บัลลังก์เลือด สงครามสี่เผ่าพันธุ์

8.5

เขียนโดย นางแกงพเนจร

วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 21.00 น.

  5 ตอน
  0 วิจารณ์
  6,718 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 15.56 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บ้านแห่งแสงอรุณ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“เมืองจตุราชิต เมืองของผู้คนที่ยศ มีเกียรติ และมีชื่อเสียง จากทั่วประเทศ มารวมตัวเฉลิมฉลอง บนถนนของเรา บางคนเพียงแค่มองหาความสนุกสนาน บางคนมองหาบางสิ่งที่เร้นลับ อันตราย ดังนั้นพวกเราจึงต้องเชิญคนพวกนี้เข้ามาในบ้านของเรา มอบสิ่งเหล่านี้ให้แก่พวกเขา เมื่อเข้าสู่มัชฌิมราตรี ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป เวลาแห่งการออกล่า” คำพูดของมนชิต...
     

     .. ค่ำคืนที่ไม่เคยหลับใหลของเมืองจตุราชิต นักท่องเที่ยวเกย์หนุ่มหน้าตาดี หน้าหวาน ขาว ผมสีดำ รูปร่างดี สูง เขามากับเพื่อนสาวอีกหนึ่งคน เขาชื่อ..จิรพัส.. ดนัยมองเห็นเหยื่อรายใหม่ เขารีบเดินเข้าไปทักทาย ตีซี้ทันที ดนัยส่งบัตรเชิญงานปาร์ตี้สุดเหวี่ยงของผับที่ชื่อว่า M (*ผับของเหล่าผีดิบ) ให้แก่จิรพัสและเพื่อนสาวของเขา ..         

          ทั้งสองคนหลงกลอย่างง่ายดาย พวกเขาเข้าไปในผับโดยที่ไม่ได้คิดอะไร ในนั้นสนุกมาก แสงสี ดนตรี เสียงเบสที่เร้าใจ ความมึนเมา และเครื่องดื่ม  ในขณะที่นักท่องเที่ยวกับกำลังสนุกกับแสงสี เหล่าผีดิบก็เริ่มจัดการเหยื่อทีละคนๆ นี่คือการล่อเหยื่อเข้ามาติดกับของพวกผีดิบ มนชิตเดินมาที่ระเบียงชั้นสองภายในร้านกับนคเรศ
“นี่เป็นวิธีมอบความสุขให้กับคนของฉัน บางครั้ง เราก็สามารถกินทั้งหมดได้แบบบุฟเฟ่ต์ พวกผีดิบใต้อาณัติของฉันชอบเวลานี้ที่สุด...พวกเขาทำงานอย่างหนัก พยายามเพื่อที่จะได้รับแหวนอาทิตย์ พวกเขาสมควรได้รับมัน ซึ่งมีแค่ไม่กี่คนที่ไว้ใจได้ พวกเขาชอบปาร์ตี้” มนชิตพูดอย่างภาคภูมิใจในธุรกิจของตัวเอง นคเรศก็เห็นดีเห็นงามด้วย
“นี่มันธุรกิจชัดๆ บอกฉันทีเรื่องเกี่ยวกับเหยื่อ มันดูมากไปสำหรับหลุมฝังศพนะ” นคเรศถาม
“เราไม่ได้ฆ่าทั้งหมดหรอก ถ้าคนหายมากเกินไป อาจจะมีผลต่อการท่องเที่ยว ดังนั้นพวกเราจึงรักษาพวกเขาด้วยเลือดของเหล่าผีดิบ ลบความจำพวกเขาและส่งพวกเขากลับไปที่ถนน ไม่ยุ่งเหยิง ไม่ยุ่งยาก” มนชิตหัวใส
“ฉันประทับใจว่ะ” นคเรศยอมรับ
“ไม่มีอะไรที่ฉันไม่ได้เรียนรู้มาจากนายสมัยก่อน” มนชิตยังคงยกย่องนคเรศตามเคย
“มนชิต” เสียงจากทยุต เขาเดินเข้ามา
“ว่าไง ทยุต?” มนชิตถาม
“คนของเราหกคนถูกฆ่าตายที่บาร์นอกอาณาเขตของพวกเรา...ผีดิบ ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นใคร” ทยุตรายงาน
     

     .. ณ ถนนที่วิ่งเข้าเมืองจตุราชิต มินิคูเปอร์สีแดงเปิดประทุนขับมาด้วยความเร็ว เปิดเพลงเสียงดัง คนขับไม่ใช่ใครที่ไหน คือ..รวิภา.. เธอดูอารมณ์ดี ..
     

               .. ณ ร้านเหล้าแห่งหนึ่งในเมืองจตุราชิต จิรพัสและเพื่อนสาวพวกเขานั่งดื่มกันต่อที่ร้านนี้ หลังจากที่ถูกผีดิบดูดเลือดแล้วรักษา ลบความจำพวกเขา พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตราปั้มรูปตัว M ที่หลังมือซ้ายมาจากไหน ขณะที่ทั้งสองคนกำลังนั่งคิดอยู่นั้น นคเรศก็เดินเข้ามาหักคอพวกเขาทั้งสองคน ..

...............................................................................................

     รวิภาขับรถมาถึงบ้านของตระกูลวิรุฬห์กร เธอจอดรถหน้าบ้าน เหมือนจันทร์ได้ยินเสียงรถ เธอจึงลงมาดูว่าใครมา
“อาคิน ถ้าการที่พี่ไม่รับสายฉันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการอันชาญฉลาดของพี่ ที่จะให้ฉันกลับมาที่เมืองนี้ แผนของพี่สำเร็จแล้วล่ะ ฉันอยู่ที่แล้ว และฉันเครียด ฉันกังวล ตอนนี้รับสายฉันเดี๋ยวนี้ ก่อนที่ฉันจะพังประตูบ้านเข้าไป” รวิภาโทรศัพท์หาอาคิน เธอฝากข้อความไว้ก่อนจะเดินลงจากรถ ตรงไปที่หน้าบ้าน เธอเปิดประตูเข้าไปในบ้าน
“เธอเป็นใคร?” เหมือนจันทร์ลงมาจากบันได ในมือของเธอถือเหล็กเขี่ยไฟไว้
“เธอเป็นแม่บ้านใช่ไหม กระเป๋าฉันอยู่ในรถ เอาขึ้นมาให้หน่อย” รวิภาคิดว่าเหมือนจันทร์เป็นคนรับใช้ในบ้าน เธอจิกหัวใช้ทันที
“แต่...ฉันไม่ใช่แม่บ้าน” เหมือนจันทร์หลุดขำไม่ได้ พอถึงชั้นล่างเธอก็โยนเหล็กเขี่ยไฟทิ้ง
“อ่อ เธอคืออสูรสาว...พี่ชายฉัน นคเรศทำเธอท้อง ฉันคาดหวังว่าจะได้เห็นอะไรบางอย่างที่เหนือธรรมชาติจากเด็กมหัศจรรย์ ฉันเดาว่ายังไม่มีเรื่องที่หวังไว้ เหมือนจันทร์ใช่ไหม?” รวิภาทักทายจิกกัดตามระเบียบ
“พวกคุณนี่เหมือนกันจริงๆ” เหมือนจันทร์เดินไปคุยตรงหน้ารวิภา
“อารมณ์ก็ด้วย...อาคินอยู่ไหม?” รวิภาถามเหมือนจันทร์ แต่ตาของเธอมองเข้าไปในบ้าน
“ฉันไม่รู้ จู่ๆเขาก็หายตัวไป” เหมือนจันทร์ตอบ
“หมายความว่าไงหายตัวไป?” รวิภาสงสัย
“พอเรามาถึงที่นี่ เขาก็ให้คำสัญญายิ่งใหญ่ว่าจะปกป้องฉัน ในสถานการณ์แบบนี้ เหล้าสก็อตหนึ่งขวดกับการตัดสินใจบ้าๆ ทำให้ฉันอยู่ตรงนี้ เขาพูดเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับครอบครัว แล้วเรย์ก็พาเขาออกไป ลองเดาดูสิว่าฉันได้อะไรจากการเชื่อใจผีดิบ” เหมือนจันทร์ระบายให้รวิภาฟัง
“อาคินไม่เหมือนผีดิบตนอื่นๆ และเขาไม่เคยผิดสัญญา...พูดให้ถูกก็คือ นคเรศไปทำอะไรไว้ตามสไตล์คนขี้ขลาด...นคเรศ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ บอกฉันมาว่าพี่ทำอะไรกับพี่ชายของเรา ไอ้คนหลงตัวเอง ไอ้โรคจิต!” รวิภาโวยวายเสียงดัง เธอเดินเข้าไปในตัวบ้าน
“หุบแหกปากซะที น้องสาวตัวน้อย...ฉันน่าจะรู้ว่าผีดิบที่ตายไปหกตน เป็นฝีมือของเธอ” นคเรศเปิดประตูห้องออกมา เขาเดินเข้ามาทักทายน้องสาว
“ก็พวกมันหยาบคาย ฉันก็เลยพยายามทำตัวเป็นเหยื่อที่น่าสงสาร และหาทางออกในแบบของฉัน...เสียใจด้วยนะ พวกนั้นเป็นเพื่อนพี่เหรอ โอ้ ไม่สิ พี่ไม่เพื่อน” รวิภาแขวะนคเรศทันทีที่เจอกัน
“ใครว่าไม่มี มนชิตไง เธอจำเขาได้ใช่ไหม...แน่นอน เธอต้องจำได้สิ เขาคิดเอาเองว่าเขาเป็นราชาของเมืองนี้ และเขามีกฎเรื่องผีดิบฆ่าผีดิบ น่าสนุกดีที่ได้เห็นว่าเธอจะถูกลงโทษยังไง เขาจะตามล่าเธอ” นคเรศตอกกลับ
“ฉันไม่สนมนชิตหรือว่ากฎของเขา อาคินไม่เคยผิดสัญญา พี่ทำอะไรเขา?” รวิภาเข้าเรื่องทันที
“บางทีเขาอาจจะอยากพักผ่อน หรือแค่นอนหลับตลอดช่วงนี้อยู่บนห้อง เชิญเลย ดูให้ทั่วๆ” นคเรศปล่อยให้รวิภาค้นบ้านได้ตามสบาย
“เธอยังคงจำบ้านหลังได้เหมือนที่พี่จำได้ใช่ไหม?” นคเรศถามต่อ
“ฉันจำได้ทุกซอกทุกมุม” รวิภาเดินค้นทั่วบ้าน

...............................................................................................

“ฉันจำได้ว่ามีคนขี้เมาโง่ๆของท่านพระยาวิเชียร คอยเก็บกวาดผลงานที่เหลือของผีดิบอย่างเราๆทุกคน เพื่อแลกกับเงินทอง ฉันจำงานฉลองนั้นได้ ท่านพระยาวิเชียรทุ่มงบประมาณอย่างฟุ่มเฟือย เพื่อสร้างความประทับใจให้กับพี่ ฉันยังจดจำได้ถึงห้วงแห่งความรักกับบุตรชายของท่านพระยา หัวหมื่น..อนันต์.. และฉันยังจำได้ว่าแม้แต่อาคินก็มีความสุข” คำพูดของรวิภา...
     

     .. ณ เมืองจตุราชิต พ.ศ. 2205 ที่บ้านของตระกูลวิรุฬห์กร รวิภาออกมาต้อนรับแขกที่มางานเลี้ยง ซึ่งมีทั้ง ขุนนาง พระยา หัวหมื่น เต็มเรือนของพวกเขาไปหมด สมัยนั้นบ้านหลังนี้ยังคงเป็นเรือนไม้ที่ยกสูง หลังใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ รวิภานุ่งผ้าจีบสีเหลืองอ่อน และห่มสไบเฉียงสีเขียว  ดูงดงามยิ่งนัก เธอมองดูนคเรศกำลังเกี้ยวผู้หญิงที่เป็นบ่าวติดตามของเหล่าพระยาทั้งหลาย เขาดูมีความสนุกมาก สองพี่น้องหันสบตากัน เธอเดินตรงเข้าไปทักทายบุรุษผู้หนึ่ง เขาหล่อ รูปร่างดี มีดาบพกติดตัว เขาคือหัวหมื่น..อนันต์.. เขาและรวิภาต่างชอบพอกัน ในขณะที่ทุกคนกำลังมีความสุขสนุกสนานบนเรือนหลังนี้ อาคินได้หลบมาพลอดรักกับหญิงคนรักของเขาที่ห้องใกล้ครัว ห่างออกมาจากกลางตัวเรือน เธอมีใบหน้าคมเข้มเฉกเช่นหญิงไทยเดิม ตาโต ปากนิด ดั้งโด่งพองาม มีโหนกแก้มและมีกรามเล็กน้อย ผิวเข้มละเอียด แต่งกายด้วยชุดสไบเฉียงสีขาวขุ่น เธอชื่อ..สโรชา ดุลยโสภณ..เป็นหมอผีที่มีวิชาอาคมแก่กล้าของหมู่บ้านเมียงออก เธอมาจาก 1 ใน 4 ตระกูลใหญ่ของหมู่บ้าน ..
“อนุชาท่าน ตรองดูเถิด” สโรชาชวนอาคินมองไปที่นคเรศ เขากำลังกินเหยื่อที่ได้มาสองคน
“นคเรศ ไม่มีหวังสำหรับแม่แล้วรึ?” อาคินพูด
“น้องมิได้มาขัดจังหวะกระมัง” รวิภาเดินมากับหัวหมื่นอนันต์
“ใช่” นคเรศเริ่มรำคาญขณะที่เขาม่วนอยู่กับการกิน
“ไม่ดอก” อาคินตอบ
“พระเชษฐาผู้แสนดีของน้อง พี่ปรารถนาให้ฉันมีความสุข หัวหมื่นอนันต์กับฉัน เราชอบพอกัน ให้ฉันเปลี่ยนเขาเป็นแบบเราได้หรือไม่เจ้าคะ?” รวิภาอยากจะสมหวังในความรัก เสียงหัวเราะของนคเรศดังขึ้นเมื่อเขากินเสร็จ
“รวิภา พระยาวิเชียรทำการตกลงกับเราแล้วว่าจะปกปิดเรื่องราวของพวกเรา ความมิรอบคอบของพวกเรา และจะไม่มีการเปลี่ยนบุตรชายคนเดียวของท่าน ให้เป็นหนึ่งในพวกเรา” อาคินไม่อนุญาต
“ได้โปรดเถิด เพื่อข้า” รวิภาขอร้องอาคิน
“จะไม่มีเหตุอันใดเกิดขึ้น ขนิษฐาข้า ล้มเลิกไปเสีย...ถ้าเราต้องเปลี่ยนบุรุษทุกคนที่เกี้ยวน้อง พวกมนุษย์ก็จะมีทางเลือกในการใช้ชีวิต แลเราก็จะไม่มีอาหารให้กินกัน” นคเรศช่วยพูดเสริมอาคิน เขาเดินมาพูดตรงหน้าหัวหมื่นอนันต์
“ไอ้คนอวดดี!! คิดหรือว่าจะ อ๊าก...” หัวหมื่นอนันต์ยังพูดไม่จบ เขาถูกนคเรศบีบคอด้วยมือเดียว นคเรศลากเขาไปที่ระเบียงเรือน
“ปล่อยเขา” อาคินห้ามแต่นคเรศไม่ฟัง
“นคเรศ” เสียงของรวิภาเรียกพี่ชาย
“นคเรศ ปล่อยเขา” อาคินเดินตามมาห้าม นคเรศจับหัวหมื่นอนันต์โยนลงจากระเบียง
“เดี๋ยว!!” อาคินห้ามไม่ทัน
“ไม่!!!” เสียงของรวิภาร้องดังลั่น เมื่อเธอเห็นร่างของชายคนรักเสียอยู่กับไม้ไผ่แหลมที่บ่าวในเรือนเหลาไว้ เธอร้องไห้แทบทรุดตัวลง อาคินประคองตัวเธอไว้
“เอาศพมันไปให้หมาแทะกิน” นคเรศตบบ่าของอาคินแล้วก็เดินกลับไปนั่งที่เดิม

“ก็มันไม่ดีพอสำหรับเธอ” นคเรศนั่งลงที่โซฟา รวิภายืนค้ำหัวเขา
“ไม่เคยมีใครดีพอสำหรับฉัน...เรย์ พี่แน่ใจอย่างนั้นมาตลอดแหละ ตอนนี้ อาคินอยู่ที่ไหน?” รวิภาถาม นคเรศได้รับข้อความทางมือถือ พออ่านจบก็รีบออกจากบ้านทันที
“พี่จะไปไหน?” รวิภากระแทกเสียงถาม
“มันจะเกิดขึ้นคืนนี้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ฉันจะออกไปหาอะไรดื่มกับมนชิต” นคเรศตอบ
“อาคินบอกฉันว่าแผนการของพี่ คือการทำลายอาณาจักรของมนชิตให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ฉันจำไม่ได้ว่านั่นรวมถึงเรื่องที่พี่กับเขาจะออกไปดื่มและเมาหัวทิ่มด้วยกันในเมืองจตุราชิต” รวิภาแขวะอีกครั้ง
“พี่รู้ว่าเธอไม่ได้มีเพื่อนมากมายนัก รวิภา แต่สิ่งที่เพื่อนมักจะทำเมื่อออกไปดื่มด้วยกัน คือการบอกความลับ...มนชิตค้นพบวิธีบางอย่างที่สามารถควบคุมเหล่าหมอผีหมู่บ้านเมียงออกได้ ฉันอยากรู้วิธีนั้นและใช้มันด้วยตัวฉันเอง การตามหาอาคินไม่ได้อยู่ในรายการที่ฉันจะทำวันนี้ ...โอ้ ยินดีต้อนรับกลับบ้าน น้องสาว” นคเรศพูดจบก็ปิดประตูออกไปทันที

     ...............................................................................................

“เธอ แม่อสูรสาวฉันจะค้นบ้านหลังนี้ทุกตารางนิ้ว จนกว่าจะพบว่านคเรศทำอะไรอาคิน เธอต้องช่วยฉัน” รวิภาเงยหน้าขึ้นไปพูดกับเหมือนจันทร์ที่นั่งอยู่ตรงบันไดบ้าน สาวๆลงบันไดไปที่ชั้นใต้ดินของตัวบ้าน
“บ้านหลังนี้มีห้องลับมากมาย เดี๋ยวฉันจะพาไปดูห้องโปรดของพี่ชายฉัน” รวิภานำเหมือนจันทร์มาถึงห้องใต้ดิน พวกหล่อนถือไฟฉายลงมาด้วย ในนี้ทั้งมืด ฝุ่นเขรอะ หยากไย่และแมลงเต็มไปหมด สาวๆเดินมาพบกับโลงศพ
“เธอคิดว่านคเรศฆ่าเขาไหม?” เหมือนจันทร์ถาม
“เขาตายไม่ได้ ยัยโง่...แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไร นคเรศมักจะสันหาวิธีต่างๆมาทรมานพวกเราเสมอ เขามีกริชเหล็กนิลตั้งห้าเล่ม แค่เล่มเดียวถ้าแท่งทะลุหัวใจเรา มันจะส่งเราเข้าสู่นิทราถาวรทันที...นคเรศสนุกสนานกับการเก็บพี่น้องไว้ในโลง จนกว่าเขาจะตัดสินใจดึงกริชออก และนั่นต้องเป็นสิ่งที่อาคินกำลังเผชิญอยู่แน่นอน” รวิภาอธิบายให้ฟัง เธอสาดแสงไฟฉายไปที่โลงศพใกล้ตัวเธอ
“นี่ไงของฉัน” รวิภามองโลงศพของตัวเอง
“เขาเก็บโลงศพของเธอไว้ตลอดเลยเหรอ?” เหมือนจันทร์ดูอึ้งในความโรคจิตนิดๆ
“เขาชอบเตรียมการไว้สำหรับสมาชิกในครอบครัว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาเสียแผน...อาคินไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาถูกซ่อนเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง” รวิภาพูด
“ฉันจะบ้าตาย” เหมือนจันทร์แทบทนไม่ไหว
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่ตระกูลวิรุฬห์กร ที่รัก วินาทีนี้เธอควรจะรีบเผ่นดีกว่า อาคินก็ไม่อยู่แล้ว” รวิภาเสนอทางเลือกให้เหมือนจันทร์
“เอ่อ...หมอผีทำคุณไสยบางอย่างกับฉัน ตราบใดที่ฉันยังอุ้มท้องเด็กคนนี้ ฉันจะไม่สามารถไปจากเมืองจตุราชิตได้ ถ้าฉันทำ พวกเขาจะฆ่าฉัน” เหมือนจันทร์อธิบาย
“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นรู้ไว้เลยว่า นคเรศคงจะเตรียมโลงไว้ให้เธออีกโลงหนึ่ง หลังจากที่เธอให้กำเนิดเด็กคนนี้แล้ว...ฉันจะจากไปก็ต่อเมื่อเจออาคินถูกปักกริชอยู่ในโลงในอีกร้อยปี เชื่อฉันเถอะ เธอควรรีบหาวิธีแก้คุณไสยนั่นซะ” รวิภาพูดจบก็เดินออกไป เหมือนจันทร์เริ่มวิตกกังวล

     .. ณ ร้านเหล้ารสนิยมยามบ่ายแก่ๆ สมิตากำลังขัดโต๊ะในร้านอยู่ จู่ๆก็มีเสียงการเคลื่อนไหวของบางสิ่งที่เร็ว ประตูหน้าร้านปิดเอง นี่ไม่ใช่สถานการณ์ครั้งแรกที่เกิดขึ้นในชีวิตเธอ เธอเดินไปที่กลางร้าน ทำตัวปกติ ..
“หวัดดี...เอาจริงเหรอ มนชิต พยายามจะทำให้ฉันกลัวเนี้ยนะ ฉันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเรื่องการตายของพวกนายเมื่อคืนเลยนะ!” สมิตาตระโกนดังลั่นร้าน สิ่งนั้นเคลื่อนไหวที่ครัว สมิตาหันไปมองและเดินไปที่ครัวอย่างช้าๆ เธอหยิบมีดและหันหลังกลับไปจะฟันบางสิ่ง แต่ถูกมือของใครบางคนจับเอาไว้ สิ่งนั้นก็คือ..รวิภา..
“..สมิตา เดชาภัทรจินดา.. อาคิน พี่ชายฉันเล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟัง เธอรู้ว่าฉันคือใคร” รวิภาแสดงตัว
“ใช่ ฉันรู้” สมิตาตอบ มือของเธอยังคงถูกจับไว้อยู่
“เมื่อรู้จักกันแล้ว พวกเราจำเป็นต้องคุยกัน” รวิภามีเรื่องจะพูดกับเธอ

...............................................................................................

     .. ณ เมืองจตุราชิต 300 กว่าปีก่อน ตระกูลวิรุฬห์กรและครอบครัวของพระยาวิเชียรเพิ่งจะ ฌาปนกิจศพของบุตรชายเสร็จ พวกเขากำลังเดินทางกลับ  ตอนนั้นเองบุตรชายอีกคนที่เกิดจากเมียบ่าวของพระยาวิเชียร เขากำลังเฆี่ยนตีทาสในอาณัติอย่างสนุกสนาน ..
เด็กผู้ชายผิวเข้ม เขาตระโกนร้องด้วยความทรมาน ไม่มีใครสนใจเขานอกจากสามพี่น้องตระกูล
วิรุฬห์กร เด็กผู้ชายฮึดสู้ผู้เป็นนาย เขาหยิบลูกผลไม้ปาไปที่ต้นแขนของนายตัวเอง นั้นทำให้นคเรศรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ในขณะที่บุตรชายอีกคนของท่านพระยากำลังจะเอาคืนทาสเด็กที่บังอาจเหิมเกริม นคเรศหยิบก้อนหินปาไปที่กลางหน้าผากหนุ่มคนนั้นด้วยความเร็ว เขาล้มลงและเสียชีวิตทันที นคเรศเดินเข้าไปหาทาสเด็กคนนั้น ส่วนอาคินและรวิภาต่างยืนงงกับการกระทำของเขา
“เจ้าชื่อกระไร?” นคเรศถามทาสเด็ก
“ไม่มีขอรับ แม่ไม่ยอมตั้งชื่อให้กระผมจนกว่าจะอายุ 10 ปี ขอรับ...กระผมทรมาน ได้โปรดพากระผมและแม่ไปด้วยเถอะ ขอรับ” ทาสเด็กชายขอร้อง นคเรศนั่งลงยองๆคุยกับเด็กชาย ไม่ถือตนเลยสักนิด
“เจ้าเป็นอิสระแล้ว และผู้เป็นอิสระก็ต้องมีชื่อ...ชื่อ..มนชิต..ดีหรือไม่?” นคเรศตั้งชื่อให้ทาสเด็ก
“มนชิตเหรอขอรับ?” เด็กน้อยไม่เข้าใจความหมาย
“มนชิตแปลว่า ผู้ชนะใจตัวเอง ข้าหมายถึงเจ้า เด็กตัวเล็กยังมิโกนจุกเช่นเจ้า มิได้เกรงกลัวการถูกข่มแหงใดๆ เจ้าลุกขึ้นสู่เพื่อศักดิ์ศรีของตน ข้าขอชื่นชมเจ้า” นคเรศลูบหัวทาสเด็ก
“นั้นอาจจะเป็นความหวังของเขา พระเชษฐาของเจ้า อนุชาของข้า” อาคินพูดกับรวิภา

.. ณ สุสานบรรพบุรุษ สมิตาพารวิภามาคุยกันที่นี่ ทั้งสองคนกำลังเดินอยู่ในสุสาน ..

“ถ้าให้ฉันเดา เธอคงอยากรู้ประวัติของนคเรศ อาคินถูกกริชเหล็กนิลปักอกเขาอยู่” รวิภาเข้าเรื่องทันที
“มันคือวัตถุปลุกเสกสินะ” สมิตารู้ทันที
“เธอเป็นหมอผี ร่ายคาถาระบุตำแหน่งได้ ถ้าหากริชเจอก็เจอตัวอาคิน” รวิภาขอให้สมิตาช่วย
“ฉันไม่สามารถใช้คาถาอาคมได้ มันมีโทษถึงตาย” สมิตาพูดเรื่องนี้อีกครั้ง
“มนชิตเหรอ นี่เธอยังไม่รู้สินะว่าฉันจะทำอะไรกับเธอ ถ้าเธอไม่ยอมทำในสิ่งที่ฉันต้องการ” รวิภาขู่ พวกเธอหยุดเดิน
“ฉันไม่กลัวหรอก ฉันมีคุณไสยของพี่สาว ถ้าคุณทำอะไรฉันมันจะเกิดกับเหมือนจันทร์ด้วย” สมิตาขู่กลับ
“ใครนะ...อ่อ ใช่ แม่ของเด็ก งั้นคงเป็นโชคดีสำหรับเธอ เพราะดูเหมือนอาคินจะแคร์หล่อนมาก ไม่งั้น ฉันคงหักคอเธอไปนานแล้ว...แล้วมนชิตมีอำนาจได้ยังไง มันไม่เหมือนกับตอนที่ฉันจากมา เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว” รวิภาถาม
“มนชิตค้นพบวิธีบางอย่าง ทำให้เขารู้ว่าเมื่อไหร่มีการเล่นคุณไสยใช้อาคมในอาณาจักรของเขา ทำไมเราไม่เข้าประเด็นเลยล่ะ?” สมิตาถามกลับ
“ฉันจะบอกเธอว่าอะไรคือประเด็นที่จะทำให้ไม่ต้องนองเลือด พวกหมอผีที่ใช้อาคมไม่ได้ ฉันมีความคิดดีๆ ก็ย้ายไปที่อื่นสิ” รวิภามีข้อเสนอ
“คุณไสยของหมู่บ้านเราไม่เหมือนที่อื่น มันเรียกว่าไสยเวทย์บรรพชน เราได้รับพลังมากจากบรรพบุรุษ สุสานนี้เต็มไปด้วยศพของหมอผีทั่วเมืองที่ตายไป พวกเขาเป็นบรรพบุรุษ ไม่มีพวกเขา เราก็ไม่มีพลัง ถ้าเราคิดหนี ทิ้งบรรพบุรุษไว้เบื้องหลัง บ้านของเรา ครอบครัวเรา” สมิตาอธิบาย
“ใช่ ครอบครัวมักจะถูกตีค่าให้สูงเกินไปเสมอ...ดูฉันเป็นตัวอย่างสิ ฉันกลับมาที่เมืองนี้ ซึ่งไม่ได้ให้อะไรกับฉันเลยนอกจากความโศกเศร้า นั่งคอยพี่ชาย คนที่มีนิสัยบ้าเลือด มุทะลุ เรื่องปกป้องเด็ก ฉันไม่ได้แคร์เลยสักนิด” รวิภานั่งลงตรงลานทำพิธี
“ฉันรู้ว่ามันยากที่จะเชื่อ แต่คุณก็อยู่ที่นี่แล้วไม่ใช่เหรอ” สมิตาปลอบเธอ
“ฉันอยู่ที่นี่ก็เพื่ออาคิน ทันทีที่เจอเขา ฉันก็กลับ เขาเป็นอีกคนที่มีความเชื่อโง่เง่า ว่าเด็กคนนี้จะมาทำให้นคเรศดีขึ้น และตอนนี้เขาพลาด เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะตกอยู่ในกำมือของนคเรศซะเอง ...ส่วนเธอก็โง่พอที่จะเชื่อว่าอาคินจะโน้มน้าวใจนคเรศให้มาสู้กับมนชิต ในเมื่อทุกคนก็รู้ว่าพวกเขามีอดีตร่วมกัน” รวิภาพูด
“นคเรศสร้างมนชิต ฉันรู้” สมิตาพูด
“เธอไม่เข้าใจ มนชิตไม่ใช่แค่ใครที่ไหนที่นคเรศจะมาทำให้เป็นผีดิบ นคเรศรักมนชิตเหมือนกับลูกในไส้ ฉันอยู่ที่นั่นวันนั้น วันที่ทั้งสองคนพบกันครั้งแรก พวกเรากำลังเผาศพหัวหมื่นอนันต์ ลูกชายคนเดียวของพระยาวิเชียร แล้วเราก็ได้พบกับทาสเด็กที่ถูกเฆี่ยนตีอย่างหนัก นคเรศช่วยเด็กคนนั้นไว้” รวิภาพูดให้กระจ่าง
“นคเรศเห็นตัวเองในเด็กคนนั้น เขาจำได้ว่าพ่อเคยทำกับเขาแบบนั้นเหมือนกัน เขาคือมารหัวขนสำหรับพ่อ พ่อเห็นเขาเป็นแค่อสูรกาย นั่นคือเหตุผลที่แผนของเธออาจล้มเหลว ทั้งหมดที่เธออุส่าทำคือการทำให้คนที่ไม่มีหัวใจสองคนอยู่ด้วยกัน ไม่มีอาคินมาขวางใครจะไปรู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรได้บ้าง” รวิภาพูดจบก็ลุกแล้วเดินออกไปทันที

...............................................................................................

     .. ณ ร้านเหล้าแห่งหนึ่งในเมืองจตุราชิต มนชิตนั่งดื่มอยู่คนเดียว แล้วนคเรศก็เปิดประตูร้านเข้ามา ..
“ก็ดี หนทางยังอีกยาวไกลจากปาร์ตี้เมื่อคืนนี้” นคเรศยังไม่ทันถึงโต๊ะก็พล่ามซะแล้ว มนชิตเรียกเด็กเสิร์ฟมาขอแก้วเพิ่ม
“อ้า ในการแสวงหาบาร์เทนเดอร์สาวจากร้านรสนิยม ฉันเข้าละ” นคเรศหันไปเห็นกรองขวัญกำลังนั่งจดอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะ
“เธอมีหน้าที่การงานที่ดี” มนชิตเอ่ยชมกรองขวัญ
“และนายยังคงอยู่ที่นี่ เพื่อบังคับเธอ ให้เธอมาเป็นอาหารมื้อกลางวัน เธอต้องพิเศษแน่ๆ” นคเรศแซวมนชิต
“เรื่องแรก พวกเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพบอกว่าพบตราปั้มผับของฉัน” มนชิตมีเรื่องจะปรึกษา
“ให้ฉันเดานะ นักท่องเที่ยวที่ตายมีตราปั้มชื่อร้านก่อนเข้าผับที่ข้อมือซ้าย และเลือดของผีดิบผสมอยู่ในเลือดของพวกเขา” นคเรศเข้าใจทุกอย่าง
“เอาอีกแล้ว ต้องมีพวกเมาหัวทิ่มอยู่ที่ระเบียง หรือไม่ก็ลงไปในแม่น้ำบางสะพาน และวันนี้หนึ่งในสองคนจะกลายเป็นพวกของเรา” มนชิตให้สัญญาณมือเพราะเห็นว่ากรองขวัญเก็บของกำลังเดินออกจากร้าน
“ขอโทษนะ ที่รัก หนังสือพวกนั้นคืออะไรเหรอ?” นคเรศแกล้งถาม
“ก็แค่หลักจิตวิทยาทั่วไป” กรองขวัญตอบ
“จิตวิทยาทั่วไป งั้น...บางที คุณอาจจะช่วยวินิจฉัยเพื่อนของผมคนนี้ได้ เขาค่อนข้างซึมเศร้าผิดปกติ ไม่สามารถเลิกคิดถึงผู้หญิงคนนั้นได้เลย เขาบอกผมว่าเธอคือราชินีที่คู่ควรกับราชา ผมคิดว่าเขาควรตัดใจจากการสูญเสียและก้าวต่อไป สรุปแล้วว่าไงบ้างครับ คุณหมอ” นคเรศลากกรองขวัญมายื่นที่โต๊ะ เขาพูดแซวมนชิตไม่หยุด
“ทำตัวให้น่ารักหน่อยสิที่รัก บางทีโอกาสจะเป็นรางวัลให้ตัวมันเอง สักวัน” กรองขวัญรู้ทัน เธอตอกหน้าหนุ่มๆแล้วหันหลังเดินไป
“คืนนี้เป็นไง สามทุ่ม ผมจะมาพบคุณที่นี่” มนชิตไม่ยอมปล่อยให้โอกาสหลุดมือ
“ฉันขอคิดดูก่อน” พูดจบเธอก็สะบัดหน้าเดินออกจากร้านทันที
“อืม หยิ่งทะนงตัว” มนชิตดูจะถูกใจเธอมาก
“ฉันกล้าพูดเลย ฉันไม่ได้เก่งเหมือนแต่ก่อนแล้ว หรือว่าฉันสูญเสียความเป็นตัวเอง” นคเรศพูดแซวตัวเองที่หม้อหญิงไม่สำเร็จ

     .. ณ ย่านเมียงออก เหมือนจันทร์แอบออกจากบ้านเธอตรงมาที่ร้านขายเครื่องรางของขลัง ..

“โอ้ เฮ้ เฮ้ รอเดี๋ยว!” เหมือนจันทร์เห็นเจ้าของร้านกำลังปิดร้าน เธอยืนอยู่หน้าร้าน
“ร้านปิดแล้วค่ะ เสียใจด้วย” เจ้าของร้านหันมาพูดกับเหมือนจันทร์ เธอมีใบหน้าที่เรียวเล็ก สวย ผมลอนฟู ผิวสีน้ำผึ้งเนียน ตัวเล็ก ร่างบาง เธอชื่อ..คะนึงเนตร..เป็นหนึ่งในหมอผีหมู่บ้านเมียงออก
“ฉันจำเป็นต้องใช้สมุนไพรนิดหน่อย ได้โปรด” เหมือนจันทร์ขอร้องเธอ
“สมุนไพรตัวไหนคะ?” คะนึงเนตรถาม
“ถุงรวมดอกไม้พิษ ฉันจะเอามาใช้ 10 ชนิด” เหมือนจันทร์ตอบ
“ทศพิศ นั่นมันยาพิษนะ เธอจะฆ่าอสูรงั้นเหรอ?” คะนึงเนตรรู้ทันที
 “แค่ตัวเดียว” เหมือนจันทร์พูดเป็นในๆว่าเธอหมายถึงใคร เธอต้องการเอาเด็กออก
“ขอเวลาฉันหนึ่งนาที” คะนึงเนตรรู้ว่าเธอหมายถึงเด็ก เธอจึงรีบเข้าไปในร้าน
“ใช้น้ำยาวัชพืชเสเจิมดีกว่านะ แค่หยดมันลงในชาร้อนสักสองสามหยด นั้นคือสิ่งที่ควรทำ” คะนึงเนตรออกมากับสมุนไพรตัวอื่นที่ทรมานน้อยกว่าทศพิศ
 “นี่เงิน” เหมือนจันทร์ยื่นเงินให้เธอ คะนึงเนตรเอามือดันไว้ เธอไม่รับ
“มันคือเมืองที่น่ารังเกียจสำหรับพวกอสูร เธอทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว” เหมือนจันทร์ไม่พูดอะไรแล้วเดินจากไป ทิ้งห่างไม่นานนัก คะนึงเนตรหยิบโทรศัพท์กดเบอร์โทรหาใครบางคน
“เฮ้ ต้องการอยากได้หน้าไหม บอกมนชิตว่ามีอสูรในถิ่นของเขา” เธอคุยโทรศัพท์กับใครบางคน

.. ณ ลานจอดรถแห่งหนึ่งในเมืองจตุราชิต มนชิตพานคเรศมาที่นี่ ..

“ไหนว่าจะพาฉันมาที่ที่ดีที่สุด” นคเรศบ่น พวกเขาเดินมาจนเจอรถตู้คันหนึ่ง มีทยุตกับดนัยเฝ้าอยู่ ทั้งสองคนเปิดประตูหลังรถตู้ทันทีที่เห็นมนชิต
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่ดินแดนแห่งการตายแล้วเกิดใหม่ ฉันจะไม่ทำให้พวกคุณเสียเวลา ฉันไว้ใจเขาให้พาพวกคุณมาที่นี่” มนชิตทักทายจิรพัสและเพื่อนสาวของเขา
“เห็นว่านายอยากได้คนเพิ่ม” ทยุตพูด
“เยี่ยม ฉันเพิ่งสูญเสียผีดิบไป 6 ตน แต่ฉันมีสำรองนะ ฉันจะทำอย่างเร็ว พวกคุณจะรู้สึกหิวกระหาย นั้นคือความรู้สึกแรกที่จะได้สัมผัส และมันรุนแรงมาก ถ้ากระหายเลือดเนื้อ ดื่มมัน กินมันซะ คุณคือผีดิบ ถ้าไม่ดื่มหรือกิน คุณตายจริง ตอนนี้เห็นสมควรแก่เวลาแล้ว ตรงนี้ ในถุงห่อศพ...เฮ้ นายคิดว่าไง เด็กผู้หญิงน่ารักโง่ๆ หรือไม่ก็เพื่อนเกย์สักคน” มนชิตอธิบายอย่างละเอียด
“ตกลงตามนี้” นคเรศพูด
“โอเคตกลง ใครก็ตามที่หยิบเหรียญนี้ได้ก่อนจะมีชีวิตรอด ส่วนอีกคนตาย” มนชิตหยิบเหรียญโจรสลัดสีทองขึ้นมาให้ทั้งสองคนดู เขาวางมันตรงหน้าของทั้งคู่ จิรพัสและเพื่อนสาวไม่กล้าทำอะไรทั้งสิ้น พวกเขาสับสนไปหมด สุดท้ายเพื่อนสาวของเขายอมหยิบ
“สรุปว่าเป็นผู้หญิง” มนชิตดูสนุกมากตอนนี้
“เธอทำอย่างนั้นได้ยังไง!” จิรพัสผิดหวัง โมโห และเสียใจ
“หุบปากเถอะพัด! ฉันไม่มีทางเลือก ถ้าเป็นแก แกก็ทำสิ่งเดียวกันกับฉัน แกมันก็แค่พวกเลวทรามต่ำช้า...” เพื่อนสาวเผยถึงสันดานที่แท้จริงของหล่อน มนชิตทนไม่ได้เลยหักคอเธอทิ้ง เขารูดซิปถุงห่อศพ
“นี่สำหรับคนที่คิดหักหลังเพื่อนของตัวเอง เธอสมควรตาย ไปขับรถเล่นกัน” มนชิตหันไปพูดกับทยุตและนคเรศ เขาสั่งให้จิรพัสผู้รอดตายลุกออกมา นคเรศแอบอึ้งในการตัดสินใจเด็ดขาดของมนชิตเล็กน้อย
“ไปสิ” ดนัยสั่งให้จิรพัสลุก

(*ทศพิศ สมุนไพรที่ทำจากดอกไม้พิษ 10 ชนิดบดรวมกัน มีฤทธิ์ทำให้อสูรอ่อนแอลง ไม่สามารถใช้พลังอสูรได้ หากรับเข้าไปมากๆ ผิวหนังในร่างมนุษย์ก็จะหลุดลอกออกมาทันที)

(*น้ำยาวัชพืชเสเจิม ทำมาจากวัชพืชเสเจิม หาได้ตามแอ่งน้ำเน่าเสีย หรือที่อับชื่นและส่งกลิ่นฉุนรุนแรง คุณสมบัติมีไว้เพื่อขับเลือดเสียออกจากมดลูกของผู้หญิง และบางคนใช้เพื่อทำแท้ง)

(*การเปลี่ยนเป็นผีดิบ มนุษย์ธรรมดาจะต้องได้รับเลือดของผีดิบไว้ในร่างกาย หรือดื่มมันเข้าไป เมื่อเขาและเธอตาย ด้วยวิธีฆ่าตัวตายหรือถูกฆ่าตายก็ตาม เชื้อผีดิบในกระแสเลือดจะถูกกระตุ้นให้ออกฤทธิ์ทันที มันจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ซ่อมแซมส่วนที่เสียหายในร่างกาย มนุษย์ผู้นั้นจะฟื้นขึ้น แต่ยังไม่ใช่ผีดิบ ภาวะนี้จะถูกเรียกว่า ดักแด้อมนุษย์ มีด้วยกันหลายกรณี แต่ในกรณีนี้ ดักแด้อมนุษย์จะต้องได้รับเลือดจากมนุษย์อีกรอบ หรือดื่มเลือดมนุษย์ พวกเขาจะกลายร่างเป็นผีดิบอย่างสมบูรณ์ เมื่อเกิดใหม่ พวกเขาจะกระหายเนื้อสดๆและเลือดเป็นอย่างมาก อยู่ในภาวะที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ต้องได้รับการฝึกฝนหรือหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิต)

...............................................................................................

     .. ณ เมืองจตุราชิต ที่บ้านในตัวเมืองอีกหลังของตระกูลวิรุฬห์กร ซึ่งได้กลายมาเป็นผับ M ของมนชิตในเวลาต่อมา เด็กน้อยมนชิตกำลังซ้อมวิชาดาบกับผู้หญิงหนึ่งคน เธอปกปิดใบหน้าไว้ ..
“คราวนี้หลบ...ตั้งรับอย่าหันหลัง หากโดนก็แค่ตาย” เสียงของนคเรศคอยยืนกำกับอยู่ข้างๆ  ในที่สุดเด็กชายมนชิตก็พ่ายแพ้วิชาดาบให้กับสตรีนางนั้น หล่อนเปิดหน้าออกมา สตรีนางนั้นคือ..รวิภา..
“สักวันหนึ่งผมจะต้องมั่นหมายพี่” เด็กชายมนชิตพูดจาหยาบเกียรติสตรี ถ้าเป็นนางอื่นคงขุ่นเคืองใจไม่ใช่น้อย แต่รวิภาไม่เคยถือโทษโกรธเขา เธอรู้จักนิสัยผู้เลี้ยงดูเด็กชายคนนี้ดี
“ฉันจะไม่มั่นหมายกับคนที่สู้ฉันไม่ได้...ต่อกันอีกรอบเถิด” รวิภาเอ็นดูมนชิตเหมือนน้องชายแท้ๆ

     พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขไปพักหนึ่ง มนชิตซ้อมวิชาดาบกับรวิภาทุกวันจนเมื่อเขาเติบใหญ่ โตเป็นหนุ่ม มนชิตวัย 19 ปี ทั้งคู่ยังคงทำเหมือนเช่นเคยพวกเขาซ้อมวิชาดาบกัน มนชิตเก่งขึ้นมาก เขาสู้อย่างดุเดือด แม้ว่ารวิภาจะสามารถบุกกลับได้ แต่มนชิตก็ตั้งรับกระบวนท่าของรวิภาได้หมด พวกเขาประดาบกันอย่างสูสี จนกระทั่งมนชิตให้เล่ห์เหลี่ยมชนะรวิภาได้ในที่สุด เขาดึงตัวรวิภาไปติดกับต้นไม้ ทั้งสองคนมีความรู้สึกบางอย่างให้แก่กัน ความรู้สึกที่มากกว่าพี่น้อง ความเอ็นดูเปลี่ยนเป็นเสน่ห์หา ก่อนที่ทั้งสองจะแสดงความรู้สึกนั้นออกมา นคเรศเดินเข้ามาเห็นพอดี เขาไม่พอใจอย่างแรง เขาเรียกมนชิตไปคุย
“ระหว่างกระผมกับพี่รวิภาไม่มีกระไรเกินเลยทั้งนั้นขอรับ กระผมสาบานด้วยชีวิตของกระผมก็ได้นะขอรับ” มนชิตร้อนลุ่มใจ
“ชีวิตของเจ้ามีความหมายกับข้านัก บอกความจริงมาเสีย” นคเรศบังคับให้มนชิตพูด
“กระผมรักพี่รวิภาขอรับ กระผมอยากจะใช้ทั้งชีวิตเพื่อปกป้องพี่รวิภา แต่กระนั้นเราทั้งสองก็ยังมิมีอะไรเกินเลยจริงๆนะขอรับ กระผมให้สัญ...” มนชิตแสดงความรู้สึกออกมาต่อหน้าพ่อเลี้ยง
“เจ้าจะต้องไม่...ข้ารักขนิษฐาของข้า แม้ว่าน้องข้าจะไร้บุญวาสนาเรื่องคู่ครอง บุรุษพวกนั้นย่างเข้ามา เข้ามาทำให้น้องข้าต้องเป็นหญิงหม้ายขันหมาก ข้าปกป้องขนิษฐาของข้า หล่อนเป็นครอบครัวของข้า” นคเรศสอนแบบพ่อสอนลูก
“ท่านเคยกล่าวไว้ว่ากระผมคือครอบครัว กระผมขอให้ท่านเปลี่ยนกระผมเป็นผีดิบ” มนชิตผิดหวัง
“แลข้าพูดไปแล้ว ข้าจะเปลี่ยนก็ต่อเมื่อเจ้าพร้อม...ถ้าเจ้ายังดื้อดึง ทำตัวสนิทสนมกับขนิษฐาข้าอีก เจ้าจะไม่มีวันได้รับโอกาสนั้น” นคเรศยื่นคำขาด

     .. ณ ถนนบัวบุญ มนชิตปลีกตัวออกมาคุยโทรศัพท์เรื่องธุรกิจของเขา ส่วนนคเรศพาตัวจิรพัสขึ้นรถ รวมทั้งตัวเขาเองด้วย แม้ว่าเขาอยากรู้ว่ามนชิตคุยอะไรก็ตาม ..
“ตอนนี้เรามาคุยกันหน่อย... ~ เกี่ยวกับเรื่องที่นายจะทำงานให้กับฉัน ~” นคเรศสะกดจิตเขา

          ขณะเดียวกันรวิภาจับตาดูอยู่จากข้างบนตึก มนชิตรู้ทันเขาจึงใช้ความเร็วขึ้นมาบนตึกโดยที่รวิภาไม่รู้ตัว
“..รวิภา วิรุฬห์กร.. กลับมาฝึกฉันอีกงั้นเหรอ...ครั้งสุดท้ายที่ฉันเห็นเธอ ถนนสมรภูมิถูกเผา และพวกเธอก็กำลังจะไป วิ่งหนีจากพ่อ” มนชิตทักทายเธอ
“ฉันคิดว่านายตายไปแล้ว” รวิภาพูด
“เธอไม่เคยหันกลับมามองหา เธอมาที่นี่ทำไม?” มนชิตถาม
“อาคิน ฉันคิดว่านคเรศทำบางอย่างกับเขา” รวิภาตอบ
“มีสิ่งหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากตระกูลวิรุฬห์กรก็คือ อย่าเข้าไปยุ่งกับปัญหาภายในครอบครัว มันจบไม่สวยนัก” มนชิตพูด
“แม้ว่านายจะได้ทุกอย่างที่นายต้องการ นายก็ยังกลัวเขา” รวิภารับรู้ความรู้สึกนั้น
“ฉันไม่กลัวใครทั้งนั้น” มนชิตพูด
“ถ้าฉันรู้ว่า นายรู้ว่าอาคินอยู่ที่ไหนละก็...นายไม่จำเป็นต้องกลัวนคเรศหรอก ฉันนี่ละจะฆ่านายด้วยมือของฉันเอง” รวิภาขู่เขา
“ความอาลัยอาวรณ์มันเป็นเหมือนระเบิด แต่ฉันไม่สามารถช่วยเธอได้...ดีใจที่ได้เจอเธออีก ขอให้เจอสิ่งที่เธอกำลังตามหานะ” พูดจบมนชิตก็กระโดดลงจากตึกไป

...............................................................................................

     .. ณ ร้านเหล้าแห่งหนึ่งในเมืองจตุราชิต นคเรศกำลังนั่งดื่มอยู่คนเดียว มนชิตเดินเข้ามาในร้านตรงไปหาเขา ..
“ทำหน้าแบบนั้น เรื่องผู้หญิงสินะ” นคเรศแซวมนชิต
“นายมันห่วยแตก รู้ตัวไหม...ทำไมไม่บอกฉันว่าน้องสาวนายกลับมาแล้ว?” มนชิตไม่สนุกด้วย
“ฉันคิดว่ามันจะสนุกกว่า ถ้านายหาเธอเจอด้วยตัวเอง” นคเรศตอบ
“มีอะไรที่ฉันต้องรู้อีกไหม?” มนชิตถามต่อ
“รู้แค่ว่าเธอบ้ามากเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว” นคเรศตอบ
“ไม่แน่อาจเป็นหล่อนที่ฆ่าคนของฉัน” มนชิตพูด
“ก็อาจจะใช่ เว้นแต่ในบาร์นักบิดจะมีนักเรียนมัธยมจากเมืองเล็กๆอยู่ด้วย ฉันไม่คิดว่าเธอจะสนใจ” นคเรศตอบเนียนๆแทนน้องสาว ตอนนั้นเองเสียงโทรศัพท์ของมนชิตดังขึ้น เขากดรับสาย
“ว่าไง?” มนชิตเดินห่างออกมาจากนคเรศแล้วค่อยคุยโทรศัพท์
“...มีคนเห็นอสูรอยู่แถวสวนสาธารณะบรมวุฒิชัยครับ…” นคเรศใช้ความสามารถของผีดิบดักฟังเสียงในโทรศัพท์ของมนชิต
“ส่งผีดิบสองตนไปดู ถ้าใช่ก็เอาหัวมันมาให้ฉัน” มนชิตออกคำสั่งล่าอสูร
“ฉันว่านายคงได้คำตอบแล้วล่ะ ว่าใครฆ่าคนของนาย...อย่างน้อยน้องสาวฉันก็บริสุทธิ์” นคเรศใช้อุบายนี้ทำให้รวิภาไร้มลทิน
“เรื่องนั้น ฉันยังไม่มีเวลาสำหรับความวุ่นวายในครอบครัวของนายหรอกนะ นายเป็นแขกของฉัน คอยดูแลน้องของนายให้ดี” มนชิตพูดจบก็เดินออกไปทำธุระทันที
“ถ้ามีโอกาส ฉันจะดูดเลือดคนในจตุราชิตโดยใช้แค่หลอด” นคเรศแขวะทิ้งท้าย ตอนนั้นเองกรองขวัญเดินผ่านเขาไป
“มนชิตคู่หูผม เป็นผู้ชายที่ดีนะ ไม่คิดอย่างนั้นบ้างเหรอ?” นคเรศพูดให้รู้ตัว กรองขวัญหยุดเดิน
“ไม่ล่ะ เขาเป็นคนที่มีเสน่ห์ เซ็กซี่ มั่นใจ น่าสนใจเป็นอย่างมาก แต่ด้วยความสัตย์จริง เขาก็เป็นแบดบอยเหมือนกับคุณนั่นล่ะ และตอนนี้ฉันต้องการแค่เรื่องดีๆในชีวิตของฉันเท่านั้น ไม่ใช่อะไรที่...” กรองขวัญหันมาจัดเต็มให้นคเรศชุดใหญ่
“มีบาดแผลและโดนปีศาจครอบงำ” นคเรศย้อนคำพูดที่เธอเคยพูดไว้
“คนที่อันตรายมันไม่ดีพอ อย่างน้อยก็สำหรับฉัน” กรองขวัญพูดจบ เธอกำลังเดินออกไป นคเรศรั้งแขนเธอไว้ เขากุมมือเธอ
“ผมเข้าใจ เพราะผมก็เคยเป็น...ยังไงก็ตาม ~ ให้โอกาสเขาสักครั้ง จากนั้นผมอยากให้คุณบอกผมว่าเขาจะไปที่ไหนและใครที่เขาไปพบ ~” นคเรศสะกดจิตเธอให้สืบมนชิต

     .. ณ สวนสาธารณะบรมวุฒิชัย ยามค่ำคืนที่เงียบสงบ ไร้ซึ่งผู้คน เหมือนจันทร์นั่งอยู่คนเดียว
เธอหยิบน้ำยาวัชพืชเสเจิมออกมาจากกระเป๋า ..
“จัดการซะ เหมือนจันทร์ ปวดท้องนิดหน่อย แล้วเรื่องแย่ๆนี่ก็จะจบลง” เหมือนจันทร์พูดกับตัวเองเพื่อเพิ่มความมั่นใจ ขณะที่เธอกำลังหยอดน้ำยาวัชพืชเสเจิมลงไปแก้วแล้วคนให้เข้ากัน เธอกำลังจะดื่มมันเข้าไป แต่สุดท้ายเธอก็ทำไม่ลง เธอถอนหายใจก่อนที่จะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ทางด้านขวามือของเธอ เหมือนจันทร์หันไปมองแต่ก็ไม่พบใคร หรือว่าอะไร เธอลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะย้ายไปที่อื่น ผีดิบตนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเธอ ดวงตาของมันแดงก่ำ เส้นเลือดสีดำขึ้นรอบดวงตาของมัน
“เธอโง่มากที่เข้ามาป้วนเปี้ยนแถวนี้...เธอต้องมากับฉัน แม่อสูรสาว” ผีดิบตนนั้นจะจับกุมเธอ
“ฉันเบื่อเต็มทนที่ผีดิบจะต้องมาบอกว่าฉันควรทำอะไร หรือไม่ควรทำอะไร!” สิ้นคำพูดของเหมือนจันทร์ เธอสาดน้ำในแก้วใส่ดวงตาของผีดิบตนนั้น มันร้องเสียงดังเพราะแสบตาอย่างรุนแรง เธอรีบหันหลังจะวิ่งหนี แต่ถูกผีดิบอีกสองตนดักเอาไว้ ตอนนั้นเองรวิภาโผล่ออกมาด้วยความเร็ว เธอหักคอผีดิบตนแรก และกระชากหัวใจของผีดิบอีกตนออกมาด้วยมือเปล่า
 “ไม่ดีเลยนะ ที่ปฏิบัติกับหญิงตั้งครรภ์แบบนั้น ฉันเกลียดพวกไม่มีมารยาท” รวิภาพูดกับหัวใจของผีดิบที่อยู่ในมือเธอ แล้วเธอก็ปามันไปที่ศพเจ้าของหัวใจ

(*วิธีหยุดการเคลื่อนไหวของผีดิบ ผีดิบหากถูกหักคอจะไม่ตายแต่แค่สลบไปเท่านั้น กรณีนี้ใช้ได้กับผีดิบตนแรกเช่นกัน)

...............................................................................................

     รวิภาและเหมือนจันทร์พาผีดิบทั้งสามตนกลับมาที่บ้านตระกูลวิรุฬห์กร ตายสองศพ รอดมาหนึ่ง นคเรศเอาผีดิบที่รอดไปนอนรวมกับศพเพื่อนๆของเขา
“นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงไม่ให้เธออกจากบ้าน อสูรกายไม่ได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในย่านนี้ ฉันมีแผน...และการที่เธออกไปเดินเล่นตอนกลางคืนจะทำให้แผนของฉันเสียหมด” ขณะที่นคเรศพูด ผีดิบที่รอดชีวิตยังคงส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด รวิภาเริ่มรำคาญจึงจะเข้าไปจัดการ
“ปล่อยมันไป! ฉันคิดว่าเธอทำมากพอแล้ว ทิ้งร่องรอยศพไว้เป็นลายแท่งมาที่บ้านหลังนี้” นคเรศขึ้นเสียงใส่รวิภา เธอหยุดชะงักแล้วหันมองหน้าเขา
“ถ้าหากฉันไม่บังเอิญได้ยินเสียงว่าจะตัดหัวอสูร ป่านนี้เราทุกคนคงจะซวยกันหมด และอย่ามาบอกฉันเรื่องแผนการ พี่มีเวลาอยู่บนโลกมากพอที่จะคิดแผนการ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าพี่จะทำอะไร! อาคินทำข้อตกลงเพื่อปกป้องลูกของพี่ เพื่อเขาจะได้ช่วยพี่จากความเห็นแก่ตัวและความต่ำช้าของพี่ เห็นได้ชัดว่าพี่ไม่ได้สนใจมันเลย ทั้งเรื่องเด็กหรือแม้แต่อาคิน เพราะว่าพี่ไม่เคยคิดที่จะทำอะไรสักอย่าง” รวิภาใส่ยับ
“พอกันทีกับทุกสิ่งทุกอย่าง ฟังฉันอธิบายบ้าง...ตั้งแต่วันที่ฉันมาถึง มนชิตไม่ไว้ใจฉัน มันให้สมุนผีดิบของมันกินหญ้าวังเวียน ซึ่งเธอก็รู้น้องสาว มันจะปิดกั้นอำนาจจากการสะกดจิตของพวกเรา ฉันจึงต้องการสปาย คนที่จะอยู่ข้างเรา คนที่มนชิตจะไม่มีวันสงสัย เพราะฉะนั้นฉันเลยสร้างคนของฉันขึ้นมา...มนชิตเพิ่งเสียสมุนผีดิบไป 6 ตน ขอบคุณมากสำหรับการฆาตกรรมที่สนุกสนาน มันจำเป็นต้องรับคนเพิ่ม ดังนั้นฉันจึงส่งคนใหม่ของฉันเข้าไป สะกดจิตมันก่อนที่มันจะกินหญ้าวังเวียน...แต่เราทุกคนย่อมรู้หนทางของตนผ่านหัวใจของตัวเอง ดังนั้นฉันก็ต้องใช้หัวใจรักทำให้มันตาบอด...และไอ้เจ้าตัวนี้จะพูดให้มนชิตเชื่อว่าเพื่อนของมันเจอกลุ่มอสูรนั่น พวกอสูรหนีไปที่..ธารบุรี.. มนชิตจะรู้ว่าทำไมถึงเสียผีดิบไปอีกสามตน ในคืนนี้” นคเรศบอกแผนการของเขาทั้งหมดด้วยอารมณ์หงุดหงิด เขาดึงแขนของผีดิบที่ยังมีชีวิตแล้วลากเข้าไปในบ้าน

...............................................................................................

     นคเรศเปิดประตูบ้านเข้ามา เขาทิ้งผีดิบตนนั้นไว้ตรงประตู รวิภากับเหมือนจันทร์เดินตามมาติดๆ

“มีใครจะถามอะไรอีกไหม...ไม่เหรอ...ดี เพราะว่าฉันมีเรื่องจะถามเธอ เหมือนจันทร์ ...เธอไปทำอะไรแถวย่านเมียงออกทั้งวัน ตอบฉัน!” นคเรศกระแทกเสียงใส่เหมือนจันทร์
“เรย์ ไม่เอา” รวิภาพูดห้าม เธอดูเอือมระอา
“นายอยากรู้ใช่ไหมว่าฉันไปทำอะไรที่นั่น ฉันก็ไปซื้อยาขับเด็กออกเพื่อที่ฉันจะได้เป็นอิสระยังไงล่ะ” เหมือนจันทร์พูดความจริงออกมา นคเรศโกรธมาก เขาใช้ความเร็วจับตัวเหมือนจันทร์ไปติดกับกำแพง เขาบีบคอเธอจนตัวเธอลอยขึ้น เหมือนจันทร์หายใจไม่ออก
“เรย์!” รวิภาเรียกชื่อเตือนสตินคเรศ แต่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“เรย์!” รวิภาเรียกอีกครั้งให้เสียงดังขึ้น นคเรศยิ่งบีบคอเหมือนจันทร์แน่นขึ้น เธอกำลังจะขาดใจตาย รวิภาตัดสินใจใช้ความเร็วดึงนคเรศออกไปที่บันได
“ปล่อยเธอไปซะ เธอท้องอยู่นะ ให้ตายสิ...ไหนบอกว่าไม่ต้องการลูก แต่พอเหมือนจันทร์พร้อมที่จะเอาเด็กออก พี่กลับโมโหจะฆ่าทั้งเธอและลูก...มันไม่เสียหายหรอกนะ ความรู้สึกห่วงใยอะ มันไม่เสียหายอะไรเลยที่อยากบางสิ่งบางอย่าง นั้นคือสิ่งที่อาคินพยายามทำมาตลอด ทั้งหมดที่เขาต้องการก็เพื่อพี่ ทั้งหมดนี้ที่พวกเราเคยต้องการ” รวิภาพูดจนนคเรศใจเย็นลง เขานิ่งไปและน้ำตาคลอเล็กน้อย เขาลงไปนั่งที่บันได รวิภาเดินไปนั่งข้างๆเขา
“ฉันเป็นคนส่งอาคินให้มนชิตเอง” นคเรศสารภาพ
“ว่าไงนะ?” รวิภาอึ้ง
“มนชิตหงุดหงิด มันแย่มากพอแล้วที่มีผีดิบตนแรกเข้ามาในเมืองหนึ่งตน แต่นี่มีสองตน มันกลัวพวกเราคิดจะทำอะไรบางอย่าง มันต้องการให้อาคินหลีกทางไป ดังนั้นฉันจึงทำตามคำขอของมัน เพื่อสันติ” นคเรศพูด
“พี่เอาพี่ชายเราเข้าแลก” รวิภาไม่พอใจ
“แผนของฉันคือการทำให้มนชิตไว้ใจ จากนั้นก็ทุบอาณาจักรมันทิ้งซะ และทำในสิ่งที่อาคินต้องการ เด็กคนนั้นจะได้ลืมตาดูโลก...ฉันกำลังทำตามแผนที่วางเอาไว้ มีเพียงฉันคนเดียวที่รู้ว่าต้องทำยังไง...ถ้าเธอไม่ชอบแผนการที่ฉันวางไว้ นั้นประตูเห็นไหม ไปเลย ถ้าคิดว่าฉันจะแคร์” อธิบายจบนคเรศก็ลุกออกไป รวิภาเซ็งมาก เธอไม่รู้จะทำยังไงต่อไป

...............................................................................................

     .. ณ เมืองจตุราชิตเกือบ 300 กว่าปีก่อน มนชิตถอดเสื้อเดินตัวเปียกเข้ามาในเรือนของตระกูลวิรุฬห์กร กล้ามเนื้อของเขาเป็นมัดๆ  มนชิตพุ่งตรงไปหารวิภาที่กำลังนั่งร้อยมาลัยอยู่
“แม่น้ำเป็นอย่างไรบ้าง?” รวิภาถามเขา
“เย็นสบายดีขอรับ ยอดรักของกระผม” มนชิตพูดจาหว่านเสน่ห์ใส่รวิภา เธอรู้ตัวทันทีเลยวางอาลัยที่กำลังร้อยแล้วลุกออกจากที่ตรงนั้น
“ฉันว่าจะไปดูในครัวสักประเดี๋ยว” รวิภาหาข้ออ้างแต่มนชิตขวางไว้ เขาจับมือเธอเอามากุม
“พระเชษฐาข้าบั่นคอเจ้าแน่” รวิภาขู่เขาเพราะกลัวว่าจะมีใครมาเห็น
“ถึงแม้ว่ากระผมจะต้องตาย มันก็คุ้มที่ได้บอกความรู้สึกของกระผมที่มีต่อพี่ท่านเสมอมา” มนชิตพูดจาหวานซึ้ง นั้นทำให้รวิภาใจอ่อน เขาค่อยๆก้มลงจูบที่หลังมือของเธออย่างนุ่นนวล นคเรศโผล่มาจากไหนไม่รู้ เขากระชากมนชิตออก ในมือของนคเรศถือดาบไว้แล้วชี้ไปตรงหน้าของลูกเลี้ยง
“ไอ้เด็กเนรคุณ เตือนแล้วไม่เคยฟัง!” นคเรศจ่อดาบไปที่คอห้อยของมนชิต
“นคเรศ เห็นแก่ข้าเถิด เขาไม่เหมือนกับชายใดที่ข้าเคยพบ ลือท่านไม่เห็นงั้นรึ ตั้งแต่ครั้งนั้นที่ท่านช่วยชีวิตเขาไว้ ท่านเลี้ยงเขามา คอยคุ้มครองเขา ท่านเป็นพ่อของเขา พี่ท่านฆ่าเขามิได้” รวิภาพูดจนนคเรศใจเย็นลง เขาทิ้งดาบลงกับพื้น
“เจ้าพูดถูก ข้ามิอาจทำได้” นคเรศพูด
“โอ้” เสียงร้องของรวิภา เธอถูกนคเรศแท่งกริชเหล็กนิลที่กลางอก
“แต่เจ้า ขนิษฐาดวงใจพี่ ลองหาเหตุผลที่เจ้าจะพรากลูกข้าไป แลถึงแม้ว่าเจ้าจะคิดออก เจ้าก็ไม่สามารถพรากลูกข้าไปได้” รวิภาค่อยๆตัวซีดจนเส้นเลือดขึ้นเป็นสีดำทั้งตัว เธอเข้าสู่นิทราในที่สุด

     รวิภานั่งอยู่ที่ริมสระน้ำ เธอกลุ้มใจมากไม่รู้ว่าจะช่วยอาคินยังไง มนชิตซ่อนเขาไว้ที่ไหนเธอก็ไม่รู้ และนคเรศทำไมเขาถึงทำแบบนี้ยอมแลกพี่ชายของตัวเอง เพื่อแผนการยึดเมืองคืนแค่นี้เองเหรอ ในหัวของเธอตอนนี้มีแต่เรื่องของพี่ชายทั้งสองคน เหมือนจันทร์เดินเข้ามาหาเธอ มานั่งข้างๆ
“ฉันรู้ว่าเราเพิ่งรู้จักกัน แต่ก็ขอบคุณนะ...ฉันซาบซึ้งมากในสิ่งที่เธอพูดไป” เหมือนจันทร์พูด
“เราผู้หญิงต้องคอยระวังให้กัน จริงไหม” รวิภาพูด
“ระหว่างเธอสองคนยังไงกันแน่ ฉันหมายถึงเธอพูดว่าเธอเกลียดเขา แต่วิธีที่เธอใช้รับมือกับเขา มันเห็นได้ชัดว่าถึงแม้เธอจะเกลียด แต่เธอก็รักเขา” เหมือนจันทร์สงสัย
“ฉันคิดว่าหากเธอได้ใช้เวลาอยู่กับใครสักคนเป็นพันปี และเมื่อตัดสินใจว่าจะต้องแยกทางกัน มันเหมือนกับชีวิตของเราขาดอะไรไปสักอย่าง...แต่บางครั้งความเกลียดชัง มันบดบังไว้ หัวหมื่นอนันต์ไม่ใช่รักแรกของฉันที่นคเรศฆ่าตาย เขาทำมันครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งไม่ว่าฉันจะเจอคนที่ใช่แค่ไหน เขาทำแบบนั้นตลอด นคเรศบอกว่า เขาทำเพื่อปกป้องฉันจากความผิดพลาดของฉัน ไม่มีใครดีพอสำหรับน้องสาวเขา จนในที่สุดฉันก็ตกหลุมรักและมอบหัวใจให้กับชายคนหนึ่ง” รวิภากำลังนึกถึงอดีตความรักของเธอ
“ในเมื่อเธอรู้แล้วว่ามนชิตได้อาคินไป ทำไมเธอไม่ไปช่วยเขากลับมาด้วยตัวเองล่ะ?” เหมือนจันทร์มีข้อเสนอ
“ทำแบบนั้นฉันก็ต้องกลับไปนอนในโลงสิ” รวิภาพูด เหมือนจันทร์หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากเสื้อคลุม เธอแกะห่อผ้าออก คือกริชเหล็กนิล 2 เล่ม
“คุณพระ” รวิภาอุทาน
“ฉันเจอพวกนี้อยู่ใต้โลงศพของเธอ...ถ้าไอ้กริชสองอันนี้มันคือสิ่งเดียว ที่เธอไม่สามารถไปช่วยอาคินได้ งั้นตอนนี้เธอก็ไปได้แล้ว” เหมือนจันทร์ยื่นกริชเหล็กนิลให้รวิภาเก็บไว้เอง สองสาวยิ้มให้แก่กัน

...............................................................................................

     .. ณ ร้านเหล้าแห่งหนึ่งในเมืองจตุราชิต กรองขวัญยอมมาเดทกับมนชิตเพราะการสะกดจิตของนคเรศ บรรยากาศในร้านส่วนตัวมาก มีเพลงอะคูสติกเปิดคลอเบาๆให้เข้ากับบรรยากาศ ..
“คืนนี้จะมีแค่เราสองคน ผมเลี้ยงคุณเอง” มนชิตลงทุนปิดร้านให้เขาได้อยู่เธอตามลำพัง เขาหยิบไวน์และแก้วไวน์จากในบาร์ จากนั้นก็เดินมานั่งที่โต๊ะ
“เยี่ยมค่ะ โอเค ฉันให้คะแนนพิเศษสำหรับนี่” กรองขวัญพูด
“นี่เพิ่งเริ่มต้นนะ...อะไรทำให้คุณตัดสินใจมา?” มนชิตถาม
“คนทุกคนสมควรได้รับโอกาส” กรองขวัญคิดคำตอบก่อนพูดออกมา เพราะเธอถูกสะกดจิตและไม่ได้เต็มใจมา ตอนนั้นเองรวิภาผลักประตูร้านเข้ามา เธอเดินตรงมาที่ทั้งสองคน
“นายมันไอ้ปลิ้นปล้อน...พี่ชายฉันอยู่ไหน?” รวิภาเข้าปะทะกับมนชิตทันที
“สวัสดีทั้งสองคน คุณกรองขวัญนี่รวิภา รวิภานี่คุณกรองขวัญ” มนชิตตัดบท
“นายมันผู้ชายดอกทอง” รวิภาด่าไม่ไว้หน้า
“เฮ้!” กรองขวัญไม่ชอบสถานการณ์ตอนนี้ รวิภาบีบคอมนชิตแล้วใช้ความเร็วดึงตัวเขาไปติดกับกำแพง
“บอกฉันมาว่าอาคินอยู่ที่ไหน?” รวิภาเอาจริง
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน” กรองขวัญตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า เธอลุกขึ้นยืน
“บอกมาว่าเขาอยู่ที่ไหน ไม่งั้นฉันจะฆ่าแกซะ!” รวิภาไม่ฟังเสียงนกเสียงกา
“ไม่ เธอไม่กล้าทำหรอก” มนชิตรู้จักรวิภาดี เธอปล่อยมือออก
“บางทีนายอาจพูดถูก” มนชิตกำลังยิ้มอย่างสะใจ รวิภาเปลี่ยนเป้าหมายเธอใช้ความเร็วดึงตัวกรองขวัญไปติดกับกำแพงแล้วบีบคอเธอไว้
“แต่ฉันจะฆ่านังนี่” รวิภาบีบแรงขึ้น กรองขวัญหายใจไม่ออก
“ปล่อยเธอไปซะ...เธอชนะแล้ว ฉันพาเธอไปหาอาคิน” มนชิตยอม รวิภาปล่อยมือที่บีบออก กรองขวัญหายใจโล่งขึ้น
“เป็นบ้าไปแล้วหรือไง!” กรองขวัญโวยวาย
“ไม่เป็นไร กลับบ้านแล้วลืมเรื่องนี้ไปซะ ~ จดจำแค่ว่าผมจะทำเพื่อคุณ ผมสัญญา ~” มนชิตสะกดจิตกรองขวัญให้ลืม
“เธออยากเจออาคินใช่ไหม...ได้ ตามฉันมา” มนชิตไม่พอใจนัก เขาพารวิภาเดินออกจากร้านไป

...............................................................................................

     .. ณ เมืองจตุราชิตเกือบ 300  ปีก่อน รวิภาตื่นขึ้นในห้องนอนของตัวเอง นคเรศนั่งมองเธอ เขาถือกริชเหล็กนิลไว้ ..
“ได้ฤกษ์เสียที ข้าไม่ชอบการรอคอย ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าตอนนี้ แลข้าคิดว่ามันควรค่าพอ” นคเรศพูด
“ไอ้คนสารเลว วันนี้คือวันอะไร?” รวิภาโมโห
“วันอาทิตย์” นคเรศตอบ
“นี่ฉันโดนปักกริชมาทั้งสัปดาห์งั้นรึ...มนชิต เจ้าทำอะไรเขา?” รวิภาถามต่อ
“นี่มัน พุทธศักราช 2271 รวิภา เจ้าถูกปักกริชมา 55 ปีแล้ว” นคเรศตอบ
“ว่าอย่างไรนะ” รวิภาอึ้ง
“แลอย่ากังวลเรื่องของมนชิต ข้ายื่นข้อเสนอให้กับเขา ระหว่างให้เจ้าไม่ถูกปักกริชแลใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าเฉกเช่นสามีภรรยา หรือให้ข้าเปลี่ยนเขาแลกกับการทอดทิ้งเจ้าไป” นคเรศอำมหิตเหลือเกิน
“ไม่ เขาไม่มีวันทำเช่นนั้นกับข้า” รวิภาน้ำตาคลอเบ้า เธอยังไม่ปักใจเชื่อ
“...แต่เขาทำ” สิ้นคำพูดของนคเรศ มนชิตเปิดประตูห้องเข้ามา เขามองไปที่ใบหน้าของรวิภา เวลานี้เขาได้เป็นผีดิบเรียบร้อยแล้ว รวิภาน้ำตาไหลออกมา เธอเสียใจและเสียความรู้สึก

     .. ณ ห้องใต้หลังคาที่ไหนสักแห่งในเมืองจตุราชิต มนชิตพารวิภาเข้ามาที่นี่ เขาเปิดประตูห้องแล้วเดินเข้าไป รวิภามองเห็นโลงศพของอาคินแต่เธอเข้าห้องไม่ได้ ..
“เชิญฉันเข้าไป!” รวิภาขึ้นเสียง
“ก็ต้องถามเจ้าของห้องก่อน ดารายาที่รัก ออกมาโชว์ตัวหน่อย...เชิญเธอเข้ามาเถอะ” มนชิตเรียกให้ดารายาออกมา เธอหลบอยู่หลังรูปวาด
“เข้ามาสิ” ดารายาเชิญให้รวิภาเข้ามาได้ เธอรีบตรงไปที่โลงศพของอาคิน เปิดฝาโลง เธอกำลังจะดึงกริชเหล็กนิลออกจากอกของอาคิน
“เป็นฉัน ฉันจะไม่ทำอย่างนั้น” สิ้นคำพูดของดารายา รวิภาถูกพลังบางอย่างบังคับให้ปักกริชไว้ที่เดิม เธอปล่อยมือแล้วหันหน้าไปหาดารายา
“เธอเป็นใคร?” รวิภาถาม
“ฉันชื่อ..ดารายา.. เธอเป็นหนึ่งในผีดิบตนแรกงั้นเหรอ?” ดารายาตอบ เธอถามมนชิตต่อ รวิภาเดินเข้ามาหาเธอเรื่อยๆ
“ใช่ รวิภาเป็นพวกผีดิบตนแรก แปลว่าเธอฆ่าไม่ตาย” มนชิตตอบ
“เธอก็ไม่ได้ดีนักหรอก” ดารายาแขวะรวิภา
“ก็อาจจะแต่เธอไม่ค่อยดีกับฉันเท่าไหร่ในคืนนี้” มนชิตพูด
“งั้นฉันเกรงว่าถึงเวลาที่คุณต้องไปแล้วล่ะ” สิ้นคำพูดของดารายา เธอใช้อาคมทำให้รวิภากระเด็นไปติดกับเพดานห้องและลอยมากระแทกที่มุมห้องอีกที ก่อนจะถูกโยนออกนอกหน้าต่าง เพียงแค่การมองเท่านั้น

.. ณ บ้านของมนชิต รวิภาตื่นขึ้นในห้องนอนของเขา ..

“ขอต้อนรับกลับ รวิภา เธอออกมาได้แล้ว” มนชิตยืนมองเธออยู่ที่ปลายเตียง
“ฉันอยู่ที่ไหน...แล้วมาอยู่ที่นี่ได้ไง?” รวิภามองไปรอบๆ มันคือห้องนอนเก่าของเธอ ที่แท้มนชิตก็อาศัยอยู่ในผับของตัวเอง
“เธอแพ้ดารายา ฉันดีใจที่เธอทั้งสองได้เจอกัน...ตอนนี้เธอรู้หรือยังว่าเธอกำลังเผชิญอยู่กับอะไร” มนชิตตอกย้ำเธอ ขณะที่รวิภากำลังอึ้ง
“นี่มันห้องนอนเก่าฉันหนิ” รวิภาพูด
“อ๋อใช่ ตอนนี้มันเป็นของฉันแล้ว เหมือนกับที่เมืองนี้เป็นของฉัน ดารายาก็เป็นของฉัน และอาคินก็เป็นของฉันจนกว่าฉันจะคืนให้ อะไรที่เคยเป็นของเธอ อะไรที่เคยเป็นของพี่ชายเธอ ตอนนี้มันเป็นของฉัน...และอย่าแตะต้องคุณกรองขวัญอีก” มนชิตพูดจบก็เดินออกไป เขาปิดประตูห้องใส่เธอ

...............................................................................................

     .. ณ บ้านของตระกูลวิรุฬห์กร นคเรศเดินไปที่ห้องนอนของเหมือนจันทร์ เธอกำลังหลับอยู่บนเตียง เขาเดินไปดูที่กระเป๋าของเหมือนจันทร์ เขาเห็นขวดน้ำยาวัชพืชเสเจิมโผล่ออกมา เลยหยิบขึ้นมาเปิดฝาแล้วดม ..
“ฉันยังไม่ได้ทำ” เหมือนจันทร์ตื่นสักพักแล้ว แต่เธอแกล้งหลับ นคเรศปิดขวดแล้ววางมันลง
“ฉันปลุกเธอหรือเปล่า” นคเรศเดินไปเปิดม่านหน้าต่างห้องให้แสงรอดเข้ามา
“ฉันเหมือนคนนอนหลับไม่เต็มอิ่ม บ้านหลังนี้มันเหมือนกับซาวน่าเห่ยๆ” เหมือนจันทร์ลุกขึ้นมานั่งบนเตียง
“อะไรหยุดเธอไว้ เธอจะเป็นอิสระจากทุกสิ่ง...จากฉัน” นคเรศถาม
“อ๋อใช่ ตอนที่ฉันสู้กับผีดิบพวกนั้น ฉันเข้าใจว่าฉันทำเพื่อปกป้องตัวเอง บางทีเราก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดทิ้งเราไป และพ่อแม่บุญธรรมก็ไล่เราออกจากบ้าน ทุกสิ่งที่ฉันรู้คือการผลักมันออกไป และฉันก็ตระหนักว่าไม่ควรให้ใครมาแตะต้องเด็ก” เหมือนจันทร์ตอบ
“ฉันเพิ่งเริ่มคิดได้ว่าเธอกับฉันเหมือนกันมากๆ พวกเราถูกทิ้ง แต่พวกเรารู้จักเรียนรู้ที่จะต่อสู้ เมื่อถึงเวลาที่จนตรอก” นคเรศเดินเข้ามาพูดใกล้ๆเธอ
“ตอนนี้เราก็จนตรอกแล้วไง” เหมือนจันทร์ย้ำสถานการณ์
“อ่า...นั้นคือเรา ถึงเวลาที่ต้องสู้กลับ...อสูรตัวน้อย” นคเรศจับบ่าให้กำลังใจเธอ เขากำลังเดินออกจากห้อง
“เรื่องของมนชิต ข้อตกลงที่คุณมีกับพวกหมอผี คือพยายามจะโค่นล้มเขาและเอาทุกอย่างที่เป็นของเขา รวิภาบอกว่าคุณสองคนรักกันเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?” เหมือนจันทร์สงสัย
“ฉันทำให้เขาเป็นแบบนี้ ฉันรักเขาเหมือนกับลูกในไส้ และเมื่อพ่อไล่ล่าฉันกับครอบครัว ที่นี่เมื่อร้อยกว่าปีก่อน เราเชื่อว่ามนชิตถูกฆ่าตาย เราต่างโศกเศร้าที่ดึงเขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้...ตอนที่ฉันกลับไปฉันไม่เจอใครรอดชีวิตเลยสักคน แต่เขารอด แทนที่จะมองหาทางออกของพวกเรา แทนที่จะผสานพวกเราให้เป็นหนึ่ง เขากลับตัดสินใจเลือกทำทุกๆสิ่ง...ครอบครัวฉันเป็นคนสร้างขึ้นมาและทำมันด้วยตัวเอง ตอนนี้มันอยู่ในบ้านของเรา มันนอนเตียงของเรา มีตัว M ติดอยู่ทุกที่ ต้องเปลี่ยนจาก M เป็นตัว V ต้องเป็นวิรุฬห์กรถึงจะถูก ฉันอยากได้ทั้งหมดกลับคืนมา และถึงแม้ว่าฉันต้องฆ่ามนชิตเพื่อให้ได้มันมา...ฉันก็จะทำอย่างเต็มใจ เดี๋ยวฉันจะหาคนมาดูเครื่องปรับอากาศให้แล้วกัน” พูดจบนคเรศก็เดินออกจากห้องไป

...............................................................................................

นคเรศลงบันไดมาจากชั้นสอง เขาพบกับรวิภาที่เพิ่งกลับเข้ามาในบ้าน

“นายถูก ผู้หญิงที่ชื่อ..กรองขวัญ..เธอคือกุญแจ มนชิตชอบหล่อนและฉันได้เห็นอาวุธลับของเขาที่นายกำลังตามหาอยู่” รวิภารายงานทันที
“แล้วจะรีรออะไรล่ะ มันคืออะไร?” นคเรศอยากรู้มากที่สุด
“ไม่ใช่อะไร แต่เป็นใครต่างหาก เด็กผู้หญิง เธอชื่อ..ดารายา.. อายุน่าจะประมาณสิบห้าสิบหกปี และฉันไม่เคยรู้สึกถึงพลังอำนาจแบบนี้มาก่อน” รวิภาตอบ
“ผู้ใช้อาคม” นคเรศเข้าใจทุกอย่างแล้ว
“เธอไม่ใช่ผู้ใช้อาคมธรรมดา แต่เธอมีบางอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน บางอย่างที่มากกว่าคุณไสยที่แข็งแกร่ง และตอนนี้เป็นเพราะพี่ เธอถึงได้ตัวอาคินไป...ไม่รู้ว่าเธอจะทำอะไรกับเขาบ้าง” รวิภาบรรยายถึงดารายาให้นคเรศฟัง
“หล่อนอยู่ที่ไหน?” นคเรศถามต่อ
“...นังตัวแสบ... ฉันไม่รู้” รวิภานึกไม่ออกว่าเธออยู่ที่ไหน ราวกับว่าความทรงจำในเรื่องสถานที่ถูกลบออกไป
“เกิดอะไรขึ้น?” นคเรศถาม
“มันเข้าถึงความทรงจำฉันเพื่อหาที่อยู่ของมัน...มนชิตเป็นเจ้าของอาวุธที่ยิ่งใหญ่และมีอำนาจมากกว่าผีดิบตนแรก แถมพี่ยังส่งพี่ชายของเราให้มันไปอีก! กี่ครั้งแล้วที่อาคินให้อภัยนาย นานแค่ไหนแล้วที่เขาหวังว่านายจะสำนึกผิด ต้องรอให้ตายก่อนงั้นเหรอ!” รวิภาโมโหที่ถูกลบความทรงจำ เธอจะออกไปช่วยอาคิน
“ฉันทำในสิ่งที่ฉันต้องทำ! มนชิตเอาบ้านของเราไป” นคเรศขวางเธอไว้ เขาขึ้นเสียง
“บ้านของเรามันไม่มีค่า...ถ้าไม่มีคนในครอบครัว ฉันจะตามหาอาคิน ไม่ว่าจะแลกกับอะไรก็ตาม...นายจะช่วยฉันไหม?” รวิภาพูดเตือนสติเขา
“ไม่ว่าจะแลกกับอะไรก็ตาม” นคเรศเอาด้วย

     .. ณ ห้องใต้หลังคาแห่งหนึ่งในเมืองจตุราชิต มนชิตเปิดประตูเข้ามา ดารายากำลังวาดภาพ เธอเกิดนิมิตบางอย่าง เธอรู้สึกว่ามีคนเข้ามาเลยหันไปมอง ..
“ฉันขอโทษถ้าสิ่งนั้นทำให้เธอไม่สบายใจ” มนชิตหมายถึงอาคินที่นอนอยู่ในโลง
“เธอไม่ได้กลัวฉัน ไม่มีใครกลัวฉัน” ดารายาพูด
“ฉันก็ไม่ได้คิดว่าพวกเขาจะกลัว ที่รัก แต่ว่าสิ่งนี้ ดูเหมือนว่าคือสิ่งเดียวที่พวกเขายังอยู่ที่นี่” มนชิตหมายถึงอาคิน
“พวกเขาจะไม่มีทางได้อยู่ที่นี่” ดารายาไม่ยอม
“คงเป็นเรื่องยากที่จะโน้มน้าวพวกเขา นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงขอความช่วยเหลือจากเธอ ฉันต้องการให้เธอค้นหาวิธีที่จะกำจัดพวกผีดิบตนแรก” นี่คือแผนของมนชิต

(*ความแตกต่างระหว่างหมอผีกับผู้ใช้อาคม หมอผีนั้นจะอยู่กันเป็นกลุ่ม เป็นหมู่บ้าน เป็นครอบครัว ศึกษาศาสตร์เดียวกัน วิถีแบบเดียวกัน เคารพซึ่งกันและกัน แต่ผู้ใช้อาคม คือผู้ที่ศึกษาไสยศาสตร์วิชาอาคมด้วยตัวเอง ไม่ขึ้นตรงกับสังกัดไหน ไม่ยึดถืออะไรเป็นประเพณี ผู้ใช้อาคมจึงหายากกว่าหมอผีทั่วไป)

_จบตอน_

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา