พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.93K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) บทที่ 9 จับมือ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 9

จับมือ

 

                กัปตันเท็มเปิลยืนก้มหน้าอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์แห่งโมราโซมอส ซึ่งก็มีกษัตริย์ผู้เกรี้ยวกราดนั่งอยู่บนนั้นด้วย พระองค์ทำท่าราวกับจะระเบิดออกมาอย่างรุนแรงได้ทุกเมื่อ ความพิโรธโกรธาอัดแน่นอยู่เต็มตัว เจ้าเมืองและนักปกครองคนอื่นๆ ยืนอยู่ข้างท้องพระโรงทั้งสองฝั่ง เฝ้ารอเสียงตวาด ตะคอก หรือเสียงอะไรก็ตามที่พระราชาของพวกตนจะทรงพ่นออกมา เช้าวันนี้บรรยากาศในที่ประชุมช่างตึงเครียด ความหรูหราที่ตกแต่งทั่วท้องพระโรงก็ไม่ได้ช่วยให้ผ่อนคลายลงสักนิด หากมองตามความจริงแล้ว สิ่งที่สวยงามเพียงอย่างเดียวก็แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย อย่างน้อยตอนนี้ ขุนนางหลายคนก็ยินดีแลกรูปปั้นทองคำที่อยู่ข้างหลังตนกับสำลีอุดหูดีๆ สักก้อน

          “เราอุตส่าห์จัดเตรียมทัพอย่างดี มีทั้งปืนใหญ่ ทหารม้า อัศวิน กองทัพที่ส่งไปก็ไม่ได้มีจำนวนน้อยๆ” พระราชาตวาดลั่น “แต่เราก็ยังแพ้อย่างราบคาบ ราบคาบจริงๆ เหลือรอดกลับมาคนเดียว จากหลายพันคน นี่ยังไม่รวมกับเรื่องที่เราต้องเสียม้าจำนวนมากให้พวกมันอีก”

          “ทูลฝ่าบาท” กัปตันเท็มเปิลเงยหน้าขึ้น ขอบตาข้างหนึ่งยังเขียวช้ำ จากการถูกดาบของโซลิแทร์กระแทกใส่โล่มาชนเบ้าตา “ไม่มีใครคาดฝันว่าจู่ๆ พวกดาร์คเนสดีวิลจะพร้อมสู้รบมากขนาดนี้ พวกมันไม่มีอะไรเหมือนดาร์คเนสดีวิลรุ่นก่อนๆ ที่พวกเราเคยพบ พวกมันมีอาวุธครบมือ หุ้มเกราะทั่วตัวกันทุกคน มีทักษะการต่อสู้สูงกว่าที่เคยเป็น และมีจำนวนนักรบมากกว่าที่เราคาดคิด ม้าของพวกมันก็พ่นไฟได้ เกราะที่พวกมันสวมนั้น แม้จะดูค่อนข้างบางพอดีตัว แต่ก็แข็งแกร่งไม่แพ้เกราะหนาๆ ของเรา ทหารม้าปีศาจแต่ละคนก็พกอาวุธหลายชนิด ทั้งหอกสามง่าม ทั้งดาบคู่ ทั้งโล่ ทั้งหน้าไม้อาบยาพิษ”

          “สิ่งเลวร้ายนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร” พระราชาตะคอกอย่างหงุดหงิด “บอกมาสิ พวกเจ้าทั้งหลายที่ยืนทื่ออยู่ในท้องพระโรงของข้า” พระองค์กวาดตามองบรรดาเจ้าเมืองและขุนนางทุกคนที่รีบหลบสายตา แล้วหันมามองที่กัปตันเท็มเปิล “ไอ้โง่ที่ไหนปล่อยให้พวกปีศาจพัฒนาตนเองได้มากขนาดนั้น”

          “ทูลฝ่าบาท” กัปตันเท็มเปิลพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา “สำหรับหม่อมฉันแล้ว หม่อมล้วนพยายามทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ตามแต่พระองค์จะสั่งการพะยะค่ะ”

          “นี่เจ้าจะบอกว่า” พระราชาตะโกนสุดเสียง “ไอ้โง่คนนั้น คือข้าใช่ไหม”

          “เปล่าเลยพะย่ะค่ะ” กัปตันเท็มเปิลรีบทูลแทบไม่หายใจ “หม่อมฉันมิได้หมายความเช่นนั้น พระองค์กำลังทรงเข้าพระทัยผิดพะย่ะค่ะ--”

          “ทูลฝ่าบาท” แอนโทนิดัส แร็กซ์ริง เจ้าเมืองโอมิลรอน ผู้เป็นพ่อมดที่ปรึกษารีบทูล “โปรดอย่าทรงกล่าวโทษกัปตันเท็มเปิลเลยพะย่ะค่ะ เขามีเจตนาเพียงแสดงความจงรักภัคดีต่อพระองค์ ซึ่งเขาก็ทำสิ่งนั้นได้ดีมาตลอด เขาล้วนทำทุกสิ่งที่พระองค์รับสั่งได้ ไม่มีบิดพลิ้ว”

                พระราชาผู้ชราหอบหายใจอยู่บนบัลลังก์เพราะออกแรงตะโกน ทรงสงบลงบ้างเมื่อได้ยินคำกล่าวของพ่อมดที่ปรึกษา

          “เจ้าพูดถูกแอนโทนิดัส” พระองค์พยักหน้า “ข้าขอโทษ กัปตันเท็มเปิล”

          “พะย่ะค่ะ” กัปตันเท็มเปิลตอบด้วยเสียงอันเบา

                ทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรงต่างยืนนิ่งไม่พูดคุยอะไรกันเลย ไม่มีใครกล้าพอที่จะพูดแทรกความเงียบอันตึงเครียดนี้ พระราชาอาจสงบได้สักช่วงเวลาหนึ่ง แต่จากประสบการณ์ที่แต่ละคนได้เผชิญมานั้น มั่นใจได้เลยว่า พระองค์สงบไม่นานแน่

                “ใครสักคนบอกข้าที ว่าทำไมพวกดาร์คเนสดีวิลถึงพัฒนาตนเองขึ้นมาได้มากขนาดนี้” พระองค์กำที่วางแขนบัลลังก์ เป็นเท้าสิงโตทองคำประดับทับทิม “มันเกิดจากความละเลย หละหลวม หรือความประมาทอันใด”

          “ทูลฝ่าบาท” ขุนนางคนหนึ่งรีบทูล “เป็นเพราะเราติดพันสงครามทางทะเลกับพวกโฮเซ่พะยะค่ะ พวกเราส่วนใหญ่ต้องระดมพลไปยังอีกฟากของอาณาจักร”

          “แน่ล่ะ พวกเจ้าแทบจะแย่งกันไปเข้าร่วมสงครามทะเล เพราะมันได้ผลประโยชน์แฝง ได้ความก้าวหน้า ได้ชื่อเสียง” พระราชาพูดอย่างรู้ทัน “ขณะที่อีกฟากของอาณาจักร พวกเจ้าก็ปล่อยให้พวกดาร์คเนสดีวิลมีโอกาสได้ฟื้นฟูตัวเองโดยไม่ได้ใส่ใจ ไม่มีใครอยากจะเสียสละไปดูแลจัดการนรกนั่นบ่อยๆ มันไม่มีผลประโยชน์แฝง ไม่มีความก้าวหน้า ไม่มีชื่อเสียงใช่ไหม”

          “ทูลฝ่าบาท” เจ้าเมืองหัวล้านรีบทูล “หม่อมฉันคอยส่งคนไปตรวจตราที่นั่นโดยตลอดพะยะค่ะ ซึ่งก็มีหลายคนที่โชคร้ายประสบอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิต แต่ก็มีอีกส่วนที่ไม่ได้ประสบเคราะห์กรรมใดๆ พวกเขาก็รายงานกับหม่อมฉันว่าสถานการณ์ที่นั่นปกติมาโดยตลอด”

          “พวกดาร์คเนสดีวิลที่พัฒนาตนเอง จนสามารถทำลายกองทัพของเราได้ มันเรียกว่าปกติหรือไง” พระราชาตะโกน เจ้าเมืองคนนั้นรีบก้มหน้า “จู่ๆ ศักยภาพของพวกมันไม่งอกขึ้นมารวดเดียวหรอก พวกมันค่อยๆ พัฒนาตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งไอ้คนของพวกเจ้าที่กลับมารายงานว่าสถานการณ์ปกติน่ะ พวกมันคงจะตาบอดถ้าไม่ได้สังเกตเห็น หรือไม่ก็รับสินบนจากพวกดาร์คเนสดีวิล ส่วนพวกที่ประสบอุบัติเหตุตาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการฆ่าปิดปากเสียมากกว่า ดูสิว่าความละเลยของพวกเจ้านำมาสู่อะไร”

          ดูเหมือนว่าพระราชาจะกล่าวโทษทุกคน ยกเว้นตัวเอง

          “เบนส์ ไทม์ เจ้าดาร์คเนสดีวิลที่ได้รับการอุปถัมภ์จากมนุษย์เรา มันทรยศเรา” พระราชาพูดอย่างเคียดแค้น “มันปิดปากเงียบ และโกหกทุกประโยคที่เขียนมารายงานเรา บอกข้าซิ เจ้าเมืองเนพเพอร์” พระองค์หันไปหาเจ้าเมืองร่างอ้วนผู้ซึ่งสะดุ้งสุดตัว “ทางครอบครัวของเจ้าเป็นผู้อุปถัมภ์เลี้ยงดูเจ้าปีศาจคนนั้นไม่ใช่หรือ ทำไมลุงของเจ้าถึงปลูกฝังให้มันปล่อยให้ปีศาจคนอื่นๆ มาแข็งข้อใส่ข้าได้”

          “ทูลฝ่าบาท” เจ้าเมืองเนพเพอร์ทูลเสียงสั่น “ข้าพอรู้จักนิสัยเบนส์ ไทม์ เขาไม่มีความกล้าพอที่จะทรยศพวกเราด้วยตัวเองแน่นอนพะยะค่ะ เขาจะต้องถูกบังคับจากผู้ที่อยู่เบื้องหลัง”

          “ใคร” พระราชาคำราม “ใครมันคือผู้อยู่เบื้องหลัง”

          “ทูลฝ่าบาท” กัปตันเท็มเปิลทูล “ในศึกที่ผ่านมานี้ พวกดาร์คเนสดีวิลมีผู้นำทัพ ซึ่งเขาสามารถยิงพลุสัญญาณสั่งการกองทัพได้”

          “มีเพียงผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลเท่านั้น ที่จะได้รับสิทธิ์ให้ส่งพลุสัญญาณ” บิลิส ริฟเฟอร์ เจ้าเมืองซาโมโรว์เอ่ยขึ้น ทุกคนหันไปมองเขา

          “โฟรเซ็นทิเนลไม่มีผู้นำ พวกดาร์คเนสดีวิลไม่มีผู้นำสูงสุดมาสิบแปดปีแล้ว นั่นคือสิ่งที่เรารับรู้มาตลอด” พระราชาพูดเสียงดัง “ยังมีอะไรอีกไหม ที่พวกเรารับรู้มาผิดๆ”

          “ผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลคนนี้ แตกต่างจากคนอื่นที่เราเคยรู้จักอย่างสิ้นเชิง เขาประหลาดกว่าปีศาจคนใดที่เราเคยเห็น พาหนะของเขาก็แปลกประหลาด ข้าไม่อาจเรียกมันว่าเอเลนเซฟเวอรี่ได้” กัปตันเท็มเปิลรายงานต่อ “มันตัวใหญ่กว่า เป็นสีดำทั้งตัว และพ่นสะเก็ดดาวตกที่มีเปลวไฟสีน้ำเงิน คล้ายๆ เป็นลูกผสมระหว่างเอเลนเซฟเวอรี่กับมังกรดำ--”

          “เป็นไปไม่ได้” พระราชาสวนขึ้นทันควัน “พวกเอเลนเซฟเวอรี่เป็นสัตว์ไร้เพศ พวกมันจะสืบพันธุ์โดยการคายของเหลวออกมาจากปากทั้งสาม ต้องรอจนสามวันกว่าของเหลวนั่นจะรวมตัวกันเป็นไข่ และฟักออกมาเป็นตัวอ่อนตามเวลา ซึ่งมันต่างกับการสืบพันธุ์ของมังกรดำอย่างสิ้นเชิง เพราะมังกรดำสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ อีกทั้งเอเลนเซฟเวอรี่เป็นสัตว์ตระกูลค้างคาวมากกว่ามังกร ยากมากที่จะรวมสายพันธุ์กับมังกร”

          “หม่อมฉันยืนยันกับสิ่งที่เห็นพะยะค่ะ เชื่อว่าพวกดาร์คเนสดีวิลคงใช้วิธีการผิดธรรมชาติสร้างเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ขึ้นมา” กัปตันเท็มเปิลยืนยัน “มันฆ่าอัศวินของหม่อมฉันไปมากมาย”

          “บ้าที่สุด! แค่พวกเอเลนเซฟเวอรี่ก็แย่พอแล้ว ยังมีสัตว์นรกพันธุ์ผสมนี่อีก มันมีกี่ตัวกัน”

          “หม่อมฉันเชื่อว่ามีโอกาสน้อยมากที่จะสร้างสัตว์ร้ายชนิดนี้ขึ้นมาได้ ทุกคนโปรดอย่าได้ตื่นตระหนก สัตว์ร้ายตัวนี้คงมีแค่ตัวเดียวในดาวดวงนี้” พ่อมดแร็กซ์ริงรีบพูดให้ทุกคนสงบ เมื่อเห็นสีหน้าของขุนนางแต่ละคน “ดาวดวงนี้มักมีสิ่งพิลึกพิลั่นเกิดขึ้นเป็นธรรมดา”

          “มีอีกสิ่งที่พระองค์ควรทราบพะยะค่ะ” กัปตันเท็มเปิลเสริม “ผู้นำปีศาจคนนี้สามารถขับเมฆฝนออกมาจากมือ และควบคุมมันได้ เขาสร้างพายุ ฟ้าผ่า ฝน และความหนาวเย็นเยือกแข็งให้กับกองทัพของเรา ในรัศมีราวหนึ่งตารางกิโลเมตร”

          นึกแล้วว่าทุกคนจะต้องนิ่งเงียบเมื่อได้ยินประโยคนี้ แม้แต่พระราชาก็ยังไม่ตะโกนอะไรออกมาชั่วขณะหนึ่ง

          “ข้ารู้จักคนที่ได้รับอำนาจพิเศษโดยบังเอิญหลายคน” พระองค์พึมพำ “แต่พวกที่มีเมฆฝนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายนี่มันเกินไปหน่อย ข้าไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน”  

          “เขาสามารถบังคับควบคุมมันได้อย่างลึกซึ้งพะยะค่ะ” กัปตันเท็มเปิลว่า “กระทั่งสามารถควบคุมให้น้ำฝนไม่จับแข็งกลางอากาศแม้จะสัมผัสอากาศเย็น หรือปรับแต่งพื้นที่ในการตกของฝนได้”

          “เขาใช้ภาษาดาร์เคนเป็นหรือเปล่า” แร็กซ์ริงเอ่ยถามขึ้น

          “เกี่ยวอะไรกับภาษาดาร์เคนหรือ ท่านพ่อมดที่ปรึกษา” กัปตันเท็มเปิลข้องใจ

          “ภาษาดาร์เคนคือภาษาแห่งพลังด้านมืด แพร่หลายมากในหมู่ไซคัส มักถูกนำมาประยุกต์ในการร่ายคำสาป การสร้างวัตถุพลังมืด และการแปรรูปพลังงานอันลึกลับอื่นๆ อีกมากมาย เอกลักษณ์ของภาษาดาร์เคนคือ ผู้พูดสามารถขยายเสียงของตนให้ผู้ที่อยู่ห่างออกไปได้ยินชัดเจน แม้จะพูดด้วยเสียงกระซิบก็ตาม” แร็กซ์ริงอธิบาย “บางที ผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลคนใหม่นี้อาจนำอำนาจภาษาดาร์เคนมาประยุกต์กับอำนาจพิเศษเมฆฝนของเขา สามารถกำหนดรูปร่างพื้นที่ที่จะให้ฝนตกใส่ เหมือนกับภาษาดาร์เคนที่สามารถขยายหรือจำกัดการได้ยิน”

          “ประเด็นก็คือ มีเจ้าตัวประหลาด ขี่เอเลนเซฟเวอรี่พันธุ์ประหลาด มีอำนาจพิเศษเรื่องเมฆฝน และสามารถใช้ภาษาดาร์เคนได้” พระราชาโวยวาย “ซึ่งบรรดาเจ้าเมืองและนายทหารผู้ชาญฉลาดของข้าไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย จนกระทั่งเจ้าตัวประหลาดนี่โผล่ขึ้นมาต่อต้านข้าและฉีกหน้าข้าเป็นชิ้นๆ ไอ้ที่พวกเจ้ารายงานข้ามาตลอดสิบแปดปีว่าดาร์คเนสดีวิลยังคงมีแต่พวกขี้แพ้ ส่วนใหญ่ก็ไร้ความสามารถ ไม่มีใครเก่งพอที่จะแข็งข้อได้ พวกเจ้าดื่มเหล้าขณะเขียนรายงานรึไง”

          เจ้าเมืองทุกคนก้มหน้า โดยเฉพาะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

          “ต้องมีผลประโยชน์เยอะๆ ต้องมีช่องทางโกงกินได้ใช่ไหม พวกเจ้าถึงจะใส่ใจทำงานกัน” พระราชาตะโกนกึกก้อง “ดูสิว่ามันทำให้เกิดอะไรขึ้น พวกดาร์คเนสดีวิลใช้สิ่งนี้เป็นโอกาสในการฟื้นฟูตนเองอย่างแนบเนียน พวกมันใช้ความอ่อนแอของพวกเจ้าสร้างความแข็งแกร่งให้กับตนเอง ยิ่งพวกมันถูกเกณฑ์มาใช้แรงงานในอาณาจักรเรา ถูกบังคับให้นำทรัพยากรมาบรรณาการอาณาจักรเรา พวกมันคงจะรู้เกี่ยวกับเราหลายอย่าง ขณะที่เราแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกมันเลย ไอ้ข้อมูลที่อยู่ในรายงานของพวกเจ้า ขยะทั้งนั้น ข้าคงไม่มีวันรู้ว่าไอ้ปีศาจผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลคนนี้เป็นใครมาจากไหน ทั้งที่จากลักษณะที่กัปตันเท็มเปิลเล่ามานั้น ไม่น่าจะสังเกตยากเลย เราคงจะพอจำมันได้บ้างจากที่ไหนสักแห่ง ถ้าพวกเจ้าไม่ทำหน้าที่ได้แย่กันขนาดนี้”

          “ท่านพอจำหน้าตาเขาได้ไหม กัปตันเท็มเปิล” ริฟเฟอร์ถาม

          “ข้าไม่เห็นหน้าหรือส่วนอื่นๆ ของเขา เขาสวมเกราะเหล็กทั้งตัว แต่งตัวปกปิดมิดชิด” กัปตันเท็มเปิลตอบ “สวมหน้ากากเหล็กปิดหน้า เห็นเฉพาะดวงตาที่เหมือนจะเรืองแสงได้ ร่างกายทุกส่วนถูกปกคลุมด้วยผ้าคลุมติดฮู้ดสีดำ”

          “ปีศาจร้ายในผ้าคลุมสีดำ” พระราชากัดฟันงึมงำ “แบล็กไรดิงฮู้ด (Black Riding Hood)”

          “เขาว่องไว เงียบ และทรงพลังเหมือนปีศาจในนิทาน มีศิลปะการต่อสู้ที่ข้าไม่เคยพบเจอมาก่อน เหมือนผสมผสานระหว่างการต่อสู้แบบอัศวินที่เน้นความแข็งแกร่งและการต่อสู้แบบมือสังหารที่เน้นความคล่องตัว” กัปตันเท็มเปิลเสริม “เขาใช้ดาบยาวสำหรับถือด้วยสองมือเป็นอาวุธ แต่ก็สามารถเปลี่ยนมาถือด้วยมือข้างเดียวได้ทุกเวลา”

          “เหมือนเจ้าชายอโลบัสเลย” ริฟเฟอร์ตั้งข้อสังเกต

          “ลูกชายข้า ไม่มีอะไรเหมือนเจ้าปีศาจร้ายนั่น” พระราชาตะโกนลั่นจนหลอดคอแทบแตก ริฟเฟอร์รีบก้มหน้า “ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าแบล็กไรดิงฮู้ดผู้ไม่มีหัวนอนปลายเท้า มาทำให้ความสูงศักดิ์ของข้าและเผ่าพันธุ์มนุษย์ดูแย่ลงกว่านี้ การพ่ายแพ้ครั้งนี้มันสร้างความขายหน้าต่อเราทุกคน เราต้องกู้หน้ากู้ศักดิ์ศรีของเราคืนมา เราต้องปราบพวกดาร์คเนสดีวิลให้สำเร็จ เราไม่มีทางเลือก มิฉะนั้นประชาชนจะขาดความเชื่อมั่นในพวกเรา ความมั่นคงของระบบการปกครองจะสั่นคลอน”

          ทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

          “ทูลฝ่าบาท” กัปตันเท็มเปิลทูล “พวกดาร์คเนสดีวิลเป็นหนี้ความเจ็บปวดต่อหม่อมฉัน หม่อมฉันขอโอกาสแก้ตัว ยกกองทัพที่สองไปบุกฟรอสท์ไอรอนแคลดอีกครั้ง”

          “เจ้าเป็นผู้บัญชากองทัพที่มีคุณภาพ กัปตันเท็มเปิล ข้าอนุญาตให้เจ้าเป็นผู้นำกองทัพที่สองของข้า” พระราชาพยักหน้า “แล้วข้าจะให้อโลบัสร่วมรบกับเจ้า”

          “ยินดีเป็นอย่างยิ่งพะยะค่ะ ที่จะได้ร่วมรบกับเจ้าชายอโลบัสอีกครั้ง ข้า ในฐานะผู้ชี้นำของเขา ภูมิใจที่จะทูลว่า เขาเป็นนักวางแผนที่ฉลาด กองทัพของเราจะได้ประโยชน์จากความสามารถของเขามากมาย” กัปตันเท็มเปิลพูดอย่างพอใจ “เขาไม่เคยนำพากองทัพไปสู้ความพ่ายแพ้เลยสักครั้ง ข้าเชื่อว่าในศึกครั้งนี้ โอกาสชนะของพวกเรามีสูงทีเดียว”

          “อย่างไรก็ตาม ข้ารู้ว่าเขาไม่เต็มใจทำสงครามกับพวกดาร์คเนสดีวิล เห็นจากครั้งก่อนที่เขาอาสาปราบกบฏโฮเซ่ในเมืองซาโมโรว์ เพื่อหลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วมในการยกพลไปโจมตีพวกดาร์คเนสดีวิล” พระราชากล่าว “ฉะนั้น แม้ว่าเขาจะมีตำแหน่งเจ้าชาย แต่ในกองทัพระลอกสองที่ข้าจะส่งไปนี้ เจ้าคือผู้มีอำนาจสั่งการสูงสุดในกองทัพ กัปตันเท็มเปิล บางทีเจ้าอาจช่วยเป็นตัวอย่างให้ลูกชายข้า ได้เห็นในสิ่งที่ควรทำ ได้ฆ่าพวกดาร์คเนสดีวิลอย่างที่ควรฆ่า”

          “เป็นพระกรุณาพะยะค่ะ” กัปตันเท็มเปิลโค้งคำนับ “มีหลายสิ่งที่เจ้าชายอโลบัสไม่เต็มใจ แต่เขาก็ทำมันอย่างสมบูรณ์มาโดยตลอด การชี้แนะของข้าทำให้เขารับผิดชอบต่อหน้าที่พะยะค่ะ สำหรับเรื่องกองทัพที่สองนั้น หม่อมฉันใคร่ขอพระราชทานทหารจำนวนมากขึ้น รวมทั้งปัจจัยสงคราม--”

          “คิดว่าข้าจะให้กองทัพจำนวนเท่าเดิมหรือไง หลังจากที่พวกเลือดสีดำพวกนั้นทำข้าเสียหน้าขนาดนี้” พระราชาพูดเสียงดัง “ข้าต้องกู้หน้าตัวเองคืนสิ ข้าจะส่งกองทัพขนาดใหญ่จนทำให้กองทัพที่แล้วกลายเป็นแค่กองกำลังย่อยๆ เลยทีเดียว ทั้งปืนใหญ่ บันไดยาว กองเรือเหาะของกัปตันฟิลโก้ อะไรก็ตามที่จะทำให้เจ้าพิชิตฟรอสท์ไอรอนแคลดได้ ข้าจะส่งไปให้หมด ข้าจะแบ่งกำลังจากกองทัพเรือบางส่วนมาสนับสนุนด้วย ยังไงมันก็มีเพียงพอถล่มพวกโฮเซ่อยู่แล้ว ในเมื่อเราต้องเผชิญศึกทั้งสองด้าน เราก็จะเอาชนะได้ทั้งสองด้าน เราคือเผ่าพันธุ์ที่มีอำนาจมากที่สุดตอนนี้ ศัตรูทั้งหลายจะต้องพ่ายแพ้”

                “ทูลฝ่าบาท” เจ้าเมืองแรพพิคหัวล้านทูล “รัชทายาทอันดับสอง แม็ค แรคแทนทิน หลานชายของพระองค์ จะต้องยินดีที่จะส่งกองทัพมาสนับสนุนตามเจตนารมณ์ของพระองค์พะยะค่ะ แม้ว่าในตอนนี้เขากำลังจัดการเรื่องกองทัพเรือสำหรับส่งไปโจมตีแบร์ร็อคก็ตาม”

          “แล้วหลานชายอีกคนของข้าล่ะ” พระราชาถาม “อาร์รอสทำอะไรที่ควรทำบ้าง”

          “สิ่งที่เขาควรทำที่สุด คือสอนลูกสาวให้สงบปากสงบคำ และพาเธอไปบำบัดจิตบ้าง” เจ้าเมืองหนวดเฟิ้มคนหนึ่งโพล่งออกมา

          ขุนนางส่วนใหญ่หัวเราะชอบใจ แต่ริฟเฟอร์ แร็กซ์ริง และขุนนางอีกส่วนหนึ่งนิ่งเงียบ เป็นที่รู้กันอย่างไม่เป็นทางการว่า พวกเขาสนับสนุนอาร์รอส ไอวิวรี่ ขณะที่บรรดาเจ้าเมืองที่หัวเราะนั้นสนับสนุนแม็ค แรคแทนทิน ทั้งสองฝ่ายย่อมไม่ลงรอยกัน

          “ทูลฝ่าบาท ท่านรัชทายาทอันดับสองอาร์รอส ไอวิวรี่รับหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในอาณาจักรพะยะค่ะ” แพทย์หลวงผู้สวมแว่นตาข้างเดียวที่ชื่อว่า เกรนวาร์ด โกลด์แมนทูล “ในยามสงครามนั้น เมืองของเรามักเกิดความวุ่นวาย เขาจะช่วยให้ประชาชนอยู่ในภาวะสงบ”

          “แน่นอน กล้าหาญมาก สู้กับพวกโจรขโมย แล้วก็พวกชอบประท้วงเรื่องความอดอยาก ช่างเป็นวีรกรรมอันสูงส่ง” เจ้าเมืองที่หัวฟูเหมือนรังนกแดกดันอย่างขบขัน “เหมาะสมกับเขาดี เขาชอบเลี่ยงการต่อสู้กับเผ่าพันธุ์อื่นแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

          “เขาเป็นคนเดียวที่ยอมทำหน้าที่อันไร้ซึ่งผลประโยชน์นี้ ขณะที่ท่านและคนอื่นๆ พากันไขว่คว้าความรุ่งโรจน์จากสงคราม” ริฟเฟอร์ตอบกลับอย่างอดรนทนไม่ไหว “ถึงอย่างไร จะต้องมีใครสักคนคอยดูแลความสงบภายในอาณาจักรในช่วงเวลาสงครามนี้ ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่มีวันเป็นท่าน ท่านเจ้าเมืองไดมอนด์เคจผู้กระหายความก้าวหน้า”

          “แดกดันกันให้พอ ต่อล้อต่อเถียงกันให้สนุก ข้าปกครองง่ายขึ้นเยอะเมื่อบรรดาขุนนางของข้าทะเลาะกันเหมือนเด็กที่เพิ่งหย่านมแม่” พระราชาประชดด้วยเสียงดังสนั่น ทุกคนรีบหุบปากเงียบ “ก็เพราะพวกเจ้าแตกแยกกัน ชิงดีชิงเด่นกัน ไม่เคยจับมือกันด้วยความจริงใจ คอยทำงานขัดแข้งขัดขากันแบบนี้ ศัตรูของเราถึงมีโอกาสลุกฮือต่อต้าน มีคนกล่าวว่า หากมนุษย์เลิกกัดกันเองได้สักปีสองปี มนุษย์ก็คงจะครองดาวดวงนี้ได้ทั้งดวงแล้ว”

          “เมื่อเรากำจัดพวกดาร์คเนสดีวิลและพวกโฮเซ่ได้ เราก็จะได้ครองดาวทั้งดวงในเวลาต่อมาพะยะค่ะ” ขุนนางร่างเตี้ยรีบประจบ “พระองค์ตรัสไว้ถูกแล้วพะยะค่ะ ศัตรูของเราอาจมีมากมาย แต่เราก็เก่งพอที่จะกำจัดได้หมด เราเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอำนาจมากที่สุดในตอนนี้”

          พระราชากุมศีรษะที่สวมมงกุฎทองด้วยมือข้างหนึ่ง พยายามทำตัวให้สงบ อย่างน้อยการประจบประแจงก็ทำให้คนบ้ายออย่างพระองค์สงบลงได้บ้าง

          “เราต้องกู้ความเชื่อมั่นของประชาชนกลับมาโดยเร็วที่สุด เราจะปราบพวกดาร์คเนสดีวิลก่อน” พระองค์สรุป “เมื่อปราบปรามสำเร็จ เราจะส่งกองทัพเรือไปโจมตีชายฝั่งพวกโฮเซ่ในเวลาใกล้เคียงกัน จัดการสิ่งที่ค้างคาให้เสร็จสิ้นไป แล้วเราจะเป็นผู้ชนะสงครามทั้งหมด”

          ทุกคนโค้งคำนับรับคำสั่ง

          “อีกเรื่องหนึ่ง” พระองค์นึกขึ้นได้ “แอนโทนิดัส พวกคนแคระที่อาศัยอยู่ในเมืองโอมิลรอนของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

          “พวกเขาปกติดีพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงแปลกใจเล็กน้อย คนแคระเป็นเผ่าพันธุ์แยกย่อยของมนุษย์ เช่นเดียวกับที่พวกแฮนดรัสเป็นเผ่าพันธุ์แยกย่อยของโฮเซ่ หรือที่พวกเอเลนเซฟเวอรี่เป็นเผ่าพันธุ์แยกย่อยของดาร์คเนสดีวิล พวกคนแคระก็เหมือนพวกฮาล์ฟเรด คือถูกจัดเป็นชนชั้นสองของสังคม ซึ่งไม่เคยได้รับความห่วงใยจากพระราชามาก่อน เหตุใดวันนี้พระองค์จึงถามถึงพวกนั้น “พวกเขายังคงมีฝีมือในการสร้างสถาปัตยกรรม พัฒนาเหมืองแร่--”

          “ข้าต้องการให้เจ้าเกณฑ์พวกนั้นไปร่วมรบที่โฟรเซ็นทิเนล” พระราชาสั่ง “ได้ยินว่าพวกคนแคระแข็งแรงและมีฝีมือการรบพอตัว”

          “แต่ฝ่าบาท พวกคนแคระไม่ถนัดการรบในลักษณะที่ว่านั่น แล้วพวกเขาก็ไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกับพวกดาร์คเนสดีวิลด้วย” แร็กซ์ริงรีบพูด “การบังคับพวกเขาให้ไปรบในนรกเยือกแข็งนั่น--”

          “พวกคนแคระอยู่ในดินแดนของข้า พวกมันต้องทำตามที่ข้าบอก” พระราชาคำรามก้อง ขุนนางที่ไม่ถูกกับแร็กซ์ริงพากันยิ้มเยาะ “ข้าต้องการกำลังพลเต็มอัตราศึก นี่มันแผ่นดินของข้า เข้าใจไหม ใครไม่พอใจก็ไปอยู่ที่อื่น”

          “แต่ฝ่าบาท ทุกวันนี้พวกคนแคระเหลือน้อยลงทุกที ที่อยู่ในเมืองของข้า คาดว่าเป็นกลุ่มสุดท้ายแล้ว ซึ่งก็เหลือกันอยู่แค่ไม่กี่ร้อย--”

          “ทำในสิ่งที่เจ้าได้รับมอบหมาย แอนโทนิดัส แร็กซ์ริง อย่างที่เจ้าทำได้ดีมาตลอด” พระราชายื่นคำขาด “อย่าให้นี่เป็นครั้งแรก ที่เจ้าทำได้ไม่ดี”

          “พะยะค่ะ” แร็กซ์ริงไม่มีทางเลือก

          “แยกย้ายกันไปเตรียมการได้ สงครามครั้งนี้มนุษย์จะต้องเป็นฝ่ายชนะ” พระราชาโบกมือ “ข้าจะลากศพเจ้าแบล็กไรดิงฮู้ดมา กระชากหมวกฮู้ดของมันออก แล้วให้ทุกคนได้เห็นว่า มันก็แค่ปีศาจธรรมดาที่ตายได้ง่ายๆ เหมือนปีศาจตัวอื่นๆ”

          ทุกคนโค้งคำนับแล้วแยกย้ายกันออกไปจากท้องพระโรง เหล่าขุนนางที่ไม่ถูกกันนั้น แสร้งทำเป็นยิ้ม จับมือกัน เพื่อรักษามารยาทและความเป็นมืออาชีพของนักการเมือง ในใจคงภาวนาให้อีกฝ่ายมีอันเป็นไปต่อหน้าต่อตา แร็กซ์ริงเดินออกไปเป็นคนท้ายๆ สีหน้าเคร่งเครียด มือถือคทายาวค้ำพื้นเหมือนไม้เท้า ริฟเฟอร์เดินเข้ามาสมทบ มองอีกฝ่ายอย่างเห็นใจ

          “ข้าจะไปบอกพวกคนแคระยังไง ว่าพระราชาดึงพวกนั้นเข้าสู่พื้นที่สงคราม พวกคนแคระก็อยู่กันสงบดีแท้ๆ” พ่อมดถอนหายใจ

          “เรามีหน้าที่รับใช้พระราชา เราก็ต้องทำในสิ่งที่พระองค์ต้องการ” ริฟเฟอร์ส่ายหน้า “ไม่อย่างนั้น คนที่เดือดร้อนที่สุดจะเป็นตัวเราเอง”  

 

*********************

 

          “เคล็ดลับอีกอย่างที่ทำให้ไวน์รสชาติดีนั้น องุ่นที่ปลูกจะต้องปลูกบนดินที่เหมาะสม ข้าอิจฉาฟอเรสเทอร์อย่างพวกท่านจริงๆ กาโกคอลอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก ปลูกอะไรก็ขึ้น ถ้าข้าเป็นพวกท่านนะ ข้าจะปลูกองุ่นให้เต็มอาณาจักรเลย คงมีไวน์ให้กินไปจนตาย”

          เซ็นทอร์ครึ่งมนุษย์ครึ่งม้าท่าทางเมาตนหนึ่ง กำลังลูบมือไปบนพวงองุ่นในตะกร้า มืออีกข้างก็ถือถุงหนังใส่ไวน์ดื่มอย่างมีความสุข ขณะที่เซ็นทอร์ตนอื่นๆ ช่วยกันขนตะกร้าองุ่นใบอื่นๆ ขึ้นรถลาก แอเมน่า สกายซี หัวหน้าเผ่าฟอเรสเทอร์ เซ็นแวนเดอร์ ไวท์วิสเพอร์ รองหัวหน้าเผ่า และนักรบฟอเรสเทอร์อีกจำนวนหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าเซ็นทอร์ขี้เมา ฟอเรสเทอร์ชายจะสวมเกราะหนังเป็นชั้นๆ ปกคลุมทั้งตัว ส่วนฟอเรสเทอร์หญิงจะสวมเกราะหนังตัวเล็กรัดรูป ที่เปิดเผยเนื้อหนังบางส่วนตามแต่ผู้สวม และสวมกระโปรงหนังตัวสั้น มันคงช่วยป้องกันคมอาวุธได้ไม่มาก แต่มันก็ทำให้ตัวเบา เหมาะสำหรับร่างกายอันเพรียวบางของนักรบหญิง ทั้งหมดยืนอยู่ที่ชายป่ารอบนอกอาณาจักร เป็นจุดที่แอเมน่านัดพวกเซ็นทอร์มาพบ

          “พวกเจ้าได้สิ่งที่ต้องการแล้ว คราวนี้บอกหัวหน้าเผ่าของข้า ถึงสิ่งที่พวกเจ้าได้เห็นมา” เซ็นแวนเดอร์กล่าว มือข้างหนึ่งถือคันศร หลังสะพายกระบอกใส่ลูกธนู

          “พวกมนุษย์ถูกยำเละเป็นซากน่ะสิ” เซ็นทอร์ดื่มอึกใหญ่ “พวกดาร์คเนสดีวิลไม่ได้เล่นเบาๆ พวกนั้นโผล่มาเป็นกองทัพทหารม้า พร้อมด้วยอาวุธและเกราะเหล็ก ม้าของพวกนั้นมีไฟลุกแล้วก็พ่นไฟได้”

          “เจ้าอ่านนิทานมากไปหรือเปล่า” เซ็นแวนเดอร์ขมวดคิ้ว

          “ปีศาจในนิทานก็มีพาหนะอย่างนี้ด้วยหรือ ข้าไม่เคยอ่านนิทานหรอก ท่าน เอ้อ! รองหัวหน้าเผ่า” เซ็นทอร์หรี่ตามองรัดเกล้าขนนกบนศีรษะเซ็นแวนเดอร์ “ข้าอ่านหนังสือไม่ออก”

          “เจ้าหมายความว่า พวกมนุษย์เป็นฝ่ายแพ้ศึกอย่างนั้นหรือ” แอเมน่าถามอย่างไม่อยากเชื่อ

          เซ็นทอร์หันมาหาแอเมน่า ท่าทางมึนๆ ง่วงๆ  ไม่แน่ใจว่าได้ยินที่เธอถามหรือไม่ ไม่ได้มองหน้าเธอ

          “ข้าถามเจ้านะ” แอเมน่าเน้นเสียง

          “ขอโทษ ข้ากำลังมองไอ้มงกุฎขนนกที่ท่านสวมอยู่ จะดูว่าหางมันยาวถึงหลังหรือเปล่า จะได้แน่ใจว่าท่านคือหัวหน้าเผ่าฟอเรสเทอร์ เวลาเรียกจะได้ไม่หน้าแตก” เซ็นทอร์โบกไม้โบกมือ

          “งั้นสายตาของเจ้าก็ควรจะอยู่ที่หัวกับหลังของข้า ไม่ใช่ที่หน้าอก”

          “ข้าขอโทษ มันโตกว่าของเมียข้าอีก เอ้อ! ข้าหมายถึง ใช่แล้ว พวกมนุษย์แพ้ และไม่ใช่แพ้ธรรมดา เรียกว่าถูกสังหารหมู่เสียด้วยซ้ำ คงจะไม่มีใครรอดกลับโมราโซมอส เรื่องนี้ข้ายืนยันไม่ได้ ข้าแค่ส่องกล้องดูจากที่ไกลๆ แต่ใกล้พอจะรับรู้ถึงความดุร้ายของพวกดาร์คเนสดีวิล ไหนจะพายุฝนในพื้นที่หิมะ ไหนจะฟ้าผ่า ไหนจะสัตว์ร้ายสามหัวสีดำ ข้าคิดว่าข้าเคยได้เห็นอะไรแปลกๆ มามากแล้วนะ”

          “ตอนนั้นเจ้าเมาหรือเปล่า” เซ็นแวนเดอร์ส่ายหน้า ถอนหายใจ

          “ข้าเมาตลอดเวลาอยู่แล้ว” เซ็นทอร์ชูถุงใส่ไวน์ โซเซเล็กน้อย “แต่ข้าก็มีสติเพียงพอที่จะรับรู้ในสิ่งที่ตนเห็น สิ่งที่พวกท่านเคยประเมินพวกดาร์คเนสดีวิลไว้ เอาไวน์ล้างมันออกจากหัวเสีย พวกปีศาจกลายเป็นทุกสิ่งที่พวกท่านคาดไม่ถึง พวกนั้นประหลาดกว่าที่พวกท่านจะคิดให้ประหลาดได้ ที่แน่ๆ คือพวกนั้นไม่ได้กระจอก ข้าพูดจริงๆ เรื่องที่ว่าไม่ได้กระจอก พวกท่านจะเข้าใจความหมาย เมื่อเห็นวิธีฆ่าของพวกนั้น”

          “แล้วเจ้าเห็นอะไรอย่างอื่นอีกไหม” แอเมน่าถามต่อ “กำแพง ฐานทัพ ป้อมปราการ เครื่องกลสงครามอื่นๆ”

          “ศึกเกิดนอกตัวเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลด พวกดาร์คเนสดีวิลนำกองทัพทหารม้าเข้าปะทะกับพวกมนุษย์ในที่โล่ง ข้าเห็นแค่นั้น” เซ็นทอร์ตอบ “ท่านจะอยากรู้เกี่ยวกับกำแพงหรือป้อมปราการของพวกดาร์คเนสดีวิลทำไม จะยกทัพไปโจมตีพวกนั้นหรือ”

          “ข้าต้องการทราบขีดความสามารถในการป้องกันเมืองของพวกดาร์คเนสดีวิล ว่าพวกนั้นแกร่งพอจะต้านการบุกของพวกมนุษย์ได้มากแค่ไหน เพราะพวกดาร์คเนสดีวิลเป็นสิ่งที่เดียวขวางเรากับพวกมนุษย์” แอเมน่าพูดอย่างหงุดหงิด “ซึ่งมันจะดีมาก ถ้าเจ้าได้เห็นอะไรมากกว่านี้”

          “ท่านคิดว่าข้าควรจะเห็นอะไรล่ะ” เซ็นทอร์ทำเสียงเหมือนม้า “ไอ้สิ่งที่ข้าเสี่ยงเข้าไปดู มันคือศึกสงครามนะ ส่องกล้องมองจากระยะนั้นโดยไม่โดนลูกหลงก็บุญเท่าไหร่แล้ว ท่านคาดหวังจะให้ข้าฝ่าอาวุธที่ปะทะกันอยู่ เข้าไปขอสำรวจเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดอย่างละเอียดหรือไง”

          “กรุณาพูดกับเธอดีๆ” เซ็นแวนเดอร์พูดอย่างจริงจัง “เธอคือผู้นำสูงสุดแห่งกาโกคอลนะ”

          “อย่าโกรธคนบ้าอย่าถือสาคนเมา” เซ็นทอร์โบกถุงไวน์ไปมา

          “พวกมนุษย์ไม่เคยชอบเป็นฝ่ายแพ้ พวกนั้นจะต้องพยายามกู้หน้ากู้ศักดิ์ศรีคืนมา” แอเมน่ากล่าว “ศึกครั้งที่สองต้องเกิดขึ้นแน่ และกองทัพที่ยกไปโจมตีฟรอสท์ไอรอนแคลดจะต้องมีขนาดใหญ่กว่าเดิม สงครามจะดุเดือดเป็นทวีคูณ ฉะนั้นเซ็นทอร์ เจ้าสามารถเป็นหูเป็นให้แก่ข้าอีกครั้งได้ไหม ข้าต้องการติดตามเหตุการณ์ในศึกครั้งที่สอง”

          “ด้วยความยินดี ถ้าท่านให้องุ่นกับไวน์หลายๆ ถังแก่ข้าอีก” เซ็นทอร์กระดกดื่มจากถุงไวน์

          “ขอบคุณที่มาส่งข่าว เจ้าไปได้แล้ว” แอเมน่าพยักหน้า

          “เรามาจับมือบอกลากันไหม ท่านหัวหน้าเผ่าสุดสวย” เซ็นทอร์ยิ้มเมาๆ

          “ก็อยากอยู่ แต่มือเจ้าเลอะเหล้าเต็มไปหมด ขอให้เดินทางปลอดภัยก็แล้วกัน ถนนธรรมดายังเป็นอันตรายต่อคนเมาได้”

          “ข้าอาจขี้เมา แต่ข้าก็เป็นคนใจกว้าง ฉะนั้น ข้าขอเตือนด้วยความหวังดี ท่านหัวหน้าเผ่า” เซ็นทอร์ต่อท้าย “หากว่าพวกท่านคิดจะทำสิ่งบาดหมางกับพวกดาร์คเนสดีวิล ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ แนะนำให้ล้มเลิกความคิดนั้นเสีย พวกปีศาจอันตรายกว่าที่คิด ทางที่ดีคืออยู่ให้ห่างพื้นที่ของพวกนั้น ถ้าไม่อยากถูกถีบออกมาเหมือนพวกมนุษย์”

          แล้วเซ็นทอร์ก็ชูถุงไวน์ให้ทุกคนเป็นการบอกลา เดินโซเซสี่ขาไปที่รถลาก มีตะกร้าองุ่นและถังไวน์อยู่เต็มคันรถ เขากับเซ็นทอร์ตนอื่นๆ อีกสองสามคนนำแอกมาเทียมหลังตน และช่วยกันลากรถไปพร้อมๆ กัน กอดคอกันร้องเพลงที่มีเนื้อร้องประมาณว่า “เมียตายไม่เสียดายเท่าไวน์หก เมียทำไวน์หกเตะเมียตกหน้าผาตาย” พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะระคายหูเหมือนเสียงม้าร้อง

          “ท่านแน่ใจว่าพวกนี้พึ่งพาได้จริงๆ หรือ” เซ็นแวนเดอร์กุมหน้าผาก

          “อย่างน้อย พวกนี้ก็ทำให้ข้าไม่ต้องส่งคนในเผ่าพันธุ์ไปเสี่ยงต่อลูกหลงสงคราม” แอเมน่าบอก “โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รู้อะไรใหม่ๆ เกี่ยวกับพวกดาร์คเนสดีวิล ข้าคิดถูกแล้วที่ไม่ส่งคนในเผ่าพันธุ์ไป”

          “ครั้งนี้พวกดาร์คเนสดีวิลอาจชนะ แต่เมื่อพวกมนุษย์เคลื่อนพลไปที่ฟรอสท์ไอรอนแคลดเป็นครั้งที่สอง ด้วยกองทัพที่ใหญ่กว่าเดิม พวกปีศาจจะต้านทานการบุกได้หรือ” เซ็นแวนเดอร์ถาม

          “ถ้าต้านได้ พวกมนุษย์คงเสียหายหนัก และหยุดยั้งการบุกไปอีกนาน” แอเมน่าตอบ “แต่ถ้าต้านไม่ได้ เรานี่ล่ะต้องเตรียมรับการบุกจากพวกมนุษย์ที่จะเกิดขึ้นสักวัน”

          “อีกฟากของแผนที่ พวกโฮเซ่ก็กำลังแย่” เซ็นแวนเดอร์ว่า “ไม่ว่าพวกมนุษย์จะพิชิตโฟรเซ็นทิเนลได้หรือไม่ กองทัพเรือมนุษย์จะต้องเคลื่อนพลเข้าโจมตีชายฝั่งแบร์ร็อคไม่ช้าก็เร็ว พวกมนุษย์อาจมีศัตรูมากมาย แต่พวกนั้นก็เก่งพอที่จะสู้กับศัตรูทั้งหมดได้พร้อมๆ กัน”

          “ในตอนนี้ พื้นที่สงครามยังดูห่างไกลจากอาณาจักรของเรา” แอเมน่าพูด “แต่หากมันขยับขยายเข้ามาใกล้ ประชาชนจะตื่นตระหนก”

          “เรามีวิธีใดที่จะสร้างความอุ่นใจให้ประชาชนมากขึ้นไหมครับ” เซ็นแวนเดอร์ถาม

          “พวกวูดส์วาร์เด็น” แอเมน่าตอบ “เมื่อนักรบป่ารุ่นใหม่เหล่านี้กระจายอยู่ตามป่ารอบนอก คอยรักษาการณ์ดูแล ประชาชนจะรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น”

          “แต่เราเพิ่งจัดตั้งวูดส์วาร์เดนขึ้นมา จำนวนพวกเขาจึงยังน้อยเกินไปสำหรับส่งมาประจำการตามป่ารอบนอก” เซ็นแวนเดอร์พูด “ไมริฟยังฝึกสอนนักรบได้ไม่มากนัก”

          “ระหว่างที่รอให้พวกเขามีจำนวนเพียงพอ ข้าขอมอบหมายให้เจ้ากับกองกำลังส่วนหนึ่งลาดตระเวนตามป่ารอบนอกกันไปก่อน โผล่หน้าไปให้ประชาชนเห็นบ่อยๆ ว่าเจ้ากำลังปกป้องพวกเขา” แอเมน่าสั่ง “อย่างน้อยก็เพื่อสร้างความอุ่นใจให้ประชาชน ให้พวกเขาเห็นว่าเราได้ทำอะไรบ้าง ระบอบประชาธิปไตยก็อย่างนี้ จำเป็นจะต้องสร้างภาพในบางครั้ง”

          “ครับ ท่านหัวหน้าเผ่า” เซ็นแวนเดอร์โค้งศีรษะ

 

*************

 

                กอร์รินใช้ชีวิตอยู่ในเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดหลายวันแล้ว และรับรู้ถึงวิถีชีวิตของพวกดาร์คเนสดีวิลที่นี่มากขึ้น มันไม่มีอะไรเหมือนวิถีชีวิตในแบร์ร็อคเลย ทุกคนเท่าเทียมกันหมด ไม่มีใครชี้นิ้วสั่งใคร ไม่มีใครสบายกว่าใคร กลุ่มผู้นำเผ่าพันธุ์ก็ล้วนทำตัวติดดิน ไม่มีใครรับใช้ ไม่มีใครมาคอยทำโน่นทำนี่ให้ ทำทุกอย่างด้วยตนเอง แม้แต่อาหารก็ยังต้องหามาตุนเอาเอง

          ความอดอยากเป็นอีกหนึ่งปัญหาของที่นี่ เพราะมันมีแต่หิมะ เป็นไปได้ยากมากที่จะทำการเพาะปลูก แต่พวกปีศาจก็ยังฉลาดพอที่จะสร้างเรือนเพาะชำ สร้างทะเลสาบน้ำเค็มสำหรับเพาะเลี้ยงสัตว์ทะเล และสร้างโรงปศุสัตว์ อาหารหลักของพวกเขาคือปลา กอร์รินได้กินปลาติดกันหลายมื้อมาก และเป็นปลาที่เขาต้องจับขึ้นมาเอง โซลิแทร์สอนให้เขาตกปลาแบบเผ่าพันธุ์แดนหนาว คือเลื่อยน้ำแข็งให้เป็นช่องแล้วหย่อนเบ็ดลงไป มันไม่เหมือนกับที่แบร์ร็อคบ้านของเขาเลย อาณาจักรแบร์ร็อคนั้นแม้จะมีทะเลทราย แต่ก็ยังมีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ หาอาหารไม่ยาก และที่สำคัญคือเหล่าผู้ปกครองอาณาจักรไม่ต้องหาอาหารเอง ไม่ต้องทำอะไรเองด้วยซ้ำ แค่ทำหน้าที่วางแผนการรบและปกครองไป ส่วนใหญ่มีหน้าที่แค่สั่งอย่างเดียว กอร์รินไม่คิดว่าจะได้พบเจอผู้นำสูงสุดอย่างโซลิแทร์ ผู้ซึ่งไม่ชอบสั่งใครโดยไม่จำเป็น ทำตัวสมถะ กินง่ายอยู่ง่าย ไร้ซึ่งความหรูหราฟุ้งเฟ้อ ความจริงแล้วคำว่าหรูหรานั้นคงจะไม่มีในสมองดาร์คเนสดีวิลคนใด ทุกคนล้วนแต่มีสิ่งที่จำเป็น ทำสิ่งที่จำเป็น ไม่มีใครเอาเปรียบใคร อาหารที่หามาได้ก็ได้รับการแบ่งปันอย่างเท่าเทียม ชีวิตความเป็นอยู่ของแต่ละคนจึงแทบจะไม่เหลื่อมล้ำกันเลย ไม่ว่าจะกลุ่มผู้นำเผ่าพันธุ์หรือนักรบทั่วไป ต่างก็ร่วมกันทำกิจกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากในสนามรบ

          วันนี้ก็เช่นกัน โซลิแทร์ เซซิล และกัปตันมาซูล กำลังนำชิ้นส่วนหอคอยน้ำแข็งขึ้นไปประกอบบนกำแพงชั้นที่สอง ร่วมกับนักรบดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ กอร์รินก็มาช่วยงานด้วย เขากับโซลิแทร์ช่วยกันชักรอกเอาชิ้นส่วนหอคอยขึ้นไป ขณะที่เซซิลและกัปตันมาซูลคอยรับชิ้นส่วนไปประกอบอยู่บนนั่งร้าน

                “นอนไม่ค่อยหลับหรือสหาย” โซลิแทร์ทักเมื่อเห็นกอร์รินอ้าปากหาว

                “แค่ง่วงนิดหน่อย แต่ไม่ถึงกับทำให้ข้าอ่อนแรงได้” กอร์รินออกแรงดึงรอก “ข้าแข็งแรงมาก ดูกล้ามที่แขนข้าสิ อ้อ! ลืมไป ข้าสวมเสื้อขนสัตว์หนาขนาดนี้ ท่านคงไม่เห็นอะไรสักอย่าง”

                “อย่างที่บอกไป เราแทบจะไม่เคยต้อนรับใครเลย” โซลิแทร์ช่วยอีกฝ่ายดึงรอก “ท่านจึงไม่ได้รับความสะดวกสบายนัก แต่เดี๋ยวนำเตาผิงเคลื่อนที่ในห้องข้าไปใช้ก่อนก็ได้ จะได้นอนสบายขึ้น”

                “ท่านมีน้ำใจล้นเหลือ” กอร์รินพยักหน้าขอบคุณ

          แน่นอนว่าห้องพักของเขามันไม่สะดวกสบายเท่าไรนัก เผ่าพันธุ์ทะเลทรายอย่างเขาย่อมไม่ถูกโลกกับความหนาว เขาเคยชินกับที่นอนสบายๆ มาตลอด ตอนไปออกรบนอกสถานที่นั้น กระโจมนอนอันกว้างขวางของเขายังอยู่สบายกว่านี้ จริงอยู่ที่เหล่าผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลได้นอนในปราสาทที่อยู่ด้านหลังกำแพงชั้นที่สาม แต่ก็เป็นปราสาทที่แทบจะไม่ให้ความสำคัญเรื่องความสบายเลย เพราะมันมีไว้เป็นป้อมปราการสำหรับรับศึกในกรณีที่กำแพงทั้งสามชั้นแตก ข้างในปราสาทไม่มีความหรูหรา ไม่มีของตกแต่งเพื่อความสวยงาม มันเหมือนป้อมปราการปีศาจในนิทานไม่มีผิดเพี้ยน มีแต่อาวุธสำรอง กลไกอันตราย และสิ่งที่ทำให้ดูน่ากลัว ไม่น่าเชื่อว่ากับดักจะเต็มไปหมด กอร์รินเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเพราะไปชนคันโยกตัวหนึ่งเข้า ไม่แปลกใจเลยว่าพวกดาร์คเนสดีวิลไม่เรียกปราสาทหลังนี้ว่าปราสาท (Castle) แต่เรียกว่าป้อมปราการ (Citadel) ป้อมปราการดำ(Black Citadel) คือชื่อของมัน

                “ข้ารู้ซึ้งแล้วว่าเหล่าผู้ปกครอง เอ้ย! ข้าหมายถึงเหล่าผู้นำอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล จะต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างที่สั่งให้คนอื่นทำ” กอร์รินว่า “ท่านรู้ไหม เมื่อวานนี้ภาพของท่านทำเอาข้าประทับใจมาก ท่านสวมผ้าคลุม สวมฮู้ด สวมหน้ากาก สวมผ้ากันเปื้อน และถือพลั่วตักขี้ม้าใส่รถเข็น”

                “ลองทำสิ่งต่างๆ ร่วมกับคนของท่านดูสิ แล้วจะพบว่าพวกเขามีพลังในการทำงานมากขึ้น” โซลิแทร์แนะนำ

                จริงทีเดียว นักรบดาร์คเนสดีวิลแต่ละคนต่างทำงานอย่างขยันขันแข็ง เมื่อเห็นว่าเหล่าผู้นำของตนมีส่วนร่วมกับสิ่งที่ทำด้วย บางทีความเสมอภาคและความผูกพันระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา อาจเป็นสิ่งที่แบร์ร็อคไม่เคยมีก็ได้ กอร์รินพ่นลมหายใจใส่มือตัวเอง แล้วช่วยโซลิแทร์ยกชิ้นส่วนหอคอยน้ำแข็งวางบนกระเช้ารอก บอกไม่ได้ว่าเป็นส่วนไหนของหอคอย เพราะมันดูเหมือนน้ำแข็งชิ้นใหญ่ๆ เหลี่ยมๆ เพียงแต่มันแข็งแกร่งมาก และไม่ละลายเหมือนน้ำแข็งปกติ

                “ท่านสวมไอ้ฟูๆ นี่แล้วยังไม่หายหนาวอีกหรือ” โซลิแทร์หัวเราะ “แนะนำว่าอย่าเดินออกนอกกำแพงเชียว ข้าอาจเอาหอกล่าท่านมากิน ก่อนจะรู้ว่าท่านไม่ใช่หมีน้ำแข็ง”

                “ส่วนท่านก็แต่งตัวมีเอกลักษณ์ได้ทุกวัน” กอร์รินสวนกลับ “กลัวคนจำไม่ได้หรือ”

                วันนี้โซลิแทร์ไม่ได้สวมชุดเกราะ แต่ก็ยังแต่งกายด้วยชุดสีดำมิดชิด สวมผ้าคลุมยาว สวมหมวกฮู้ด และสวมหน้ากาก มือทั้งสองข้างไม่ได้สวมถุงมือหุ้มเหล็กและสนับแขนติดกรงเล็บแล้ว แต่ก็ยังสวมถุงมือดำมิดชิด ที่ไม่มีใครเคยเห็นเขาถอดออกเลย

                “ทำไมท่านต้องสวมหน้ากากแทบจะตลอดเวลา” กอร์รินกัดฟันพูด เพราะออกแรงช่วยโซลิแทร์ยกชิ้นส่วนหอคอยน้ำแข็งขึ้นไปวางบนกระเช้ารอก “หน้าท่านมันมีอะไรน่าอายหรือ”

                “ข้าชอบมัน รู้สึกว่าสวมแล้วเป็นตัวเองดี” โซลิแทร์วางชิ้นส่วนหอคอยลงบนกระเช้าพร้อมกับกอร์ริน “คิดเสียว่ามันคือหน้าจริงๆ ของข้า หน้าที่เหล่าคนที่ข้าเกลียด ขยาดที่จะมอง”

                “แล้วยังถุงมืออีก ข้าเห็นท่านสวมตลอดเวลา” กอร์รินว่าต่อ “เคยถอดมันบ้างไหม”

                “เคย แต่ไม่บ่อยนักหรอก”

                “มือของท่านมีอะไรควรปกปิดอย่างนั้นหรือ”

                “บางสิ่ง เราก็มีเหตุผลที่อยากจะปกปิดจากสายตาคนอื่น” โซลิแทร์ออกแรงสาวรอก กอร์รินเข้ามาช่วยอีกแรง “ทุกคนล้วนมีความลับของตนเอง แต่จะปกปิดได้นานแค่ไหน นั่นก็อีกเรื่อง”

                “ข้าชินกับความประหลาดของท่าน จนเลิกสงสัยอะไรแปลกๆ เกี่ยวกับตัวท่านแล้ว” กอร์รินพูด “แต่ก็ดีนะ การเป็นตัวของตัวเอง เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความสุข”

                “ข้าไม่คิดว่าชีวิตที่ผ่านมานี้ข้าจะมีความสุขมากนัก แต่แน่นอน ข้ามีความสุขที่ได้เป็นตัวของตัวเอง” โซลิแทร์ปล่อยกระเช้ารอกกลับลงมา เมื่อเห็นว่าเซซิลกับกัปตันมาซูลรับชิ้นส่วนหอคอยไปแล้ว “อย่างน้อยข้าก็มีโอกาสได้ทำสิ่งที่ตนคิดว่าควรทำ ได้ต่อต้านกรอบแคบๆ ที่บีบชีวิตของข้า ได้ลงมือกระทำสิ่งต่างๆ ที่ตนหมายใจจะทำ แม้มันจะดูบ้าแค่ไหนก็ตาม ท่านคิดว่าข้าต่อสู้ได้ดีเพราะอะไร เรียนรู้จากคนอื่นตามทฤษฎีทุกประการอย่างนั้นหรือ อ่านเอาจากหนังสือเก่าๆ อย่างนั้นหรือ ไม่เลยสหาย ข้าคิดค้นสร้างสรรค์มันขึ้นมาเอง ข้าคิดทุกกลยุทธ์มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับตัวเอง เพราะไม่มีใครจะเข้าใจตัวเรามากไปกว่าตัวเราเองอีกแล้ว เพียงแต่เราแค่ต้องเริ่มจากการเข้าใจตนเองก่อน การรู้จักตนเองน่ะไม่ใช่สิ่งที่ทำได้มาตั้งแต่เกิด แต่ถ้าท่านอยากรู้จักจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย”

                “ก็คงจะจริงของท่าน รูปแบบการต่อสู้ของท่านเดาได้ยากมาก เพราะมันไม่เหมือนใคร”

                “แต่ก็คล้ายๆ กับท่านบ้างนะ เดาว่าท่านเองก็คงไม่ได้ยึดตามสิ่งที่ถูกสอนมาเหมือนกัน”

                “พ่อของข้าหานักรบมือดีมาสอนข้า และสิ่งที่เขาสอนก็ซึมเข้าหัวข้าน้อยมาก” กอร์รินหัวเราะ “ข้ากลับมีลักษณะการต่อสู้ที่แตกต่างออกไป ตอนแรกทุกคนคิดว่าข้าไม่ได้เรื่อง แต่เมื่อประลองกันจริงๆ กลายเป็นว่าข้าเอาชนะได้ทุกคน”

                เอเลนเซฟเวอรี่สามตัวบินผ่านข้ามหัวทั้งคู่ไป กอร์รินเงยหน้ามองอย่างระแวงเล็กน้อย

                “เมื่อไหร่ท่านจะชินกับพวกมันเสียที” โซลิแทร์อดขำไม่ได้ “พวกมันไม่โจมตีท่านหรอก ถ้าท่านไม่โยนอาวุธใส่พวกมัน”

                “แม้แต่ท่านก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พวกมันเป็นสัตว์อันตราย” กอร์รินเตือน “ข้าเห็นตอนที่พวกมันโจมตีท่าเรือซาโมโรว์”

                “พวกมันก็เหมือนข้า จะดุร้ายเฉพาะกับศัตรู ไม่มาล้ำเส้นก็จะไม่ยุ่งด้วย” โซลิแทร์ว่า “อย่าเพิ่งด่วนตัดสินสิ่งที่ท่านยังไม่เข้าใจ สหายโฮเซ่ มันอาจทำให้ท่านพลาดโอกาสที่ดีที่สุด อย่างที่บรรดาผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลพลาดกันทุกคน ไม่มีใครใส่ใจจะเข้าอกเข้าใจพวกเอเลนเซฟเวอรี่ ไม่มีใครเปิดรับพวกเอเลนเซฟเวอรี่มาเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์ จึงไม่มีใครสามารถยกเท้าพวกมนุษย์ออกจากหัวได้”

                “แล้วท่านเข้าอกเข้าใจพวกมันหรือ”

                “พวกมันก็ไม่ได้เข้าใจยากไม่ใช่หรือ ถูกลินเลนธันสาปให้ไร้ชีวิตจิตใจเหมือนพวกเอลิล เพื่อลดความดุร้าย ไม่ต้องกินอาหาร ไม่ต้องหายใจ ไม่ต้องผสมพันธุ์ ข้าคิดว่าสิ่งมีชีวิตที่ไร้อารมณ์และความรู้สึกนั้น เข้าใจง่ายจะตายไป”

                “ท่านจะบอกว่าเดิมที พวกเอเลนเซฟเวอรี่ไม่ได้เป็นแบบนี้อย่างนั้นหรือ”

          “ก็มีสามหัว มีปีก พ่นดาวตกเหมือนตอนนี้แหละ เพียงแต่ก็เหมือนสัตว์ร้ายทั่วไป ดุร้าย กระหาย ก้าวร้าว” โซลิแทร์เล่า “เมื่อถูกกระตุ้นโทสะก็อาละวาดทำลายทุกอย่าง ลินเลนธันจึงใช้อัญมณีสีขาวสองชิ้นที่ยึดมาจากพ่อมดราซานเซล สาปพวกเอเลนเซฟเวอรี่ทั้งหมดให้บินไปรวมกันรอบๆ อัญมณีเป็นวงกลม และถูกน้ำแข็งแช่แข็งไว้อย่างนั้นตลอดกาล ช่างเป็นไซคัสที่เหี้ยมโหดและเห็นแก่ตัว ข้าไม่เคยชอบเขาเลย” ปีศาจหนุ่มบ่น “พวกเอเลนเซฟเวอรี่เป็นแค่สัตว์ พวกมันย่อมแสดงความก้าวร้าวเมื่อถูกคุกคาม ซึ่งพวกไซคัสก็มีชื่อเสียงเรื่องคุกคามคนอื่นมาก เดาได้เลยว่าสิ่งใดไปกระตุ้นความก้าวร้าวของพวกเอเลนเซฟเวอรี่ ส่วนลินเลนธันก็มีนิสัยเสียแก้ไม่หาย ไม่พอใจใครก็สาปๆๆๆ  อยากรู้จริงๆ ว่าเขาสาปแม่ของเขาด้วยหรือเปล่า ถ้าถูกใช้ให้ทำงานบ้าน”

          “อะไรคืออัญมณีสีขาวสองชิ้นของราซานเซล” กอร์รินเริ่มสนใจ

          “คงจะเป็นวัตถุทรงพลังอีกชนิดที่ราซาเซล เดอะ โคลด์เคมิสท์ (The Cold Chemist) นำมาแปรรูปพลังงาน ชิ้นหนึ่งมีไว้ใช้ร่ายคำสาป อีกชิ้นหนึ่งมีไว้รักษาอำนาจของคำสาปไม่ให้หมดไป” โซลิแทร์อธิบาย “ยอมรับว่าหมอนี่เก่งที่สุดในเรื่องเล่นแร่แปรธาตุ และการประยุกต์วัตถุพลังงานสูง”

          “แล้วทำไมลินเลนธันถึงเลือกใช้อัญมณีของพวกเอลิลด้วยล่ะ” กอร์รินถามต่อ

          “เพราะมันสามารถใช้ในการแช่แข็งเอเลนเซฟเวอรี่ได้” โซลิแทร์ตอบง่ายๆ “มีหลายสิ่งที่พวกไซคัสนำความรู้และพลังที่ยึดได้จากพวกเอลิลมาใช้ เพราะพวกไซคัสไม่ได้มีความรู้ความสามารถที่จะคิดอะไรแบบนี้ขึ้นมาเอง ความจริงแล้วพวกผู้สร้างเผ่าพันธุ์ของเรามันงี่เง่า กอร์ริน แต่ฉลาดเรื่องการใช้สิ่งที่เป็นของคนอื่น เหมือนพวกมนุษย์ เผ่าพันธุ์โปรดของพวกไซคัส”

          “แล้วทำไมพวกนี้ถึงไม่ถูกแช่แข็งล่ะ” กอร์รินชี้มือไปที่พวกเอเลนเซฟเวอร์รีที่บินอยู่บนท้องฟ้า

          “หลังจากที่ลินเลนธันตาย คำสาปทั้งหมดก็เป็นอันยุติ”  โซลิแทร์ตอบ “เพราะอัญมณีทั้งสองจะยกเลิกคำสาป เมื่อผู้ร่ายคำสาปจบชีวิตลง หรือไม่ก็อัญมณีชิ้นใดชิ้นหนึ่งถูกทำลายลง นับแต่วันนั้น พวกเอเลนเซฟเวอรี่จึงเป็นอิสระ และกระจัดกระจายหนีกลับมาที่โฟรเซ็นทิเนล แต่เนื่องจากคำสาปบางส่วนรุนแรงมาก จึงทำให้พวกเอเลนเซฟเวอรี่ทั้งหมดมีเลือดเป็นธาตุอากาศใส เส้นประสาทของพวกมันถูกทำลายจนหมด เป็นเหตุให้พวกมันไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น เช่นเดียวกับพวกเอลิล และเป็นอย่างนี้ตลอดไปชั่วลูกชั่วหลาน แต่ถึงอย่างไร พวกมันก็ยังเป็นสัตว์ตระกูลปีศาจไม่เปลี่ยนแปลง”

          “คงยากลำบากมากใช่ไหม ในการดึงพวกมันมาเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์” กอร์รินถามอย่างเลื่อมใส

          “ก็ไม่ได้สาหัสอะไรมาก แต่เจ็บปากเป็นบ้า” โซลิแทร์ระลึกความหลังอย่างขยาดกลัว

          “เกี่ยวอะไรกับปากหรือ--”

          “ท่านสองคน” เซซิลเรียกจากบนนั่งร้าน “กรุณาส่งชิ้นส่วนอีกชิ้นขึ้นมาได้แล้ว การทำงานระหว่างคุยมันเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ง่ายๆ และมีประโยชน์กว่าแค่ยืนคุยกันเฉยๆ แบบนี้”

          “ข้าเชื่อแล้วว่าผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลต้องทำทุกอย่างร่วมกับนักรบคนอื่นๆ จริงๆ” กอร์รินหัวเราะชอบใจ ขณะช่วยโซลิแทร์ชักรอกส่งชิ้นส่วนหอคอยขึ้นไปให้เซซิล “อาจเรียกได้ว่า เป็นกลุ่มผู้นำที่รับใช้ประชาชนโดยแท้จริง”

          “ก็ไม่เชิง” โซลิแทร์แก้ไข “จริงอยู่ที่เราไม่เก็บภาษี ไม่มีเกณฑ์ทหาร ไม่กำหนดกฎหมายเคร่งครัดตีกรอบการดำเนินชีวิตประชาชน ให้พวกเขาอยู่กันตามที่ต้องการในขอบเขตที่ไม่เบียดเบียนกันและกัน แต่เราก็ไม่ได้คอยช่วยเหลือในทุกปัญหาของพวกเขา เรามีหน้าที่แค่ปกป้อง เราไม่มีหน้าที่ดูแลเลี้ยงดูหรืออำนวยความสะดวกใดๆ เพราะดาร์คเนสดีวิลถือคติเรื่องการจัดการสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง หากพวกเขาเดือดร้อนในเรื่องที่นอกเหนือจากการถูกคุกคาม เราก็มีสิทธิ์ที่จะปล่อยให้พวกเขาจัดการปัญหาเอง”

          “ฟังดูง่ายดีนะ ทำหน้าที่แค่ปกป้อง ไม่ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองมากนัก” กอร์รินสนใจ

          “เหล่าผู้นำแห่งอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลจึงมีแต่นักรบ ไม่มีนักการเมืองนักปกครอง ผู้นำสูงสุดจะรบเก่ง หัวไวเรื่องสงคราม แต่ไม่เก่งเรื่องการปกครองควบคุม” โซลิแทร์ว่าต่อ “อย่างไรก็ตาม ศูนย์รวมอำนาจก็ยังอยู่ที่คณะผู้นำเผ่าพันธุ์ ซึ่งคณะผู้นำรุ่นปัจจุบันจะถูกแต่งตั้งโดยคณะผู้นำรุ่นก่อน สิ่งที่เราสามารถบังคับประชาชนให้ทำตามโดยห้ามมีข้อโต้แย้งนั้น มีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกคือ การเดินทางออกนอกอาณาจักรต้องได้รับอนุญาตจากเราเสียก่อน เรื่องที่สองคือ ห้ามผู้หญิงออกรบ”

          “ทำไมห้ามผู้หญิงออกรบล่ะ” กอร์รินสงสัย

          “สำหรับพวกมนุษย์ ทองคำ อัญมณี เพชรพลอย อะไรงี่เง่าทำนองนี้คือสิ่งสูงค่าหายาก” โซลิแทร์บอก “แต่สำหรับเผ่าพันธุ์เรา สิ่งที่มีค่าหายากคือผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงสวยๆ เผ่าพันธุ์ที่ไม่ต้องอาศัยเพศตรงข้ามในการดำรงเผ่าพันธุ์อย่างท่าน คงไม่เข้าใจว่าการขาดแคลนผู้หญิงมันน่าเศร้าแค่ไหน เผ่าพันธุ์ข้าเฉลี่ยแล้วผู้หญิงจะมีน้อยกว่าผู้ชายถึงสี่เท่า จนมีคำกล่าวว่า หากเดินทางมาโฟรเซ็นทิเนลจะเห็นแต่ปีศาจตัวผู้ ในเมื่อเผ่าพันธุ์ของเรามีผู้หญิงน้อย เราย่อมไม่เสี่ยงส่งไปตายในสนามรบอีกแน่ ดาร์คเนสดีวิลบางคนโชคร้าย ชั่วชีวิตนี้ยังไม่เคยเห็นผู้หญิงเลยสักคน แม้แต่แม่ตัวเอง”

          “แต่ท่านคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นใช่ไหม”

          “ข้าไม่เคยเห็นแม่ตัวเอง แต่ข้าก็เคยเห็นผู้หญิงคนอื่นอยู่บ้าง เวลาเดินทางไปยังเมืองอื่นๆ แทบจะไม่เคยได้พูดคุยด้วยสักคน ยิ่งข้าสวมหน้ากากยิ่งไม่มีใครอยากยุ่ง” โซลิแทร์พูดไปยิ้มไป “แต่รู้ไหม เวลาที่ผู้หญิงสวยๆ ยิ้มให้ ข้ามักจะเขิน ทำอะไรไม่ค่อยถูก ข้าไม่ค่อยคุ้นเคยกับผู้หญิงนัก”

          “แล้วท่านดูยังไงว่าพวกเธอสวย”

          “จะให้ข้าอธิบายยังไงล่ะ”

          “อธิบายตามลักษณะที่ท่านคิดว่าสวยสิ”

          “เอ้อ! หน้าหวาน ผิวเนียน หน้าอกโต เอวบาง ขาเรียว อะไรทำนองนี้”

          “นั่นเรียกว่าสวยหรือ” กอร์รินทำหน้างง

          “อย่างที่บอกไป เผ่าพันธุ์ของท่านมีแค่เพศเดียว อาจไม่เข้าใจเรื่องนี้”

          “แต่ข้าเข้าใจเรื่องความสวยนะ” กอร์รินยืนยัน “ตะบองเพชรสวยๆ คือสิ่งที่น่าหลงใหล”

          “ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ! ท่านมองยังไงว่าตะบองเพชรสวย”

          “ข้าก็เป็นตะบองเพชรเหมือนกันนะ มันแปลกหรือไงถ้าจะมองว่าตะบองเพชรสวย แค่พวกเธอไม่ได้เดินสองขา หรือมีความคิดความอ่านเหมือนพวกเราเท่านั้นเอง” กอร์รินท้วง

          “แล้วท่านคิดว่าอะไรทำให้พวกเธอสวย”

          “ง่ายมาก แค่มีสีสันสดใส ต้นอยู่ในรูปทรงที่ดี และที่สำคัญ ยิ่งหนามเยอะยิ่งสวย”

          “ฟังดูน่าสัมผัสมาก” โซลิแทร์พูดอย่างสยองขวัญ

          “รู้ไหม” กอร์รินลดเสียงลงราวกับกลัวใครได้ยิน “ข้าเคยเห็นตะบองเพชรต้นหนึ่ง สวยที่สุดที่ข้าเคยเห็นมา ข้าแทบจะถอนสายตาจากเธอไม่ได้”

          “ท่าทางเธอจะหนามเยอะ”

          “เยอะจนใช้เวลาทั้งชีวิตก็นับได้ไม่หมด เวลาที่เธอออกดอก มันจะหอมจนแทบจะเก็บไปฝัน” กอร์รินส่ายหน้าเพ้อๆ “เธออยู่ในป่าแองเจิลแคคทัส (Angel Cactus) ป่าอันแสนสงบในเขตดินแดนระฟ้า ข้าไม่ได้ไปเหยียบที่นั่นมานานแสนนานแล้ว”

          “ท่านไม่ได้เจอแม่นางหนามเยอะนั่นนานแค่ไหนแล้วล่ะ”

          “อย่าเรียกเธออย่างนั้นสิ” กอร์รินไม่พอใจ “เธอมีชื่อนะ”

          “หรือ แล้วเธอชื่ออะไร”

          “ข้า--” กอร์รินสะดุ้งนึกขึ้นได้ “ข้าไม่ควรพูดเรื่องนี้ ตะบองเพชรพินาศ! อย่าไปเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเชียวโซลิแทร์ ลืมๆ มันไปได้ก็ดี ข้าพูดจริงๆ นะ ว่าข้าไม่ควรเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง”

          “ถ้าข้าเอาไปเล่าต่อ แล้วใครจะสนใจล่ะ แค่ได้ยินว่าหนามเยอะก็ขนลุกขนพองกันทั้งตัวแล้ว”

          “หนุ่มๆ” กัปตันมาซูลเรียกลงมา “ตอนอายุเท่าพวกท่าน ข้าก็เคยคุยเรื่องผู้หญิงกับคนอื่นเหมือนกัน จนกระทั่งข้าตระหนักได้ว่า ไม่ว่าเราจะคุยถึงผู้หญิงยังไง มันก็ไม่ได้ทำให้พวกเธองอกขึ้นมาจากหิมะแล้วชอบเราได้ แต่ถ้าพวกท่านส่งชิ้นส่วนหอคอยขึ้นมาให้ข้าระหว่างที่คุย มันจะทำให้เราตกแต่งหอคอยให้เสร็จภายในวันนี้ได้”

          โซลิแทร์กับกอร์รินมองหน้ากัน แล้วช่วยกันยกน้ำแข็งแท่งใหญ่อีกชิ้นไปวางบนกระเช้ารอก กอร์รินต้องพ่นลมหายใจใส่มือทุกครั้งก่อนยกของเพื่อให้มันหายชา เสื้อขนสัตว์ตัวฟูที่เขาสวมนั้นยังไม่ทำให้อบอุ่นพอ โซลิแทร์เดินไปที่หม้อตั้งไฟที่อยู่ใกล้ๆ ตักน้ำต้มใบทูมสโตนใส่แก้วเหล็กสี่ใบ ยื่นใบหนึ่งให้กอร์ริน

          “ดื่มมันสิ แล้วท่านจะอุ่นขึ้น”

          “อะไรหรือ น้ำดำๆ ข้นๆ นี่”

          “ทูมสโตน ดื่มแล้วจะหายหนาว มีกำลังวังชา มีคุณค่าทางอาหารสูงด้วย เราวิจัยดูแล้ว แคลเซี่ยมสูงมาก เป็นเครื่องดื่มที่เผ่าพันธุ์ข้ากำลังนิยม”

          “รสชาติดีนี่” กอร์รินจิบอึกแรก “ท่านพูดถูก ข้ารู้สึกอุ่นขึ้นมาเป็นกอง นี่ถ้ากินกับมาร์ชเมลโล่คงจะอร่อยขึ้นมาก ไอ้ที่ข้าเสียบเหล็กย่างอยู่ข้างๆ หม้อน่ะ เอามันมาฉีกโรยใส่ในแก้วสิ”

          “ไอ้ขนมขาวๆ ที่เผ่าพันธุ์ท่านชอบกินกันน่ะหรือ” โซลิแทร์หยิบเหล็กเขี่ยไฟที่กอร์รินนำมาเสียบย่างมาร์ชเมลโล่ “ขนมที่ทำให้ท่านเกือบถูกมังกรดำเผา”

          “มันนุ่มๆ นิ่มๆ เคี้ยวสนุกมาก” กอร์รินฉีกมาร์ชเมลโล่เป็นชิ้นเล็กๆ โรยใส่ในแก้วทูมสโตนทั้งสี่ใบ “รสชาติจืดๆ ของมัน น่าจะเข้ากันได้ดีกับรสชาติขมๆ ของทูมสโตน”

          “ดีทีเดียว” โซลิแทร์ถอดหน้ากากดื่มเข้าไปหนึ่งอึก “ดื่มไปเคี้ยวไป แปลกๆ ดี ที่แน่ๆ มันอร่อยดี”

          “ใครจะไปรู้ว่าสิ่งที่มาจากคนละเผ่าพันธุ์ มันจะเข้ากันได้ดี” กอร์รินชูแก้ว

          “นั่นสิ ใครจะคิด” โซลิแทร์สาวรอกนำชิ้นส่วนหอคอยและทูมสโตนสองแก้ว ขึ้นไปให้เซซิลกับกัปตันมาซูล

          “ขอบคุณ ท่านลอร์ด” เซซิลชูแก้วลงมาจากนั่งร้าน

          “มีอะไรขาวๆ โรยอยู่ในแก้วของเราหรือ” กัปตันมาซูลมองในแก้ว

          “มาร์ชเมลโล่ ขนมจากแบร์ร็อค” โซลิแทร์ตอบ

          “กินกับทูมสโตนอร่อยดีนี่” กัปตันมาซูลชอบใจเมื่อดื่มเข้าไป “มีอีกไหม”

          “ท่านรู้ไหมโซลิแทร์” กอร์รินมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา “จากบุคลิกของท่าน การพูดของท่าน การใช้ชีวิตของท่าน ข้าเข้าใจว่าท่านน่าจะมีชีวิตในวัยเด็กที่ จะว่ายังไงดี ไม่ได้มาจากครอบครัวที่สูงศักดิ์แน่นอน”

          “ใช่แล้ว ข้าเคยเป็นเด็กชั้นต่ำ แล้วก็ยังเป็นอยู่” โซลิแทร์พยักหน้างงๆ “ท่านเข้าใจผิดตรงไหนหรือ”

          “แต่อาจารย์เซซิลบอกข้าว่า พ่อของท่านเคยเป็นผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนล รวมทั้งอีกหลายคนในตระกูลแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” กอร์รินพูด

          “แล้วมันทำให้ข้าไม่ได้เป็นเด็กชั้นต่ำยังไงหรือ” โซลิแทร์ยังไม่หายงง

          “โซลิแทร์ ท่านเป็นลูกของผู้นำสูงสุด บุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลนะ” กอร์รินพูดอย่างไม่อยากเชื่อ “น่าจะถือว่าเป็นชนชั้นสูงที่สุดในเผ่าพันธุ์แล้ว”  

          “จะผู้นำสูงสุดหรือสามัญชน ก็ล้วนแต่มีสองมือสองเท้าเหมือนกัน ไม่ได้มีใครวิเศษวิโสกว่าใคร ผู้นำสูงสุดก็เป็นแค่คนธรรมดา ไม่ต่างจากสามัญชนสักนิด” โซลิแทร์กล่าว “คนธรรมดาที่ไม่ได้มาจากตระกูลสูงศักดิ์ก็สามารถเป็นได้ เผ่าพันธุ์ของท่านใช้ระบอบเผด็จการอาจเข้าใจเรื่องนี้ได้ยาก”

          “แต่ท่านก็เป็นลูกผู้นำสูงสุดนะ” กอร์รินเถียงหัวชนฝา “มันทำให้ท่านเป็นคนสูงศักดิ์”

          “ข้าเป็นอะไรแย่ๆ มาหลายสิ่ง แต่ไม่เคยเป็นอะไรที่สูงศักดิ์แน่นอน” โซลิแทร์ถอนหายใจ “สำหรับท่าน การเป็นผู้นำสูงสุดมันอาจสูงส่งนัก แต่ข้าจะแสดงให้ท่านเห็นว่ามันไม่ใช่สำหรับเผ่าพันธุ์นี้ เจ้า สหาย--” เขาคว้าแขนดีวอเชอร์หนุ่มคนหนึ่งที่ลอยผ่านมา “บอกโฮซอร์เฮนิเคมสิ ว่าพ่อของเจ้าเป็นใคร”

          “เซเบอรัส โร้ค อดีตผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลครับ” ดีเซ็นทรีตอบ

          “แล้วเจ้า สหาย” โซลิแทร์ชี้ขึ้นไปบนกำแพง “ปู่ของเจ้าเป็นใคร”

          “คราเคน ไวเซล อดีตผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลครับ”

          “สหาย ที่กำลังทำความสะอาดเครื่องยิงนั่น” โซลิแทร์เรียก “บอกเกี่ยวกับตัวเจ้าให้ฟังที”

          “ข้าเป็นหลานของเดรดดริก คลอว์เลอร์ อดีตผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลครับ”

          “ดาร์คเนสดีวิลในฐานทัพนี้ ครึ่งหนึ่งเป็นลูกหลานของผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนล เพราะดาร์คเนสดีวิลเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีผู้นำสูงสุดมากกว่าเผ่าพันธุ์อื่นรวมกัน มากจนนับไม่ไหว ไม่จำเป็นต้องมีชาติกำเนิดสูงส่งเหมือนเผ่าพันธุ์อื่นๆ ไอ้เบื๊อกที่ไหนก็เป็นผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลได้ เอ้อ! ข้าไม่ได้หมายความว่าพ่อของเจ้าเป็นไอ้เบื๊อกนะ” โซลิแทร์รีบเสริมกับดีวอเชอร์ที่ดึงแขนมาถาม “ผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลไม่เคยมีชีวิตอยู่นาน เพราะต้องอยู่แถวหน้าสุดในสนามรบ เป็นได้ไม่นานก็ตาย ซึ่งคนที่มารับตำแหน่งแทน เดี๋ยวก็ตายตามไปเหมือนกัน สู้กับพวกเฟลมฟอร์สมันไม่แปลกที่จะตายเร็ว ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดว่าการเป็นผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลมันพิเศษอะไรนัก มีคนเป็นมาแล้วมากมาย และใครก็เป็นได้ทั้งนั้น” เขาชูแก้วทูมสโตน “สหายกอร์ริน ขอต้อนรับสู่โฟรเซ็นทิเนล อาณาจักรแห่งดาร์คเนสดีวิล เผ่าพันธุ์ชั้นต่ำที่สุดในดาวดวงนี้ และนี่คือระบอบการปกครองที่พวกชั้นต่ำใช้กัน เราไม่มีใครสูงส่งกว่าใคร เพราะไม่ได้เหยียบหัวกันขึ้นไปเหมือนเผ่าพันธุ์อื่น ความสูงส่งของชาติกำเนิดนั้นไม่ได้เกิดจากอะไรเลย นอกจากการตะเกียกตะกายเหยียบหัวคนอื่นขึ้นไปให้สูงที่สุด เอ้อ! ข้าไม่ได้มีเจตนาพูดถึงชาติกำเนิดของตระกูลท่านนะ”

          “แต่มันก็อาจจะจริงของท่าน” กอร์รินหัวเราะ “สิ่งที่ทำให้ตระกูลข้าสูงส่ง ก็คงเพราะว่าในอดีต เราสามารถเหยียบหัวคนอื่นๆ ขึ้นที่สูงกว่าได้ และยังคงรักษาการเหยียบมาตลอด”

          “แต่ท่านก็ไม่ได้เหยียบใครนี่” โซลิแทร์ว่า “อย่างน้อยก็ไม่ได้ตั้งใจเหยียบ”

          “ตอนนี้ข้าเหยียบแล้ว ข้าเกิดบนที่สูง เกิดบนหัวโฮเซ่คนอื่นนับแสนนับล้าน เช่นเดียวกับพ่อข้าและบรรพชน” กอร์รินพูด “และข้าก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ข้ายังติดนิสัยทำตัวชั้นสูงอยู่มาก”

          “จะเกิดในตระกูลสูงส่งอย่างท่าน หรือในตระกูลต่ำๆ อย่างข้า มันไม่สำคัญสักนิดรู้ไหม เราจะเกิดมาจากใคร เกิดมาเป็นใคร ช่างหัวมัน” โซลิแทร์พูด “สิ่งสำคัญคือ ขอให้เราเลือกที่จะทำตัวในแบบนี้เราต้องการ เลือกเป็นสิ่งที่เราอยากเป็นจริงๆ เราเกิดเป็นใคร ไม่สำคัญเท่าเราต้องการจะเป็นใคร”

          “แล้วท่านคิดว่าข้าควรจะเป็นใครดี”

          “จะเป็นคนสูงส่ง เป็นคนชั้นต่ำ เป็นคนสูงส่งที่ชั้นต่ำ หรือเป็นตัวอะไรก็ตาม แล้วแต่ที่ท่านต้องการจะเป็น” โซลิแทร์โบกไม้โบกมือ “ขอแค่เป็นในสิ่งที่ท่านอยากเป็นก็พอ มันสำคัญแค่ตรงนี้”

          “มันก็คงจะดี ถ้าได้ทำอะไรตามใจตนเอง” กอร์รินถอนหายใจ ยกแก้วดื่ม “แต่ข้าคงไม่มีทางเลือกมากนัก ยังไงข้าก็ต้องมีชื่อเสียงวงศ์ตระกูลให้รักษา”

          “ชื่อเสียงวงศ์ตระกูล อีกหนึ่งสิ่งที่ข้าไม่เคยใส่ใจสักนิด” โซลิแทร์ดื่มทูมสโตนในแก้ว “แต่ละคนในดาวดวงนี้ไม่มีใครเหมือนกันสักคน แล้วทำไมเราถึงต้องคิดว่าคนรุ่นใหม่ๆ จะต้องรักษามาตรฐานตนเองให้ทัดเทียมกับบรรพชนด้วย ข้าคิดว่าตนโชคดีที่เกิดเป็นดาร์คเนสดีวิล เพราะพวกเราไม่เคยใส่ใจเรื่องชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเลย บรรพบุรุษของเราจะมีวีรกรรมที่ดีหรือไม่ดี มันก็ไม่ได้มีผลดีหรือเป็นภาระแก่ลูกหลานสักนิด เราให้ความสำคัญกับตัวบุคคลมากกว่านามสกุลของเขา นี่ล่ะความเท่าเทียมของสังคมนิยม” เขายกแก้วดื่มอีกอึก “รู้อะไรไหมกอร์ริน เซ็นเทอริอัส แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม บรรพบุรุษต้นตระกูลของข้า เคยทำสิ่งที่ค่อนข้างอัปยศ แน่นอนว่าเขาไม่ตั้งใจ แต่มันก็อัปยศจริงๆ หลายคนโทษว่าเป็นความผิดของเขา แต่ก็ไม่มีใครกล่าวโทษลูกหลานของเขา หรือมองคนที่นามสกุลแบล็กโฟรเซ็นสตอร์มในแง่ลบเลย ไม่มีแบล็กโฟรเซ็นสตอร์มคนใดต้องแบกรักความอัปยศ หรือต้องพยายามกอบกู้ชื่อเสียงเลย เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่กอบกู้ได้  หรือนำไปแปดเปื้อนใครได้ มันก็แค่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยคนคนหนึ่ง และจบไปกับคนคนหนึ่ง”

          “บรรพบุรุษของท่านไปทำอะไรอัปยศหรือ” กอร์รินเริ่มสนใจ

          “เซ็นเทอริอัส เป็นผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลคนที่หกในประวัติศาสตร์ เป็นแบล็กโฟรเซ็นสตอร์มคนแรกที่รับตำแหน่งผู้นำสูงสุด” โซลิแทร์เล่าความ “ในตอนนั้นเราถูกพวกเฟลมฟอร์สโจมตีอย่างหนัก จอมพิชิตเป็นแม่ทัพที่ฉลาด เขารู้ว่าโฟรเซ็นทิเนลมีปราการธรรมชาติที่แข็งแกร่ง ภูเขาน้ำแข็งล้อมรอบเกือบทั้งอาณาจักรแบบนี้ หากปล่อยให้ตั้งตัวได้จะยิ่งปราบยาก เขาไม่เปิดโอกาสให้เราสร้างอะไรมาปิดช่องภูเขา ซึ่งเขาก็ทำสำเร็จ เราเสียหายจนไม่มีปัญญาจะทำอะไรกับช่องเขานั่นได้” ปีศาจเด็กหนุ่มไล่สายตาไปตามแนวกำแพง ที่ตอนนี้ถูกสร้างปิดช่องเขาอย่างมิดชิดแล้ว “จอมพิชิตรู้ดีว่าธรรมชาติของดาร์คเนสดีวิลนั้น มักจะอยู่แต่ในพื้นที่ ไม่ออกนอกเขตไปไหน เราจะไม่เป็นอุปสรรคต่อเขาระหว่างที่เขาส่งกองทัพไปโจมตีอีกสามอาณาจักร จุดประสงค์ของเขาก็แค่ทำให้โฟรเซ็นทิเนลเสียหายบอบช้ำ จนแน่ใจได้ว่าจะไม่สามารถสร้างปัญหาต่อเขา ระหว่างที่เขาทำการพิชิตอาณาจักรอื่นๆ” โซลิแทร์ชักดาบออกมา วาดแผนที่คร่าวๆ บนพื้นหิมะ “โมราโซมอสคือเป้าหมายแรกที่เขาจะพิชิต พวกมนุษย์อันตรายที่สุดในบรรดาสี่เผ่าพันธุ์ ซึ่งเขาและพวกเฟลมฟอร์สค้นพบอุโมงค์เก่าของพวกไซคัส อุโมงค์ขนาดใหญ่ที่สามารถลำเลียงกองทัพไปโผล่ในดินแดนร้างที่อยู่ระหว่างอาณาจักรโมราโซมอสกับโฟรเซ็นทิเนล พวกเฟลมฟอร์สสร้างฐานทัพย่อยขึ้นที่นั่น มีไว้พักกองทัพและประกอบอุปกรณ์สงคราม เตรียมที่จะบุกเข้าโจมตีโมราโซมอสอย่างต่อเนื่อง พวกเราดาร์คเนสดีวิลเองก็กังวลใจ เพราะไม่รู้ว่าฐานทัพนั่นจะส่งกองทัพมาบุกพวกเราด้วยหรือไม่ จนกระทั่งเจ้าชายมนุษย์ผู้สูงส่ง ขี่ม้าขาวพร้อมด้วยเกราะเป็นประกาย ตรงเข้ามาหาบรรพบุรุษของข้าที่เมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดแห่งนี้ อัศวินม้าขาวที่พวกมนุษย์นำไปแต่งเป็นนิทาน” โซลิแทร์ทำเสียงดูถูก “เจ้าชายไททอสผู้สูงศักดิ์ น้องชายคนเล็กของพระราชาแห่งโมราโซมอสในสมัยนั้น เขามาพร้อมกับมิตรภาพ และลูกแก้วประจำเผ่าพันธุ์”

          “ลูกแก้วประจำเผ่าพันธุ์หรือ” กอร์รินพูดอย่างตื่นเต้น “ใช่แล้ว ข้ารู้เรื่องเกี่ยวกับมัน พวกไซคัสได้มอบลูกแก้วที่ทำจากแร่หายากให้แก่ผู้นำสูงสุดคนแรกของทุกเผ่าพันธุ์คนละลูก ลูกแก้วของแต่ละเผ่าพันธุ์จะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป มันคือวัตถุเชิงสัญลักษณ์ เสมือนเป็นตัวแทนของเผ่าพันธุ์ มีคุณค่าทางจิตใจมหาศาล เพราะแต่ละเผ่าพันธุ์จะมีเพียงหนึ่งลูก ส่งมอบลูกแก้วของเราให้เผ่าพันธุ์อื่น และรับลูกแก้วประจำเผ่าพันธุ์ของอีกฝ่ายมา นั่นถือเป็นการแสดงตัวเป็นพันธมิตรกันอย่างสมบูรณ์ มันคือการกระทำเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งการแลกลูกแก้วก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในดาวดวงนี้ ไม่มีเผ่าพันธุ์ใดเคยเป็นพันธมิตรกัน อย่างมากก็ผูกไมตรีกันผิวเผิน ก็นะ ลูกแก้วประจำเผ่าพันธุ์คือวัตถุแห่งความภาคภูมิใจ ไม่ใช่สิ่งที่เผ่าพันธุ์ใดอยากจะปล่อยหลุดมือไปง่ายๆ”

          “แล้วท่านรู้เรื่องไหม ว่าพวกไซคัสไม่ค่อยภูมิใจที่สร้างเผ่าพันธุ์ดาร์เนสดีวิลขึ้นมา เพราะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ดื้อรั้น หัวแข็ง ก้าวร้าว ทำตัวน่ากลัว อีกทั้งยังเรื่องที่พวกเอเลนเซฟเวอรี่อาละวาดอีก” โซลิแทร์ดื่มทูมสโตนจนหมดแก้ว แล้วสวมหน้ากากปิดหน้าเหมือนเดิม “พวกไซคัสจึงไม่ทำลูกแก้วให้เผ่าพันธุ์เรา ให้ดาร์คเนสดีวิลเป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่ไม่มีลูกแก้วประจำเผ่าพันธุ์ เหมือนจะเป็นซ้ำเติมว่า ไม่อยากให้ใครเป็นพันธมิตรกับพวกเรา คิดดูสิ เผ่าพันธุ์ไหนจะเอาลูกแก้วอันล้ำค่านั่นมาให้เรา โดยที่ไม่ได้สิ่งที่มีค่าทัดเทียมกันกลับคืนไป”

          “ใจร้ายยิ่งนัก” กอร์รินส่ายหน้า “มิน่า พวกท่านดาร์คเนสดีวิลถึงไม่เคยชอบพวกไซคัส”

          “เป็นหนึ่งในหลายๆ เหตุผล ที่ทำให้เราไม่ชอบพวกไซคัส” โซลิแทร์แก้ไข “ท่านจึงพอเข้าใจใช่ไหม ว่ามันมีความหมายต่อเราแค่ไหน ที่เจ้าชายมนุษย์ขี่ม้าเข้ามาหาเรา พร้อมกับลูกแก้วประจำเผ่าพันธุ์ วัตถุเชิงสัญลักษณ์ที่สูงค่าที่สุดของมนุษย์ เขาจะมอบมันให้เรา โดยที่รู้อยู่ว่าเราไม่มีลูกแก้วไปแลก เขาจะให้เรามาเปล่าๆ พร้อมด้วยการเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ปกป้องกันและกัน หากเราช่วยพวกเขาทำลายฐานทัพย่อยและถล่มอุโมงค์ของพวกเฟลมฟอร์ส อุโมงค์ที่ข้าเล่าให้ท่านฟังก่อนหน้านี้”

          “และเซ็นเทอริอัส แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม ก็ตอบรับข้อเสนอใช่ไหม” กอร์รินพูด

          “ใช่แล้ว เขาตอบรับ ด้วยความซาบซึ้ง” โซลิแทร์พยักหน้า “ในตอนนั้นโฟรเซ็นทิเนลเสียหายหนัก แต่ก็ยังเหลือความแข็งแกร่งเพียงพอสำหรับปฏิบัติการครั้งนั้น” เขาใช้ดาบขีดวาดพื้นหิมะเพิ่มเติม “ฐานทัพย่อยของพวกเฟลมฟอร์ส ถูกกองกำลังของเจ้าชายไททอสบุกเข้าโจมตีจากทางทิศเหนือ และถูกกองกำลังของเซ็นเทอริอัสบุกเข้าโจมตีจากทางทิศใต้ มันยากที่จะต้านทานไหว ฝ่ายที่โจมตีก็เสียหายไม่น้อย โดยเฉพาะฝ่ายดาร์คเนสดีวิลเรา แต่เรากับพวกมนุษย์ก็สามารถตีค่ายย่อยนั่นแตกได้ และถล่มอุโมงค์ปิดทางอย่างถาวร เท่ากับว่าพวกเฟลมฟอร์สโจมตีโมราโซมอสได้เฉพาะทางเรือเท่านั้น หากจะโจมตีทางบก จะต้องปะทะกับโฟรเซ็นทิเนลก่อน เล่ามาถึงตอนนี้ ท่านเริ่มจะพอรับรู้ถึงความโง่เขลาของบรรพบุรุษข้าแล้วใช่ไหม”

          “เขาคงไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้” กอร์รินตบไหล่เพื่อน “แต่จริงๆ เลยนะ พวกเฟลมฟอร์สถูกทำลายฐานทัพย่อย ถูกตัดเส้นทางลำเลียงกองทัพ และหุบเขาทองคำ จุดส่งกองทัพบกที่ใหญ่ที่สุดของเฟลมฟอร์ส ก็อยู่ใกล้อาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลมากที่สุด” เขาใช้ด้ามขวานขีดตำแหน่งบนพื้นหิมะเพิ่ม “ไม่ต้องเป็นยอดแม่ทัพก็พอเดาได้ ว่าต้องโจมตีโฟรเซ็นทิเนลให้แตกก่อน จึงจะสะดวกต่อการปูเส้นทางไปโจมตีโมราโซมอสทางบกได้”

          “ยังมีอีกสิ่งที่ทำให้เซ็นเทอริอัสดูโง่มากขึ้น” โซลิแทร์เล่าต่อ “หลังจากปฏิบัติการครั้งนั้นจบลง เจ้าชายไททอสขี่ม้าขาวตรงมายังฟรอสท์ไอรอนแคลดแห่งนี้อีกครั้ง คราวนี้มาพร้อมกับกองทัพมนุษย์และลูกแก้วประจำเผ่าพันธุ์ เขาจับมือกับเซ็นเทอริอัส มืออีกข้างยืนลูกแก้วให้ตามสัญญา แต่เมื่อเซ็นเทอริอัสยื่นมือจะไปรับ เจ้าชายมนุษย์ก็ดึงลูกแก้วกลับ แล้วกองทัพมนุษย์ที่เจ้าชายนำมาด้วยก็เคลื่อนพลเข้าควบคุมอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล ที่ทั้งเสียหายบอบช้ำเกินกว่าจะต่อต้านอะไรได้ นั่นคือจุดเริ่มต้นของการที่ดาร์คเนสดีวิลตกเป็นอาณานิคมของมนุษย์ เราไม่ได้เป็นพันธมิตรกับพวกนั้นอย่างใจหวัง เราเป็นสิ่งที่ห่างไกลจากคำว่าเพื่อนนัก เรากลายเป็นทาส ถูกบังคับกดขี่ตามแต่พวกมนุษย์จะพอใจ ถูกบังคับให้ส่งบรรณาการ ถูกกวาดต้อนทรัพยากร ถูกใช้แรงงาน ถูกจำกัดอิสรภาพ ถูกกระทำสิ่งร้ายๆ เท่าที่พวกมนุษย์จะทำได้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความไว้วางใจ ที่บรรพบุรุษของข้ามีให้พวกมนุษย์ ความหวังลึกๆ ว่าจะมีคนอยากเป็นเพื่อนกับปีศาจ เฮอะ!” โซลิแทร์ขยับไหล่ “ความหวังลมๆ แล้งๆ ของคนโง่ และยิ่งดูโง่ขึ้นอีกเมื่อหวังกับพวกมนุษย์”

          “ข้าเสียใจด้วย” กอร์รินพูด

          “เซ็นเทอริอัสต่างหากที่เสียใจไปจนวันที่จอมพิชิตส่งเขาลงหลุม” โซลิแทร์กล่าว “ขณะที่เจ้าชายไททอสกลายเป็นวีรบุรุษ ได้รับการสรรเสริญยกย่องจากพวกมนุษย์มาจนถึงวันนี้ เขาคืออัศวินม้าขาวผู้พิชิตปีศาจร้าย เขาคือผู้สร้างความเจริญรุ่งเรืองแก่อาณาจักรโมราโซมอส ด้วยแรงงานและทรัพยากรจากโฟรเซ็นทิเนล เขาทำให้พวกมนุษย์มั่งคั่งและอยู่ดีกินดี ด้วยความลำบากยากแค้นของพวกดาร์คเนสดีวิล เขาคือผู้สร้างเมืองโอมิลรอนอันแสนศักดิ์สิทธิ์ เมืองที่สวยงามและเป็นแหล่งรวบรวมศรัทธาของพวกมนุษย์ โดยใช้แรงงาน ความเหนื่อยยาก ความเจ็บปวด และการแลกด้วยชีวิตของดาร์คเนสดีวิลจำนวนมาก ทุกครั้งที่ข้านำบรรณาการไปส่งที่นั่น ข้ายังเห็นรูปปั้นของเขาขี่ม้าสีขาว ยืนเหยียบกองซากเหล่าปีศาจร้ายที่มีเขี้ยวมีปีก แล้วข้าก็ถูกพวกมนุษย์ซนๆ ขว้างข้าวของใส่ จริงๆ ข้าชินแล้วกับการกลายเป็นเป้าซ้อมของพวกมนุษย์ ไปทุกครั้งก็โดนอะไรต่อมิอะไรขว้าง และถูกหัวเราะเยาะทุกครั้ง คงอยากเห็นว่าใบหน้าใต้หมวกฮู้ดเก่าๆ โทรมๆ ของข้าจะเป็นยังไง จริงๆ ตอนนั้นข้ามั่นใจว่าพวกมันรู้ด้วยซ้ำว่าข้ายังเป็นเด็กตัวเล็กๆ อยู่ แต่พวกมันก็ไม่ใส่ใจอะไรหรอก จะเด็กจะผู้ใหญ่ก็เป็นปีศาจ และการรังแกปีศาจไม่ใช่เรื่องน่าอายสำหรับพวกมัน”

          “ในบรรดาเมืองอันมีความหมายของพวกมนุษย์ ดูท่านจะเกลียดโอมิลรอนมากที่สุด” กอร์รินว่า

          “มีอะไรให้ข้าไม่เกลียดล่ะ เมืองสวยงามศักดิ์สิทธิ์ ที่สร้างมาจากความเจ็บปวดของดาร์คเนสดีวิล เมืองแห่งความศรัทธา ที่บรรดานักบวชผู้ศักดิ์สิทธิ์นำดาร์คเนสดีวิลจำนวนมากไปเผาทั้งเป็น ทั้งหญิง ทั้งชาย ทั้งเด็ก” โซลิแทร์พูดเสียงเย็น “ส่วนประชาชนมนุษย์ก็เลื่อมใสศรัทธา และสนับสนุนการกระทำของพวกนักบวชอย่างเต็มที่”

          “พวกมนุษย์มันเหี้ยมโหด” กอร์รินพยักหน้า “พวกมันอ้างว่าเป็นเผ่าพันธุ์สูงส่ง แต่ช่างประพฤติตัวเหี้ยมโหดต่ำทรามยิ่งนัก”

          “หากเซ็นเทอริอัสไม่หลงกลพวกมนุษย์ ไม่ขลาดเขลาไปคิดว่าพวกมนุษย์ต้องการเป็นเพื่อน สิ่งเหล่านี้ก็คงไม่เกิด พวกมนุษย์คงจะถูกพวกเฟลมฟอร์สกำจัดทิ้งไปแล้ว ขณะที่พวกเราจะถูกกำจัดเป็นเผ่าพันธุ์สุดท้าย อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าตกเป็นอาณานิคมของเผ่าพันธุ์ที่เลวทรามอย่างมนุษย์” โซลิแทร์เก็บดาบลงฝัก “นับแต่นั้นมา ดาร์คเนสดีวิลเราขอยื่นคำขาดว่า ยื่นมือเข้าไปในเปลวไฟ ให้มันแผดเผาจนเหลือแต่กระดูก ยังรู้สึกดีกว่ายื่นไปจับมือ เพื่อผูกสัมพันธไมตรีกับมนุษย์ แล้วเราก็ไม่เคยจับมือกับมนุษย์อีกเลย”

          “อย่างน้อย เรื่องเหล่านั้นก็เป็นอดีตไปแล้ว” กอร์รินพูดในแง่ดี “และท่านก็น่าจะได้กอบกู้ชื่อเสียงคืนให้กับบรรพบุรุษแล้วล่ะ”

          “บอกแล้วไง ว่าข้าไม่ใส่ใจเรื่องกอบกู้ไร้สาระนี่ รวมทั้งดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ ด้วย อดีตก็ส่วนอดีต การกระทำของข้ากับบรรพบุรุษของข้า ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน” โซลิแทร์ส่ายหัว “อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ข้าก็ดีใจที่หยุดยั้งสิ่งที่พวกมนุษย์ทำกับเรามาตลอดได้ ตอนนี้ปีศาจเราเริ่มจะแข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็นมา และถูกข่มเหงได้ยากกว่าในอดีต”

          “พวกท่านพัฒนาตนเองได้แข็งแกร่งกว่าเดิมอย่างไม่น่าเชื่อ เรื่องนี้ข้าขอนับถือ” กอร์รินผายมือไปตามกำแพง “พวกมนุษย์จะส่งกองทัพมาโจมตีพวกท่านอีกระลอก ด้วยกำลังพลที่มากกว่าเดิม ซึ่งจากที่ข้าเห็นทั้งหมดนี้แล้ว ข้าเชื่อว่าพวกท่านแข็งแกร่งพอจะรับมือไหว”

          “เราสร้างกำแพงและสิ่งป้องกันต่างๆ ด้วยความยากลำบาก และใช้เวลานาน” โซลิแทร์กล่าว “มันก็ควรจะใช้งานได้ดีอยู่”

          “หากครั้งนี้พวกมนุษย์โจมตีไม่สำเร็จ พวกมันก็จะกระเสือกกระสนกลับโมราโซมอสในสภาพเสียหายบอบช้ำ และคงต้องใช้เวลาอีกนานพอดู กว่าจะมารุกรานพวกท่านได้อีก” กอร์รินพูดต่อ น้ำเสียงเริ่มเป็นการเป็นงาน “พวกท่านมีแผนจะทำอะไรต่อไปหรือเปล่า”

          “มีพี่น้องดาร์คเนสดีวิลจำนวนมากที่ถูกพวกมนุษย์จับไปคุมขังที่โมราโซมอส เพราะแข็งข้อ ดื้อรั้น ไม่ยอมให้มนุษย์ควบคุมง่ายๆ รวมทั้งพวกที่มีฝีมือเก่งกาจ จนพวกมนุษย์กังวลว่าจะเป็นอันตรายต่อพวกตน” โซลิแทร์พูด “พวกเขากลายเป็นนักโทษและเชลยศึกของพวกมนุษย์ และข้าไม่อาจนิ่งดูดายให้มันเป็นแบบนั้นได้ ปีศาจเกลียดกรงขัง เกลียดการถูกจำกัดอิสรภาพยิ่งกว่าความตาย”

          “โฮเซ่จำนวนมากที่ถูกควบคุมตัวในสงคราม ก็กลายเป็นเชลยศึกของพวกมนุษย์เช่นกัน” กอร์รินบอก “คงจะถูกนำไปขังที่เดียวกับคนของท่าน มีอยู่ที่เดียวที่พวกมนุษย์ใช้ควบคุมตัวเชลยศึก เมืองไดมอนด์เคจ

          “สำหรับดาร์คเนสดีวิลมีสองที่” โซลิแทร์เสริม “เชลยศึกอีกส่วนหนึ่งถูกจองจำอยู่ที่เมืองโอมิลรอน เพื่อย้ำเตือนให้พวกประชาชนมนุษย์ผู้ศรัทธาได้ทราบว่า เมืองนั้นเป็นสัญลักษณ์ของการพิชิตปีศาจ เมืองศักดิ์สิทธิ์ที่จะขจัดปีศาจร้าย และเป็นแสงสว่างให้มนุษย์ แต่แน่ล่ะ เมืองไดมอนด์เคจก็ยังควบคุมเชลยศึกไว้มากกว่า อีกทั้งยังควบคุมคนสำคัญไว้เสียด้วย สำคัญสำหรับเรามาก”

          เขาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งจากกระเป๋าเสื้อนอก ส่งให้กอร์ริน มันวาดตราสัญลักษณ์ไว้ เป็นรูปดาบสองเล่ม หันปลายชนกันเป็นรูปตัว /\ เล่มซ้ายเป็นสีเงิน เล่มขวาเป็นสีบรอนซ์

          “ตราสัญลักษณ์อะไรหรือ” กอร์รินถาม

          “เป็นตราสัญลักษณ์ประจำตัวของ เดอะ ทวินเฮด (The Twin Head)”

          “เขาคือใคร”

             “เคยเป็นหนึ่ง เอ้อ! สองในคณะผู้นำเผ่าพันธุ์ดาร์คเนสดีวิลรุ่นก่อนหน้านี้สองรุ่น รุ่นที่พ่อของข้าเป็นผู้นำสูงสุด ข้าไม่เคยรู้จักกับเขา เอ้อ! พวกเขา แต่ได้ยินชื่อเสียงอันดังกระฉ่อน เป็นนักรบมือหนึ่ง ฝีมือเก่งกาจ ดีที่สุดที่เราเคยมีมาเลยด้วยซ้ำ ค่อนข้างเลือดร้อน บ้าดีเดือด กระหายการต่อสู้ พร้อมสำหรับต่อสู้ได้ทุกเวลา บรรดาคู่ต่อสู้ทั้งหลายทั้งปวงต่างจดจำชื่อทวินเฮดได้ดี เขา เอ้อ! พวกเขาคือสุดยอด”

             “ทำไมต้อง เขา เอ้อ! พวกเขา บ่อยๆ ด้วย” กอร์รินสงสัยวิธีการพูดของอีกฝ่าย “พูดเหมือนกับนักรบคนนี้แยกร่างได้”

             “ก็ไม่เชิง” โซลิแทร์ตอบ “คือนักรบคนนี้ เอ้อ! สองคนนี้ เป็นแฝดตัวติด”

             “พูดเป็นเล่นไป” กอร์รินกระพริบตาปริบๆ “ฝาแฝดที่เกิดมาตัวติดกันเนี่ยนะ”

             “ชื่อ ค็อปเปอร์ เมแมคเซอร์ และซิลเวอร์ เมแมคเซอร์ เดอะ ทวินเฮด คือฉายาของพวกเขา” โซลิแทร์บรรยาย “เป็นดีวอเชอร์ทั้งคู่ แต่ไม่สามารถใช้ฮีเลียมเป็นอาวุธได้ แต่ใครก็ตามที่ประมาทพวกเขาด้วยเรื่องนี้ หรือเรื่องที่พวกเขาตัวติดกันนั้น ถือว่าคิดผิดมหันต์ และได้นอนในหลุมกันหลายคนแล้ว อาจารย์เซซิลบอกว่าพวกเขามีทักษะการต่อสู้สูงส่ง คนหนึ่งใช้ดาบกับโล่ได้เก่งกาจ ส่วนอีกคนก็ใช้ธนูกับหอกได้ยอดเยี่ยม”

          “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกมนุษย์ถึงควบคุมตัวพวกเขาไว้” กอร์รินว่า

          “ในบรรดาดาร์คเนสดีวิลที่เหลืออดเหลือทนกับการกดขี่ของพวกมนุษย์ ฝาแฝดเมแมคเซอร์แสดงออกชัดเจนที่สุด ด้วยนิสัยยอมหักไม่ยอมงอ การยึดมั่นอุดมการณ์และศักดิ์ศรีอย่างสุดโต่ง พวกเขายอมตายดีกว่าจะก้มหัวให้มนุษย์” โซลิแทร์พูดอย่างชื่นชม “พวกเขาอาจถูกพวกมนุษย์นำไปคุมขัง แต่พวกเขาก็ยังแสดงให้ทุกคนเห็นว่า สิ่งมีชีวิตต่ำๆ อย่างปีศาจก็มีศักดิ์ศรี พวกเขาเป็นแรงบันดาลใจให้ดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ นักรบรุ่นใหม่ทุกคนยกย่องพวกเขา ท่านคิดดูสิกอร์ริน การช่วยพวกเขาและเชลยศึกดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ ออกมานั้น มันจะสร้างแรงบันดาลใจ สร้างความเข้มแข็งให้แก่เผ่าพันธุ์ข้ามากแค่ไหน”  

          “ท่านจะช่วยเชลยศึกออกมาจากโมราโซมอส” กอร์รินเลิกคิ้ว

          “นั่นคือสิ่งที่ข้าสาบานว่าต้องทำให้ได้” โซลิแทร์ยืนยัน “ดาร์คเนสดีวิลเกลียดการถูกคุมขัง ดาร์คเนสดีวิลเกลียดการถูกจำกัดอิสรภาพ ข้าไม่ปล่อยให้พวกพ้องของข้าต้องทนในสิ่งเหล่านั้น”

          “ทางเดียวที่จะทำอย่างนั้นได้ คือท่านจะต้องยกทัพไปโจมตีอาณาจักรโมราโซมอส” กอร์รินเตือน “ซึ่งท่านก็คงทราบดีว่า มันไม่ใช่เรื่องง่าย พวกมนุษย์อาจโหดเหี้ยมเลวทราม แต่พวกมันก็แข็งแกร่ง”

          “ซาโมโรว์ เมืองหน้าด่านของอาณาจักรโมราโซมอส และเป็นจุดส่งกองกำลังที่สำคัญที่สุด” โซลิแทร์ชักดาบออกมาขีดแผนที่บนพื้นหิมะอีกครั้ง “หากเมืองนี้ได้รับความเสียหายมากพอ ระบบป้องกันของพวกมนุษย์ในเมืองใกล้เคียงจะอ่อนแอ ทั้งโอมิลรอน และไดมอนด์เคจ”

          “ซาโมโรว์เป็นเมืองที่แข็งแกร่ง ยากต่อการทำให้เสียหายได้มากขนาดนั้น” กอร์รินใช้ด้ามขวานขีดเส้นทางเพิ่มเติม “หากไม่มีกองเรือ การจะบุกโจมตีเมืองนี้จะเป็นเรื่องสาหัสมาก แต่ต่อให้มีกองเรือ ก็ใช่ว่าจะทำอะไรพวกมันได้นัก พวกมนุษย์มีกองทัพเรือที่เก่งที่สุดในตอนนี้ ข้าเองก็เพิ่งแพ้ศึกกลางทะเลพวกมันไป และตอนนี้ กองทัพเรือของพวกมันก็กำลังเตรียมพร้อมจะเข้าโจมตีชายฝั่งแบร์ร็อค หลังจากเสร็จศึกครั้งที่สองกับพวกท่าน ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็ตาม”

          “มันจริงอย่างที่ท่านพูด พวกมนุษย์แข็งแกร่ง ยากต่อการโจมตีให้เสียหาย โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์ที่ไม่สันทัดเรื่องจากโจมตีอย่างเผ่าพันธุ์ข้า เราถนัดแต่เรื่องต่อสู้แบบตั้งรับ ไม่ถนัดต่อสู้นอกพื้นที่ เราไม่คุ้นเคยกับทะเล ความสามารถเรื่องการรบทางเรือแทบไม่มี” โซลิแทร์ว่า “พวกมนุษย์รู้ดีว่า จะไม่มีวันเห็นกองทัพดาร์คเนสดีวิลพร้อมด้วยบันไดยาวและเสากระทุ้งรวมพลกันอยู่เบื้องหน้าประตูเมืองของพวกมัน ซึ่งพวกมันก็คิดถูก เรื่องการโจมตีเมืองคนอื่นนั้น ปีศาจเราไม่มีความสามารถ โอกาสพ่ายแพ้มันสูง”

          “จริงอยู่ เผ่าพันธุ์ท่านอาจไม่มีความสามารถในเรื่องนี้” กอร์รินมองหน้าอีกฝ่ายอย่างจริงจัง “แต่เผ่าพันธุ์ข้ามีนะ”

          เห็นชัดว่าการสนทนาเริ่มเข้าสลักสำคัญแล้ว พวกดาร์คเนสดีวิลที่เดินผ่านไปผ่านมาบริเวณนั้นเริ่มถอยออกห่างอย่างรู้งาน เพื่อให้การสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด เซซิลและกัปตันมาซูลบนนั่งร้านก็ไม่เรียกร้องชิ้นส่วนหอคอยอีก ต่างเงี่ยหูฟังกันอย่างตั้งใจ

          “ข้ารู้ดีว่าการที่ท่านต้อนรับข้านั้น มันมีจุดประสงค์ที่น่าสนใจ มันก็ใช่ในเรื่องที่ข้าถูกชะตากับท่านรวมทั้งเรื่องอื่นๆ ด้วย แต่โซลิแทร์เพื่อนยาก ข้ารู้ว่าดาร์คเนสดีวิลต้องการอะไรจากข้า” กอร์รินพูดอย่างจริงจัง “ซึ่งหากถามความเห็นเฉพาะตัวข้า ข้ายินดีร่วมมือด้วย พวกมนุษย์เป็นศัตรูของข้า พวกท่านคือศัตรูของพวกมนุษย์ ศัตรูแห่งศัตรูคือมิตร”

          “หากเราทำให้พวกมนุษย์เสียหายมากพอ กองเรือของพวกมันก็จะบุกเข้าโจมตีชายฝั่งแบร์ร็อคไม่ได้ และข้าก็สามารถเข้าไปช่วยปลดปล่อยพวกพ้องของข้าออกมาจากกรงขังได้” โซลิแทร์พูด “ลำพังเราแค่เผ่าพันธุ์เดียวสู้กับพวกมนุษย์ เราอาจทำอะไรพวกมันไม่ได้มากนัก เผ่าพันธุ์ข้ามีจุดอ่อนเรื่องการโจมตี เผ่าพันธุ์ท่านมีจุดอ่อนเรื่องป้องกัน ถ้าหากเราสองเผ่าพันธุ์โจมตีพวกมันพร้อมกัน ใช้กลยุทธ์ที่เราทั้งคู่ถนัด พวกมนุษย์จะแทบหาจุดอ่อนไม่ได้ พวกท่านมีกองเรือ มีทักษะในการบุกโจมตีชายฝั่ง ขณะที่เรามีกองทหารราบและทหารม้า มีทักษะในการปิดล้อมทางบก พวกมนุษย์ก็คงจะหยุดยั้งเราทั้งคู่ยาก”

          “เรื่องนี้ ข้าไม่มีอำนาจตัดสินใจ” กอร์รินพูด “ผู้มีอำนาจในเรื่องนี้คือพี่ชายข้า ผู้นำสูงสุดของข้า”

          “แต่เขาก็เป็นพี่ชายท่าน แล้วท่านก็เป็นรองผู้นำสูงสุดของเขา” โซลิแทร์พูด “คงไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง ที่ท่านจะโน้มน้าวเขาอย่างมีเหตุผลได้”

          “ข้าอาจเป็นรองผู้นำสูงสุด แต่ก็ใช่ว่าจะได้รับอำนาจมากมาย ในสายตาของเทอร์ริน ข้าก็ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ที่เขามักไม่ค่อยไว้ใจให้ทำงานใหญ่ๆ อะไร” กอร์รินพูดอย่างไม่พอใจ “อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้เขาอาจยอมฟังข้า เพราะเขาไม่มีทางเลือกมากนัก เขากำลังพยายามหาทางหยุดยั้งทัพเรือมนุษย์ไม่ให้บุกเข้าโจมตีถึงชายฝั่ง ซึ่งก็ยังไม่พบหนทางอื่น ดูเหมือนว่าหนทางนี้ จะเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยเขาได้”

           “ข้าได้แต่หวังว่าผู้นำสูงสุดของท่านจะตอบรับข้อเสนอ” โซลิแทร์จับบ่าอีกฝ่าย “เพราะมันจะดีต่อเราทั้งสองเผ่าพันธุ์”

          “แน่นอน ข้าเองก็หวังเช่นนั้น” กอร์รินพยักหน้า

          “หากปฏิบัติการครั้งนี้ มันช่วยให้ข้าปลดปล่อยพวกพ้องออกจากโซ่ตรวนของพวกมนุษย์ได้ ข้าจะขอบคุณท่านไปจนวันตาย” โซลิแทร์ยื่นมือไปหากอร์ริน

          “หากมันช่วยทำให้ชายฝั่งแบร์ร็อคปลอดภัยได้ ก็ไม่มีอะไรที่ท่านต้องขอบคุณข้าทั้งนั้น” กอร์รินยื่นมือไปจับกับโซลิแทร์

 

 

 

               

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา