมื่อไหร่ เธอคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น สัญญาสงบศึกงั้นเหรอ ไม่มีทางอยู่แล้ว พวกมันจะใช้อิทธิฤทธิ์ของดารายาต่อต้านพวกเราทั้งหมด” นคเรศอธิบายให้ฟัง
“ถึงสิ่งที่พี่พูดจะถูก แต่แผนของพวกเราคือการตามหาอาคินนะ และตอนนี้พี่ก็ทำมันพัง” รวิภาพูดเตือนสติ
“เธอมันพวกไร้ศรัทธา เพราะการช่วยเหลือมนชิต ทำให้มันเชื่อใจฉันมากขึ้น ดังนั้น มันเลยยอมคืนอาคินให้กับพวกเรา และเมื่อถึงเวลานั้น เมื่อมันบอกฉันทุกๆอย่างที่ฉันอยากรู้เกี่ยวกับดารายา ฉันก็จะได้ดารายามาเป็นของฉัน” นคเรศอธิบายต่อ
“เรย์ ฉันเชื่อว่าพี่จะต้องได้ในสิ่งที่อยากได้เสมอ เพราะพี่เป็นคนแบบนั้น โดยไม่สนว่าพวกเราที่เหลือจะเป็นยังไง ...พี่มันน่ารังเกียจ ...สำหรับฉัน” รวิภาด่าเสร็จก็หยิบเหล้าดื่ม แล้วเดินออกไป

...............................................................................................

.. ณ ห้องใต้หลังคาแห่งหนึ่งในเมืองจตุราชิต มนชิตแวะเข้ามาหาดารายา ..

“คุณไม่เป็นไรใช่ไหม ฉันเป็นห่วงคุณมาก” ดารายาเห็นหน้ามนชิตก็รีบโผเข้าไปกอดเขาทันที
“ขอบคุณนะ อะไรก็ตามที่เธอทำ ฉันรู้สึกถึงมันได้ เธอช่วยฉัน” มนชิตขอบคุณดารายาจากใจจริง
“เป็นพวกผีดิบตนแรกใช่ไหมที่ทำร้ายคุณ?” ดารายาถาม
“ที่จริง นคเรศเป็นคนช่วยชีวิตฉันไว้ในคืนนี้ ฉันเลยต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง คือการส่งพี่ชายของเขาคืน” มนชิตเดินไปที่โลงศพของอาคินทันที
“ไม่!” ดารายาขึ้นเสียง
“ว่าไงนะ ดารายา...” มนชิตหยุดชะงัก
“ไม่! ...คุณเป็นคนบอกเองว่าพวกเก่าแก่นี้อันตราย ฉันไม่คืนให้หรอก จนกว่าจะรู้วิธีฆ่าพวกเขา” ดารายายืนกราน

...............................................................................................

     .. ณ บ้านของตระกูลวิรุฬห์กรเมื่อประมาณ 3 ชั่วโมงก่อน ที่ห้องครัว ศรีบุญให้เหมือนจันทร์นอนบนเคาน์เตอร์สำหรับเตรียมอาหาร เธอหยิบจี้สร้อยที่เป็นหินเขี้ยวหนุมานออกมาแล้วแกว่งมันไปเรื่อยๆ ..
“ฉันคิดว่าน่าจะเป็นเด็กผู้หญิงนะ” เคล็ดลับของศรีบุญดูท่าจะได้ผล
“เดี๋ยว...” ระหว่างแกว่งอยู่ ศรีบุญรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
“อะไรเหรอ บอกฉันทีเถอะว่าไม่ใช่นคเรศตัวน้อย” เหมือนจันทร์ที่กำลังยิ้มดีใจก็ทำหน้างง ระหว่างนั้นเองจู่ๆหินเขี้ยวหนุมานก็เกิดแสงบางอย่างสะท้อนออกมา แล้วอาการของศรีบุญก็เหมือนคนถูกผีเข้าทันที
“อู อานักมีน เติก ปิ อามปูเอียอ้ากรัก มอย ...ยูง เตียนกัวสากเนีย บาทงึน ล็อก อี ลี เยีย” ศรีบุญที่มีอาการผีเข้าพูดภาษาบางอย่างก่อนที่เธอจะคืนสติกลับมาแล้วขอตัวออกจากบ้านไป ปล่อยให้เหมือนจันทร์นอนงงอยู่ตรงนั้น

     .. ณ บ้านของตระกูลวิรุฬห์กร เหมือนจันทร์เปิดโน้ตบุ๊คกำลังนั่งหาข้อมูลบางอย่างอยู่ นคเรศเดินเข้าไปหาเธอ ..
“ฉันคิดว่าเธอคงอยากรู้ อาคินกำลังจะกลับมาหาพวกเรา” นคเรศบอกเหมือนจันทร์
“ยินดีด้วย การที่ทำตัวร้ายกาจ ฉันว่าก็มีประโยชน์ดีนะ” เหมือนจันทร์ยิ้มออก
“เธอแทบจะไม่รู้จักเขา แต่เธอก็คิดถึงแต่เขาเนี้ยนะ เพราะอะไรพี่ชายของฉันถึงชอบดลใจ ให้ถูกสรรเสริญได้อย่างรวดเร็วนัก” นคเรศแคลงใจ
“ก็เขาดีกับฉัน” เหมือนจันทร์พูดสั้นๆ แต่ทำเอานคเรศจุกถึงหัวใจ เขาหันหลังกำลังจะเดินออกจากห้อง
“เฮ้ วันนี้ฉันรู้อะไรมาด้วยล่ะ ฉันคิดว่า...น่าจะเป็นเด็กผู้หญิงนะ” เหมือนจันทร์พูด นคเรศยืนนิ่งไปพักหนึ่งก่อนที่จะเดินออกไป

          .. ณ ถนนบัวบุญ รวิภากำลังเดินเล่นไปเรื่อยๆด้วยชุดราตรีที่เธอยังคงใส่อยู่ พอเธอเห็นมนชิตยืนคุยกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอก็หันหลังกลับทันที มนชิตใช้ความเร็วโผล่มาดักหน้าเธอ ..
“นายตามฉันมา” รวิภาพูด มนชิตเดินเข้ามาใกล้เธอขึ้นเรื่อยๆ เธอถอยหลังหนีจนติดกับกำแพง ใบหน้าของเขาใกล้พอที่จะได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
“บางทีเธอก็ชอบมาขวางทางฉัน” แล้วเขาก็เดินจากไป

     .. ณ สุสานบรรพบุรุษ หมอผีในหมู่บ้านเมียงออกทุกคนออกมารวมตัวกันทำพิธีฌาปนกิจศพของคะนึงเนตรตามแบบไสยเวทย์บรรพชน คราวนี้สมิตาจุดเสจให้ควันขึ้นแล้วไล่ไปตามร่างกายของเธอ เพื่อล้างมลทินให้กับคะนึงเนตร ..
“ฉันบอกแล้วว่าสิ่งที่ตามมาจะไม่มีอะไรดีขึ้นจากพันธมิตรใจบาปของเธอ” อรนาทพูด ศรีบุญยืนอยู่ข้างๆ
“อย่างน้อยๆ ฉันก็ได้ทำบางสิ่งบางอย่าง แล้วป้าล่ะ?” สมิตายืนขึ้นแล้วตั้งคำถามใส่อรนาท เธอเดินออกไปจากงานศพ
“ศรีบุญ บอกพวกเราว่าเธอเห็นอะไร” อรนาทสั่งศรีบุญ
“เป็นเด็กผู้หญิง ทารกอสูรน่ะ” ศรีบุญพูด

          บ้านของตระกูลวิรุฬห์กร เหมือนจันทร์ยังคงนั่งหาข้อมูลในโน้ตบุ๊ค เกี่ยวกับภาษาและความหมายในสิ่งที่ศรีบุญพูด แต่ไม่ว่าจะเปิดไปกี่ภาษาหรือพยายามเดาความหมาย เธอก็ไม่พบคำตอบอะไรเลย

“บางครั้งผมก็สงสัยว่า ถ้าครอบครัวของผมสามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ...แม้ว่าแต่ละครั้ง ผมแทบอยากจะยอมแพ้ซะส่วนใหญ่ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเห็นแสงสว่างจากเหล่าเทพธิดาที่ทำให้ผมเชื่อว่า ...ครอบครัวจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้” คำพูดของอาคิน...

_จบตอน_

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา