Crystalfall: Fake/Brave [ชีวิตพังเพราะพระเจ้า]

8.8

เขียนโดย Spy442299

วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.23 น.

  25 chapter
  4 วิจารณ์
  20.57K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 17.57 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) หนีกลางสมรภูมิรบ 5 - [การออกเดินทางที่แสนขรุขระ] 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
Crystalfall: Fake/Brave
คริสตัลฟอร์: เฟค/เบรฟ

หนีกลางสมรภูมิรบ 5 - [การออกเดินทางที่แสนขรุขระ] – ครึ่งแรก

◊◊◊
ไม่รู้ตัวเลยแฮะว่ามาอยู่นี่ได้ไง
ฉันตื่นขึ้นมาพบกับอากาศเช้าวันใหม่ที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างไม้เก่าๆ เข้ามา...ก่อนที่จะเอามือกุบขมับเพราะจู่ๆ มีเสียงสะท้อนดังก้องในหัว
(อันนา อันนา อันนา อันนา อันนา อันนา อันนา อันนา อันนา อันนา)
อะไรเนี่ย!? ทำไมในหัวฉันถึงมีแต่เสียงร้องหาอันนา!?
เวรๆๆๆ นึกถึงเมื่อโลกก่อนตอนโดนคลื่นเสียงโซนิคชะมัด...เล่นเอาหัวแทบระเบิดไปกลายนาที
ฉันพยายามลุกขึ้นโดยที่ร่างกายยังไร้เรี่ยวแรง...ถึงได้ตกหัวคะมำลงไปนอนกับพื้นไม้ปลายเตียงเพราะต้องการลุกไปหาของบางอย่าง
โอ้ย...ลืมไปว่าโลกนี้มันไม่มียาพารานี่หว่า
“คุณเฟลิกซ์!? เจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ?”
มีผู้หญิงที่ดูแล้วอายุน่าจะราวๆ ยี่สิบกว่าปีวิ่งตื่นเข้าห้องมาประคองตัวฉัน...เหมือนจะจำได้ว่าตอนที่ฉันตื่นขึ้นมาก่อนหน้านี้ เธอนั่งอยู่ใกล้ๆ ปลายเตียงแล้วแนะนำตัวเองให้รู้จัก เธอชื่อว่ามาเรียแต่หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้เลยเพราะฉันเผลอหลับไปอีกรอบ
รู้สึกว่าก่อนหน้านี้จะฝันร้ายเรื่องอะไรสักเรื่องด้วย...
“ปวด...หัว...”
พอคนตรงหน้าได้ยินสิ่งที่ฉันพยายามจะสื่อนั้นก็พาตัวฉันกลับขึ้นเตียงแล้วเธอก็มาอยู่ข้างหลังใช้มือทั้งสองวางใกล้ศีรษะฉันทั้งสองข้างแล้วพึมพำอะไรบางอย่างที่ฉันได้ยินไม่ถนัด ทันใดนั้นมีแสงออร่าสีเขียวที่ไม่แสบตาปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือทั้งสองข้างของมาเรีย
อุ่นจัง...
เป็นความอบอุ่นที่ชวนเคลิ้มให้หลับอีกรอบ แต่ยังตั้งสติไว้ได้ทัน
นี่เป็นเวทมนต์สินะ...
พอเวทมนต์นั้นหยุดลง มาเรียที่ยิ้มแย้มยื่นหน้าเข้าใกล้
“รู้สึกดีขึ้นหรือยังคะ?”
“กะ...ก็ดีค่ะ ฮ่าๆ”
ฉันผงะถอยหน้าออกมาหน่อยแล้วหัวเราะแห้งๆ แก้เขิน
ภาพติดตาผู้หญิงคนนี้ตอนแรกที่ฉันฟื้นขึ้นมายังตรึงใจอยู่...นางฟ้าแม่นมมาโปรดชัดๆ
“คือ...ถ้ายังพอเดินไหว มีคนอยากจะพบ ด่วนมากด้วย”
“พบฉัน?”
◊◊◊
ได้เจอเร็วกว่าที่คิด
สัสดีหน้าตาก็หล่อดีอยู่หรอก แต่ทำเป็นขรึมเครียดตลอดเวลาบุคลิกมันเสียหมดนะ
ฉันนั่งจ้องหน้าเผ่าปีศาจแวมไพร์ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะกินข้าวฝั่งตรงข้าม ตอนแรกก็ตื่นเต้นดีอยู่หรอกว่าได้เห็นแวมไพร์ตัวเป็นๆ แต่แค่แป๊บเดียวเท่านั้น...ส่วนอีกคนที่ทางขวาใส่ชุดเกราะคล้ายๆ ของคุณเชสเซอร์เลยคิดว่าคงเป็นเพื่อนไม่ก็สังกัดอยู่ที่เดียวกันแน่ๆ เห็นชื่อว่าอาเซียและคุณมาเรียที่เพิ่งนั่งฝั่งซ้ายหลังจากเสิร์ฟอาหารเช้าให้ทุกคนจนครบเป็นขนมปังแห้งๆ หนึ่งก้อนกับซุบข้าวโพด
และยังได้ยินว่ายังมีอีกคนก็คือสามีของคุณมาเรียที่เดินทางออกไปขายแร่อะไรสักอย่างที่เมืองใกล้ๆ โดยไปหลายวันกว่าจะกลับ ซึ่งเป็นคนที่ฉันอยากจะก้มกราบขอบคุณมากที่สุดเพราะช่วยฉันไว้ที่ถ้ำนั้น
การสนทนาบนโต๊ะอาหารเริ่มขึ้นเมื่อสิบนาทีที่แล้วเริ่มจากหลายๆ เรื่องที่ฉันไปเผชิญมา พอเล่าถึงเรื่องที่เชสเซอร์เสียสละตัวเองนั้น สัสดีออกความเห็นว่า ‘สมควรแล้ว’ ทำให้หูฉันเกือบมีลมออกมาเพราะฉันคิดว่าถึงแม้เชสเซอร์จะทำแบบนั้นแต่มันกลายเป็นผลดีสำหรับสัสดีไม่ใช่หรือ? ที่ช่วยยืดชีวิตพวกเขาได้ แต่พอเป็นเรื่องของเรย์ลี่ที่เล่าก่อนหน้านี้ทั้งสองคนกลับทำเป็นเฉย ซึ่งอันนั้นฉันโกรธขึ้นจริงๆ แต่ก็ได้รับคำตอบมาว่า ‘แค่พวกเอลฟ์แค่นั้นทำอะไรเรย์ลี่ไม่ได้หรอก’
เฮ้ยๆ ถึงอย่างงั้นก็น่าจะเป็นห่วงพรรคพวกตัวเองมากกว่านี้หน่อยสิ!?
พอเล่าจบจนถึงเรื่องที่ถ้ำ...สัสดีนั่งจมกับความคิดตัวเองสักพักก็ลุกขึ้นบอกว่าจะไปกางเวทมนต์อะไรสักอย่างและเลื่อนการเดินทางเป็นพรุ่งนี้แทนแล้วเดินออกจากบ้านไป ฉันที่เห็นท่าทางหยิ่งยโสของสัสดีนั่นทนไม่ไหวจนฉุนทุบโต๊ะ
“อะไรของหมอนั่น!”
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างงั้นอยู่หรอกแต่ที่จริงเขาเป็นห่วงเธอมาก”
อาเซียเท้าคางกินขนมปังบอกอย่างเป็นกันเองแล้วคุณมาเรียเองก็เป็นไปอีกคน
“เจอกันครั้งแรกใครๆ ก็พูดแบบนี้กันทั้งนั้นแหละค่ะ ออกจะใจดี หึๆ”
“บ้าน่า! คนแบบนั้นเนี่ยนะ!?”
“แวมไพร์ต่างหากและส่วนมากแวมไพร์ค่อนข้างเป็นแบบนี้กันหมดนะ” มาเรียบอกอย่างชิวๆ “เหมือนมันอยู่ในสายเลือดมั้ง...คุณมาเรียค่ะ! ขอซุบเพิ่มข๊า”
“ได้จ้า”
สองคนนี้โดนเวทย์ที่ทำให้ลุ่มหลงหรือเปล่าเนี่ย
พอคิดงั้นเลยหงุดหงิดเอาขนมปังยัดเข้าปากไปเรื่อยๆ อาเซียที่ได้รับซุบถ้วยยกซดจนเหลือแค่ครึ่งหนึ่งแล้วยื่นมือขวามาทางฉัน
“ขอแนะนำตัวเป็นทางการอีกครั้งนะ เลดี้อาเซีย...บุตรสาวบุญธรรมของอาเธอร์ เทย์เลอร์...คยุคแห่งอาณาจักรนิวส์ไลฟ์หรือผอ. ของสถาบันนิวส์ไลพ์ค่ะ จากนี้ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ ท่านผู้กล้า”
“ยินดีที่---หา!”
ฉันตกใจกับคำเรียกอย่างหลัง ไม่ใช่ว่าไม่ชินแต่ไม่คิดว่าคนตรงหน้าพูดขึ้นมาแต่พอได้เห็นท่าทีของเธอที่ขำตอบรับจึงรู้ว่ามันเป็นการหยอกล้อ
“ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าจะไม่ชอบฉายานั้นจริงๆ”
“แหงสิ...มันทำให้ชีวิตฉันวุ่นวายตั้งแต่มาโลกนี้”
“พูดเหมือนว่าเธอมีความจำจากโลกอื่น...”
เวรล่ะ...เผลอหลุดไป
“ถ้ามีล่ะก็ กรุณาเก็บไว้เป็นความลับด้วย” อาเซียพูดจริงจัง “การที่มีความทรงจำก่อนผ่านเกทมาเป็นอะไรที่ล้ำค่ามาก...อาจจะพอๆ กับตำแหน่งผู้กล้าเลยก็ได้ เลยตกเป็นเป้าล่าหัวลักพาตัวอยู่บ่อยๆ”
“งั้น...ก็มีคนอื่นด้วย?”
“น่าจะมีนั่นแหละ แต่คงน้อยมากๆ และเลือกที่จะปิดบังตนเองเพื่อไม่ให้มีอันตรายกับตัว”
“ทำไมถึงมั่นใจพูดแบบนั้น เรื่องน่าเหลือเชื่อจำความชาติที่แล้วได้มันก็จะ---”
“เพราะสถาบันนิวส์ไลฟ์ยังไงล่ะ อย่าเหมารวมกับพวกล้าหลังสิ”
อาเซียยิ้มร่าแล้วกินอาหารต่อไปและดูเหมือนไม่ใส่ใจเรื่องที่ฉันมีความทรงจำชาติก่อน
มีแต่เรื่องไม่เข้าใจแฮะ ขืนถามมากๆ เรื่องไม่เข้าใจยิ่งตามมาแน่ๆ
แต่มีเรื่องหนึ่งที่อยากรู้ให้ได้…
“ทำไมพวกคุณพยายามช่วยฉัน...มากขนาดนี้ด้วยค่ะ ทั้งเรย์ลี่ เชสเซอร์และยูกะ”
พอถามแบบนั้นไปทั้งอาเซียและมาเรียต่างหันมองหน้ากันและกันแล้วยิ้ม
“พวกเราคงจะอยากลองเป็นแม่สักครั้งล่ะมั้ง”
“หือ!?”
ฉันร้องเหวอเสียงดังเอาเรื่องเพราะเหตุผลที่ตอบกลับมามันแปลกจริงๆ มาเรียเห็นฉันเป็นแบบนั้นเลยอธิบายให้เข้าใจ…ซึ่งดูเหมือนจะนอกเรื่องไปหน่อย
“เดิมทีไม่ว่าชนเผ่าไหนๆ จะต้องมีการสืบพันธุ์เพื่อสืบทอดหรือเป็นหลักฐานแสดงเจตนาแห่งความรักใช่ไหมคะ แต่เพราะผลพ่วงสงครามสองร้อยปีก่อนทำให้ทุกเผ่าทุกคนในดินแดนคริสตัลฟอร์แห่งนี้ไม่สามารถมีลูกได้ค่ะ”
“ถ้าเสริมให้ชัดเจนล่ะก็ เพราะเป็นฝีมือเจ้าจอมมารตอนนั้นแท้ๆ!” อาเซียเสริมอย่างดุดัน “มันใช้พลังเวทย์ครั้งสุดท้ายระเบิดสาปแช่งโลกใบนี้! นึกแล้วแค้นชะมัด”
“สองร้อยปี...ถ้างั้นพวกคุณ...”
“อย่าเข้าใจอะไรผิดนะ! เราอายุแค่หกปี”
“ส่วนฉันสิบปีค่ะ”
งืม...อาเซียอายุหกปี คุณมาเรียสิบปี...
หือ!? เดี๋ยวสิ...คุณมาเรียน่าจะอายุสิบยี่กว่าๆ ไม่ใช่หรอ!? แล้วอาเซียน่าจะใกล้ๆ ยี่สิบนิ!!
“อ่า...แล้วทำไมพวกคุณถึงดูโตจังกันคะ!?”
คราวนี้ฉันแปลกใจมากจนเผลอลุกขึ้นยืนไม่รู้ตัว มาเรียกับอาเซียมองหน้ากันเองแล้วหัวเราะ
“นึกถึงสมัยยังเป็นเด็กใหม่เลย”
อาเซียตบเข่าตัวเองชอบใจ มาเรียเริ่มร่ายบทยาว
“ทางดิฉันก็เช่นกันค่ะ…เด็กใหม่ไม่ว่าใครๆ มักมีสิ่งที่เรียกว่า [สามัญสำนึกพื้นฐาน] ติดตัวมาทั้งนั้นค่ะ อย่างเช่นเรื่องเมื่อคู่คิดว่ารักกันต้องมีลูกเลี้ยงให้เติบใหญ่ จากเป็นเด็กผ่านหลายปีก็โตขึ้น...แต่หลักการพวกนั้นใช้ไม่ได้กับคริสตัลฟอร์ดินแดนแห่งความแปลกแยกแห่งนี้หรอกค่ะ...”
แล้วหลังจากนั้นฉันก็โดนปรับทัศนคติใหม่ยาวๆ
◊◊◊
[ชั่วโมงต่อมา]
หลักการโลกนี้มันเพี้ยนไปหมดแฮะ
พอคิดแบบนั้นฉันก็เงยหน้ามองเพดานไม้เก่าๆ อย่างสบายตัวเพราะตอนนี้นอนแช่อยู่ในอ่างน้ำถังไม้และที่มาอยู่นี่ได้เพราะถูกมาเรียทักว่าตอนที่ฉันถูกสามีเธออุ้มมานั้น...สภาพตัวฉันมีกลิ่นไม่พึ่งประสงค์อย่างรุนแรงพร้อมทั้งครบสกปรกมากมายถึงแม้ว่าจะเช็คตัวให้แล้วก็ตามที ซึ่งมาคิดๆ แล้วตั้งแต่มายังโลกนี้...ฉันยังไม่เคยอาบน้ำเลยเว้นแต่เอาน้ำลูบหน้าที่แม่น้ำคริสตัลเท่านั้น
ทำไมถึงลืมเรื่องพื้นฐานการใช้ชีวิตประจำวันอย่างอาบน้ำไปซะสนิทล่ะนิ?
ความสงสัยนั้นอยู่ได้ไม่นานก็ปล่อยมันไปเพราะตอนนี้ได้แช่น้ำแล้ว แต่เรื่องสามัญสำนึกของโลกนี้ที่คุยกันก่อนเข้าห้องน้ำมาทำให้คาใจสุดๆ
มีลูกไม่ได้ ร่างกายไม่แก่ไม่โตไม่เสื่อมสภาพ
ออกมาจากประตูหรือเกทยังไงก็เป็นอย่างงั้นตลอดไป
ทุกๆ อย่างเป็นเพราะสงครามเมื่อสองร้อยปีก่อน...กฎแห่งโลกจึงถูกเปลี่ยนแปลง เกทหรือประตูต่างมิติที่นานๆ ทีจะส่งอะไรบางอย่างมาก็ถี่ขึ้นเกือบทุกวันเหมือนเป็นผู้ให้กำเนิดสรรพสิ่งซะเอง เพราะมีทั้งคนทั้งสัตว์นานาเผ่านานาชนิด
และเพราะแบบนั้นการสืบทอดอำนาจหรือหาคนที่ไว้ใจมาช่วยจึงมักใช้วิธีรับเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมเพื่อที่ตนเองจะได้ปลีกวิเวกพักผ่อนอย่างสงบซึ่งเป็นเรื่องที่สามัญสำนึกมันบอกขึ้นมาเอง
ถึงอย่างงั้นถ้าเป็นพวกบ้าอำนาจก็จะครองอำนาจด้วยตนเองต่อไปเรื่อยๆ ตามที่อาเซียบอกว่ามีขุนนางคนหนึ่งอายุตั้งร้อยสี่สิบปีแล้วแต่ก็ยังไม่ให้มีคนสืบทอดอำนาจจากเขาเลย…
ตรรกะโลกนี้มันอะไรกันเนี่ย พระเจ้าเซ็งซวยที่บงการชีวิตฉันมันสร้างโลกนี้ประหลาดดีแท้
ถึงอย่างงั้นก็เถอะ สิ่งที่มันผิดเพี้ยนเพื่อทดแทนของเดิมที่หายไป
ทั้งสองคนนั้นบอกว่าอยากลองเป็นแม่เลยอยากรับลูกบุญธรรม...และคนอื่นๆ ก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติราวกับมีลูกเอง...แต่มีเป้าหมายเดียวกันก็คือการอยากมีครอบครัวสินะ เว้นแต่มีเป้าหมายอื่น
และอาเซียก็ย้ำว่าสักวันหนึ่งเมื่อเจอเด็กใหม่ที่ถูกใจก็จะรับเป็นลูกบุญธรรมและค่อยสอนให้รู้จักเติบโตผูกพันกันและกันอย่างดีที่สุด...เลยเข้ามารับทำหน้าที่ช่วยเหลือ [เด็กใหม่] ที่กำลังตกที่นั่งลำบากทั่วอาณาจักรได้เห็นเด็กใหม่ก่อนใครๆ
แต่ก็เอาเถอะ เรื่องพรรคนั้นไว้คิดที่หลังล่ะกัน...
ที่แน่ๆ ฉันก็รู้แน่ชัดสักทีว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรกับฉันตั้งแต่มายังโลกนี้
เพราะคำทำนายงี่เง่านั้นทำให้ฉันกลายเป็นตัวจุดชนวนสงครามครั้งใหญ่ระหว่างอาณาจักรเฟธและเอลฟ์ที่พักรบแย่งพื้นที่กันมานานกว่าสิบสิบปีแต่กลับเคลื่อนไหวเข้ามายึดประตูเกทที่อยู่ตรงจุดกึ่งกลางทวีปก็เพราะใช้ฉันเป็นข้ออ้าง
แต่ด้วยมือที่สามอย่างสถาบันนิวส์ไลฟ์ที่คุณอาเซียบอกว่ามีปณิธานปกป้องคุ้มครองผู้ที่เพิ่งมายังโลกนี้หรือที่ชอบเรียกกันว่า [เด็กใหม่] ทำให้ฉันยังมีชีวิตรอด…
คนที่ช่วยฉันตอนนั้น เรย์ลี่...ป่านนี้เธอจะเป็นยังไงบ้างนะ
ฉันคิดเพลินๆ นึกถึงหน้าคนของสถาบันนิวส์ไลฟ์เรื่อยๆ จนเห็นหน้าสัสดีลอยมา
ไม่ชอบขี้หน้ามันชะมัด ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่สั่งเรย์ลี่ให้ช่วยฉันเป็นเจ้าขี้เก๊กนั่น!
“ขออนุญาตนะคะ”
มาเรียที่อยู่ข้างยอกเอ่ยแล้วเปิดประตูบานเลื่อนเข้ามา...เธอนุ่งผ้าเช็คตัวสีขาวที่รัดหน้าอกคัพดีแน่นที่ชวนให้นึกถึงชาติที่แล้วที่ฉันเคยมีหุ่นแบบนั้น ยิ่งก้มมองหน้าอกตัวเองที่แบนราบในอ่างน้ำยิ่งรู้สึกอนาถใจอย่างรุนแรง ไม่ใช่เพราะเรื่องความใหญ่แต่มันไม่ชินต่างหาก...ไม่มีอะไรมาถ่วงข้างหน้านิดหน่อยแล้วรู้สึกตัวมันเบาเกินไปยังไงก็ไม่รู้
“เดี๋ยวดิฉันสระผมให้นะคะ”
“คะ...ค่ะ”
พอดีที่ฉันนอนแช่เอาหัวเกยอ่างอยู่ในตำแหน่งวางสระผมพอดีเลยไม่ต้องขยับอะไรมากแต่ที่แปลกใจเพราะฉันเออออว่าง่าย...ไม่แน่ว่าภาพนางฟ้ามาโปรดที่เห็นตอนฟื้นขึ้นมายังติดตาตรึงใจอยู่
จะว่าไป...เมื่อวานฉันฝันว่าอะไรนะ รู้สึกมันเลวร้ายมากๆ
“เริ่มชินกับโลกนี้หรือยังคะ”
มาเรียถามก่อนที่จะเริ่มละเลงที่หัวฉัน
“ยากค่ะ งืม...มือคุณเบาจัง”
“ดิฉันสระให้สามีเป็นประจำข๊า ชอบไหมเอ๋ย?”
“อ่า...ก็ดีค่ะ เอ่อ...สัสดีนี่ แน่ใจหรอคะว่าเขาไม่ได้เสกเวทมนต์เสน่ห์กับพวกคุณ”
“เอ๋!? เวทมนต์แบบนั้นไม่เคยได้ยินว่ามีนะคะ...ถ้ามีก็คงไม่ได้ผลกับดิฉันหรอกค่ะเพราะตัวเราเองไม่ใช่มนุษย์”
พอได้ยินแบบนั้นสะดุ้งเฮือกขึ้นมานั่งในอ่างแล้วหันไปหา
“ไม่ใช่มนุษย์!? ดะเดี๋ยวนะ!? หมายความว่าไง?”
“ดูนี่นะคะ”
มาเรียเอ่ยอย่างใสซื่อ ดวงตาดำคู่เหมือนคาดหวังอะไรบางอย่าง มือขวากุมที่ชายผ้าเช็คตัวตรงร่องหน้าอกเธอค่อยๆ ดึงลงมาทำให้หัวใจฉันเต้นรัวๆ แม้จะเป็นผู้หญิงด้วยกันจนเกือบเอามือกุมหน้าแทบไม่ทันแต่ก็ยังคงเห็นผ่านง่ามนิ้วตัวเองอยู่ดี
คุณมาเรียเขาจะทำอะไรอ่ะ!? ไม่นะ! หรือว่าเขามีรสนิยมแบบ---
ความคิดนั้นหยุดลงไปเพราะเห็นอะไรบางอย่างสะท้อนตรงร่องหน้าอก มันเป็นบางสิ่งที่ไม่ควรจะมีตรงนั้น...หินคริสตัลสีฟ้าใสบริสุทธิ์ฝังอยู่กลางอกของเธอโดยมีเส้นเลือดปูดอยู่รอบๆ
“นั่นมัน...”
“หินครัสตัลบริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ มันเป็นจุดศูนย์รวมวิญญาณฉัน...มันปกป้องเวทมนต์ที่เล่นงานจิตใจได้มากมาย แต่ถ้าถูกพังทำลายฉันก็ตายค่ะ”
“คือ...มันก็คล้ายๆ หัวใจหรือเปล่าคะ?”
“ไม่เลยค่ะ มันเปรียบเหมือนสมองของมนุษย์เลยค่ะ” มาเรียพูดแล้วเอานิ้วชี้ศีรษะ “แล้วในหัวฉันนี่กลายเป็นที่เก็บมานาแทนค่ะ ถึงมีร่างกายเหมือนมนุษย์แต่ใช้เวทมนต์ได้สบายๆ เช่นเดียวกับพวกเอลฟ์ค่ะ พวกเขาต่างเรียกเราว่า [คริสเมน]”
“คริสเมน?”
ขItที่ฉันยังงงๆ อยู่ มาเรียมองไปยังแขนซ้ายของฉัน
“คุณกับดิฉันก็เหมือนกันเลยนะคะ ต่างถูกมนุษย์เกลียดชังแต่ของคุณเฟลิกซ์จะลำบากหน่อยเพราะมีแขนซ้ายเด่นออกขนาดนั้น...แถมมีหินคริสตัลคล้ายๆ ฉันอีกด้วย ตอนแรกที่เห็นฉันหลงคิดว่าเป็นคริสเมนเหมือนกัน แต่พอสามีบอกว่าคุณเป็นไซบอร์กที่ใช้คริสตัลเป็นแหล่งพลังงานให้แขนนั้นเฉยๆ ก็อดเสียดายเรื่องได้เพื่อนร่วมเผ่านิดๆ ค่ะ”
พอมาเรียพูดถึงแขนฉันเลยก้มมองตามนั้น...และมีสิ่งที่ทำให้ฉันตะลึงก็คือ หินคริสตัลที่ควรจะเป็นสีรุ้งกับเป็นสีฟ้าทึบแทน
เฮ้ย!!!!!!!!!!
“แต่คุณเฟลิกซ์มีรูปร่างที่...น่ารักดีนะคะ หึๆ”
มาเรียเธอหมายถึงร่างเด็กอายุมอต้นของฉันเอง...ที่ผอมๆ และไม่ค่อยมีหน้าอกเท่าไร กว่าฉันจะรู้ตัวก็หน้าแดงก่ำแล้วหันหลังให้ ไม่ใช่ว่าเขินที่ถูกชอบแต่เพิ่งรู้ตัวว่ายืนอ้าซ่าแก้ผ้าตั้งนานสองหน้าต่อหน้ามาเรียที่ถึงแม้เป็นผู้หญิงก็ตามแต่เธอก็ยังเป็นคนแปลกหน้าที่เจอเท่านั้นเอง
จะโดนว่าเป็นโรคจิตหรือเปล่านะ!?
ยังไม่ทันหายกังวล มาเรียเข้าโอบกอดฉันจากข้างหลัง...หน้าอกเดินแนบแน่นโดยที่ไม่รู้ว่าเธอเปลือยผ้าเช็คตัวไปตอนไหนทำให้แผ่นหลังฉันสัมผัสกันโดยตรง
“คุณเฟลิกซ์...เชื่อดิฉันเถอะค่ะ รับการช่วยเหลือจากท่านสัสดีจะดีต่อตัวคุณเอง...อย่าให้มันซ้ำรอยเหมือนดิฉันเลยค่ะ”
“พูดถึงเรื่องอะไรคะ?”
“ช่วงที่ดิฉันยังเป็นเด็กใหม่...ดิฉันก็ถูกท่านสัสดีมาพาตัวไป แต่เพราะความกลัวเลยหนีพวกเขาระหว่างทาง...ฉันวิ่งเข้าป่าหนีไปเรื่อยๆ ค่ะโดยที่ไม่รู้ว่ามีอะไรตามหลังมา พอหนีไปเรื่อยๆ จนเจอบ้านพักกลางป่าหลังหนึ่งค่ะ มีลุงป้าและลูกบุญธรรมพวกเขาอีกสอง...พอเห็นดิฉันพวกเขาก็ต้อนรับอย่างดีเหมือนรู้ว่าเป็นเด็กหลงทางทั้งๆ ที่ร่างดิฉันก็โตขนาดนี้ แต่สิ่งที่ตามดิฉันมาตลอดทางมันก็โผล่มาค่ะ มันเป็นมอนเตอร์ดุร้ายตัวใหญ่ มันฆ่าทุกๆ คนในบ้านหลังนั้นจนเหลือฉันเป็นคนสุดท้าย แต่ท่านสัสดีที่ออกตามหาฉันมาเจอเข้าเลยช่วยไว้ได้ทัน...กลายเป็นว่าดิฉันเป็นฆาตกรพรากชีวิตพวกเขาทั้งหมด ท่านสัสดีก็พยายามปลอบดิฉันนะคะ ถึงแม้ว่าจะปลอบไม่ค่อยเก่งก็ตามที...”
มาเรียเล่าด้วยรอยยิ้มที่แสนเศร้าจนทำให้ฉันพูดไม่ออกแต่มันก็ทำให้นึกถึงเรื่องตัวเองเหมือนกัน
“เรย์ลี่...เชสเซอร์...เพราะฉันเป็นต้นเหตุหรือเปล่านะ”
“อ๋อ...ดิฉันว่าพวกเขารอดแน่ๆ ค่ะ พวกเขาถูกฝึกมาดี อีกอย่างตามที่คุณเล่าก่อนหน้านี้...พวกเขาเต็มที่จะทำไม่เหมือนดิฉันที่หยิบยื่นความตายให้ครอบครัวนั้น”
เหมือนยิ่งพูดยิ่งพามาเรียดำดิ่งสู่ความเศร้า ฉันเลยตัดสินใจล้างหัวเองแล้วลุกขึ้นจะออกจากห้องน้ำไป
“คุณมาเรีย ถ้าฉันรู้ทั้งรู้ว่าเด็กคนนั้นกำลังมีอันตรายแต่ช่วยเหลืออะไรเธอไม่ได้เลย...ฉันมันเป็นคนขี้ขลาดหรือเปล่าค่ะ”
“พูดถึงเรย์ลี่สินะคะ”
“อือ...”
“อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ เด็กคนนั้นตัดสินใจอะไรไปแล้วเปลี่ยนใจยากค่ะ ขืนไปขืนใจเธออาจจะถูกเล่นงานกลับก็ได้”
“เป็นอย่างงั้นหรอคะ”
ฉันได้ยินแบบนั้นแล้วก็ไม่คิดจะถามอีกต่อไป เดินออกจากห้องน้ำไปยังห้องรับรอง ส่วนมาเรียเงยมองนึกถึงบางคน
“เรย์ลี่...ดิฉันไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองเป็นอันขาด”
◊◊◊
[เขตการศึกษา สถาบันนิวส์ไลฟ์]
“อีกไม่กี่นาทีเวทมนต์สะกดนั่นจะคลาย”
ชายเผ่าดาร์คเอลฟ์คนหนึ่ง เขาไว้ผมประบ่าสีเงินเข้มแต่การที่มีหูหางยาวผุดออกมาเลยดูแปลก นัยน์ตาเล็กสีส้มที่ผู้อื่นยากจะอ่านใจใส่เสื้อคอวีสีดำกางเกงยาวก็เช่นกันและสวมเสื้อคลุมสีส้มแถบขาวไว้พูดกับตนเองแล้วปิดสมุดบันทึก ‘ความลับแห่งสถาบันนิวส์ไลพ์ – เฉพาะผู้อำนวยการเท่านั้น’ ลง ทันใดนั้นประตูห้องไม้หรูถูกเปิดออกด้วยใครบางคนร่างเตี้ยเล็กเข้ามากล่าวทักตะกุกตะกะ
“ทะท่านผอ.! ฉันมาเวลค่ะ! วะวะวะวันนี้มาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคนใหม่เป็นครั้ง...แรก...”
สาวเผ่าคนแคระที่สูงแค่ร้อยสามสิบเซนติเมตรค่อยๆ แผ่วเสียงลงอย่างไม่มั่นใจ เธอไว้ผมทรงบ๊อบสีเขียวมรกต ใส่แว่นตากรอบทองดำหนาของพวกช่างเหล็กอยู่ในชุดเสื้อเดรสสั้นขาวลายลูกไม้ แต่ด้วยการที่เธอเป็นคนแคระทำให้ชายกระโปรงเกือบลากพื้น คอกลมแขนกุดและสวมเสื้อคลุมสีส้มแถบขาวยาวเกือบลากพื้นเหมือนกับเขาอีกที และแล้วผอ. เอ่ยถึงเรื่องเวลาทำงาน
“เธอมาเลยเวลางานตั้งสี่ชั่วโมง”
“ขะๆ ขอประทานอภัยด้วยค่ะ! ดิฉันเดินหลงทางในสถาบัน...ไม่ได้จะแก้ตัวนะคะ! คือ...เอ่อ...ดิฉันพร้อมรับบทลงโทษทุกอย่างแล้วค่ะ! ฮือๆ”
และแล้วมาเวลทนแรงกดดันตัวเองไม่ไหวปล่อยโฮร้องไห้สะอื้นต่อหน้าผอ. ของเธอเองซึ่งเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเลยพูดออกไปว่า
“ร้องไห้เสร็จหรือยัง...จะได้เริ่มงาน”
แล้วก็ได้แววตาเขียวมรกตเบิกโตไม่พอใจตอบกลับมา
“เปล่าร้องไห้สักหน่อย! อุ้ย!?” มาเวลเผลอแสดงความรู้สึกออกไปแล้วค่อยได้สติ “ยกโทษให้ด้วยค่ะที่เผลอเสียมารยาท!”
“เฮ้อ...ยัยนั่นส่งแต่ล่ะคนมาให้น่าหนักใจทั้งนั้น” เขาพึมพำหนักใจหันมองทางอื่น
“เมื่อครู่ท่านสั่งอะไรกับฉันหรือเปล่า”
มาเวลที่เพิ่งเช็ดน้ำตาเสร็จถามเพราะได้ยินผอ. พูดบางอย่างที่เธอฟังไม่ชัด
“ได้เอาอุปกรณ์เวทมนต์อันนั้นมาไหม”
ผอ. พูดถึงบางสิ่งที่ผู้ช่วยคนอื่นๆ ต้องพกติดตัวไว้ประจำ มาเวลติดสถานะ Loading อยู่สิบวินาทีก่อนที่จะเข้าใจ
“อ๋อ! อุปกรณ์เวทมนต์ที่เรียกว่าเครื่องบันทึกเสียงใช่ไหมคะ? เอามาค่ะ...ที่มันสามารถจดจำเสียงรอบตัวได้ เห็นพี่เลี้ยงกำชับว่าให้ฉันเอาติดตัวไว้เสมอเวลาอยู่กับท่าน”
เธอพูดเสร็จลดไหล่ซ้ายที่แบกกระเป้าย่ามสะพายไหล่แล้วยกขึ้นให้ผอ. เห็นแล้วสะพายไหล่ดังเดิม
“อือ ดีสำหรับครั้งแรกสำหรับการทำงานของเธอ...งั้นก็มาใกล้ๆ เราได้แล้ว”
“เห๊ะ!?”
ผู้นำสูงสุดลุกยืนขึ้นเรียกให้ผู้ช่วยคนใหม่เดินเข้ามาใกล้ๆ แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจก็ตามว่าทำไมต้องเข้าใกล้ห่างแค่คืบ เขาเอามือซ้ายวางลงบนศีรษะมาเวลส่วนมือขวาเยียดตึงแบมือออกไปข้างหน้าเริ่มร่ายคาถา
“จิตและกายจงรวมเป็นหนึ่งเดียว เคลื่อนผ่านโลกทั้งสาม! เทเลพอร์ต!”
กว่ามาเวลจะรู้ตัวอีกทีว่าตัวเองอยู่ที่ไหนนั้น ผู้นำสูงสุดสะกิดตัวหลายครั้ง
“เธอ...มีความหลังฝังใจกับเวทมนต์หรือแค่กลัว”
มาเวลได้ยินผอ. ถามเช่นนั้นแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นพบว่าตัวเองนั้นอยู่กับผอ. ในห้องมืดๆ ที่มีแสงคบเพลิงข้างหลังเล็กๆ เท่านั้น ไม่เห็นว่าข้างหน้าและด้านข้างมีอะไรอยู่และนั่นทำให้เธอยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่
“ทะทะทะทะที่มันที่ไหนกันคะ!?”
“คุกใต้ดินของสถาบันชั้นลึกสุด”
ผอ. บอกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่คนฟังใจไม่สู้ดี
“คะคุกใต้ดินชะชะชั้นลึกสุด!! กรี๊ดดดดดดดดดดดด!”
ขาขวาของผอ. กลายเป็นเสาให้มาเวลกระโดดเกาะติดแน่นหนึบ
“เธอ...เลิกเกาะขาเราได้แล้ว”
“แต่ฉันกลัวนี่ค่ะ! ได้ยินว่าชั้นลึกสุดมีมอนเตอร์สิงโตสามหัวที่มีปีกกับหางงูต้องคำสาป!”
“มันไม่มีของแบบนั้นหรอก” ผอ. รู้สึกคิ้วตัวหนักขึ้นยังไงก็ไม่รู้กับข่าวลือ “เลิกทำตัวแบบนี้สักทีถ้าไม่อยากตกงานวันแรก”
เมื่อมาเวลจะห่วงหน้าที่การงานมากกว่ากลัวข่าวลือบ้าๆ นั่น เธอปล่อยขาแล้วก้มหน้าและใช้มือซ้ายน้อยๆ จิกขากางเกงผอ. ไว้อย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นครืน
“ขออภัยจากใจจริง คือว่า---”
“เปิดใช้งานอุปกรณ์เวทมนต์นั้นได้เลย เดี๋ยวจะเริ่มทักทายแขกผู้มีเกียรติสักหน่อย”
ผอ. บอกเสร็จแล้วปัดมือมาเวลที่เกาะอยู่ เดินไปข้างหน้าเล็กน้อยแล้วกำลังร่ายเวทย์ไฟใส่ชามขนาดใหญ่ตรงหน้า มาเวลที่ยังไม่เข้าใจว่าที่เขาพูดนั้นหมายถึงใครแต่ด้วยความขู่เรื่องงานก่อนหน้านี้ทำให้เธอเลิกใส่ใจมันชั่วคราวหยิบแท่งคริสตัลหกเหลี่ยมขนาดเท่าลูกปิงปองจากย่าม ที่กลางแท่งคริสตัลนั้นมีสัญลักษณ์บางอย่างที่มาเวลมองไม่ออกว่ามันคืออะไรแต่รู้วิธีใช้งานมันด้วยการใช้คทาไม้เรียวสั้นที่บรรจุคริสตัลตรงส่วยปลายแหลมจิ้มลงตรงกลางซึ่งมันเปล่งแสงเล็กน้อยสนองตามเป็นสัญญาณว่าอุปกรณ์เวทมนต์ชิ้นนี้ทำงานแล้ว
“อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา”
มาเวลตกใจกับเสียงแลดูอิโรยของใครบางคนที่ไม่ใช่ท่านผอ. มันดังก้องทั่วห้องแคบๆ แห่งนี้ที่แฝงไปด้วยความน่าเกรงครามพอๆ กับสภาพภายในห้องหินอ่อนเก่าๆ ที่เพิ่งสังเกตเห็น พอมองไปข้างหน้าก็พบกับคำตอบ...เบื้องหน้าของท่านผอ. นั้นมีร่างของชายเผ่าปีศาจปราศจากเสื้อผ้าถูกตรึงทั่วตัวกับกำแพงด้วยโซ่ตรวนที่ทำมาจากคริสตัลมากกว่าสิบเส้น มีเขาสองข้างบนศีรษะถูกหักเกือบถึงโคน ผมสีแดงเลือดที่ดูสกปรกยาวถึงช่วงต้นขา นัยน์ตาสีฟ้าที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นแฝงเต็มไปด้วยความขุ่นมัวและที่กลางหน้าอกมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่เล่นทำเอามาเวลเกาะขาผอ. อีกครั้งซึ่งเขากำลังทักทายอยู่พอดี
“สวัสดีครับ...เป็นไงบ้างหลับยาวสองร้อยปี สบายดีไหม?”
“หึ...สองร้อยปี มิน่าไม่คุ้นหน้าแก”
เสียงแหบแห้งของผู้ที่ถูกตึงโซ่ไม่ได้สร้างความแปลกใจกับผอ. มากนัก
“เราคือผู้นำสูงสุดของอาณาจักรนิวส์ไลพ์คนปัจจุบันนามว่าผอ. อาเธอร์ เทย์เลอร์”
การแนะนำตัวของผอ. นั้นทำให้ชายปีศาจส่งเสียงในลำคออย่างพึงพอใจ
“หึ เจ้าผู้กล้าผู้หญิงปากดีคนนั้นสร้างอาณาจักรที่วาดฝันสำเร็จจนได้...แล้วแกมีเหตุผลอะไรที่ปลุกข้าจากการถูกบังคับจำศีล?”
“เปล่าครับ ที่ท่านตื่นขึ้นมาเพราะเวทมนต์เสื่อมคลายต่างหาก...จะไม่ได้ถูกจำศีลอีกต่อไปครับ ท่านจอมมารไร้หัวใจ”
◊◊◊
คิดไม่ออกเลยสักนิด...ทำไมหินคริสตัลสีรุ้งถึงเปลี่ยนสี?
ช่างเถอะ แขนขยับได้ก็คงไม่มีปัญหาแล้วมั้ง?
ยังไม่ได้ลองจริงๆ จังๆ เลยว่าแขนซ้ายนี่ทำอะไรบ้าง
พอคิดแบบนั้นแล้ววางแผนจะลองทดลองมันพรุ่งนี้แต่เพิ่งนึกสิ่งที่อาเซียบอกไว้
พรุ่งนี้เช้ามืดฉันจะต้องเดินทางไปที่ๆ เรียกว่าสถาบันนิวส์ไลฟ์
ใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนโดยรถม้าคู่ถ้าไม่ใช้เวทมนต์ช่วย (และใช้ไม่ได้แล้วเพราะเพิ่งใช้ไปไม่นานมานี้)
คณะเดินทางมีฉัน คุณอาเซียและแวมไพร์ขี้เก๊กนั่น
“เฮ้อ...มันดีหรอเนี่ย ที่ไปกับพวกนั้น”
เฟลิกซ์หรือตัวฉันเองบ่นคนเดียวนอนบนเตียง ตอนนี้เป็นเวลาดึกแล้วคุณมาเรียก็เพิ่งส่งฉันเข้านอน
“แต่จะไม่ให้สิ่งที่เรย์ทำเสียเปล่าไม่ได้...หวังว่าคงได้เจอกันอีกนะ ที่สถาบันนิวส์ไลฟ์”
ปลอบใจตัวเองแล้วเริ่มปล่อยสติให้ไหลซึมบนเตียงโดยไม่รู้เลยว่าคืนนั้นกำลังมีอันตรายอย่างใหญ่หลวงมาเยือนถึงที่
◊◊◊
ช่วงคุยกับไรท์เตอร์
จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.7 ของเรื่อง CrystalFall: Fake/Brave นะจ๊ะ
ตอนแรกวางแผนจะไม่มีตอนย่อยแบ่งเป็นสองพาร์ท...แต่มันยาวเกิน! ช่วยไม่ได้ละนะ! แบร่ :P
ในที่สุดเฟลิกซ์ก็ฟื้นขึ้นมาได้สักที! เธอได้พบกับคนที่ออกคำสั่งช่วยเธอแล้ว! แต่ไหงไม่ชอบขี้หน้าเขาซะงั้น! ท่านแวมไพร์อุตสาห์ส่งคนไปช่วยเธอกลางดงสงครามนะ!
ดูเหมือนว่าดราม่าของมาเรียยังมีลึกว่าที่คิดอีก..แล้วมันคืออะไร? มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับเรย์ลี่?
ยังไม่รวมสามัญสำนึกที่เฟลิกซ์ต้องใช้เวลาปรับตัวอีกนาน (เฮ! ไม่แก่ตายนี่ดีออกนะ!)
และจู่ๆ มี Tie in ของ ผอ. สถาบันนิวส์ไลฟ์กับลูกน้องคนใหม่ที่พาไปปลุกใครบางคนที่เขาเรียกว่าจอมมารที่หลับไหลด้วยอะไรบางอย่างตั้งสองร้อยปี!
เฮ! เดี๋ยวสิ สงครามปราบจอมมารก็เกิดขึ้นเมื่อสองร้อยปีก่อนนิ? หรือว่า! หรือว่า! หรือว่า!
ช่างมันเหอะ 555+
แล้วที่ทิ้งทายว่ามีอันตรายคืบคลานหาเฟลิกซ์มันคืออะไรล่ะ
โปรดติดตามตอนต่อไปที่มีชื่อว่า

หลบหนีกลางสมรภูมิรบ 5 - [การออกเดินทางที่แสนขรุขระ] – ครึ่งหลัง

ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ
By Spy442299
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา