พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.90K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บทที่ 1 เผ่าพันธุ์พินาศ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 1

เผ่าพันธุ์พินาศ

 

          “สหาย ข้าต้องการพบ ลอร์ดมืด (Dark Lord) ไพรม์ดีวอเชอร์

          “ท่านเซซิล ยินดีต้อนรับกลับโฟรเซ็นทิเนลครับ และขอแสดงความยินดีที่ท่านรอดชีวิตจากพวกเฟลมฟอร์สกลับมาได้”

          “ก็แค่ตายช้าลงเท่านั้นสหาย คืนนี้มาร์กอลลอสจอมพิชิตและกองทัพเฟลมฟอร์สจะเดินทัพมาถึงที่นี่ ส่งต่อคำสั่งข้าให้ทุกคนประจำการเพื่อเตรียมรับมือ กองกำลังของเราเหลืออยู่เท่าไร ส่งเข้าร่วมรบทั้งหมด”

          “คาดว่านักรบดาร์คเนสดีวิลทุกคนเตรียมพร้อมแล้วครับ เราทุกคนทราบชะตากรรมของเผ่าพันธุ์แล้ว”

          “คืนสุดท้าย กับการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของดาร์คเนสดีวิล เรากำลังจะเป็นอีกเผ่าพันธุ์ที่ถูกกวาดล้าง แต่เราก็ดิ้นรนเท่าที่จะทำได้แล้ว ยิ้มให้กับความตายกันเถอะสหาย”

          “ท่านลอร์ดมืดกำลังสอนศิษย์น้อยแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม อยู่แถวๆ หลุมพลังมืดครับ หากท่านต้องการพบเขา ก็ควรไปพบเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยครับ เขาควรทราบเรื่องการเคลื่อนพลของพวกเฟลมฟอร์สจากการรายงานของท่าน”

          “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

                เมื่อพูดจบ ชายร่างสูง ใบหน้าซูบตอบ ผิวขาวซีด ผมสีโลหะเงินยาวเหยียดตรงถึงหลังผู้มีนามว่าเซซิล ก็ล่องลอยผ่านพื้นหิมะอันหนาวเย็น ผ่านกองทัพนักรบดาร์คเนสดีวิลจำนวนมาก และผ่านเหล่านักรบผู้บาดเจ็บอีกหลายคน ต้องเรียกว่าล่องลอยไปจริงๆ เพราะเท้าของเขาลอยอยู่เหนือพื้นราวครึ่งฟุต มันจะกลับไปยืนบนพื้นตอนที่เขาหยุดเคลื่อนที่เท่านั้น ดูเหมือนว่าร่างกายช่วงล่างของเขาจะแข็งทื่อขยับไม่ได้ เซซิลสวมเสื้อคลุมสีดำที่ทำด้วยแผ่นโลหะหนาๆ มาร้อยต่อกัน  มันยาวลงไปจนถึงข้อเท้า  ทุกครั้งที่เขาลอยตัวจะมีแสงสีขาวสว่างออกจากรองเท้าโลหะของเขาคล้ายกับมีการเผาไหม้ มันตัดกับเครื่องแต่งกายของเขาที่ล้วนแต่เป็นสีดำสนิททุกชิ้น

                รอบๆ ตัวเซซิลมีทั้งกองกำลังนักรบในชุดเกราะดำ ป้อมปราการ และกำแพง สถานที่แห่งนี้คือฐานทัพสงครามขนาดใหญ่ ดูจากนักรบจำนวนมากที่อยู่รอบๆ แล้วพอเดาได้ว่าเป็นนักรบที่อพยพมาจากฐานทัพอื่นเสียครึ่งหนึ่ง แต่ละคนหยุดยืนตรงและทำแขนกากบาทที่กลางหน้าอกเมื่อเขาลอยผ่าน เขาทำตอบกลับ เป็นการแสดงการทักทายด้วยความเคารพระหว่างดาร์คเนสดีวิลด้วยกัน บางคนก็เอ่ยว่า “เราคือกำแพง” ขณะที่ทำ ประโยคนี้แพร่หลายในหมู่นักรบดาร์คเนสดีวิล เสมือนเป็นประโยคศักดิ์สิทธิ์ พวกเขามักจะพูดประโยคนี้ยามต่อสู้ในศึกสงคราม หรือยามที่ทำแขนสัญลักษณ์กากบาททักทายกัน มันสร้างกำลังใจให้พวกเขา ให้พวกเขาได้รู้สึกว่าพวกตนแข็งแกร่งดุจกำแพง

          เขาลอยผ่านเกวียนที่มีเด็กหนุ่มวัยราวสิบหกสิบเจ็ดนั่งก้มหน้าอยู่ เป็นเด็กหนุ่มที่ร่างเล็กกว่าเกณฑ์มาตรฐานดาร์คเนสดีวิลเพศชายทั่วไป หน้าแหลมเหมือนสุนัขจิ้งจอก ดวงตาสีเขียวอมทุกข์ ผมสีเงินสั้นแค่ติ่งหูดูยุ่งสกปรก

                “มาซูลใช่ไหม” เซซิลทักทาย

                เด็กหนุ่มเงยหน้ามามอง แล้วก้มหน้าต่อ

                “อะไรทำให้เป็นทุกข์ขนาดนั้นล่ะ” เซซิลลอยเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม

                “ท่านน่าจะรู้ดีกว่าใครนะ” เด็กหนุ่มมาซูลพึมพำเสียงแหบ ไม่มองหน้าเซซิล “คืนนี้เราจะตายกันหมด”

                “แล้วไง” เซซิลเลิกคิ้ว “หากทำสงครามกับพวกเฟลมฟอร์ส ไม่คืนนี้ก็ต้องมีสักคืนล่ะ”

                “คงจะดีถ้าข้ากล้าหาญและมองโลกในแง่ดีได้สักครึ่งหนึ่งของท่าน” มาซูลกระซิบอย่างหดหู่ “ข้ามันขี้ขลาด ไร้ความสามารถ มากกว่าดาร์คเนสดีวิลคนใดในฐานทัพนี้ ข้าไม่ต่างจากจิ้งจอกหิมะตามที่ทุกคนเรียกกัน”

                “ฟังนะสโนว์ฟ็อกซ์ (Snow Fox)” เซซิลอมยิ้ม ตบบ่าเด็กหนุ่ม “หากวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเจ้า เจ้าก็ควรทำให้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่มีความหมาย ให้รู้สึกว่าได้ทำอะไรที่อยากทำสักครั้งในชีวิตบ้าง ซึ่งข้าเชื่อว่ามันไม่ใช่การมานั่งเศร้าอยู่แบบนี้แน่นอน”

                “ข้าไม่อยากสู้กับพวกเฟลมฟอร์ส ท่านเซซิล ข้าไม่อยากเผชิญหน้ากับพวกเฟลมฟอร์ส” มาซูลส่ายหน้า “ข้ามันด้อยความสามารถ คงจะถูกพวกนั้นฆ่าง่ายๆ ข้าไม่อยากแสดงความไร้ฝีมือของตนต่อหน้านักรบเป็นพันๆ ทั้งฝ่ายเดียวกันและฝ่ายตรงข้าม มันน่าอับอาย”

                “เชื่อข้าเถอะว่าไม่มีใครสนใจจะสังเกตความน่าอายของเจ้าหรอก เมื่อถูกดาบของอีกฝ่ายจ่อคออยู่” เซซิลกล่าว “ดาร์คเนสดีวิลไม่เคยบังคับให้ใครรบ เราไม่ใช่พวกมนุษย์ ฉะนั้นหากเจ้าไม่อยากรบก็เป็นสิทธิ์ของเจ้า ข้าขอรับรอง เจ้ามีสิทธิ์ที่จะหนีไปโดยไม่ถูกใครโกรธเคือง”

                “หนีไปไหนล่ะ มีที่ไหนให้ข้าไป”

                “ข้าเองก็ไม่รู้ เพราะยังไม่เคยคิดหนี แต่ถ้าเจ้าเลือกที่จะหนี ข้าก็หวังว่าเจ้าจะพบที่ไปที่ดีและปลอดภัย ยังไงก็ดูแลตัวเองด้วยล่ะ หัดยิ้มบ้าง อย่างน้อยวันนี้ข้าก็ดีใจที่ได้ทำให้เจ้าพูดได้มากกว่าปกตินะ เพราะปกติเจ้าจะเงียบกว่าคนใบ้เสียอีก”

                เขายิ้มและตบบ่าหนุ่มน้อยมาซูล แล้วลอยต่อไป มาซูลกลับไปนั่งก้มหน้าเหมือนเดิม

                เซซิลลอยมาถึงพื้นที่โล่งแห่งหนึ่งในฐานทัพ ซึ่งบริเวณนี้โปร่งโล่งไม่มีสิ่งใดเลย นอกจากหลุมน้ำแข็งที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณห้าเมตร และลึกจนไม่อาจคาดคะเนได้ มันมีเปลวไฟสีดำพวยพุ่งออกมาอยู่ตลอดเวลา

                ณ ปากหลุมอีกฝั่งหนึ่ง ชายร่างสูงสวมเสื้อคลุมแผ่นโลหะแบบเดียวกับเซซิล กำลังยืนคุยกับเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ สวมผ้าคลุมสีดำ ชายคนนี้เหมือนกับเซซิลตรงที่เคลื่อนที่ด้วยการลอยและขยับร่างกายท่อนล่างไม่ได้ แต่ไม่เหมือนตรงที่สวมหมวกเกราะสีดำคลุมศีรษะและใบหน้าอย่างมิดชิด มือที่โผล่ออกมาจากสนับแขนก็ทำด้วยโลหะสีดำ

          “อาจารย์คงบอกเจ้าเกี่ยวกับหลุมโบราณหลุมนี้แล้วใช่ไหมโซลิแทร์ ถ้าจำไม่ผิดนะ” ชายลึกลับคนนั้นพูดกับเด็กน้อยอย่างมีเมตตา

          “อาจารย์บอกข้าแล้วครับ” เด็กน้อยตอบ มองอีกฝ่ายด้วยดวงตาสีน้ำเงินดวงโต “อาจารย์บอกว่าว่าหลุมนี้คือหลุมพลังมืดที่แสนจะอันตรายใช่ไหมครับ”

          “มันอันตรายแน่นอนหากตกลงไป พลังมืดที่เห็นอยู่นี้ก็มีอานุภาพการทำลายล้างสูงมาก อาจสูงที่สุดที่อาจารย์เคยเห็นมาทีเดียว” ชายคนนั้นตอบ “อยากรู้ไหมว่าหลุมนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร”

          “ก็ตอนนั้นอาจารย์บอกว่า ข้ายังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจได้นี่ครับ” เด็กน้อยโซลิแทร์พูด“อาจารย์ยังบอกอีกว่า โตขึ้นแล้วท่านจะบอก”

          “ตอนนี้เจ้าอายุสิบสี่ปีแล้ว” ชายคนนั้นพูด “อาจารย์คิดว่าเจ้าน่าจะเข้าใจได้อีกหลายสิ่งแล้วล่ะ”

                ต้องไม่ลืมว่าดาร์คเนสดีวิลทุกคนจะมีการเจริญเติบโตช้ากว่ามนุษย์ถึงสองเท่า ดังนั้นโซลิแทร์จึงอยู่ในวัยเพียงเจ็ดขวบเท่านั้น

          “หลุมนี้” ชายคนนั้นเล่าประวัติ “เกิดจากการลุกเป็นไฟของแร่ไนเฟดู ซึ่งเป็นแร่ใต้ผิวดินที่มีอานุภาพเชื้อเพลิงสูงมาก”

          “ทำไมแร่ไนเฟดูที่อยู่ใต้ดินถึงลุกไหม้ได้ล่ะครับ” โซลิแทร์ถามอย่างสงสัย

          “นานมาแล้ว” อาจารย์ผู้ลึกลับเริ่มเล่า “เฮเวนล็อค--”

          “เฮเวนล็อค” โซลิแทร์ขัดขึ้นอย่างลืมตัว “คนที่ฆ่าพ่อของข้าหรือครับ”

          “ใช่ คนที่ตายไปพร้อมๆ กับพ่อเจ้าน่ะ” ชายคนนั้นตอบ “ครั้งหนึ่งเขาเคยยกทัพมาที่นี่ และใช้พลังมืดเพื่อจะสังหารพวกเรา แต่มันพลาดเป้าไปถูกพื้นที่บริเวณนี้ ซึ่งมีแร่ไนเฟดูอยู่ข้างใต้ จึงเกิดการระเบิดขึ้นเป็นหลุมที่เปี่ยมไปด้วยพลังมืดตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้”

          “หลุมถูกเฮเวนล็อคสร้างขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้นหรือครับ” โซลิแทร์พูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ข้าไม่รู้มาก่อนเลย รู้แต่ว่ามังกรทั้งตัวตกลงไปคงไม่เหลือซาก”

          “เอาล่ะ จบเรื่องหลุมไปก่อน ตอนนี้เจ้าก็หายเหนื่อยแล้ว ลองฝึกใช้อำนาจพิเศษอีกครั้งสิลูกชาย ลองอีกครั้ง อาจารย์ว่าครั้งนี้เจ้าจะทำได้ดีกว่าครั้งที่แล้ว”

          “ข้าว่าไม่หรอกครับอาจารย์ไพรม์ดีวอเชอร์ ข้ายังไม่พร้อม หรืออาจไร้ความสามารถจนทำไม่ได้” โซลิแทร์น้อยพูดเศร้าๆ มองมือที่สวมถุงมือสีดำของตนเอง

          “ข้ามั่นใจว่าเจ้าไม่ได้ไร้ความสามารถแน่นอน เอาหัวที่ถูกครอบด้วยเหล็กของข้าเป็นประกันเลย” ไพรม์ดีวอเชอร์เคาะหมวกเกราะตัวเอง “แน่นอน ตอนนี้เจ้าอายุยังน้อย แต่ก็ใช่ว่าเจ้าจะไม่พร้อมที่จะใช้มัน เพราะอำนาจพิเศษที่เจ้าได้รับมา มันก็เสมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเจ้า เหมือนแขน เหมือนขา เหมือนมือ เจ้าเคยลำบากกับการใช้แขนใช้ขาใช้มือไหมศิษย์รัก”

          “ไม่เคยครับ”

          “ฉะนั้นก็คิดว่าไอ้เมฆก้อนนี้เป็นเหมือนแขนขามือด้วย ไว้วางใจมันหน่อย ยอมรับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเจ้า แล้วเจ้าจะใช้มันง่ายขึ้น ไม่ต่างจากอวัยวะอื่นๆ เลยทีเดียว”

          เด็กน้อยโซลิแทร์หลับตาตั้งสมาธิ กางแขนสองข้างหงายมือขึ้น เซซิลยืนมองอยู่ข้างหลัง มีบางสิ่งที่คล้ายไอน้ำโปร่งใส่พวยพุ่งออกจากมือที่ปกคลุมด้วยถุงมือของเด็กชาย ลอยขึ้นไปบนฟ้า แล้วก่อตัวเป็นเมฆสีเข้มแผ่ปกคลุมท้องฟ้าทั่วบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว เด็กน้อยหายใจถี่ขึ้น ลืมตาสีน้ำเงินขึ้นมา เหมือนมันจะเรืองแสงท่ามกลางความมืดของเงาเมฆ สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าใช้พลังงานและสมาธิกับการเอาเมฆออกมาจากมือไปมาก เขาลดมือลง หอบหายใจ กระพริบตาปริบๆ

          “คราวนี้ ลองทำให้ฟ้าผ่าลงมา โซลิแทร์” ไพรม์ดีวอเชอร์บอก “ผ่ามาตรงไหนก็ได้ ตั้งสมาธิที่จุดที่เจ้าจะผ่า แล้วผ่าลงมาเลย ไม่ต้องกลัว แถวนี้ไม่มีอะไรให้ระวังความเสียหาย”

          แต่โซลิแทร์ไม่ได้กังวลเรื่องนั้นหรอก ฟ้าจะผ่าลงมาตรงไหนไม่ใช่ปัญหา ปัญหาจริงๆ ก็คือจะทำให้มันผ่าลงมายังไงต่างหาก เขาพยายามรวบรวมสมาธิ พละกำลังถูกดูดออกไป เหนื่อยจนหูอื้อ ต้องหายใจทางปาก เมฆที่อยู่เหนือหัวก็ไม่มีวี่แววจะส่งสายฟ้าลงมาเลย

          แล้วเขาก็ก้มหน้าลง หลับตาหอบหายใจ แขนตกลู่ลงข้างลำตัว เมฆฝนบนท้องฟ้าหายวับ เปลี่ยนสภาพเป็นไอน้ำใสถูกดูดกลับเข้าไปในมือของเขา ผ่านถุงมือเข้าไปอย่างรวดเร็ว ไพรม์ดีวอเชอร์เข้าไปประคองลูกศิษย์ กลัวจะยืนไม่ไหว แต่โซลิแทร์ก็ยกมือขึ้นขณะหอบหายใจ เป็นการบอกว่ายังไหว

          “ข้าพยายามแล้วครับอาจารย์ แต่มันก็ไม่เกิดผลคืบหน้าอะไรเลย”

          “นี่ อาจารย์จะบอกความลับให้” ไพรม์ดีวอเชอร์จับบ่าเด็กน้อย ก้มหน้ามากระซิบ “มีไม่กี่คนในดาวดวงนี้หรอก ที่จะมีเหตุการณ์บังเอิญให้ได้รับอำนาจพิเศษ ซึ่งพวกเขาก็ต้องใช้เวลาและความพยายามในการรวมมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย บางคนก็ใช้เวลาไม่นานและใช้ความพยายามไม่มาก เพราะอำนาจพิเศษของเขาไม่ได้มีพลังมากนัก ใช้ประโยชน์ได้ไม่กว้างขวาง แต่อำนาจพิเศษของเจ้านั้น อาจารย์เชื่อว่ามีพลังมากและควบคุมยากกว่าคนอื่นๆ ที่อาจารย์เคยเห็นมา ฉะนั้น เจ้าทำได้ขนาดนี้ตอนอายุเท่านี้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จน่าพอใจแล้ว จะบอกว่าทำได้ดีกว่าคนอื่นก็ว่าได้ เพราะอะไรเจ้าถึงทำได้ดีกว่าคนอื่นรู้ไหม”

          “ทำไมหรือครับ”

          “ก็เพราะเจ้ามีความพยายามมากกว่าคนอื่นน่ะสิ นี่คือสิ่งที่อาจารย์ภูมิใจ เจ้าจะทุ่มเทหมดกายหมดใจเพื่อไขว่คว้าความฝันของตนเสมอ” ไพรม์ดีวอเชอร์จับใบหน้าลูกศิษย์ “บางคนอาจเกิดมาเพื่อยิ่งใหญ่ บางคนคือผู้ที่ถูกเลือก เกิดมาเพื่อเป็นพระเอกเป็นวีรบุรุษ เหมือนในนิยายแทบทุกเรื่อง แต่โลกของปีศาจเรามันไม่ใช่อย่างนั้น ปีศาจไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ดวงดี ถ้าผู้กำหนดโชคชะตามีจริงก็คงไม่ถูกกับเรานัก เราล้วนแต่เป็นคนธรรมดา เป็นตัวประกอบในนิยาย แต่เราก็สามารถยิ่งใหญ่ได้ โดยเริ่มจากการเป็นคนธรรมดาที่ทุ่มเทเพื่อความฝัน เราผงาดขึ้นสูง ไม่ใช่เพราะอะไรกำหนดมา แต่เรากำหนดชะตาตัวเองด้วยความพยายาม หยาดเหงื่อ แรงกายแรงใจ ศรัทธาในความสามารถของตน นี่คือความพิเศษที่แท้จริง จำไว้โซลิแทร์ ในเมื่อไม่มีโชคชะตาไม่มีคำทำนายใดๆ กำหนดว่าเราคือคนพิเศษหรือคนที่ถูกเลือก ช่างหัวมัน เราเก่งพอที่จะเลือกตัวเองได้ จำให้ขึ้นใจ เราคือแอ็กนอสทิคส์ (Agnostics = ผู้ไม่ศรัทธาในพระเจ้าหรือสิ่งปาฏิหาริย์) ผู้ศรัทธาในสิ่งเดียว คือพลังของพวกเราเอง”

          “หมายความว่า ข้าคือเด็กธรรมดาคนหนึ่งใช่ไหมครับ” โซลิแทร์พูดอย่างดีใจ “อำนาจพิเศษที่ข้าได้รับมา ไม่ได้ทำให้ข้ามีความพิเศษแตกต่างจากคนทั่วไปใช่ไหมครับ”

          “ถูกต้องที่สุด ตอนนี้เจ้าคือเด็กธรรมดาที่สุด ไม่ได้พิเศษเลิศเลออะไรตั้งแต่เกิด อำนาจพิเศษที่ได้รับมาโดยบังเอิญก็ไม่ได้ทำให้เจ้าพิเศษอะไรกว่าคนอื่น เพราะมีอีกหลายคนในดาวดวงนี้ที่ได้รับอำนาจพิเศษเหมือนกัน” ไพรม์ดีวอเชอร์ยืนยัน “แต่อาจารย์มั่นใจว่าในอนาคตเจ้าจะกลายเป็นคนที่พิเศษที่สุด หากเจ้าไม่ลดละความพยายามความมุ่งมั่น และตั้งใจที่จะพัฒนาตนเองไปในทิศทางที่เจ้าต้องการ อาจารย์รับรองได้เจ้าลูกชาย หยาดเหงื่อของเจ้า ความเหน็ดเหนื่อยของเจ้า การยึดมั่นศรัทธาในพลังของเจ้า มันจะทำให้เจ้าพิเศษกว่าผู้ถูกเลือกคนใดในนิยายทั้งปวง”

          เด็กน้อยยิ้มอย่างมีความหวัง ไพรม์ดีวอเชอร์ยื่นหน้าที่สวมหมวกเกราะเข้าไปใกล้อีกเล็กน้อย แม้จะไม่เห็นหน้าเขา แต่โซลิแทร์เดาได้ว่าเขากำลังยิ้ม

          “ความลับอีกเรื่องหนึ่งนะเด็กน้อย” เขากระซิบ “แม้ในดาวดวงนี้ เจ้าจะเป็นแค่เด็กธรรมดา แต่สำหรับอาจารย์ เจ้าคือเด็กที่พิเศษที่สุด ไม่มีเด็กคนใดมาเปรียบเทียบได้”

          แล้วเขาก็ดึงโซลิแทร์เข้าไปกอดเหมือนพ่อกอดลูก โซลิแทร์หลับตายิ้มอย่างมีความสุข

          “ประทานโทษครับ” เสียงของเซซิลเอ่ยขึ้นจากด้านหลังเป็นเชิงอนุญาตสอดแทรก เขาทำแขนกากบาทที่กลางอก แสดงความเคารพไพรม์ดีวอเชอร์

          “ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ! เซซิล” ไพรม์ดีวอเชอร์ร้องออกมาอย่างดีใจ ลอยเข้าไปสวมกอดอีกฝ่าย “อย่างน้อยก็มีข่าวดีสักเรื่อง เจ้ารอดชีวิตกลับมาที่นี่ได้”

          “ก็แค่ยืดเวลาตายไปเล็กน้อยครับ” เซซิลพูด แล้วหันไปยิ้มให้โซลิแทร์ เด็กน้อยยิ้มตอบ“เมื่อสักครู่ข้าเห็นเจ้าใช้อำนาจพิเศษด้วยโซลิแทร์ เมฆฝนที่เจ้าได้รับมาโดยบังเอิญน่ะ”

          “มันไม่ได้เรื่องใช่ไหมครับ” โซลิแทร์หยุดยิ้ม “อาจารย์ไพรม์ดีวอเชอร์บอกว่า หากข้าเข้าใจมัน เชื่อมั่นมัน และรวมมันเป็นส่วนหนึ่งของตัวข้าได้ ข้าจะสามารถควบคุมเมฆฝนก้อนนี้ได้ตามที่ใจต้องการ ทำให้มันหลั่งน้ำฝนที่ไม่จับตัวเป็นน้ำแข็งเวลาถูกอากาศเย็น ทำให้มันเกิดฟ้าผ่า หรือแม้กระทั่งดัดแปลงมันให้มีความพิเศษมากกว่านั้น ฟังดูเหลือเชื่อเกินจริง ทำไมอาจารย์ไพรม์ดีวอเชอร์ถึงแน่นักใจล่ะครับว่าข้าจะสามารถทำได้”

          “เขาย่อมแน่ใจ และข้าก็แน่ใจด้วย” เซซิลยืนยัน “อำนาจพิเศษที่ว่านี้ เจ้าได้รับมาโดยบังเอิญก็จริง แต่มันกลับเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับเจ้าอย่างยิ่ง ราวกับถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเจ้าเลย ข้าเดาออกว่าลึกๆ แล้ว เจ้าชอบมัน ซึ่งอะไรก็ตามที่เราชอบ เราจะคุ้นเคยกับมันอย่างแนบแน่น และใช้มันทำสิ่งต่างๆ ได้ดี เจ้าว่าจริงไหม”

          “ว่าแต่ข้าได้รับมันมายังไงหรือครับ เจ้าเมฆก้อนนี้”

          “ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะรู้” ไพรม์ดีวอเชอร์กล่าว “เวลานี้เจ้าอาจทำความเข้าใจกับสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น แต่เจ้ายังไม่พร้อมที่จะเข้าใจสิ่งนี้ โซลิแทร์ศิษย์รัก”

                แม้โซลิแทร์จะมีอายุเพียงสิบสี่ปี วัยเพียงเจ็ดขวบ แต่เขาก็ฉลาดเพียงพอที่จะไม่ซักไซ้หาคำตอบที่อีกฝ่ายไม่มีวันบอก อย่างน้อยก็ไม่ใช่วันนี้ ลมกรรโชกพัดมาอย่างแรงทำให้ฮู้ดคลุมศีรษะของเขาถูกพัดเปิดออก ผมสีทองคำเจิดจ้าเป็นประกายยาวปรกบ่า ผมข้างหน้าปรกหน้าผากบางส่วน ดวงตาโตสีน้ำเงินระยิบระยับของเขานั้นรับกันได้กับคิ้วสีเข้มเรียวคม ช่างเป็นเด็กผู้ชายที่มีดวงตางดงาม ในยามที่มีเงามืดบดบังตา ดูเหมือนว่ามันจะเรืองแสงสีน้ำเงินออกมาด้วย

          “อาจารย์ครับ” โซลิแทร์หันไปมองเท้าที่ลอยอยู่ของไพรม์ดีวอเชอร์” เมื่อข้าโตขึ้น ข้าจะเป็นดีวอเชอร์แบบท่านเซซิลหรือแบบอาจารย์ใช่ไหมครับ”

          “เป็นดีวอเชอร์น่ะหรือ มันสำหรับคนพิการ คนปกติเขาไม่เป็นกันแน่นอน” ไพรม์ดีวอเชอร์หัวเราะ “โซลิแทร์พ่อหนุ่มน้อย อาจารย์รู้ว่าเจ้าไม่ชอบที่จะเคลื่อนไหวด้วยการลอยไปลอยมาร่างกายท่อนล่างแข็งทื่อขยับเขยื้อนไม่ได้แน่นอน เจ้าไม่ได้พิการอะไร เจ้าไม่ต้องเป็นดีวอเชอร์ เราทุกคนรู้ดีว่าเจ้าคงอยากใช้ขาให้ได้มากที่สุด”

                โซลิแทร์ยกมือขึ้นมาดึงฮู้ดกลับมาคลุมหัวตนเองดังเดิม มือทั้งสองถูกปกคลุมอย่างมิดชิดด้วยถุงมือสีดำ ดูเหมือนจะทำด้วยหนัง มันเป็นถุงมือที่เขาสวมมันตลอดเวลา ไม่ว่าจะนอน อาบน้ำ หรือเขียนหนังสือ สวมเพื่ออะไรก็ไม่มีใครรู้

          “ท่านลอร์ด” เซซิลพูดเสียงเป็นการเป็นงาน “ท่านคงพอทราบใช่ไหมครับ ว่าการที่ข้ากับกองกำลังที่เหลือถอยกลับมายังเมืองหลวงโฟรเซ็นทิเนลแห่งนี้ มันหมายถึงอะไร”

          “เมืองอื่นๆ ทุกเมืองถูกโจมตีแตกหมดแล้วใช่ไหม” ไพรม์ดีวอเชอร์ถาม น้ำเสียงของเขาฟังดูหดหู่และเศร้าสร้อย “ข้ารู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้”

          “ไม่เหลือแม้แต่เมืองเดียว” เซซิลพยักหน้า “บางเมืองก็ได้รับความเสียหายหนัก เมืองฟรอสท์ดีวิลส์แทบจะกลายเป็นซากหักพัง เมืองฟรอสท์ฟลายก็เสียหายจนไม่เหลือแม้แต่เค้าโครงเดิม เมืองอื่นๆ ก็ไม่มีที่สำหรับดาร์คเนสดีวิลแล้ว ตอนนี้ปีศาจเราทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ที่โฟรเซ็นทิเนล เมืองหลวงที่เรากำลังยืนอยู่นี้ เป็นสถานที่ปักหลักสุดท้าย เราเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่ขวางกั้นผู้หญิงและเด็กๆ จากข้าศึก พวกเขากำลังหลบอยู่ในที่หลบภัยของเมืองนี้”

          “เฟลมฟอร์สอาจเด็ดขาดเหี้ยมโหด แต่ก็มีเกียรตินักรบ” ไพรม์ดีวอเชอร์บอก “พวกนั้นไม่ทำร้ายผู้หญิงและเด็ก หากอีกฝ่ายไม่จับอาวุธสู้หรือทำตัวเป็นอันตราย”

          “แต่เมื่อเราตายกันหมด ก็ไม่มีใครดูแลผู้หญิงและเด็กๆ อยู่ดี” เซซิลพูด “แม้พวกเฟลมฟอร์สไม่ฆ่าพวกเขา พวกเขาก็ยังไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้”

          “ข้าศึกจะเคลื่อนพลมาถึงที่นี่คืนนี้ใช่ไหม” ไพรม์ดีวอเชอร์ถาม

          “ท่านคาดคะเนถูกต้อง” เซซิลตอบ

          “มีวี่แววว่าพวกมนุษย์จะเปลี่ยนใจส่งกองทัพมาช่วยเราหรือเปล่า” ไพรม์ดีวอเชอร์ถามต่อ แต่ไม่ได้หวังจะได้คำตอบที่อยากได้ยินเลย

          “ไม่มีครับท่านลอร์ด แน่นอนว่าพวกมันไม่เปลี่ยนใจ ก่อนหน้านี้พวกมันบอกว่า หากมาร์กอลลอสนำทัพมาโจมตีโฟรเซ็นทิเนลด้วยตนเอง ต่อให้เทพเจ้าก็หยุดการพิชิตของเขาไม่ได้ ส่งกองทัพมาช่วยก็คงไม่มีประโยชน์อันใด พวกมนุษย์ยอมเสียอาณานิคมหน้าด่านเพื่อรักษากำลังพลไว้รับมือกับพวกเฟลมฟอร์สในศึกครั้งต่อๆ ไป ถึงอย่างไรพวกมันก็คงไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจากอาณานิคมที่มีสภาพใกล้เคียงกับซากอาณานิคมอีกแล้ว” เซซิลพูดเสียงเย็น “พวกมนุษย์กลัวจอมพิชิตกันหัวหด จนไม่สนใจจะซ่อมแซมโล่แตกๆ พังๆ อย่างพวกเราอีกต่อไป”

                ไพรม์ดีวอเชอร์ถอนหายใจอย่างสมเพชดวงชะตา

          “ก็สมควรกลัวอยู่ ไม่มีใครหรอกที่ไม่กลัวจอมพิชิต ในเมื่อเขาเก่งที่สุดในดาวดวงนี้” เขาเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะระบายความในใจออกมาเสียงเบา “และพวกมนุษย์ก็เลวทรามได้เสมอต้นเสมอปลาย ข้าสาปแช่งพวกมันตั้งแต่ข้าเริ่มเกิดมาหายใจ จนถึงวินาทีที่พวกเฟลมฟอร์สจะหยุดลมหายใจของข้าในคืนนี้”

          “ข้าไม่อยากให้อาจารย์ตายครับ” โซลิแทร์เด็กน้อยพูดอย่างไร้เดียงสา

          ไพรม์ดีวอเชอร์ใช้มือที่เป็นเหล็กตบแก้มโซลิแทร์เบาๆ อย่างเอ็นดู

          “ข้าไม่เคยมีลูก แต่เขาคือคนที่ข้ารักเหมือนลูกแท้ๆ” เขากระซิบ เสียงนั้นเบาลงไปอีกเพราะพูดผ่านหมวกเกราะที่ปิดมิดชิด “เซซิล สัญญานะ หากคืนนี้เกิดอะไรขึ้นกับข้า ซึ่งเกิดแน่ ข้าอยากให้เจ้ารับช่วงต่อ สอนเขาอย่างที่เจ้าต้องการ ชี้นำเขาอย่างที่เจ้าเห็นสมควร ให้อิสระในการคิดของเขาอย่างที่เจ้าให้กับตัวเอง เจ้าเคยเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดที่ข้าเคยพบมาเซซิล ฉลาดกว่าข้าเสียด้วย ข้าไม่มีอะไรจะต้องห่วงในตัวเจ้าและเขาแม้แต่น้อย”

          “คืนนี้ นอกจากอาจมีอะไรเกิดขึ้นกับท่านแล้ว มันก็เป็นไปได้สูงว่าอาจมีอะไรเกิดขึ้นกับข้าและโซลิแทร์ด้วย” เซซิลว่า “แต่หากว่าเราสองคนมีชีวิตรอด ซึ่งข้าก็มองไม่เห็นว่าเพราะอะไร ข้าสัญญาว่าจะทำตามที่ท่านขอครับ โซลิแทร์ไม่ได้มีความหมายเฉพาะกับท่าน เขามีความหมายกับข้าด้วย ข้าเองก็หวังลึกๆ ว่าจะมีโอกาสได้ทำอย่างที่ท่านขอสักครั้ง แม้ไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร”

          “ข้าจะไม่บังคับให้เจ้าพาเขาหนีไปหรอก” ไพรม์ดีวอเชอร์พูด “ข้ารู้ว่าทั้งเจ้าและเขาต่างก็อยากต่อสู้เคียงข้างพวกพ้องจนวินาทีสุดท้าย การมีชีวิตอยู่โดยปราศจากพวกเดียวกัน มันช่างเป็นชีวิตที่ไร้ค่า ไร้ความหมาย ไร้ความสุข ครั้งนี้ข้าต้องการให้พวกเจ้ามีทางเลือกตามที่ใจปรารถนา และภาวนาว่าผลของการเลือกนั้น มันจะเป็นอย่างที่พวกเจ้าต้องการ”

                “อาจารย์ครับ ข้าขออยู่กับพวกท่านที่นี่” หนูน้อยโซลิแทร์พูดเสียงเศร้า แต่หนักแน่น “ข้าสัญญาว่าจะไม่เป็นตัวถ่วงพวกท่าน แต่ได้โปรด ให้ข้าหนีข้าไม่มีที่ไป ถิ่นของข้าคือที่นี่ คนที่ข้ารักก็อยู่ที่นี่ ถ้าข้าไม่มีสองสิ่งนี้ ข้าก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม”

                “ลูกชาย” ไพรม์ดีวอเชอร์ลูบผมเด็กชายอย่างรักใคร่ “ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่หรือหนีไป อาจารย์ก็ภูมิใจในตัวเจ้าเสมอ ชีวิตเป็นของเจ้า ขอให้เจ้าเลือกสิ่งที่คิดว่ามีความหมายกับชีวิตมากที่สุด”

                “สิ่งที่มีความหมายกับชีวิตข้าทั้งหมด อยู่ที่นี่ครับ” เด็กน้อยยืนยัน

                “เด็กน้อยที่น่าสงสาร เขามีข้าเป็นพ่อคนที่สอง” ไพรม์ดีวอเชอร์โอบโซลิแทร์ด้วยแขนขวา “เขาไม่เคยรู้จักพ่อแม่ที่แท้จริงของตนเองเลย ตายกันหมดตอนที่เขายังอายุแค่สามปี จำความอะไรแทบไม่ได้ จำหน้าพ่อแม่ไม่ได้”  

          “ข้าไม่อยากให้เขาตาย แต่ก็มองไม่เห็นทางออก” เซซิลเสียงเบาลงไปอีก “ท่านลอร์ดไพรม์ดีวอเชอร์ มีสักทางไหมครับ ที่พวกเฟลมฟอร์สจะละเว้นเขา”

          “ถ้าเป็นเด็กคนอื่นอาจมีทาง แต่เด็กคนนี้พวกเฟลมฟอร์สเองก็คงไม่มีทางเลือก” ไพรม์ดีวอเชอร์ตอบ “เพราะเด็กคนนี้รักเราเซซิล รักมากกว่าที่เด็กคนใดจะรักได้ เด็กคนนี้จะจับดาบปกป้องเราสุดชีวิต เขาขอเลือกตายเคียงข้างพวกเรา ดีกว่ามีชีวิตโดยปราศจากพวกเรา ซึ่งจอมพิชิตประกาศชัดเจนแล้ว ว่าให้เด็กและสตรีฝ่ายศัตรูทุกคนวางอาวุธ เพราะเขาไม่ขอละเว้นสิ่งใดก็ตามที่อาจเป็นอันตรายต่อทหารของเขาได้”

          “เป็นเพราะพวกมนุษย์” เซซิลกัดฟันอย่างเกลียดชัง “พวกมันใช้เราเป็นหน้าด่าน ทำให้เราตกอยู่ในสภาพแบบนี้”

          “เป็นเพราะบรรพบุรุษของโซลิแทร์ด้วย ที่ไปหลงกลพวกมนุษย์” ไพรม์ดีวอเชอร์กระซิบไม่ให้โซลิแทร์ได้ยิน “แต่มันไม่สำคัญแล้วตอนนี้ เราทุกคนกำลังจะตาย”

                เซซิลถอนหายใจอย่างหดหู่ ไพรม์ดีวอเชอร์ก้มตัวลงไปหาโซลิแทร์ จับบ่าทั้งสองข้างของเด็กชาย

          “โซลิแทร์” เขาพูดเสียงอ่อนโยนผ่านหมวกเกราะ “เจ้าคงอยากเดินเล่นบนดินแดนหิมะของเราเป็นครั้งสุดท้าย ปล่อยใจไปตามจินตนาการอย่างที่เจ้าชอบทำ พื้นที่ดินแดนของปีศาจเปรียบเสมือนคนรักของปีศาจทุกคน สัมผัสความอ่อนโยนจากเธอเป็นครั้งสุดท้าย รักเธอ อย่างที่เจ้ารักตลอดมา”  

          “ครับอาจารย์ ท่านเซซิล” เด็กน้อยทำแขนกากบาทที่กลางอก “เราคือกำแพง”

          “เราคือกำแพง” ไพรม์ดีวอเชอร์และเซซิลทำตอบกลับพร้อมกัน

                เมื่อโซลิแทร์เดินจากไป เซซิลก็หันไปพูดกับไพรม์ดีวอเชอร์

          “หลังจากที่เผ่าพันธุ์ของเราถูกกำจัด พวกเฟลมฟอร์สจะใช้อาณาจักรแห่งนี้เป็นฐานทัพย่อยสำหรับพักกองทัพและประกอบอุปกรณ์สงคราม” เขากล่าว “ที่นี่จะกลายเป็นตำแหน่งยุทธศาสตร์อันเหมาะสม เฟลมฟอร์สจะเดินทัพไปโจมตีอาณาจักรอื่นสะดวกขึ้นเร็วขึ้น”

          “ได้แต่หวังว่าพวกมนุษย์จะเป็นรายต่อไปที่ถูกกวาดล้าง” ไพรม์ดีวอเชอร์พูดอย่างเกลียดชัง “เราคงจะได้เป็นเผ่าพันธุ์สุดท้ายที่ถูกกวาดล้างแล้ว หากไม่ใช่เพราะพวกมัน และเพราะความเขลาของเซ็นเทอริอัส แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม เขาไว้ใจพวกมันได้อย่างไร มองไม่ออกได้อย่างไรว่าถูกพวกมันหลอกใช้”

          “นั่นก็คงสุดรู้ได้ เพราะเราสองคนเกิดไม่ทัน ผ่านมากี่ยุคแล้วก็ไม่รู้” เซซิลพูด “การพลาดท่าเขาไม่ได้ส่งผลเสียต่อดาร์คเนสดีวิลด้วยกันเท่านั้น ยังส่งผลเสียต่อพวกเฟลมฟอร์สที่ต้องปรับเปลี่ยนแผนศึกใหม่หมด จอมพิชิตจึงมีอคติกับพวกแบล็กโฟรเซ็นสตอร์มที่มักจะสร้างปัญหาให้เฟลมฟอร์ส ทั้งที่ตนเองก็ต้องรับผลร้ายจากปัญหานั่นด้วย เรียกง่ายๆ ว่าโง่ไม่ถูกที่ถูกเวลา”   

          “อย่างน้อยมันก็เป็นอดีตไปแล้ว” ไพรม์ดีวอเชอร์บอก “ข้าดีใจที่ระบอบสังคมนิยมอันเท่าเทียมของเรานั้นช่วยให้เราไม่ยึดติดกับวงศ์ตระกูล วีรกรรมและชื่อเสียงเป็นเรื่องของบุคคลคนเดียว ไม่มีการเทิดทูนตระกูลไหนหรือมีอคติกับตระกูลไหน ไม่ต้องรักษาชื่อเสียงวงศ์ตระกูล และไม่ต้องกู้หน้าให้วงศ์ตระกูล โซลิแทร์น้อยจึงไม่ต้องแบกรับความกดดัน ไม่ว่าจะด้านบวกหรือด้านลบ”

          “เขาเกิดมาในฐานะเด็กตัวเปล่า ไม่มีชาติกำเนิดที่ดีและไม่มีมลทินใดๆ ติดตัวมา” เซซิลพูด “เหมือนที่ข้ากับท่านเคยเป็น”

          “เขาอาจเป็นเด็กธรรมดาที่สุดคนหนึ่งในดาวดวงนี้” ไพรม์ดีวอเชอร์ถอนใจอยู่หลังหมวกเกราะ “แต่เขาคือเด็กที่พิเศษที่สุดในดาวดวงนี้สำหรับข้า”

                โซลิแทร์เดินย่ำไปบนพื้นหิมะหนาๆ  เดินผ่านมาซูลที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม มาซูลหันมามองเขา เขาจึงส่งยิ้มให้ แต่มาซูลก็ไม่ยิ้มตอบ แค่ก้มหน้าจมอยู่กับความหดหู่ต่อไป โซลิแทร์ก้าวเดินต่ออย่างใจลอย เซซิลพูดถูก เขาไม่เคยรู้จักพ่อแม่ของตนเลย ไพรม์ดีวอเชอร์บอกเขาอยู่บ่อยๆ ว่าเขาเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาดีมาก เพราะได้รับส่วนดีๆ มาจากพ่อแม่ที่หน้าตาดีเช่นกัน แต่สำหรับผมของเขา เขาสงสัยว่าได้มันมาได้อย่างไร มันไม่ใช่ผมสีเงินโลหะอย่างดาร์คเนสดีวิล พ่อของเขาก็มีผมสีเงินโลหะ ไม่ใช่ผมหยักศกสีทองคำสว่างเจิดจ้าเช่นเขา โซลิแทร์เคยเฝ้าถามไพรม์ดีวอเชอร์ว่าเขาได้ผมมาจากแม่อย่างนั้นหรือ ซึ่งคำตอบก็คือ

          “ไม่ใช่อย่างแน่นอน” ไพรม์ดีวอเชอร์ตอบ “แม่ของเจ้าเป็นฟอเรสเทอร์ เธอมีนัยน์ตาสีน้ำตาลและมีผมน้ำตาลดำยาวถึงบั้นเอว”

          “งั้นข้าได้ผมมาจากไหนล่ะครับ” โซลิแทร์ยังคงซักต่อ

          “ได้มาพร้อมกับอำนาจพิเศษเกี่ยวกับเมฆฝนที่เจ้าได้รับโดยบังเอิญน่ะ” ไพรม์ดีวอเชอร์ตอบ “เดิมแล้วเจ้ามีผมสีเงินเหมือนพ่อเจ้าและดวงตาของเจ้าก็ไม่ได้เรืองแสงในที่มืด”

          “แล้วข้าได้อำนาจพิเศษมายังไงครับอาจารย์” เด็กน้อยถาม

          “อาจารย์เสียใจ ยังไม่อาจบอกเจ้าตอนนี้ได้ เนื้อหามันค่อนข้างรุนแรง” ไพรม์ดีวอเชอร์พูด “ให้วุฒิภาวะของเจ้าโตพอที่จะรับเรื่องนี้ได้เสียก่อน แล้วข้าหรือใครสักคนก็คงจะเล่าให้เจ้าฟัง แต่สัญญานะ เมื่อเจ้ารู้ความจริงแล้ว เจ้าจะต้องเก็บเป็นความลับ ห้ามบอกใครที่เจ้าไม่ไว้ใจจริงๆ” เขาเน้นเสียงอย่างให้ความสำคัญ “เจ้าต้องเข้าใจนะโซลิแทร์ มันสำคัญมาก สำคัญเกินกว่าที่เจ้าจะรู้ได้ตอนนี้ และเมื่อใดก็ตามที่เจ้ารู้ความจริงแล้ว จำคำอาจารย์ไว้ มันสำคัญมาก”

                ไพรม์ดีวอเชอร์ผู้ลึกลับ อะไรๆ ก็เป็นความลับไปเสียหมด ว่ากันว่าเขาเป็นผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลที่ลึกลับที่สุด ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าใต้หมวกเกราะของเขาเลย แม้แต่ดาร์คเนสดีวิลด้วยกันเองหรือลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดก็ยังคิดว่าเขาลึกลับ อดีตของเขาเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบได้ เหตุใดร่างกายหลายส่วนของเขาจึงทำด้วยเหล็ก ที่สำคัญคือไพรม์ดีวอเชอร์เป็นเพียงชื่อที่ทุกคนเรียกเขาเท่านั้น จริงๆ แล้วเขาชื่ออะไรกันแน่

          โซลิแทร์มัวแต่ใจลอยจนพบว่าตนเองเดินเลยออกมาจากฐานทัพเสียไกลโพ้น จนมองเห็นกำแพงฐานทัพอยู่ไกลๆ เขาทำท่าจะเดินกลับ

          “โอ๊ย!”

                 เสียงนี้ทำให้เขาสะดุ้งสุดตัว มันดังมาจากด้านหลังของเขา มันเป็นเสียงของเด็กผู้หญิง เขารีบหันกลับไปดู

                เด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งกุมต้นขาตัวเองที่มีเลือดไหล เธอนั่งอยู่ข้างๆ ผลึกน้ำแข็งที่แหลมคม คงถูกน้ำแข็งบาดเมื่อกี้นี้ เป็นเด็กหญิงที่มีผิวขาวสะอาด ผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนเกือบเป็นสีทอง ยาวถึงเอว ตาสีน้ำตาล สวมชุดกระโปรงที่มีขนสัตว์กันหนาว มองแวบเดียวก็รู้ว่าเธอเป็น

“มนุษย์” โซลิแทร์โพล่งออกมาอย่างลืมตัว

                เด็กหญิงจ้องมองโซลิแทร์อย่างไม่ไว้ใจ เธอน่าจะแก่กว่าเขาสักหนึ่งปี ท่าทางเธอบอกให้รู้ว่าไม่เคยเห็นพวกดาร์คเนสดีวิลมาก่อน เช่นเดียวกับเขาที่ไม่เคยเห็นพวกมนุษย์มาก่อน ทั้งสองจ้องมองกันด้วยความหวาดระแวงอยู่สักพัก ในที่สุด เด็กหญิงก็เป็นคนเริ่มเอ่ยปากขึ้น

          “เจ้าเป็นใคร” เธอถามหวาดๆ

                คำว่าเจ้าเป็นใคร ควรจะเป็นเขามากกว่าที่เป็นคนเริ่มถาม โซลิแทร์นึก

          “ข้าชื่อโซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” เด็กชายตอบ

          “โซลิแทร์หรือ เป็นชื่อที่ฟังดูโดดเดี่ยวจังเลย” เด็กหญิงทำท่าคิด ชื่อของโซลิแทร์ (Zolytair) ออกเสียงคล้ายคำว่าโดดเดี่ยว (Solitary)

          “คงเป็นเพราะข้ามีชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมาตลอด แล้วข้าก็มีนิสัยชอบความสันโดษ” โซลิแทร์ทำท่าคิดเหมือนกัน “แล้วท่านล่ะ ชื่ออะไรหรือ”

          “ซอร์โรร่า ไอวิวรี่” เด็กหญิงตอบ

          “ถ้าข้าเดาไม่ผิดน่าจะมาจากคำว่าเศร้าสร้อย (Sorrow) รวมกับคำว่าแสงสว่างยามเช้า (Aurora) ชื่อของท่านคงหมายความว่าแสงสว่างยามรุ่งเช้าที่เศร้าสร้อย” โซลิแทร์วิเคราะห์เป็นเรื่องเป็นราว “มันเหมาะกับท่านดีนะ ท่านมีผมสีน้ำตาลทอง ตาสีน้ำตาล แล้วก็ผิวสีขาวสว่าง เหมือนกับว่าท่านเปล่งแสง แต่เป็นแสงที่อ่อนโยนไม่สว่างไสวมาก”

          “ดูเจ้าพูดสิ เป็นหลักการยืดยาว ไม่ตลกตัวเองบ้างหรือ” ซอร์โรร่า ไอวิวรี่หัวเราะคิกคัก “นี่เจ้าอ่อนวัยกว่าข้าอีกนะ พูดจาซับซ้อนเป็นผู้ใหญ่ไปได้”

          “ขอโทษที จริงๆ แล้วข้าก็สติไม่ค่อยดีเท่าไหร่ บางทีก็มีวิธีการพูดการจาแปลกๆ แล้วยังมีปัญหาเรื่องความจำอีกด้วย ข้าขี้ลืมที่สุดเลย”

          “แต่ก็ถูกของเจ้า ข้าคิดว่าพ่อข้าตั้งชื่อข้าตามความหมายอย่างที่เจ้าว่า” ซอร์โรร่าพยักหน้า “แต่มันเขียนไม่เหมือนกันหรอกนะ” (ชื่อของซอร์โรร่า = Zurrora)

          “ท่านมาทำอะไรที่นี่ซอร์โรร่า ไอวิวรี่” โซลิแทร์กึ่งถามกึ่งเตือน “มันอันตรายนะ คืนนี้พวกเฟลมฟอร์สจะยกทัพมาที่นี่ ศึกสงครามกำลังจะเกิด”

          “แล้วเจ้าล่ะ” ซอร์โรร่าย้อน “ทำไมเจ้าถึงยังอยู่ที่นี่ ทั้งๆ ที่มันอันตราย”

          “ข้าหนีไปไหนไม่ได้ ข้าไม่มีที่ไป” โซลิแทร์พูดเสียงเบา “ถึงหนีได้ข้าก็จะไม่หนี ที่นี่คือที่ของข้า พวกพ้องของข้าอยู่ที่นี่ คนที่รักข้าทั้งหมดก็อยู่ที่นี่ ข้าทิ้งพวกเขาไม่ได้ ทิ้งพื้นที่ของตนไม่ได้”

          “เหมือนในนิทานไม่มีผิด” ซอร์โรร่าปรบมือชอบใจ “ปีศาจมีนิสัยอยู่ติดพื้นที่ เพราะจะมีฤทธิ์มากที่สุดตอนอยู่ในพื้นที่ของตน หากออกนอกเขตจะสิ้นฤทธิ์ทันที”

          “มันก็จริงของท่าน” โซลิแทร์เห็นด้วย “ในพื้นที่ของเรา เราคุ้นเคย เรามีพวกพ้องคอยช่วยเหลือ แต่หากออกไปนอกพื้นที่ เราจะงงงวยกันเป็นบ้า”

          “แล้วทำไมเดินออกมาไกลคนเดียว” ซอร์โรร่ามองไปรอบๆ “ครอบครัวเจ้าไปไหนล่ะ”

          “ตายหมดแล้ว”

          “ในสนามรบอีกล่ะสิ” ซอร์โรร่าพูดอย่างเบื่อหน่าย “พ่อของเจ้าเป็นนักรบใช่ไหม”

          “จะว่าอย่างนั้นก็ใช่ เขาเคยเป็นผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนล” โซลิแทร์พยักหน้า “ตอนนี้เขาตายแล้ว อาจารย์ของข้าจึงรับตำแหน่งแทน อาจารย์บอกว่าเป็นตำแหน่งที่ดาร์คเนสดีวิลแทบทุกคนอยากจะกระโดดหนีไปให้พ้นจริงๆ ไม่มีใครอยากเป็นผู้นำเลย”

          “ทำไมล่ะ” ซอร์โรร่าข้องใจ “พวกมนุษย์เรานี้ต่างก็อยากเป็นใหญ่ที่สุดในโมราโซมอสทั้งนั้น ทำไมพวกดาร์คเนสดีวิลถึงไม่อยากเป็นใหญ่ล่ะ”

          “เป็นใหญ่ตรงไหน ถูกกดขี่จากพวกมนุษย์ในฐานะผู้ดูแลอาณานิคม และถูกพวกเฟลมฟอร์สสังหารตาย” โซลิแทร์จำคำที่ไพรม์ดีวอเชอร์เคยบ่นให้ได้ยินมาพูด “เราไม่คิดว่าตำแหน่งผู้นำสูงสุดเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจหรอก มันเป็นตำแหน่งที่ต้องรับอาวุธและความลำบากแทนประชาชน ผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลที่ผ่านมาแต่ละคนจึงไม่มีใครแก่ตายสักคน”

          “แปลกนะ ผู้นำสูงสุดของมนุษย์ไม่เห็นจะรับอาวุธและความลำบากแทนประชาชนเลย ประชาชนจะเป็นฝ่ายรับอาวุธและความลำบากแทนเขามากกว่า” ซอร์โรร่าทำตาโต “ว่าแต่พวกดาร์คเนสดีวิลมีการแก่ด้วยหรือ ข้าจำได้จากนิทานที่พ่อข้าอ่านให้ฟังว่าพวกเจ้าไม่มีวันแก่นี่”

          “ไม่มีการแก่หรอก” โซลิแทร์พยักหน้าหงึกๆ รู้สึกว่าเด็กผู้หญิงมนุษย์คนนี้รู้เรื่องปีศาจมากจริงๆ “แต่พอครบสี่ร้อยปีพวกเราก็จะตายไปเฉยๆ โดยไม่แก่ แม้เราจะเรียกติดปากว่าเป็นการแก่ตายก็ตาม ถ้าจะให้ท่านเข้าใจ ข้าคงต้องอธิบายเกี่ยวกับการหยุดเจริญเติบโตของเผ่าพันธุ์ข้ายาวเลยล่ะ”

          “รู้ไหม” ซอร์โรร่ามองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา “ตอนแรก ข้าคิดว่าเจ้าเป็นเด็กผู้หญิงเสียอีก”

          “ทำไมท่านคิดอย่างนั้นล่ะ” โซลิแทร์ยกมือที่สวมถุงมือกุมขมับทั้งสองข้างอย่างรู้สึกไม่ดี

          “เจ้าหน้าสวยอย่างกับผู้หญิง ตาหวานซึ้งเชียว หน้าเหมือนตุ๊กตาผู้หญิงที่ข้าเคยเล่นเลย” ซอร์โรร่าเอียงคอมองซื่อๆ “สวยกว่าข้าเสียอีก ข้าว่า”

          “ไม่จริง ข้าไม่คิดว่าข้าหรือใครจะสวยไปกว่าท่านได้” โซลิแทร์ยืนยัน

          “จริงหรือ” ซอร์โรร่าจับหน้าตัวเองด้วยความปลาบปลื้ม

          “นี่ ข้าไม่ใช่เด็กผู้หญิงนะ” โซลิแทร์ย้ำอย่างเป็นกังวล น้ำเสียงอ้อนวอนเล็กน้อย “จริงๆ นะ ข้าไม่ใช่ แล้วข้าก็ไม่คิดว่าตัวเองดูเหมือนตุ๊กตาของท่านด้วย”  

                เลือดที่ต้นขาของซอร์โรร่ายังไม่หยุดไหล แผลคงลึกพอสมควร แต่ดูเธอจะไม่ค่อยรู้สึกถึงมันเท่าไหร่ ราวกับความตื่นเต้นที่ได้พูดคุยกับเพื่อนใหม่ต่างเผ่าพันธุ์นั้นดึงดูดความสนใจเธอไปหมด

          “ให้ข้าช่วยท่านเถอะนะ” โซลิแทร์เสนอตัว

                เขาชักดาบเล่มกะทัดรัดออกมาจากเข็มขัด ใช้มันตัดชายผ้าคลุมของตนออกมาเป็นแนวยาว ถือเศษผ้าเดินเข้าไปหาซอร์โรร่า และคุกเข่าลงใกล้ๆ กับขาของเธอ

          “เอามือออกก่อนนะ” เขาพูดอย่างหวังดี “ข้าจะห้ามเลือดให้ท่าน”

                เขาพันเศษผ้ารอบต้นขาของเธออย่างเบามือ ผูกปมเล็กๆ อย่างนุ่มนวล แล้วจึงเงยหน้าขึ้นไปหาเธอ หวังว่าจะได้คำชมสักเล็กน้อย พบว่าเธอยิ้มให้เขาอย่างเอ็นดู ราวกับเขาเป็นตุ๊กตาน่ารักตัวโปรดของเธอ

                “เจ้ายังเด็กอยู่ แต่พันแผลได้เก่งมาก ไปเรียนปฐมพยาบาลมาจากไหนหรือ ปีศาจน้อย” เธอถามด้วยรอยยิ้ม

                “อาณาจักรข้าเกิดสงครามตลอด เด็กรุ่นเดียวกับข้าก็ปฐมพยาบาลและใช้ดาบเป็นกันทั้งนั้น” โซลิแทร์อธิบาย “ท่านไปโดนอะไรมาหรือ”

          “แท่งน้ำแข็งพวกนั้นน่ะสิ” ซอร์โรร่าชี้มือไปที่ผลึกน้ำแข็งอย่างเข็ดขยาด “ตอนแรกข้าเห็นเจ้าเดินมาทางนี้ ข้าก็เลยรีบไปหลบอยู่หลังผลึกน้ำแข็งตรงนั้น พอข้าขยับตัวนิดเดียว มันก็บาดเข้าที่ขาของข้าอย่างจัง”

          “ยังดีที่น้ำแข็งแถวนี้สะอาด อากาศหนาวเกินกว่าที่เชื้อโรคหลายชนิดจะมีชีวิตอยู่ได้” โซลิแทร์กระชับปมผ้าพันแผลอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าแน่นแล้ว “ท่านไม่ต้องล้างแผลหรอก”

                ซอร์โรร่าพยายามจะยืนขึ้น แต่โซเซเล็กน้อย แอปเปิลลูกหนึ่งหล่นจากถุงย่ามกลิ้งไปบนพื้นหิมะ โซลิแทร์รีบช่วยพยุงตัวเธอ มืออีกข้างหนึ่งคว้าแอปเปิลขึ้นมา

                “ขอบใจนะ” เธอยิ้มให้

                “นี่ของท่าน” โซลิแทร์ส่งแอปเปิลคืน สายตาจ้องมันราวกับถูกมันดูดความสนใจ

                “ทำอย่างกับไม่เคยเห็นแอปเปิล” ซอร์โรร่าหัวเราะคิกคัก

                “เคยเห็นแต่ในรูปวาด ไม่เคยเห็นของจริง” เขาตอบซื่อๆ ตามประสาเด็ก “ท่านก็ดูสิ เป็นหิมะเป็นน้ำแข็งแบบนี้ จะปลูกอะไรได้ พืชที่ขึ้นในพื้นที่แบบนี้ส่วนใหญ่ก็กินไม่ได้”

                “แต่ไอ้ที่อยู่ในมือเจ้ากินได้” เด็กหญิงยิ้มร่า “กินสิ”

                “อร่อยจัง” โซลิแทร์กัดแอปเปิล ดูประทับใจมาก “ดินแดนข้าน่าจะมีพืชอย่างนี้เยอะๆ บ้าง”

                “ดินแดนของข้ามีเยอะแยะเลยล่ะ มีหลายสายพันธุ์ด้วย” ซอร์โรร่ามองโซลิแทร์กินอย่างเอ็นดู “ข้าก็ชอบแอปเปิลเหมือนกัน ดีใจที่เจ้าชอบด้วย”

                “ท่านตัวสูงจังเลย” โซลิแทร์มองอีกฝ่ายตั้งแต่เท้าขึ้นไปถึงหัว “สูงกว่าข้าเสียอีก”

                “ในวัยนี้เด็กผู้หญิงก็สูงกว่าเด็กผู้ชายทั้งนั้นแหละ” ซอร์โรร่าพูด “แต่อีกไม่นานเจ้าก็คงจะสูงกว่าข้า ยิ่งเจ้าเป็นดาร์คเนสดีวิลด้วย เผ่าพันธุ์นี้ผู้ชายจะตัวสูงมาก”  

                “แล้วเมื่อไหร่ข้าจะสูงกว่าท่านล่ะ”

          “ข้าจะไปรู้หรือ” เธอจ้องหน้าเขา “เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วล่ะโซลิแทร์”

          “สิบสี่ปี แล้วท่านล่ะ”

          “ข้าก็สิบสี่ปี”

          “เดี๋ยวก่อนสิ ถ้าท่านอายุสิบสี่ปีจริง ท่านก็ควรจะโตกว่านี้สักสองเท่าไม่ใช่หรือ ท่านเป็นมนุษย์นะ ทำไมท่านถึงดูแก่กว่าข้าแค่ปีเดียวเอง” โซลิแทร์สงสัย

                เธอค่อยๆ เดินไปรอบๆ เพื่อทดสอบดูว่าขายังใช้การได้ดีอยู่หรือเปล่า ซึ่งปรากฏว่าทุกอย่างปกติได้ เธอหันมายิ้มให้เขา แล้วเริ่มเล่าว่า

          “เมื่อหกปีก่อน ข้าบังเอิญไปดื่มยาที่มีชื่อว่ายาหยุดอายุโดยไม่ได้ตั้งใจ มันมีเลือดของพวกฟอเรสเทอร์และพวกโฮเซ่เป็นส่วนผสม พ่อของข้าบอกว่าข้าจะหยุดเจริญเติบโตไปสักสิบห้าปี แล้วจึงกลับมาเติบโตได้เหมือนเก่า ตอนนี้ข้าเหลือเวลาอีกแปดปีที่จะอยู่ในสภาพอย่างนี้ หลังจากนั้นข้าก็จะเติบโตได้เหมือนกับมนุษย์ปกติ”

          “ยาพรรค์พิลึกแบบนี้ก็มีด้วย” โซลิแทร์พึมพำ

          “แล้วเจ้าล่ะ เผลอไปดื่มอะไรตอนเด็กๆ มาหรือ” ซอร์โรร่าถามกลับ

          “ข้าหรือ เท่าที่จำได้ข้าดื่มแต่น้ำเปล่า นมบ้างในบางโอกาส แล้วก็หิมะที่ข้าเคยให้มันตกลงมาใส่ปากเล่น” โซลิแทร์พูดอย่างสับสน “ข้าหมายถึง ข้าไม่ได้ดื่มอะไรประหลาดๆ เลยนะ”

          “ถ้าอย่างนั้น ทำไมสีผมกับดวงตาของเจ้าถึงไม่เหมือนกับดาร์คเนสดีวิลทั่วไปเลยล่ะ” ซอร์โรร่าลดเสียงลงราวกับเป็นเรื่องสำคัญมาก “หรือถ้าพูดให้ถูก มันไม่เหมือนใครในดาวดวงนี้เลยด้วยซ้ำ ดูผมของเจ้าสิ ไม่ใช่สีบลอนด์ มันเข้มกว่าสีบลอนด์และเจิดจ้ากว่า จะเรียกว่าสีน้ำตาลทองแบบข้าก็ไม่ใช่ มันสีทองจริงๆ แทบจะสะท้อนแสงพอๆ กับโลหะ ส่วนดวงตาของเจ้าก็เหมือนจะเรืองแสงออกมาในที่มืด ข้ายืนอยู่ตรงนี้ยังมองเห็นเงาสะท้อนตัวเองจากดวงตาเจ้าชัดเจนเลย ยิ่งรูม่านตาเจ้าแคบๆ อย่างนี้ยิ่งเห็นชัด แน่ล่ะ ตาของดาร์คเนสดีวิลทุกคนจะต้องมีลูกตาโตและมีรูม่านตาแคบ สวยดีด้วยข้าชอบ มันทำให้เห็นสีตาของพวกเจ้าชัดขึ้น แต่เท่าที่ข้ารู้มา ไม่มีตาของดาร์คเนสดีวิลคนไหนที่เรืองแสงได้เหมือนเจ้าเลย หรือว่าข้าอ่านหนังสือผิดเล่ม”

          “ไม่ผิดหรอก ข้าคนเดียวเท่านั้นที่มีตาเรืองแสง” เด็กชายสารภาพ “เป็นเพราะอำนาจพิเศษที่ข้าได้มาตอนเด็กๆ น่ะ ท่านรู้แล้วอย่าบอกใครเชียวนะ อาจารย์ได้ฆ่าข้าแน่ถ้ารู้ว่าข้าเอาความลับนี้มาบอกมนุษย์ แต่ท่านบอกความลับเรื่องยาหยุดอายุ ข้าก็จะบอกเรื่องนี้กับท่าน แต่อย่าถามรายละเอียดมากมายเพราะข้าแทบไม่รู้อะไรเลย พ่อข้าเองก็คงไม่รู้ว่าข้ามีอำนาจพิเศษอยู่ในมือ ก็เขาตายไปตั้งแต่ตอนข้าอายุเพียงสามขวบกว่าๆ แม่ของข้าก็เช่นกัน”

                ซอร์โรร่าหันซ้ายหันขวาและปัดหิมะออกจากตัว โซลิแทร์กัดกินแอปเปิลให้เหลือแกนเล็กที่สุด แทบจะกินแกนเข้าไปด้วยซ้ำ

                “เจ้าบอกว่า พ่อของเจ้าคือผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลคนก่อนหรือ” ซอร์โรร่าถาม

                “ใช่”

                “ถ้าอย่างนั้น เขาก็เคยเป็นเพื่อนกับพ่อของข้าล่ะ เพราะพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า เคยเป็นเพื่อนกับลอร์ดมืดแห่งโฟรเซ็นทิเนลคนก่อนหน้านี้”

          “พ่อของท่านหรือ” โซลิแทร์ถามอย่างสนใจ “เขาเป็นใครกัน”

          “เขาจะต้องดีใจที่ได้พบเจ้าแน่ๆ” ซอร์โรร่ารีบพูดอย่างตื่นเต้น “มาเถอะ เดี๋ยวข้าพาไป”

          เด็กหญิงทำท่าจะเริ่มนำทางโซลิแทร์ไปหาพ่อของเธอจริงๆ

          “เดี๋ยวสิ” เขารีบขัด “พ่อของท่านอยู่ที่ไหน”

          “เราสองคนมาอาศัยอยู่ในถ้ำร้างบนภูเขาน้ำแข็งชั่วคราวน่ะ”

          “แล้วเขามาทำอะไรที่นี่” โซลิแทร์ถามต่อ

          “มาดูการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของพวกดาร์คเนสดีวิล พ่อบอกว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะได้เห็นพวกเจ้า” ซอร์โรร่าพูดเศร้าๆ “เขายังบอกอีกว่า การมาที่นี่มันเสี่ยงอันตราย ความจริงจะไม่พาข้ามาด้วยแล้ว แต่ข้าอ้อนวอนเขา เขาเห็นแก่ข้าที่เป็นผู้สนอกสนใจปีศาจยิ่งกว่าสิ่งใดในดาวดวงนี้ อยากให้ข้าเห็นตัวจริงๆ สักครั้ง ก่อนจะไม่มีวันได้เห็นอีกเลย เขาจึงยอมพาข้ามา”

          “ปีศาจมีอะไรให้ท่านอยากเห็นหรือ” โซลิแทร์ถามงงๆ “มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่เห็นจะสนใจอะไรเราเลย จะรังเกียจพวกเรามากกว่า”

          “ข้าเหมือนมนุษย์ส่วนใหญ่ที่ไหนล่ะ อย่ามัวแต่คุย รีบไปกันเถอะ” เธอคว้าข้อมือโซลิแทร์ “และทิ้งแกนแอปเปิลนั่นได้แล้ว ทิ้งมันเดี๋ยวนี้เด็กไม่ดี เจ้าจะถือขยะติดตัวไปเรื่อยๆ ไม่ได้”

          “ข้า ข้าไม่ควรไป” โซลิแทร์ติดอ่าง “จริงๆ นะ ข้าว่าข้าไม่ควร”

          “แต่ที่นั่นมีแอปเปิลนะ”

          “จริงหรือ”

          “จริง” ซอร์โรร่ากำแขนเขาแน่น “ข้าจะให้อีกลูกหนึ่ง ถ้าเจ้าเป็นเด็กดียอมตามข้าไป”

          “แต่ข้าไปนานไม่ได้” โซลิแทร์นึกถึงศึกครั้งยิ่งใหญ่ที่รออยู่ “เย็นนี้พวกเฟลมฟอร์ส---”

          “แหม ก็ไม่เห็นต้องไปนานขนาดนั้นก็ได้นี่”

          “แต่อาจารย์จะโกรธข้ามากเลยนะ เขาเกลียดพวกมนุษย์จับใจ โดยเฉพาะพวกนักรบ--”

          “โธ่เอ๊ย! มาเถอะโซลิแทร์” ซอร์โรร่าดึงแขนโซลิแทร์ขึ้นไปตามทางอันนำไปสู่หุบเขาน้ำแข็ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบริเวณนั้นมีถ้ำอยู่เต็มไปหมด โซลิแทร์ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงเดินตามต้อยๆ อย่างว่าง่าย

          “ถ้ำที่ข้าจะพาเจ้าไปนี่ มันเป็นถ้ำชั้นดีจริงๆ เชียว” เธอพูด เดินจูงมือเขาขึ้นไปตามเนินที่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาว “เราสามารถมองเห็นบริเวณพื้นที่ได้กว้างใหญ่ไพศาล ที่สำคัญ เราอาจจะมองเห็นพวกเจ้ารบกับพวกเฟลมฟอร์สในคืนนี้ ถ้าหากมันไม่มืดจนเกินไปนะ”

          “ซึ่งพวกเราดาร์คเนสดีวิลทั้งหมดคงจะพ่ายแพ้ในคืนนี้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “เห็นที พวกมนุษย์คงจะต้องไปหาเผ่าพันธุ์อื่นมากดขี่ข่มเหงแทนพวกเราแล้ว”

          “เจ้าเกลียดมนุษย์หรือเปล่า” เธอถามอย่างไม่แน่ใจ

          “เกลียดสิ” เขาตอบ “พวกมนุษย์ใช้เราเป็นทาส พวกมนุษย์เอาแต่ดูถูกเราว่าเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำที่ป่าเถื่อน ทั้งที่พวกมนุษย์นั่นแหละที่คอยมารุกรานเราอย่างป่าเถื่อนเสมอ พวกมนุษย์ทำเหมือนกับว่าพวกเราไม่มีชีวิตจิตใจหรือไม่มีความรู้สึกเลย และก็เป็นเพราะพวกมนุษย์อีกนั่นแหละ ที่คืนนี้โฟรเซ็นทิเนลจะแตก---ทำไมน่ะหรือ ก็พวกมนุษย์คอยแต่จะยกทัพมากำราบเราอยู่เรื่อยๆ จนอาณาจักรของเราฟื้นตัวไม่ทัน ดังนั้น เมื่อจอมพิชิตยกทัพมาโจมตีในคืนนี้ เราก็แทบจะไม่เหลือกองกำลังไปต่อกรกับเขาสักนิด--” โซลิแทร์รีบหุบปากอย่างรวดเร็ว เพราะนึกได้ว่าซอร์โรร่าก็เป็นมนุษย์เช่นกัน เขาไม่ควรต่อว่าพวกมนุษย์ต่อหน้ามนุษย์คนหนึ่งเลย “ข้าขอโทษ” เขาอุบอิบ “ข้าไม่ควร---”

          “เจ้าควร” ซอร์โรร่าพูดเสียงแข็ง “พวกเราต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายขอโทษพวกเจ้า พวกเราเคยโหดร้ายต่อพวกเจ้ามากข้ารู้ดี แต่ข้ากับพ่อของข้าไม่เคยเกลียดชังพวกเจ้าเลยนะ ตรงกันข้าม เราสองคนต่างเห็นใจและสงสารพวกดาร์คเนสดีวิลถูกที่เผ่าพันธุ์ของเราทำทารุณไว้มาก”

          “พ่อของท่านเป็นใครหรือ” โซลิแทร์ถามคำถามนี้ซ้ำเพราะสงสัยเต็มที

          “เขาเป็นหลานของพระราชามนุษย์ เป็นหนึ่งในรัชทายาทอันดับสองแห่งราชบัลลังก์โมราโซมอส” ซอร์โรร่าตอบ “แล้ว--”

          “หนึ่งในอันดับสองอย่างนั้นหรือ” โซลิแทร์เริ่มงงกับการจัดลำดับ “ข้าไม่เข้าใจ”

          “พระราชามีน้องสาวสองคน เป็นฝาแฝดกัน คนหนึ่งเป็นแม่ของพ่อข้า อีกคนหนึ่งเป็นแม่ของแม็ค แรคแทนทิน ลูกพี่ลูกน้องของพ่อข้า” เธออธิบายอย่างอดทน รู้สึกว่าเด็กผู้ชายนี่ไม่ค่อยฉลาดเลย “ด้วยบรรดาศักดิ์ที่เท่าเทียมกัน จึงทำให้รัชทายาทมีสองคน แต่ข้าเกลียดแม็ค แรคแทนทิน เขาเห็นแก่ตัว ชอบใช้อำนาจวางโต และไม่ลงรอยกับพ่อข้า”

          “แรคแทนทิน ชื่อคุ้นๆ เหมือนเป็นหนึ่งในบรรดามนุษย์ที่อาจารย์ข้าเกลียดที่สุด” โซลิแทร์ทวนความจำ “ถ้าเขาและพ่อของท่านเป็นรัชทายาทอันดับสอง แล้วใครคือรัชทายาทอันดับหนึ่งล่ะ”

          “สี่เดือนที่แล้ว พระราชาได้ให้กำเนิดพระโอรสชื่ออโลบัส” ซอร์โรร่าตอบ “เขาจึงกลายเป็นผู้สืบราชบัลลังก์ เป็นรัชทายาทอันดับหนึ่ง ถือว่าดีมากทีเดียว จะได้ตัดปัญหาเรื่องการสืบทอดบัลลังก์ระหว่างพ่อข้ากับแรคแทนทิน ถึงอย่างไรพ่อข้าก็ไม่เคยอยากเป็นกษัตริย์ ข้าก็ไม่เคยอยากเป็นเจ้าหญิง”

          “ข้าไม่ค่อยเข้าใจหลักการสืบราชบัลลังก์อะไรของพวกท่านหรอก อาณาจักรของข้าใช้ระบอบการปกครองสังคมนิยม คณะปกครองชุดปัจจุบัน จะถูกแต่งตั้งจากคณะปกครองชุดเก่า--”

                ซอร์โรร่าดึงแขนเขาให้หยุดเดิน เธอชี้มือไปยังถ้ำขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า

          “นั่นไง---ถึงแล้ว” เธอดันหลังเขา “เข้าไปสิ”

                โซลิแทร์ถูกผลักเข้าไปข้างในถ้ำที่อบอุ่นอย่างน่าประหลาด ข้างในสว่างไสวด้วยแสงแดดที่ลอดเข้ามาเป็นช่วงๆ ผนังถ้ำเป็นน้ำแข็งเสียส่วนใหญ่ เป็นหินส่วนน้อย แต่ก็มีลักษณะเป็นหินงอกหินย้อยตามแบบของถ้ำทั่วไปไม่มีผิด แว่วเสียงคล้ายๆ กับเสียงขูดขีดอะไรสักอย่าง ดังมาจากด้านในของตัวถ้ำ บอกให้รู้ว่ามีคนอยู่ในนั้น โซลิแทร์ยังคงถูกดันหลังเข้าไปข้างใน

          “ข้ากลับมาแล้วจ้ะพ่อ” ซอร์โรร่าพูดเสียงดัง

          เสียงขูดขีดนั้นหยุดลงชั่วขณะ บอกให้รู้ว่าได้ยิน

          “อย่ากลัวไปเลยน่า” ซอร์โรร่าล้อโซลิแทร์ “พ่อของข้าใจดีจะตายไป”

                ทั้งคู่เดินเข้าไปถึงส่วนในสุดของถ้ำ มีข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นและเสบียงอาหารวางอยู่รอบๆ ชายร่างสูงคนหนึ่งกำลังใช้หินลับดาบสองคมอยู่ที่มุมผนังถ้ำ นั่นคือที่มาของเสียงขูดขีด

                “ไปเสียนานเลยลูก ไหนบอกว่าแค่ไปทำธุระส่วนตัวไง พ่อเกือบจะออกไปตามหาแล้ว” เขายังไม่เงยหน้าจากสิ่งที่ทำ “พ่อพยายามไม่เป็นห่วงลูกมาก ไม่บ่นว่าอะไรมาก เดี๋ยวลูกจะคิดว่าพ่อเป็นตาแก่จอมจู้จี้ เหมือนที่พ่อเคยคิดกับปู่ของลูก แต่พ่อต้องขอพูดอะไรหน่อยแล้ว ลูกรัก ที่นี่ไม่ใช่ดินแดนของเรา อันตรายมีเต็มไปหมด พ่ออุตส่าห์ตามใจพาลูกมาที่นี่แล้ว ลูกควรระวังตัวหน่อย”

          “ข้าพาเพื่อนมาด้วยจ้ะพ่อ” เธอยิ้มพร้อมกับชี้ไปที่โซลิแทร์

                ชายคนนั้นรีบเงยหน้าทันที ปัดผมสีน้ำตาลทองออกไปให้พ้นจากดวงตา จ้องมองโซลิแทร์อย่างตกใจ

                “นี่ลูก ลูกพาดาร์คเนสดีวิลมาที่นี่เชียวหรือ มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น--”

                “เขาไม่ใช่แค่ดาร์คเนสดีวิลค่ะ” เด็กหญิงยิ้มอย่างไร้เดียงสา “เขาเป็นลูกของผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลคนก่อน เพื่อนเก่าของพ่อไงคะ ที่พ่อเล่าให้ข้าฟัง”

                ดวงตาสีน้ำตาลของพ่อซอร์โรร่ามองสำรวจโซลิแทร์อย่างรวดเร็ว

          “เจ้าคล้ายเขามาก พ่อหนุ่มน้อย” เขาพูดเสียงเบา

          “โซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” โซลิแทร์แนะนำตัวอย่างเคอะเขิน “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

          “ข้าอาร์รอส ไอวิวรี่” พ่อของซอร์โรร่าแนะนำตัว ผมสีน้ำตาลทองของเขาช่างเหมือนกับผมของซอร์โรร่า เพียงแต่ผมของเขายาวถึงแค่บ่า และผมของซอร์โรร่าจะออกเป็นสีทองมากกว่า น่าจะอยู่ในวัยราวๆ สามสิบต้นๆ ไม่มากกว่านั้น คงมีลูกตอนอายุน้อยเพราะซอร์โรร่าก็เกิดมาได้สิบสี่ปีแล้ว เป็นคนหล่อเหลามาก ลักษณะเหมือนเจ้าชายในนิทานไม่มีผิดเพี้ยน อาจแตกต่างที่มีอายุมากไปหน่อยเท่านั้น

          ซอร์โรร่าเล่าให้พ่อของเธอฟังว่าไปเจอกับโซลิแทร์ได้อย่างไร นั่นทำให้เขาส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ

          “เรามาอาศัยอยู่ที่นี่สองสามวันมาแล้ว” ซอร์โรร่าบอกโซลิแทร์ “พ่อเตือนข้าว่ามันไม่สะดวกสบายเหมือนในดินแดนของเรา ก็จริงนะ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ข้าถึงรู้สึกชอบที่นี่”

          “แต่ข้ามีความคิดเห็นว่าท่านทั้งสองไม่ควรมาที่นี่เลย” โซลิแทร์พูดอย่างรวดเร็ว “คืนนี้พวกเฟลมฟอร์สจะยกทัพมาพิชิตโฟรเซ็นทิเนล และจะฆ่าทุกคนที่เป็นศัตรู ไม่ว่าจะเป็นข้า อาจารย์ของข้า หรือดาร์คเนสดีวิลทุกคนที่จับดาบ พวกเราทั้งหมดกำลังจะถูกกวาดล้างเหมือนพวกไซคัส”

          “หนุ่มน้อย ข้าช่วยเจ้าได้นะ” อาร์รอสเสนออย่างมีเมตตา “ไปกับพวกเราสิ เราจะดูแลเจ้าเอง ซอร์โรร่าก็จะได้มีเพื่อนเล่น เจ้าจะได้ไม่ต้องตาย”

          “เยี่ยมไปเลย ข้าจะได้มีน้องชายเป็นปีศาจ” ซอร์โรร่าปรบมือใหญ่ มองโซลิแทร์ราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงน่ารักที่พ่อกำลังจะยกให้เธอ

          “พวกท่านกรุณามากครับ แต่ข้าขอตายไปพร้อมกับพวกพ้องของข้า ข้าไม่ต้องการเป็นดาร์คเนสดีวิลคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่” โซลิแทร์พูดเสียงเบา “อาจารย์บอกว่า การเป็นคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของเผ่าพันธุ์นั้นแย่กว่าการตายคนแรก ข้าเห็นด้วยกับเขาครับ”

          “เป็นเด็กที่ฉลาดและมีจุดยืนอันมั่นคง” อาร์รอสยิ้มให้อย่างเอ็นดู “ทูนหัวเฮโรซาร์แม่ของเจ้าคงภูมิใจ เสียดายที่เธอไม่มีโอกาสแล้ว”

          “แม่ของข้าชื่อเฮโรซาร์เฉยๆ ครับ ไม่ใช่ทูนหัวเฮโรซาร์” โซลิแทร์เด็กน้อยแก้ไขให้ “แล้วข้าก็ไม่คิดว่าเธอจะภูมิใจในตัวข้าด้วย”

          “ขอโทษที มันติดปากน่ะ”

          “แต่คำว่าทูนหัวมันใช้สำหรับพูดกับคนรักไม่ใช่หรือครับ” โซลิแทร์ถามต่อซื่อๆ

          “จะว่าอย่างนั้นก็ใช่” อาร์รอสยิ้มเขินๆ “แม่ของเจ้าเคยรักกับข้าน่ะ ก่อนที่เธอจะพบกับพ่อของเจ้า แล้วก็หลังจากนั้น คือข้าหมายถึง ช่างมันเถอะนะ”

          “จริงหรือ” ซอร์โรร่าประหลาดใจ “พ่อไม่เคยเล่าให้ข้าฟังเลย”

          “ท่านหมายถึง” โซลิแทร์พยายามปะติดปะต่อ “แม่ของข้าไปรักกับท่าน แล้วก็เลิกรักท่าน แล้วไปรักกับพ่อของข้าแทน แล้วก็รักกับท่านอีก คือข้าไม่เข้าใจ--”

          “อย่าไปสนใจเรื่องนั้นเลย เรื่องของผู้ใหญ่มีแต่ชวนให้สับสนและปวดสมอง” อาร์รอสลูบศีรษะเด็กชายอย่างเอ็นดู “เจ้าโชคดีแล้วที่ยังไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนั้น ตอนนี้ใช้ชีวิตวัยเด็กให้สนุกสนานดีกว่า แล้วค่อยไปสับสนปวดสมองเมื่อเจ้าโตขึ้น เอาเป็นว่า ข้ากับแม่ของเจ้าและพ่อของเจ้าต่างก็เคยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เจ้ารู้ใช่ไหมว่ามิตรภาพเป็นสิ่งสำคัญแค่ไหน

                “อาจารย์เคยบอกว่า มันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดครับ” โซลิแทร์บอก “มันคงจะดีมากๆ เลยถ้ามีเพื่อน ข้าอยากมีสักคนบ้าง”

          “ตอนนี้เจ้ามีแล้วไง” อาร์รอสเอื้อมแขนไปโอบลูกสาวสุดที่รัก “จริงไหมซอร์โรร่า”

          “จริงค่ะ” เด็กหญิงพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น “เจ้ามีข้าเป็นเพื่อนแล้วไงโซลิแทร์ พ่อคะ ข้ามีเพื่อนคนแรกเป็นปีศาจ อย่างที่ข้าต้องการเลย”

          “ข้า” โซลิแทร์อ้ำอึ้ง พูดอะไรไม่ออก

          “ซอร์โรร่าเพิ่งมีเจ้าเป็นเพื่อนคนแรก มันทำให้เธอมีความสุขมากรู้ไหม” อาร์รอสยิ้มอย่างอบอุ่น “เด็กๆ มนุษย์ส่วนใหญ่น่ะมองไม่เห็นความน่ารักความจริงใจของเธอหรอก”

          “ข้ามองเห็นครับ” โซลิแทร์พูดซื่อๆ “เธอน่ารักและจริงใจ”

          “งั้นเจ้าต้องเป็นเพื่อนกับข้าต่อไปเรื่อยๆ นะ” ซอร์โรร่าพูดกึ่งบังคับ

          “ถ้าไม่ตายเสียก่อน ข้าจะเป็นเพื่อนกับท่านต่อไปเรื่อยๆ” โซลิแทร์พูดซื่อๆ ตามประสาเด็ก“แต่คงได้พบหน้ากันยากหน่อยหากดูจากสถานการณ์บ้านเมืองข้า คืนนี้--พูดตรงๆ ข้าคงไม่รอด”

          “ไม่ต้องพบหน้ากันบ่อยๆ ก็เป็นเพื่อนกันได้” อาร์รอสลูบหัวเด็กทั้งสองอย่างเอ็นดู “แค่พวกเจ้ายังคงนึกถึงเพื่อนของตนอยู่ตลอดก็พอ ไม่มีสิ่งใดจะสำคัญยิ่งกว่าความผูกพันแห่งมิตรภาพอีกแล้ว ลูกเอ๋ย”

                แสงสว่างที่ส่องจากช่องเพดานถ้ำเริ่มจางลง ยามเย็นคงใกล้เข้ามาทุกที

          “ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ!” โซลิแทร์นึกได้ “อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าพวกเฟลมฟอร์สคงจะยกทัพมาถึงที่นี่ ข้าต้องไปช่วยอาจารย์สู้ศึก”

          “ข้ายินดีช่วยด้วย” อาร์รอสอาสา “ถ้าโฟรเซ็นทิเนลแตก โมราโซมอสจะต้องลำบากอย่างแสนสาหัสในภายหลัง”

          “เปล่าประโยชน์ครับ” โซลิแทร์พูดหงอยๆ “ไม่มีใครหยุดยั้งเฟลมฟอร์สได้หรอก ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม อีกอย่าง หากท่านปรากฏตัวให้อาจารย์ข้าเห็นล่ะก็ ท่านเป็นชิ้นๆ แน่ อาจารย์เกลียดพวกมนุษย์อย่างกับอะไรดี”

          “อาจารย์ของเจ้า คนที่สวมหมวกเกราะตลอดเวลาใช่ไหม” อาร์รอสถาม “เขาน่าจะเป็นผู้นำสูงสุดแห่งดาร์คเนสดีวิลคนปัจจุบันแล้ว ถ้าข้าเดาไม่ผิด”

          “ถูกแล้วครับ” โซลิแทร์พยักหน้า “เขาได้รับตำแหน่งต่อจากพ่อของข้า”

          “เขาไม่ชอบมนุษย์แน่นอนล่ะ รวมทั้งข้าด้วย” อาร์รอสกล่าว “แต่เขาเป็นอัจฉริยะ มิน่าเจ้าถึงเป็นเด็กฉลาด ข้าเชื่อว่าถ้าเจ้าโตกว่านี้อีกสักหน่อย เจ้าจะฉลาดกว่าพ่อกับแม่ของเจ้ารวมกันเสียอีก จะว่าไปมันก็ไม่ยากนักหรอกที่จะหาคนที่จะฉลาดกว่าพวกเขาสองคนรวมกัน ข้าบอกตรงๆ แต่พวกเขาก็รักเจ้านะ ข้าเชื่ออย่างนั้น”

          “ข้าไม่คิดว่าพ่อกับแม่จะรักข้าเท่าไหร่หรอกครับ แต่ข้ารู้ว่าอาจารย์รักข้า” โซลิแทร์เสริม แม้เขาจะเป็นเด็กไร้เดียงสาเพียงไร แต่เขาก็รู้เสมอว่าไพรม์ดีวอเชอร์นั้นรักและเมตตาเขาราวกับเป็นลูกแท้ๆ

          “ข้ารู้ว่าดาร์คเนสดีวิลทุกคนเกลียดมนุษย์ รู้ว่าพ่อของเจ้าเองก็เกลียดมนุษย์เกือบทุกคน อาจารย์ของเจ้านี่ไม่ต้องพูดถึง หลังจากที่พวกมนุษย์ทำกับเขาไว้มาก” อาร์รอสพูด “ข้าจึงไม่ขอความกรุณาที่จะไม่ให้เจ้าเกลียดอีกคนหรอก มนุษย์นั้นประพฤติตัวได้น่าเกลียดจริงๆ”

          “ข้าเองก็ไม่ปฏิเสธหรอกครับว่าข้าเกลียดพวกมนุษย์” โซลิแทร์พูด “แต่ก็อย่างที่ข้าบอก ข้าไม่ได้เกลียดมนุษย์อย่างท่านแน่นอนครับ ซอร์โรร่าด้วย”

                แสงจากช่องเพดานถ้ำอ่อนลงเต็มที เขาอ้อยอิ่งอยู่อีกไม่ได้แล้ว แม้จะต้องการก็ตาม เด็กชายขยับผ้าคลุมสีดำที่มีรอยขาดของตนเพื่อเตรียมตัวกลับ

          “ข้าดีใจมากเลยที่ได้พบท่าน” โซลิแทร์พูด “แต่ข้าคงต้องกลับล่ะครับ”

          “ข้าเดินไปส่งนะ” อาร์รอสเสนอ

          “อย่าดีกว่าครับ” โซลิแทร์ปฏิเสธอย่างสุภาพ “เดี๋ยวอาจารย์เห็นท่านเข้า”

          ในขณะที่โซลิแทร์ลุกขึ้น ปัดหิมะออกจากผ้าคลุม อาร์รอสก็หันไปหาซอร์โรร่าที่มองตอบกลับมา ดวงตาไร้เดียงสาของเธอแสดงความสงสัย

          “นี่แม่นางฟ้า พ่อรู้ว่าลูกสนอกสนใจทุกอย่างที่เกี่ยวกับปีศาจมาก จึงไปจากถ้ำนี้เสียไกล เพื่อหวังว่าจะได้เห็นสักคน จนกระทั่งพบกับโซลิแทร์ นับว่าโชคดีมาก” อาร์รอสบอกลูกสาว “แต่มันก็เป็นการกระทำที่เสี่ยงด้วย หากลูกไปพบกับปีศาจคนอื่นเข้า พวกเขาคงไม่เป็นมิตรกับลูกเหมือนโซลิแทร์ รับรองว่าเราเดือดร้อนแน่ ลูกควรรู้นะว่าไม่ควรทำอย่างนั้น ลูกรัก เห็นทีคราวต่อไปที่ลูกไปทำธุระส่วนตัว พ่อคงต้องตามไปเฝ้าแล้ว”

          “ไม่นะคะ” ซอร์โรร่างอแง “ข้าจะทำธุระส่วนตัวได้ยังไงถ้ามีคนคอยดูอยู่”

          “ถ้าอย่างนั้นลูกต้องสัญญากับพ่อหนึ่งเรื่องก่อน” อาร์รอสยิ้มอย่างมีเมตตา “คืนนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามลงจากเนินลูกนี้ ตกลงไหม พ่ออาจไม่อยู่สักพัก แล้วถ้าพรุ่งนี้พ่อกลับมาช้าหน่อย จะมีคนที่ไว้ใจได้มารับลูกกลับโมราโซมอส”

          “พ่อจะไปไหนหรือคะ”

          “ไม่สำคัญหรอกลูก อย่าไปสนใจอย่างอื่นเลย วันนี้มีสิ่งที่น่าสนใจกว่า” อาร์รอสพูดเชิงหลอกล่อ “คืนนี้ลูกแค่ยืนอยู่หน้าถ้ำ ลูกจะเห็นสงครามระหว่างพวกดาร์คเนสดีวิลและพวกเฟลมฟอร์สอย่างกว้างขวาง จากจุดที่ดีที่สุดทีเดียว”

          “จริงหรือคะ ข้าสามารถดูการสู้รบคืนนี้ได้หรือคะ” เด็กหญิงตื่นเต้นใหญ่

          “ใช่แล้ว และถ้าลูกลงจากเนินเขา ลูกก็จะพลาดเห็นสิ่งเหล่านั้น” อาร์รอสแสร้งทำหน้าเสียดาย “โอกาสแบบนี้มีแค่ครั้งเดียวในชีวิตนะ”

          “ข้าไม่ลงจากเนินเขาแน่ค่ะ ข้าจะปักหลักอยู่หน้าถ้ำเลย”

          “อย่างนี้สิลูกสาวพ่อ” อาร์รอสจูบกระหม่อมลูกสาว “เด็กดี”

          “โซลิแทร์ ข้าจะคอยดูเจ้ากับพวกพ้องปีศาจคนอื่นๆ ต่อสู้นะ” ซอร์โรร่าพูดเสียงใส

“เจ้าเป็นเด็กน้อยที่กล้าหาญที่สุดที่ข้าเคยเห็นมา” อาร์รอสอวยพร “โชคดีนะ พ่อหนุ่มน้อย”

                โซลิแทร์พยักหน้า รู้สึกกดดันมากขึ้นไปอีก เขาบอกลาสองมนุษย์พ่อลูกแล้วจึงออกเดินกลับ ความกังวลเริ่มประดังเข้ามา ความเบิกบานที่ได้เพื่อนใหม่ทำให้เขาลืมเรื่องสงครามไปชั่วขณะ แต่ตอนนี้เขานึกได้แล้ว อะไรสักอย่างบอกเขาว่า คืนนี้เห็นทีเขาจะต้องตาย

          ก่อนที่เขาจะเดินออกจากถ้ำ มือข้างหนึ่งของซอร์โรร่าก็ตามมาคว้าแขนเขาไว้

          “เดี๋ยวก่อนโซลิแทร์ นี่ ตามที่ข้าสัญญาไว้ ข้าอยากจะให้เจ้ามากกว่านี้ แต่นี่เป็นแอปเปิลผลสุดท้ายที่ข้ามีแล้ว”

          เธอยื่นแอปเปิลผลหนึ่งให้ โซลิแทร์ลืมไปเลยว่าเธอล่อเขามาที่นี่ด้วยแอปเปิล

          “มันเป็นผลสุดท้ายของท่าน ท่านเก็บไว้กินเถอะนะ” เขาปฏิเสธ  

          “เจ้าดูกังวลนะ” เด็กหญิงเอียงคอมอง

          “ข้ากังวลกับการต่อสู้ที่รออยู่ข้างหน้า แต่ข้ายังไหว” เขาพูดเสียงเบา “ดูแลตัวเองด้วยนะซอร์โรร่า ระวังผลึกน้ำแข็งคมๆ ด้วยเวลาท่านเดินอยู่ที่นี่ตอนมืดๆ”

          เขาสูดหายใจลึกๆ แล้วก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ความกลัวอาจชะลอเขาเล็กน้อย แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็จะไปร่วมศึกสงครามครั้งสุดท้ายกับพวกพ้อง

          “โซลิแทร์” เสียงของซอร์โรร่าเรียกอีกครั้ง

                โซลิแทร์หันกลับไปมอง ซอร์โรร่ากัดแอปเปิลคำหนึ่งแล้วยื่นให้เขาอีกครั้ง ส่งยิ้มให้ เป็นยิ้มที่ใสบริสุทธิ์และจริงใจ

          “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เข้มแข็งเข้าไว้นะ เจ้าเป็นเพื่อนของข้า สำหรับข้าแล้ว เจ้าคือยอดปีศาจเสมอ”  

                แม้จะเป็นการให้กำลังใจแบบเด็กๆ  แต่ในช่วงเวลาอันมืดมนเช่นนี้ มันช่างมีความหมายเหลือเกิน เด็กชายรับแอปเปิลมากัดคำหนึ่ง รอยกัดทั้งสองเรียงต่อกันเป็นรูปสายฟ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เขายิ้มตอบซอร์โรร่า ก่อนจะก้าวเดินต่อไปอย่างแน่วแน่ แอบเก็บแอปเปิลแหว่งลูกนั้นใส่กระเป๋าเสื้อนอกราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า

 

**************

 

                หลังจากกลับถึงฐานทัพ โซลิแทร์ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เตรียมตัวอย่างดีที่สุด เขาสวมชุดเกราะขนาดเล็กและเบาที่ออกแบบมาสำหรับเด็ก สวมเสื้อนอกทับเสื้อเกราะ แอปเปิลที่ซอร์โรร่าให้มายังอยู่ในกระเป๋าเสื้อตัวนั้น แล้วสวมผ้าคลุมแบบมีหมวกฮู้ดทับอีกชั้นหนึ่ง ทุกอย่างที่เขาสวมล้วนแต่เป็นสีดำทั้งสิ้น ดาบขนาดกะทัดรัดสำหรับเด็กของเขาถูกลับจนคมกริบ เขาพยามยามลองนำเมฆฝนออกมาฝึกใช้อีกครั้ง แต่ผลก็ยังเหมือนเดิม มีแค่เมฆลอยคลุมฟ้าอยู่อย่างนั้น ไม่ได้มีอะไรคืบหน้าเลย ทำให้เหน็ดเหนื่อยอีกต่างหาก เห็นทีคงไม่มีประโยชน์หากจะใช้มันในสนามรบ สู้เก็บแรงไว้ใช้กับดาบในมือจะดีกว่า

                เซซิลดูซูบซีดยิ่งกว่าเดิม ไพรม์ดีวอเชอร์ก็คอยโฉบไปโฉบมาสั่งการพวกนักรบดาร์คเนสดีวิลอย่างวุ่นวายเร่งรีบ ส่วนมาซูลจอมขี้กลัวนั้นตัวสั่นยามสวมชุดเกราะเก่าๆ ท่าทางประสาทเสียยิ่งกว่าเดิม ไม่ใช่เขาคนเดียวหรอกที่แสดงอาการกังวล ดาร์คเนสดีวิลทุกคนต่างก็ใจคอไม่ดีที่จะต้องสู้รบกับกองทัพที่เก่งที่สุดในดาวดวงนี้ อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ตามความเห็นคนส่วนใหญ่ แค่มาร์กอลลอสคนเดียวก็ชนะพวกเขาได้ครึ่งกองทัพแล้ว

          “ทุกคน ติดอาวุธให้พร้อม” เสียงเหี้ยมๆ ดังออกมาจากหมวกเกราะของไพรม์ดีวอเชอร์ “จงใช้อาวุธที่ดีที่สุดเท่าที่พวกเจ้ามีอยู่ เพราะพวกเจ้าคงจะได้ใช้มันเป็นครั้งสุดท้าย”

                เหล่านักรบผู้เคลื่อนไหวด้วยการลอยที่ถูกเรียกว่าดีวอเชอร์ ต่างลอยตัวไปหาไพรม์ดีวอเชอร์กับเซซิลเพื่อรับคำสั่ง และแยกย้ายกันไปประจำตามจุดต่างๆ ดูเหมือนจะไม่มีใครทันสังเกตว่าโซลิแทร์ออกไปพบกับซอร์โรร่าและอาร์รอส ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะตอนนี้สมองของทุกคนล้วนอัดแน่นไปด้วยความกังวลจนแทบไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลย พวกนักรบดาร์คเนสดีวิลสวมชุดเกราะสีดำทั้งตัวเดินสวนกันขวักไขว่ สีหน้าที่บ่งบอกถึงความพร้อมจะตายเต็มที่ พวกดีวอเชอร์ก็รวมกลุ่มผ่านไปผ่านมาไม่ขาดสาย ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวดูจะเร่งรีบไปเสียหมด และเวลาทุกนาทีก็ดูเหมือนจะเดินเร็วขึ้นอย่างโหดร้าย

                เมื่อท้องฟ้ามืดสนิท(ซึ่งมืดเร็วจนน่าตกใจ) ไพรม์ดีวอเชอร์ก็ยกมือขวาที่ทำด้วยโลหะชูขึ้นฟ้า พลุสีเขียวสดพุ่งออกมาจากปลายมือ และส่องสว่างทั่วท้องฟ้าอันมืดมิด เมื่อเห็นพลุสัญญาณ นักรบดาร์คเนสดีวิลทั้งหมดก็พากันไปตั้งแถวในพื้นที่โล่งหน้าฐานทัพ พวกเขายืนตั้งกำแพงเป็นแถวๆ อย่างสงบนิ่งและเป็นระเบียบ มาซูลยืนตัวสั่นอยู่แถวหลังสุด เหมาะสำหรับคนขี้กลัวอย่างเขาดี ขณะที่ไพรม์ดีวอเชอร์และเซซิลยืนอยู่แถวหน้าสุด เป็นตำแหน่งของเหล่าผู้นำดาร์คเนสดีวิลที่ต้องเผชิญกับอันตรายจากข้าศึกก่อนเสมอ ไพรม์ดีวอเชอร์ไม่ได้ถืออาวุธเลยสักชิ้นเช่นเดียวกับดีวอเชอร์คนอื่นๆ เซซิลก็ถือเพียงโล่เหล็กทรงรีสีดำที่ยาวเกือบเท่าตัวเขา แต่ไม่ได้ถืออาวุธมีคม โซลิแทร์ยืนอยู่ข้างไพรม์ดีวอเชอร์ เขาสูงแค่ข้อศอกของอาจารย์ นั่นเพราะไพรม์ดีวอเชอร์ตัวสูง และจะสูงขึ้นอีกเมื่อลอยขึ้นจากพื้นตอนเคลื่อนที่

          “อาจารย์ครับ” เด็กน้อยเงยหน้าถาม “เราไม่ไปยืนประจำการตามกำแพงหรือป้อมหรอกหรือครับ ท่านเซซิลบอกว่าที่นี่ยังพอมีกำแพงกับป้อมอยู่บ้าง”

          “ป้อมและกำแพงทั้งหมดได้รับความเสียหายจากศึกครั้งอื่นๆ ที่ผ่านมา ภายนอกมันอาจดูเหมือนยังอยู่ในสภาพดี แต่ความจริงมันไม่แข็งแรงพอที่จะให้เราใช้แน่” ไพรม์ดีวอเชอร์ตอบ “พวกเราทั้งหมดนี่ล่ะ คือกำแพงชั้นสุดท้ายของโฟรเซ็นทิเนล”

                โซลิแทร์กลืนน้ำลาย เขาไม่คิดว่ากำแพงชั้นสุดท้ายนี้ จะสามารถขวางกั้นพวกเฟลมฟอร์สได้นานเท่าไรนัก

          “เงยหน้ามองท้องฟ้าสิศิษย์รัก” ไพรม์ดีวอเชอร์เงยศีรษะที่ถูกครอบด้วยหมวกเกราะขึ้น “เจ้าชอบดูดาวมากไม่ใช่หรือ อย่าให้สงครามหรือแม้กระทั่งความตายมาหยุดยั้งกิจกรรมที่เจ้าชอบเลยนะ ในวันสุดท้ายของชีวิต เราควรทำสิ่งที่เราอยากทำ”

                เด็กน้อยเงยหน้ามองท้องฟ้าอันมืดสนิทและยิ้มเศร้าๆ

          “คืนนี้ท้องฟ้ามืดสนิท มองไม่เห็นแม้แต่ดาวสักดวงเลยครับอาจารย์” เขาพูด “ไม่ต่างจากพวกเราตอนนี้ ต้องต่อสู้กับสงครามที่ไม่สามารถเอาชนะได้ จะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นหนทาง เหมือนติดอยู่ในพายุอันมืดมัว”

                ไพรม์ดีวอเชอร์ก้มมามองโซลิแทร์ เด็กน้อยก็เงยหน้ามองอาจารย์ ศิษย์อาจารย์มองหน้ากันอยู่เป็นนาที ก่อนที่ไพรม์ดีวอเชอร์จะพูดด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่นจับใจ แบบที่โซลิแทร์ไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต

                “ท่ามกลางพายุอันมืดมัว ยังมีแสงเล็กๆ ที่ส่องสว่างเพียงชั่วครู่ นั่นคือสายฟ้า แม้มันจะเป็นเพียงแสงเล็กๆ ที่ส่องสว่างเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็เป็นเสี้ยววินาทีที่ทำให้เราได้มองเห็น เสี้ยววินาทีที่เรามีความหวัง การมีชีวิตอย่างสิ้นหวังสักร้อยปีพันปี มันไม่มีความหมายเท่าการมีชีวิตอย่างมีหวังแค่หนึ่งวินาที” เขาทำแขนกากบาทที่กลางหน้าอก กลางหน้าอกคือตำแหน่งหัวใจของดาร์คเนสดีวิล “นี่คือเหตุผลว่า ทำไมวันนี้เราถึงสู้แม้จะรู้ว่าแพ้ เพราะในหัวใจอันมืดมนของเราทุกคนยังมีสายฟ้าเล็กๆ ส่องประกายอยู่ ชัยชนะที่แท้จริง ไม่ใช่การเอาชนะใคร หรือประสบความสำเร็จมากเพียงใด แต่มันคือการยืนหยัดต่อสู้จนถึงที่สุด ด้วยหัวใจที่ไม่มีวันยอมแพ้ ชนะใจตัวเอง ทำให้ตัวเองภาคภูมิใจ”

                ใบหน้าไร้เดียงสาของโซลิแทร์ระบายยิ้มออกมาอย่างตื้นตัน เขาทำแขนกากบาทที่กลางหน้าอกเช่นกัน ไพรม์ดีวอเชอร์ก็คงจะแอบยิ้มอยู่ใต้หมวกเกราะ

          “ฉะนั้น แม้ศึกครั้งนี้เราจะพ่ายแพ้” ไพรม์ดีวอเชอร์ประกาศด้วยเสียงอันเบา แต่ได้ยินไปทั่วทั้งบริเวณ ราวกับมีอำนาจบางอย่างมาขยายให้มันดัง “ขอจงรับรู้ไว้ว่า การที่ข้าได้ยืนหยัดจนพ่ายแพ้ไปพร้อมกับพวกท่าน มันคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้า”

                ดาร์คเนสดีวิลทุกคนยิ้มให้เขาอย่างรักใคร่และเคารพ ไม่ใช่ในฐานะผู้นำ แต่ในฐานะพี่น้อง ฐานะเพื่อน พวกเขาพร้อมแล้วที่จะถูกกวาดล้างแบบพวกไซคัส กำลังใจของพวกเขาเต็มเปี่ยม วันนี้ประวัติศาสตร์จะจารึกว่า ดาร์คเนสดีวิลกลุ่มสุดท้าย จะยืนหยัดต่อสู้กับสุดยอดกองทัพอย่างเฟลมฟอร์ส จนเลือดหยดสุดท้ายของพวกเขาไหลลงหิมะ

                “ข่าวดีก็คือ ศึกครั้งนี้ฝ่ายตรงข้ามไม่มีทหารม้าและเครื่องกลสงคราม เราจะได้รับมือกับทหารราบเพียงอย่างเดียว” เซซิลที่ยืนอยู่อีกข้างของไพรม์ดีวอเชอร์รายงาน “กองทหารม้ามังกรถูกแยกไปเตรียมโจมตีเผ่าพันธุ์อื่น ส่วนเครื่องกลและอาวุธตีเมืองก็ทำให้เคลื่อนทัพได้ช้า พวกเฟลมฟอร์สต้องการพิชิตพื้นที่ของเราโดยเร็ว และต้องการเก็บรักษาอาวุธหนักไว้สำหรับโจมตีเผ่าพันธุ์อื่นต่อไป”

                “ไม่เชิงเป็นข่าวดีหรอก เป็นการจัดสรรทัพได้ฉลาดสำหรับจอมพิชิต” ไพรม์ดีวอเชอร์ว่า “แค่เขาคนเดียวก็สามารถสร้างความเสียหายแทนพวกเครื่องกลหรือกองกำลังทหารม้ามังกรได้ ซึ่งน่าจะสร้างได้มากกว่าด้วยซ้ำ”

          “โซลิแทร์” เซซิลยื่นหน้ามาเรียก “เจ้าเคยบอกใช่ไหมว่าอยากเห็นอาวุธที่พวกเราดีวอเชอร์ใช้ต่อสู้”

          “แน่นอนครับ” โซลิแทร์พยักหน้า “ข้าสงสัยจริงๆ ว่าพวกดีวอเชอร์จะใช้อะไรในการต่อสู้กับศัตรู ในเมื่อข้าไม่เห็นดีวอเชอร์คนไหนถืออาวุธเลยสักคน มีแค่ท่านคนเดียวที่ถือโล่”

                เซซิลหงายฝ่ามือข้างที่ไม่ได้ถือโล่ขึ้น มีกลุ่มก๊าซสีขาวจางๆ ลอยขึ้นมาบนฝ่ามือของเขาและรวมตัวกันเป็นวงแหวนสีขาวเจิดจ้า อากาศที่อยู่รอบๆ วงแหวนนั้นสั่นกระเพื่อมเหมือนภาพลวงตาด้วยความร้อนแรงจากวงแหวน มันลอยหมุนช้าๆ อยู่เหนือฝ่ามือ แล้วจึงสลายหายไปกับอากาศในเวลาต่อมา

          “ท่านทำได้ยังไง” โซลิแทร์สนอกสนใจ “เวทมนตร์หรือครับ”

          “วิทยาศาสตร์ การเปลี่ยนรูปพลังงาน” เซซิลตอบ “ในกระแสเลือดของดีวอเชอร์ทุกคนจะมีก๊าซเบาชนิดหนึ่งไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา ชื่อว่าก๊าซฮีเลียม ที่พวกมนุษย์นำไปใช้บรรจุในเรือเหาะให้มันลอยได้ สังเกตดูว่าเวลาเราลอย จะมีแสงออกมาจากเท้า นั่นคือการทำปฏิกิริยา และแน่นอนว่ามันเป็นก๊าซที่มีคุณสมบัติไวไฟด้วยเมื่ออยู่ในร่างกายของดีวอเชอร์เรา วงแหวนที่เจ้าเห็นเมื่อกี้ก็คือปฏิกิริยาการรวมตัวของก๊าซฮีเลียมและความร้อน”

          “เข้าใจแล้ว” โซลิแทร์พยักหน้า “ฮีเลียมทำให้ดีวอเชอร์ลอยได้”

          “มันทำให้พวกมนุษย์กลัวพวกเราแน่ล่ะ ไอ้การลอยไปลอยมาแบบนี้ แถมยังมีแสงที่เท้า มันเหมือนกับปีศาจในนิยายสยองขวัญที่ชอบหลอกหลอนมนุษย์” เซซิลกำสองมือแน่น “แต่วันนี้ เจ้าจะเห็นความน่ากลัวของดีวอเชอร์แบบที่ไม่มีในนิยาย มีทีเด็ดเท่าไหร่ ข้าจะใช้ให้หมด”

                เหล่าดาร์คเนสดีวิลกลุ่มสุดท้ายต่างยืนรอเวลากันอย่างสงบเสงี่ยม ไม่ว่าช้าหรือเร็ว ศึกสงครามก็ต้องเริ่มขึ้นและจบลงอยู่ดี ลมหนาวเย็นเยือกพัดผ่านเป็นระยะราวกับสภาพอากาศไม่คงที่ ทุกคนพ่นลมหายใจออกมาเป็นควันสีขาว ผ้าคลุมของโซลิแทร์ปลิวไสวตามแรงลม แต่ก็ดูเหมือนว่าทุกคนจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องความหนาวเย็นเลย ก็อย่างที่เห็น ที่นี่เป็นถิ่นของพวกเขา พวกเขาชินกับความหนาวเย็นของอาณาจักรนี้มาตั้งแต่เกิด ถ้าจะมีอะไรทำให้พวกเขาขนลุกขนพองกว่านี้ ก็คงเป็นกองทัพข้าศึกที่กำลังจะมาถึงนี่ล่ะ

          โซลิแทร์ยกมือทั้งสองที่สวมถุงมือสีดำตลอดเวลาขึ้นมาพิจารณาอย่างใกล้ชิด สิ่งเดียวที่เขารู้ คือเหตุที่ตนต้องสวมถุงมืออยู่ตลอดเวลาก็เพราะอำนาจพิเศษ อำนาจพิเศษที่เขาได้รับมาโดยบังเอิญ

          “อำนาจพิเศษไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเจ้า ศิษย์รักข้า” ไพรม์ดีวอเชอร์หันมาบอกเขา “มันเปรียบเสมือนลูกธนูที่พุ่งมาปักร่างเจ้า ทำให้เจ้าเจ็บปวด แต่เจ้าก็สามารถถอนมันออกมาใช้เป็นอาวุธปกป้องตัวเองได้ จงอย่าเสียใจที่ได้มันมา”

                แว่วเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอคล้ายเสียงตีกลอง ไม่สิ โซลิแทร์คิด มันเหมือนเสียงปรบมือมากกว่า มันดังขึ้น ดังขึ้น กำลังใกล้เข้ามาทุกที ความจริงมันไม่ใช่เสียงปรบมือ มันเป็นเสียงฝีเท้าต่างหาก ฝีเท้าของอะไรสักอย่างที่มีจำนวนมากมายมหาศาล

          “พวกนั้นมาแล้ว” ไพรม์ดีวอเชอร์พึมพำ “เฟลมฟอร์ส”

                โซลิแทร์กลั้นหายใจอยู่นานอย่างลืมตัวขณะมองไปข้างหน้า นี่มันฝันร้ายชัดๆ กองทัพทหารตัวใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเคลื่อนพลใกล้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ทหารทุกคนเป็นมังกรที่ขนาดใกล้เคียงกับคน และเดินสองขาเหมือนคน สูงเกือบๆ สองเมตร สวมชุดเกราะหนาสีทองเป็นประกายเจิดจ้าทั้งตัว มือข้างหนึ่งถือดาบโค้งสีทอง มืออีกข้างถือโล่แปดเหลี่ยมสีทอง มีตราสัญลักษณ์สีทองรูปมังกรบินอยู่กลางไฟ ไม่เพียงแค่ทหารเหล่านี้จะมีรูปลักษณ์ ความสูง และเครื่องแบบเหมือนกันทุกประการราวกับเป็นคนเดียวกันเท่านั้น แต่พวกเขายังเดินก้าวเท้าและหันไปหันมาในทางเดียวกันอย่างพร้อมเพรียงน่าประทับใจ ดวงตามังกรของพวกเขาใสว่างเปล่าเหมือนแก้ว แต่มีแสงสีทองส่องออกมา ใบหน้าของพวกเขาเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึก ไม่หายใจ เนื่องด้วยพวกเฟลมฟอร์สไร้เส้นประสาท ไร้ชีวิตจิตใจ ไร้ความรู้สึกในการสัมผัสใดๆ  

                ไพรม์ดีวอเชอร์ก้มตัวลงเท่าที่ร่างแข็งๆ ของเขาจะทำได้ มือเหล็กขีดรูปกากบาทบนพื้นหิมะ แล้วยืดอกขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว เตรียมพร้อมสู้ตาย

                “ขีดกากบาทบนพื้นทำไมหรือครับอาจารย์” โซลิแทร์ถาม

                “เพื่อยืนยันกับตัวเอง” ไพรม์ดีวอเชอร์ตอบ “ว่าแม้จะสู้ไม่ได้ แต่ก็จะขอสู้จนตาย”

                เบื้องหน้าคือกองทัพที่เก่งที่สุดในดาวดวงนี้ ส่วนพวกเขาคือดาร์คเนสดีวิลที่ผ่านการพ่ายแพ้มาหลายต่อหลายครั้ง เฝ้ารอความพ่ายแพ้ครั้งสุดท้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็จะทำเหมือนกับไพรม์ดีวอเชอร์ ขอยืนหยัด จนกว่าจะสิ้นลมหายใจ

                “จอมพิชิตอยู่ไหน” ไพรม์ดีวอเชอร์กวาดตามองกองทัพข้าศึก

                “เขาก็เหมือนพวกเรา คือไม่เคยหลบอยู่หลังพวกทหารนักรบ เขากล้าหาญมีศักดิ์ศรี จะต้องเป็นคนแรกที่ก้าวเข้ามาปะทะ” เซซิลช่วยมองหา หาไม่พบเช่นกัน “นอกจาก เขาจะมีกลยุทธ์ที่เราคาดไม่ถึง”

          “เขามีแน่” ไพรม์ดีวอเชอร์สั่งการ “เตรียมหน้าไม้”

                พวกทหารดาร์คเนสดีวิลแถวหน้าสุดยกหน้าไม้สีดำประทับเล็งไปยังกองทัพเฟลมฟอร์ส รอคำสั่งยิงจากไพรม์ดีวอเชอร์

                ความน่ากลัวของเฟลมฟอร์สยังมีอีก นักรบมังกรสีทองตัวใหญ่ขนาดสิบฟุตเริ่มปะปนมากับกองทัพประปราย พวกมันคล้ายทหารเฟลมฟอร์สทั่วไป แต่ตัวใหญ่กว่ามาก แต่ละคนสวมชุดเกราะสีทองทั้งหนาและหนัก บนหัวไหล่ทั้งสองมีไฟลุกโชนอยู่ตลอดเวลา ยิ่งทำให้เกราะที่สวมอยู่เป็นประกาย มือขวาถือดาบโค้งขนาดยักษ์ ซึ่งใบดาบก็ร้อนจัดตลอดเวลาเหมือนถูกเผาไฟมาแดงๆ รอตีให้ขึ้นรูป มาซูลจอมขี้ขลาดนั้นตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าเมื่อเห็นดาบ

          “นักรบสูงสิบฟุตพวกนั้นคืออะไรครับอาจารย์” โซลิแทร์ถามไพรม์ดีวอเชอร์

          “เราเรียกพวกนั้นว่า นักรบเปลวเพลิง (Flame Fighter)” ไพรม์ดีวอเชอร์ตอบ “ทหารราบเกราะหนัก หน่วยรบสำคัญของพวกเฟลมฟอร์ส ดูคล้ายมังกรที่เป็นสัตว์มากกว่าเป็นเผ่าพันธุ์เหนือธรรมชาติ พูดจาสื่อสารไม่ได้เหมือนทหารเฟลมฟอร์สทั่วไป แต่มีระเบียบพอกัน และรับประกันได้ว่าสร้างความเสียหายมากกว่าแน่”

                ยังไม่ทันที่ไพรม์ดีวอเชอร์จะพูดจบดี ลูกไฟขนาดใหญ่ก็พุ่งลงมาระเบิดใส่กองกำลังดาร์คเนสดีวิลแถวหน้าสุด ห่างไปทางขวาของไพรม์ดีวอเชอร์ ทุกคนก้มหัวหลบตามสัญชาติญาณ เมื่อโซลิแทร์เงยหน้าขึ้น ก็พบว่านักรบกลุ่มใหญ่ที่อยู่ในรัศมีพิฆาตของมันนั้น ล้วนกระจัดกระจายตายเรียบ

          “ไหนว่าไม่มีเครื่องยิงไง” ไพรม์ดีวอเชอร์ท้วงเซซิล

          “นั่นไม่ใช่กระสุนจากเครื่องยิงครับ มันคือลูกไฟทั้งลูกที่มีอำนาจเผาผลาญรุนแรงกว่าไฟทั่วไป” เซซิลตอบ “ไฟที่มาจากจอมพิชิต”

          “ระบุตำแหน่งของมันได้ไหม ว่าถูกส่งมาจากทิศทางไหน”

          “ทางนั้น” เซซิลชี้มือไปยังเนินเขาน้ำแข็งด้านหลังกองทัพเฟลมฟอร์สที่เห็นไกลๆ

          บนยอดเนินสีขาวนั้น มีบางอย่างส่องแสงสีทองคล้ายกับดาวฤกษ์อิลิมิน่ากำลังจะลับขอบฟ้า แต่ไม่ใช่แน่นอน โซลิแทร์พอจะมองเห็นเป็นโครงร่างของสิ่งที่มีสองขาเช่นเดียวกับพวกเขา เป็นร่างที่เปล่งแสงออกมาจากตัวได้เหมือนดาวฤกษ์ดวงเล็กๆ  ซึ่งในขณะที่มองอยู่นั้น ร่างที่ว่าก็ส่งลูกไฟลูกใหญ่ลอยโค้งข้ามฟ้าตรงมายังพวกเขา คราวนี้เป็นลูกไฟที่มีรูปร่างเป็นกงจักรหมุนร่อนเข้ามาด้วยความเร็วสูง และระเบิดใส่นักรบดาร์คเนสดีวิลอีกกลุ่มที่ประจำตำแหน่งบริเวณกลางกองทัพกระจัดกระจายตายไปอีกหลายคน แม้ครั้งนี้พวกเขาจะเตรียมตัวหลบกันแล้ว แต่ก็ยังมีคนหลบไม่พ้นอีกมากมาย

                “นี่คือเหตุผลว่า ทำไมครั้งนี้จอมพิชิตถึงไม่นำหน้ากองทัพมา” ไพรม์ดีวอเชอร์เงยหน้าขึ้นจากการก้มหัวหลบ “เขาใช้ตัวเองทำหน้าที่แทนเครื่องยิงเพื่อสลายขบวนแถวของเรา ปูทางให้กับพวกทหารราบของเขา”

                “เขาโจมตีมาจากที่ไกลมาก” เซซิลลดโล่ลง “จะหยุดยั้งหรือโต้ตอบเขาอย่างไรดี”

                “ไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้น” ไพรม์ดีวอเชอร์บอก “เขาจะหยุดโจมตีทันทีที่กองทัพของเขาบุกเข้ามาปะทะกับเรา สิ่งที่เราควรกังวลต่อไปก็คือ เขาจะตามพวกนั้นมาต่อสู้กับเราด้วย”

                ลูกไฟรูปร่างเหมือนลูกหนามนั้นพุ่งเข้ามาโจมตีพวกเขาอีกสองสามครั้ง เอาชีวิตนักรบดาร์คเนสดีวิลที่หลบรัศมีไม่พ้นไปอีกสองสามกลุ่ม การตั้งแถวของพวกดาร์คเนสดีวิลเริ่มไม่เป็นขบวน แต่พวกเขาก็พยายามรักษารูปแบบแถวให้มั่นคงที่สุดเท่าที่จะทำได้

          “ท่านลอร์ดมืด” เซซิลรายงาน “ข้าศึกจะเข้าปะทะในอีกยี่สิบวินาทีโดยประมาณ”

          “หน้าไม้ ยิง” ไพรม์ดีวอเชอร์ทำสัญญาณมือ “ไม่ต้องประหยัดลูกศร”

                พวกดาร์คเนสดีวิลที่ถือหน้าไม้ก้าวมาประจำตำแหน่งแถวหน้าสุด เหนี่ยวไกหน้าไม้ยิงลูกศรสีดำเข้าใส่พวกเฟลมฟอร์สที่ถือดาบถือโล่บุกเข้ามา บางคนก็ถูกลูกศรปักเข้าจุดสำคัญตาย บางคนก็สามารถยกโล่กำบังไว้ได้ แม้จะมีบางคนถูกลูกศรปักเข้าที่แขนหรือขาจนบาดเจ็บ แต่ก็ยังอุตส่าห์เดินลากขาบุกเข้ามาต่อ เป็นการพิสูจน์ว่าพวกเฟลมฟอร์สไร้ความรู้สึกอย่างสิ้นเชิง ไม่มีทหารคนใดที่แสดงความเจ็บปวดออกมา

          เวลาที่พวกนี้ตายร่างก็จะลุกเป็นไฟสลายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ทิ้งร่างไว้เหมือนสิ่งมีชีวิตอื่นทั่วไป

                เมื่อบุกเข้ามาได้ระยะอันสมควร พวกทหารเฟลมฟอร์สที่ถือธนูก็เริ่มยิงตอบโต้ ลูกธนูสีทองเหล่านั้นลุกติดไฟขึ้นมาได้เองเมื่อพุ่งผ่านอากาศ พวกนักรบดาร์คเนสดีวิลดีวิลถูกธนูไฟเสียบกระเด็นหงายไปตามๆ กัน ไพรม์ดีวอเชอร์ดึงโซลิแทร์ไปอยู่ข้างๆ เซซิลเพื่อหลบธนูไฟและให้โล่ของเซซิลกำบัง ขณะที่ตนใช้มือเหล็กปัดธนูไฟดอกหนึ่งที่พุ่งเข้ามาหา พวกนักรบดาร์คเนสดีวิลที่ถือโล่รีบขยับขึ้นมาแถวหน้าสุดเพื่อกำบังลูกธนู การทำเช่นนี้ถือว่าเข้าแผนกลยุทธ์อันชาญฉลาดของพวกเฟลมฟอร์ส เพราะเมื่อถึงเวลาเข้าปะทะ พวกดาร์คเนสดีวิลจะนำแถวดาบขึ้นมาตอบโต้ไม่ทัน

          “ข้าศึกจะเข้าปะทะในอีกสิบวินาทีโดยประมาณ” ไพรม์ดีวอเชอร์สั่งการ “เตรียมดาบ”

                นักรบดาร์คเนสดีวิลทุกคน(ยกเว้นไพรม์ดีวอเชอร์ เซซิล และพวกดีวอเชอร์)ชักดาบออกจากฝัก หากสังเกตดีๆ จะพบว่าดาร์คเนสดีวิลทุกคนมีเขี้ยวขาวเงาวับงอกอยู่ในปาก โซลิแทร์เองก็ชักดาบเล่มเล็กของตนออกมาด้วย มือสั่นเล็กน้อย เขาเป็นคนเดียวที่ไม่มีเขี้ยวงอกเพราะยังเด็กเกินไป แถวดาบเตรียมจะถูกจัดขึ้นไปตั้งรับพวกเฟลมฟอร์สในระยะประจัญบาน แต่แน่นอนว่าคงไม่ทันการ พวกทหารเฟลมฟอร์สแนวหน้ากระจายแถวพร้อมปะทะกับพวกนักรบดาร์คเนสดีวิลแนวหน้าที่ยังแปรรูปแถวไม่เสร็จ

          แต่ก่อนจะเกิดการปะทะนั้น กลุ่มก๊าซสีขาวร้อนจัดที่รวมตัวกันเป็นวงแหวนขนาดเท่าฝ่ามือจำนวนหลายร้อยวง ก็พุ่งเข้าโจมตีพวกทหารเฟลมฟอร์สแนวหน้าล้มลงไปตายกันทั้งแถบ เป็นการโจมตีสกัดในจังหวะกะทันหัน พวกเฟลมฟอร์สเองก็ไม่ได้เตรียมรับมือกับเรื่องนี้ โซลิแทร์หันหลังกลับไปมอง พบว่าวงแหวนเหล่านั้นมาจากพวกนักรบดีวอเชอร์ที่กระจัดกระจายอยู่ตามกองกำลังดาร์คเนสดีวิล พวกเขาหันฝ่ามือเข้าหาข้าศึก แล้ววงแหวนร้อนจัดสีขาวก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือเข้าใส่ฝ่ายตรงข้าม ความร้อนของมันคงสูงมาก เกราะของพวกทหารเฟลมฟอร์สคนที่ถูกยิงใส่นั้นไหม้ทะลุเป็นวงกลมทีเดียว

          “คราวนี้เห็นอาวุธของพวกดีวอเชอร์แล้วใช่ไหม” เซซิลถามโซลิแทร์ เขี้ยวเงาวับงอกอยู่ในปาก มือข้างหนึ่งปล่อยวงแหวนโจมตีข้าศึก มืออีกข้างยกโล่กำบังให้โซลิแทร์และตนเอง

          แม้จะมีการยิงสกัดและพวกนักรบดาร์คเนสดีวิลสามารถตั้งแถวดาบเตรียมตั้งรับได้ทัน แต่เมื่อถึงจังหวะปะทะ พวกทหารเฟลมฟอร์สก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะตัวใหญ่กว่า แข็งแรงกว่า หน่วยก้านดีกว่า เป็นการปะทะกันอย่างดุเดือด นักรบทั้งสองฝ่ายต่างต้องคมอาวุธของอีกฝ่ายล้มลงไปตาย แล้วทุกอย่างก็ชุลมุนไปหมด มองไกลๆ จะเห็นราวกับกองกรวดสีทองและกองกรวดสีดำถูกเทมารวมกัน โซลิแทร์ยืนถือดาบยืนนิ่ง ตามองการต่อสู้รอบตัว ขาสั่นน้อยๆ  เขาเห็นพวกทหารดาร์คเนสดีวิลทุกคนเปล่งเสียงว่า “เราคือกำแพง” ก่อนจะยกดาบรับคมอาวุธที่ฝ่ายตรงข้ามฟาดฟันเข้าใส่เต็มแรง

          “โซลิแทร์ ระวัง”

                โซลิแทร์หันไปทางซ้ายและก้มหัวหลบได้ทัน ดาบสีทองของทหารเฟลมฟอร์สคนหนึ่งตวัดเฉี่ยวหัวเขาไป

          ก่อนที่ทหารมังกรคนนั้นจะมีเวลาเงื้อดาบขึ้นใหม่ โซลิแทร์ก็พึมพำว่า “เราคือกำแพง” พร้อมกับเสยดาบไปที่กลางหน้าอกคู่ต่อสู้ ดาบของเขาแทงทะลุชุดเกราะและร่างของทหารมังกรคนนั้น นอกจากพวกเฟลมฟอร์สจะปราศจากความรู้สึกแล้ว ยังปราศจากโลหิตอีกด้วย โซลิแทร์ถอนดาบออกจากร่างที่ล้มลงไปตายสนิท แล้วลุกติดเป็นไฟสลายหายไป เป็นครั้งแรกที่เขาฆ่าคนโดยใช้ดาบในมือ ฆ่าด้วยความตั้งใจที่จะฆ่า

          “ฝีมือเยี่ยมนี่” เซซิลชม ขณะที่มือสองข้างยิงวงแหวนต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามไม่หยุด “แต่อย่าได้ลำพองใจเป็นอันขาด เมื่อกี้เป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น”

                เซซิลพูดถูกอย่างมากเลยทีเดียว เพราะเมื่อมองรอบๆ แล้ว พวกทหารเฟลมฟอร์สมีทักษะการต่อสู้ที่เก่งกาจมาก พวกดาร์คเนสดีวิลเสียเปรียบเมื่อต้องปะทะตรง ยิ่งมีพวกนักรบเปลวเพลิงเข้ามาสมทบด้วยก็ยิ่งต่อสู้ลำบาก พวกนั้นใช้ดาบที่ร้อนจนแดงฟันสังหารพวกดาร์คเนสดีวิลอย่างเก่งกาจ ร่างกายก็ใหญ่โต เกราะก็หนาถึงขั้นวงแหวนของพวกดีวอเชอร์ยังเจาะไม่เข้า มิหนำซ้ำพวกนั้นยังสามารถพ่นไฟได้เหมือนมังกร พวกนักรบดาร์คเนสดีวิลถูกเผากันแทบกรอบ โซลิแทร์เองก็เกือบจะถูกเผาและเกือบถูกดาบร้อนๆ ฟันขาดสองท่อนหลายครั้ง แต่โชคดีที่เขาตัวเล็กกว่าอีกฝ่ายมาก จึงสามารถหลบหลีกอะไรต่างๆ ได้ง่ายขึ้น

          “มังกร” ไพรม์ดีวอเชอร์ชี้มือขึ้นไปบนฟ้า

                ทำไมมาร์กอลลอสถึงได้สร้างนักรบที่ร้ายกาจขึ้นมาหลายชนิดนักนะ โซลิแทร์คิดขณะที่มังกรตัวย่อมๆ สีแดงฝูงใหญ่บินโฉบลงมา และพ่นไฟเล่นงานพวกเขาเป็นการใหญ่ แค่มังกรสองขาสวมเกราะถืออาวุธที่กำลังสู้อยู่นี้ก็สร้างความลำบากอย่างสาหัสแล้ว

                “ศึกครั้งนี้พวกเฟลมฟอร์สไม่มีทหารม้า แต่มีกำลังเสริมเป็นทัพอากาศ ซึ่งร้ายยิ่งกว่า มีอะไรที่เจ้ายังไม่ได้บอกข้าอีกไหมเซซิล” ไพรม์ดีวอเชอร์ขว้างวงแหวนเข้าใส่ช่องเกราะบริเวณใต้คางของนักรบเปลวเพลิงคนหนึ่ง บริเวณคอหอยใต้คางคือจุดอ่อนของมังกร ทำให้นักรบเปลวเพลิงคนนั้นล้มลงตายคาที่

                “ข้าคงไม่มีอะไรต้องบอกท่าน ข้าก็รู้พร้อมกับที่ท่านรู้เช่นกัน เราไม่มีทางรู้ว่าศึกครั้งนี้จะมีทัพอากาศโผล่มาหรือไม่ เพราะทัพอากาศนั้นเคลื่อนพลได้เร็วมาก อยากจะโผล่มาจังหวะไหนก็โผล่มาได้” เซซิลสังหารนักรบเปลวเพลิงอีกคนด้วยวิธีเดียวกับไพรม์ดีวอเชอร์ ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่าย ต้องแม่นยำและอาศัยจังหวะที่เหมาะสมเป็นพิเศษ “สิ่งเดียวที่เรามั่นใจได้คือ จอมพิชิตวางแผนการรบได้เก่งกาจสมคำล่ำลือ”

                เมื่อต่อสู้กันไปอีกพักใหญ่ กองกำลังดาร์คเนสดีวิลทั้งหมดก็ต้องถอยร่นกลับเข้าไปบริเวณใจกลางฐานทัพ เพราะไม่อาจต้านทานกองทัพอันไร้เทียมทานได้ พวกดาร์คเนสดีวิลต่างบาดเจ็บและตาย ร่างของพวกเขานอนเกลื่อนอยู่บนพื้น พร้อมกับรอยเลือดสีดำบนหิมะ เซซิลปรากฏตัวให้เห็นอีกครั้งพร้อมกับบาดแผลนับไม่ถ้วน ไพรม์ดีวอเชอร์ก็ได้บาดแผลเช่นกัน เลือดสีดำไหลเปรอะชุดเกราะทีเดียว โซลิแทร์เองก็ได้แผลเพิ่มสองสามแห่ง แต่ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร เท่าที่รู้คือเขาจำอะไรไม่ค่อยได้ เพราะมัวแต่หลบคมอาวุธและเปลวไฟจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น ได้แต่วิ่งไปวิ่งมาเหมือนคนบ้า สังหารพวกเฟลมฟอร์สได้บ้างเมื่อจังหวะเอื้ออำนวย ตอนนี้เขาเริ่มชินกับการฆ่าฟันแล้ว เขาไม่รู้เลยว่าส่วนใหญ่ที่รอดมาได้นั้น เป็นเพราะไพรม์ดีวอเชอร์คอยปกป้องเขาอยู่ห่างๆ

          จู่ๆ  นักรบดาร์คเนสดีวิลคนหนึ่งก็ตะโกนเสียงดังราวกับคนเสียสติ

          “จอมพิชิต”

          “โซลิแทร์ นี่คือคำสั่งจากผู้นำสูงสุดของเจ้า” เสียงเย็นๆ ของไพรม์ดีวอเชอร์ลอยผ่านเสียงโหวกเหวกของสงครามด้วยอำนาจบางอย่าง “วิ่ง”

                โซลิแทร์หันหลังกลับและออกวิ่งสุดชีวิต พอเห็นจากหางตาว่ามีแสงสีทองสว่างจ้า หูได้ยินเสียงระเบิด เสียงไฟไหม้ และเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของพวกนักรบดาร์คเนสดีวิล เขาก้มหัวหลบคมดาบสีทองเล่มหนึ่ง ไม่ได้มองว่าฟันมาจากตรงไหน สองขายังวิ่งไม่หยุด แล้วก็ก้มหลบอีกเล่มหนึ่ง จะเพราะอะไรก็ช่าง เขารู้สึกว่าครั้งนี้ตนวิ่งเร็วกว่าครั้งใดในชีวิต

                เขาคงไม่หยุดวิ่งถ้าไม่มีหลุมพลังมืดขวางอยู่ตรงหน้า บริเวณนี้เหล่าศัตรูยังมาไม่ถึง เด็กน้อยยืนหอบอยู่ตรงนั้น แล้วหันกลับไปมอง สิ่งแรกที่เห็นคือนักรบดาร์คเนสดีวิลแปดคนกำลังถูกไฟครอก ฝุ่นควันและไอน้ำที่เกิดจากหิมะถูกความร้อนนั้น บดบังสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าบางส่วน อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังพอเห็นร่างขนาดสิบห้าฟุตรางๆ  มีแสงสีทองส่องออกมาจากร่างตลอดเวลา มือขนาดใหญ่ทั้งสองมีไฟลุกท่วม พวกดีวอเชอร์พยายามระดมปล่อยวงแหวนโจมตี แต่ร่างนั้นก็ยกมือซ้ายขึ้น เปลวไฟในมือขยายออกมาเป็นโล่ไฟใบมหึมา ป้องกันได้ทั้งหมด และในเวลาเดียวกันเปลวไฟในมืออีกข้างก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นดาบไฟเล่มใหญ่ แล้วฟันใส่พวกนักรบดาร์คเนสดีวิลร่างขาดเผาไหม้ไปหลายคนในดาบเดียว ไฟของเขามีอำนาจเผาผลาญเกินธรรมดา ราวกับเทพเจ้าต่อสู้กับคนธรรมดา จะต่อยังไงก็สู้ไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง

                “มาร์กอลลอส” โซลิแทร์พึมพำ “จอมพิชิต”

          การที่มาร์กอลลอสตามมาสมทบการต่อสู้ ส่งผลให้กองกำลังดาร์คเนสดีวิลถูกต้อนให้ถอยหลังเร็วขึ้นอีก กระโจมค่ายและกำแพงป้อมในฐานทัพล้มกระจายระเนระนาด มาซูลนั่งขดตัวอยู่หลังคอกม้า ตัวสั่นเหมือนจิ้งจอกหิมะขี้กลัว เขาหลบอยู่ที่นี่ตั้งแต่กองกำลังเริ่มแตกขบวน ไม่มีส่วนร่วมในสนามรบแม้แต่น้อย แต่ก็คงไม่มีใครโทษเขา เพราะศึกครั้งนี้มันสาหัสและไร้หวังจริงๆ  เซซิลต่อสู้ถอยหลังมาพบ ชุดเกราะและเนื้อตัวมีรอยไหม้เต็มไปหมด ผิวโล่ก็ละลายไปบางส่วน ม้าในคอกวิ่งแตกตื่นหนีหมด เซซิลจับไว้ได้ตัวหนึ่งแล้วจูงไปหามาซูล

          “ขี่ม้าตัวนี้หนีไป สหาย” เขายื่นสายบังเหียนให้

          มาซูลรับสายบังเหียนมา ดูลังเลทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะทำอะไรต่อไป

          “ถ้าจะหนีก็รีบไปเร็ว หากข้าศึกกระชับพื้นที่เพิ่มขึ้น จะหนียากกว่านี้” เซซิลเร่ง

          มาซูลรีบปีนขึ้นหลังม้าสีดำ แล้วขี่เดินหน้าไปท่าทางกลัวๆ เซซิลจัดระเบียบเสื้อคลุมเหล็ก แล้วยกโล่ตรงกลับเข้าสู่สมรภูมิอีกครั้ง

          โซลิแทร์ก้มหัวหลบธนูไฟ นักรบดาร์คเนสดีวิลกลุ่มที่อยู่ข้างหน้าเขานั้นกำลังจะหมดปัญญาต้านกลุ่มทหารเฟลมฟอร์สที่มีจำนวนมากกว่า ดาบในมือของเด็กน้อยถูกกระชับแน่นขึ้น ถ้านักรบดาร์คเนสดีวิลกลุ่มนั้นต้านไม่อยู่ เขาก็จะต้องสู้กับทหารเฟลมฟอร์สตัวใหญ่กำยำหลายคน

          ไม่ต้องคิดไกลขนาดนั้น มังกรแดงตัวหนึ่งกางปีกโฉบลงมาพ่นไฟใส่เขาเต็มพิกัด โซลิแทร์หลับตา ยกสองแขนกำบังศีรษะ รู้อยู่แก่ใจว่าทำอย่างนี้ไม่ได้ช่วยป้องกันไฟได้เลย มันเป็นแค่ความพยายามดิ้นรนที่จะปกป้องตัวเองเท่านั้น

                แต่เขากลับไม่รู้สึกแสบร้อน หรือได้กลิ่นผิวหนังตนเองไหม้ กลับรู้สึกเย็นๆ เสียด้วยซ้ำ หรือว่าเขาตายไปแล้ว แต่ตายไปแล้วจะมายืนคิดแบบนี้ได้ยังไง เด็กน้อยลดแขนลง แล้วพบว่าตนถูกล้อมด้วยโดมน้ำแข็งมิดชิด มันช่วยป้องกันเปลวไฟจากมังกรจอมพิฆาตตัวนั้นได้ แล้วมือข้างหนึ่งก็จับบ่าเขาจากด้านหลัง ทำเอาสะดุ้งสุดตัว

                “ขอเสนออีกครั้ง ข้ายินดีพาเจ้าหนีไปด้วย” อาร์รอสพูด ตามองไปข้างหน้า ตั้งสมาธิเต็มที่ มือข้างที่ไม่ได้จับบ่าโซลิแทร์ยกหันฝ่ามือไปข้างหน้า เหมือนทำท่าห้าม มันทำให้เขาคงสภาพของโดมน้ำแข็งเอาไว้

                “ท่านมาได้ยังไง” โซลิแทร์กระพริบตาปริบๆ

                “พวกเจ้ามัวแต่สู้กับพวกเฟลมฟอร์ส ไม่ว่าใครก็สามารถลอบเข้ามาได้ทั้งนั้นล่ะ คำถามก็คือ จะเข้ามาเพื่ออะไรกันถ้าไม่อยากตาย ข้ายังไม่อยากตาย แต่ก็อยากช่วยเจ้าออกไป” อาร์รอสยังค้างอยู่ท่าเดิม โดมน้ำแข็งของเขาป้องกันลูกธนูไฟได้อีกหลายดอก “ฉะนั้น จะไปกับข้าไหม ข้าไม่อาจใช้ความสามารถพิเศษปกป้องเราอยู่ตรงนี้ได้ตลอดนะ”

                “ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าจากไฟ แต่ก็คงต่อชีวิตให้ข้าอีกเพียงเล็กน้อย” โซลิแทร์พูดอย่างขอบคุณ “ข้าเสียใจ แต่ข้าทิ้งพื้นที่ของข้าไม่ได้ ทิ้งพวกพ้องไม่ได้”

                “เจ้าเป็นเด็กชายที่กล้าหาญและเด็ดเดี่ยวที่สุดที่ข้าเคยพบมาจริงๆ ลูกชาย เจ้ายืนหยัดต่อสู้กับสิ่งที่ไม่มีวันเอาชนะได้ ด้วยหัวใจที่ไม่มีวันยอมแพ้ ข้าได้แต่หวังว่า บรรดาผู้ใหญ่ในเผ่าพันธุ์ของข้าจะเป็นได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้าบ้าง” อาร์รอสขยี้หัวเด็กชายเร็วๆ ด้วยมือที่ว่างอยู่ “ทันทีที่ข้าทำให้เกราะน้ำแข็งหายไป เจ้าจะต้องวิ่งอ้อมปากหลุมพลังมืดไปทางซ้าย ข้าจะล่อพวกที่ขวางทางเจ้าให้ไปทางขวา พวกเฟลมฟอร์สพยายามหลีกเลี่ยงที่จะฆ่าเด็ก พวกนั้นจะไล่ตามผู้ใหญ่อย่างข้าก่อน จงวิ่งไปโซลิแทร์ วิ่งไปหาพวกพ้อง ต่อสู้เคียงข้างพวกเขา ถ้าอยู่คนเดียวเจ้าจะทำอะไรได้ไม่มาก ซึ่งข้าก็ได้แต่หวังว่า สักวันเราจะมีโอกาสได้พบกันอีก เอาล่ะ ไป!”

                โดมน้ำแข็งของอาร์รอสแตกสลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งเล็กๆ  แล้วทั้งคู่ก็วิ่งแยกกันไปคนละทาง โซลิแทร์วิ่งอ้อมขอบหลุมพลังมืด เห็นแวบๆ ว่ามังกรสามตัวกับทหารเฟลมฟอร์มสองสามคนตรงรี่ตามอาร์รอสไป ไม่ไกลออกไปนักมาซูลก็กำลังขี่ม้าหนีเหมือนกัน และหันกลับมามองโซลิแทร์ด้วย แต่เด็กน้อยไม่มีเวลาสนใจ ได้แต่วิ่งเต็มฝีเท้า ไม่รู้ว่าเพื่ออะไรหรือหนีอะไร แต่เขาขอรักษาชีวิตไว้จนกว่าจะไปสมทบกับนักรบดาร์คเนสดีวิลสักกลุ่ม ถึงอย่างไรการตายเคียงข้างพี่น้องก็ยังดีกว่าตายอยู่คนเดียว หากปีศาจอยู่รวมกัน ปีศาจจะถูกฆ่ายากกว่าที่คิด นี่คือสิ่งที่ไพรม์ดีวอเชอร์บอกเขา

                แล้วการหนีของเขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อทหารเฟลมฟอร์สสองสามคนถือดาบจังก้าขวางหน้าอยู่ พวกนั้นก้มลงมามองเขาด้วยท่าทางไม่พอใจ

                “ทิ้งดาบเสียเจ้าหนู แล้วหนีไปไกลๆ นักรบเฟลมฟอร์สผู้มีเกียรติไม่ต้องการสังหารเด็ก” ทหารเฟลมฟอร์สคนหนึ่งพูด เสียงของเขาคล้ายกับมังกรคำรามมาก

                “ข้าทำไม่ได้” โซลิแทร์ยังคงกำดาบกล้าๆ กลัวๆ ทหารคนนั้นตัวใหญ่กว่าเขามาก ดาบก็ใหญ่กว่า เกราะก็หนากว่า ไม่รู้จะมีอะไรไปสู้ “ข้าหนีไม่ได้ ไม่มีที่ไป ข้าต้องปกป้องพวกพ้อง”

                “เจ้าเด็กโง่ เจ้าบีบบังคับให้ข้าต้องทำร้ายเด็ก ขอสาปแช่งความดื้อรั้นของเจ้า” ทหารคนนั้นแยกเขี้ยวคำรามเหมือนมังกร ก้าวเข้ามาพร้อมกับดาบ ทหารเฟลมฟอร์สอีกสองคนรีบแยกไปสู้รบอีกทาง คงไม่อยากเห็นเด็กถูกฆ่า

                โซลิแทร์แทงดาบใส่อีกฝ่ายแบบไม่มีอะไรจะเสีย แต่ทหารเฟลมฟอร์สก็ยกโล่กำบังได้ง่ายๆ  เด็กเจ็ดขวบจะทำอะไรทหารมืออาชีพได้ โซลิแทร์ถูกโล่ผลักกลิ้งไปกับพื้น ดาบหลุดจากมือ แต่ก็ยังใจสู้ คลานไปคว้าดาบลุกขึ้นเตรียมสู้ต่อ

                มาซูลที่อยู่ไม่ห่างออกไปนักหยุดม้า มองดูเด็กน้อยธรรมดาคนหนึ่งต่อสู้กับศัตรูที่แสนจะเก่งกว่ามาก มือที่กำบังเหียนสั่นน้อยๆ ดูลังเลว่าจะทำยังไงต่อดี เขาหันหลังให้สิ่งที่เห็น ทนมองดูเด็กน้อยคนนี้ถูกฆ่าไม่ได้ อยากจะหนีจากตรงนี้ไปให้พ้น ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น แต่ก็ยังอดเหลือบหันไปมองไม่ได้

                โซลิแทร์ฟันดาบใส่คู่ต่อสู้ ทหารเฟลมฟอร์สยกดาบรับด้วยท่าทางสมเพชปนนับถือ การต่อสู้กับเด็กนั้น ช่างเป็นความรู้สึกชวนอัปยศ ควรรีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นไปเสียดีกว่า เขาตัดสินใจเล็งดาบฟันใส่คอโซลิแทร์ เด็กน้อยยังอุตส่าห์เอี้ยวตัวหลบได้ ต้นคอถูกปลายดาบบาดเป็นรอย เด็กน้อยล้มลงไปกับพื้น เลือดสีดำกระเซ็นลงบนพื้นหิมะ

                มาซูลหลับตายกมือกุมหัวตัวเอง ก่อนจะลืมตา กระชากบังเหียน ทำในสิ่งที่แม้แต่ตนเองก็ไม่คาดคิดว่าจะทำ นั่นคือควบม้ากลับเข้าไปในสมรภูมิ ควบผ่านคู่ต่อสู้หลายคู่ ถูกลูกธนูไฟเฉี่ยวศีรษะจนผมละลายไปบางส่วน แล้วตรงเข้าหาโซลิแทร์กับทหารเฟลมฟอร์สคนนั้น ปากตะโกนว่า “อย่าทำเขา”  แล้วม้าของเขาก็วิ่งชนทหารเฟลมฟอร์สที่กำลังจะเงี้อดาบสังหารโซลิแทร์พอดี ทหารมังกรกระเด็นไปหมดสติอยู่ไกลๆ

                “ส่งมือมา” เขาเอื้อมมือไปหาโซลิแทร์ เขี้ยวเงาวับปรากฏในปากระหว่างที่พูด มันทำให้ภาพลักษณ์ของดูเขากล้าหาญขึ้นในบัดดล

                โซลิแทร์คว้ามือของมาซูล แล้วถูกดึงขึ้นไปนั่งซ้อนม้า เขามองไปรอบๆ แล้วเพิ่งสังเกตว่ารอบตัวตนมีแต่พวกทหารเฟลมฟอร์สทั้งนั้น การบุกฝ่าเข้ามากลางวงแบบนี้มันบ้าชัดๆ มองไม่เห็นหนทางที่จะฝ่าออกไปเลย

                แล้ววงแหวนขาวของดีวอเชอร์ที่มีขนาดใหญ่เกินปกติ เส้นผ่านศูนย์กลางราวหนึ่งเมตร ก็พุ่งมาระเบิดเปิดทางให้พวกเขา สังหารทหารเฟลมฟอร์สกลุ่มหนึ่งที่ยืนขวางอยู่กระจัดกระจายตายเรียบ

                “โซลิแทร์ มาซูล” เซซิลตะโกน “ไป”

          มาซูลรีบสะบัดบังเหียนควบหนีสุดชีวิต ธนูไฟหลายดอกพุ่งผ่านหลังโซลิแทร์ไปอย่างน่าหวาดเสียว เด็กน้อยเกาะหลังมาซูลแน่น ม้าของพวกเขาวิ่งกระโดดข้ามผ่านช่องที่เซซิลเปิดทางให้ แล้ววิ่งห่างออกจากหลุมพลังมืดเต็มฝีเท้า

                แต่แล้วก็ไปได้ไม่ไกลนัก นักรบเปลวเพลิงคนหนึ่งก้าวมาขวางพวกเขาพร้อมกับดาบร้อนจัดในมือ ทหารเฟลมฟอร์สอีกหลายคนก็ตีวงล้อมเข้ามาจากทุกทาง มาซูลหยุดม้า หันซ้ายหันขวา เอาตัวบังโซลิแทร์อย่างปกป้อง เด็กน้อยก็เกาะหลังเขาแน่น ตัวสั่นน้อยๆ ไม่ว่าจะยังไงเขาก็เป็นแค่เด็กเจ็ดขวบคนหนึ่ง จะใจสู้แค่ไหนก็อดหวาดกลัวไม่ได้ คราวนี้ไม่ได้มีเซซิลอยู่ช่วยแล้ว พวกเขาจนปัญญาที่จะหาทางฝ่าออกไปเป็นครั้งที่สอง

                “วันนี้คงเป็นวันที่ข้าจะต้องตาย” มาซูลหันมากระซิบกับโซลิแทร์ พร้อมกับรอยยิ้มเศร้าๆ “ขอบคุณมากน้องชาย ที่ทำให้ข้าได้พบกับวันที่ข้าภูมิใจตัวเองมากที่สุดในชีวิต”

                แล้วเขาก็กระโดดลงจากหลังม้า ชักดาบของโซลิแทร์ออกมา แล้วขว้างไปข้างหน้าสุดแรง แม้เขาจะไม่เคยขว้างอะไรแบบนี้มาก่อน แต่ราวกับพลังและความเชื่อมั่นที่หลบซ่อนอยู่ในตัวเขาระเบิดออกมา ดาบเล่มนั้นลอยหมุนไปเสียบทะลุหน้าผากหมวกเกราะนักรบเปลวเพลิงที่ขวางอยู่ตรงหน้าล้มลงตายคาที่ มาซูลคว้าบังเหียนมาสะบัดแล้วโยนส่งให้โซลิแทร์ โซลิแทร์ยึดบังเหียนไว้แทบไม่ทันเมื่อม้ากระโจนวิ่งไปข้างหน้ากะทันหัน แล้ววิ่งข้ามศพนักรบเปลวเพลิงที่กำลังสลายเป็นไฟ ทหารเฟลมฟอร์สสองสามคนวิ่งตามโซลิแทร์ไป แต่ก็ตามความเร็วม้าไม่ทัน ที่เหลือหันมาเตรียมเล่นงานมาซูล ผู้ซึ่งคว้าดาบสองเล่มขึ้นมาจากศพนักรบดาร์คเนสดีวิลบนพื้น ตั้งท่าพร้อมสู้ตาย แม้จะรู้ว่าฝีมือไม่เอาไหน แต่ก็ขอสู้ด้วยหัวใจอันเด็ดเดี่ยว

                “แม้ข้าจะเป็นแค่สุนัขจิ้งจอก แต่วันนี้ ข้าจะขอคำรามให้กึกก้องจนฟ้าสะเทือน”

แล้วเขาก็ฟันดาบใส่ทหารเฟลมฟอร์สคนหนึ่งที่ยกดาบรับไว้ได้ และฟาดโล่สวนกลับเข้าเต็มหน้า ทำเอาเขี้ยวและฟันสองสามซี่ของเขากระเด็นออกจากปาก เลือดพุ่งกระจาย เขาล้มลงไปนอนนิ่งบนพื้นหิมะ เลือดสีดำสนิทที่ไหลจากปากนั้นตัดกับสีขาวของหิมะ

                โซลิแทร์พยายามเกาะม้าทรงตัวไม่ให้ร่วง เขาไม่ถนัดขี่ม้าเลย ตัวเขาก็เล็กนิดเดียว ไม่ได้สนใจแล้วว่ารอบตัวมีอะไร สิ่งเดียวที่กังวลตอนนี้คือ เขากำลังจะเกาะไม่อยู่

                วินาทีต่อมา ความเจ็บปวดอันสุดแสนจะทรมานก็เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเขาเกาะไม่อยู่ แต่เป็นเพราะมีลูกไฟลูกใหญ่พุ่งเข้าระเบิดใส่นักรบดาร์คเนสดีวิลกลุ่มหนึ่งกระจัดกระจายตายเรียบ ซึ่งโซลิแทร์ก็ได้รับรัศมีแรงระเบิดเช่นกัน ม้าของเขาตาย ส่วนร่างเขาก็กระเด็นตกลงมาบนพื้นหิมะเย็นเฉียบ ล้มกลิ้งหลายตลบ

          เด็กน้อยนอนหงายอยู่บนพื้น หายใจหอบ บาดเจ็บเกินกว่าจะคลานหนีไปไหนได้อีก ร่างกายบางส่วนมีรอยไหม้ มีเลือดสีดำไหลออกจากบาดแผลแห้งๆ ผิวเสื้อเกราะบางส่วนหลอมละลาย หน้าผากก็ถูกกระแทกจนมีเลือดไหล ต้องกระพริบตาไม่ให้เลือดเข้าตา

          แล้วร่างสีทองขนาดสิบห้าฟุตที่โซลิแทร์เห็นก่อนหน้านี้ก็ปรากฏให้เห็นอีกครั้ง มาร์กอลลอสก้าวเดินอ้อมหลุมพลังมืดที่เห็นอยู่ตรงหน้า ครั้งนี้โซลิแทร์เห็นเขาเต็มตาและจะจดจำไปจนวันตาย

          มาร์กอลลอสสูงตระหง่าน ร่างเป็นสีทองและถูกหุ้มด้วยเกราะหนาสีทองตั้งแต่หัวจดเท้า เป็นเกราะที่มีแสงสีทองส่องสว่างออกมาตลอดเวลาราวกับดาวฤกษ์ อกเสื้อเกราะมีตราสัญลักษณ์มังกรบินอยู่กลางเปลวไฟ สัญลักษณ์เดียวกับที่อยู่บนธงรบและบนโล่ของพวกทหารเฟลมฟอร์ส สัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์เฟลมฟอร์ส ข้างหลังของเขาก็มีเกราะที่ถูกออกแบบให้เหมือนหางมังกร มีเปลวไฟลุกติดที่ปลายหางตลอดเวลา เกราะบริเวณไหล่และหลังส่วนบนก็ถูกออกแบบเป็นปีกมังกรที่ยังไม่ได้กาง มีไฟลุกอยู่ตามขอบปีกเป็นจุดๆ เขาสวมหมวกเกราะรูปหัวมังกร ดวงตาของมังกรมีไฟลุกติดตลอดเวลา เช่นเดียวกับปลายเขามังกรทั้งหกคู่ มองดูคล้ายมงกุฎ ใบหน้าแท้จริงของเขาที่เห็นอยู่ระหว่างปากและเขี้ยวของหมวกเกราะมังกรนั้น ดูจะเป็นโลหะสีทอง สันนิษฐานว่าทั้งร่างกายของเขาก็เป็นโลหะด้วย เป็นใบหน้าที่แบนโค้งว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลยนอกจากดวงตาขนาดยักษ์สองข้างที่ใสว่างเปล่าเหมือนกระจก แต่มีแสงสีทองเจิดจ้าส่องออกมาเหมือนประภาคาร เวลาเขามองไปยังที่ใด แสงก็จะตามไปส่องที่ตรงนั้น เท้าโลหะของเขามีลักษณะเหมือนอุ้งเท้ากรงเล็บมังกร ทุกย่างก้าวจะเกิดการเผาไหม้ที่พื้น พื้นหิมะที่เขาเหยียบลงไปจะละลายและส่งเสียงฟู่ฟ่า มีไอระเหยขึ้น หากเป็นพื้นดินธรรมดาคงมีรอยไหม้

          มือทั้งสองของมาร์กอลลอสดูจะเป็นส่วนที่น่ากลัวที่สุด เพราะมันคืออาวุธที่เขาใช้กำจัดศัตรู เป็นมือโลหะคมๆ ยาวๆ แหลมๆ คล้ายกรงเล็บมังกร มีเปลวไฟลุกโชนอยู่ตลอดเวลา ขณะที่โซลิแทร์นอนดูอยู่นี้ เปลวไฟในมือข้างหนึ่งก็ขยายรูปร่างเป็นหอกไฟ แล้วมาร์กอลลอสก็พุ่งมันไประเบิดสังหารดีวอเชอร์กลุ่มหนึ่งตายเรียบไม่เหลือซาก

          โซลิแทร์พยายามใช้สองแขนพยุงร่างให้ลุกขึ้น แต่ก็ทำได้แค่โงตัวในท่านอนขึ้นมาเล็กน้อย ร่างของเขาสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวดและอ่อนล้า

          “อยู่เฉยๆ เสีย ปีศาจน้อย ชีวิตเจ้าจะดับสูญหากไม่เลิกดิ้นรน”

          เสียงนั้นดังมาจากมาร์กอลลอส เป็นเสียงที่มีพลัง มีอำนาจสะท้อน และมีเสียงเปลวไฟเผาไหม้ดังออกมาพร้อมกับทุกคำพูดของเขา ไม่ทราบเหมือนกันว่าเสียงออกมาจากตรงไหนเพราะมาร์กอลลอสไม่มีปาก แต่แน่นอนว่าเป็นเสียงที่น่าเกรงขาม มาร์กอลลอสพูดกับโซลิแทร์แต่ไม่ได้ใส่ใจนัก ไม่ต้องการทำร้ายเด็กชายที่ไร้พิษสงไร้ทางสู้ เขายืนอยู่บริเวณขอบหลุมพลังมืด เป็นตำแหน่งที่เล็งโจมตีเป้าหมายได้กว้างขวางมาก ไฟในมือข้างหนึ่งขยายรูปร่างเป็นคันธนูไฟ อีกข้างหนึ่งเหนี่ยวสายและขยายรูปร่างเป็นลูกศรไฟ เขายิงลูกศรไฟที่เปลี่ยนรูปร่างเป็นนกฟินิกซ์ไฟกางปีกบินออกไป และโฉบใส่นักรบดาร์คเนสดีวิลกลุ่มใหญ่กระเด็นกระดอนถูกไฟครอกตายไปตามๆ กัน นับว่าแม่นยำมาก ทุกครั้งที่มาร์กอลลอสโจมตีจะไม่มีทหารนักรบฝ่ายเฟลมฟอร์สคนใดได้รับอันตรายจากไฟบรรลัยกัลป์ของเขาเลย เรื่องนี้เขาให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ไม่ว่ายังไงก็ห้ามพลาดไปทำอันตรายพวกเดียวกัน  

          โซลิแทร์ไม่อยู่ในสภาพที่จะสู้กับอีกฝ่ายได้ ต่อให้อยู่ในสภาพดีกว่านี้ก็ไม่มีทางสู้ได้ ที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือนักรบที่เก่งที่สุดในดาวดวงนี้ ส่วนเขาเป็นแค่เด็กน้อยที่ไม่มีแม้แต่อาวุธ เป็นแค่ตัวประกอบเล็กๆ ในสงคราม นี่ไม่ใช่นิยายซ้ำซากที่เด็กคนหนึ่งจะมีพลังขึ้นมากะทันหัน และสามารถต่อสู้กับสิ่งที่มีพลังมากกว่า มันไม่ใช่เลย เขาไม่ใช่คนพิเศษ ไม่ใช่ผู้ถูกเลือก ไม่ได้ถูกกำหนดให้มาเป็นอะไรทั้งนั้น เขาเป็นแค่เด็กชายปีศาจคนหนึ่งที่นอนบาดเจ็บ รอคอยความพ่ายแพ้เหมือนตัวประกอบอื่นๆ ในนิยาย

          แอปเปิลที่มีรอยกัดรูปสายฟ้ากลิ้งออกมาจากเสื้อนอกที่เขาสวมทับเสื้อเกราะ

          “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เข้มแข็งเข้าไว้นะ เจ้าเป็นเพื่อนของข้า สำหรับข้าแล้ว เจ้าคือยอดปีศาจเสมอ”

          นั่นคือคำพูดของผู้ให้แอปเปิลลูกนี้แก่เขา คำพูดที่มีแต่ความจริงใจ

          จริงอยู่ เขาอาจเป็นแค่เด็กปีศาจธรรมดา ผู้ไม่มีอะไรพิเศษ แต่อย่างน้อย เขาก็ยังได้เป็นเพื่อนของเธอ คำว่าเพื่อนคือสิ่งที่ทำให้คนธรรมดาอย่างเขากลายเป็นคนพิเศษได้ เขาไม่สำคัญอะไรหรอกเมื่อเทียบกับผู้กล้าในนิยายทั้งหลาย แต่อย่างน้อย เขาก็สำคัญสำหรับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ในเมื่อเขาคือยอดปีศาจสำหรับเธอ เขาก็จะไม่นอนเจ็บอยู่เฉยๆ แบบนี้ ความสามารถอาจมีไม่มาก สภาพร่างกายอาจบาดเจ็บเกินจะต่อสู้ แต่หัวใจของเขาจะไม่ย่อท้อ ขอยืนหยัด จนกว่าจะสิ้นลมหายใจ  

          เด็กน้อยตั้งสมาธิ ฝากความหวังให้กับมันอีกสักครั้ง ไอน้ำโปร่งใสถูกขับออกมาจากมือ ผ่านถุงมือที่สวมอยู่ และลอยขึ้นไปก่อตัวเป็นเมฆสีเข้ม มันทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกดูดพละกำลังออกไปด้วย อำนาจพิเศษได้ออกมาจากร่างกายของเขาผ่านทางมือแล้ว สิ่งที่จะทำต่อไป ก็คือควบคุมมัน คราวนี้ไม่ได้มีแค่เมฆดำลอยอยู่บนฟ้า แต่มีลมกรรโชกพัดรุนแรงด้วย

          ดวงตาของมาร์กอลลอสฉายแสงไปที่เมฆ แล้วฉายกลับมาที่โซลิแทร์ แม้จะคาดเดาได้ยากว่าเขารู้สึกอย่างไร แต่โซลิแทร์ก็พอเดาได้ว่ามันคือความประหลาดใจ ไม่คาดคิด ไม่คาดฝัน

          “เจ้า” มาร์กอลลอสบอกกับโซลิแทร์อย่างไม่อยากเชื่อ “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้”

          อะไรถึงเป็นแบบนี้ได้โซลิแทร์ไม่รู้ และไม่ใส่ใจด้วย เขาพยายามเพ่งสมาธิเต็มที่ พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอยู่ เขาไม่เคยทำฟ้าผ่าได้เลยตลอดเวลาที่พยายามมา นี่คงจะเป็นความพยายามครั้งสุดท้าย แต่แม้ว่าเขาจะทำฟ้าผ่าได้สำเร็จ มันก็ใช่ว่าจะทำอันตรายมาร์กอลลอสได้ ต่อให้ถูกฟ้าผ่าสักร้อยครั้งมาร์กอลลอสก็คงไม่เป็นอะไร แต่นี่คือการดิ้นรนของเด็กชายผู้ไม่มีอะไรจะเสีย

          “ปีศาจน้อย เจ้ายังเด็กนัก แต่ข้าไม่มีทางเลือก” มาร์กอลลอสพูด “โปรดอภัยให้ข้าด้วย ข้าจำเป็นต้องกำจัดเจ้า”  

          มาร์กอลลอสต้องการกำจัดเขา นี่คือสิ่งที่โซลิแทร์รับรู้ เด็กน้อยได้แต่พยายามใช้สมาธิและพละกำลัง ทำให้ฟ้าผ่าลงมาสักครั้ง หากนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะได้ทำในชีวิต

          มาร์กอลลอสยกมือข้างหนึ่งขึ้น เปลวไฟในมือโบกสะบัดไปตามแรงลมราวกับผืนธง มันขยายใหญ่ขึ้นเป็นลูกไฟ พร้อมที่จะถูกขว้างลงมาปลิดชีวิตโซลิแทร์ที่นอนบาดเจ็บอยู่บนพื้น

          ในวินาทีนั้น วงแหวนสีขาวที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางราวหนึ่งเมตรก็พุ่งเข้าใส่มาร์กอลลอสที่กลางอกขวา แสงของมันแผดกล้าออกมาบาดตาจนแทบแยกไม่ออกว่าเป็นสีอะไร โซลิแทร์ยกมือปิดหูและหลับตาแน่น แต่ถึงกระนั้นเสียงกัมปนาทก็ยังทะลุเข้ามาในหูอยู่ดี จมูกของเขาได้กลิ่นโลหะไหม้

          “โซลิแทร์---เจ้า---บาด---เจ็บ”

                โซลิแทร์เอามือออกจากหู ลืมตามองไปข้างหน้า มาร์กอลลอสหายไปไหนแล้วไม่รู้ ขณะที่ไพรม์ดีวอเชอร์กำลังหอบอยู่หลังหมวกเกราะ วงแหวนยักษ์สีขาวที่เขาเพิ่งใช้ไปนั้นเหมือนกับที่เซซิลใช้เปิดทางให้โซลิแทร์และมาซูล แต่ดูเหมือนว่าวงของไพรม์ดีวอเชอร์จะมีอานุภาพรุนแรงมากกว่า และบั่นทอนกำลังกายมากกว่า ไม่เคยเห็นไพรม์ดีวอเชอร์เหนื่อยขนาดนี้เลย

          “อาจารย์” โซลิแทร์ครางเสียงเบา “จอมพิชิต--”

          “เขาตกลงไปในหลุมพลังมืด” ไพรม์ดีวอเชอร์ตอบรวดเดียวและหายใจหอบต่อ มือชี้ไปที่หลุมพลังมืดเบื้องหน้า มีเสียงหิมะระเหยและไอควันเต็มไปหมด

                แทบจะในวินาทีเดียวกัน มือโลหะขนาดมหึมาที่มีเปลวไฟลุกโชนก็โผล่ขึ้นมาคว้าปากหลุม ค่อยๆ ดึงตัวขึ้นมาอย่างทุลักทุเล มาร์กอลลอสยังไม่ได้ร่วงลงไปถึงก้นหลุม เขาเอามือใหญ่ๆ คว้าด้านข้างของหลุมไว้ได้ทันเวลา แต่ก็บาดเจ็บไม่น้อยทีเดียว ชุดเกราะบางส่วนของเขามีรอยไหม้เสียหาย ไม่ใช่เพราะวงแหวนของไพรม์ดีวอเชอร์ แต่เป็นเพราะพลังมืดที่ลุกโชนอยู่ในหลุม ดูเหมือนว่าพลังมืดของเฮเวนล็อคจะสามารถสร้างอันตรายให้แก่มาร์กอลลอสได้ อย่างที่พลังอื่นๆ ไม่เคยทำได้

          ไพรม์ดีวอเชอร์ปล่อยวงแหวนยักษ์โจมตีอีกครั้งขณะที่มาร์กอลลอสกำลังปีนขึ้นมาจากหลุม แต่คราวนี้มาร์กอลลอสยกมือข้างหนึ่งขึ้นคล้ายทำท่าห้าม เปลวไฟในมือขยายตัวและหมุนวนเป็นวงล้อ มันสกัดวงแหวนของไพรม์ดีวอเชอร์ให้ระเบิดกลางอากาศด้วยความรุนแรงที่ลดลงมาก เขาไม่มีทางจะถูกโจมตีแบบเดิมเป็นครั้งที่สองแน่ เขาขึ้นมาจากหลุมได้ครึ่งตัวแล้ว มือข้างที่สกัดวงแหวนนั้นขยายเปลวไฟเป็นลูกไฟดวงใหญ่

          ตอนนี้ในหัวของโซลิแทร์ไม่ได้คิดเรื่องอื่นแล้ว ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะรอดหรือไม่รอด เขาคิดแค่ว่าจะต้องปกป้องอาจารย์ จะต้องทำฟ้าผ่าลงมาให้ได้ มันจะช่วยได้ยังไงก็ไม่ได้คิด แต่เขาจะต้องปกป้องอาจารย์ที่เขารัก เขาเพ่งสมาธิสุดชีวิต พละกำลังของเขาถูกบั่นทอนลงจนแทบหายใจไม่ออก เหนื่อยจนหูอื้อ แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

          มาร์กอลลอสขว้างลูกไฟในมือใส่ไพรม์ดีวอเชอร์ มันเปลี่ยนรูปร่างเป็นมังกรไฟกางปีกตรงเข้าหา จะหลบยังไงก็ไม่มีทางพ้น ไพรม์ดีวอเชอร์ไม่มีเวลาแม้แต่จะหันมามองโซลิแทร์เป็นครั้งสุดท้าย เปลวไฟมังกรพุ่งมาระเบิดร่างเขาไม่เหลือแม้แต่ซาก ทิ้งรอยหลุมลึกและหิมะละลายไว้บนพื้น โซลิแทร์เด็กน้อยหลับตา ของเหลวสีดำอุ่นๆ ไหลออกมาจากสองตา มันคือเลือด โซลิแทร์ร้องไห้ไม่เหมือนดาร์คเนสดีวิลทั่วไป ยามที่เขาเสียน้ำตาจากความรู้สึกทางใจ ไม่ว่าจะด้วยความตื้นตันหรือความเจ็บปวด น้ำตาของเขาจะเป็นเลือด นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาแทบไม่เคยร้องไห้เลย แต่ครั้งนี้เขารู้สึกเจ็บปวดและสูญเสียจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่ง ผู้ซึ่งเห็นคนที่ตนรักแหลกสลายไปต่อหน้าต่อตา

          มาร์กอลลอสปีนขึ้นมาจากหลุมได้สำเร็จ พร้อมกันนั้น มือข้างเดิมก็ยกขึ้นเตรียมขว้างลูกไฟแบบเดียวกับที่ใช้กำจัดไพรม์ดีวอเชอร์ คงต้องการรีบกำจัดให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเสียที

          โซลิแทร์สูดหายใจลึกๆ  ขีดกากบาทบนพื้นเหมือนที่ไพรม์ดีวอเชอร์เคยทำ หากนี่เป็นวาระสุดท้ายของชีวิต ก็จะขอสู้ยืนหยัด จนกว่าจะสิ้นลมหายใจ เขาพยายามอีกครั้ง ใช้สมาธิควบคุมเมฆฝน ไม่สนคำถามเดิมว่าทำเพื่ออะไร แต่มันคือการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของคนใกล้ตาย เมฆบนท้องฟ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยนอกจากมีลมกรรโชกเหมือนเดิม มันไม่สำคัญหรอก มันไม่ได้ทำให้เขาหยุดพยายาม ไม่ได้ทำให้เขาหยุดสู้ เขาจะเข้มแข็ง จะเป็นยอดปีศาจอย่างที่ซอร์โรร่าบอก หากจะตาย ก็ขอตายในฐานะคนที่สู้จนวินาทีสุดท้าย สู้ไม่ได้ แต่ก็จะสู้จนตาย

          ดูเหมือนว่ากาลเวลาจะเดินช้าลง ทุกสิ่งทุกอย่างเคลื่อนไหวช้าลง ลูกไฟในมือของมาร์กอลอสกำลังจะถูกโยน แต่เสี้ยววินาทีก่อนหน้านั้น ความพยายามของโซลิแทร์ก็สัมฤทธิ์ผล สายฟ้าเส้นหนึ่งฟาดลงมาจากฟ้าพร้อมกับเสียงดังสนั่น มันไม่ได้ฟาดใส่ร่างของมาร์กอลลอส แต่ฟาดใส่ขอบหลุมพลังมืดบริเวณที่มาร์กอลลอสยืนอยู่ ปากหลุมพังทลายและไหลทะลักลงหลุมอย่างรวดเร็ว

          มาร์กอลลอสเสียหลัก ลูกไฟมังกรในมือพุ่งพลาดข้ามร่างโซลิแทร์ไป เด็กน้อยรู้สึกถึงความร้อนของมัน การถล่มของขอบหลุมทำให้มาร์กอลลอสที่ยืนอยู่บนขอบหลุมนั้นตกลงไปในหลุมอีกครั้ง เขาพยายามคว้าด้านข้างของหลุมไว้ แต่หิมะลื่นๆ ก็ไหลทะลักลงไปในหลุมไม่ขาดสาย น้ำแข็งด้านข้างหลุมที่ถูกสัมผัสดัวยมือร้อนจัดของเขาก็เกิดการละลาย ทำให้เขายิ่งเกาะไม่อยู่ ในที่สุด มาร์กอลลอสก็ร่วงลงไปในก้นหลุมพลังมืด หลุมที่เผาไหม้ด้วยพลังมืดอานุภาพสูงส่งของเฮเวนล็อค

          แล้วหลุมพลังมืดก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรง คล้ายภูเขาไฟลูกเล็กๆ พื้นน้ำแข็งที่อยู่รอบๆ บริเวณแตกกระจายลอยขึ้นฟ้าเป็นแผ่นๆ โซลิแทร์รู้สึกว่าร่างของตนถูกยกขึ้นไปในอากาศโดยแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้ร่าง รู้สึกว่าตนเองหยุดชะงักกลางอากาศ และกำลังร่วงลงสู่พื้นหิมะเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว

                ตัวประหลาดร่างเล็ก มีศีรษะคล้ายคล้ายสุนัขจิ้งจอก มีเขี้ยวเหมือนหมูป่า จมูกร้อยห่วงทองติดดาว กำลังเดินทอดน่องอย่างสบายอารมณ์อยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น สงครามคือช่วงที่ทุกคนกำลังวุ่นวาย เหมาะแก่การลอบเข้ามาขโมยของ ซึ่งมันก็ขโมยจากฐานทัพดาร์คเนสดีวิลได้ชิ้นหนึ่ง แขนของมันอุ้มวัตถุทรงรีขนาดใหญ่สีดำ น่าจะเป็นไข่ใบยักษ์ของสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ ไม่มีใครรู้ว่ามันจะนำไข่ใบนี้ไปทำอะไร แต่ไม่ว่ามันจะทำอะไรนั้นก็คงจะไม่สำคัญแล้ว เพราะแผ่นน้ำแข็งที่อยู่ใต้ตัวโซลิแทร์นั้นตกลงมาทับมันตายคาที่ ไข่สีดำกลิ้งหลุดออกจากมือของมันและแตกเป็นสองเสี่ยง โซลิแทร์รู้สึกถึงแรงกระแทกจากแผ่นน้ำแข็งใต้ตัว และรู้สึกว่าตนเองไถลลื่นไปนอนนิ่งอยู่ข้างๆ ไข่ที่แตกใบนั้น พื้นหิมะมีรอยเลือดสีดำของเขาเปรอะเป็นทาง เขาบาดเจ็บและหมดเรี่ยวแรงเกินกว่าจะพลิกตัวได้ จึงได้แต่นอนตะแคงจ้องไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย

                มีสัตว์ประหลาดสีดำตัวเล็กๆ ค่อยๆ คลานออกมาจากซากไข่ มันมีลักษณะเหมือนลูกมังกรผสมค้างคาวสีดำตัวจิ๋ว ที่มีคอยาว มีหัวถึงสามหัว ดวงตาเล็กจ้อยทั้งสามคู่ของมันเรืองแสงสีน้ำเงิน มันจ้องมองโซลิแทร์อยู่สักพัก ก่อนจะล้มตึงกับเปลือกไข่สลบไปเสียดื้อๆ

                โซลิแทร์ถอนสายตาจากเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ และมองตรงไปข้างหน้า เขาเห็นนักรบดาร์คเนสดีวิลทุกคนที่ยังรอดชีวิตต่างมองไปยังหลุมพลังมืดด้วยความประหลาดใจ ซึ่งบัดนี้ได้ถล่มหายไปอย่างไร้ร่องรอย ขณะเดียวกัน เหล่าทหารนักรบเฟลมฟอร์สทุกประเภท รวมทั้งพวกมังกรแดง ก็สลายเป็นไฟหายไปในอากาศหมดสิ้นทั้งกองทัพ อำนาจของมาร์กอลลอสถูกทำลายลงแล้ว นี่เป็นสิ่งเดียวที่สมองอันตื้อชาของโซลิแทร์จะรับรู้ได้ เด็กน้อยหลับตาลง กำลังกายดูเหมือนจะถูกใช้จนหมดสิ้นแล้ว เขาเหนื่อย เพลีย และปวดร้าวไปทั้งตัว

                บรรดานักรบดาร์คเนสดีวิลที่เหลือรอดต่างยืนนิ่ง ตายังมองอยู่ที่เดิม เหมือนยังสับสนและปรับความคิดไม่ทัน ทุกคนบาดเจ็บ เหนื่อยล้า และมึนงง แต่สิ่งที่พวกเขาเริ่มจะรับรู้ได้ คือพวกเขาเป็นฝ่ายชนะ เผ่าพันธุ์อ่อนแอและหมดสภาพอย่างพวกเขาเอาชนะเผ่าพันธุ์ที่เก่งที่สุดในดาวดวงนี้ได้ แม้จะเหนื่อยล้าและเหลืออยู่เพียงน้อยนิด แต่พวกเขาก็ยิ้มให้กันอย่างมีความหวัง ไม่มีเสียงตะโกนกู่ร้องประกาศชัย แต่แสงฟ้าแลบและเสียงฟ้าคำรามเหนือหัวพวกเขานั้น สว่างและกึกก้องพอที่จะเป็นตัวแทนความรู้สึกปิติยินดีได้

                เซซิลลอยโซเซไปหาร่างของโซลิแทร์บนพื้นหิมะ มาซูลก็กะโผลกกะเผลกตามไปเช่นกัน ร่างกายมีแผลไหม้สองสามรอย เลือดสีดำแห้งๆ เกาะเต็มปาก ทั้งคู่ยืนมองเด็กน้อยโซลิแทร์ที่นอนนิ่งสนิทด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ ก็เข้ามายืนมองด้วย มาซูลหยิบผืนธงสีดำขาดๆ มาห่มให้โซลิแทร์ เป็นธงรบที่มีตราสัญลักษณ์กากบาทสีดำเรียบๆ สัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์ดาร์คเนสดีวิล เซซิลก้มลงมาห่อร่างของโซลิแทร์ด้วยผืนธง เหลือใบหน้าเอาไว้ให้มองเห็น แล้วค่อยๆ ช้อนร่างของเด็กน้อยอุ้มขึ้นมาในอ้อมแขน มาซูลก้าวมายืนข้างๆ วางมือบนร่างของโซลิแทร์ หางตามีน้ำตาซึมออกมา ดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ ก้มหน้าอย่างเศร้าสร้อย แสดงความอาลัยอาวรณ์ต่อเด็กชายผู้แสนจะธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ยืนหยัดต่อสู้กับสิ่งที่ไม่มีวันชนะ ด้วยหัวใจที่ไม่มีวันยอมแพ้

                ในนาทีนั้น มาซูลที่หลับตาก้มหน้าอยู่ก็รีบลืมตาขึ้น สีหน้าเหมือนไม่แน่ใจ เขาขยับมือส่วนที่วางบนร่างของโซลิแทร์เล็กน้อย พยายามตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้ง

                “ท่านเซซิล” มาซูลกระซิบ “เขายังไม่ตาย”

                เซซิลหันมามองโซลิแทร์ในอ้อมแขน เขย่าตัวโซลิแทร์เบาๆ พยายามกระซิบเรียกให้ตื่นด้วยความหวัง เด็กชายตัวน้อยค่อยๆ หายใจเป็นจังหวะและขยับเปลือกตา มีเสียงฟ้าคำรามดังสนั่นพร้อมด้วยประกายแสงฟ้าแลบ แล้วดวงตาสีน้ำเงินเรืองแสงก็ลืมขึ้นมามองเซซิล เซซิลยิ้มให้เด็กน้อยด้วยรอยยิ้มตื้นตันใจ ดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ เงยหน้าขึ้นมามอง รอยยิ้มเดียวกันนี้ผุดขึ้นบนใบหน้าทุกคน

                “น่าจะรู้ว่าเขายังไม่ตาย โง่จริงๆ พวกเรา” มาซูลหัวเราะอย่างสุขใจ “อำนาจพิเศษเมฆของเขายังอยู่บนหัวเรา ยังไม่หายไปไหน มันพิสูจน์ได้ว่าเขายังไม่ตาย”

                เหล่านักรบดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ พากันปรบมือกู่ร้องด้วยความยินดีปรีดา สลับกับเสียงฟ้าคำรามและแสงฟ้าแลบ เปรียบเสมือนสายฟ้าแห่งความหวังของพวกเขา เซซิลกระชับอ้อมแขนกอดโซลิแทร์แน่นขึ้น ไม่เคยเห็นเขายิ้มได้อย่างนี้มานานแสนนานแล้ว

                “เราชนะเฟลมฟอร์ส เรายังรักษาเผ่าพันธุ์ไว้ได้” เขากระซิบบอกโซลิแทร์ ยิ้มให้อย่างรักใคร่ “ขอบคุณเจ้า”

                “ขอบคุณเราทุกคน” เด็กน้อยโซลิแทร์แก้ไขให้ ยิ้มตอบด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์จริงใจ

                มีกลุ่มใบไม้สีกรมท่าปลิวสวนทิศทางลมผ่านตาโซลิแทร์ไป เด็กน้อยเป็นคนเดียวที่สังเกตเห็นมัน เพราะเป็นคนเดียวที่นอนแหงนหน้ามองฟ้า ไม่เคยเห็นกลุ่มใบไม้แปลกๆ อย่างนี้มาก่อนเลย ลอยสวนกระแสลมเสียด้วย คิดว่ามันคงลอยไปทางเนินเตี้ยๆ ที่อยู่ไม่ไกลนัก เด็กน้อยหันมองตาม แต่แทนที่เขาจะเห็นกลุ่มใบไม้ เขากลับเห็นร่างในเสื้อคลุมสีกรมท่าอมเทา สวมหมวกทรงสูงที่ปีกหมวกทำจากใบไม้สีกรมท่า ถือไม้เท้าสีน้ำตาลคล้ายรากไม้ แสงฟ้าแลบที่สว่างวาบขึ้น ส่องให้เห็นใบหน้าใต้หมวก เป็นใบหน้าที่มีแต่กะโหลกสีขาวโพลน มีเงามืดบังตาอยู่มิดชิด เขาคนนี้คือผี คือเอลิลคนหนึ่ง

                ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ร่างนั้นก็โค้งคำนับให้โซลิแทร์ ก่อนจะหายไปจากสายตาพร้อมกับแสงฟ้าแลบอีกครั้งหนึ่ง

                ชัยชนะครั้งนี้คือรางวัลแห่งความมุ่งมั่นพยายาม ความภาคภูมิใจชั่วกัลปาวสาน มันไม่สำคัญหรอกว่า สิ่งที่เราเผชิญจะยากลำบากหรือเป็นไปได้ยากสักเพียงใด  มันสำคัญว่า เราจะยังคงมีหวังและยืนหยัดสู้จนถึงที่สุดหรือไม่  แสงจากสายฟ้าสะท้อนอยู่ในดวงตาสีน้ำเงินดวงโตของเด็กน้อยโซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์มเป็นประกายเจิดจรัส และมันส่องประกายอีกครั้ง เมื่อเขายิ้มด้วยความหวัง

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา