พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.91K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) บทที่ 10 ความบาดหมางที่ไม่เคยจบสิ้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 10

ความบาดหมางที่ไม่เคยจบสิ้น

 

                หลังจากที่กอร์รินพักตั้งหลักอยู่กับพวกดาร์คเนสดีวิลจนกระทั่งสภาพอากาศนอกกำแพงดีขึ้น เขาก็พร้อมที่จะเดินทางกลับ คงจะกลับไปรายงานเทอร์รินเรื่องกองทัพมนุษย์ล่าช้าแล้ว ป่านนี้เทอร์รินคงรู้ข่าวจากคนอื่น แต่อย่างน้อยเขาก็มีหนทางหยุดทั้งทัพเรือมนุษย์กลับไปแจ้งให้ทราบ นับว่าเป็นการเสียเวลาที่คุ้มค่า ตอนนี้เขาพร้อมจะเดินทางกลับบ้านแล้ว ม้าตัวโตบรรทุกสัมภาระและเสบียงพร้อม กอร์รินสวมเสื้อขนสัตว์ทับชุดเกราะ คราวนี้เขาจะจำไว้ว่า หากถูกสิ่งใดไล่ล่าอีก เขาจะคว้ามันหนีด้วย แต่คงไม่จำเป็น โซลิแทร์ได้ชี้เส้นทางที่ปลอดภัยแก่เขาแล้ว โดยแนะนำให้ใช้เส้นทางอ้อมไปทางอาณาจักรกาโกคอล เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้อาณาจักรโมราโซมอสและไม่ต้องใช้เรือข้ามทะเล

          โซลิแทร์สวมเกราะ สวมผ้าคลุม สวมหน้ากาก รอเปิดช่องกำแพงชั้นแรกให้กอร์รินออกไป ไม่จำเป็นต้องให้กำแพงส่วนหนึ่งจมหายลงไปทั้งหมดเหมือนครั้งที่เข้ามา เขาสามารถให้มันเลื่อนเปิดเป็นช่องเล็กๆ ที่โคนกำแพง กว้างพอสำหรับให้คนขี่ม้าสักคนผ่านไปได้ เชื่อว่าอีกไม่นาน ความมหัศจรรย์ของกำแพงเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดจะได้รับการกล่าวขานไปอีกนานแสนนาน ซึ่งจะเริ่มจากปากพวกมนุษย์ ที่จะยกทัพใหญ่มาโจมตีในอีกไม่นานนี้

                “คอยเคาะเข็มทิศบ่อยๆ ก็ดีสหาย ความเย็นมักจะทำให้เข็มติด และชี้ไปผิดทิศผิดทาง” โซลิแทร์เดินมาส่งกอร์รินที่หน้ากำแพง “ท่านคงไม่อยากกลับไปเจอมังกรดำอีกรอบ”

                “จำได้ว่ามันโผล่มาเพราะได้ยินเสียงท่านเหวี่ยงดาบใส่ข้านะ” กอร์รินเดินจูงม้าผ่านช่องกำแพง

                “ใครบ้างล่ะที่จะไม่อยากเหวี่ยงดาบใส่ท่าน” โซลิแทร์หัวเราะ “ความจริงท่านจะเดินทางได้เร็วกว่าหากใช้ม้าปีศาจ มันสามารถวิ่งไปได้ไกลและเร็วโดยไม่ต้องหยุดพัก แต่นั่นอาจเป็นจุดสนใจ และทำให้เผ่าพันธุ์ของท่านแตกตื่นเมื่อไปถึง แล้วท่านก็อาจไม่คุ้นเคยกับการควบคุมมันเท่าไหร่ มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้จิตใจ ไร้ความรู้สึก เหมือนเอเลนเซฟเวอรี่”

                “ข้าเดินทางตามที่เคยชินอย่างนี้ล่ะดีแล้ว” กอร์รินกระชับเสื้อคลุมขนสัตว์ “ระยะหลังๆ นี้ การเดินทางของข้ามันเริ่มจะตื่นเต้นมากไปเสียแล้ว”

                “นี่” โซลิแทร์ยื่นแท่งพลุสีดำให้ “หากพี่ชายท่านยอมร่วมมือด้วย จุดมันขึ้นฟ้า ใกล้กับชายแดนของเรา ส่งสัญญาณให้เราทราบ”

                “ขอบคุณที่ให้อาศัยด้วย” กอร์รินรับพลุไปแล้วพยักหน้าให้ “เพื่อน”

                “หวังว่าเราจะได้พบกันอีก” โซลิแทร์พยักหน้าให้ “เพื่อน”

                “ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” กอร์รินพูด “เพราะครั้งต่อไปที่เราได้พบกันอีก นั่นคงหมายถึงพี่ชายข้ายอมรับข้อเสนอ และเราก็มาวางแผนเตะก้นพวกมนุษย์ด้วยกัน”

                เขายื่นมือไปหาโซลิแทร์ให้อีกฝ่ายจับมือด้วย

                “เผ่าพันธุ์ของท่าน นักรบจะทักทายกันด้วยการทำแขนกากบาท” เขากล่าว “ส่วนเผ่าพันธุ์ของข้า นักรบจะทักทายกัน ด้วยการจับมือ และเอาไหล่ชนกันแรงๆ”

                “คุ้นๆ ว่าเกราะหัวไหล่ของท่านมีหนามนะ” โซลิแทร์จำได้ “ถ้าท่านสวมเกราะอยู่ ท่านจะทักทายกับคนอื่นยังไง”

                “ไอ้หนามนั่นข้าสามารถพับเก็บได้ เกราะตามแขนของท่านต่างหากที่ข้าควรจะกลัว มันมีส่วนคมๆ เยอะ และคงจะพับเก็บไม่ได้” กอร์รินมองสนับแขนติดกรงเล็บของโซลิแทร์ “ช่างหัวมันเถอะ ตอนนี้ข้าไม่ได้สวมเกราะ และข้าก็สามารถเลี่ยงที่จะจับอะไรคมๆ บนแขนท่านได้”

                ทั้งสองจับมือกัน และดึงแขนอีกฝ่ายเข้ามาชนไหล่กันดังโครม กอร์รินยังคงระมัดระวังไม่ให้กรงเล็บเหล็กหลังมือของโซลิแทร์บาดมือเอา แล้วเขาก็ปีนขึ้นม้า สะบัดบังเหียน ม้าวิ่งลุยหิมะตรงห่างออกจากกำแพงไป โซลิแทร์ยืนมองจนอีกฝ่ายไปไกลลับตา แล้วจึงถอยผ่านช่องกำแพงกลับเข้าไปในฐานทัพ ใช้สายตาบังคับเลื่อนช่องกำแพงปิด

          “การมีศัตรูคนเดียวกัน มักทำให้มิตรภาพเกิดขึ้นเสมอ”

          เซซิลลอยเข้ามาสมทบกับโซลิแทร์ สวมเกราะและเสื้อคลุมแผ่นโลหะ มือข้างหนึ่งถือหมวกเกราะ

          “เช่นเดียวกับการช่วยกันหนีจากมังกรดำในหุบเขา” โซลิแทร์ว่า “การร่วมกันทำในสิ่งที่เสี่ยงหรือยากลำบาก มักเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่าเพื่อน”

          “มีหลายคนพูดว่าสงครามมีแต่ความสูญเสีย มันก็เป็นความจริงส่วนหนึ่งนะ” เซซิลกล่าว “แต่พวกนั้นลืมตระหนักไปว่า สงครามก็ทำให้เราได้พบกับสิ่งที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ มิตรภาพ สงครามเป็นช่วงเวลาของการประกาศตัวเป็นศัตรู และการประกาศตัวเป็นมิตร”

                “รวมถึงเป็นช่วงเวลาที่ทำให้สูญเสียคนที่เป็นมิตรไป” โซลิแทร์มองมือทั้งสองของตน แล้วมองไปยังเซซิล แววตาสะท้อนความรู้สึกผิดออกมาจากความมืดใต้หมวกฮู้ดและหน้ากาก

                “ไม่มีใครหลีกหนีความสูญเสียพ้น ทุกคนล้วนตายจากไปได้ทุกเวลา อาของท่านเพื่อนรักของข้าก็เช่นกัน” เซซิลจับบ่าโซลิแทร์ด้วยมืออีกข้างที่ว่างอยู่ “สิ่งสำคัญคือ เป็นโชคดีของข้าที่ได้พบกับเขาและได้เป็นเพื่อนกับเขา การมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันมันเข้าอกเข้าใจกันได้แทบทุกเรื่อง นี่โฮซอร์กอร์ริน เฮนิเคมก็เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันคนแรกของท่านใช่ไหม”

                โซลิแทร์พยักหน้า แต่ความจริงนั้นไม่ใช่ เพื่อนคนแรกของเขาคือมนุษย์ ที่ชื่อว่าซอร์โรร่า ไอวิวรี่ ซึ่งตอนนี้เขาก็ยังถือว่าเธอเป็นเพื่อนอยู่เสมอ ตามที่ให้คำมั่นสัญญาไว้ แม้จะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกเลยหลังจากสงครามเฟลมฟอร์สครั้งนั้น ผ่านมาสิบแปดปีก็ถือว่าเป็นเพื่อนมาสิบแปดปีไม่เปลี่ยนแปลง หากจะคิดดูดีๆ ก็รู้สึกแปลกๆ ยังไงพิกล ที่เธอเป็นมนุษย์ เป็นเผ่าพันธุ์ศัตรูที่เขาเกลียดชังมากและกำลังทำสงครามด้วย แต่ใช่ว่าเขาจะเกลียดมนุษย์ทุกคน เพื่อนกับเผ่าพันธุ์ของเพื่อนเป็นคนละเรื่องกัน สิ่งสำคัญคือ มิตรภาพนั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เขารู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อนนั้นมีความหมายกับเขาแค่ไหน มันทำให้เขามีวันนี้ได้

                “อีกไม่นาน พวกมนุษย์จะยกกองทัพใหญ่มา” โซลิแทร์เอ่ย “ครั้งนี้เราจะตั้งรับบนกำแพง ไม่จำเป็นต้องปิดบังศักยภาพให้พวกมนุษย์ตายใจอีกต่อไป พวกดีวอเชอร์ พวกเอเลนเซฟเวอรี่ รวมถึงเครื่องกลสงครามต่างๆ จะถูกนำมาใช้รับมือพวกมนุษย์อย่างเต็มประสิทธิภาพ”

                “เราเตรียมการกันมานาน ด้วยความระมัดระวังและความอดทน ในที่สุด เวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง” เซซิลพูดอย่างมีหวัง “เป็นโอกาสที่เราจะพิสูจน์ให้ดาวดวงนี้ได้เห็น ว่าพวกมนุษย์รุกรานเราไม่ได้อีกต่อไป”

                “หากศึกครั้งนี้เราชนะ เราจะประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นตรงต่อโมราโซมอสอย่างเป็นทางการ และพวกมันจะต้องเฝ้ามองเราแข็งแกร่งอยู่อย่างนี้ไปอีกนาน” โซลิแทร์กล่าว หันมามองหมวกเกราะในมือเซซิล “ท่านสวมหมวกเกราะตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจารย์เซซิล”

                “ประการแรก วันนี้ข้าต้องเดินทางไปเมืองฟรอสท์ฟลายกับท่าน ข้าต้องหาอะไรมากันลมให้กับหัวของข้าแน่นอน” เซซิลอธิบาย “ท่านไม่เคยบังคับพาหนะให้บินช้าๆ สักครั้ง รู้ไหม คนที่บินเก่ง ไม่ได้หมายความว่าต้องบินเร็ว”

                “ข้าทราบดีอาจารย์เซซิล ข้าไม่คิดว่าตัวเองบินเก่งเพราะความเร็ว แต่ข้าเบื่อการเดินทางที่ใช้เวลานานๆ มันปวดเมื่อย” โซลิแทร์ตอบ “บินอยู่บนฟ้า มันไม่ต้องกลัวชนอะไรอยู่แล้ว”

                “ประการที่สอง” เซซิลพูดต่อ “ข้าแค่ทำตัวตามความนิยมของกองทัพเราในตอนนี้”

                “กองทัพเรามีความนิยมอะไรหรือ”

                “การปิดหน้าปิดตา” เซซิลตอบ “ท่านเป็นแรงบันดาลใจให้ดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ หลังจากที่เล่นงานพวกมนุษย์เสียราบคาบในศึกครั้งล่าสุด พวกนักรบก็คิดว่าการสวมอะไรคลุมหัวคลุมหน้าคลุมตาอย่างท่าน มันดูเท่เป็นที่สุด อีกทั้งยังช่วยป้องกันคมอาวุธได้ด้วย ดังนั้น พวกดีเซ็นทรีจึงปรับปรุงหมวกเกราะให้มีกระบังหมวกปิดหน้า พวกดีวอเชอร์ก็ปรับปรุงหมวกเกราะให้มีผ้าเหล็กคาดปิดจมูกปิดปาก”

                พวกดีเซ็นทรีที่เดินผ่านไปผ่านมานั้น บัดนี้หมวกเกราะของแต่ละคนสามารถดึงกระบังหมวกลงมาปิดหน้าได้ ซึ่งกระบังหมวกก็เป็นหน้าปีศาจแยกเขี้ยว เข้ากับเขาปีศาจที่อยู่บนหน้าผากหมวก ส่วนพวกดีวอเชอร์นั้น เดิมทีในสมัยของไพร์มดีวอเชอร์จะไม่มีใครสวมหมวกเกราะ แต่ตอนนี้ทุกคนสวมหมวกเกราะที่มีปีกค้างคาวเหล็กแนบอยู่ด้านข้าง ด้านหลังเป็นหางปีศาจปลายลูกศร ไม่มีกระบังหมวกปิดหน้า แต่มีผ้าที่ถักทอจากเหล็กไว้ให้ขึงปิดจมูกปิดปาก ลายผ้าเป็นรูปปากปีศาจแยกเขี้ยว รูปลักษณ์ใหม่นี้ทำให้ทั้งพวกดีวอเชอร์กับพวกดีเซ็นทรีดูน่าเกรงขามในสนามรบมากขึ้น ผมสีเงินยาวตรงของดาร์คเนสดีวิลแต่ละคนโผล่ออกมาปลิวไสวอยู่นอกหมวกเกราะ ดูสง่าไปอีกแบบ หมวกเกราะของเซซิลก็มีลักษณะเหมือนหมวกเกราะของพวกดีวอเชอร์ เพียงแต่บนยอดหมวกนั้นมีหมวกตัวตลกสองแฉกสีดำเล็กๆ ที่ทำด้วยเหล็ก ติดอยู่บนหน้าผากหมวกเกราะเป็นแนวเฉียง

                “เดอะ เจสเทอร์ ฉายาที่คนอื่นๆ เคยตั้งให้ท่าน” โซลิแทร์มองหมวกตัวตลกบนหมวกเกราะของเซซิล “บอกตรงๆ นึกตอนที่ท่านเป็นอย่างนั้นไม่ออกจริงๆ”

                “ข้าเองก็เริ่มจะจำตัวเองในลักษณะนั้นไม่ได้แล้ว” เซซิลถอนหายใจ

                “อะไรทำให้ท่านเป็นแบบนี้ได้--”

                “ไม่อยากเชื่อเลยว่า บรรดานักรบของเราจะทำตามค่านิยมไร้สาระนี่”

                กัปตันมาซูลเดินเข้ามาหาทั้งคู่ สวมชุดเกราะครบชุดเช่นกัน สวมหมวกเกราะใบเดิมที่มีหนังสุนัขจิ้งจอกหิมะสีขาวประดับบนยอดหมวก

                “ดูเหมือนว่าตอนนี้ ข้าจะเป็นคนเดียวที่ไม่ปรับแต่งหมวกเกราะเพิ่ม” เขาพูด

                “ก็เพราะท่านปรับแต่งมันก่อนคนอื่นนานแล้วล่ะสิ” โซลิแทร์ดึงกระบังหมวกหน้าสุนัขจิ้งจอกแยกเขี้ยวลงมาปิดหน้ากัปตันมาซูล “ยอมรับเสียเถอะสหาย ว่าท่านคือคนแรกที่ทำตามค่านิยมไร้สาระนี่ ค่านิยมที่คนเพี้ยนๆ อย่างข้าเป็นคนสร้างขึ้น”

                “งั้นท่านคงพอเข้าใจ ว่าทำไมข้าไม่อยากจะยอมรับ” กัปตันมาซูลเลื่อนกระบังหมวกขึ้น “รู้ไหมท่านลอร์ด ตอนนี้พวกมนุษย์ตั้งฉายาให้ท่านว่าแบล็กไรดิงฮู้ด ท่านกลายเป็นคนดังของพวกมันเสียแล้ว”

                “แบล็กไรดิงฮู้ด” โซลิแทร์ทวนคำ “มันก็ไม่แย่นักหรอก อย่างน้อยมันก็ฟังดูดำๆ อย่างที่ข้าชอบ อย่างไรก็ตาม วันนี้แบล็กไรดิงฮู้ดจะต้องเดินทางไปยังเมืองฟรอสท์ฟลาย เพื่อไปนำกองกำลังเอเลนเซฟเวอรี่มาประจำเพิ่มที่นี่อีกจำนวนหนึ่ง เตรียมพร้อมใช้ต้อนรับผู้ที่ตั้งฉายาให้เขา อาจารย์เซซิล ข้าเทียมรถม้าให้แล้ว ไม่ต้องห่วง พวกเอเลนเซฟเวอรี่อาจยอมให้ข้าขี่ได้คนเดียว คนอื่นจะถูกเหวี่ยงลงมาเผา แต่เราสามารถแก้ปัญหานี้ได้ ด้วยการนำรถม้าไปเทียมหลังมันแทน ไม่ถือว่าขี่โดยตรง พวกมันยอม”

                เขาชี้ไปยังเอเลนเซฟเวอรี่สีดำพาหนะประจำกาย ซึ่งมันถูกเทียมด้วยรถม้าศึกสีดำ เป็นรถม้าที่ติดปีกไว้สำหรับให้มันร่อนตามการลากของเจ้าเอเลนเซฟเวอรี่สีดำได้ ทั้งตัวรถม้าและปีกถูกออกแบบให้ดูคล้ายกับค้างคาวปีศาจในตำนาน

                “อย่างน้อย วันนี้หิมะก็ไม่ตก” เซซิลลอยขึ้นไปยืนบนรถม้าศึก สวมหมวกเกราะ คาดผ้าเหล็กปิดปากไว้กับแผ่นเหล็กบังจมูกและแผ่นเหล็กบังแก้ม ลายปากปีศาจแยกเขี้ยวบนผ้าเหล็กสีดำทำให้ดูเหมือนว่าเขากำลังแสยะแยกเขี้ยว “เสียงเกล็ดหิมะกระแทกหมวกเกราะมันน่ารำคาญ”

                “แต่ท่านจะพบเจอกับอากาศหนาวแน่ล่ะ” กัปตันมาซูลคลี่ปีกรถม้าออกให้ทั้งสองข้าง “เมืองฟรอสท์ฟลายมันอยู่ติดภูเขาน้ำแข็ง และเป็นหนึ่งเมืองที่อากาศหนาวที่สุดในโฟรเซ็นทิเนล”

                “อาจารย์เซซิลชอบอากาศหนาว ข้าก็เหมือนกัน” โซลิแทร์ปีนขึ้นไปนั่งบนอานเอเลนเซฟเวอรี่สีดำ

                “ท่านจำได้ใช่ไหม ว่ามาร์คาร์ส่งเกราะพาหนะของท่านไปที่เมืองนั่น” กัปตันมาซูลเตือนความจำ “อย่าลืมให้เจ้าเอเลนเซฟเวอรี่สีดำสวมมันกลับมาล่ะ”

                “ขอบคุณที่เตือน ความจำข้าไม่ค่อยดี” โซลิแทร์พยักหน้า

                กัปตันมาซูลทำแขนแสดงสัญลักษณ์กากบาท โซลิแทร์และเซซิลทำตอบกลับไป แล้วเจ้าเอเลนเซฟเวอรี่สีดำก็กางปีกที่มีขอบเป็นหนามทะยานขึ้นฟ้าเมื่อโซลิแทร์สะบัดบังเหียน ลากรถม้าศึกติดปีกของเซซิลบินไปด้วย พวกเขาบินผ่านฐานทัพฟรอสท์ไอรอนแคลดไปอย่างรวดเร็วจนดูแทบไม่ทัน ผ้าคลุมของโซลิแทร์สะบัดไปตามแรงลมอย่างสวยงาม เขาเร่งความเร็วมากขึ้น ไม่สะทกสะท้านต่อลมหนาวที่พุ่งเข้ามาปะทะ เซซิลยืนจับขอบรถม้านิ่ง มือซีดๆ ของเขาแดงเล็กน้อยเพราะถูกลมหนาวตี เขายืนกรานที่จะไม่สวมถุงมือ เพราะรู้สึกใช้มือไม่ถนัด

                ด้วยความเร็วในการบินเต็มกำลังของเอเลนเซฟเวอรี่สีดำ ภายในหนึ่งชั่วโมงโซลิแทร์ก็บินเข้าสู่เมืองฟรอสท์ฟลาย เมืองเดียวในอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ สภาพเมืองคล้ายกับซากหักพัง ไม่มีอาคารที่อยู่อาศัย มีเพียงป้อมพังๆ และหอคอยโทรมๆ เต็มไปหมด ไม่มีคนเฝ้าประจำเมือง ไม่มีคลังเก็บอาวุธ ไม่มีสิ่งดำรงชีพสำหรับสิ่งมีชีวิตใดๆ  แต่จะเรียกว่าเมืองร้างก็คงไม่เต็มปากนัก เพราะมันไม่ได้ร้างเสียทีเดียว

                เมืองนี้มีแต่เอเลนเซฟเวอรี่เต็มไปหมด พวกมันบินอยู่บนท้องฟ้า หรือไม่ก็เกาะห้อยหัวอยู่ตามซากป้อมและหอคอย มีมากมายนับแทบไม่ไหว เป็นเมืองแห่งเอเลนเซฟเวอรี่ชัดๆ  เซซิลมองไปรอบๆ นานมากแล้วที่ไม่ได้มาที่นี่ และครั้งสุดท้ายที่มา พวกมันก็ยังไม่เยอะขนาดนี้

                “อะไรทำให้พวกมันเพิ่มจำนวนได้มากขนาดนี้” เซซิลตะโกนผ่านผ้าเหล็กที่ปิดปาก “ข้ารู้ว่าเดิมทีพวกมันก็ไม่ได้มีน้อยๆ อยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้”

                “ไม่เห็นจะยาก” โซลิแทร์ตอบกลับด้วยเสียงเบาๆ แต่ได้ยินชัดเจนด้วยพลังของภาษาดาร์เคน “ข้าจัดให้เมืองนี้ทั้งเมืองเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เอเลนเซฟเวอรี่เต็มรูปแบบ ถึงยังไงพวกมันก็เคยอาศัยอยู่ตามถ้ำในเทือกเขาน้ำแข็ง ส่วนที่อยู่ติดเมืองนี้มาก่อน” เขาชี้มือไปยังแนวภูเขาน้ำแข็งที่เห็นอยู่ไกลๆ “ในเมื่อพวกมันสามารถวางไข่ในเมืองนี้ได้อย่างปลอดภัย ไม่มีอะไรมาทำอันตราย พวกมันก็เพิ่มจำนวนได้เรื่อยๆ”

                “ไพร์มดีวอเชอร์ผู้บ้าลัทธิประโยชน์นิยม คงชอบที่ท่านทำให้เมืองนี้มีประโยชน์ได้” เซซิลว่า “มันเป็นเมืองที่เสียหายจากสงครามกับพวกเฟลมฟอร์สมากที่สุด สภาพเมืองเสียหายเกินกว่าจะปรับปรุงซ่อมแซมให้อาศัยอยู่ได้ รวมทั้งยังเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ หิมะถล่ม ร่องเหวน้ำแข็ง พื้นน้ำแข็งแตก”

                พาหนะของโซลิแทร์และรถม้าร่อนลงจอดบนพื้นหิมะโล่งๆ โซลิแทร์ลงจากหลังพาหนะ เซซิลลงจากรถม้า ถอดผ้าเหล็กปิดปากและหมวกเกราะออก

                “เราจะเอาไปเพิ่มที่ฟรอสท์ไอรอนแคลดกี่ตัวดี” เซซิลมองไปรอบด้าน

                “แค่เอาไปให้เหมาะสมกับที่ฐานทัพต้องการเป็นพอ หากต้องการเพิ่ม ข้าก็สามารถเรียกไปอีกได้ ยังไงพวกมันก็บินเร็ว ไม่ก่อให้เกิดการลำเลียงพลล่าช้าแน่นอน” โซลิแทร์บอก

                “จริงๆ แล้วพวกมันมีทั้งหมดกี่ตัวกันแน่” เซซิลสงสัย

                “บอกจำนวนแน่นอนไม่ได้ แต่ภายในปีนี้ ข้าคำนวณว่าจะมีหลายพันตัว” โซลิแทร์ตอบ

                “หลายพัน ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ! พวกนี้ไม่ใช่นักรบตัวเท่าๆ กับเรานะท่านลอร์ด พวกมันคือสัตว์ร้ายตัวใหญ่ที่พ่นดาวตกได้” เซซิลตาค้าง “มันเยอะกว่าที่ควรจะเยอะเสียอีก”

                “มีอะไรให้กังวลล่ะ พวกมันไม่ได้กินอาหารของเรา ไม่ได้แย่งทรัพยากรเรา” โซลิแทร์ว่า “แต่พวกมันจะเป็นกำลังสำคัญในการทำลายล้างศัตรูที่เข้ามารุกรานเรา โดยเฉพาะพวกมนุษย์ ผู้ที่บาดหมางกับเราได้ตลอดเวลาไม่เคยจบสิ้น”

                “นี่คือเหตุผลที่ช่วงนี้ ท่านให้ความสำคัญกับการพัฒนากองกำลังเอเลนเซฟเวอรี่เป็นพิเศษ” เซซิลพูด

                “พวกมันเป็นกองกำลังที่ยากต่อการรับมือ แทบจะไม่มีจุดอ่อน ยิ่งเราเพิ่มศักยภาพให้แก่พวกมัน เราก็ยิ่งมีโอกาสชนะศึก” โซลิแทร์กล่าว “พวกมันกำลังทำให้เราแข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็นมา”

                “ระวังหน่อย ท่านเกือบจะเหยียบอะไรสักอย่าง” เซซิลชี้มือ

                โซลิแทร์หันไปมอง และก้มลงไปอุ้มไข่สีเทาใบใหญ่ขึ้นมา เปลือกมันแข็งและเรียบเงา

                “ตั้งแต่พวกมันต้องคำสาปของพวกไซคัส ให้ไร้ความรู้สึกไร้ชีวิตจิตใจ พวกมันก็ไม่ค่อยระมัดระวังเรื่องการวางไข่นัก บางทีก็วางไข่บนพื้นโล่งเสียดื้อๆ แต่ก็ยังดีที่พวกมันวางไข่เฉพาะในเมืองนี้ จึงไม่ค่อยจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับไข่นัก” โซลิแทร์ถอนหายใจ อุ้มไข่ไปวางไว้ที่โคนหอคอยพังๆ หลังหนึ่ง และเอาหิมะกลบไว้ “มันจะฟักตัวเร็วขึ้น หากถูกกลบด้วยหิมะ”

                “ใครจะไปรู้ว่า ท่านจะมีพันธะสัมพันธ์กับพวกมันมากขนาดนี้” เซซิลส่ายหน้า

                “ท่านลืมไปแล้วหรือ ว่าข้าคือจ่าฝูงของพวกมัน” โซลิแทร์เตือนความจำ “ด้วยความห่วงใยและเข้าอกเข้าใจที่ไม่มีใครเคยมอบให้พวกมัน”

                “แล้วก็ด้วยความเจ็บปวดที่ท่านได้รับ” เซซิลเสริม

                “อ้อ!ใช่ เจ็บปากเป็นบ้า แล้วก็รู้สึกแย่มากๆ ที่ต้องกินอาหารทางหลอดเป็นสัปดาห์” โซลิแทร์ระลึกความหลังอย่างเข็ดขยาด “แต่มันก็คุ้มค่าล่ะ ท่านช่วยหลบไปข้างๆ ทีอาจารย์เซซิล”

                “อีกแล้วหรือนี่” เซซิลขยับหลบให้อย่างเหนื่อยใจ

                กล่องเหล็กขนาดมหึมาถูกโยนโครมลงมาจากฟ้า หิมะบนพื้นกระจัดกระจาดไปทุกทิศทุกทาง เอเลนเซฟเวอรี่สองตัวที่เพิ่งทิ้งกล่องลงมา กระพือปีกบินจากไปอีกทาง

                “ท่านทำให้พวกมันออกรบร่วมกับเราได้ ให้เทียมด้วยรถม้าได้ ให้ขนส่งของได้” เซซิลปัดหิมะออกจากตัว “แต่ทำให้พวกมันวางของลงเบาๆ ไม่ได้ สิ่งที่อยู่ข้างในกล่องมันอาจเสียหายได้นะ”

                “เพราะอย่างนี้เราถึงใช้กล่องเหล็ก” โซลิแทร์เปิดกล่องออก “ท่านอย่าถือโทษพวกมันเลยอาจารย์เซซิล พวกมันไม่ใช่สัตว์ที่นุ่มนวลนัก แต่อย่างน้อยก็แข็งแรงพอที่จะขนส่งของหนักๆ และบินมาส่งได้อย่างรวดเร็วทันใจ”

                “อะไรในกล่องหรือ” เซซิลถาม

                “ตัวอย่างชุดเกราะเอเลนเซฟเวอรี่” โซลิแทร์หยิบเกราะขนาดใหญ่สีดำออกมาจากกล่องทีละชิ้น “มาร์คาร์รู้ว่าข้าจะมาที่นี่ในวันนี้ จึงส่งตัวอย่างเกราะมาให้ใช้ ให้ข้าทดลองสวมกับพาหนะของตัวเองก่อน ว่ามันเหมาะสมดีไหม หวังว่าเขาคงไม่ลืมว่าพาหนะของข้าตัวใหญ่กว่าเอเลนเซฟเวอรี่ทั่วไป หากผลิตเกราะจริงๆ เขาต้องทำให้มีขนาดเล็กลงกว่านี้”

                “นี่คืออีกโครงการของท่านหรือ” เซซิลพูดทึ่งๆ “หุ้มเกราะให้พวกเอเลนเซฟเวอรี่ อย่างกับว่าพวกมันยังหนังเหนียวไม่พอ”

                “คิดดูสิว่าศัตรูของเราจะลำบากแค่ไหน กับการสู้กองทัพเอเลนเซฟเวอรี่ที่หุ้มเกราะเหล็กหนาทั้งตัว” โซลิแทร์พูดอย่างคึกคัก เดินไปถอดรถม้าออกจากหลังเอเลนเซฟเวอรี่สีดำ “แน่ล่ะ เราไม่ทางจะผลิตเกราะมาหุ้มพวกมันได้มากนักก่อนศึกกับพวกมนุษย์ครั้งที่จะถึงนี้ แต่รับรองได้ว่าในระยะยาว เอเลนเซฟเวอรี่จำนวนมากจะมีเกราะสวม”

                “คงใช้เวลานานอยู่ เอเลนเซฟเวอรี่แต่ละตัวไม่ได้ตัวเล็กๆ” เซซิลช่วยโซลิแทร์ถอดอานจากหลังพาหนะ

                “ความสามารถในการผลิตเครื่องเหล็กของเรามีมากกว่าเผ่าพันธุ์อื่น จริงอยู่ที่มันต้องใช้เวลานาน เพราะพวกเอเลนเซฟเวอรี่ทั้งตัวใหญ่และมีจำนวนมาก แต่ไม่นานเกินรอแน่นอน” โซลิแทร์เริ่มสวมเกราะชิ้นแรกให้พาหนะ “นี่มันคือกลยุทธ์ที่เราสองคนถนัด อาจารย์เซซิล เราเสริมความเข้มแข็งให้กับจุดแข็งของเรา พวกเอเลนเซฟเวอรี่เป็นอาวุธสำคัญของเรา แล้วเราก็เพิ่มความแข็งแกร่งให้พวกมัน”

                “รู้ไหมท่านลอร์ด” เซซิลช่วยโซลิแทร์สวมเกราะชิ้นอื่นๆ ให้เจ้าเอเลนเซฟเวอรี่สีดำ “มีหลายสิ่งที่ข้าสอนท่าน แล้วท่านก็นำไปประยุกต์กับหลายสิ่งที่ข้าเองก็คาดไม่ถึง บางครั้งข้าก็คิดว่าท่าน ฉลาดเกินไป”

                “บอกมาตรงๆ ว่าภูมิใจในตัวข้าก็จบแล้ว” โซลิแทร์หัวเราะ

                ภายในเวลาไม่นาน เจ้าเอเลนเซฟเวอรี่สีดำก็ถูกหุ้มด้วยเกราะหนาหนักสีดำทั่วทั้งตัว ตั้งแต่หัวทั้งสามจดปลายหาง มีช่องสำหรับให้หนามและเขาลอดผ่านได้อย่างพอดี ความหนาของเกราะคงป้องกันกระสุนปืนยาวของพวกมนุษย์ได้สบายๆ  ความจริงมันอาจป้องกันกระสุนปืนใหญ่ได้เสียด้วยซ้ำ โซลิแทร์นำอานไปประกอบกับเกราะที่หลังของมัน มีช่องสำหรับให้ใส่ของ และช่องเสียบวางอาวุธด้านข้างอาน

                “แข็งแกร่งมาก ข้ายอมรับเลย” เซซิลหยิบเหล็กแท่งหนึ่งจากหอคอยพังๆ มาฟาดคอยาวๆ ของเจ้าเอเลนเซฟเวอรี่สีดำที่หุ้มด้วยเกราะ แท่งเหล็กงอพับ เกราะไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน

                “ลองนึกภาพดูสิอาจารย์เซซิล” โซลิแทร์พูดอย่างเป็นสุข “เอเลนเซฟเวอรี่อีกจำนวนมากจะสวมเกราะแบบนี้ แล้วขับไล่ผู้รุกรานใดๆ ก็ตามที่เข้ามาสร้างปัญหาในอาณาจักรเรา พวกศัตรูทั้งหลายจะรับรู้ว่า ไม่ควรเหยียบย่างมาก่อกวนในพื้นที่ของปีศาจ เราจะแข็งแกร่งจนไม่มีใครอยากเข้ามารบกวนชีวิต”

                “แล้วท่านคิดว่าจะหุ้มเกราะให้พวกเอเลนเซฟเวอรี่สักกี่ตัวกัน” เซซิลถามคำถามที่น่าจะเดาคำตอบได้อยู่แล้ว

                “ทุกตัวเลย” โซลิแทร์ตอบ

 

************

 

                แม้ว่าอโลบัสจะไม่เต็มใจกับการยกทัพบุกไปโจมตีโฟรเซ็นทิเนลนัก แต่เมื่อเป็นคำสั่งจากพระราชา เขาก็จะทำตามหน้าที่อย่างดีที่สุด ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครใส่ใจว่าเขาจะเต็มใจหรือไม่ เพราะเขาไม่เคยแสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาเลย ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่พอใจ ไม่แสดงความรู้สึกอื่นๆ เสียด้วยซ้ำ ที่ผ่านมานี้กัปตันเท็มเปิลรู้ดีกว่าใครว่าอโลบัสเป็นนักวางแผนที่เก่งกาจ และมีกลยุทธ์ศึกสงครามที่ชาญฉลาด จึงมักให้เกียรติอโลบัสได้เป็นผู้วางกลยุทธ์อยู่เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน

                “เจ้าชายอโลบัส ขอแนะนำให้รู้จักกัปตันฟิลโก้” กัปตันมาซูลแนะนำชายร่างใหญ่หนวดเฟิ้ม “เขาจะเป็นผู้บัญชาการกองกำลังเรือเหาะของกองทัพเรา ท่านอาจได้พบกับเขาหลายครั้งแล้วแต่จำไม่ได้ เขาจำท่านได้ และชื่นชมความสามารถทางสงครามของท่านมาก”

                “ยินดีที่ได้ร่วมงานกับท่าน” อโลบัสจับมือที่เต็มไปด้วยรอยสักของกัปตันฟิลโก้ “ข้าจำท่านได้”

                “ข้าพร้อมจะเหาะไปถล่มพวกดาร์คเนสดีวิล ทุกท่าน” กัปตันฟิลโก้พูดอย่างคึกคัก “พวกปีศาจชั้นต่ำจะได้รู้ซึ้งถึงความก้าวหน้าทางสงครามของเผ่าพันธุ์ที่เหนือกว่า”

                “แม้ว่าเราจะไม่สามารถส่งกองเรือไปโจมตีพวกมันได้ เพราะโฟรเซ็นทิเนลไม่มีพื้นที่ติดทะเล แต่เราจะชดเชยด้วยกองกำลังเรือเหาะ” กัปตันเท็มเปิลพยักหน้าอย่างชอบใจ

                “ท่านได้เห็นแนวป้องกันอะไรที่ฟรอสท์ไอรอนแคลดไหม” อโลบัสถามกัปตันเท็มเปิล “กำแพง ป้อมปราการ เครื่องกลสงคราม อุปกรณ์ป้องกันเมือง”

                “พวกดาร์คเนสดีวิลนำกองทัพมาปะทะกับข้าในที่โล่ง ข้าจึงยังไม่ทันได้เห็นสิ่งก่อสร้างใดๆ ของพวกมัน” กัปตันเท็มเปิลชี้นิ้วไปยังแบบจำลองเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลด “แต่ข้ามองเห็นจากที่ไกลๆ ว่าช่องเขาเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดนั้นยังว่างเปล่า พวกดาร์คเนสดีวิลยังไม่ได้สร้างอะไรไปปิด”

                “หากเป็นอย่างที่ท่านเห็น การโจมตีก็ยังไม่ยากนัก” อโลบัสกล่าว “กระนั้น พวกดาร์คเนสดีวิลคงจะมีป้อมหรือกำแพงในฐานทัพบ้าง ซึ่งเราก็ไม่ทราบความยาวความสูงของมัน เรื่องนี้อาจเป็นปัญหาสำหรับการต่อบันไดยาวได้ เราไม่รู้ว่าจะต้องใช้บันไดที่มีความยาวเท่าไหร่จึงจะพอ” เขาส่งกระดาษเขียนแปลนบันไดยาวให้กัปตันเท็มเปิล “อย่างไรก็ตาม ข้าได้แก้ปัญหาเรื่องนี้ ด้วยการออกแบบบันไดยาวที่สามารถถอดประกอบได้ ข้าได้ส่งแบบแปลนไปยังฝ่ายผลิตอุปกรณ์สงครามแล้ว หากป้อมหรือกำแพงของอีกฝ่ายสูงเกินไป เราก็สามารถนำบันไดมาประกอบกันได้ แต่ท่านคงทราบดีว่าหากนำบันไดมาประกอบกันยาวเกินไป ความแข็งแรงของมันก็จะยิ่งถูกบั่นทอน มันอาจหักขณะที่มีคนปีนอยู่ได้”

                “เราไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ กำแพงหรือป้อมของพวกดาร์คเนสดีวิลคงจะไม่สูงขนาดนั้น” กัปตันเท็มเปิลว่า “อีกอย่าง เรามีกองกำลังเรือเหาะของกัปตันฟิลโก้ การลำเลียงพลขึ้นที่สูงไม่ใช่ปัญหานัก”

                “ถูกแล้วทุกท่าน” กัปตันฟิลโก้สนับสนุน “หน่วยของข้ามีประสิทธิภาพมาก”

                “แต่ท่านบอกว่าแบล็กไรดิงฮู้ด ผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนล สามารถควบคุมก้อนเมฆได้ในรัศมีราวหนึ่งตารางกิโลเมตร” อโลบัสท้วง “ข้าคิดว่าอาจไม่เหมาะสมนัก ที่จะใช้กองกำลังเรือเหาะ”

                “กองเรือเหาะของข้ามีความแข็งแกร่ง เจ้าชายอโลบัส” กัปตันฟิลโก้ให้ความมั่นใจ “เรือเหาะแต่ละลำสามารถแล่นผ่านพายุได้สบาย เตาพลังงานของพวกมันถูกออกแบบให้ทานทนต่อพายุและความเย็น บอลลูนของเรือเหาะแต่ละลำทำด้วยผ้าและไนลอน มันทนทานต่อสิ่งมีคม และจะยิ่งมีความเหนียวมากขึ้นเมื่อสัมผัสอากาศหนาวในโฟรเซ็นทิเนล คนฉลาดอย่างท่านคงทราบดีว่าไนลอนเป็นฉนวนไฟฟ้า แบล็กไรดิงฮู้ดจะทำฟ้าผ่าใส่เรือเหาะของเราไม่ได้สักลำ”

                “ข้าทราบคุณสมบัติของไนลอนดี และขอชื่นชมในความฉลาดของท่าน กัปตันฟิลโก” อโลบัสพูดอย่างมีมารยาท “แต่หวังว่าท่านคงไม่ลืมว่า พวกดาร์คเนสดีวิลมีเอเลนเซฟเวอรี่ ซึ่งเราก็ไม่รู้แน่ชัดว่ามีกี่ตัว หากพวกนั้นมีจำนวนมาก กองเรือเหาะของท่านจะลำบากได้”

                “พวกมันเป็นแค่สัตว์ที่พ่นดาวตก ส่วนกองกำลังของข้าเป็นเหล่ามนุษย์ที่ควบคุมเครื่องกลสงครามอันล้ำสมัย” กัปตันฟิลโก้ยืนกราน “พวกมันจะโจมตีเราอย่างสัตว์ แต่เราจะโจมตีพวกมันอย่างมนุษย์”

                “พระราชาต้องการยกพลไปเต็มอัตราศึก พระองค์ประสงค์ให้มีทัพอากาศร่วมอยู่ด้วย” กัปตันเท็มเปิลกล่าว “มันจะทำให้เราเคลื่อนพลบุกเข้าปะทะข้าศึกด้วยจำนวนคนที่มากขึ้น แต่ใช้พื้นที่เคลื่อนทัพเท่าเดิม เพราะส่วนหนึ่งอยู่บนบก อีกส่วนหนึ่งอยู่ในอากาศ”

                “เช่นนั้น ข้าจะจัดสรรกองกำลังตามที่ท่านต้องการ” อโลบัสกล่าว “ท่านเป็นผู้บัญชาการกองทัพ”

                “แม้ว่าอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลจะถูกล้อมด้วยเทือกเขาน้ำแข็งแทบทั้งอาณาจักร เสมือนกำแพงธรรมชาติ” กัปตันฟิลโก้ไล่นิ้วไปตามแบบจำลอง “แต่ข้าเชื่อว่าข้ากับกองกำลังของข้าสามารถเหาะข้ามภูเขาน้ำแข็งเหล่านั้นได้ ทำไมไม่ให้หน่วยของข้าเหาะเข้าไปโจมตีเมืองอื่นๆ ของพวกดาร์คเนสดีวิล ขณะที่พวกท่านโจมตีฟรอสท์ไอรอนแคลดล่ะ”

                “แบบจำลองนี้ จำลองอัตราส่วนเทือกเขาน้ำแข็งที่ล้อมรอบอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลได้ไม่ถูกต้อง” อโลบัสพูด “ของจริงมันสูงมาก อาจเป็นเทือกเขาน้ำแข็งที่สูงที่สุดในดาวดวงนี้ก็ว่าได้ และบนยอดเขาก็มีหมอกหนาทึบ ความหนาวเย็น อุณหภูมิต่ำติดลบ จนไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ได้ เรือเหาะของพวกท่านอาจไม่มีกำลังพอจะบินขึ้นไปถึง แต่ต่อให้บินถึง ความหนาวเย็นจัดบนยอดเขาก็จะทำให้เครื่องยนต์กลไกเสื่อม เรือเหาะจะร่วงตกทุกลำ แม้แต่พวกสัตว์ปีกในแถบนั้นก็ไม่อาจบินขึ้นไปได้ ปีกของมันจะถูกน้ำแข็งจับเกาะจนร่วงตกลงมาตาย เทือกเขาน้ำแข็งนั่นคือปราการธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ ทุกท่าน ไม่มีทางที่จะบินข้ามหรือไต่เขาข้ามไปได้ ทางเดียวที่จะผ่านมันได้ คือผ่านทางช่องเขาบริเวณเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลด” เขาชี้ไปที่ช่องเขาในแบบจำลอง “กองทัพทั้งหมดของเราจะต้องยกพลผ่านเข้าไปจากตรงนี้”

                “ตราบที่พวกดาร์คเนสดีวิลยังไม่สร้างอะไรมาปิดช่องเขา มันก็ไม่ใช่เรื่องยากนัก” กัปตันเท็มเปิลพูด

                “ข้าอยากทราบเกี่ยวกับพวกนักรบดาร์คเนสดีวิล” อโลบัสถามต่อ

                “พวกปีศาจไม่สวมขนสัตว์ ไม่สวมชุดหนา เห็นชัดว่าคุ้นเคยกับความหนาวเย็นเป็นอย่างดี แต่ก็ยังหุ้มด้วยเกราะเหล็กกันทั้งตัว เกราะอาจดูบางกว่าและเบากว่าเกราะของฝ่ายเรามาก แต่อย่าให้มันตบตาท่านเชียว มันแข็งแกร่งกว่าเกราะหนาๆ ของฝ่ายเราเสียอีก ข้าทราบได้จากตอนที่ใช้ดาบฆ่าพวกมัน” กัปตันเท็มเปิลสาธยาย “เมื่อแบกน้ำหนักน้อยลงและมีความคล่องตัวมากขึ้น พวกมันจึงพกพาอาวุธได้หลายชนิด แต่ละคนจะมีหอกสามง่าม มีดาบคู่ มีโล่ขนาดกลาง และมีหน้าไม้กลไกที่มีความรุนแรงเทียบเท่าปืนยาวของเรา หัวลูกศรก็เคลือบด้วยพิษ”  

                “การพกอาวุธหลายชนิดไม่ได้หมายความว่าจะเก่ง” กัปตันฟิลโก้พูด

                “ก็ถูก” กัปตันเท็มเปิลเห็นด้วย “แต่ก็ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้ได้หลากหลาย”

                “มีนักรบประเภทอื่นอีกไหม ที่ท่านเห็นนอกจากนี้” อโลบัสถามอีก

                “มีเฉพาะแค่ประเภทที่ข้าเล่าให้ฟัง ที่พวกมันนำมาต่อสู้กับข้า” กัปตันเท็มเปิลตอบ “แต่ต้องไม่ลืมว่าพวกดาร์คเนสดีวิลก็มีพาหนะ เป็นม้าปีศาจที่ไร้ชีวิตจิตใจ จึงไม่มีอะไรทำให้พวกมันตื่นกลัวได้ จากที่พวกดาร์คเนสดีวิลให้ความสำคัญกับการจับม้าของเราในศึกครั้งที่แล้ว ข้าเดาว่าม้าปีศาจพวกนี้น่าจะถูกแปรสภาพมาจากม้าธรรมดานี่ล่ะ พวกมันสามารถพ่นไฟได้ ไฟสีเขียวเสียด้วย”

                “แบบเดียวกับไฟของพวกเอเลนเซฟเวอรี่หรือ” อโลบัสถามให้แน่ใจ

                “ใช่ แบบเดียวกับที่ท่านเคยเห็นที่ท่าเรือน้ำลึกซาโมโรว์”

                “ทำไมไฟชนิดนี้ถึงเป็นสีเขียวด้วย” กัปตันฟิลโกสงสัย

                “เพลิงกรด” อโลบัสอธิบาย “ในตัวของพวกเอเลนเซฟเวอรี่จะมีกรดอยู่ เป็นกรดชนิดพิเศษที่ไม่ได้เป็นของเหลว แต่เป็นสสารประเภทก๊าซที่มีความเข้มข้นสูง มันมีคุณสมบัติเป็นตัวนำไฟและกัดกร่อนสิ่งที่มันสัมผัสไปพร้อมกัน ส่งผลให้เปลวไฟชนิดนี้เผาไหม้เร็วกว่าเปลวไฟธรรมดา และดับได้ยากกว่า พวกดาร์คเนสดีวิลคงนำไฟกรดชนิดนี้ไปประยุกต์ใช้กับม้าปีศาจ อาจรวมไปถึงสิ่งอื่นๆ อีก”

                “ดูเหมือนว่าท่านจะรู้เรื่องไฟที่ว่านี่ มากกว่าแอนโทนิดัส แร็กซ์ริงเสียอีก” กัปตันฟิลโก้เอียงคอ

                “ข้าทำวิจัยไฟชนิดนี้ หลังจากที่พวกเอเลนเซฟเวอรี่ถล่มท่าเรือน้ำลึกซาโมโรว์” อโลบัสตอบ

                “ท่านทำวิจัยคนเดียว แต่ได้ข้อมูลมากกว่าคณะวิจัยของแร็กซ์ริง” กัปตันฟิลโก้ค่อนข้างทึ่ง

                “เขาฉลาดกว่าที่เราเห็น” กัปตันเท็มเปิลกระซิบบอกกัปตันฟิลโก้ “กลยุทธ์สงคราม วิทยาศาสตร์ ตรรกวิทยา เขาเป็นเลิศทุกอย่าง และก็ไม่เคยแสดงออกให้ใครเห็นสักอย่าง แต่ข้าได้ใกล้ชิดกับเขาจึงพอได้เห็นบ้าง บางคนคิดว่าสมองของเขา ไม่ใช่สมองมนุษย์”

                “ศึกครั้งนี้เรายกไปเป็นกองทัพใหญ่ พวกดาร์คเนสดีวิลคงไม่เสี่ยงยกทัพออกมาปะทะกับเราในที่โล่ง พวกนั้นจะใช้กลยุทธ์ที่ตนถนัดกว่า นั่นก็คือตั้งรับอยู่หลังกำแพง ป้อม หรืออะไรก็ตามที่พวกนั้นมี” อโลบัสวิเคราะห์ “การทำศึกในลักษณะนั้นไม่เหมาะที่จะใช้กองทหารม้า เชื่อว่าเราคงไม่ต้องกังวลกับกองทหารม้าของฝ่ายตรงข้ามมากนัก”

                “กองกำลังสำคัญของการปิดล้อมตีเมืองคือทหารราบ” กัปตันเท็มเปิลพูด “ข้าจัดให้ทหารในกองทัพส่วนใหญ่ใช้ดาบ โล่ หอกสั้น หรือไม่ก็ปืนยาว มันเป็นอาวุธที่เหมาะแก่การบุกโจมตีเมืองที่มีสิ่งก่อสร้าง หอกยาวและทวนดูจะไม่เหมาะสมนักในสถานการณ์เช่นนี้ มันเหมาะกับการต่อสู่ในที่โล่งกว้างมากกว่า”

                “เราจะจัดการกับพวกเอเลนเซฟเวอรี่ให้พวกท่านเอง” กัปตันฟิลโก้พูด “หรือกองกำลังอากาศใดๆ ก็ตามที่พวกดาร์คเนสดีวิลส่งออกมา”

                “อุปกรณ์ตีเมืองของเรา” อโลบัสตรวจสอบอีกเรื่อง “ปืนใหญ่ ดินปืน กระสุน”

                “เรามีจำนวนมากมาย เพียงพอที่จะถล่มฟรอสท์ไอรอนแคลดทั้งเมืองให้ราบ” กัปตันเท็มเปิลตอบ “แต่อาจติดปัญหาเล็กน้อย หากพวกดาร์คเนสดีวิลใช้พายุฝนประหลาดนั่นเล่นงานเราอีก ปืนใหญ่อาจยิงไม่ออกบ้าง เพราะดินปืนเป็นน้ำแข็ง”

                “ข้าได้สั่งฝ่ายผลิตอุปกรณ์สงครามติดหลังคาให้ปืนใหญ่แต่ละกระบอกแล้ว” อโลบัสยื่นกระดาษอีกแผ่นให้กัปตันเท็มเปิล เป็นแผนผังปืนใหญ่ที่มีหลังคา “น้ำฝนจะเข้าไปในตัวปืนได้ยากขึ้น”

                “ปืนใหญ่ทุกกระบอกบนเรือเหาะของหน่วยข้าก็เช่นกัน” กัปตันฟิลโก้พูด “คราวนี้พวกปีศาจจะทำปืนใหญ่เรากระสุนด้านเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว”

                “ข้าขอเสนอกลยุทธ์การโจมตี” อโลบัสจัดวางปืนใหญ่จำลองบนแผนผัง “เริ่มแรก เราจะเปิดฉากโจมตีฝ่ายตรงข้าม ด้วยการยิงปืนใหญ่ใส่ หากอีกฝ่ายมีเครื่องกลสงครามก็คงจะยิงตอบโต้กลับมาบ้าง เมื่อคิดว่าสามารถสร้างความเสียหายให้แก่แนวป้องกันของอีกฝ่ายได้มากพอแล้ว เราก็จะส่งทหารราบพร้อมบันไดยาวเข้าไปประชิดกำแพงหรือป้อมของศัตรู กองเรือเหาะของกัปตันฟิลโก้จะบุกเข้าไปพร้อมกันด้วย” เขาวางสิ่งจำลองที่พูดลงไปในแบบจำลอง “พวกพลธนูดาร์คเนสดีวิลจะเกิดความสับสน เพราะต้องตั้งรับทั้งทางบกและทางอากาศพร้อมกัน ในช่วงเวลานั้นพวกดาร์คเนสดีวิลอาจส่งพวกเอเลนเซฟเวอรี่มาแก้หมาก แต่ในเมื่อกัปตันฟิลโก้ยืนยันว่ากองเรือเหาะสามารถรับมือกับสัตว์ร้ายพวกนั้นและพายุฝนได้ ก็ขอให้เป็นหน้าที่ของกองทัพอากาศ กองทัพบกอาจยิงปืนยาวสนับสนุนได้บ้าง แต่คงทำได้ลำบากหากศัตรูบินสูงเกินไป”

                “อย่างที่บอกท่านไป” กัปตันฟิลโก้เสียงแข็ง “ทัพอากาศของข้าเก่งกาจ พวกท่านไม่ต้องห่วงอะไรบนฟ้าทั้งนั้น สนใจแค่ภาคพื้นดินก็พอ”

                “เราจะกระแทกประตูกำแพงของอีกฝ่ายด้วยเสากระทุ้งมุงหลังคา มันจะช่วยป้องกันลูกธนูหรือก้อนหินจากด้านบน” อโลบัสขยับสิ่งต่างๆ ในแบบจำลองตามตำแหน่งที่พูด “เมื่อประตูพัง ฝ่ายตรงข้ามอาจใช้กองทหารม้าบุกสวนออกมา ฉะนั้นเราจะให้พลหอกยาวตั้งแถวอยู่ที่หน้าช่องประตูเสียก่อน ฝ่ายตรงข้ามจะไม่กล้าใช้กองทหารม้าเข้าปะทะ เพราะจะแพ้ทางหอกยาว พวกนั้นจะใช้กองทหารราบบุกเข้าหาเราแทน ซึ่งในจังหวะนั้น เราจะให้ทหารม้าของเราบุกสวนเข้าไปบดขยี้กองทหารราบของอีกฝ่าย เปิดทางให้กองทัพหน่วยอื่นๆ ของเราบุกผ่านช่องประตูเข้าไปได้ นี่คือกลยุทธ์คร่าวๆ ที่ข้าเสนอ แต่สำหรับเรื่องการออกคำสั่ง ควบคุมการเคลื่อนทัพทุกอย่างในสนามรบ เป็นอำนาจของกัปตันเท็มเปิล ตามประสงค์ของพระราชา”

                “ท่านเสนอกลยุทธ์ได้ดี” กัปตันเท็มเปิลชม “ข้ายินดีจะนำไปใช้ในศึกครั้งนี้ และจะปรับเปลี่ยนมันตามความเหมาะสมหากสถานการณ์ในศึกเปลี่ยนแปลง อย่างที่ทุกคนทราบดี ในสนามรบล้วนมีแต่ความไม่แน่นอน บางสิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นได้”

                “เราจะเคลื่อนทัพไปถล่มฟรอสท์ไอรอนแคลดเมื่อไหร่” กัปตันฟิลโก้ถามอย่างกระหายสงคราม

                “ทันทีที่พร้อม” กัปตันเท็มเปิลประเมิน “คาดว่าไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ก็จะเริ่มเคลื่อนพล”

                “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว” อโลบัสลุกขึ้นยืน “ข้าขอตัว ท่านทั้งสอง มีอะไรฉุกเฉินสามารถเรียกใช้ข้าได้”

                แล้วเขาก็เดินออกจากห้องประชุมไป กัปตันฟิลโก้ขมวดคิ้วมองตาม

                “เขาไม่ค่อยเต็มใจกับศึกครั้งนี้นัก” กัปตันเท็มเปิลอธิบาย

                “บอกตรงๆ ว่าข้าไม่เคยดูออกว่าเขารู้สึกยังไง” กัปตันฟิลโก้พูด “เขาไม่เคยแสดงความรู้สึกเลย”

                “แต่ไม่ว่าจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกอะไรเลย เขาก็ทำหน้าที่ไม่เคยบกพร่อง” กัปตันเท็มเปิลพูดให้สบายใจ “ฉะนั้นเราสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญคือศึกสงคราม ไม่ใช่ความรู้สึกอันคาดเดาได้ยากของเขา”  

 

************

 

                ในขณะที่เหล่าผู้บัญชาการกองทัพมนุษย์กำลังหารือเรื่องสงครามกันอยู่นั้น ที่ตลาดในเมืองหลวงโมราโซมอส สถานที่อันมีมนุษย์พลุกพล่านมากมาย เด็กสาวคนหนึ่งกำลังกล่าวปราศรัยอยู่บนแท่นสูง ท่ามกลางเสียงโห่ขับไล่ของบรรดาชาวเมือง ไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา ผู้หญิง ผู้ชาย มนุษย์คนใดก็ตามที่อยู่ในบริเวณนั้น ต่างส่งเสียงแสดงความไม่พอใจ แต่เด็กสาวที่น่าสงสารก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ยังคงพยายามกล่าวปราศรัยต่อไปด้วยความอดทน

                “เผ่าพันธุ์ของเราขยายพื้นที่สงครามไม่รู้จบ เรารุกรานพวกดาร์คเนสดีวิล เหยียบย่ำพวกเขามานานแสนนาน มันยังไม่พออีกหรือ” ซอร์โรร่า ไอวิวรี่ประกาศแก่ทุกคน “เราไม่มีความละอายใจบ้างหรืออย่างไร เราจะจองล้างจองผลาญพวกปีศาจไปถึงไหน ข้าไม่เข้าใจ ทำไมพวกท่านถึงสนับสนุนการยกทัพไปโจมตีโฟรเซ็นทิเนลนัก ทำไมพวกท่านถึงต้องการให้พวกดาร์คเนสดีวิลจำนวนมากถูกบดขยี้”

                “หุบปากน่าสาวน้อย เราไม่อยากฟัง”

                “พวกปีศาจสมควรถูกบดขยี้ให้สิ้นซาก”

                “พวกท่านอ้างว่าตนเป็นมนุษย์ แต่มนุษยธรรมของพวกท่านอยู่ที่ไหน พวกท่านไม่ลำบากใจที่จะทำสิ่งร้ายๆ ต่อเผ่าพันธุ์อื่น แต่กลับรับไม่ได้หากเผ่าพันธุ์อื่นมาทำสิ่งร้ายๆ ต่อพวกท่าน” ซอร์โรร่าพูดต่อ “ข้ารู้ว่าความเห็นแก่ตัวนี้แพร่ระบาดในหมู่นักปกครองและนักการทหารของโมราโซมอส แต่ไม่คิดว่า มันจะระบาดในหมู่ประชาชนพลเมืองโมราโซมอสด้วย”

                ชาวเมืองส่งเสียงโห่อย่างไม่พอใจ

                “ได้โปรด ประชาชนมนุษย์ อย่าสนับสนุนให้พระราชาของพวกท่านขยายพื้นที่สงครามมากกว่านี้” ซอร์โรร่าวิงวอน “พวกดาร์คเนสดีวิลอาจดูน่ากลัว แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราควรจะไปเข่นฆ่า พวกเขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึก มีชีวิตจิตใจ ไม่ต่างจากพวกเรา แล้วก็ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนใดๆ ให้เราเลย”

                “พวกมันเพิ่งจัดการกับกองทัพมนุษย์หมดเกลี้ยงในศึกที่แล้วนะ แล้วก่อนหน้านั้นยังโจมตีเรือคลังแสงที่ท่าเรือซาโมโรว์อีก”

                “มันผิดหรือ ที่พวกเขาจะปกป้องตนเอง จากการรุกรานของเรา พวกเขาแค่เหลืออดเหลือทนกับความเหี้ยมโหดและเห็นแก่ตัวที่ไร้ขอบเขตของเรา” ซอร์โรร่าพูด “ยามที่เราจับอาวุธเข้าไปรุกรานพวกเขา เราเรียกตนเองว่าวีรบุรุษ แต่ยามที่พวกนั้นจับอาวุธตอบโต้เราบ้าง เรากลับเรียกพวกเขาว่าผู้ร้าย

                “ก็เพราะพวกมันคือผู้ร้ายน่ะสิ ปีศาจเป็นเผ่าพันธุ์ที่ชั่วร้าย”

                “ผู้ร้ายที่พวกท่านสุขสบายจากความลำบากของพวกเขา ผู้ร้ายที่ถูกพวกท่านกวาดต้อนทรัพยากรมาเป็นของตน ผู้ร้ายที่ถูกนักบวชของพวกท่านทารุณกรรม” ซอร์โรร่าสวนกลับ “ผู้ร้ายที่เป็นโล่กำบังพวกเฟลมฟอร์สให้พวกท่านมานานแสนนาน อาณาจักรของพวกท่านมันรุ่งเรืองมาได้ขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะผู้ร้ายเหล่านั้นหรอกหรือ”  

                ประชาชนโมราโซมอสโวยวายกันอีกยกใหญ่

                “หุบปากได้แล้วสาวน้อย” ชายหน้าเถื่อนคนหนึ่งตะโกน “ก่อนที่ข้าจะเอาอะไรสักอย่างที่เป็นของข้าอุดปากเจ้า”

                “แล้วที่มีคนบอกว่าพวกปีศาจชอบกินเลือดสดๆ ปีศาจจับคนไปบูชายันต์ ปีศาจคอยหลอกหลอนให้คนที่ผ่านไปผ่านมากลัวล่ะ” หญิงอ้วนแก่ๆ คนหนึ่งชูกำปั้นขึ้น

                “ไม่อยากเชื่อเลยว่า พวกท่านจะเชื่อข่าวลือไร้สาระนั่น” ซอร์โรร่าว่าให้ “มันเป็นข้ออ้างที่พวกนักบวชแห่งโอมิลรอนใช้เพื่อทำทารุณพวกปีศาจน่ะสิ พวกนักบวชของเราต่างหากที่โหดเหี้ยมอย่างแท้จริง นำปีศาจหญิงมาเผา นำทารกปีศาจไปโยนลงแม่น้ำ พวกเขาสมควรถูกประณามมากกว่าอย่างอื่น”

                “ดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์” ชายแก่คนหนึ่งโวยลั่น “ดูหมิ่นความศรัทธาของประชาชน นี่มันศาสนานะ”

                “คนเรามีสิทธิ์ที่จะนับถือศาสนา และมีสิทธิ์ที่จะไม่นับถือ” ซอร์โรร่าประกาศก้อง “พวกท่านไม่มีสิทธิ์จะยัดเยียดศาสนาให้ใคร เหมือนที่ใช้มันเบียดเบียนพวกดาร์คเนสดีวิล”

                “ดาร์คเนสดีวิลสมควรได้รับการจัดระเบียบ พวกมันป่าเถื่อน ไร้วัฒนธรรม ชั้นต่ำ”

                “แต่พวกนั้นก็อยู่ในพื้นที่ของตนเฉยๆ นะ เผ่าพันธุ์ของเราต่างหากที่ก้าวเข้าไปรุกรานจัดระเบียบ ทั้งที่พวกเขาไม่ต้องการ” ซอร์โรร่าเน้นเสียง “คิดดูสิว่าใครป่าเถื่อน ไร้วัฒนธรรม และชั้นต่ำมากกว่ากัน”   

                เป็นอีกครั้งที่ชาวเมืองโมราโซมอสโห่ร้องโวยวายด้วยความไม่พอใจ คราวนี้โวยวายหนักกว่าเก่า

                แล้วกะหล่ำปลีลูกหนึ่งก็พุ่งมาหาซอร์โรร่า ใบกะหล่ำแตกกระจายเต็มชุดกระโปรงของเธอ จากนั้นกะหล่ำปลีอีกหลายลูก รวมทั้งมันฝรั่ง มะเขือเทศ และหัวหอม ก็ถูกโยนเข้าใส่เธอตามๆ กันมา เด็กสาวน้ำตาคลอด้วยความเจ็บปวดและความโกรธ แล้วก็มีกระแสลมรุนแรงพัดออกจากร่างเธอทุกทิศทุกทาง มันรุนแรงจนแทบจะพัดบรรดาผักผลไม้ที่พวกชาวเมืองขว้างใส่เธอนั้นลอยกลับไปหาผู้ขว้างทีเดียว หลังคาแผงลอยบางร้านปลิวกระเด็น เศษขยะและเศษฝุ่นปลิวกระจายไปหมด พวกชาวเมืองต่างแตกหนีกระจัดกระจายกันไปคนละทาง ปากตะโกนว่า “แย่แล้ว เธอมีเลือดพิเศษ!”  

                “ซอร์โรร่า” บิลลิส ริฟเฟอร์ร้องลั่น รีบวิ่งไปหาเธอ

                ลมหยุดพัดออกจากร่างของซอร์โรร่า เด็กสาวหายใจหอบ มือกำแน่น หน้าเป็นสีชมพูด้วยโทสะที่ถูกสะกดไว้ ริฟเฟอร์วิ่งขึ้นไปบนแท่นปราศรัย ประคองเธอไว้ในอ้อมแขน

                “เด็กน้อย เจ้าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เขาช่วยหยิบเศษผักผลไม้ออกจากเสื้อผ้าและเรือนผมของเธอ แล้วหันไปตะโกนสุดเสียงว่า “ใครก็ตามที่ขว้างของใส่เธอ ข้าสาบานว่าพวกเจ้าจะไม่ได้ทำอีกครั้งแน่”

                แต่คงไม่มีใครได้ยินที่เขาพูด เพราะทุกคนเผ่นหนีกันไปหมดแล้ว กลายเป็นตลาดร้างผู้คน

                “อาจารย์เพิ่งเสร็จธุระในพระราชวัง มีคนบอกว่าเจ้าอยู่ที่นี่ อาจารย์จึงรีบมาหา” ริฟเฟอร์หันกลับมาหยิบเศษผักผลไม้ออกให้เธอต่อ “ไม่เป็นไรใช่ไหมลูกสาว”

                “ข้าคิดว่าจะมีแต่พวกชนชั้นปกครองของเผ่าพันธุ์เราที่งี่เง่าไร้ยางอาย แท้จริงแล้ว พวกประชาชนธรรมดาก็งี่เง่าและไร้ยางอายไม่แพ้กันเลยค่ะ อาจารย์” ซอร์โรร่าพูดเสียงสั่นเครือ “ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ระดับไหนก็ล้วนแต่เห็นแก่ตัว ไร้จิตสำนึก ชอบข่มเหงคนอื่น”

                “เจ้าก็ไม่ควรมาทำอะไรแบบนี้นะศิษย์รัก ดูสิว่าผลของมันเป็นยังไง” ริฟเฟอร์จูงแขนเธอลงจากเวที

                “แล้วข้าจะมีวิธีไหนที่ทำให้มนุษย์เราทำเลวกับพวกดาร์คเนสดีวิลน้อยลงได้ล่ะคะ” ซอร์โรร่าส่ายหน้า “เสนอกับพระราชาก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าร่วมประชุมอีก มาเตือนสติประชาชนให้มีจิตสำนึก ก็ถูกขว้างปา ทำไมเผ่าพันธุ์มนุษย์ถึงได้เฮงซวยขนาดนี้”

                “แม่หนูน้อย” ริฟเฟอร์ลูบศีรษะเธอ “สิ่งนี้มันใหญ่เกินตัวเจ้า เจ้าทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้หรอก”

                “ข้าก็แค่ทนให้พวกดาร์คเนสดีวิลถูกระรานจากเผ่าพันธุ์ของเราไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้นอย่างนั้นหรือคะ” ซอร์โรร่ามองหน้าอีกฝ่าย น้ำตาเริ่มเอ่อมากขึ้น “ยกทัพไปครั้งแรกยังไม่สาแก่ใจ นี่คงจะยกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะบดขยี้พวกปีศาจได้ จะจองล้างจองผลาญพวกเขาไปถึงไหน”

                “การพ่ายแพ้ครั้งที่แล้ว ส่งผลให้ศักดิ์ศรีและความเชื่อมั่นในตัวพระราชา นักปกครอง รวมทั้งเหล่าผู้บัญชาการทหารนั้นถูกลดทอนลง แต่ละคนจึงต้องการกู้ความเชื่อมั่นกู้ศักดิ์ศรีของตนคืนมา” ริฟเฟอร์อธิบาย “มันเป็นเรื่องของการเมือง เจ้าอาจเข้าใจได้ยาก”

                “สิ่งที่ข้าเข้าใจแจ่มแจ้ง คือมนุษย์เราไม่รู้จักคำว่าพอ โดยเฉพาะเรื่องการเบียดเบียนผู้อื่น” ซอร์โรร่าพูดเสียงดัง “พระราชาช่างโหดเหี้ยม ไร้ความละอายใจ”

                “เห็นแก่สวรรค์ ซอร์โรร่า นี่มันเมืองหลวงนะ แล้วพระราชวังของพระราชาก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่” ริฟเฟอร์แทบจะเอามืออุดปากเธอ

                “ทุกคนสนับสนุนการยกทัพไปโจมตีพวกดาร์คเนสดีวิล ทุกคนสนับสนุนการกระทำอันไร้ยางอายนั่น” ซอร์โรร่าพูดอย่างขุ่นเคืองใจ “แม้แต่อาจารย์ของข้าก็ยังส่งกองกำลังเข้าร่วมสงครามครั้งนี้”

                “อาจารย์เป็นเจ้าเมืองซาโมโรว์ อาจารย์ต้องทำหน้าที่ของตน” ริฟเฟอร์ชี้แจง ลดเสียงเบามากในประโยคที่สอง “จริงอยู่ พระราชาอาจโหดเหี้ยม ขี้โมโห เห็นแก่ตัว แต่พระองค์ก็ให้สิ่งดีๆ กับอาจารย์มากมาย ทั้งงานดีๆ ลาภยศ เงินทอง ความไว้วางใจ ชื่อเสียง อำนาจในการปกครอง เป็นพระองค์ที่ทำให้อาจารย์ได้ดีมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่พวกดาร์คเนสดีวิล ในเมื่อพระองค์มอบหมายหน้าที่ให้อาจารย์ อาจารย์ก็ต้องทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม”

                “อาจารย์เป็นคนดี เป็นมนุษย์ที่ข้าเคารพนับถือในบรรดาไม่กี่คน” ซอร์โรร่ามองหน้าอีกฝ่าย “ข้ารู้สึกเศร้าใจที่คนดีๆ อย่างอาจารย์ ต้องถูกอำนาจสังคมมนุษย์อันย่ำแย่ มาบีบให้กลายเป็นคนย่ำแย่ตาม”

                “เป็นอีกครั้งที่ข้าพบญาติของข้า กับการกระทำอันแสนจะไม่เข้าท่าของเธอ เป็นกะหล่ำปลีลูกที่เท่าไหร่ในเดือนนี้แล้วล่ะไอวิวรี่ มิน่า เจ้าถึงไม่ชอบกินกะหล่ำปลีเลย”

                ชายหนุ่มที่สูงวัยกว่าซอร์โรร่าราวสามปีเดินเชิดหน้าเข้ามา พร้อมกับเพื่อนรุ่นเดียวกันสองสามคน เขาไว้ผมสีดำตัดสั้น เปลือกตาหนา จมูกโต สวมต่างหูข้างหนึ่ง ใบหน้าเหมือนจะยิ้มเยาะตลอดเวลา เสื้อผ้าราคาแพงที่เขากับเพื่อนๆ สวมนั้น บอกให้รู้ว่าเป็นชนชั้นสูงที่มีฐานะร่ำรวย เขาเดินเข้ามาประจันหน้ากับซอร์โรร่า ความสูงพอๆ กับเธอ จัดว่าเป็นมนุษย์ผู้ชายที่ตัวไม่สูง

                “อะไรทำให้ตลาดแห่งนี้มันร้างอย่างกับเพิ่งเกิดจลาจล” เขาหัวเราะ ซอร์โรร่ามองเขาอย่างเกลียดชัง รู้เลยว่าไม่ถูกกันแต่ไหนแต่ไร “ท่าทางนางฟ้าปีศาจจะพิโรธ”

                “เจ้ามาทำอะไรที่นี่ เอ็ดด์ เฟรเทล” เด็กสาวกระแทกเสียงถาม

                “หมายถึงที่เมืองหลวงแห่งนี้หรือ” เอ็ดด์ เฟรเทลกางแขนวางท่า “ข้าก็มาร่วมประชุมกับพระราชาและขุนนางคนอื่นๆ เรื่องสงครามไง แม็ค แรคแทนทิน รัชทายาทอันดับสอง ผู้ซึ่งเป็นลุงของข้านั้น ได้ส่งกองกำลังเข้าร่วมในศึกกลางทะเลกับพวกโฮเซ่ รวมทั้งศึกที่โฟรเซ็นทิเนลกับพวกดาร์คเนสดีวิลที่รักของเจ้าด้วย ข้าในฐานะทายาทคนเดียวของเขา ย่อมตามมาช่วยงาน โดยเฉพาะงานสำคัญอย่างการเข้าร่วมประชุมกับพระราชา ญาติของพวกเรา” เขามองเศษผักที่ยังติดตามชุดของเธอ “แน่ล่ะ ไม่แปลกที่เจ้าไม่รู้เรื่องนี้ ในเมื่อเจ้าถูกพระองค์สั่งห้ามไม่ให้เข้าไปเหยียบท้องพระโรงแห่งราชวังถึงสองปี แต่อาจารย์ของเจ้าก็น่าจะบอกให้เจ้ารู้บ้างนะ เขาก็เพิ่งเสร็จจากการเข้าร่วมประชุมมาเช่นกัน”

                บิลิส ริฟเฟอร์ยืนนิ่ง มือข้างที่มีรอยผ่าตัดโอบบ่าซอร์โรร่า เขาเองก็ไม่เคยชอบเอ็ดด์ เฟรเทลเลย เป็นหนุ่มที่ค่อนข้างสามหาว ไม่ค่อยเกรงใจใคร อีกทั้งตัวเขาก็ยังไม่ลงรอยกับแม็ค แรคแทนทินลุงสุดที่รักของหนุ่มคนนี้ แต่แรคแทนทินเป็นคนที่มีอำนาจมาก และรักหลานคนนี้ดุจบุตรชายแท้ๆ คงไม่เป็นการดีหากจะทำตัวเป็นศัตรูกับเจ้าหนุ่มเฟรเทลอย่างเปิดเผย แต่สำหรับซอร์โรร่านั้น มันไม่มีอะไรจะมาปิดบังได้ เธอกับเฟรเทลไม่ถูกกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว เขาเป็นคนที่ตั้งฉายาให้เธอว่า นางฟ้าปีศาจ

                “พยายามเข้าไปเถอะซอร์โรร่า ไอวิวรี่ ต่อสู้เพื่อพวกปีศาจต่อไป มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรอก มีแต่จะทำให้ตัวเจ้าเดือดร้อนเสียเอง” เฟรเทลเยาะเย้ย “ไม่ว่ายังไง มนุษย์เราก็จะไม่ยอมหยุด จนกว่าพวกเผ่าพันธุ์ผ้าขี้ริ้วสีดำนั่นจะถูกปราบเรียบ พวกมันทำตัวของพวกมันเอง อยู่ดีๆ ก็ลุกขึ้นมาต่อต้าน คราวนี้พวกมันจะได้สงครามอย่างที่ควรจะได้ การที่พวกมันชนะศึกครั้งแรกนั้นไม่มีความหมายอะไรเลย กองทัพที่สองที่ยกไปนี้ คือกองทัพที่แท้จริงของมนุษย์ กองทัพที่พวกดาร์คเนสดีวิลจะมาทำอวดเก่งใส่อีกไม่ได้”

                “เจ้ามันโหดร้าย เฟรเทล” ซอร์โรร่าพูดอย่างเกลียดชัง “เจ้ากับมนุษย์คนอื่นๆ ที่สนับสนุนเรื่องนี้”

                “มนุษย์ทั้งอาณาจักรสนับสนุนเรื่องนี้ ทั้งสามัญชน นักบวช ขุนนาง พระราชา” เฟรเทลรุกต่ออย่างสะใจ “แม้แต่อาจารย์สุดที่รักของเจ้า” เขาพยักเพยิดไปทางริฟเฟอร์ “มีเพียงเจ้าเท่านั้นแหละที่ยืนหยัดเคียงข้างพวกดาร์คเนสดีวิล เจ้าคนเดียว ตัวคนเดียว โดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่คิดว่าตัวเองประหลาดบ้างหรือ ไม่แปลกใจเลยหรือว่า ทำไมเจ้าถึงหาเพื่อนได้ยากนัก”

                “ซอร์โรร่า ไปกันเถอะ” ริฟเฟอร์ทำท่าจะพาศิษย์สาวเดินไปที่อื่น เห็นท่าจะไม่ดีแล้ว

                “หากวัดตามอายุแล้ว เจ้าก็สามสิบสอง แก่มากแล้วนะนั่น คนอายุเท่าเจ้าเขามีครอบมีครัวมีลูกมีสามีกันหมดแล้ว” เฟรเทลไม่หยุด “แต่เจ้ายังคงเป็นเด็กสาวช่างฝันอยู่ เป็นเด็กน้อยผู้มีจินตนาการ ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่ค่อยห่วงเรื่องหาสามีนักหรอก ไม่เคยได้ยินว่าเจ้ายุ่งกับผู้ชายคนไหนเลย แต่เคยได้ยินว่าเจ้ายุ่งกับผู้หญิงนะ” เขากับเพื่อนๆ หัวเราะชอบใจ “เจ้านี่มีรสนิยมแปลกๆ อยู่เสมอ หวังว่าคงไม่เลยเถิดถึงขั้นใฝ่ต่ำไปพิศวาสพวกปีศาจด้วยนะ ใครจะไปรู้ เจ้าอาจชอบผู้ชายตัวสูงยาว ผิวซีดๆ ผมยาวๆ ตาสีแปลกๆ มีเขี้ยวในปาก แต่เจ้าอาจเปลี่ยนใจก็ได้ หากรู้ว่าผู้ชายที่ตัวสูงยาว มักจะมีบางสิ่งที่ไม่ค่อยยาว” เฟรเทลลดเสียงลงอย่างขบขัน “การสมสู่กับเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำอย่างพวกปีศาจนั้นไม่ต่างจากไปมีอะไรกับสุนัขเลย ข้าว่าเจ้าไปหาผู้หญิงสวยๆ มาทำหน้าที่นั้นเหมือนเดิมดีกว่า ข้าหาคุณภาพดีๆ ให้ได้นะ หากเจ้าเบื่อที่จะมีอะไรกับแม่สาวซินซิสเทอร์ (Sin Sister) คนนั้นแล้ว”

                ซอร์โรร่าพุ่งเข้าไปหาเฟรเทล เงื้อมือจะตบ ริฟเฟอร์รีบคว้าเอวเธอไว้ได้ทัน เฟรเทลกับเพื่อนๆ หัวเราะขบขันกับท่าทีของอีกฝ่าย เพื่อนๆ ของเฟรเทลพูดพร้อมกันว่า “นางฟ้าปีศาจพิโรธแล้ว”

                “ซอร์โรร่าไปกันเถอะ” ริฟเฟอร์ดึงตัวเธอไปอีกทาง รู้สึกอึดอัดที่ไม่สามารถทำอะไรเฟรเทลได้ หนุ่มสามหาวคนนี้มีครอบครัวที่มีอำนาจมากเกินไป

                “หัดทำตัวให้เหมือนมนุษย์มนาบ้างนะไอวิวรี่ รักษาหน้าวงศ์ตระกูลหน่อย” เฟรเทลเยาะเย้ยไล่หลัง “อย่างน้อยเจ้าก็มีเชื้อพระวงศ์ อย่าทำให้สถาบันกษัตริย์ขายหน้าไปมากกว่านี้”

                “ถ้ามนุษย์ทุกคนเป็นแบบเจ้า ข้าจะไม่ขอเป็นมนุษย์” ซอร์โรร่ากรีดร้อง

                “ซอร์โรร่า ไปกันเถอะ ออกไปจากที่นี่กัน” ริฟเฟอร์ออกแรงดึงตัวเธอมากขึ้น เสียงหัวเราะของเฟรเทลและเพื่อนๆ ของเขายังดังให้ได้ยินอยู่ไกลๆ

                “มนุษย์มีเป็นล้านๆ คน” ซอร์โรร่ากัดฟันน้ำตาคลอ “ทำไมข้าถึงต้องเป็นญาติกับพวกงี่เง่าด้วย”

                “อย่าพูดอย่างนั้นสิ เจ้าสืบสายเลือดมาจากวงศ์กษัตริย์นะทูนหัว” ริฟเฟอร์ปลอบ “ย่าของเจ้าเป็นน้องสาวของพระราชา แล้วแม่ของเจ้าก็เป็นทายาทขุนนางชั้นสูง--”

                “แม่ของข้ามันผู้หญิงร่าน” ซอร์โรร่าหลุดออกมาอย่างอดรนทนไม่ไหว ริฟเฟอร์สะดุ้งสุดตัว “เธอนอนกันผู้ชายทุกคน รวมทั้งพ่อข้า แล้วเธอก็เบ่งข้าออกมาโยนให้พ่อ แล้วเธอก็หายไปอยู่กับชายอื่นต่อ ท่านแพทย์หลวงโกลด์แมนไม่ได้บอกท่านหรือว่าเธอตายยังไง ตายตั้งแต่อายุน้อยๆ ด้วยโรคติดต่อทางเพศ”

                “อย่างน้อยแพทย์หลวงโกลด์แมนก็ตรวจเลือดตรวจร่างกายเจ้าละเอียดแล้ว เจ้าเป็นลูกของอาร์รอสจริงๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นโรคใดๆ ด้วย” ริฟเฟอร์รีบพูด “ไอริซอาจไม่ใช่แม่ที่ดีนัก เจ้ามีสิทธิ์เกลียดเธอ แต่สำหรับอาจารย์ อาจารย์รู้สึกเป็นหนี้เธอเรื่องหนึ่ง เธอทำให้สาวน้อยที่น่ารักที่สุดได้เกิดมา และสาวน้อยคนนั้นก็มีความหมายกับอาจารย์มาก”

                เขาจูบหน้าผากเธอ ลูบศีรษะเธอเบาๆ เหมือนเธอเป็นลูกสาว

                “มีคนบอกว่าข้าดูคล้ายเธอมาก” ซอร์โรร่ากระซิบ

                “แม่ของเจ้าเป็นคนสวยมาก และเธอก็เหมือนกับเจ้าแค่เรื่องนั้น” ริฟเฟอร์ยืนยัน “นิสัยของเจ้า ความคิดความอ่านของเจ้า ทุกสิ่งที่เป็นตัวเจ้า ล้วนแตกต่างไปมาก เจ้าเป็นมนุษย์ที่พิเศษมากซอร์โรร่า”

                “แต่คนอื่นบอกว่าข้าเป็นมนุษย์ที่ประหลาด” ซอร์โรร่าถอนหายใจ “ข้าทำตัวไม่เหมือนมนุษย์คนไหน มีความคิดความเชื่อที่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่มีกัน”

                “มันไม่ผิดหรอกที่จะเป็นตัวของตัวเอง” ริฟเฟอร์กล่าว “ใช่ว่าคนส่วนใหญ่จะถูกเสมอไป สิ่งผิดสิ่งถูกไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนปริมาณ บางที คนส่วนใหญ่ก็เป็นพวกงี่เง่า”

                “แต่อาจารย์ก็ทำตัวเหมือนคนส่วนใหญ่นี่คะ” ซอร์โรร่าเอียงคอ

                “บางที อาจารย์ก็คงจะงี่เง่าเหมือนกัน” ริฟเฟอร์หัวเราะ

                “มันจะมีวันจบสิ้นไหมคะ” ซอร์โรร่าถามอย่างเหนื่อยใจ “ความบาดหมางระหว่างมนุษย์กับดาร์คเนสดีวิล”

                “เจ้าก็รู้จักมนุษย์ดี” ริฟเฟอร์ตอบ “ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ยอมก้มหัวให้ คงต้องรอให้ดาวดวงนี้แตกดับเสียก่อน จึงจะหยุดยั้งความบาดหมางได้”

 

*******************

 

          หลังจากเดินทางรอนแรมอยู่หลายวัน อ้อมอาณาจักรไอซ์เมสไปทางอาณาจักรกาโกคอล ปราศจากสิ่งอันตรายใดๆ มารบกวน กอร์รินก็กลับมาถึงอาณาจักรแบร์ร็อคถิ่นฐานของตนในตอนกลางคืน เมืองที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้คือเมืองเด็นร็อค หน้าด่านของอาณาจักรแบร์ร็อค มีซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์เพื่อนสนิทผู้ใจร้อนของเทอร์รินเป็นเจ้าเมือง กอร์รินเคยมาสู้ศึกในเมืองนี้หลายครั้งแล้ว คุ้นเคยกับสิ่งก่อสร้างและพื้นที่ในเมืองเป็นอย่างดี กำแพงเมืองทำด้วยหินภูเขาไฟขรุขระ ประตูเมืองทำด้วยหิน พื้นที่บางส่วนของเมืองติดทะเล แต่ก็ถูกโจมตีทางทะเลไม่บ่อยนัก เพราะเมืองอื่นๆ ที่ตีแตกง่ายกว่าก็อยู่ติดทะเลเช่นกัน เมืองหลวงแบร์ร็อคก็ด้วย ซึ่งคาดว่าคงจะเป็นเป้าหมายต่อไปของพวกมนุษย์

                “หยุดอยู่ตรงนั้นก่อน” ทหารยามโฮเซ่หน้าประตูเมืองยกมือห้าม เขากับเพื่อนอีกคนที่อยู่ข้างๆ ขยับขวานยาวมาไขว้กันเป็นกากบาท “เจ้ามีธุระอะไรในเมืองของเรา ในยามวิกาลเช่นนี้”

                กอร์รินบังคับม้าเข้าไปใกล้แสงคบเพลิงข้างประตู ให้อีกฝ่ายเห็นหน้า

                “กอร์ริน เฮนิเคม รองผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค” เขาแนะนำตัว “มาขอเข้าพบเจ้าเมืองท็อกซ์ฟ็อกซ์”

                ทหารยามทั้งสองยืนตรงและโค้งคำนับให้เขา

                “ขออภัยครับโฮซอร์ เราไม่ทราบว่าเป็นท่าน มันค่อนข้างมืด แล้วท่านก็ไม่ได้แต่งเครื่องแบบ”

                “พวกเจ้าทำหน้าที่ได้ดี คอยเฝ้ายามต่อไปล่ะ” กอร์รินขี่ม้าผ่านประตูเข้าไป

                ยังไม่ทันจะลงจากหลังม้าได้สองเท้า ซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์ก็เดินเร็วๆ เข้ามาหา คงอยู่แถวนั้นพอดี เขาสวมเสื้อคลุมที่ปักลายตะบองเพชรสีน้ำตาล ตะบองเพชรโฮเดเรีย สัญลักษณ์ของเผ่าพันธุ์โฮเซ่

                “กอร์ริน ดีใจจริงๆ ที่เจอท่าน เราเป็นห่วงแทบแย่ พี่ชายท่านเกือบส่งคนไปตามตัวแล้วรู้ไหม”

                “ท่านตัดผมใหม่หรือ” กอร์รินมองที่ศีรษะของท็อกซ์ฟ็อกซ์ มันค่อยข้างสั้นเกรียน เหลือเป็นแถบผมไว้สามแถบ “ดูแหวกแนวดี เข้ากับบุคลิกบ้าระห่ำของท่านดีนะ”

                “ขอบคุณ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์จับศีรษะตัวเอง “นี่กอร์ริน เกิดอะไรขึ้นกับท่านหรือ ท่านควรกลับมาตั้งนานแล้ว เดี๋ยวก่อนนะ ม้าตัวที่ท่านขี่มามันมีตราประทับของพวกมนุษย์นี่” เขามองที่สะโพกของม้า “อย่าบอกนะว่า ท่านฆ่าทหารม้ามนุษย์แล้วยึดม้ามาได้”

                “ใช่ ข้าฆ่าทหารม้ามนุษย์ไปหลายคน แต่ม้าตัวนี้พวกดาร์คเนสดีวิลให้ข้ามา” กอร์รินตอบ “สำหรับใช้เดินทางกลับมาที่นี่”

                “พวกดาร์คเนสดีวิล” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ทวนคำอย่างตกใจ “ตะบองเพชรพินาศ! กอร์ริน นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น ท่านไปเกี่ยวข้องกับพวกนั้นได้อย่างไร”

                “ข้าไม่สนใจว่าท่านจะมีอคติรุนแรงอะไรกับพวกปีศาจ และก็ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ท่านเป็นแบบนี้” กอร์รินพูดอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “แต่พวกนั้นดีต่อข้า มันสำคัญแค่ตรงนี้”

                “พวกนั้นไว้ใจไม่ได้” ท็อกส์ฟ็อกส์พูดอย่างจริงจัง

                “ข้าขอค้างคืนในเมืองนี้ ข้าเดินทางมาเหนื่อย” กอร์รินตัดบท “พรุ่งนี้ข้าธุระสำคัญต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงแบร์ร็อค ไปรายงานเทอร์รินถึงหนทางรอดจากการถูกกองเรือมนุษย์บุกโจมตีชายฝั่ง”

                “หนทางรอดอย่างนั้นหรือ”

                “ใช่ เป็นข่าวดีสำหรับพวกเรามาก เราสามารถหยุดยั้งไม่ให้กองเรือของพวกมนุษย์--”

                “เชื่อว่าเจ้าคงต้องการอธิบาย ว่าทำไมเจ้าถึงเพิ่งกลับมาตอนนี้”

                เทอร์รินในชุดเสื้อคลุมแบบเดียวกับท็อกซ์ฟ็อกซ์เดินหน้าเครียดเข้ามาหา ผมสีน้ำตาลหยาบเหมือนรากไม้ปล่อยยาว

                “ข้าไม่รู้ว่าท่านมาที่นี่” กอร์รินค่อนข้างประหลาดใจ

                “กำลังจะบอกว่า” ท็อกซ์ฟ็อกซ์กระซิบ “ตอนนี้เทอร์รินก็อยู่ในเมืองนี้เหมือนกัน”

                “ข้ามาเมืองนี้ เพราะคิดว่าจะออกไปตามหาเจ้าเร็วๆ นี้น่ะสิ” เทอร์รินพูดเชิงตำหนิ “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ควรจะกลับมาตั้งนานแล้ว นึกว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับเจ้าเสียอีก ข้าได้ยินข่าวจากคนอื่นว่าพวกมนุษย์แพ้ศึกครั้งนี้ แล้วเจ้าก็เงียบหายไป ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย”

                “ข้าไม่ได้ทำให้เป็นแบบนี้” กอร์รินเริ่มโมโห “หน่วยลาดตระเวนมนุษย์โจมตีข้า ข้าจึงต้องอาศัยอยู่กับพวกดาร์คเนสดีวิลสักพักหนึ่ง เพราะช่วงนั้นรอบนอกเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดมีหมอกลงหนา--”

                “ข้าบอกเจ้าให้อยู่ห่างจากการสนามรบ ให้เจ้าจับตามองอยู่ห่างๆ ไม่ใช่เข้าไปใกล้มากเสียจนหน่วยลาดตระเวนของสักฝ่ายจับได้” เทอร์รินเน้นเสียง “ตอนนั้นข้าพูดชัดเจนนะ”

                “ให้อยู่ห่างขนาดนั้น แล้วข้าจะเห็นอะไรได้ล่ะ” กอร์รินเถียง “คงแค่รู้ว่าฝ่ายไหนแพ้ฝ่ายไหนชนะ ไม่มีทางรู้ว่าฝ่ายไหนมีวิธีการต่อสู้อย่างไร ใช้อาวุธอย่างไร มีประสิทธิภาพในการต่อสู้สูงแค่ไหน”

                “แล้วไม่คิดหรือไงว่าถ้าเจ้าตาย ไอ้สิ่งที่เจ้าเห็นมันจะมีประโยชน์อะไร”

                “แล้วข้าตายไหมล่ะ”

                “มันก็เกือบจะเกิดขึ้นแล้ว” เทอร์รินตะคอก “ฟรอสท์ไอรอนแคลดมีแต่สิ่งอันตราย แถมกำลังเกิดศึกอยู่ ทำไมเจ้าไม่ระมัดระวัง”

                “ข้าดูแลตัวเองได้ และพวกดาร์คเนสดีวิลก็ช่วยเหลือข้า” กอร์รินตะคอกกลับ “พวกเขาให้ที่พักพิง ให้ม้าข้าใช้เดินทางกลับมา ให้ข้าได้ตาสว่างกับหลายๆ สิ่ง และให้ความเป็นมิตร”

                “พวกนั้นเป็นคนละเผ่าพันธุ์กับเรา เราแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกนั้นเลย เจ้าไม่ควรไว้ใจ” เทอร์รินคำราม “พวกนั้นเอาชนะพวกมนุษย์ได้ในศึกที่ผ่านมา พวกนั้นอันตรายกว่าที่คิด”

                “เขาพูดถูกกอร์ริน” ท็อกซ์ฟ็อกซ์สนับสนุน “ท่านไม่ควรไว้ใจพวกดาร์คเนสดีวิล”

                “พวกเขาไม่ได้เป็นศัตรูกับเรา ไม่ได้อันตรายสำหรับเรา” กอร์รินตะโกน “พวกเขามีศัตรูเดียวกับเรา นั่นคือพวกมนุษย์ พวกเขาเกลียดพวกมนุษย์ยิ่งกว่าเราเสียอีก พวกเขาเสนอแผนการที่จะสร้างความเสียหายให้แก่อาณาจักรโมราโซมอส หากเราร่วมมือกับพวกเขาในปฏิบัติการครั้งนี้ เราจะมีหนทางหยุดยั้งไม่ให้กองเรือของพวกมนุษย์ไม่ให้บุกมาถึงชายฝั่งของเราได้”

          “ร่วมมือกับพวกดาร์คเนสดีวิลมันหายนะชัดๆ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ร้อง “ข้าบอกหลายหนแล้วว่าพวกนั้นไว้ใจไม่ได้”

                “ซึ่งข้าก็บอกหลายหนแล้วว่า เราทุกคนอ่อนใจกับอคติที่ท่านมีต่อพวกดาร์คเนสดีวิลเต็มทน” กอร์รินโวยวายกลับ

                “เจ้ายังหนุ่ม กอร์ริน เจ้าอาจไม่เข้าใจเล่ห์เหลี่ยมอีกมากมาย” เทอร์รินพูด

                “ทำอย่างกับท่านแก่กว่าข้ามาก ท่านอายุมากกว่าแค่สี่ปี สูงวัยกว่าแค่สองปี” กอร์รินโต้กลับ “โซลิแทร์ผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลก็อายุเท่าข้า เราทั้งหมดก็ไม่ได้ผ่านโลกมามากน้อยกว่ากันนักหรอก”

                “ท่านสนิทสนมกับผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลหรือ” ท็อกซ์ฟ็อกส์ไม่อยากเชื่อ

                “ข้าเป็นเพื่อนกับเขาเลยทีเดียว แล้วเขาก็เป็นเพื่อนที่ดีด้วย” กอร์รินตะโกนใส่หน้าอีกฝ่าย แล้วหันไปหาเทอร์ริน “ข้าขออภัยที่กลับมารายงานเกี่ยวกับศึกล่าช้า แต่ข้าได้สิ่งที่มีค่ามากกว่ามาเสนอ ร่วมมือกับพวกดาร์คเนสดีวิลในปฏิบัติการครั้งนี้ เพื่อปกป้องชายฝั่งของเราจากกองเรือมนุษย์”

                “พวกมนุษย์กำลังยกกองทัพที่สองไปโจมตีโฟรเซ็นทิเนล ตอนนี้ก็กำลังเคลื่อนทัพกันอยู่ คาดว่าจะไปถึงฟรอสท์ไอรอนแคลดภายในวันสองวันนี้ มันเป็นกองทัพที่ใหญ่กว่าเดิม เราไม่รู้ว่าครั้งนี้พวกดาร์คเนสดีวิลจะต้านทานได้เหมือนเดิมหรือไม่ ถ้าต้านไม่ได้ แผนที่จะร่วมมือกับพวกนั้นก็จบสิ้น” เทอร์รินกล่าว “ข้าเดาอะไรเกี่ยวกับพวกนั้นไม่ถูกทั้งนั้น ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกดาร์คเนสดีวิลเลย ไม่รู้วิธีปฏิบัติงาน ไม่รู้รูปแบบการต่อสู้ ไม่รู้ว่าจะร่วมงานได้ง่ายหรือไม่ ไม่รู้ว่าไว้ใจได้ไหม”

                “พวกเขาไว้ใจได้” กอร์รินยืนกราน “และข้าก็เชื่อว่าพวกเขาจะต้านทานการบุกของพวกมนุษย์ไหว ท่านจะเชื่อเหมือนข้าเมื่อเห็นกำแพงของพวกเขา และพวกเขาก็จะมาร่วมปฏิบัติการกับเราต่อได้ มันก็แค่ปฏิบัติการเดียว ไม่ได้ข้องเกี่ยวข้องอะไรกันมาก แล้ว--”

                “เราไม่มีทางไว้ใจพวกปีศาจได้” ท็อกซ์ฟ็อกซ์แทรกขึ้น

                “ข้าจะนำเรื่องนี้ไปพิจารณา” เทอร์รินตัดบท “แล้วเราจะถกเรื่องนี้อย่างมีเหตุผลในที่ประชุม สำหรับเจ้า กอร์ริน ครั้งนี้เจ้าทำตัวเสี่ยงมาก ควรเรียนรู้ที่จะทำตามคำสั่งเสียบ้าง เจ้าไม่ใช่ผู้ตามที่ดีเลย”

                “ท่านก็เอาแต่สั่งให้ข้าทำโน่นทำนี่ ซึ่งทุกสิ่งล้วนแต่เป็นงานที่ไม่สำคัญ ท่านไม่เคยไว้ใจให้ข้าทำงานสำคัญเลย ไม่ได้ให้โอกาสข้าได้แสดงความสามารถเลย” กอร์รินอดรนทนไม่ไหว “ไอ้ตำแหน่งรองผู้นำสูงสุดที่ท่านแต่งตั้งข้า มันแทบจะไม่ต่างจากเด็กฝึกงาน ข้ามีความสามารถ ข้ามีความมุ่งมั่น แต่ท่านก็กดมันไว้และให้ข้านำออกมาใช้ได้นิดเดียว ท่านกลัวว่าข้าจะทำพัง ท่านไม่คิดว่าน้องชายของท่านจะมีความสามารถ ท่านปรามาสข้ามากกว่าพวกศัตรูเสียอีก”

                “เจ้ายังเด็ก ยังต้องเรียนรู้อีกมาก” เทอร์รินเสียงแข็ง

                “ข้าห่างจากท่านแค่ไม่กี่ปี เลิกทำเหมือนว่าข้าเป็นเด็กได้แล้ว” กอร์รินตะคอก

                “งั้นก็ทำให้ข้าเห็นสิ ว่าเจ้าไม่ใช่” เทอร์รินตะคอกด้วยเสียงดังกว่า “เลิกทำให้ข้าเป็นห่วงได้แล้ว”

                “ท่านไม่จำเป็นต้องมาห่วงข้าเกินเหตุ ข้าดูแลตัวเองได้” กอร์รินคำรามก้อง “ท่านไม่ใช่พ่อนะ”

                “แต่อย่าลืมว่า ข้าคือผู้นำสูงสุดของเจ้า” เทอร์รินประกาศอย่างเฉียบขาด “และอย่าลืมว่า หน้าที่ของเจ้า คือเชื่อฟังผู้นำสูงสุด”

                กอร์รินนิ่งเงียบ กัดฟันแน่น

                “ไปพักผ่อนเสีย และพรุ่งนี้ส่งรายงานข้อมูลที่เจ้ารวบรวมมาได้ให้แก่ข้า” เทอร์รินบอก “แล้วเราจะเดินทางกลับเมืองหลวงแบร์ร็อคกัน”

                “ตามที่ท่านสั่ง” กอร์รินโค้งคำนับอย่างเย็นชา “โฮซอร์”

                แล้วเทอร์รินก็เดินจากไป กอร์รินหลับตาลงด้วยความอัดอั้นตันใจ

                “ข้าอุตส่าห์นำหนทางแก้ปัญหาใหญ่มาแจ้ง แล้วเขาก็ต่อว่าข้าเป็นการขอบคุณ” โฮเซ่เด็กหนุ่มพึมพำอย่างโมโห

                “เขาเป็นห่วงท่าน มันก็เท่านั้นเอง” ท็อกซ์ฟ็อกซ์จับบ่าเพื่อนรุ่นน้อง

                “เขาทำอย่างกับข้าเป็นเด็กเล็กๆ ที่เขาต้องคอยดูแลไม่ให้คลาดสายตา ไม่ไว้ใจให้ทำอะไรเสี่ยงๆ” กอร์รินบ่น “คอยตีกรอบ เอากรงครอบข้า”

          “ท่านเป็นคนเดียวที่เขาเหลือในครอบครัว” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ว่า “ท่านอาจคิดว่าเขาทำตัวน่าเบื่อ แต่เขารักท่านนะ”

          “ข้ารู้” กอร์รินพยักหน้า “แต่ข้าก็อยากให้เขาเลิกทำตัวน่าเบื่อเสียที”

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา