พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.94K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

15) บทที่ 14 เสียงกระซิบจากความว่างเปล่า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 14

เสียงกระซิบจากความว่างเปล่า

 

                แม้ว่าอโลบัสจะเป็นผู้สืบราชบัลลังก์โมราโซมอส แต่เขาก็ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองการปกครองเลย ตลอดเวลาที่เขาเติบโตมา เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในฐานทัพทหาร หรือไม่ก็แหล่งรวบรวมความรู้ ไม่คบหาสนิทสนมกับใครทั้งสิ้น เหล่าขุนนางนักปกครองทั้งหลายที่พยายามตีสนิทเพื่อหวังผลประโยชน์นั้น พากันล้มเหลวไม่เป็นท่า เจ้าชายคนนี้ฉลาดเกินกว่าจะใช้เป็นเครื่องมือ เย็นชาเกินกว่าจะทำความคุ้นเคย ลึกลับเกินกว่าจะประเมินค่า และไร้อารมณ์เกิดกว่าจะชักจูงได้ หลายคนคิดว่าการยุ่งกับเขาก็ไม่ต่างจากยุ่งกับความว่างเปล่า ไม่เกิดผลอันใด ในเมื่อเจ้าชายผู้นี้ไม่ได้มีพิษภัย หรือขัดขวางเส้นทางความเจริญของขุนนางคนใด พวกเขาก็ปล่อยให้อโลบัสอยู่กับความสันโดษไปตามแต่จะต้องการ ถึงอย่างไรระยะหลังๆ นี้อโลบัสก็เอาแต่ประจำอยู่ที่ฐานทัพซาโมโรว์ แทบไม่เคยเหยียบเข้าเมืองหลวงโมราโซมอสเลย คงเบื่อเรื่องการเมืองและพยายามหลีกเลี่ยง ซึ่งก็ไม่มีใครตำหนิเขาได้ เพราะเขาก็ทำหน้าที่ทางการทหารได้สมบูรณ์ไม่มีบกพร่อง

                ในเวลาว่างเว้นจากธุระทหาร ไม่มีใครเคยเห็นอโลบัสทำอย่างอื่นเลย นอกจากเก็บตัวศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเอง ทดลองโน่นวิจัยนี่อยู่คนเดียว และฝึกซ้อมต่อสู้ เขาชอบที่จะหลีกหนีไปฝึกซ้อมอยู่ตามลำพัง เพื่อหลีกเลี่ยงความสอดรู้สอดเห็นของพวกทหาร นั่นก็เพราะการฝึกซ้อมของแต่ละอย่างของเขาค่อนข้างแปลกประหลาด ไม่เคยมีในตำราไหนสำนักไหน ราวกับว่าเขาคิดมันขึ้นมาเอง ดังเช่นการฝึกซ้อมในวันนี้ เขาสวมชุดเกราะครบชุด ลงไปยืนอยู่ใต้น้ำทะเลที่สูงท่วมหัว กวัดแกว่งดาบและเคลื่อนไหวไปตามจังหวะของคลื่น ทั้งตามกระแสและสวนกระแส ผ้าคลุมที่คาดอยู่ที่หลังและผมสีบลอนด์ซีดของเขาขยับไปตามกระแสน้ำ เขาพยายามประคองการทรงตัวให้อยู่ในระดับสมดุล ขณะกวัดแกว่งดาบไปเรื่อย หากคิดว่าการสวมเกราะหนักๆ ลงน้ำแบบนี้นับว่าประหลาด มันก็ยังไม่ประหลาดเท่าการที่เขาลงมาฝึกซ้อมใต้น้ำเป็นชั่วโมงแล้ว ไม่มีมนุษย์คนใดกลั้นหายใจได้นานขนาดนั้น แม้แต่ปลาก็ยังต้องหายใจด้วยอากาศที่ละลายลงไปในน้ำ แต่นี่ดูเหมือนว่าอโลบัสจะไม่ได้กลั้นหายใจหรือหายใจอยู่ใต้น้ำ เขาไม่ได้หายใจเลยด้วยซ้ำ เขาฝึกซ้อมต่อไปเรื่อยๆ อย่างนั้น ราวกับเป็นเรื่องปกติ นี่ถ้าหากทหารสักคนได้มาเห็นเขาในตอนนี้ คงได้เกิดคำถามเป็นพันข้อแน่

                อโลบัสฝึกซ้อมจนเสร็จ เขาก้าวเดินขึ้นฝั่ง เปียกโชกไปทั้งตัว มีความเย็นจัดแผ่ออกมาจากร่างกายของเขา จนทำให้น้ำที่เปียกโชกอยู่ทั่วตัวกลายเป็นน้ำแข็ง ทั้งชุดเกราะ เสื้อผ้า ใบหน้า เส้นผมล้วนเต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็ง แล้วมันก็แตกกระจายหลุดออกไปจนหมด ทำให้ตัวของเขาแห้งสนิท ผิวหน้าขาวซีดและเส้นผมขาวสะอาดดูจะไม่ได้รับอันตรายจากความเย็นของเกล็ดน้ำแข็งเลย ผมไม่แห้งกรอบ ผิวหน้าไม่มีรอยช้ำ ทุกอย่างเป็นปกติที่สุด ราวกับน้ำแข็งและความเย็นไม่สามารถทำอันตรายร่างกายของเขาได้

                “อโลบัส”

                เสียงหนึ่งกระซิบเรียกเขา เป็นเสียงที่นุ่มนวล เบาหวิวกว่าสายลม เย็นเยียบกว่าน้ำแข็ง สงบนิ่งราบเรียบราวกับผิวน้ำทะเลสาป มันเป็นเสียงของผู้ชายแน่ๆ แม้ว่าเสียงนั่นจะฟังแทบไม่ออกว่าเป็นเสียงพูดหรือเสียงน้ำแข็งระเหยก็ตาม แม้จะมีเสียงคลื่นทะเลคอยดังมาเข้าหู แต่เสียงกระซิบนั่นก็ฟังได้ชัดเจน ราวกับมันดังอยู่ข้างๆ หูเขา อโลบัสยืนเฉยอย่างใจเย็น กวาดตาหันไปมองรอบๆ หาต้นตอของเสียง

                “สวัสดี” เขาทักทายตอบ

          “สวัสดี เจ้าชายอโลบัส รัชทายาทอันดับหนึ่งแห่งราชบัลลังก์โมราโซมอส” เสียงลึกลับพูดด้วยน้ำเสียงเรียบระดับเดียวกันทุกคำ“หรือหากจะพูดตามความจริงคือ สวัสดี อโลบัส ไม่มีเจ้าชายหรือรัชทายาททั้งนั้น”

          “โปรดแสดงตัวด้วย เราจะได้คุยกันอย่างเห็นหน้าเห็นตา” อโลบัสพูด น้ำเสียงสงบไม่แพ้กัน

          “เกรงว่านั่นจะเกินความสามารถของข้า” เสียงนั้นตอบกลับ “ข้าเป็นเพียงสมองธาตุอากาศที่ล่องลอยอยู่ในสายลม จะเรียกอีกอย่างว่าดวงวิญญาณก็ได้ ไร้ซึ่งพลัง ไร้ซึ่งรูปร่าง ไร้ซึ่งอำนาจจะเคลื่อนย้ายวัตถุสิ่งใดได้ แต่ยังคงมีความนึกคิด และอำนาจในการติดต่อสื่อสารอยู่”

          “ท่านเป็นพ่อมดลิซาร์ด” อโลบัสพูดอย่างสนใจ “มีเพียงเหล่าพ่อมดผู้อัจฉริยะแห่งเอลิลเท่านั้น จึงจะถอดสมองออกจากร่างได้”

          “ความจริงแล้ว ไม่ได้มีเพียงแค่เหล่าลิซาร์ดเท่านั้น บางคนที่มีพลังอำนาจสูงส่งกว่าก็สามารถทำได้” เสียงนั้นแก้ไข “แต่ท่านก็พูดถูก ข้าคือลิซาร์ดคนหนึ่ง”

          “ท่านเป็นใคร” อโลบัสถามต่อ

          “ข้าเคยเป็นทั้งนักรบที่มีฝีมือ และเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุเคมีที่มีชื่อเสียงที่สุด ได้รับการตั้งฉายาว่าโคลด์เคมิส (Cold Chemist)” เสียงนั้นอธิบายด้วยน้ำเสียงเบาหวิวเย็นเฉียบ “ผลงานอันเป็นที่จดจำมากที่สุด คือการนำแร่คาร์ฟเวน แร่โลหะพลังงานสูงส่งที่หายากที่สุดในดาวดวงนี้ มาหลอมเป็นดาบแดนน้ำแข็งทั้งสองเล่ม ไอซ์แอคเซอร์ และ ฟรอสท์ฟอร์เมอร์ และมอบมันให้เป็นอาวุธประจำกายแก่อันเซเมส ไอซ์ครีเอเทอร์ ผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์ข้า”

          “ท่านคือราซานเซล” อโลบัสเริ่มจะประหลาดใจเป็นครั้งแรก “อดีตรองผู้นำสูงสุดแห่งเอลิล”

          “นั่นคือนามของข้า”

          “ข้าคิดว่าท่านถูกแอสแทรินฆ่าตายไปแล้ว” อโลบัสข้องใจ

          “ตำนานคือสิ่งที่เล่าต่อกันมา ประวัติศาสตร์คือสิ่งที่เกิดขึ้นตามการบันทึกของผู้เขียน มันย่อมถูกบิดเบือนมาจากความจริงไม่มากก็น้อย” ราซานเซลชี้แจง“สำหรับสิ่งที่เป็นความจริงนั้น ข้าต่อสู้กับแอสแทริน ข้ารู้ดีว่าไม่มีวันสู้กับยอดนักรบไซคัสคนนี้ได้ ข้าจึงถอดสมองหรือที่นิยมเรียกกันว่าถอดวิญญาณออกจากร่าง แต่โชคร้ายยิ่งนักที่มันไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังทั้งหมด เมื่อข้าถอดสมองออกจากร่าง ร่างของข้าก็สลายกลายเป็นพลังงานอย่างไม่ตั้งใจ มันเข้าไปในร่างกายของแอสแทรินไปเสริมสร้างพลังงานที่เขามีอยู่ ให้ทรงพลังมากขึ้นอีกและเมื่อเขาใช้มันด้วยความแค้น มันก็กลายเป็นเปลวไฟที่ร้อนแรงพอจะแผดเผาดาวดวงนี้ได้ กองทัพมังกรเฟลมฟอร์สถูกสร้างขึ้น สงครามบังเกิด จนทั้งดวงดาวแทบจะลุกเป็นไฟ อนิจจา เมื่ออำนาจไปตกอยู่ในมือของคนที่กำลังเคียดแค้น โศกนาถกรรมใหญ่หลวงจะเกิดขึ้นเสมอ อำนาจไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เราแข็งแกร่งเลย ตรงกันข้าม ยิ่งเรามีพลังอำนาจมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งสูญเสียพลังในการควบคุมความบ้าคลั่งมากเท่านั้น”

          “แล้วเป็นความจริงหรือไม่ ที่ว่าหากไอซ์ครีเอเทอร์ตาย เอลิลทุกคนก็จะตาย” อโลบัสถามสิ่งที่ข้องใจมานานแสนนาน ไม่เคยมีใครหรือสิ่งใดสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้เลย

          “สมองของเผ่าพันธุ์เราเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ มันมีความเป็นพลังงานมากกว่าสมองของเผ่าพันธุ์ใด เมื่อเอลิลสร้างเอลิลอีกคนขึ้น พลังงานสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างกับผู้ถูกสร้างก็จะบังเกิด ไอซ์ครีเอเทอร์คือผู้สร้างคนแรกสุด เขาสร้างเอลิลรุ่นแรกๆ แล้วเอลิลรุ่นแรกๆ ก็สร้างเอลิลรุ่นถัดไป สืบต่อมาเรื่อยๆ นั่น ทำให้สมองของไอซ์ครีเอเทอร์มีพลังงานเชื่อมต่อกับสมองเอลิลทุกคน” ราซานเซลอธิบาย “นั่น ทำให้สมองของเขามีความสำคัญ หากมันหยุดทำงาน สมองของเอลิลคนอื่นๆ ก็จะหยุดทำงานด้วย”

          “นั่นแสดงว่าตอนนี้ สมองของเขายังไม่หยุดทำงาน” อโลบัสสรุปความ “เขายังไม่ตาย”

          “เขายังไม่ตาย” ราซานเซลยืนยัน “แต่ก็คงอีกไม่นาน”

          “เขากำลังจะตายอย่างนั้นหรือ” อโลบัสเอียงคออย่างไร้อารมณ์

          “เคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับผ้าคลุมของไอซ์ครีเอเทอร์ไหม” ราซานเซลถามกลับ

          “เคย” อโลบัสพยักหน้า “หลังจากกำจัดไอซ์ครีเอเทอร์ได้ ลินเลนธัน ผู้นำแห่งไซคัส ก็ทำลายทุกอย่างของไอซ์ครีเอเทอร์ ทั้งร่างกาย เกราะที่สวม แต่กลับทำอะไรผ้าคลุมของไอซ์ครีเอเทอร์ไม่ได้ จึงนำผ้าคลุมผืนนั้นไปจองจำไว้ในถ้ำคำสาป ปิดผนึกไว้อย่างแน่นหนา”

          “ที่ลินเลนธันทำลายผ้าคลุมผืนนั้นไม่ได้ ก็เพราะไอซ์ครีเอเทอร์ถอดสมองเข้าไปอยู่ในผ้าคลุมผืนนั้น มันทำให้ผ้าคลุมมีพลังงานอำนาจมากกว่าที่ควรจะเป็น” ราซานเซลบอก “เขาไม่มีทางเลือก เขาบาดเจ็บจากการต่อสู้ สมองของเขาไม่มีพลังงานเพียงพอที่จะกลายเป็นธาตุอากาศล่องลอยไปมาแบบข้าได้ จึงต้องอาศัยวัตถุที่มีพลังงาน ที่อยู่ใกล้ที่สุด ผ้าคลุมที่เขาสวมอยู่นั่นเอง”

          “หมายความว่าในตอนนี้ ไอซ์ครีเอเทอร์กับผ้าคลุมผืนนั้นกำลังถูกขังอยู่ในถ้ำคำสาปของลินเลนธัน”

          “เมื่อกำจัดไอซ์ครีเอเทอร์ไม่ได้ในทันที ลินเลนธันก็คิดว่าคำสาปจากถ้ำและกาลเวลา จะคอยกำจัดไอซ์ครีเอเทอร์ไปได้ทีละนิด” ราซานเซลว่าต่อ “ซึ่งเขาก็คิดถูก หลังจากต้องคำสาปในถ้ำผ่านมานานแสนนาน ไอซ์ครีเอเทอร์ก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ เขากำลังจะตาย และหากเขาตาย เอลิลทุกคนก็จะตาย”

          “มีวิธีใดที่จะช่วยเขาไหม” อโลบัสถาม น่าประหลาดที่ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจอยากจะช่วยจริงๆ “หรือช่วยเผ่าพันธุ์เอลิล”

          “ไม่ว่าจะเป็นใคร ยิ่งใหญ่ถึงเพียงใด มีอำนาจสูงส่งเพียงใด สุดท้ายแล้วก็ต้องเผชิญกับความตาย ไอซ์ครีเอเทอร์ก็เช่นกัน คำสาปของลินเลนธันมีอานุภาพรุนแรง ในตอนนี้เขาไม่อาจหลีกหนีความตายพ้น” ราซานเซลพูด “แต่สำหรับเอลิลคนอื่นๆ นั้น ยังมีวิธีที่จะกอบกู้ไม่ให้ตายตามเขาไป”

          “วิธีใด” อโลบัสถามเรียบๆ

          “ให้ผู้สืบทอดรับหน้าที่แทนไอซ์ครีเอเทอร์ รับพลังงานจากสมองของเขา ก่อนที่เขาจะตาย”

          “แล้วใครคือผู้สืบทอด”

          “ใครก็ได้ที่เป็นเอลิล และร่างกายมีพลังงานมากพอที่จะรับพลังงานจากสมองของไอซ์ครีเอเทอร์ได้” ราซานเซลกล่าว “สวมผ้าคลุมของไอซ์ครีเอเทอร์ แล้วพลังงานสมองของไอซ์ครีเอเทอร์จะไปรวมกับพลังงานสมองของเอลิลผู้สวม จากนั้นเอลิลผู้นั้นก็จะแบกรับภาระหน้าที่แทนเขาตลอดไป”

          อโลบัสนิ่งเงียบ หันไปมองคลื่นที่ชายฝั่ง คลื่นลูกเก่าค่อยๆ ถอยหายกลับลงไปในทะเล คลื่นลูกใหม่ซัดกระหน่ำเข้ามาแทนที่

          “เป็นเกียรติมากที่ท่านสนอกสนใจเรื่องของเผ่าพันธุ์ข้าเป็นพิเศษ อโลบัส” ราซานเซลเอ่ยต่อ “หากแต่ที่ข้ามาสื่อสารกับท่านในวันนี้ ไม่ใช่เพราะต้องการเล่าประวัติศาสตร์อันขมขื่นของเผ่าพันธุ์ตนให้ท่านฟัง มันเป็นเรื่องไม่น่าพิสมัยนัก”

          “มีอะไรให้ข้าช่วยท่านหรือ” อโลบัสถามอย่างมีมารยาท

          “ตรงกันข้าม” ราซานเซลว่า “ข้าจะต้องเป็นฝ่ายถามว่า มีอะไรที่ข้าพอจะช่วยท่านได้ไหม”

          ครั้งนี้อโลบัสสับสนและข้องใจจริงๆ

          “ข้า ต้องการให้ท่านช่วยอย่างนั้นหรือ”

          “แม้แต่เผ่าพันธุ์ที่ไร้ความรู้สึกอย่างเผ่าพันธุ์ข้า ก็ยังมีความปรารถนา เพราะทุกชีวิตล้วนมีเป้าหมาย” ราซานเซลพูด “ท่าน ปรารถนาสิ่งใดมากที่สุดอโลบัส”

          อโลบัสนิ่งเงียบ ครุ่นคิด ตามองไปยังดาวฤกษ์อิลิมิน่าที่กำลังจะลับขอบทะเลไป

          “ข้าปรารถนา” เขาเอ่ยขึ้นช้าๆ “ปรารถนาที่จะรู้จักตนเองมากขึ้น ปรารถนาที่จะรับรู้ว่าจริงๆ แล้ว ข้าคือใคร หรือคืออะไรกันแน่”

          “เรื่องนี้ มีเพียงท่านคนเดียวเท่านั้นที่จะให้คำตอบตัวเองได้ เพราะไม่มีใครจะรู้จักตัวเรามากไปกว่าตัวเราอีกแล้ว” ราซานเซลกล่าว “ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง และก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินความพยายาม การรู้จักตนเองอย่างแท้จริง คือจุดเริ่มต้นที่จะนำชีวิตเราไปสู่จุดสูงสุดได้ ท่านอาจไม่รู้จักตนเองในวันนี้ แต่ข้าให้สัญญากับท่าน อีกไม่นานท่านจะรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ มันคือความสำเร็จที่ท่านปรารถนาตลอดมา”

          “การค้นพบตนเอง คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่แท้จริง” อโลบัสกระซิบ “ความสำเร็จที่ได้มาตอนเราเป็นตัวของตัวเองเพียงหนึ่งครั้ง มีค่ามากกว่า ความสำเร็จนับพันครั้ง ที่ได้มาตอนที่เราไม่เป็นตัวของตัวเอง”

          “นั่น คือเหตุผลที่ไอซ์ครีเอเทอร์มีประโยคประจำตัวว่า ข้าคือน้ำแข็ง ข้าคือเอลิล เพราะเขาเตือนตัวเองให้เป็นตัวของตัวเองเสมอ ผู้ใดเป็นตัวของตัวเอง ผู้นั้นจะได้สัมผัสความสำเร็จที่แท้จริง” ราซานเซลยืนยัน “สำหรับท่าน อโลบัส ครั้งต่อไปที่เราจะพบกัน ข้าเชื่อว่าท่านจะรู้จักตนเองมากขึ้นอีกขั้น”

          เป็นไปได้ยากที่จะทราบว่าราซานเซลจากไปแล้วหรือไม่ เพราะมองไม่เห็นตัว แต่เมื่อไม่มีเสียงพูดของเขาเกิดขึ้นอีก ก็แสดงว่าเขาจากไปแล้ว ความมืดเริ่มแผ่ปกคลุมทั่วบริเวณนั้น โคมไฟในค่ายทหารเริ่มถูกจุดขึ้นแล้ว อโลบัสย่ำทรายก้าวเดินกลับฐานทัพ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

****************

 

                ซอร์โรร่าเคาะประตู แล้วเปิดเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยเครื่องยา เครื่องมือการแพทย์ รูปวาดจำลองร่างกายมนุษย์ ตลอดจนอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษามากมาย ชายสวมแว่นตาข้างเดียวนามว่าเกรนวาร์ด โกลด์แมนนั่งอ่านเอกสารอยู่ที่โต๊ะ เขาเป็นแพทย์หลวงประจำราชสำนัก เป็นเพื่อนกับอาร์รอสพ่อของเธอ และไม่ลงรอยกับแมค แรคแทนทินญาติของเธอ เมื่อโกลด์แมนเห็นซอร์โรร่าเดินเข้ามา ก็รีบลุกไปต้อนรับอย่างดีใจ

                “แม่หนูน้อย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สวยจนข้าจำแทบไม่ได้” เขาประคองแขนเธอทั้งสองข้างอย่างเอ็นดู “ไม่นึกเลยว่าจะโตเร็วขนาดนี้”

                “คงเป็นเพราะข้าหยุดอายุมาหลายปี ท่านจึงรู้สึกว่าก่อนหน้านี้ข้าโตช้าค่ะ” เด็กสาวยิ้มหวานให้ “ตอนนี้ข้าก็โตเหมือนมนุษย์ปกติแล้วค่ะ ไม่มีเร็วไปหรือช้าไป”

                “ข้าลืมไปแล้วว่าท่านอายุเท่าไหร่”

                “สามสิบสองปีค่ะ”

                “แล้วอยู่ในวัยไหนแล้วนี่”

                “วัยสิบเจ็ดปีค่ะ”

                “วัยเดียวกับลูกสาวข้าเลย ซินิท ไม่รู้ว่าเคยพบกันหรือยัง”

                “ไม่เคยค่ะ แต่ข้ายินดีมากทีเดียวที่จะพบเธอ”

                “มานั่งนี่สิแม่หนู ขออภัยด้วยที่สถานที่ค่อนข้างรก พวกหมอก็อย่างนี้แหละ มีข้าวของเต็มไปหมด” โกลด์แมนเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน เลื่อนเก้าอี้ให้ซอร์โรร่านั่ง แล้วรินน้ำผลไม้ให้เธอ “ในฐานะแพทย์ ข้าไม่ขอเลี้ยงผู้มาเยือนด้วยเครื่องดื่มทำร้ายสุขภาพ ดื่มน้ำแอปเปิลเถอะนะ มันดีต่อผิวสวยๆ ของท่าน”

                “น้ำแอปเปิลก็ยอดเยี่ยมแล้วค่ะ” ซอร์โรร่าพูดเสียงใส “ข้าชอบแอปเปิลมากอยู่แล้ว”

                “นี่ ข้าเสียใจจริงๆ ที่ท่านต้องมาเผชิญอะไรแบบนี้” โกลด์แมนถอนหายใจ กลับไปนั่งที่เก้าอี้ของตน “พระราชาก็ทำเกินไป อย่างน้อยท่านก็เป็นญาติของเขา แล้วท่านก็เป็นเด็กผู้หญิงด้วย”

                “ข้าไม่ใช่เด็กผู้หญิงแล้วนะคะ” ซอร์โรร่าแย้ง

                “ไม่ใช่ก็ไม่ใช่” โกลด์แมนยอมตาม “แต่พระองค์ก็ไม่ควรส่งท่านมาช่วยโครงการอันยากลำบากของข้า เพียงเพราะท่านเขียนบทความถากถางพระองค์”

                “มีหลายอย่างที่พระองค์ไม่ควรทำมากกว่านี้ค่ะ อย่างเช่นหน้าด้านหน้าทนจองเวรจองกรรมกับพวกดาร์คเนสดีวิลไม่จบสิ้น” ซอร์โรร่าพูดอย่างโกรธเคือง “ในเมื่อพระองค์ไม่ให้ข้าไปปราศรัยในที่ประชุม ไม่ให้ข้าไปปราศรัยในที่สาธารณะ ข้าก็จะพูดผ่านการเขียนบทความ ข้าเขียนมันทุกแผ่น แล้วก็แจกจ่ายมันไปยังบ้านมนุษย์แต่ละหลัง อย่างน้อยก็คงจะมีสักหลังที่เกิดความละอายใจบ้าง”

                “แผ่นบทความพวกนั้นมีเป็นพันใบ” โกลด์แมนทำตาโต “ท่านเขียนมันเองคนเดียวเลยหรือ”

                “ในเมื่อไม่มีมนุษย์คนไหนอยากช่วยข้าเรื่องนี้ ข้าก็ต้องลงมือทำเองทั้งหมดค่ะ” ซอร์โรร่าพูดอย่างเด็ดเดี่ยว

                “ข้านับถือในความเมตตาที่ท่านมีต่อพวกดาร์คเนสดีวิลจริงๆ” โกลด์แมนรู้สึกทึ่ง “แต่ซอร์โรร่า ลำพังแค่ท่านคนเดียวนั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรอก เรื่องนี้มันใหญ่เกินตัวท่าน”

                “ก็ยังดีกว่าทนอยู่เฉยๆ อย่างไม่มีหวังนี่คะ” เด็กสาวพูดอย่างหนักแน่น “เราอาจทำสิ่งที่ใหญ่เกินตัว ต่อสู้กับสิ่งที่ไม่มีวันชนะ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เราเกิดความหวังขึ้นบ้าง ดีกว่าก้มหน้ายอมรับชะตากรรมอย่างสิ้นหวัง หากไม่มีความหวัง เราก็จะไม่ได้ต่างจากความว่างเปล่าเลย”

                “โอ้” โกลด์แมนอดยิ้มไม่ได้ “ข้าศึกษาโน่นนี่มาช้านาน มีความรู้มากมายอยู่ในสมอง แต่ในบางเรื่อง ข้าก็คิดว่าเด็กสาวอย่างท่าน มีความคิดความอ่านสูงส่งกว่าข้านัก”

                ซอร์โรร่ายิ้มตอบ สิ่งที่ทำให้เธอคิดเช่นนี้ได้ คือความทรงจำเมื่อสิบแปดปีก่อน ตอนที่เหล่านักรบดาร์คเนสดีวิลกลุ่มสุดท้ายยืนหยัดต่อสู้กับกองทัพเฟลมฟอร์มที่ไร้เทียมทาน แม้จะรู้ว่าต้องแพ้ แต่ก็ไม่ละทิ้งความหวัง

                “อาร์รอสกับบิลิสเป็นอย่างไรบ้าง” โกลด์แมนถาม “ได้ยินว่าพวกเขาไปแสดงความไม่พอใจต่อพระราชาที่ลงโทษท่าน”

                “พ่อกับอาจารย์เป็นห่วงข้า ข้ารู้ดี แม้พวกเขาจะเกรงกลัวพระราชา แต่ด้วยความรักที่มีต่อข้า ข้าก็พอเดาได้ว่าพวกเขาต้องไม่พอใจพระองค์” ซอร์โรร่าถอนหายใจ “พวกเขาไม่เป็นอะไรค่ะ แค่ถูกพระราชาตะโกนใส่หน้าเท่านั้นเอง อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นขุนนางชั้นสูง พระราชายังเกรงใจอยู่บ้าง ไม่ได้สั่งลงโทษเหมือนที่ทำกับข้า ความจริงแล้วข้าไม่คิดว่าเป็นการลงโทษหรอกค่ะ ข้าได้ช่วยงานท่านก็ไม่เสียหายอะไร ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ข้านับถือคนหนึ่ง ข้ายินดีช่วย”

                “ไม่ลงโทษกะผีน่ะสิ” โกลด์แมนส่ายหน้า “ไอ้การที่ข้าต้องมาทำโครงการนี้ ก็เสมือนถูกลงโทษเหมือนกัน แรคแทนทินญาติของท่านไม่ชอบหน้าข้า เขากล่อมให้พระราชาสั่งให้ข้าดำเนินโครงการนี้”

                “โครงการอะไรหรือคะ ที่ท่านต้องทำ” ซอร์โรร่าสงสัย

                “เราจะต้องเดินทางไปยังอาณาจักรไอซ์เมส” โกลด์แมนพึมพำ

                “ไอซ์เมสหรือคะ” ซอร์โรร่าพูดอย่างตื่นเต้น

                “ข้ารู้ว่าท่านชอบหิมะชอบอากาศเย็น แต่ที่นั่นมันไม่มีอะไรน่าสนุกเลย” โกลด์แมนรีบเตือน “มันหนาวเย็น แห้งแล้ง อันตราย หาอะไรมาดำรงชีพได้ยาก สิ่งมีชีวิตก็แทบจะไม่มี มีแต่หิมะ น้ำแข็ง และความว่างเปล่า ปัจจัย เสบียง เครื่องไม้เครื่องมือ ตลอดจนจำนวนคนที่ช่วยเราทำงานก็มีไม่เพียงพอ ที่สำคัญคือ โครงการที่เราจะไปทำนั้น มันแทบจะไม่มีโอกาสสำเร็จเลย เหมือนไปคว้าอากาศเปล่าๆ แกล้งกันชัดๆ”

                “เราต้องไปทำอะไรที่ไอซ์เมสหรือคะ”

                “ค้นหาแร่ที่มีสรรพคุณทางยาสูงส่ง สามารถรักษาโรคได้นานาชนิด มันมีอยู่เฉพาะในไอซ์เมส และหายากมาก” โกลด์แมนบอก “โคลด์สโตน(Cold Stone) คือชื่อของมัน พระราชาต้องการให้ข้าค้นหามันให้ได้บางส่วน และนำกลับมาวิจัย ซึ่งข้าจะไปหาเจอได้ยังไง ข้าเคยไปค้นหามันครั้งหนึ่งด้วยปัจจัยและกำลังคนที่มีพร้อมมากกว่านี้ ก็ยังพบแต่ความว่างเปล่า”

                “ท่านเคยไปค้นหามันหรือคะ”

                “นานมากแล้วล่ะ คือข้าต้องการนำมันกลับมารักษาไอริซ แม่ของท่าน” โกลด์แมนระลึกความจำ “เธอกำลังจะตาย ด้วยโรคที่ไม่มียาใดรักษาได้ สมัยนั้นการแพทย์ยังไม่ก้าวหน้านัก โคลด์สโตนจึงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้แม่ของท่านรอดจากโรคร้าย”

                “โรคร้าย ที่เกิดจากการไปมีเพศสัมพันธ์กับคนมากหน้าหลายตา” ซอร์โรร่าพูดอย่างเผ็ดร้อน

                “ใช่” โกลด์แมนพยักหน้าฝืดๆ  “แน่ล่ะ ข้าหาโคลด์สโตนไม่เจอสักนิด ช่วยชีวิตแม่ท่านไม่ได้ อนิจจา ไอริซคอยดื่มยาหยุดอายุของพี่สาวเธอ ทำให้เธอคงสภาพสาวสะพรั่งอยู่อย่างนั้น และถ้ามียาให้เธอดื่มอยู่เรื่อยๆ เธอก็คงจะรักษาความเยาว์และมีอายุยืนยาวมากกว่าหญิงสาวมนุษย์คนใด แต่ใครจะไปรู้ว่าเธอจะอายุสั้นด้วยเหตุผลอื่น นี่ล่ะหนอผู้หญิงที่คิดว่าความงามคือสิ่งสำคัญที่สุด ใช้ความงามของตนผูกมัดทุกสิ่งไว้ สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะพยายามรักษายื้อยุดให้คงสภาพเดิมเพียงใด ร่างกายของเรามันก็ต้องเสื่อมสลายอยู่ดี ตอนที่แม่ของท่านเป็นสาวงาม ผู้ชายมากมายต่างเกาะติดเธอ แต่เมื่อยามที่เธอป่วยใกล้ตาย อยู่ในสภาพที่ไม่น่าดู บรรดาผู้ชายเหล่านั้นต่างหนีหายไม่สนใจจะมาดูแล ทั้งนี้เพราะแม่ของท่านไม่เคยจริงใจกับใครเลย จึงไม่มีใครมาผูกมัดกับเธออย่างแท้จริง ความรักความผูกพันมันไม่เกิดขึ้นเพราะเสน่หาชั่วข้ามคืนหรอกนะ มันเกิดจากการร่วมกันสร้างอย่างค่อยเป็นค่อยไป เหมือนเรียงอิฐทีละก้อนเป็นปราสาท”

                “ท่านพูดได้จับใจจริงๆ ค่ะ” ซอร์โรร่าปรบมือ “แม่ของข้าควรได้ยินอะไรแบบนี้ ผ่านสมองกลวงๆ ของเธอบ้าง”

                “ตอนนี้ไอริซก็ตายไปนานแล้ว ตายเพราะข้าหาโคลด์สโตนไม่เจอ” โกลด์แมนถอดแว่นตาข้างเดียวออกมาเช็ด “และข้าก็คิดว่าครั้งนี้ เราก็จะหาไม่เจออีกเช่นกัน เราต้องไปทนลมหนาว ทนหิมะ ทนความเหน็ดเหนื่อยเกินจำเป็น เพื่อค้นหาสิ่งว่างเปล่า”

                “ครั้งนี้เราอาจโชคดีก็ได้ค่ะ” ซอร์โรร่าปลอบใจอีกฝ่าย

                “อย่างน้อยครั้งนี้ ข้าก็ไม่ต้องกดดันว่าจะต้องค้นหามันเพื่อนำมาช่วยชีวิตใคร” โกลด์แมนว่า

                ประตูห้องเปิดออก สาวน้อยรุ่นราวคราวเดียวกับซอร์โรร่าเปิดประตูเข้ามา เธอสวมเครื่องแบบพยาบาลทั่วไป ชุดสีแดง สวมหมวกใบเล็กๆ ติดชายผ้าสีแดง แต่ชุดที่เธอสวมค่อนข้างบางและรัดรูป เสื้อแขนกุด คอเสื้อผ่าลึกถึงเนินอก กระโปรงสั้นนิดเดียว ถุงน่องก็มีสายเกี่ยว ซอร์โรร่าหันไปมองกราดทั่วร่าง แล้วส่งยิ้มหวานให้เธอ

                “ข้าตรวจจมูกให้กัปตันเท็มเปิลเรียบร้อยแล้วค่ะ มันกลับมาดีเหมือนเดิมแล้ว” สาวน้อยรายงาน

                “บอกพ่อที ว่าลูกไม่ได้ใส่ชุดนี้ไปตรวจเขา” โกลด์แมนกลอกตาอย่างอ่อนใจ

                “ต่อให้ข้าแก้ผ้าไปตรวจ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรหรอกค่ะ” เธอพูดอย่างเบื่อหน่าย ผมสีดำเงาที่รวบเป็นทรงของเธอแกว่งไกวอยู่ข้างหลัง มันยาวจนถึงขอบกระโปรงสั้นๆ ของเธอทีเดียว “ชายคนนั้นเถรตรงได้ทุกเรื่อง ในหัวคิดแต่เรื่องหน้าที่ ไม่เคยสนใจสิ่งที่นอกเหนือจากนั้น”

                “นี่ซินิท ลูกสาวข้า” โกลด์แมนแนะนำ “ซินิท ทักทายเลดี้ไอวิวรี่หน่อยลูก”

                “ยินดีที่ได้พบท่านค่ะ” ซินิท โกลด์แมนเข้ามานั่งเก้าอี้ข้างๆ ซอร์โรร่า ซอร์โรร่าส่งยิ้มหวานให้อีก “ข้าเคยเห็นท่านไปปราศรัยตามสถานที่ต่างๆ เพื่อปกป้องพวกดาร์คเนสดีวิล ข้าชื่นชมในความแน่วแน่ของท่านจริงๆ ค่ะ ถึงข้าจะไม่ได้ญาติดีอะไรกับพวกดาร์คเนสดีวิลเหมือนท่านก็เถอะ แหม ท่านสวยกว่าที่ข้าคิดมากเมื่อมองใกล้ๆ ข้าอิจฉาผิวของท่านจังเลย”

                “ผิวของท่านก็สวยเหมือนกันค่ะ” ซอร์โรร่าเอามือลูบหน้าอีกฝ่าย ตาเป็นประกายเยิ้ม “ผมของท่านก็สวย รู้ไหมว่าผู้หญิงที่มีผมยาวสีดำ และนัยน์ตาสีเขียวอย่างท่านนั้น มีเสน่ห์รุนแรงนะ”

                โกลด์แมนเริ่มทำหน้าแปลกๆ เขาเคยได้ยินมาว่า ซอร์โรร่าสนใจในเพศเดียวกัน

                “นี่ลูก พ่อรู้สึกว่าชุดของลูกมันเกินไปหน่อยนะ” เขางึมงำ “เดี๋ยวคนอื่นจะคิดว่าลูกเป็น--”

                “คนอื่นที่ว่านั่นก็มีแต่พวกหัวโบราณใกล้ลงโลงเท่านั้นล่ะค่ะ นี่มันยุคไหนสมัยไหนแล้ว ถ้าคนที่แต่งตัวแบบข้าถูกมองว่าเป็นผู้หญิงขายตัว ก็คงขายตัวกันครึ่งอาณาจักรแล้ว” ซินิทว่า “ข้าต้องจมอยู่กับเลือด เนื้อหนัง กระดูก แล้วก็เครื่องยาฉุนๆ อย่างน้อยข้าก็ขอแต่งตัวให้สวยเพื่อชดเชยบ้าง”

                “นั่นสิคะ อย่าตำหนิเธอเลย” ซอร์โรร่าสนับสนุน “ข้าเองก็อยากแต่งตัวเหมือนเธอเลย เพียงแต่รูปร่างของข้าไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่”

                “ท่านรูปร่างสวยจะตาย” ซินิทแย้ง “ท่านสูงเพรียว ขาเรียวยาว คงดูแลน้ำหนักดีมาก”

                “ก็ใช่” ซอร์โรร่ากระซิบ “แต่ข้าคิดว่าตนไม่ค่อยจะมีหน้าอกนัก”

                “ลูกอยากจะแต่งตัวแบบไหน พ่อก็ไม่ได้บังคับ” โกลด์แมนยอมตาม “ก็แค่บอกว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับลูกเท่านั้นเอง ถ้าลูกไม่สนใจคนพวกนั้นก็แล้วไป ไม่มีปัญหาอะไร”

                โกลด์แมนเหมือนกับอาร์รอสตรงที่ค่อนข้างตามใจลูกสาว อาจเป็นเพราะมีลูกสาวแค่คนเดียว หรือไม่ก็เพราะมีประสบการณ์ไม่ดีกับการถูกตีกรอบ หรือไม่ก็เพราะเป็นคนที่ฉลาดรู้จักคิด คนฉลาดมักจะปล่อยให้ลูกได้รู้จักใช้ความคิด และได้เรียนรู้บทเรียนต่างๆ ด้วยตนเองบ้าง

                “ท่านทราบไหมคะ ว่าพ่อข้าเคยไปทำโครงการที่โฟรเซ็นทิเนลด้วย” ซินิทบอกซอร์โรร่า “เขาไปศึกษากายวิภาคของปีศาจ แล้วก็วิจัยตัวยา ตลอดจนตรวจรักษาพวกดาร์คเนสดีวิลด้วย”

                “จริงหรือคะ” ซอร์โรร่าหันมามองโกลด์แมนอย่างชื่นชม

                “นานมากแล้ว ก่อนที่ท่านจะเกิดเสียด้วยซ้ำ” โกลด์แมนบอก “โครงการของข้าได้รับการสนับสนุนจากอาร์รอสพ่อของท่าน เขาก็ไปทำหน้าที่ที่โฟรเซ็นทิเนลเช่นกัน ตอนนั้นพระราชาไม่ชอบหน้าข้า จึงส่งข้าไปทำโครงการในดินแดนที่ไม่น่าอยู่ เหมือนที่พระองค์กำลังทำอีกในตอนนี้ ข้าขอสารภาพว่าโครงการของข้าไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของพวกดาร์คเนสดีวิลโดยตรงหรอก มนุษย์เราต้องการให้ข้าศึกษาเกี่ยวกับร่างกายของพวกดาร์คเนสดีวิล เพื่อให้รู้จุดอ่อนจุดแข็งหากพวกนั้นเกิดแข็งข้อ อีกทั้งยังเป็นการทดลองยาทางอ้อม ข้าไม่พูดหรอกว่าโครงการของข้ามันน่ายกย่อง ดาร์คเนสดีวิลหลายคนที่เดาเรื่องนี้ออกก็ไม่ชอบหน้าข้า อย่างไรก็ตาม ข้าก็ดีใจที่โครงการของข้าไม่ได้ทำร้ายดาร์คเนสดีวิลเลยสักคนเดียว อีกทั้งยังช่วยรักษาดาร์คเนสดีวิลหลายคน และนำความรู้ทางการแพทย์ใหม่ๆ ไปเผยแพร่ให้พวกนั้นด้วย”

                “ไม่ว่าท่านจะทำด้วยความตั้งใจหรือไม่ ข้าก็ขอบคุณท่านจริงๆ ค่ะ” ซอร์โรร่าพูดอย่างซาบซึ้ง

                “ถ้าพระราชารู้ความจริงเข้า แม้แต่ข้าก็คงไม่รู้สึกขอบคุณตัวเองแน่” โกลด์แมนหัวเราะ “แต่มันก็นานมาแล้ว และมันก็ไม่ใช่ปัญหาสำคัญอะไรสำหรับพระองค์อีกต่อไปในตอนนี้ การที่พวกดาร์คเนสดีวิลได้ประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ จากความรู้ทางการแพทย์ของข้า ไม่ทำให้พระองค์ปวดหัวเท่ากำแพงน้ำแข็งสูงลิบลิ่วสามชั้น ที่เต็มไปด้วยปีศาจหุ้มเกราะติดอาวุธสงครามครบครัน สิ่งใดหนอที่เป็นแรงบันดาลใจให้พวกดาร์คเนสดีวิลผลักดันตัวเอง จนมีพลังมหาศาลถึงเพียงนี้”

                ซอร์โรร่ามองน้ำแอปเปิลในแก้วของตน ภาพความทรงจำในอดีตย้อนกลับมาให้เห็น เธอเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ยื่นผลแอปเปิลให้เด็กชายดาร์คเนสดีวิลในชุดผ้าคลุมฮู้ดเก่าๆ โทรมๆ พร้อมด้วยความเมตตาจริงใจ ป่านนี้เด็กชายปีศาจที่น่าสงสารคนนั้นจะเป็นตายร้ายดียังไงแล้วหนอ

                “ข้ายินดีมากค่ะ ที่ท่านจะร่วมเดินทางไปทำโครงการที่ไอซ์เมสกับเรา” ซินิทดึงซอร์โรร่ากลับมาสู่โลกความจริง “อย่างน้อย ข้าก็จะได้มีเพื่อนคุย”

                “ท่านก็ไปด้วยหรือคะ” ซอร์โรร่าเอียงคอยิ้ม

                “เธออาสาขอไปด้วย” โกลด์แมนส่ายหน้า “ข้าก็เตือนแล้วว่ามันไม่สนุกอะไรหรอก ซ้ำจะลำบากอีก แต่เธอก็กระตือรือร้นอยากมีส่วนร่วมมาก หนุ่มสาววัยนี้ไฟแรงเสมอ ข้าเองก็ไม่อยากจะขัดศรัทธาลูกสาวในช่วงที่เธอกำลังมีแรงผลักดัน จะว่าไปแล้ว ข้าก็โชคดีที่มีลูกที่อยากเดินตามรอยเท้าพ่อ เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยเอาอย่างพ่อแม่นัก”

                “ท่านคงหมายถึงข้าใช่ไหมคะ” ซอร์โรร่าไขว่ห้าง เท้าคางยิ้ม

                “ทุกคนล้วนมีความชอบ ความสนใจ และความถนัดไม่เหมือนกัน แม่หนู” โกลด์แมนกล่าว “มันไม่เสียหายที่จะไม่ตามรอยเท้าผู้ให้กำเนิด ชีวิตเราเป็นของเรา เราย่อมรู้ดีที่สุดว่าอะไรดีสำหรับเรา ดูอย่างเจ้าชายอโลบัสสิ เขาไม่ก้าวตามพระราชาแม้แต่น้อย นั่นทำให้เขาฉลาดกว่าและน่ารำคาญน้อยกว่า เอ้อ! จะเป็นการดีนะ ถ้าท่านทำเป็นไม่ได้ยินประโยคหลังของข้า”

                “ข้าเคยพูดแรงกว่านี้เยอะค่ะ” ซอร์โรร่าหัวเราะ

                “ระหว่างนี้ ข้าหวังว่าท่านจะได้รับความสะดวกจะสบายจากการพักอยู่ที่นี่นะแม่หนู อีกไม่นานเราจะต้องเดินทางไปไอซ์เมสพร้อมกัน” โกลด์แมนบอก

                “จะเป็นการรบกวนไหมคะ หากข้าจะขอศึกษาบันทึกความรู้ของท่านเกี่ยวกับกายวิภาคของพวกดาร์คเนสดีวิล ระหว่างอยู่ที่นี่” ซอร์โรร่าสนอกสนใจเต็มที่ “อะไรที่ท่านรู้เกี่ยวกับพวกนั้น ตอนที่ท่านยังทำโครงการที่โฟรเซ็นทิเนล ข้าก็อยากมีส่วนรับรู้ด้วย”

                “คนที่เปี่ยมไปด้วยความรู้อย่างข้า จะปฏิเสธสาวน้อยที่กระหายความรู้ในเรื่องที่เธอสนใจได้ยังไงล่ะ” โกลด์แมนประสานมืออย่างยินดี “ข้ายินดีช่วยท่านเต็มที่สาวน้อย ขอให้บอกเถิด”

                “ท่านน่ารักที่สุดเลยค่ะ” ซอร์โรร่าลุกขึ้น ชะโงกตัวข้ามโต๊ะไปหอมแก้มโกลด์แมนฟอดใหญ่ โกลด์แมนกระพริบตางงๆ ซินิทหัวเราะชอบใจ

                “ท่านนี่คลั่งปีศาจเข้าสายเลือดเลยจริงๆ” แพทย์หลวงส่ายหน้ายิ้มๆ

                “ท่านคิดไม่ถึงหรอกค่ะ” ซอร์โรร่าหัวเราะคิกคัก

                “นี่ ขอร้องอะไรอย่างนะแม่สาวน้อย”

                “อะไรคะ”

                “อย่าให้พระราชารู้ล่ะ ว่าข้าให้การสนับสนุนความคลั่งของท่าน ไม่อย่างนั้น เราทั้งคู่อาจได้อยู่ที่ไอซ์เมสกันตลอดชีวิตแน่”

 

********************

 

                “ถอนสมอเรือทุกลำ กางใบเรือเต็มที่ เอาพายลงน้ำ”

                เทอร์ริน เฮนิเคม ผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค ยืนสั่งการอยู่บนเรือบัญชาการ แตรเขาสัตว์ในมือยกเป่าส่งสัญญาณ เขาสวมเกราะพร้อมออกศึก เช่นเดียวกับกอร์รินน้องชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์ พอร์ล็อก แดโมมิกซ์ เกร็ฟเฟ็ท โฟเดเซีย และทอร์น แอนดรอส เพื่อนๆ ของเทอร์รินได้แยกย้ายไปประจำอยู่บนเรือของตนแล้ว พวกเขากำลังรอสัญญาณเคลื่อนทัพ

                “ข้าจะนำกำลังพลล่อทัพเรือมนุษย์ขึ้นเหนือ บริเวณเมืองโกลเดนแลนด์ เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม เจ้าและกองกำลังของเจ้าจะต้องยกพลขึ้นบกที่ชายฝั่งซาโมโรว์” เทอร์รินบอกกอร์ริน “ทำให้แน่ใจว่าพวกดาร์คเนสดีวิลล่อศัตรูอีกส่วนหนึ่งออกไปพ้นทางเจ้าก็แล้วกัน เพราะกองกำลังของเจ้ามีแค่ห้าลำเรือ”

                “เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว มากเกินไปพวกมนุษย์จะสังเกตได้” กอร์รินกล่าว

                “ครั้งนี้ข้าเชื่อใจเจ้า อย่าทำให้ข้าผิดหวัง” เทอร์รินพูด “หากปฏิบัติการครั้งนี้ผิดพลาด เราจะเสียหายหนัก และตกอยู่ในสภาวะเสี่ยง มากกว่าที่ควรจะเป็น”

                “ไว้ใจข้าได้ มันจะต้องสำเร็จ” กอร์รินยืนยัน

                “โชคดีกับภารกิจ น้องชาย” เทอร์รินจับมือกับกอร์ริน แล้วก็ดึงแขนเข้ามาเอาไหล่ชนกัน เกราะเหล็กของทั้งคู่กระแทกกันดังโครม เป็นการทักทายของเผ่าพันธุ์โฮเซ่

                กอร์รินเดินข้ามสะพานที่วางพาดระหว่างเรือสองลำกลับไปยังเรือของตน เรือทั้งห้าลำในกองเรือของกอร์รินนั้นลำเล็กกว่า ถูกทาสีให้พรางไปกับน้ำทะเลและโขดหินเกาะแก่ง แต่ละลำพ่วงเรือบดมากเป็นพิเศษ ทหารในเรือของเทอร์รินเก็บสะพานเรือ เทอร์รินเป่าแตรดังสนั่น เป็นสัญญาณให้เริ่มเคลื่อนทัพเรือ

                “ออกเดินทัพ” เขาตะโกนสุดเสียง

                แล้วเรือบัญชาการของเทอร์รินก็แล่นออกนำหน้าไป ฝีพายเริ่มกรรเชียงเรือเป็นจังหวะอย่างแข็งขัน เรือของกอร์รินกับท็อกซ์ฟ็อกส์แยกไปอีกทาง พวกโฮเซ่กำลังมุ่งหน้าสู่อาณาจักรโมราโซมอส พร้อมด้วยอาวุธปืนใหญ่และกองกำลังทหาร แน่นอนว่ามีไม่มากเท่าอีกฝ่าย แต่ด้วยแผนการกลยุทธ์อันแนบเนียน และการมีพวกดาร์คเนสดีวิลร่วมปฏิบัติการด้วย เชื่อว่าจะสามารถต่อกรกับพวกมนุษย์ได้

                เมื่อแล่นไปได้สักพัก ท็อกซ์ฟ็อกซ์ก็ข้ามมายังเรือของกอร์ริน เพื่อหารือเรื่องแผนการ

                “เมื่อเทอร์รินล่อทัพเรือมนุษย์ส่วนใหญ่ขึ้นเหนือ เขาจะถูกรุกไล่” ท็อกซ์ฟ็อกส์ไล่นิ้วในแผนที่ “กองเรือของเขาจะได้รับความเสียหาย ซึ่งก็ถือว่าเป็นกองเรือเกือบทั้งหมดของโฮเซ่”

                “เล่นหมากรุกก็ต้องยอมเสียหมาก เพื่อเปิดทางโจมตี” กอร์รินกล่าว “ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงเขา ท่านเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเขา แต่เขาก็พี่ชายของข้าเหมือนกัน ข้าไม่ได้เป็นห่วงเขาน้อยไปกว่าท่านเลย เทอร์รินเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจ ฝีมือรบก็เก่ง ข้าเชื่อว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ในเมื่อเขามอบหมายหน้าที่ให้เรา เราก็ต้องทำส่วนของเราให้ดีที่สุดก็เป็นพอ”

                “เราจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าพวกดาร์คเนสดีวิลสามารถล่อกองเรืออีกส่วนหนึ่งไปให้พ้นทางเราได้” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูดอย่างไม่ไว้ใจ

                “เรามีแผนการของเรา พวกเขาก็มีแผนการของพวกเขา” กอร์รินพูด

                “แล้วท่านจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าแผนของพวกนั้นจะได้ผล”

                “ลูกตาเราก็มี เพื่อนฝูง” กอร์รินพูดอย่างเหลืออด “ถ้าเราส่งเรือสอดแนมไปเห็นกองเรือของพวกมนุษย์อยู่เต็มชายฝั่งซาโมโรว์ ก็แสดงว่าแผนของพวกดาร์คเนสดีวิลไม่ได้ผล แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ก็แสดงว่าแผนของพวกดาร์คเนสดีวิลได้ผล”

                ท็อกซ์ฟ็อกซ์นิ่งเงียบเมื่อเจอคำตอบนี้เข้าไป

                “ไม่ต้องกังวลเรื่องกองเรือมนุษย์ที่โจมตีกองเรือของเทอร์ริน เมื่อเรายกพลขึ้นบกที่ซาโมโรว์ พวกมนุษย์จะตระหนักได้ว่าถูกหลอกล่อ พวกมันจะถอนกำลังกลับมากู้เมืองซาโมโรว์ กองเรือของเทอร์รินจะปลอดภัย” กอร์รินทำสัญลักษณ์ในแผนที่ “จากนั้นก็จะเป็นหน้าที่ของเรา ที่จะใช้ฐานทัพเรือของพวกมันตั้งรับพวกมันเอง ด้วยความได้เปรียบของพื้นที่และการมีกองกำลังดาร์คเนสดีวิลมาช่วยเสริม ข้าเชื่อว่าเราจะสามารถต้านการบุกของกองเรือพวกมนุษย์ได้”

                “แล้วถ้าเกิดพวกดาร์คเนสดีวิลไม่โผล่มาล่ะ หากพวกนั้นทิ้งให้เราตั้งรับทัพเรือมนุษย์โดยลำพัง เราไม่ตกอยู่ในวงล้อมพวกมนุษย์ตายกันหมดหรือ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ว่า

                “แล้วอะไรไปขวางไม่ให้พวกนั้นมาล่ะ” กอร์รินส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “ฟังนะ ท่านอาจมีอคติกับพวกดาร์คเนสดีวิล พวกนั้นอาจเป็นสิ่งเลวร้ายในสายตาของท่าน แต่ความจริงก็คือ พวกนั้นเกลียดพวกมนุษย์ไม่น้อยกว่าเราเลย และพวกนั้นก็พร้อมจะร่วมมือกับเราเพื่อเล่นงานพวกมนุษย์ ฉะนั้น หากท่านมีปัญหาส่วนตัวอะไรกับพวกปีศาจ ก็ช่วยให้มันผ่านพ้นปฏิบัติการครั้งนี้ไปก่อนได้ไหม เมื่อเสร็จงานแล้ว ท่านจะไปท้าตีท้าต่อยกับปีศาจคนใด ข้าก็ไม่ห้าม”

                “ข้ารู้จักแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออก ขอบคุณ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์กัดฟันพูด “แต่ความกังวลของข้ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องงาน หากพวกดาร์คเนสดีวิลทำให้งานเสีย ท่านก็รู้ใช่ไหมว่าจะเกิดความเสียหายตามมามากแค่ไหน ปฏิบัติการครั้งนี้มีความสำคัญ มันจะเกิดความผิดพลาดไม่ได้”

                “เอาล่ะ ข้าเหนื่อยที่จะข้องอกข้องใจท่านแล้ว” กอร์รินอดรนทนไม่ไหว “บอกข้ามาสิซีราส อะไรทำให้ท่านจงเกลียดจงชังพวกดาร์คเนสดีวิลมากขนาดนี้ เล่าประสบการณ์อันไม่น่าพิสมัยระหว่างท่านกับพวกปีศาจให้ข้าฟังที จะได้เกิดความกระจ่างแก่ข้ามากขึ้น”

                “ท่านอยากจะฟังจริงๆ หรือ”

                “แน่นอนข้าอยากฟัง เรายังต้องเดินทางอีกไกล มีเวลาถมเถ”

                “ตอนนั้นข้าน่าจะอายุประมาณสามปี ท่านยังไม่เกิด” ท็อกซ์ฟ็อกซ์เริ่มเล่า “พ่อของท่าน พ่อของข้า และกองกำลังจำนวนหนึ่ง เดินทางผ่านดินแดนร้างบริเวณอาณาจักรโมราโซมอส พวกเราพบกองกำลังดาร์คเนสดีวิลและเฟลมฟอร์สปะทะกันอยู่ พวกมนุษย์น่าจะมอบหมายให้ดาร์คเนสดีวิลกลุ่มนี้ลาดตระเวนอยู่รอบนอกอาณาจักรโมราโซมอส เพื่อคอยเฝ้าระวังหน่วยสอดแนมเฟลมฟอร์ส”

                “ใช้คนอื่นทำงานอันตรายที่ตนไม่กล้าทำ สมเป็นพวกมนุษย์” กอร์รินพึมพำ

                “พวกดาร์คเนสดีวิลกำลังเสียเปรียบ พวกเฟลมฟอร์สมีจำนวนมากกว่า และการต่อสู้กับพวกเฟลมฟอร์สในที่โล่งนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำเลย” ท็อกซ์ฟ็อกซ์เล่าต่อ “พ่อของข้าเป็นคนดีมีน้ำใจ อยากจะเข้าไปช่วยพวกดาร์คเนสดีวิล แต่โฮเซ่คนอื่นๆ ไม่ขอเสี่ยงด้วย พ่อของข้าจึงขี่ม้าเข้าไปในสนามรบคนเดียว แม้คนอื่นๆ จะพยายามห้ามปราม มีดาร์คเนสดีวิลคนหนึ่งกำลังจะถูกฆ่า ทหารเฟลมฟอร์สสองคนเล็งธนูใส่เขาในมุมที่มองไม่เห็น เขาคงจะตายไปแล้ว ถ้าพ่อข้าไม่ขว้างขวานไปจัดการกับทหารเฟลมฟอร์สทั้งสองคนนั้นก่อน โชคร้ายที่มุมขว้างมันจำกัดมาก ก่อนที่ขวานจะลอยไปถึงเป้าหมาย มันก็บาดคอดาร์คเนสดีวิลคนนั้นเล็กน้อย เจ้าปีศาจคนนั้นไม่ยอมสังเกตว่าพ่อข้าช่วยชีวิตเขาไว้ เขาคิดด้วยสมองกลวงๆ ว่าพ่อของข้าโจมตีเขา เขาพุ่งหอกสวนกลับมา เสียบเข้ากลางหัวใจพ่อข้าตายคาที่”

                กอร์รินอ้าปากค้าง

                “แล้วพวกมนุษย์ก็ส่งกำลังเสริมมาช่วย เจ้าปีศาจที่ฆ่าพ่อข้าก็รอดชีวิต ขณะที่คนที่ช่วยชีวิตเขากลับนอนตายอยู่ตรงนั้น ด้วยน้ำมือของเขาเอง” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูด “พ่อของท่านและกองกำลังที่เหลือจะเข้าไปเก็บศพพ่อของข้าก็ไม่ได้ เพราะมีพวกมนุษย์อยู่เต็มไปหมด พวกมันคงเอาศพพ่อของข้าไปเผาทิ้งโดยเข้าใจว่าเป็นโฮเซ่คนหนึ่ง ที่เข้าร่วมกับเฟลมฟอร์ส”

                “ข้า” กอร์รินกระซิบ “ไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย”

                “เมื่อพ่อข้าตาย ชีวิตของข้าก็ลำบาก ท่านก็รู้ใช่ไหมว่าการเมืองสมัยนั้นมันเป็นยังไง ขุนนางที่ไม่ลงรอยกับพ่อข้ามีเต็มไปหมด ข้าต้องพบเจอกับประสบการณ์แย่ๆ โดยไม่จำเป็น แต่ละเรื่องมันไม่น่าจดจำทั้งนั้น คนมากมายมองว่าพ่อข้าถูกใช้เป็นเครื่องมือให้พวกมนุษย์ประกาศสงครามกับเรา ซึ่งข้าก็ยังไม่รู้ว่าอะไรทำให้พวกเขาคิดอย่างนั้น แต่ที่แน่ๆ มันทำให้ชื่อเสียงตระกูลของข้าต้องมีมลทิน” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูด ความลำบากในวัยเยาว์ของเขา คงทำให้เขาเป็นคนใจร้อนอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่ทุกวันนี้ “พ่อของข้าเป็นแม่ทัพเรือฝีมือดี หาใครมาเทียบความสามารถได้ยาก เมื่อขาดเขา ประสิทธิภาพของกองทัพเรือก็ลดลง เราต่อกรกับทัพเรือเฟลมฟอร์สได้ลำบากขึ้น แพ้มากขึ้น สูญเสียมากขึ้น คิดดูสิกอร์ริน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะ การทำคุณบูชาโทษ”

                กอร์รินนิ่งเงียบ

                “ส่วนเจ้าดาร์คเนสดีวิลคนที่ฆ่าพ่อข้า เขากลับได้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าปีศาจในเผ่าพันธุ์ เป็นวีรบุรุษของดาร์คเนสดีวิล เป็นแรงบันดาลใจให้ปีศาจรุ่นหลังหลายๆ คน” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูดอย่างดูถูก “เป็นหนึ่งในคณะผู้นำโฟรเซ็นทิเนล เป็นนักเขียนผู้โด่งดัง มีตราสัญลักษณ์เป็นปากกาขนนกที่มีปลายปากกาเป็นสามง่าม”

                “เดอะ โนเวลิสท์” กอร์รินกระซิบ “เอโมลิล แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม”

                “ใช่แล้ว อาสุดที่รักของเพื่อนปีศาจของท่าน” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูด “คือคนที่ฆ่าพ่อของข้า”

                “แต่ซีราส มันอาจเป็นอุบัติเหตุ”

                “อุบัติเหตุหรือตั้งใจ มันส่งผลที่ต่างกันนักหรือไง” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ย้อน “คำว่าอุบัติเหตุ มันทำให้การสูญเสียลดลงหรือไง ดาร์คเนสดีวิลผู้เป็นอา ทำให้เราเกิดความสูญเสียอันใหญ่หลวงมาแล้ว เราควรยอมให้ดาร์คเนสดีวิลผู้เป็นหลานมาเสี่ยงทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยหรือ พวกปีศาจไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่เราจะควรร่วมงานด้วยกอร์ริน ท่านเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าธรรมชาติของปีศาจคือมีโลกส่วนตัวสูง มีพื้นที่ของตัวเอง ไม่สุงสิงยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่ชอบให้ใครไปยุ่งเกี่ยงกับตน ไม่เหมาะจะเป็นมิตรกับใครทั้งนั้น แม้แต่พวกไซคัสก็ยังไม่สร้างลูกแก้วประจำเผ่าพันธุ์ให้พวกนั้นเลย เหตุผลหนึ่งก็เพราะถึงสร้างให้ ยังไงก็คงไม่มีเผ่าพันธุ์ใดอยากเอาของตนไปแลกด้วย”

                “เดอะ โนเวลิสท์ตายไปแล้ว และโซลิแทร์ก็ไม่ใช่เขา” กอร์รินเถียง “จริงอยู่ ท่านพูดถูก ธรรมชาติของพวกปีศาจนั้นไม่ค่อยเป็นมิตรกับเผ่าพันธุ์อื่นนัก แต่ธรรมชาติของพวกปีศาจก็เกลียดการถูกคุกคาม พวกเขาพร้อมที่จะเป็นมิตรกับใครก็ตามที่ช่วยเล่นงานพวกมนุษย์จอมคุกคาม ข้าไม่ได้บอกว่าเราจะต้องร่วมมือกับพวกนั้นตลอดไป ขอแค่ร่วมมือในปฏิบัติการครั้งนี้ หากมันสำเร็จ เราก็ค่อยพิจารณาอีกทีว่าจะเอายังไงต่อ”

                “แล้วถ้าหากมันล้มเหลวล่ะ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ย้อนกลับ “เราจะเสียหายมากแค่ไหน ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกครั้ง เผ่าพันธุ์ของเราจะต้องสูญเสียหนัก เพราะพวกดาร์คเนสดีวิลอีกครั้งหรือ”

                “ปฏิบัติการดำเนินไปแล้ว เราตัดสินใจกันในที่ประชุมกันเรียบร้อยแล้ว ผู้นำสูงสุดของเราก็สรุปผลการประชุมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” กอร์รินหมดความอดทนที่จะเถียงด้วย “ข้ารู้ว่าท่านห่วงใยเผ่าพันธุ์ของเรา ท่านหวังดีต่อแบร์ร็อคอย่างที่เป็นมาตลอด และข้าก็ซาบซึ้งในตัวท่าน แต่มันสายไปแล้วที่จะยกเลิกปฏิบัติการซีราส ในเมื่อผู้นำสูงสุดของเราเลือกที่จะดำเนินปฏิบัติการครั้งนี้ และเราสองคนก็อาสาเข้าร่วมภารกิจ เราก็ต้องทำหน้าที่ของเรา อย่างที่ควรจะทำ”   

                “ข้าเคารพการตัดสินใจของเทอร์รินเสมอ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พึมพำ “แม้บางครั้ง มันจะเป็นการตัดสินใจที่ไม่เหมาะสมนักก็ตาม”

                “ซึ่งครั้งนี้ ท่านก็จะเคารพการตัดสินใจของเขาเช่นกัน แม้จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจแค่ไหนก็ตาม” กอร์รินต่อประโยคให้แกมบังคับ “เพราะแม้ว่าท่านจะใจร้อนวู่วาม หรือเจ้าอารมณ์เพียงใด ท่านก็เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ที่สุดของเขาเสมอ ซึ่งนั่นก็ทำให้ข้าชื่นชมท่านมาตลอด”

                ท็อกซ์ฟ็อกซ์กระดกแก้วเหล้าในมือเข้าปากรวดเดียว แล้ววางแก้วลงบนโต๊ะแรงๆ อย่างไม่สบอารมณ์นัก

                “ข้าขอตัวกลับเรือของข้า” เขาพูดเสียงห้าว “หากมีสิ่งใดให้ช่วยเหลือ เรียกข้าได้ตลอดเวลา”

                “ข้าขอรบกวนท่านเพียงเท่านี้ โปรดพักผ่อนให้สบาย” กอร์รินโค้งศีรษะ “เมื่อใกล้ถึงชายฝั่งโมราโซมอส ข้าจะต้องการความสามารถอันสูงส่งของท่านแน่”

                ท็อกซ์ฟ็อกซ์ลุกเดินออกจากห้องไป กระแทกประตูปิดตามหลังดังลั่น กอร์รินดื่มเหล้าในแก้วอย่างไม่ใส่ใจ ชินแล้วกับอารมณ์ฉุนเฉียวของเพื่อนพี่ชาย ถึงท็อกซ์ฟ็อกซ์จะเจ้าอารมณ์ไปหน่อย แต่เขาก็เป็นคนที่มีความสามารถสูง และเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์มากทีเดียว

 

********************

 

                กัปตันมาซูลเดินอยู่ริมระเบียงป้อมปราการดำ ปราสาทป้อมปราการที่อยู่หลังกำแพงน้ำแข็งชั้นที่สาม มีไว้เป็นที่พักของเหล่าผู้นำแห่งโฟรเซ็นทิเนล และเป็นปราการรับศึกในกรณีที่กำแพงทั้งสามชั้นแตก ระเบียงที่เขาเดินอยู่นี้สูงมากทีเดียว สามารถมองออกไปเห็นทิวทัศน์ได้ไกลสุดลูกหูลูกตา มีเสียงหายใจหนักๆ และเสียงเกราะกระทบกันเบาๆ ดังมาจากขอบระเบียง โซลิแทร์ในชุดเกราะครบชุดกำลังโหนขอบระเบียงด้านนอกด้วยท่าโหนดึงข้อ นับว่าไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปควรทำนัก หากพลัดตกลงไปก็มีแต่ตายกับตาย ชุดเกราะที่เขาสวมอยู่ทั่วตัวก็ทำด้วยโลหะ มันไม่ได้มีน้ำหนักเบาๆ  มิหนำซ้ำยังมีลมพัดค่อนข้างแรงและมีละอองหิมะโปรยปรายไม่ขาดสาย ขอบระเบียงที่จับอยู่ก็มีความลื่น ต้องอาศัยความแข็งแรงและการทรงตัวที่ดีเป็นพิเศษ แต่โซลิแทร์ก็ทำได้ไม่ติดไม่ขัด เหมือนกับทำมานับไม่ถ้วนแล้ว

                “จะมีวันไหนหนอ ที่ข้าเห็นจะท่านออกกำลังกายเหมือนคนปกติเขาบ้าง” กัปตันมาซูลเดินมาเกาะขอบระเบียง “เข้าใจเลือกสถานที่นะ อย่างน้อยตกลงไปก็จะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานนัก”

                “วันนี้อากาศเหมาะสมกับการออกกำลังกายแบบนี้สหาย แล้วบนนี้ก็เป็นตำแหน่งที่เหมาะสมกับสภาพอากาศที่ว่า” โซลิแทร์พูดไปดึงข้อไป ระดับเสียงและการหายใจผ่านหน้ากากค่อนข้างสม่ำเสมอ “และพาหนะของข้าก็มักจะบินสูง ข้าต้องชินกับการทำสิ่งต่างๆ บนที่สูงเข้าไว้”

                “ข้าว่าท่านชินกับมันตั้งนานแล้ว” กัปตันมาซูลส่ายหน้า “เหมือนที่ท่านชินกับชุดเกราะของท่าน ดูเหมือนว่ามันจะไม่ทำให้การเคลื่อนไหวของท่านติดขัดเลยนะ”

                “เสื้อเกราะของข้ามันเป็นเกราะห่วงโซ่ เป็นเกราะอ่อน มันทำให้ข้าเคลื่อนไหวได้สะดวก” โซลิแทร์ว่า “เสียตรงที่เกราะอ่อนจะทานทนคมอาวุธได้ไม่ดีเท่าเกราะแข็ง แต่มาร์คาร์ช่างตีเหล็กคนเก่งของเราบอกว่าจะทำเสื้อเกราะห่วงโซ่ตัวใหม่ให้ข้า เป็นเกราะอ่อนที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าเกราะแข็งเสียอีก ซึ่งข้าต้องรอไปก่อน เพราะงานเขายุ่งมาก บางทีอาจต้องรออีกนานทีเดียว”

                “พวกเอเลนเซฟเวอรี่มีจำนวนมาก แม้ว่าพวกช่างตีเหล็กจะใช้เครื่องทุ่นแรง ใช้เครื่องไม้เครื่องมืออุตสาหกรรมในการผลิตเกราะให้พวกมัน แต่ก็ยังผลิตเกราะให้ไม่ครบทุกตัวเสียที ด้วยจำนวนที่มากมายของพวกมัน” กัปตันมาซูลบอก “นั่นล่ะ ที่ทำให้พวกเขางานยุ่ง”

                “อีกไม่นานก็ครบแล้ว เอเลนเซฟเวอรี่ทุกตัวจะมีเกราะสวม” โซลิแทร์เว้นจังหวะหายใจ “เชื่อข้าเถิดกัปตันมาซูล ว่ามีนักรบมากเกินจำนวนเกราะ ดีกว่ามีเกราะมากเกินจำนวนนักรบ เพราะเกราะมันจับดาบเดินไปฟาดกะโหลกศัตรูเองไม่ได้”

                “ไม่รู้สึกหายใจลำบากหรือ สวมหน้ากากออกกำลังกายแบบนั้น” กัปตันมาซูลถามอย่างสงสัย “มันไม่มีช่องระบายอากาศเลยนะนั่น”

                “มันมี แค่เล็กมากจนมองตาเปล่าไม่เห็น มันช่วยกรองอากาศไม่ให้ฝุ่นละอองผ่านเข้ามาด้วย สามารถใส่ไปลุยพายุหิมะหรือพายุทรายได้สบาย” โซลิแทร์บรรยายสรรพคุณ “คุณสมบัติพิเศษของเส้นใยโลหะ อาจารย์เซซิลจอมอัจฉริยะคิดค้นมันขึ้นมาได้นานมากแล้ว ข้ายอมรับเลยว่าเขาเป็นคนที่เก่งเรื่องเล่นแร่แปรธาตุและสารเคมีมากที่สุดที่ข้าเคยพบมา”

                “ได้ยินว่าตอนหนุ่มๆ เขาสติเฟื่องและกวนประสาทมาก”

                “อัจฉริยะที่ไหนบ้างที่ไม่เพี้ยน สหาย” โซลิแทร์ดึงข้อขึ้นมาพูดกับอีกฝ่าย

                “ก็จริง แต่บางคนก็เพี้ยนมากไปหน่อย” กัปตันมาซูลกอดอก มองโซลิแทร์ “ทัพเรือโฮเซ่เริ่มเคลื่อนพลแล้ว มุ่งหน้าไปทางชายฝั่งเมืองโกลเดนแลนด์”

                โซลิแทร์เหวี่ยงตัวตีลังกาโหกสูงกลับขึ้นมาบนระเบียงอย่างนุ่มนวล

                “นั่นเป็นทัพเรือเกือบทั้งหมดที่พวกโฮเซ่เหลืออยู่ ไม่ได้มีจำนวนน้อยๆ” โซลิแทร์สะบัดผ้าคลุมให้คลุมตัวมิดชิด “พวกมนุษย์จะต้องแบ่งกองเรือหลวงจากฐานทัพเรือซาโมโรว์ไปเสริมที่ชายฝั่งโกลเดนแลนด์เพื่อต้านการบุก รวมทั้งขับไล่ตอบโต้”

                “ก็จะเหลือกองเรืออีกส่วนหนึ่งที่มีจำนวนน้อยกว่าไว้คุมฐานทัพเรือซาโมโรว์” กัปตันมาซูลพูดต่อ“เป็นหน้าที่ของเรา ที่จะล่อกองเรือส่วนนั้น ให้ออกห่างจากฐานทัพเรือซาโมโรว์”

                “กองทหารม้าปีศาจที่เราคัดเลือกไว้ ควรจะเริ่มเคลื่อนพลทันทีที่ถึงเวลา” โซลิแทร์พูด “ข้าต้องการให้พวกเขาเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมสำหรับสู้ศึก”

                “ข้าจะไปสั่งการพวกเขา” กัปตันมาซูลทำแขนกากบาท

                “ข้าไปเอง” โซลิแทร์ยกมือห้าม “ควรให้เวลาท่านได้ออกกำลังกายบ้าง ท่านเองก็ต้องเตรียมความพร้อมสำหรับศึกครั้งนี้เช่นกัน”

                “ก็ดีเหมือนกัน” กัปตันมาซูลพยักหน้า “ข้าต้องการให้ร่างกายมีความพร้อม สำหรับฆ่าพวกมนุษย์ให้มากที่สุด”

                โซลิแทร์ทำแขนกากบาท แล้วก้าวเท้าเดินจากไป กัปตันมาซูลมองขอบระเบียงที่โซลิแทร์เคยโหนพลางครุ่นคิด

                “ท่านควรหาถุงมือมาใส่นะ ขอบระเบียงมันลื่น โหนยาก” โซลิแทร์เอ่ยขึ้นโดยไม่หันมามอง

                “อะไรทำให้ท่านคิดว่า ข้าจะออกกำลังกายด้วยวิธีเพี้ยนๆ แบบท่าน” กัปตันมาซูลพูดไล่หลัง

                “ข้าชอบท่านตรงไหนรู้ไหม สโนว์ฟ็อกซ์” โซลิแทร์หัวเราะ “ท่านมักจะคิดว่าข้ามีความคิดเพี้ยนๆ และท่านก็มักจะคิดว่ามันเป็นความคิดที่เข้าท่าเสมอ”

                แล้วเขาก็เดินเลี้ยวหายไป กัปตันมาซูลยืนนิ่งอยู่สักพัก แล้วจึงหาผ้ามาพันมือแทนถุงมือ ปีนข้ามไปโหนขอบระเบียง ดึงข้อเหมือนที่โซลิแทร์ทำไม่มีผิด

 

********************

 

          หลังจากปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับแบร์ร็อค พวกแฮนดรัสก็อยู่อย่างเงียบๆ ในเกาะอันแห้งแล้งกันดารของตนต่อไป ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก แต่กระนั้นก็ไม่วายคอยติดตามข่าวเรื่องสงครามอยู่บ่อยๆ แม้ว่าไรมิน บุฟโฮป หัวหน้าแฮนดรัส จะวางตัวเฉยชาต่อเรื่องสงครามทางทะเลที่ฝ่ายโฮเซ่เสียเปรียบ แต่คนใกล้ชิดเขาก็ดูออกว่า เขายังอดห่วงแบร์ร็อคไม่ได้ ราวกับตัดไม่ขาด บางคนแอบเห็นเขาเอาแต่นั่งจ้องแผนที่เป็นชั่วโมง เหมือนคาดคะเนว่าแต่ละฝ่ายจะใช้แผนการรบพุ่งกันยังไง ลึกๆ แล้วเขายังคงเป็นนักรบผู้เปี่ยมความสามารถอยู่ แม้เขาจะไม่ได้อยู่ในฐานะนั้นมานานแสนนานแล้วก็ตาม

          แสงแดดจ้าในยามกลางวันสะท้อนกับพื้นทรายเป็นประกายระยิบระยับดูสวยงามไปอีกแบบ แน่นอนว่าสภาพอากาศนั้นร้อนและแห้งแล้ง แต่ในวันนี้ ความร้อนเหล่านี้กลับไม่สามารถทำให้พวกแฮนดรัสเป็นทุกข์ได้เลย พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนแต่มีความสุข ตะบองเพชรต้นใหญ่สีน้ำตาลอ่อนที่เต็มไปด้วยหนามเจริญงอกงามอยู่ทั่วไปหมด แฮนดรัสแต่ละคนเดินเข้าไปหาต้นตะบองเพชรโฮเดเรียของตนขณะที่ต้นตะบองเพชรแต่ละต้นค่อยๆ ปริแยกออกและดันทารกแฮนดรัสตัวเล็กๆ สีน้ำตาลอ่อนเหมือนตุ๊กตาไม้แกะสลักออกมาจากยอดต้นตะบองเพชร พวกแฮนดรัสวางทารกของตนลงบนห่อผ้าในอ้อมแขน และใช้ห่อผ้าของตนห่อตัวทารกไว้อย่างทะนุถนอมที่สุดเท่าที่จะทำได้

          “โฮซอร์บุฟโฮป” แฮนดรัสคนหนึ่งตรงรี่ไปหาไรมิน พร้อมกับทารกในอ้อมแขน “ดูนี่สิครับ ลูกชายของข้าเอง เขาน่ารักไหม”

          “ยินดีด้วยพ่อหนุ่ม เขาจะต้องเติบโตมาเป็นคนดีเหมือนพ่อของเขา” ไรมินก้มลงไปมองดูทารกแฮนดรัส แววตามีความขมขื่นเล็กน้อย

          “ยินดีด้วยเพื่อนฝูง” กัปตันวอร์ดิวลากแขนแฮนดรัสพ่อลูกอ่อนคนนั้นไปอีกทาง แล้วกระซิบว่า “นี่ อย่าเอาลูกไปอวดโฮซอร์บุฟโฮปได้ไหม ไม่รู้หรือไงว่าเขามีประสบการณ์ไม่สู้ดีเรื่องนี้ เขาเคยเอาเขาไปฝังทราย แล้วไม่มีอะไรงอกออกมา”

          “เขาเป็นหมันหรือครับ”

          “ก็ใช่น่ะสิ” กัปตันวอร์ดิวตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ “ยินดีด้วย รีบๆ พาเด็กกลับบ้านเสีย ตากแดดมากเดี๋ยวไม่สบาย”

                แล้วกัปตันวอร์ดิวก็เดินกลับไปหาไรมิน ผู้ซึ่งยืนมองภาพแห่งความสุขตรงหน้าด้วยสายตาเศร้าหมอง เหล่าแฮนดรัสของเขากำลังดีอกดีใจที่ได้ลูกตัวใหญ่สมบูรณ์แข็งแรง บางคนได้ลูกแฝด บางคนก็ได้ลูกคนที่สอง ทุกคนต่างจ้องมองลูกๆ ในอ้อมแขนของตนด้วยความปลื้มปิติยินดีเป็นล้นพ้น เขาอาวุโสที่สุดในเหล่าแฮนดรัสทุกคน มีชีวิตมานานที่สุดในแฮนดรัสทุกคน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคนในตอนนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขาเลย และจะไม่มีวันได้เกิดอีกต่อไป

                “แฮนดรัสเรามีสมาชิกมากขึ้น” กัปตันวอร์ดิวก้าวมายืนข้างๆ หัวหน้าของตน

                “เจ้าเคยคิดอยากจะเอาหน่อตะบองเพชรไปฝังในทรายบ้างหรือเปล่า แล้วเฝ้ารอให้มันกลายเป็นต้นตะบองเพชรงอกขึ้นมา” ไรมินถาม “งอกขึ้นมาเป็นทายาทของเจ้า”

                “เคยคิดบ้าง แต่ยังไม่ใช่เร็วๆ นี้” กัปตันวอร์ดิวตอบ “ข้ายังมีความสุขกับชีวิตแบบนี้อยู่”

                “เจ้ายังหนุ่มอยู่ อายุสี่สิบหกปี วัยแค่ยี่สิบสามปี ไม่จำเป็นต้องรีบมีลูกก็ได้” ไรมินว่า “อนาคตของเจ้ายังอีกยาวไกล มีสิ่งน่าสนใจรอคอยอยู่อีกมาก”

                “อนาคตอะไรหรือครับที่รอข้า สิ่งน่าสนใจอันใดหรือที่ข้าจะได้พบเจอในอนาคต” กัปตันวอร์ดิวหัวเราะ ผายมือไปยังทะเลทรายและพื้นที่แห้งแล้งรอบตัว “บนเกาะนี้ไม่มีอนาคตอะไรรอข้าอยู่หรอกครับโฮซอร์เฮนิเคม นอกจากความว่างเปล่า”

                ไรมินถอนหายใจ มันก็จริงของกัปตันวอร์ดิว

                “สมาชิกแฮนดรัสของเรามีเพิ่มมากขึ้น คนแก่ก็ทยอยตายกันหมด ส่วนใหญ่ก็เหลือเพียงคนหนุ่มและเยาวชน พวกเขาคืออนาคตของเรา” ไรมินพึมพำ “บางทีเกาะแห่งนี้ มันก็แคบเกินไปสำหรับอนาคตอันกว้างไกลของพวกเขา พวกเขาสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้ เจริญกว่านี้ เหมาะสมกับความสามารถใหม่ๆ ของพวกเขามากกว่านี้”

                “ท่านหมายถึงแบร์ร็อคหรือ” กัปตันวอร์ดิวขมวดคิ้ว

                “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น”

                “แต่ท่านก็หมายความเช่นนั้น”

                “มันไม่สำคัญแล้วล่ะ” ไรมินส่ายหน้า “พวกโฮเซ่ที่แบร์ร็อคขับไล่เราออกมา และหันมาญาติดีกับเราเมื่อตนเดือดร้อน หากแบร์ร็อคไม่เดือดร้อน พวกเขาก็ไม่คิดจะมาเหลียวแลพวกเราหรอก”

                “แต่ท่านก็ยังเป็นห่วงแบร์ร็อค” กัปตันวอร์ดิวพูด “เพราะท่านก็เคยเป็นประชาชนแบร์ร็อคคนหนึ่ง และลึกๆ แล้ว ท่านก็อาจจะยังเป็นอยู่”

                “อย่างที่ข้าบอกเจ้าไป มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว” ไรมินเน้นเสียง “เราหันหลังให้กับความวุ่นวายทางการเมือง ถูกแยกออกมากจากแบร์ร็อคมาช้านาน ไม่ว่าตอนนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นกับแบร์ร็อค มันก็ไม่ใช่เรื่องของเราอีกต่อไป ที่เราควรทำก็แค่มีชีวิตของเราไป และดูแลซึ่งกันและกัน”

                “ในอนาคต เด็กเหล่านี้จะเติบโต” กัปตันวอร์ดิวกวาดมือไปยังเหล่าทารกแฮนดรัสแต่ละคนในอ้อมแขนของผู้เป็นพ่อ “พวกเขาจะต้องมีการดำรงชีวิตที่พัฒนาขึ้น เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทั่วไปในดาวดวงนี้ พวกเขาต้องการสิ่งใหม่ๆ สิ่งที่เจริญกว่า พวกเขาสมควรได้สิ่งที่ดีกว่าทะเลทรายและพื้นที่แห้งแล้งแบบนี้”

                “สิ่งที่เจ้าพูดมา ข้าเองก็คอยพิจารณามันตลอด” ไรมินบอก “หากสามารถทำได้ ข้าเองก็อยากจะหยิบยื่นความเจริญให้แก่ลูกหลานมากกว่านี้ พวกเขาจะได้เติบโตไปพร้อมกับสิ่งที่เหมาะสมกับพวกเขา แต่ความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ ก็คือหากพวกเขากลับไปอยู่ที่แบร์ร็อค พวกเขาต้องจะกลายเป็นชนชั้นสองในสังคม ท่านยังเกิดไม่ทันกัปตันวอร์ดิว ท่านไม่รู้หรอกว่าการตกเป็นชนชั้นสองนั้นมันแย่แค่ไหน มีแต่คนดูถูกดูแคลน ถูกลิดรอนสิทธิ มีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรได้น้อยกว่า มองหาความเท่าเทียมแทบไม่พบ ไม่มีใครหรอกที่อยากเป็นชนชั้นสอง ในเมื่อเราก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อ มีสองมือสองเท้า มีความรู้สึกเหมือนกัน หากความเจริญมันนำมาซึ่งความเหลื่อมล้ำ เราควรหันหลังให้มันเสียยังดีกว่า”

                “ท่านพูดมีเหตุผล โฮซอร์” กัปตันวอร์ดิวโค้งศีรษะ “ข้ายังอ่อนต่อโลก มีหลายเรื่องนักที่ยังไม่รู้แจ่มแจ้งเท่าท่าน”

                “อย่างไรก็ตาม เจ้าก็พูดถูก” ไรมินจับบ่ากัปตันวอร์ดิว “เยาวชนของเราสมควรได้มากกว่าทะเลทรายและความแห้งแล้งเช่นนี้ พวกเขาก็คือความเจริญของพวกเรา พวกเขาก็สมควรได้รับสิ่งที่เจริญกว่านี้”

                “ก็ไม่รู้ว่าจะเจริญได้อีกสักแค่ไหน” กัปตันวอร์ดิวว่า “ได้ยินว่าศึกทางทะเลระหว่างแบร์ร็อคกับโมราโซมอสร้อนระอุมากกว่าเดิม และหากวัดกันทางกำลังพล แบร์ร็อคเสียเปรียบมาก เมื่อพวกมนุษย์บุกถึงชายฝั่งแบร์ร็อคได้ มันจะเสียหายหนัก”

                “ก็ได้แต่หวังว่าเทอร์รินจะมีวิธีแก้ปัญหานี้ได้ไม่มากก็น้อย และหวังว่ามันจะสำเร็จด้วย” ไรมินพูด “ผิดแผนนิดเดียว แบร์ร็อคจะอับจนยิ่งกว่าเดิม”

                “บางที เราอาจทำถูกแล้วที่ไม่เข้าร่วมกับเขา” กัปตันวอร์ดิวพูด “จากนี้ไป แบร์ร็อคคงจะได้บทเรียนมากขึ้น พวกเขาจะตระหนักได้ว่า การแก้ปัญหาความแตกแยกด้วยการกำจัดทิ้ง ไม่ลงรอยกับใครก็ใช้กำลังปราบปรามหรือขับไล่ มันทำให้อาณาจักรอ่อนแอ เมื่อเข้าตาจนก็มีแต่คนหันหน้าหนี”

                “ที่ผ่านมา แบร์ร็อคเป็นสังคมเผด็จการที่มีแต่ความเหลื่อมล้ำ มีการแบ่งชนชั้นอย่างไม่เป็นธรรมมาตั้งแต่สมัยโบราณ” ไรมินหันไปมองทารกแฮนดรัสคนหนึ่งที่ค่อยๆ โผล่ออกมาจากฝักตะบองเพชรอย่างนุ่มนวล “แต่บางที เมื่อคนรุ่นใหม่ขึ้นมาแทนที่คนรุ่นเก่า มันอาจมีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นก็ได้ ให้เวลาพวกเขาหน่อยกัปตันวอร์ดิว พวกเขาต้องใช้เวลาสักพัก ในการเก็บกวาดสิ่งที่พ่อของพวกเขาทำเสียหายไว้”

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา