พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.90K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) แผ่นบันทึกประวัติศาสตร์ดวงดาวแอเรีย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

แผ่นบันทึกประวัติศาสตร์ดวงดาวแอเรีย

เว็บขีดเขียน

 

            ดาวแห่งสงครามดวงนี้มันมีที่มาที่ไปอย่างไร อะไรทำให้มันมาถึงจุดนี้ได้ จุดที่แต่ละเผ่าพันธุ์จับอาวุธฟาดฟันกันเอาเป็นเอาตาย ข้าคงต้องเริ่มตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ดาวดวงนี้กำเนิดขึ้นทีเดียว

 

          ตามทฤษฎีกำเนิดดาว ดาวดวงนี้น่าจะเกิดจากการรวมตัวกันของธาตุต่างๆ ในอวกาศ ประกอบด้วยสามธาตุ ไฟ น้ำแข็ง และสายฟ้า ธาตุทั้งสามนี้ล้วนเป็นส่วนประกอบของทุกสิ่งในดาวดวงนี้ ไม่ว่าจะเป็นภูเขา แม่น้ำ ป่า มหาสมุทร สิ่งมีชีวิตต่างๆ โดยเฉพาะมังกร สิ่งมีชีวิตแสนมหัศจรรย์ที่มีอยู่ทั่วทั้งดวงดาว แทบจะเรียกว่าเป็นดาวแห่งมังกรทีเดียว

          แต่ใครจะไปรู้ว่ามังกรมันเริ่มลดลงเรื่อยๆ เพราะมีสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่เรียกว่าเผ่าพันธุ์ เกิดขึ้นเรื่อยๆ นี่ล่ะ ระบบการดำรงชีวิตของพวกมันถูกเบียดบังโดยสิ่งที่เจริญกว่า

          ข้าก็ไม่รู้ว่าเผ่าพันธุ์ไซคัส กับเผ่าพันธุ์เอลิลของข้านั้นกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร ไม่มีทางจะกำเนิดขึ้นโดยธรรมชาติ วิวัฒนาการของเราทั้งคู่ก้าวกระโดดเกินไปอย่างที่ธรรมชาติตามไม่ทัน  เราต่างมีอารยธรรม วัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ อย่างที่สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ไม่สามารถมีได้

          เดาว่าคงมีสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว เอเลี่ยน หรืออะไรตามแต่เราจะเรียกกัน เดินทางมาเยือนดาวดวงนี้ และสร้างเผ่าพันธุ์ทั้งสองขึ้น ไซคัสกับเอลิล จะด้วยเหตุใดก็ตามผู้สร้างเหล่านั้นก็จากดาวของเราไปอย่างไม่มีวันกลับ ทิ้งเราสองเผ่าพันธุ์ที่ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ไว้ พวกเขาไม่มีวันได้รับรู้ว่าสองสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมานี้ มีวิวัฒนาการก้าวหน้า สูงกว่าที่พวกเขาคาดไว้ จนกระทั่งทำสงครามกันได้

          เผ่าพันธุ์เอลิลของข้าเป็นเผ่าพันธุ์ผี สูงส่ง ฉลาดเลิศล้ำ และเย็นชา ไม่มีความรู้สึก ไม่สิ้นอายุขัย ไม่ต้องการอาหาร และไม่ต้องพึ่งพาธรรมชาติ

          ส่วนเผ่าพันธุ์ไซคัสมีร่างกายสูงใหญ่ ลักษณะคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน ผิวเป็นเกล็ดเลื่อม ลิ้นสองแฉก มีหางยาว เป็นเผ่าพันธุ์ที่ต้องพึ่งพาธรรมชาติ ดำรงชีวิตอยู่ได้เพราะธรรมชาติ

          เอลิลอาศัยอยู่ในดินแดนบนพื้นดินที่หนาวเย็นด้วยหิมะ ไซคัสอาศัยอยู่ในดินแดนใต้ดินที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณธรรมชาติ เราทั้งคู่ต่างไม่รู้ว่ามีอีกเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ในดาวดวงนี้ด้วย เราทั้งสองเอาแต่พัฒนาดินแดนและอาณาจักรของตน พวกไซคัสเก่งเรื่องการก่อสร้าง ส่วนพวกเราเอลิลเก่งเรื่องการประดิษฐ์คิดค้น แต่ที่เราทั้งสองเผ่าพันธุ์ต่างมีความสามารถทั้งคู่คือการดึงพลังงานแฝงที่มีอยู่ทั่วดวงดาวมาประยุกต์ใช้ เรียกเชิงไสยศาสตร์ว่าเวทมนตร์

          สำหรับดาวดวงนี้ เวทมนตร์ไม่ใช่สิ่งสำคัญนัก กองทัพที่ถืออาวุธสงคราม ดาบ หอก โล่ นั่นต่างหากที่เป็นตัวแปรของเรื่องทั้งหมด เราทั้งสองเผ่าพันธุ์ต่างมีกองทัพนักรบ ซึ่งถือเป็นอาวุธที่ร้ายกาจที่สุด พลังงานเวทมนตร์มันแค่ส่วนเสริม

          แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรละเลยความสำคัญของเวทมนตร์ พลังงานหากรู้จักใช้ให้เป็นมันก็มีประโยชน์มหาศาล เผ่าพันธุ์เอลิลของข้ามีกลุ่มพ่อมดผู้ฉลาดเลิศล้ำอย่างที่ไม่มีพ่อมดพวกใดเทียบเทียมได้ พวกเขาคือ ไลฟ์เลสวิซาร์ด (Lifeless Wizard) หรือที่นิยมเรียกโดยย่อว่าลิซาร์ด (Lizard) พวกเขาศึกษาพลังงาน ประดิษฐ์คิดค้นวัตถุพลังงาน สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ขึ้นมามากมาย ลิซาร์ดที่ฉลาดและมีความสามารถมาที่สุดชื่อว่าอันเซเมส เขาคือผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์เอลิล เขาคือผู้นำของข้า ไอซ์ครีเอเทอร์ (Ice Creater = ผู้สร้างน้ำแข็ง)คือฉายาที่ทุกคนเรียกเขา

          ประโยคที่เขาพูดให้ทุกคนได้ยินเสมอ “ข้าคือน้ำแข็ง ข้าคือเอลิล”

          แอเรีย (Area = พื้นที่) คือชื่อของดาวดวงนี้ ตั้งโดยไอซ์ครีเอเทอร์ผู้นี้

          ข้ายังจำอาวุธสองชิ้นของผู้สร้างน้ำแข็งได้ ดาบสองเล่มที่ทำจากแร่คาร์ฟเวน โลหะอันทรงพลังและหายากที่สุด ราซานเซลรองผู้นำสูงสุดแห่งเอลิลเป็นคนสร้างดาบแดนน้ำแข็งฝาแฝดนี้ขึ้นมา ดาบไอซ์แอคเซอร์ และดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์

          พวกไซคัสเองก็มีผู้นำสูงสุดผู้มากความสามารถ เผด็จการ และโหดเหี้ยม ลินเลนธันคือชื่อของเขา ช่างเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นและความทะเยอทะยาน เผ่าพันธุ์ไซคัสเจริญรุ่งเรืองภายใต้การนำอันเด็ดขาดของเขา ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของเขาคือการสร้างเผ่าพันธุ์ใหม่ๆ ขึ้นมา อะไรจะมหัศจรรย์ไปมากกว่านี้ได้อีกหนอ เผ่าพันธุ์สร้างเผ่าพันธุ์ มันเป็นไปไม่ได้ง่าย ๆ หรอก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ลินเลนธันมักจะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้เสมอ

          ทั้งเอลิลและไซคัสต่างพัฒนาเผ่าพันธุ์และอาณาจักรของตน ฝ่ายหนึ่งอยู่บนดิน อีกฝ่ายอยู่ใต้ดิน ใครจะไปรู้ว่าโลกคู่ขนานแบบนี้จะมาบรรจบกันจนได้ มันคงเป็นสัจธรรมอันเป็นนิรันดร์“ที่ใดมีสิ่งมีชีวิต ที่นั่นหลีกหนีความขัดแย้งไม่พ้น”

          พวกเอลิลมีความจำเป็นต้องขุดเอาแร่ใต้ดินขึ้นมาใช้สร้างประชากร  พวกเขาขุดลึกลงไป จนลงไปถึงอาณาจักรของพวกไซคัส  จะด้วยเหตุผลใดก็ตามที่ทำให้สองเผ่าพันธุ์ขัดแย้งเกลียดชังกัน สงครามได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

          ทั้งสองฝ่ายทำสงครามกันยืดเยื้อ ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ สูญเสียหนักกันทั้งคู่  แต่ในที่สุด พวกไซคัสก็เป็นฝ่ายเหนือกว่า พวกเอลิลต้องล่าถอยไปตั้งหลักอยู่ในพื้นที่ที่มั่นคงที่สุด เป็นพื้นที่น้ำแข็งที่หนาวเย็นที่สุด พวกเขาก่อตั้งอาณาจักรใหม่ขึ้นที่นั่น เพื่อปักหลักสู้กับพวกไซคัสอย่างไม่ลดละ อาณาจักรไอซ์เมส อาณาจักรที่หนาวจับใจ

          สงครามดำเนินต่อไป คนตายมีนับไม่ถ้วน ไอซ์เมสดูจะแข็งแกร่งกว่าที่คิด ลินเลนธันพยายามเท่าไรก็พิชิตไม่ได้เสียที จนกระทั่งพวกไซคัสคิดค้นวัตถุวิเศษชนิดหนึ่งขึ้นมา พวกเขาเรียกวัตถุเหล่านี้ว่าความลับแห่งการเดินทาง เป็นเพียงเหรียญเล็กๆ จำนวนหนึ่งเท่านั้น แต่คาดไม่ถึงว่าจะมีพลังงานสูงส่งยิ่ง เพียงแค่เหรียญเดียวกองทัพไซคัสก็สามารถพิชิตอาณาจักรไอซ์เมสอันแข็งแกร่งได้อย่างน่าอัศจรรย์

          ราซานเซล รองผู้นำสูงสุดแห่งเอลิลถูกกำจัดโดยแอสแทริน นักรบไซคัสผู้เก่งกาจ ส่วนลินเลนธันก็ได้ใช้ดาบไอซ์แอคเซอร์ อาวุธของอันเซเมสหรือไอซ์ครีเอเทอร์สังหารเจ้าของดาบเสียเอง ในวันนั้นอำนาจแห่งผีได้จบสิ้นลง ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่า พวกเอลิลถูกกวาดล้าง โดยพวกไซคัส

            แต่ก็มีบางสิ่งที่ยังไม่คลี่คลาย แม้ว่าร่างและชุดเกราะของไอซ์ครีเอเทอร์ได้ถูกทำลายจนหมดสิ้น แต่ผ้าคลุมประจำตัวของเขายังคงอยู่ในสภาพเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง หลายครั้งที่ลินเลนธันพยายามทำลายมันให้สิ้นซากก็ยังไม่อาจสร้างความเสียหายแก่มันได้ ความหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่วไซคัสทุกคน พวกเขาพากันคิดว่าเหตุที่ไม่สามารถทำลายผ้าคลุมของอันเซเมสได้นั้นเป็นเพราะเจ้าของผ้าคลุมยังมีชีวิตอยู่ สุดท้ายลินเลนธันจึงต้องนำผ้าคลุมนั่นไปปิดผนึกไว้ในถ้ำน้ำแข็งลึกลับที่ไม่มีใครรู้

          เมื่อสงครามสงบลง พวกไซคัสก็เริ่มทำการปรับปรุงดินแดนบนพื้นดินทั้งหมดที่เคยเป็นของพวกเอลิล โดยแบ่งครึ่งดวงดาวเป็นสองส่วน ส่วนแรก พวกเขาสร้างอนุสาวรีย์หอคอยขนาดมหึมาไว้บนยอดเขาที่สูงที่สุด อนุสาวรีย์ยักษ์นี้มีพลังงานเชื่อมต่อกับธรรมชาติที่พวกไซคัสสร้างขึ้นใหม่ ดังนั้น หากอนุสาวรีย์พังลง ธรรมชาติและระบบนิเวศทั้งหมดก็จะปั่นป่วนสูญสลาย สิ่งมีชีวิตจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้  เป็นเหตุให้อนุสาวรีย์ถูกรายล้อมด้วยป่าดงดิบ เหล่าสัตว์ประหลาด และภูตผีต่างๆ เสมือนเป็นปราการป้องกันที่แน่นหนา

          เหนือสิ่งอื่นใด พวกไซคัสนำดาบแดนน้ำแข็งทั้งสองที่เคยเป็นอาวุธประจำกายของไอซ์ครีเอเทอร์ไปจองจำอยู่ในอุโมงค์ลึกลับ เพื่อใช้พลังอำนาจของพวกมันปกป้องอนุสาวรีย์  จองจำไว้แยกกัน ตราบใดที่ดาบฝาแฝดทั้งสองยังคงถูกจองจำอยู่เช่นเดิม ไม่ว่าใครก็ตาม จะไม่สามารถทำลายอนุสาวรีย์ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด

          ลือกันว่าเมื่อตอนที่อนุสาวรีย์เพิ่งถูกสร้างเสร็จใหม่ๆ มันส่งประจุสายฟ้าออกมาเล็กน้อย ส่งผลให้เกิดเมฆสีเข้มวนเวียนอยู่รอบยอดอนุสาวรีย์ ลินเลนธันดึงเมฆฝนทั้งหมดลงมาไว้ในขวดแก้วและเก็บมันไว้กับตัว บางคนเรียกสิ่งนี้ว่าเมฆฝนในขวดแก้ว

            สำหรับดินแดนครึ่งซีกแรกนี้ พวกไซคัสเรียกว่าดินแดนระฟ้า เป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ รายล้อมไปด้วยป่าไม้และภูเขาสูง 

            เมื่อดินแดนครึ่งซีกแรกเสร็จสมบูรณ์ พวกไซคัสก็หันไปปรับปรุงดินแดนอีกครึ่งซีกหนึ่ง  พวกเขาปรับปรุงดินแดนได้ทุกส่วน ยกเว้นส่วนเดียว อาณาจักรไอซ์เมส ที่ยังคงเป็นดินแดนน้ำแข็งหนาวเย็น ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย สร้างความวิตกแก่พวกไซคัสไม่น้อย นี่คงจะเป็นดินแดนต้องคำสาป

          เมื่อเป็นเช่นนั้น ลินเลนธันจึงถือโอกาสทดสอบงานวิจัยชิ้นเอกของตนและใช้ประโยชน์จากมันไปพร้อมๆ กัน ถึงเวลาแล้วที่เขาจะสานฝันให้เป็นจริง สร้างสรรค์เผ่าพันธุ์ใหม่ให้มีตัวตนขึ้น เผ่าพันธุ์ที่กำเนิดใหม่จะมีสี่เผ่าพันธุ์ พวกไซคัสสร้างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาสี่อาณาจักรเพื่อให้เผ่าพันธุ์ทั้งสี่ได้ใช้เป็นที่อาศัย อาณาจักรทั้งสี่ถูกสร้างล้อมอาณาจักรไอซ์เมสไว้ห่าง ๆ สี่ทิศสี่ทางเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจหลงเหลือ อาณาจักรเหล่านี้มีชื่อว่า อาณาจักรโมราโซมอส อาณาจักรแบร์ร็อค อาณาจักรกาโกคอล และอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล

            อาณาจักรโมราโซมอส เป็นดินแดนที่ราบสูง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของไอซ์เมส มีความอุดมสมบูรณ์และเหมาะแก่การก่อสร้าง พวกไซคัสจึงสร้างเผ่าพันธุ์ที่มีชื่อว่ามนุษย์ขึ้นมาดูแลอาณาจักรแห่งนี้ พวกมนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอายุราวร้อยปี มีความสามารถในการสร้างและการพัฒนาอย่างยิ่งราวกับรับลักษณะนิสัยจากพวกไซคัสโดยตรง เนื่องจากว่าพวกมนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความทะเยอทะยานมากกว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆ กระตือรือร้นที่จะพัฒนาอาณาจักรของตน อาณาจักรโมราโซมอสจึงเป็นอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดและมีอาณาเขตมากที่สุดในบรรดาสี่อาณาจักร รวมทั้งอาณาจักรไอซ์เมสอีกด้วย

            อาณาจักรแบร์ร็อค เป็นดินแดนที่ราบกึ่งทะเลทราย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของไอซ์เมส มีความแห้งแล้งบางพื้นที่ แต่ก็มีความอุดมสมบูรณ์อยู่มากเช่นกัน พวกไซคัสสร้างเผ่าพันธุ์ที่มีชื่อว่าโฮเซ่ ขึ้นมาดูแลอาณาจักรนี้ โฮเซ่เป็นเผ่าพันธุ์ตระกูลพืช อาจเรียกได้อีกอย่างว่าภูตตะบองเพชร ร่างกายจะเป็นสีน้ำตาลอ่อนคล้ายสีเปลือกไม้ มีเขาคล้ายหน่อพืชม้วนขดเป็นวงแทนตำแหน่งหู เรียกกันอีกอย่างว่าหน่อตะบองเพชร เพราะเขาคู่นี้จะใช้สำหรับสืบพันธุ์ โฮเซ่ทุกคนถือกำเนิดมาจากต้นตะบองเพชรที่มีชื่อว่าโฮเดเรีย จึงเป็นเหตุให้โฮเซ่ล้วนมีแต่เพศชาย การเจริญเติบโตของพวกโฮเซ่จะช้ากว่าพวกมนุษย์สองเท่า มีอายุขัยราวสองร้องปี เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีโครงร่างใหญ่บึกบึนและมีร่างกายที่อดทนต่อความร้อนความแห้งแล้ง

            อาณาจักรกาโกคอล เป็นป่าดงดิบที่มีความอุดมสมบูรณ์ยิ่ง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของไอซ์เมส พวกไซคัสได้สร้างเผ่าพันธุ์ชาวป่าผู้มีรูปลักษณ์งดงามขึ้นมาดูแล ชื่อว่าเผ่าพันธุ์ฟอเรสเทอร์ (Forester) ลักษณะเด่นคือทุกคนจะมีผมสีเข้มเงางาม มีผิวขาวนวลหมดจด เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่มีอายุขัยมากที่สุดในดวงดาว เฉลี่ยประมาณหนึ่งพันปี เนื่องจากพวกฟอเรสเทอร์อาศัยอยู่ในป่าดงดิบที่มีแสงสว่างผ่านได้น้อยมาก สายตาของพวกเขาจึงมองเห็นในที่มืดได้ดีกว่าที่สว่าง พวกเขามีความเข้าอกเข้าใจธรรมชาติ มีชีวิตสงบเรียบง่าย อ่อนโยนและเป็นมิตรกับผู้อื่น เป็นนักล่าสัตว์ที่เก่งกาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การยิงธนู

          อาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล เป็นดินแดนน้ำแข็งอีกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของไอซ์เมส ซึ่งแม้จะไม่หนาวเย็นเท่า แต่ก็ยังถือว่าเป็นอาณาจักรที่หนาวเย็นไม่น้อย พวกไซคัสสร้างเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีชื่อว่าดาร์คเนสดีวิล (Darkness Devil) ขึ้นมาดูแลอาณาจักรนี้ ทุกคนมีผมสีโลหะเงินเลื่อมเงา ผิวซีดขาวกว่าเผ่าพันธุ์ใด โครงร่างสูงโปร่ง ตาโตและมีรูม่านตาแคบ มีเลือดเป็นสีดำ เพศชายจะมีเขี้ยวงอกหากอยู่ในภาวะก้าวร้าว แม้อาณาจักรน้ำแข็งของพวกดาร์คเนสดีวิลจะขาดแคลนพื้นที่เพาะปลูกและแหล่งอาหาร แต่ก็อุดมไปด้วยแร่โลหะและอัญมณีมากมายมหาศาล ส่งผลให้พวกดาร์คเนสดีวิลมีความสามารถในด้านเหมือนแร่และเครื่องเหล็ก พวกเขาจะครอบครองทองคำและอัญมณีอันมีค่าจำนวนมหาศาล นิสัยของดาร์คเนสดีวิลคือหวงพื้นที่ เก็บตัวอยู่แต่ในถิ่น และไม่ชอบข้ามเขตไปวุ่นวายกับใคร พวกเขาจึงขึ้นชื่อในเรื่องการปกป้องพื้นที่และการสู้รบในรูปแบบตั้งรับ เฉลี่ยแล้วจะมีอายุขัยราวสี่ร้อยปี และมีการเจริญเติบโตช้ากว่าพวกมนุษย์ถึงสองเท่า เช่นเดียวกับพวกโฮเซ่

            เวลากลางวันและกลางคืนของดาวดวงนี้ถูกกำหนดโดยดาวฤกษ์สีทองที่มีนามว่าอิลิมิน่า ราชินีแห่งแสงสว่างที่ทุกคนเปรียบเปรยกัน เธอจะคอยส่องแสงมายังแอเรียน้องสาวดวงนี้ของเธอ เป็นความสว่าง เป็นพลังงานความร้อน เป็นผู้สร้างฤดูกาล             

          การสร้างดวงดาวอันสมบูรณ์แบบไร้ที่ตินี้ถือเป็นการประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของลินเลนธัน คราวนี้ก็เหลือเพียงแค่สังเกตติดตามผลอยู่ห่างๆ เหนื่อยยาก ลำบาก และสูญเสียมามากมาย ถึงเวลาที่จะถอยออกมาชื่นชมผลงานบ้าง

            แต่บางความสำเร็จนั้นช่างมีอายุที่แสนสั้น และมักหายไปก่อนที่เราจะทันได้หุบยิ้มด้วยซ้ำ

            แอสแทริน นักรบผู้เก่งกาจของลินเลนธันมีกิริยาที่เปลี่ยนไปหลังจากสิ้นสงครามมาระยะหนึ่ง เขาเก็บตัวเงียบไม่สุงสิงกับใคร คนที่สังเกตเห็นท่าทางของเขาก็คาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ บ้างก็ว่าสงครามส่งผลกระทบจิตใจเขา บ้างก็ว่าเขามีโรคซึมเศร้าแอบแฝง หรือบ้างก็ว่าเขากับลินเลนธันมีเรื่องบาดหมางกันอย่างหนัก ลินเลนธันได้กระทำบางอย่างซึ่งสร้างแผลบาดลึกแก่จิตใจของเขา ก่อให้เกิดความเคียดแค้นในใจที่ไม่มีวันจางหาย

            ไม่มีใครรู้ว่าทั้งคู่บาดหมางเรื่องอะไรกัน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกต่อไป ประเด็นสำคัญคือหลังจากที่แอสแทรินกำจัดราซานเซล เขาก็ได้รับพลังงานอันทรงพลังมาโดยไม่ตั้งใจ เมื่อรวมกับพลังที่เขามีอยู่ก็ยิ่งทำให้อำนาจของเขาเพิ่มขึ้นอีก มากกว่าทุกคน มากกว่าไซคัสคนใด มันมีมากพอๆ กับความอาฆาตของเขาที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เขาเคียดแค้นลินเลนธัน ปรารถนาจะทำลายทุกสิ่งที่ลินเลนธันสร้างขึ้น โดยเฉพาะงานสร้างชิ้นเอกที่ลินเลนธันให้ความสำคัญมากกว่าสิ่งใดในชีวิต เผ่าพันธุ์ใหม่ทั้งสี่นั่นเอง ความอาฆาตพยาบาทเป็นสิ่งที่น่ากลัว มันไม่ต่างจากเปลวไฟ เมื่อมันลุกติดขึ้นมาแล้ว มันก็จะลุกลามไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเผาผลาญทุกสิ่งหมดสิ้น

            ในคืนหนึ่งที่เงียบสงัด แอสแทรินแอบลอบเดินทางขึ้นไปยังดินแดนระฟ้าโดยใช้ทางลัดที่มีแต่เขากับลินเลนธันเท่านั้นที่รู้ เส้นทางนี้นำพาเขามาถึงอนุสาวรีย์แห่งดวงดาว ด้วยเหตุที่แอสแทรินเป็นคนช่วยลินเลนธันควบคุมการสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นมา จึงรู้จักวิธีใช้พลังงานอันมหาศาลของมันอย่างถูกต้อง และสิ่งแรกที่เขาเริ่มทำ ก็คือใช้พลังของตนดึงพลังจากอนุสาวรีย์สร้างสองนักรบที่เก่งกาจที่สุดเท่าที่ดาวดวงนี้เคยมีมา

          นักรบคนแรกชื่อเฮเวนล็อค เป็นผู้เชี่ยวชาญการประยุกต์ใช้พลังมืด นำพลังจากสิ่งต่าง ๆ มาสร้างประโยชน์แก่ตน ไม่ค่อยมีใครทราบประวัตินักเพราะเป็นคนลึกลับ

          นักรบคนที่สองชื่อมาร์กอลลอส ถูกสร้างจากเซลล์มังกรทุกชนิดในดาวดวงนี้ เป็นนักรบที่ทรงพลังที่สุดที่ดาวดวงนี้มีมา ความเก่งกาจของมาร์กอลลอสและความเป็นสายพันธุ์มังกรของเขาส่งผลให้เขาถูกขนานนามมากมาย แต่ที่โด่งดังมากที่สุดคือฉายา จอมพิชิต (The Conqueror)

          พลังที่ร้ายกาจที่สุดของมาร์กอลลอสจอมพิชิตคือสร้างกองทัพอันไร้เทียมทานที่ไม่มีผู้ใดสามารถต่อกร เป็นกองทัพทหารสายพันธุ์มังกร แข็งแกร่ง เก่งกาจ ทนทาน กล้าหาญ ไร้ความกลัว ไร้ความเจ็บปวด เพิ่มจำนวนได้เร็ว กองทัพนี้เรียกตัวเองว่าเฟลมฟอร์ส (Flame Force) กองทัพแห่งแสงสว่าง เหล่านักรบมังกรผู้ไร้เทียมทาน เสมือนเป็นเผ่าพันธุ์ใหม่อีกเผ่าพันธุ์หนึ่งก็ว่าได้ และเป็นเผ่าพันธุ์ที่เก่งที่สุดเสียด้วย ทุกคนล้วนเป็นทหารกล้า ขึ้นตรงต่อมาร์กอลลอสผู้เป็นจอมทัพสูงสุด ผู้ให้กำเนิดทหารมังกรทุกนาย

          ลินเลนธันอาจสร้างสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดขึ้นมา แต่ความมุ่งมั่นทำให้เขาตาบอด เลือกที่จะมองข้ามผลกระทบต่างๆ ที่เกิดจากผลงานของตน เดิมทีดาวดวงนี้มีมังกรอยู่มากมาย แต่การสร้างเผ่าพันธุ์ใหม่ทั้งสี่ของพวกไซคัสนั้นส่งผลให้ระบบวงจรชีวิตของมังกรกระทบกระเทือนอย่างหนัก ไม่ว่าจะพื้นที่หากิน พื้นที่วางไข่ การผสมข้ามสายพันธุ์ ตลอดจนปัญหาอื่นๆ อีกมากมายของมังกร ร้ายแรงถึงขั้นทำให้มังกรมีแนวโน้มจะสูญพันธุ์ พวกเฟลมฟอร์สในฐานะที่เป็นเผ่าพันธุ์มังกรย่อมทำทุกอย่างที่จะไม่ให้มังกรสูญพันธุ์ วิธีที่ดีที่สุดและเกิดผลมากที่สุด คือกำจัดสิ่งที่เบียดบังวงจรชีวิตของมังกรเสีย นั่นคือเผ่าพันธุ์ทั้งสี่ รวมทั้งผู้ที่สร้างเผ่าพันธุ์เหล่านี้ขึ้นมา พวกไซคัส

          พวกเฟลมฟอร์สไม่เหมือนพวกเอลิล พวกนี้เก่งกว่ามาก พวกไซคัสถึงกับสู้ไม่ไหวและถูกกวาดล้างไปในที่สุด ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ไม่เหลือแม้แต่ลินเลนธันผู้ซึ่งถูกมาร์กอลลอสสังหารตายในสภาพชิ้นส่วนร่างกายกระจัดกระจายไปทั่วแม่น้ำ ดินแดนใต้พิภพที่เดิมเป็นของพวกไซคัสถูกยึด กลายเป็นฐานทัพสร้างทหารและอุปกรณ์สงครามของพวกเฟลมฟอร์ส

          แอสแทรินอาจเป็นเสมือนผู้เริ่มต้นให้กำเนิดเฟลมฟอร์ส แต่หากเข้าใจว่าเขาสามารถควบคุมพวกเฟลมฟอร์สได้นั้นถือว่าเข้าใจผิดมหันต์ เขาก็ไม่ต่างจากลินเลนธันที่เดือดร้อนเพราะการสร้างอย่างไม่คำนึงถึงผลกระทบ พวกเฟลมฟอร์สรบเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์มังกร ไม่ได้เป็นเครื่องมือแก้แค้นให้แอสแทริน จึงทำให้แอสแทรินขัดแย้งถึงขั้นแตกหักกับมาร์กอลลอสจอมพิชิต และเขาก็ถูกมาร์กอลลอสสำเร็จโทษด้วยไฟ อนิจจา ผู้ที่จิตใจมีแต่ไฟแห่งความเคียดแค้นนั้น จะพบจุดจบด้วยการถูกมันเผาผลาญเสียเองเสมอ  

            และแล้ว เฟลมฟอร์สก็ดำเนินภารกิจสงครามที่เหลือให้เสร็จสิ้น ด้วยการยกทัพไปโจมตีเผ่าพันธุ์ทั้งสี่ที่พวกไซคัสสร้างขึ้น ซึ่งจากการประเมินของมาร์กอลลอส สรุปได้ว่าอาณาจักรที่มีความรุ่งเรืองมากที่สุดและดูจะเป็นภัยมากที่สุดในสี่อาณาจักรคืออาณาจักรโมราโซมอส อาณาจักรของพวกมนุษย์ เผ่าพันธุ์ที่มีความทะเยอทะยาน กระหายความยิ่งใหญ่ และมีความโลภมากกว่าเผ่าพันธุ์ใด ควรรีบกำจัดก่อนที่จะกำจัดยากกว่านี้

          แต่ในขณะเดียวกัน มาร์กอลลอสก็ยังได้อีกผลสรุปที่ไม่น่าเชื่อว่าอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล อาณาจักรของพวกดาร์คเนสดีวิล อาณาจักรที่เล็กที่สุดในดวงดาว กลับเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งและโจมตีให้แตกยากที่สุด เนื่องด้วยลักษณะภูมิประเทศเป็นป้อมปราการและความสามารถการรบในรูปแบบตั้งรับของพวกดาร์คเนสดีวิล แม้ว่าพวกดาร์คเนสดีวิลจะไม่เป็นปัญหานอกเขตอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลเพราะพวกปีศาจสันทัดเฉพาะรบอยู่ในเขตแดนของตน ไม่เก่งเรื่องรุกรานสร้างอาณาเขตเหมือนพวกมนุษย์ แต่หากไม่คอยยกทัพไปสร้างความเสียหายก็อาจทำให้พวกนั้นมีโอกาสพัฒนาความแข็งแกร่งจนกำราบยากขึ้น พวกเฟลมฟอร์สจึงเลือกกระหน่ำโจมตีอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลหนักกว่าเผ่าพันธุ์อื่น ให้อยู่ในสภาพเสียหาย ไม่ให้โงหัวออกมาจากอาณาจักรได้ เพื่อเฟลมฟอร์สจะได้ใช้พื้นที่รอบนอกที่ใกล้กับอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลในการสร้างเส้นทางไปโจมตีอาณาจักรอื่นๆ อย่างสะดวกมากขึ้น

          ทัพแล้วทัพเล่าถูกส่งไปโจมตีโฟรเซ็นทิเนลอย่างดุเดือด การบุกโจมตีนั้นยืดเยื้อกว่าที่คาดไว้เพราะพวกดาร์คเนสดีวิลปกป้องดินแดนได้อย่างเหนียวแน่นไม่น่าเชื่อ แต่เมื่อถูกบุกโจมตีด้วยเผ่าพันธุ์ที่รบเก่งที่สุดครั้งแล้วครั้งเล่า ความแข็งแกร่งของพวกปีศาจก็สุดจะทานทนได้ โฟรเซ็นทิเนลตกอยู่ในสภาพเสียหายจนไม่อาจรับศึกใดได้อีก พวกเฟลมฟอร์สทำงานสำเร็จไปหนึ่งขั้นและเตรียมบุกโจมตีอาณาจักรอื่นต่อไป เป้าหมายหลักคือโมราโซมอส

          แต่ใครจะไปคาดว่าพวกมนุษย์นั้นเจ้าเล่ห์และเหี้ยมโหดกว่าที่คิด พวกนั้นถือโอกาสยกทัพไปโจมตีอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลที่กำลังเสียหาย ล่าอาณานิคมสำหรับแรงงาน ทรัพยากร และจุดประสงค์หลักคือเพื่อเป็นหน้าด่านให้แก่อาณาจักรของตน เนื่องจากโฟรเซ็นทิเนลถูกพวกเฟลมฟอร์สโจมตีจนเสียหายหนักแล้ว การถูกบุกยึดจึงไม่ใช่เรื่องยากสักนิด พวกมนุษย์บังคับให้พวกดาร์คเนสดีวิลคอยส่งทองคำ อัญมณี และทรัพยากรต่าง ๆไปบรรณาการอาณาจักรของตน ใช้แรงงานพวกดาร์คเนสดีวิลในการสร้างป้อมและกำแพงในโมราโซมอสอย่างไม่ปราณีปราศรัย

          แต่ที่โหดร้ายที่สุดนั้น พวกมนุษย์ใช้อาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลเป็นกันชนป้องกันอาณาจักรโมราโซมอสจากการโจมตีของพวกเฟลมฟอร์ส พวกเฟลมฟอร์สเองก็ไม่มีทางเลือก เหตุการณ์นี้ทำให้แผนเดิมที่วางไว้ผิดระบบเสียหมด การที่โฟรเซ็นทิเนลตกเป็นอาณานิคมของโมราโซมอสส่งผลให้พวกเฟลมฟอร์สไม่สามารถใช้เส้นทางเดินทัพและสร้างจุดส่งกองทัพได้ตามแผน ทางเดียวที่ทำได้คือต้องโจมตีโฟรเซ็นทิเนลให้แตกและสร้างจุดส่งกองทัพที่นั่นแทน จึงจะส่งกำลังบุกโจมตีโมราโซมอสได้เต็มที่

          โฟรเซ็นทิเนลที่บอบช้ำจากศึกสงครามที่ผ่านมานั้นต้องทนรับศึกสงครามต่อไปไม่จบสิ้น ในฐานะอาณานิคมผู้ต่ำต้อยของอีกเผ่าพันธุ์ ดาร์คเนสดีวิลจำนวนมากมายต้องพลีชีพในสงคราม เมืองต่างๆ ในอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลก็ได้รับความเสียหายจนแทบพังพินาศ แต่ถึงอย่างไรโฟรเซ็นทิเนลก็ยังไม่ถึงจุดจบ ทั้งนี้เป็นเพราะพวกมนุษย์จะคอยส่งทัพใหญ่มาสนับสนุนหากว่าโฟรเซ็นทิเนลทำท่าจะแตกจริงๆ คอยพยุงไม่ให้ล้ม แต่ก็ให้ยืนเพียงเพื่อใช้รับคมดาบแทน สิ่งใดหนอที่ทำให้พวกปีศาจต้องเผชิญกับความโหดร้ายเช่นนี้ ถูกพิชิตกำจัดทิ้งไปเสียยังดีกว่าถูกใช้เป็นโล่ให้พวกมนุษย์ไม่จบไม่สิ้น สักวันโล่ร้าว ๆ ใบนี้คงต้องแตกเป็นเสี่ยง ๆ

            เฟลมฟอร์สไม่เพียงจะคอยโจมตีแต่โฟรเซ็นทิเนลเท่านั้น พวกเขายังส่งกองทัพไปโจมตีแบร์ร็อค กาโกคอล และโมราโซมอสในเส้นทางอื่นเท่าที่จะทำได้ ทั้งหมดยังพอต่อต้านได้เพราะไม่ได้ถูกกระหน่ำหนักเหมือนโฟรเซ็นทิเนล แต่แน่นอนว่าการต่อสู้กับพวกเฟลมฟอร์สย่อมเป็นงานที่หนักหนาและสูญเสีย สงครามนี้ยิ่งใหญ่และยืดเยื้อกว่าครั้งใด ดวงดาวแทบจะลุกเป็นไฟ จำนวนผู้ตายในสงครามแทบจะท่วมภูเขาได้ทั้งลูก

          ในที่สุด เฟลมฟอร์สก็เข้าใกล้ที่จะชนะสงคราม เผ่าพันธุ์ทั้งสี่กำลังจะถึงคราวชะตาขาด ดาร์คเนสดีวิลคือเผ่าพันธุ์แรก และอีกสามเผ่าพันธุ์จะตามไปในเวลาไม่นาน ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้ ไม่มีแม้แต่คนเดียว

             

และนั่น คือตอนที่ข้ามองเห็นประกายสายฟ้า และการเกิดขึ้นของความหวังใหม่

 

บันทึกโดย ผู้มองไกล

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา