พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.93K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

16) บทที่ 15 ฤดูเก็บเกี่ยว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 15

ฤดูเก็บเกี่ยว

 

                ฤดูเก็บเกี่ยวมาถึงแล้ว เป็นธรรมเนียมของเมืองโอมิลรอนที่จะต้องจัดงานเฉลิมฉลอง เนื่องด้วยเป็นศูนย์รวมวัฒนธรรมและความศรัทธาของอาณาจักรโมราโซมอส เป็นช่วงเวลาที่ประชาชนในเมืองจะเก็บเกี่ยวผลผลิตของตนใส่ยุ้งฉาง แบ่งส่วนหนึ่งไว้เตรียมจ่ายเป็นภาษี แล้วก็จัดงานเทศกาล ขณะที่พวกนักบวชก็จะไปประกอบพิธีกันทุกหัวค่ำในวิหารศักดิ์สิทธิ์ เหตุที่เทศกาลฤดูเก็บเกี่ยวสำคัญต่อเมืองโอมิลรอนมาก ก็เพราะมันตรงกับช่วงเวลาสำคัญในอดีต ช่วงเวลาที่เจ้าชายไททอสเคยพิชิตโฟรเซ็นทิเนลเป็นอาณานิคมได้ ช่วงเวลาที่โอมิลรอนเคยรุ่งเรืองถึงขีดสุด ช่วงเวลาที่ศาสนาความเชื่อเคยมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของประชาชนอย่างมาก ทุกๆ ปีบรรดาชาวเมืองจะประดับธงอัศวินม้าขาวไว้ตามบ้านของตน เพื่อระลึกถึงเจ้าชายผู้นำความรุ่งเรืองมาสู่พวกตน วิหารศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าชายไททอสจะเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่เข้าไปประกอบพิธีกรรมและบริจาคเงินทอง โดยหวังลมๆ แล้งๆ ว่าบริจาคไปแล้วจะเกิดผลบุญ ส่งให้ตนมีเงินทองมากกว่าเดิม มีร่างกายที่แข็งแรง มีโน่นมีนี่สุดแต่จินตนาการมนุษย์จะไปถึงได้ ความเชื่อความศรัทธาในศาสนายังคงมีอิทธิพลต่อประชาชนมนุษย์จำนวนมาก เหล่านักการเมืองนักปกครองก็พยายามที่จะรักษามันไว้ เพราะศาสนาคือเครื่องมือสำคัญในการปกครอง นั่นคือความสำคัญที่แท้จริงของมัน

                “ปีนี้ เราต้องจัดงานให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ต้องกระตุ้นความเชื่อมั่นของประชาชน หลังจากที่พวกดาร์คเนสดีวิลบั่นทอนมันไป” พระราชาเดินอยู่ในสวนพระราชวังอันสวยงามหรูหรา แอนโทนิดัส แร็กซ์ริงเจ้าเมืองโอมิลรอนเดินฟังอยู่ข้างๆ “โน้มน้าวให้ชาวเมืองไปบริจาคเงินมากๆ สงครามที่ผ่านมาทำให้เราใช้จ่ายไปเยอะ และที่สำคัญคือ ทำทุกอย่างให้ประชาชนยังคงเลื่อมใสศรัทธาในศาสนา”

                “หม่อมฉันจะทำอย่างสุดความสามารถพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงโค้งศีรษะ “แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสนานั้น หม่อมฉันอาจไม่มีความสามารถมากนัก หม่อมฉันขออนุญาตส่งมอบให้เป็นหน้าที่บรรดานักบวชแห่งเมืองโอมิลรอน พวกเขาคงกำลังจัดการเรื่องนี้อยู่ และหม่อมฉันก็มั่นใจว่าพวกเขาทำได้ดีทีเดียว”

                “แน่นอน เราและพวกเขาทำเช่นนี้มาตลอด และก็ทำได้ดีเสมอมา” พระราชาหัวเราะ “แอนโทนิดัส ถ้าเจ้าเลื่อมใสศรัทธาในศาสนา ข้าก็คงไม่ให้เจ้ามาเป็นนักปกครองหรอก ศาสนาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคนโง่ เป็นสิ่งที่ใช้โจมตีคนมีเหตุผล เป็นแหล่งพักพิงจิตใจของคนอ่อนแอ เป็นสถาบันธุรกิจของนักบวช และเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ของนักปกครอง”

                “เป็นความจริงแท้พะยะค่ะ” แร็กซ์ริงยิ้มตอบ

                “ถ้าประชาชนเสื่อมศรัทธาในศาสนา พวกเขาจะฉลาดขึ้น แล้วเราก็จะปกครองยากขึ้น” พระราชาพึมพำ “เราต้องทำนุบำรุงศาสนาของเราไว้ เทศกาลฤดูเก็บเกี่ยวอันศักดิ์สิทธิ์จะช่วยกระตุ้นความเลื่อมใสของประชาชนต่อศาสนา และเมื่อกองเรือของเราบุกถึงชายฝั่งแบร์ร็อค เราจะได้ความมั่นใจจากประชาชนกลับคืนมาอย่างท่วมท้น”

                “วิหารของเจ้าชายไททอสถูกทำความสะอาดและประดับประดาอย่างเลิศหรู ประชาชนที่เข้าไปประกอบพิธีล้วนเกิดความเลื่อมใสพะยะค่ะ ทั้งชาวเมืองที่ทำไร่นาอยู่นอกกำแพงเมือง หรือชาวเมืองที่มีบ้านอยู่ในตัวเมือง” แร็กซ์ริงรายงาน “แม้ว่าเราจะพ่ายแพ้พวกดาร์คเนสดีวิลถึงสองครั้ง แต่พวกเขาก็เชื่อว่าความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนา ยังคงสามารถปกป้องพวกเขาจากปีศาจร้ายได้”

                “นั่นเป็นเหตุที่ข้าให้ความสำคัญกับเมืองโอมิลรอนในตอนนี้มาก” พระราชาว่า “เมืองของเจ้าจะต้องยึดเหนี่ยวความศรัทธาของประชาชนไว้ จนกว่าเราจะชนะพวกโฮเซ่ เจ้าชายไททอสเป็นบรรพบุรุษของข้า เขาปูทางให้นักปกครองรุ่นหลังอย่างพวกเราไว้อย่างดี เราต้องคว้าโอกาสนี้ไว้”

                “เมื่อเราบุกยึดชายฝั่งแบร์ร็อคได้ หม่อมฉันเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้นพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงให้ความมั่นใจ

                ทหารมนุษย์คนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในสวน คุกเข่ารายงานอย่างเร่งรีบ

                “ทูลฝ่าบาท เราได้รับรายงานมาว่า กองเรือของเทอร์ริน เฮนิเคมกำลังเคลื่อนพลเข้าหาชายฝั่งเมืองโกลเดนแลนด์พะยะค่ะ เจ้าเมืองแรพพิคต้องการกองเรือหลวงสนับสนุน”

                “ท่าทางจะต้องสอนบทเรียนเจ้าเด็กโฮเซ่เมื่อวานซืนนั่นอีกครั้งแล้ว” พระราชาทำเสียงดูถูก “พวกโฮเซ่พยายามหลีกเลี่ยงที่จะให้กองเรือของเราเข้าไปใกล้ชายฝั่งของพวกมัน จึงยกกองเรือบุกเข้าหาชายฝั่งเราแทน มันไม่ได้ต่างกันนักหรอก แค่ล่องเรือเข้ามาให้เราฆ่าถึงที่ จะช้าจะเร็วเราก็จะกำจัดกองเรือชุดนี้ แล้วยกพลบุกต่อไปถึงชายฝั่งของพวกมันได้อยู่ดี”

                “อย่างไรก็ตาม พวกโฮเซ่คงยกกองเรือมาจำนวนไม่น้อย ท่านเจ้าเมืองแรพพิคถึงต้องขอกำลังเสริมจากกองเรือหลวง” แร็กซ์ริงพูดด้วยเสียงเฉยชา เพราะไม่ถูกกับเจ้าเมืองแรพพิคนัก “เราคงต้องส่งกองเรือหลวงไปช่วยสนับสนุนเขาอยู่ดีพะยะค่ะ”

                “เจ้าเด็กโง่เฮนิเคมคิดว่าข้าจะหลงกลอุบายตื้นๆ” พระราชาคำราม “เห็นชัดเลยว่าเขาพยายามล่อกองเรือหลวงให้ตามเขาขึ้นเหนือ เขาคงแบ่งกองเรือไว้อีกส่วนหนึ่ง คอยบุกเข้าจู่โจมฐานทัพเรือใหญ่ที่ซาโมโรว์ ในตอนที่ทัพเรือหลวงถูกล่อออกไปแล้ว”

                “ถ้าเช่นนั้น พระองค์จะทำเช่นไรพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงถาม

                “แบ่งกองเรือหลวงออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่ง ให้กัปตันเท็มเปิลยกขึ้นเหนือ ตามไปบดขยี้กองเรือของเทอร์ริน เฮนิเคม” พระราชาตอบ “อีกส่วนหนึ่ง ก็อยู่เฝ้าฐานทัพเรือใหญ่ที่ซาโมโรว์ ดูสิว่าพวกโฮเซ่จะจัดการยังไงกับเรื่องนี้ กองเรือของผู้นำพวกมันถูกทำลายย่อยยับ ขณะที่กองเรือจู่โจมอีกส่วนหนึ่งก็ได้แต่มองฐานทัพเรือของเราอยู่ห่างๆ เข้ามาทำอะไรไม่ได้”

                “ศึกทางทะเลที่ผ่านมานี้ กองเรือของพวกโฮเซ่เสียหายหนัก หากเทอร์ริน เฮนิเคมยกมามากขนาดนั้น ก็แสดงว่าเขายกกองเรือที่เหลือมาเกือบทั้งหมดก็ว่าได้” แร็กซ์ริงว่า “กองเรืออีกส่วนที่เขาแบ่งไว้เตรียมโจมตีฐานทัพเรือใหญ่ซาโมโรว์ ก็คงมีแค่หยิบมือเดียว ดูเหมือนว่าเขาจะเดินหมากพลาดเสียแล้ว เขาน่าจะรู้ว่าเราแก้หมากได้ด้วยวิธีง่ายๆ แล้วเมื่อเราแก้แล้ว เขาก็ถอยกลับไปตั้งหลักไม่ได้ด้วย”

                “ข้าบอกแล้วไง เจ้าโฮเซ่นั่นเป็นแค่เด็กเมื่อวานซืน มักจะใช้กลยุทธ์แบบทึบๆ หัวชนฝา ให้เด็กมาบัญชาการรบก็เป็นเสียอย่างนี้” พระราชาพ่นลมออกจมูก “ข้าจะสอนให้เขารู้ซึ้งถึงคำว่าสงครามที่แท้จริง แล้วเขาจะอยากมุดกลับไปอยู่ในต้นตะบองเพชรที่เขาแหวกออกมาเลยทีเดียว ระหว่างนี้ เจ้าเองก็รีบจัดการธุระในเมืองหลวงนี้ให้เสร็จเสียแอนโทนิดัส แล้วกลับไปประจำอยู่ที่เมืองโอมิลรอน คอยให้การสนับสนุนเมืองซาโมโรว์เท่าที่จะทำได้ เหมือนที่ทำมาตลอด”

                “มันจะเป็นเช่นนั้นพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงโค้งศีรษะ “หม่อมฉันจะรีบจัดการธุระแล้วรีบกลับไป ในตอนนี้ฟิเร็นดาศิษย์ของหม่อมฉันกำลังดูแลเมืองแทนอยู่ เธอทำได้ดีทีเดียวพะยะค่ะ”

                “อบรมเธอให้ดีแอนโทนิดัส พ่อผู้ล่วงลับของเธอเคยเป็นถึงผู้บัญชาการทหารม้าที่ยอดเยี่ยม เด็กสาวคนนี้สืบสายเลือดขุนนางชั้นสูงมา อย่าให้เธอเป็นผลไม้เน่าเหมือนซอร์โรร่า ไอวิวรี่” พระราชากล่าว “ยิ่งพูดก็ยิ่งอาย ทำไมเธอถึงเป็นญาติกับข้าทางสายเลือดโดยตรงด้วย เอาเถอะ ช่างหัวแม่นางฟ้าปีศาจนั่น คอยดูแลให้เทศกาลฤดูเก็บเกี่ยวราบรื่นระหว่างศึกทางทะเลครั้งนี้ก็แล้วกัน”

                “พะยะค่ะ ฝ่าบาท” แร็กซ์ริงโค้งคำนับอีกครั้ง

 

************************

 

 

                 เมื่อคำสั่งของพระราชาส่งต่อมาถึงกัปตันเท็มเปิล เขาก็เริ่มยกพลเคลื่อนทัพเรือทันที จัดแบ่งกองกำลังเป็นสองส่วนตามคำสั่ง ยกตามทัพเรือของเทอร์รินขึ้นเหนือไปร้อยละเจ็ดสิบ เหลืออีกร้อยละสามสิบอยู่เฝ้ารักษาการที่ฐานทัพเรือใหญ่ซาโมโรว์ เรือรบใบสีแดงจำนวนมากล่องออกสู่ทะเล มุ่งตรงไปยังชายฝั่งเมืองโกลเดนแลนด์ อาวุธปืนใหญ่มีพร้อม พวกเขาสามารถต่อต้านการรุกรานของกองเรือโฮเซ่และรุกไล่ต่อไปจนถึงชายฝั่งแบร์ร็อคเลยก็ยังได้ ไม่ว่าจะด้านจำนวนหรือประสิทธิภาพของกองทัพเรือ พวกมนุษย์เป็นต่ออย่างยิ่ง ทหารทุกคนกำลังฮึกเหิมเพราะรู้ว่าเป็นการรบที่พวกตนได้เปรียบ สภาพอากาศก็เป็นใจช่วงนี้ท้องฟ้าโปร่ง ทิศทางลมดี น้ำทะเลค่อนข้างสงบ ตามโขดหินและหมู่เกาะเล็กๆ มีคลื่นกระจายตัวน้อยมาก รอยระดับน้ำทะเลขึ้นสูงในตอนกลางคืนยังปรากฏเป็นรอยเปียกอยู่ตามเกาะเล็กๆ พวกเขาจะไปถึงเมืองโกลเดนแลนด์เร็วกว่าที่คาด และจะพิชิตกองเรือโฮเซ่ให้ราบคาบ

                แต่ไกลออกไปนั้น มีเรือบดเล็กๆ ลำหนึ่งจับตามองกองเรือมนุษย์อยู่ห่างๆ มันซ่อนอยู่หลังโขดหินขนาดใหญ่มองไกลๆ จะไม่มีทางสังเกตได้เลยว่าเป็นเรือบด มันถูกทาสีเป็นสีเดียวกับโขดหินไม่มีผิดเพี้ยน อีกทั้งยังมีเพรียงและสาหร่ายตะไคร่น้ำประดับเพื่อให้สมจริง โฮเซ่สองคนนั่งอยู่ในเรือ แต่งตัวด้วยชุดพรางกายไปกับเรือ

                “กองเรือมนุษย์ร้อยละเจ็ดสิบ กำลังตรงขึ้นเหนือ” กอร์รินพึมพำขณะส่องกล้อง “มีจำนวนมากจริงๆ หวังว่าเทอร์รินจะถอยได้เร็วๆ นะ เมื่อถึงเวลา”

                “อีกร้อยละสามสิบอยู่ประจำการที่ฐานทัพเรือใหญ่ซาโมโรว์” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ส่องกล้องดู “ไม่ได้มีจำนวนน้อยๆ เลย มากพอที่จะบดขยี้กองเรือของเราได้อย่างรวดเร็ว”

                “หากเป็นไปตามแผนที่วางไว้ กองเรือส่วนนี้จะไม่ใช่ปัญหาของเรา” กอร์รินว่า “ในตอนนี้เราก็แค่รอเวลาอันเหมาะสม”

                “ถามหน่อยสิ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ข้องใจ “ทำไมเราต้องมาสอดแนมด้วยตัวเอง ทำไมไม่ส่งพวกทหารมาสอดแนมแทน มันน่ารำคาญที่ต้องทำลับๆ ล่อๆ และแต่งตัวเหมือนหินโสโครกทะเล”

                “โฮเซ่ชั้นสูงอย่างเราเคยชินกับการชี้นิ้วสั่งคนอื่นมากเกินไปแล้ว เราน่าจะทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง” กอร์รินยิ้ม ส่ายนิ้ว “ยิ่งเรามีอำนาจควบคุมคนอื่นมาก เราก็จะพึ่งพาตัวเองได้น้อยลง หากเราใช้คนอื่นเป็นแขนขา เราก็ไม่ต่างจากคนพิการเลย”

                “ค่านิยมที่ได้มาจากพวกดาร์คเนสดีวิลอีกใช่ไหม” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ส่ายหน้า

                “ค่านิยมที่เข้าท่า ข้าก็จะเปิดรับ” กอร์รินพูดอย่างอารมณ์ดี “บางทีท่านก็ควรเปิดรับบ้างนะซีราส”

                “ท่านถูกเลี้ยงมาอย่างผู้ดี ท่านเติบโตมาในสังคมผู้ดี” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ว่า “ข้าไม่คิดว่าท่านจะทำตัวติดดินได้อย่างพวกดาร์คเนสดีวิลไหวหรอก เชื่อข้าสิ”

                “ท่านพูดถูก ข้าคงเป็นอย่างพวกดาร์คเนสดีวิลไม่ไหว” กอร์รินพยักหน้า “แต่อย่างน้อย ข้าก็น่าจะติดดินที่สุดในพวกเราล่ะ จะได้ไม่มีใครเรียกข้าว่าลูกคุณหนูอีกแล้ว”

                “จะยังไงก็แล้วแต่ เราก็ควรนำกองเรือของเราเข้ามาซ่อนตามเกาะใกล้ๆ นี้ได้แล้ว” ท็อกซ์ฟ็อกซ์หันไปมองกองเรือมนุษย์ “เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม เราจะได้จู่โจมฐานทัพเรือซาโมโรว์ได้อย่างฉับพลัน”

                “งั้นพายกลับไปกัน” กอร์รินคว้าพายทั้งสองอัน “จะได้วางแผนเรื่องการยกพลขึ้นบกด้วย”

                “ท่านพายสิ ข้าจะส่องกล้องให้” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ผงกศีรษะ

                “ทำไมข้าต้องเป็นคนพาย”

                “ท่านบอกเองไม่ใช่หรือ ว่าอยากพึ่งพาตัวเอง ทำตัวเหมือนพวกดาร์คเนสดีวิล ทำทุกสิ่งที่สั่งให้คนอื่นทำ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ยกกล้องประกบตา “ฉะนั้นโฮซอร์ พาย”

                กอร์รินส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วออกแรงกรรเชียงเรือทั้งสองข้าง

 

**************

 

                วิหารของเจ้าชายไททอสถูกสร้างมานับพันปี ยังคงความแข็งแรงและสวยงามอยู่เสมอ เพราะได้รับการทำนุบำรุงมาตลอด มันตั้งอยู่บนเนินเขาสูงนอกกำแพงเมืองโอมิลรอน หากมองจากหลังคาบ้านสูงๆ หรือมองจากบนกำแพง จะเห็นวิหารสีทองอร่ามบนเนินสูงที่ล้อมรอบด้วยหมู่บ้านไร่นา เป็นภาพทิวทัศน์ที่สวยงามมากในตอนกลางวัน ถึงกับทำให้จิตกรมนุษย์หลายคนเขียนเป็นภาพวาดชิ้นเอกเลยทีเดียว ส่วนในตอนกลางคืนนั้น ก็ใช่ว่ามันจะไม่งดงาม ยิ่งในเทศกาลฤดูเก็บเกี่ยวเช่นนี้มันยิ่งถูกประดับประดาด้วยแสงโคมไฟสว่างไสว หมู่บ้านเกษตรกรรมที่ล้อมรอบวิหารอยู่ก็ประดับไฟโคมไว้ตามถนนหนทาง เป็นช่วงเวลาอันแสนโรแมนติกของคู่รักหลายคู่ ที่ดื่มด่ำกับบรรยากาศอันงดงาม และเป็นช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ของบรรดานักบวช ที่เข้าไปประกอบพิธีกรรมในวิหารกันทุกช่วงหัวค่ำ ช่วงเทศกาลเก็บเกี่ยวเป็นช่วงที่พวกเขาได้รับเงินบริจาคและได้รับส่วนแบ่งพืชผลเป็นพิเศษ ตราบใดที่สามารถทำให้ประชาชนเลื่อมใสศรัทธาในศาสนาได้ พวกเขาก็จะไม่ขาดแคลนปัจจัยเหล่านี้

          ตอนนี้ไร่นาว่างเปล่าแล้ว โรงนาทุกหลังเต็มไปด้วยพืชผลที่เก็บเกี่ยวมาใหม่ๆ คาดว่าเมื่อถึงพรุ่งนี้เช้า มันจะถูกจัดแบ่งให้เหล่านักบวช พร้อมกับเงินบริจาคอีกจำนวนมาก สิ่งที่พวกเขาต้องทำคืนนี้คือประกอบพิธีกรรมต่อไป เพื่อสร้างความศักดิ์สิทธิ์ รักษาความเลื่อมใสของประชาชน ตราบที่ยังมีคนเลื่อมใสในศาสนา มันก็จะยังคงอยู่ต่อไป เพราะจะมีคนมามอบปัจจัยต่างๆ ให้ แต่ถ้าหากเลื่อมใสเฉยๆ แต่ไม่มอบปัจจัยให้ นั่นก็น่าจะเป็นจุดจบของศาสนา

                ในเมื่อวิหารของเจ้าชายไททอสและหมู่บ้านไร่นาอยู่นอกกำแพงเมืองโอมิลรอน พื้นที่รอบนอกส่วนนั้นก็จะมีหอสังเกตการณ์อยู่เป็นจุดๆ ที่ผ่านมามันสงบมาตลอด เพราะมีโฟรเซ็นทิเนลเป็นหน้าด่านรับศึก ไม่ได้รับอิทธิพลจากศึกสงครามใดๆ อีกทั้งว่ากันว่ากำแพงเมืองโอมิลรอนนั้นมีพลังวิเศษสำหรับต้านทัพเฟลมฟอร์สได้โดยเฉพาะ จึงทำให้เมืองเจริญรุ่งเรืองโดยไร้สิ่งใดมาถ่วง พวกทหารมนุษย์ที่เฝ้ายามตามป้อมสังเกตการณ์นั้นค่อนข้างจะชอบเทศกาลฤดูเก็บเกี่ยวนี้ มันทำให้เมืองครึกครื้น พวกเขาสามารถหาเหล้ามาแอบดื่มได้ง่ายๆ หาของมากินได้ง่ายๆ ร่วมทั้งลอบไปใช้บริการโสเภณีได้ง่ายๆ

                “ข้าเริ่มจะเกลียดงานนี้แล้ว” ทหารยามคนหนึ่งพูดกับเพื่อน “เงินก็น้อย ต้องทำทั้งคืน เบี้ยเลี้ยงก็ไม่ได้ แล้วยังต้องเสียภาษีอีก แล้วเงินภาษีที่เสียไปก็เข้ากระเป๋าพวกขุนนางนักการเมืองหมด”

                “หรือเจ้าจะไปร่วมสงคราม เอาคอไปเสี่ยงกะคมหอกคมดาบ” เพื่อนทหารยามถามกลับ

                “ก็ดีนะ ได้จับดาบฆ่าศัตรูก็ตื่นเต้นดี ข้าจะได้ปล้นเอาสมบัติของศัตรูมาบ้าง แล้วก็ทำความรู้จักกับเมียของพวกมันสักคืน”

                “พวกโฮเซ่ที่เรากำลังรบอยู่นี่มีแต่เพศชายนะ”

                “นั่นคือเหตุผลที่ข้าไม่ร่วมสงครามครั้งนี้ไง”

                ทั้งคู่หัวเราะชอบใจ มีทหารยามอีกคนเดินขึ้นมาสมทบบนหอสังเกตการณ์ ท่าทางเหนื่อยๆ มีกลิ่นเหล้าโชยมาเล็กน้อย

                “พวกเจ้า” ทหารยามคนนั้นเดินเข้าไปหาเพื่อนๆ “คุ้มค่ากับเงินทุกเหรียญที่เสียไปจริงๆ นังโสเภณีนั่นใช้ลิ้นเก่งสุดๆ แล้วก็อย่างอื่นอีก”

                “อย่าลืมคืนเงินพวกเราที่เจ้ายืมไปใช้ทำแบบนี้ล่ะ เราจะไปทำบ้าง ฮ่าๆๆ”

                “เจ้ารู้ไหม เธอครางเสียงหลงเลยล่ะ ตอนที่ข้า---เดี๋ยวข้าจะเลียนเสียงเธอให้ฟัง”

                “อย่าเชียว ข้าจะตายด้านก็เพราะเจ้านี่ล่ะ”

                “นี่เลย เธอครางแบบนี้---เฮือก!”

                ร่างในผ้าคลุมสีดำดิ่งลงมาจากฟ้าดำมืด เหยียบเข้าที่ท้ายทอยของทหารคนนั้นด้วยรองเท้าโลหะ ทหารมนุษย์ผู้โชคร้ายนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นคอหักตาย โดยมีร่างในผ้าคลุมสวมฮู้ดสีดำยืนย่อเข่าเหยียบท้ายทอยอยู่อย่างสง่างาม ดวงตาสีน้ำเงินเรืองแสงกลอกขึ้นมามองทหารมนุษย์อีกสองคนอย่างเยือกเย็น แล้วก่อนที่จะมีใครได้ทันทำอะไรต่อ ดาบยาวสีดำก็ตวัดปาดคอปลิดชีพทหารมนุษย์ทั้งสองในครั้งเดียว

                “ขอโทษที่ต้องรีบฆ่าเจ้า แต่ข้าไม่ค่อยอยากฟังเสียงครางของเจ้าเท่าไหร่” โซลิแทร์ยกเท้าออกจากคอหักๆ ของทหารมนุษย์ เดินไปที่ริมหอสังเกตการณ์ กระโดดลงจากหอ เอเลนเซฟเวอรี่สีดำพาหนะของเขาบินมารับอย่างเงียบเชียบ แล้วพาบินสูงขึ้นไปบนฟ้า ชุดเกราะและเครื่องแต่งกายสีดำที่ทั้งคู่สวมอยู่ช่วยให้พรางกายไปกับความมืดได้ดี ดวงตาที่เรืองแสงได้ของทั้งคู่อาจเป็นอุปสรรคเล็กน้อย แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรหากบินสูงๆ พวกทหารมนุษย์บนหอสังเกตการณ์ไม่มีทางสังเกตได้ ในตอนนี้ทหารยามบนหอสังเกตการณ์แต่ละหลังถูกโซลิแทร์จัดการเกือบหมดแล้ว เหลืออีกเพียงหลังเดียว หลังที่เขากำลังบินไปหา

                ทหารยามมนุษย์คนหนึ่งที่ประจำอยู่ที่หอสังเกตการณ์หลังสุดท้ายนั้น เพิ่งกลับมาจากการปลดทุกข์ เขาเดินขึ้นไปบนยอดหอ เหยียบอะไรเปียกๆ บนพื้น เมื่อส่องตะเกียงดูก็พบว่ามันคือเลือดที่มาจากศพของเพื่อนอีกสองคน ทำเอาเขาตกใจแทบตาย แล้วก็ตกใจมากขึ้นอีก เมื่อหันไปเห็นร่างในผ้าคลุมสีดำจับจ้องมาที่ตนจากมุมมืด ด้วยดวงตาสีน้ำเงินเรืองแสง เขารีบกระโดดไปที่ระฆัง ออกแรงโยกสายระฆังเพื่อส่งสัญญาณเตือนเมือง แต่ระฆังกลับไม่มีเสียง ลิ้นระฆังถูกถอดออกไป

                โซลิแทร์ชูลิ้นระฆังในมือให้ดู แล้วก็ขว้างใส่หน้าทหารยามคนนั้นหมวกเกราะบุบ กะโหลกยุบ เลือดพุ่งกระจาย น้ำหนักมันไม่ได้น้อยๆ จากนั้นก็หงายฝ่ามือขึ้น มีเปลวไฟสีน้ำเงินซีดๆ ลุกติดขึ้นมาบนถุงมือหุ้มเหล็ก เขายกชูโบกไปทางนอกเมือง เป็นการส่งสัญญาณถึงกองกำลังที่คอยท่าอยู่ไกลๆ

                “สัญญาณจากลอร์ดมืด หอสังเกตการณ์ทุกหลังถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว” กัปตันมาซูลดึงกระบังหมวกลงมาปิดหน้า กระชับหอกสามง่ามในมือขวา

                “เคลื่อนพลเข้าจู่โจม” เซซิลคาดผ้าเหล็กปิดปาก กระชับโล่ในมือขวา “เราคือกำแพง”

                แล้วกองทหารม้าดาร์คเนสดีวิลและกองรถม้าศึกที่พรางกายอยู่ในความมืด ก็บุกตรงเข้าหาเมืองโอมิลรอนด้วยความเร็วสูง เปลวไฟสีเขียวลุกติดขึ้นบนกีบเท้าม้าปีศาจแต่ละตัวทันที โซลิแทร์จับขอบหอสังเกตการณ์ แล้วตีลังกาโหกสูงลงจากหอ ไปนั่งบนหลังเอเลนเซฟเวอรี่สี่ดำที่บินมารับอย่างสวยงาม จากนั้นก็บินทะยานนำหน้ากองกำลังปีศาจ มีเซซิลขับรถม้าและมีกัปตันมาซูลขี่ม้าตามมาติดๆ

                ความโกลาหลเกิดขึ้นแก่หมู่บ้านเกษตรกร พวกทหารเฝ้าหมู่บ้านถูกหอกแทง ถูกม้าปีศาจเหยียบชนถูกยิงด้วยหน้าไม้ล้มตายกันเกลื่อน ชาวบ้านแตกตื่นหนีกันใหญ่ เพิงไม้ นั่งร้าน กระท่อมหลังเล็กๆ ล้มพังระเนระนาด โคมไฟตามถนนถูกชนล้ม กระท่อมบางหลังถูกไฟเผา ธงอัศวินม้าขาวที่ประดับอยู่ถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน อย่างไรก็ตาม โรงนาเก็บพืชผลของพวกมนุษย์แต่ละหลังก็ไม่ได้รับความเสียหายเลย พวกดาร์คเนสดีวิลระมัดระวังกันเต็มที่ มันมีอาหารอยู่ในนั้น พวกเขาต้องการมัน

                “ทำไมหอสังเกตการณ์ถึงไม่ส่งสัญญาณเตือนก่อนหน้านี้” ฟิเร็นดา เกรซ ศิษย์สาวของแร็กซ์ริงและเป็นผู้ดูแลเมืองชั่วคราวนั้นพูดอย่างร้อนรน ขณะยืนให้สาวใช้สองคนสวมเกราะและกระโปรงเหล็กให้ เธอมองเห็นเปลวไฟและความโกลาหนจากหน้าต่างปราสาท

                “ข้าศึกมีจำนวนมาก กองกำลังที่เรามีอยู่ในเมืองไม่พอสู้แน่ครับ” ทหารที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอรายงาน

                “ถึงอย่างไร เราก็ต้องออกไปสกัดพวกดาร์คเนสดีวิลไว้ ขณะที่พวกชาวบ้านหนีเข้าเมือง” ฟิเร็นดาพยายามรักษาระดับการหายใจไม่ให้หัวขยับ เพื่อสาวใช้จะได้วางรัดเกล้าลงบนศีรษะของเธอได้ “อาจารย์แอนโทนิดัสกำลังเดินทางกลับมาจากธุระที่โมราโซมอส แต่อีกหลายชั่วโมงกว่าจะมาถึง เราไม่มีเวลาแล้ว ให้อัศวินทุกคนขึ้นหลังม้า เตรียมออกไปเผชิญหน้ากับข้าศึก”

                “แต่เลดี้เกรซ ท่านจะออกไปรบด้วยหรือครับ” ทหารถามอย่างไม่แน่ใจ

                “ก็ข้าสวมเกราะแล้วนี่ไง”

                “แต่ท่านเจ้าเมืองแร็กซ์ริงคงไม่พอใจ หากเราปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับท่าน”

                “เร็วเข้า รีบไปได้แล้ว เราไม่มีเวลา”

          ชาวบ้านที่หวาดกลัวถูกไล่ต้อนให้หนีเข้าไปในเมือง ส่วนชาวบ้านคนใดที่จับอาวุธสู้จะไม่มีข้อยกเว้น ต้องถูกประหารเช่นเดียวกับพวกทหารเฝ้าเมือง เสียงหวีดร้อง เสียงร้องตะโกนด้วยความเสียขวัญดังระงม พวกนักบวชในวิหารคงเริ่มแตกตื่นกันแล้ว พวกดาร์คเนสดีวิลมุ่งเคลื่อนพลบุกเข้าหาวิหาร ทิ้งศพพวกทหารมนุษย์ไปตลอดทาง อีกไม่นานในตัวเมืองคงจะส่งทหารออกมากู้สถานการณ์ แต่ก็ไม่ทันปกป้องวิหารแน่นอน กองทหารม้าดาร์คเนสดีวิลเข้าปิดล้อมวิหาร และกำลังจะควบคุมพื้นที่บริเวณนั้นได้แล้ว

                “วิ่งหนีกันแทบไม่ทันเชียวนะพวกมนุษย์” กัปตันมาซูลชูหอกสามง่ามเปื้อนเลือดขู่ “ครั้งสุดท้ายที่ข้ามาที่นี่ พวกเจ้าเอาข้าวของขว้างปาข้าและหัวเราะกันใหญ่ ทำไมตอนนี้เก่งไม่ออกแล้วล่ะ”

                พวกนักบวชในวิหารรู้ตัวว่าถูกล้อม หนีออกไปไม่รอดแน่ จึงตัดสินใจหลบภัยอยู่ในวิหาร สองสามคนช่วยกันออกแรงปิดประตูใหญ่หน้าวิหาร แต่ก่อนที่ประตูจะปิดสนิท ก็มีใบดาบสีดำสอดมาขวางระหว่างช่องประตู แล้วประตูก็เปิดกระแทกออกอย่างรุนแรง ทำเอานักบวชสองสามคนนั้นกระเด็นไปคนละทิศละทาง โซลิแทร์ก้าวฉับๆ เข้ามาอย่างเลือดเย็นหลังจากถีบประตู ดาบตวัดฟันพวกทหารยามเฝ้าวิหารที่อยู่ใกล้มือตายหมด แล้วนักรบดาร์คเนสดีวิลอีกจำนวนมากก็กรูเข้ามาในวิหาร สกัดพวกนักบวชที่แตกตื่นไม่ให้หนีไปไหน ทหารเฝ้าวิหารหลายคนถึงกับวางอาวุธยอมแพ้ นักบวชบางคนกลัวจนเกือบเป็นลม พวกนักรบดาร์คเนสดีวิลแต่ละคนดูจะคับแค้นใจพวกนักบวชมาก เงื้ออาวุธเตรียมจะฆ่า แต่โซลิแทร์ยกมือห้ามไว้

                “ข้าเองก็อยากฆ่าพวกมันเหมือนกัน แต่ตอนนี้เรายังใช้ประโยชน์จากพวกมันได้อยู่” ผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลพูดเสียงเรียบ “จัดแนวป้องกันนอกวิหาร ใช้ตำแหน่งพื้นที่อันได้เปรียบให้เป็นประโยชน์ เตรียมพร้อมสำหรับตั้งรับกองหนุนมนุษย์ที่จะมาจากในตัวเมือง”

                พวกนักรบดาร์คเนสดีวิลเกือบทั้งหมดในวิหารออกไปสบทบกับพวกข้างนอก เหลือส่วนหนึ่งไว้คุมเชลยที่ถูกต้อนมาให้นั่งรวมกัน แต่ละคนตัวสั่นงันงก เสียงต่อสู้นอกวิหารนั้นทำร้ายประสาทได้ดียิ่งนัก โซลิแทร์ยื่นมือไปคว้าคอนักบวชแก่ๆ คนหนึ่ง ดึงออกมาจากกลุ่ม ดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ จ้องมองด้วยความแค้น หากเข้ามาทำร้ายได้คงทำไปแล้ว

                “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าคือประธานนักบวช แกนนำในการสร้างความทุกข์แก่เผ่าพันธุ์ของข้า พิธีกรรมของเจ้าทำร้ายคนในเผ่าพันธุ์ของข้าอย่างไม่แยแส ไม่ว่าเด็กหรือผู้หญิง และครั้งสุดท้ายที่ข้าเจอเจ้า เจ้าเอาหินปาหลังหมวกฮู้ดข้า เพียงเพื่อจะบอกให้ข้าติดกระจกวิหารให้ตรง เจ้าคงจำไม่ได้หรอก แต่ข้าจำได้ ข้าหัวโนอยู่หลายวัน” โซลิแทร์พูดเสียงเย็น มือที่สวมถุงมือหุ้มเหล็กบีบคออีกฝ่ายจนหน้าเขียว “และอีกสิ่งที่เจ้าคงจะจำไม่ได้ คือทารกปีศาจคนหนึ่งเคยถูกเจ้าโยนลงแม่น้ำ ส่งผลให้เมื่อโตขึ้น เขาต้องนำเหล็กมาทำอวัยวะเทียมเกือบทั้งตัว เขาเคยพูดให้ได้ยินว่า อยากเห็นเจ้าคุกเข่าไปจนกว่ารถม้าของเขาจะเหยียบคอเจ้าให้ขาด น่าเสียดายที่เขาตายไปเสียก่อนได้เห็น แต่ไม่เป็นไร ข้าเป็นลูกศิษย์ของเขา ข้าสืบทอดเจตนารมณ์บางส่วนของไพรม์ดีวอเชอร์มา ข้าก็อยากเห็นเหมือนกัน”

                “ข้าไม่คุกเข่าให้ปีศาจโสโครกอย่างพวกเจ้าหรอก” ประธานนักบวชพูดผ่านเสียงที่ถูกบีบออกมา เรานักบวชสูงส่ง พวกเจ้ามันต่ำทราม เป็นสิ่งชั่วร้ายที่ควรได้รับการควบคุม ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก”

                โซลิแทร์หยิบกระถางต้นไม้แขวนผนังหนักๆ กระถางหนึ่งมาคล้องคอประธานนักบวช มันหนักเกินไปสำหรับร่างแก่ๆ ของเขา ประธานนักบวชจึงถูกดึงลงไปนั่งอยู่ในท่าคุกเข่า ทำเอานักบวชคนอื่นๆ พลอยขวัญหนีดีฝ่อตามไปด้วย

                “มองไปรอบๆ สิมนุษย์ พวกเจ้าดูสูงส่งนักหรือไง พวกเจ้าก็มีเลือดมีเนื้อ ถูกฟันแทงก็เจ็บปวด ถูกน้ำหนักมากดหัวก็ต้องล้มลง เหมือนกับเรานี่ล่ะ เพียงแต่พวกเจ้าไม่เคยทำเหมือนว่าพวกเรามีความรู้สึกเลย พวกเจ้าสร้างโศกนาถกรรมแก่เราด้วยพิธีกรรมบ้าๆ ของพวกเจ้า พวกเจ้าปลูกพืชแห่งความเจ็บปวดขึ้นมา และตอนนี้ ก็ถึงฤดูที่พวกเจ้าจะต้องเก็บเกี่ยวความเจ็บปวดที่ตนสร้างไว้แล้ว” โซลิแทร์ประกาศด้วยเสียงอันเย็นเยียบผ่านหน้ากาก “ความจริงแล้วพวกเจ้าทุกคนสมควรตาย ข้าควรจะประหารให้หมดเสีย แต่มีความจำเป็นบีบบังคับให้ข้าทำไม่ได้ ข้าต้องใช้พวกเจ้าเป็นตัวประกัน พวกเจ้าจึงยังมีชีวิตรอด ในตอนนี้”

                “เรียนท่านลอร์ด” กัปตันมาซูลเดินเข้ามาในวิหาร เลื่อนกระบังหมวกเปื้อนเลือดขึ้น “เราควบคุมพื้นที่ได้แล้ว กำลังจัดแนวป้องกันกองหนุนของพวกมนุษย์ รับรองว่าพร้อมก่อนพวกมันบุกมาถึง”

                “โรงนาทุกหลังไม่ไม่รับความเสียหายใช่ไหม” โซลิแทร์ถาม “มีพืชผลของพวกมนุษย์อยู่ในนั้น มันควรอยู่ในสภาพดีขณะที่เราขนกลับไปที่อาณาจักรของเรา”

                “ไม่ต้องห่วง อาหารเป็นสมบัติล้ำค่า พวกนักรบของเราย่อมระมัดระวังเต็มที่” กัปตันมาซูลตอบ

                เซซิลลอยเข้ามาในวิหาร สิ่งแรกที่ทำคือพึมพำว่า “ไอ้ประธานนักบวชซิทสารเลว” แล้วตรงเข้ามาซัดกำปั้นที่หน้าประธานนักบวชทันที ท่าทางจะมีความแค้นส่วนตัว นักรบดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ ยิ้มอย่างสะใจอยู่หลังหมวกเกราะ ประธานนักบวชลงไปนอนกับพื้น เลือดกบปาก โซลิแทร์ลากคอให้กลับขึ้นมานั่งคุกเข่า

                “เรียนท่านลอร์ด” เซซิลหันมารายงานโซลิแทร์ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ในตัวเมืองโอมิลรอนส่งกองหนุนออกมาแล้ว”

                “ท่านสองคนไปประจำที่ได้” โซลิแทร์พยักหน้า

                เซซิลและกัปตันมาซูลทำสัญลักษณ์กากบาท แล้วเดินเร็วๆ ออกไปจากวิหาร โซลิแทร์ตามออกไป แต่หยุดอยู่หน้าวิหาร มองลงไปตามขั้นบันไดใหญ่หน้าวิหาร มีพวกดีเซ็นทรีและดีวอเชอร์ตั้งป้อมประจำที่กันเป็นจุดๆ ล้มรูปปั้นทองแดงของเจ้าชายไททอสทั้งหมดมาเป็นเครื่องกำบัง วิหารถูกสร้างบนเนิน ตำแหน่งพวกเขาจึงอยู่สูงกว่าฝ่ายที่บุกมา การตั้งรับแบบนี้พวกดาร์คเนสดีวิลถนัดมาก เอเลนเซฟเวอรี่สีดำบินลงมารับ โซลิแทร์ปีนขึ้นหลังมันแล้วบินทะยานขึ้นฟ้า

                ฟิเร็นดาและอัศวินกองหนุนควบม้าตรงเข้าหาพื้นที่ที่พวกดาร์คเนสดีวิลยึดได้ พวกชาวบ้านที่วิ่งหนีสวนมาทำให้จัดขบวนลำบาก บนท้องฟ้าเธอเห็นโซลิแทร์ขี่พาหนะบินอยู่ ทำท่าเหมือนจะรุกไล่ตามหลังพวกชาวบ้านมา เธอและพวกอัศวินจึงรีบควบม้าบุกเข้าหาทันที โซลิแทร์กระชากบังเหียนบินถอยกลับไป พวกทหารม้าปีศาจจำนวนหนึ่งที่ป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ก็ถอยหนีกลับไปด้วย เทียบกันตอนนี้แล้ว พวกมนุษย์มีจำนวนมากกว่า

                กองกำลังของฟิเร็นดารุกไล่เข้าไปจนถึงหมู่บ้าน โซลิแทร์บินสูงขึ้นอยู่เหนือหมู่บ้านเล็กน้อย ทหารม้าดาร์คเนสดีวิลกลุ่มที่ถูกไล่มาก็กระจายหนีกันไปตามช่องว่างของบ้านแต่ละหลัง กองกำลังมนุษย์ที่ไม่ค่อยจะเป็นรูปขบวนอยู่แล้ว ต้องแตกขบวนมากขึ้นอีกเพราะสิ่งกีดขวางเยอะ ชาวบ้านที่วิ่งแตกตื่นก็ยังมีอยู่ ต้องกระจายกันออกไปเท่าที่ช่องว่างจะอำนวย นี่ไม่ใช่การต่อสู้ในที่โล่ง ทหารม้าจะจัดขบวนได้ไม่สะดวก

                ลูกศรสามง่ามและวงแหวนฮีเลียมพุ่งเข้ามาโจมตีพวกมนุษย์ เอาชีวิตอัศวินไปหลายคน มันถูกยิงมาจากหน้าวิหารของเจ้าชายไททอส ซึ่งพวกดาร์คเนสดีวิลตั้งป้อมกันอยู่ในมุมสูง บนหลังคาบ้านบางหลังก็มีเช่นกัน พวกเขาถูกพวกดาร์คเนสดีวิลล่อเข้ามาติดกับเสียแล้ว โซลิแทร์ยิงพลุสีน้ำเงินขึ้นฟ้า แล้วบังคับพาหนะโฉบกลับไปหาพวกมนุษย์ แล้วทันใดนั้น กระท่อมหลังเล็กๆ สี่ห้าหลังที่อยู่ทางซ้ายและทางขวาของกองกำลังมนุษย์ก็พังโครม กองทหารม้ากองรถม้าศึกดาร์คเนสดีวิลบุกเข้าขนาบพวกเขาจากสองทาง จัดขบวนเว้นช่องสำหรับสิ่งกีดขวางพอดิบพอดี เซซิลนำกองกำลังบุกเข้าทางซ้าย กัปตันมาซูลนำกองกำลังบุกเข้าทางขวา โซลิแทร์โฉบจากบนฟ้าเข้าหาที่แกนกลาง พวกมนุษย์ต้องพบเจอกับกลยุทธ์ที่เคยเจอที่ฟรอสท์ไอรอนแคลดอีกจนได้

                กองกำลังมนุษย์ที่ไม่ค่อยจะเป็นรูปขบวนถูกเข้าปะทะ พวกทหารม้าพวกอัศวินมนุษย์ถูกหอกแทง ถูกโล่ฟันคอ ถูกจู่โจมในจังหวะที่เสียเปรียบ ชุดเกราะสีดำของพวกดาร์คเนสดีวิลก็กลมกลืนไปกับความมืด ยิ่งทำให้เดาทางการจู่โจมยาก ฟิเร็นดาดูจะสับสนตื้อชา ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร นี่อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดวลี “ผู้หญิงบัญชาการรบก็อย่างนี้”  เพราะส่วนใหญ่แล้ว เมื่อต้องพบเจอกับเหตุการณ์กะทันหันเช่นนี้ ผู้บัญชาการรบที่เป็นผู้หญิงมักจะทำอะไรไม่ถูก โซลิแทร์กระโดดจากหลังพาหนะลงไปบนหลังคากระท่อมเตี้ยๆ ดักอัศวินมนุษย์หลายคนที่ขี่ม้าผ่านมาด้วยดาบ ตำแหน่งที่เขาอยู่มันสูงพอดีคอมนุษย์ขี่ม้า เซซิลยังคงต่อสู้กับอาวุธยาวได้เก่งกาจเช่นเดิม เขาตอบโต้ทวนของอัศวินมนุษย์ที่แทงมาใส่ในตอนที่เขาอยู่ในที่แคบ ด้วยการใช้โล่ปัดให้ทวนแทงไปถูกหน้าต่างบ้านที่อยู่ใกล้ๆ มันปักคาอยู่ที่หน้าต่างไม้ ดึงออกไม่ได้ แล้วเขาก็บังคับรถม้าสวนไปเชือดคอเจ้าของทวนด้วยโล่ กัปตันมาซูลเปลี่ยนหอกมาใช้ดาบคู่แทน การต่อสู้บนหลังม้าในบริเวณที่มีสิ่งกีดขวางเยอะเช่นนี้ทำให้ดาบได้เปรียบทวนยาวๆ ของพวกมนุษย์ ทหารม้าปีศาจหลายคนก็ทำตามเขา ส่วนพวกดีวอเชอร์ขับรถม้าศึกนั้นไม่ได้เคลื่อนที่สักเท่าไหร่นัก เพราะพื้นที่ไม่เอื้ออำนวย พวกเขาจึงมีหน้าที่ตั้งแถวปิดช่องว่างบางจุด เพื่อบีบไม่ให้พวกมนุษย์จัดขบวนได้สะดวก มีเพียงเซซิลที่ขับรถม้าบุกตะลุยต่อสู้กับพวกมนุษย์ร่วมกับพวกทหารม้าปีศาจ เขาขับรถม้าเก่งมาก แล้วรถม้าของเขาก็ถูกออกแบบมาพิเศษ มันมีความคล่องตัวกว่ารถม้าทั่วไป อัศวินมนุษย์คนแล้วคนเล่าตายตกหลังม้า พวกดาร์คเนสดีวิลยังคงระมัดระวังไม่ทำอันตรายม้าของฝ่ายตรงข้าม พวกเขาต้องการจับม้าไปด้วย

                เจ้าเอเลนเซฟเวอรี่สีดำของโซลิแทร์สร้างปัญหาให้พวกมนุษย์ได้มากมายทีเดียว มันโฉบเอาอัศวินไปจากหลังม้าทีละคนสองคน จะโต้ตอบก็ลำบาก พวกเขาไม่ได้พกปืนยาว เพราะมันไม่ใช่อาวุธที่ทหารม้าเกราะหนักจะใช้ได้สะดวก สุดท้ายแล้วก็กลับมาเป็นเหมือนศึกครั้งแรกที่ฟรอสท์ไอรอนแคลดอีกจนได้ พวกมนุษย์ถูกไล่เก็บจากหลังม้า แล้วม้าก็ถูกยึดไป จากกลยุทธ์ทั้งหลายนี้แสดงให้เห็นว่าพวกดาร์คเนสดีวิลรู้จักพื้นที่บริเวณนี้เป็นอย่างดี แน่นอนว่าพวกเขาย่อมรู้จัก ต้องมาส่งบรรณาการที่นี่บ่อยๆ ถูกเกณฑ์มาใช้แรงงานที่นี่บ่อยๆ ก่อนหน้านี้พวกมนุษย์คิดว่าตนฉลาดที่ใช้พวกปีศาจแบ่งเบาภาระและค่าใช้จ่ายได้มากโข แต่ในตอนนี้คงไม่มีใครคิดอย่างนั้นได้อีกแล้ว

                ฟิเร็นดาพยายามรวบรวมสติ เธอหันไปเห็นเซซิลกำลังต่อสู้กับอัศวินมนุษย์สองคนบนรถม้า คทาหอกในมือกระชับแน่นขึ้น มืออีกข้างสะบัดบังเหียนม้าควบตรงเข้าไปหา พร้อมกับแทงใส่จากด้านข้าง นับว่าเลือกคู่ต่อสู้ผิดคนเสียแล้ว เซซิลเชี่ยวชาญเรื่องการตอบโต้อาวุธยาว เมื่อเธอแทงใส่ เขาก็แค่ใช้โล่สะกิดปลายหอกให้เบี่ยงไปด้านข้างเล็กน้อย และคว้าด้ามคทาออกแรงงัดเข้าหาตัว โดยใช้โล่เป็นแกนงัด ด้ามคทาอีกส่วนที่ฟิเร็นดาถืออยู่จึงเบียดเข้าที่ลำตัวของเธอ ผลักเธอตกหลังม้าไป โชคดีที่ขาไม่เกี่ยวกับโกลน ไม่อย่างนั้นคงถูกลากไปเป็นทางยาวแน่ แต่การตกม้าก็ทำเอาเธอนอนมึนอยู่ตรงนั้น จะยันตัวลุกขึ้นจากพื้นก็ยังไม่ไหว

                “เฉยไว้เสีย” เซซิลชี้ฟิเร็นดาด้วยคทาหอกของเธอที่เขายึดมาได้

                กองหนุนของพวกมนุษย์ถูกกำจัดทิ้งอย่างรวดเร็ว พวกดาร์คเนสดีวิลเป็นต่อเรื่องจำนวนแต่แรกแล้ว นี่ยังใช้ความได้เปรียบของพื้นที่ตั้งรับต่อสู้กับพวกมนุษย์อีก ภายในเวลาไม่นาน กองกำลังมนุษย์ที่เหลือก็ถอยหนีกลับเข้าเมืองไป เหยียบชนชาวบ้านบางคนที่กำลังหนีอย่างไม่แยแส ตอนนี้พวกดาร์คเนสดีวิลควบคุมพื้นที่ด้านนอกเมืองโอมิลรอนได้อย่างสมบูรณ์ วิหารของเจ้าชายไททอสก็เช่นกัน ชาวหมู่บ้านมนุษย์หนีเข้ากำแพงเมืองหมดแล้ว กองหนุนที่เหลือก็ด้วย ทิ้งให้พวกที่หนีไม่ทันถูกฆ่าตาย

                ฟิเร็นดาเริ่มจะหายวิงเวียน ใช้ศอกยันตัวโงหัวขึ้นจากพื้นในท่านอนคว่ำ เธอเงยมาเห็นโซลิแทร์ต่อสู้กับทหารมนุษย์สามคนสุดท้าย ห่างออกไปไม่กี่เมตร โซลิแทร์ฟันดาบปาดคอคนแรก ก้มหัวหลบดาบคนที่สอง พร้อมกับใช้แขนซ้ายรัดคอเจ้าของดาบไว้ใต้รักแร้ แขนขวาก็ยกดาบปัดป้องดาบจากคนที่สาม แล้วยกรองเท้าเหล็กเตะปลายคางอีกฝ่ายจนคางแทบจะยุบขึ้นไปถึงสมองเพราะคางคือส่วนที่ไม่มีเกราะบัง จากนั้นก็หมุนตัวหันหลัง โดยที่ยังหนีบทหารมนุษย์คนสุดท้ายไว้ใต้แขน เกิดเสียงกระดูกหักดังลั่น แล้วร่างของทหารมนุษย์คนนั้นก็กระเด็นล้มลงไปบนพื้นตามแรงเหวี่ยง พร้อมด้วยคอที่หันแปลกๆ ฟิเร็นดาต้องเบือนหน้าหนีด้วยความสยดสยอง

                โซลิแทร์เก็บดาบลงฝัก เดินไปยังถังน้ำถังหนึ่งข้างกระท่อมใกล้ๆ เปิดฝาออก หยิบกระบอกไม้ที่แขวนอยู่ตักน้ำขึ้นมา รอบตัวเขา พวกนักรบดาร์คเนสดีวิลเริ่มเก็บกวาดพื้นที่ การต่อสู้จบลงแล้ว

                “รื้อกระท่อม บ้าน หรือเพิงบางส่วนออกไป เราต้องการพื้นที่ในการตั้งค่ายชั่วคราว รวมทั้งจัดแนวป้องกันกองกำลังที่พวกมนุษย์จะส่งมาอีก” เขาสั่งการ “นำศพพวกมนุษย์ไปกองไว้หน้ากำแพง ให้คนในเมืองออกมาเก็บไปเอง แต่ถ้าพวกมันไม่มา ข้าจะเผาทิ้งเสีย ในตอนนี้เราคุมพื้นที่ได้แล้ว ข้าจะส่งสัญญาณให้กองเกวียนลำเลียงเสบียงของเราที่ซ่อนอยู่ไกลๆ เข้ามาในพื้นที่ได้ จงให้พวกเขาขนสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในโรงนาของพวกมนุษย์กลับไปบำรุงอาณาจักรของเรา”

                พลุสีเขียวพุ่งออกจากปลายมือข้างหนึ่งของโซลิแทร์ส่องสว่างบนฟ้า กองเกวียนเปล่าของพวกดาร์คเนสดีวิลเริ่มเคลื่อนเข้ามาในพื้นที่ การบุกโจมตีครั้งนี้พวกดาร์คเนสดีวิลต้องการหาเสบียงกลับไปด้วย จึงนับว่าถูกเวลามากที่ปฏิบัติการในฤดูเก็บเกี่ยวของพวกมนุษย์ ผลผลิตถูกเก็บเกี่ยวไว้ในยุ้งฉาง รอให้พวกเขามาขนไปได้เลยทีเดียว แต่เหตุผลสำคัญที่เลือกมาโจมตีในวันนี้ ก็เพราะมันเป็นวันครบรอบที่โฟรเซ็นทิเนลตกเป็นอาณานิคมของพวกมนุษย์พอดี ด้วยฝีมือของเจ้าชายไททอสผู้ก่อตั้งเมืองโอมิลรอนแห่งนี้ ดูเหมือนว่าปีนี้ มันจะเป็นฤดูที่โอมิลรอนจะต้องเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ตนเคยกระทำไว้อย่างเหี้ยมโหด

                “ท่านจะลุกขึ้นยืนก็ได้ หากท่านต้องการ”

          โซลิแทร์ยืนอยู่ข้างหน้าฟิเร็นดา เอื้อมมือไปหาเธอ จะช่วยดึงเธอขึ้นมา แต่ฟิเร็นดาก็ลุกขึ้นมายืนเอง พร้อมกับทำสีหน้าไม่พอใจ

          “ท่านสู้รบมาเหนื่อย คงจะกระหาย” โซลิแทร์ยื่นกระบอกใส่น้ำให้เธอ

          ฟิเร็นดาไม่รับ สีหน้าไม่ไว้ใจ

          “เชื่อข้าเถอะ หากข้าพยายามจะฆ่าท่าน ข้าคงไม่เสียเวลาใส่ยาพิษลงในน้ำหรอก” โซลิแทร์กล่าวเรียบๆ “ดาบข้าก็มี ฟันฉับเดียวง่ายกว่าเยอะ”

          ฟิเร็นดารับน้ำไป พยายามวางตัวให้สงบ ไม่แสดงความกลัวออกมา

          “ท่านเป็นผู้หญิงสูงศักดิ์ใช่ไหม”

          ฟิเร็นดานิ่วหน้า ไม่ตอบ

          “แน่นอน ท่านเป็นผู้หญิงสูงศักดิ์ จากลักษณะของท่าน การทำตัวของท่าน ชุดเกราะดีๆ ที่ท่านสวม ม้าที่ท่านขี่” โซลิแทร์สรุปเอง

          ฟิเร็นดายังไม่พูดอะไร

          “ท่านเป็นอะไรกับแอนโทนิดัส แร็กซ์ริง”

          ฟิเร็นดายังคงเงียบ

          “อภัยให้ด้วย” โซลิแทร์ทำท่าขอโทษขอโพย “ข้าน่าจะเดาได้ว่ามันจะเป็นแบบนั้น”  

          “เดาอะไรได้” ฟิเร็นดาร้องออกมาอย่างขุ่นเคือง

          “ข้าไม่รู้ว่าท่านคือภรรยาเก็บของเขา ข้าเสียใจ ข้าไม่ควรพูดออกมา”

          “ข้าไม่ใช่ภรรยาเก็บของเขา” ฟิเร็นดาตะโกนสุดเสียง นักรบดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ หันมามอง กัปตันมาซูลกับเซซิลที่กำลังจัดการศพอยู่นั้นแอบหัวเราะอยู่หลังหมวกเกราะ “ข้าเป็นบุตรบุญธรรม และเป็นลูกศิษย์ของเขา”

          “อภัยให้ด้วย ก็ข้าเดาไม่เก่ง แล้วท่านก็ไม่ยอมตอบคำถามมาตรงๆ” โซลิแทร์รู้สึกขบขันอยู่ในใจ “ฉะนั้นท่านควรตอบสิ่งต่างๆ ที่ข้าถามจะดีกว่า เพราะถ้าข้าเดาเอง มันอาจไม่ตรงความจริงนัก”

          ฟิเร็นดาจ้องหน้ากากโซลิแทร์ด้วยสีหน้าถมึงทึง ต้องเงยหน้าเพราะเขาสูงกว่าเธอ

          “อาจารย์ของท่านไปไหนเสียแล้วล่ะ เราคาดหวังว่าจะได้พบเจอกับเขา ทำไมเขาถึงส่งผู้หญิงมาออกรบแทนตัวเอง” โซลิแทร์ถาม

          “เขาไปทำธุระในเมืองหลวง และกำลังเดินทางกลับมา เขาจะกลับมาที่นี่พร้อมด้วยกองหนุนจำนวนมาก” ฟิเร็นดาขู่ “มากพอที่จะเอาชนะพวกท่านได้”

          “คงจะเป็นไปได้ยาก” โซลิแทร์รู้ทัน “กองทัพบกของพวกท่านเหลือไม่เพียงพอสำหรับการนี้หรอก หลังจากแพ้ศึกพวกเราที่โฟรเซ็นทิเนลถึงสองครั้ง จริงอยู่ พวกท่านอาจดึงกำลังพลจากกองทัพเรือมาเสริม ทำให้มันเพียงพอได้สักวัน แต่ไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่กองกำลังที่จะมากับอาจารย์ของท่าน”

          ฟิเร็นดานิ่งเงียบ โซลิแทร์หันไปช่วยดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ รื้อกระท่อม เขาไม่เหมือนบรรดาผู้บัญชาการมนุษย์ที่จะนั่งสบายๆ หลังจบศึก เมื่อนักรบคนอื่นๆ ต้องทำงานหลังต่อสู้ เขาก็ต้องร่วมทำด้วย

           “ท่านชื่ออะไร” โซลิแทร์ถามต่อขณะมือไม้ทำงานไม่หยุด

          “ฟิเร็นดา เกรซ”

          “ท่านเป็นญาติเกี่ยวดองกับอดีตผู้บัญชาการทหารม้าเกรซหรือ ข้าคิดว่าพวกเฟลมฟอร์สน่าจะรีบฆ่าเจ้าสารเลวนั่นให้เร็วกว่านี้ เขาสมควรตายให้ดาวดวงนี้เบาขึ้นเร็วๆ”

          “บังอาจพูดอะไรออกมาน่ะ” ฟิเร็นดาตะคอกอย่างกราดเกรี้ยว

          “ชัดเจนเลยว่าเขาคือพ่อของท่าน” โซลิแทร์พยักหน้าอย่างพอใจที่เดาถูก “นี่ ไม่ได้ตั้งใจด่าพ่อให้ลูกฟังนะ แต่พ่อของท่านมันสารเลวและสมควรรีบๆ ตายจริงๆ เขาสร้างความเดือดร้อนให้แก่เผ่าพันธุ์ข้ามากมาย”

          “ข้าแทบไม่รู้จักเขา เขาสิ้นชีพในสงครามก่อนที่ข้าจะจำความได้ ไม่อย่างนั้นข้าไม่ได้มาเป็นลูกบุญธรรมคนอื่นหรอก” ฟิเร็นดาฉุนขาด “แต่ข้าก็มีสิทธิ์ที่จะไม่พอใจ ที่ท่านมาด่าว่าเขาแบบนี้”

          “แน่นอน ท่านมีสิทธิ์ไม่พอใจ แต่ข้าก็มีสิทธิ์ด่าเขาเช่นกัน เพราะเขามัน--” โซลิแทร์ดูจะขบขันกับการแหย่อีกฝ่ายไม่น้อย “อย่าฉุนเฉียวสิ ข้าว่าพ่อท่าน ไม่ได้ว่าท่านเสียหน่อย มีคนมากมายว่าพ่อข้า ข้ายังไม่โกรธเลย เพราะข้าไม่ใช่เขา จริงๆ แล้วอาจเป็นเพราะข้ากับเขาไม่สนิทกันเท่าไหร่ ข้าไม่รู้จักเขา เขาตายเพราะคำสั่งบ้าๆ ของเผ่าพันธุ์ท่าน บางทีพ่อสารเลวของท่านก็อาจมีส่วนด้วยก็ได้”

          “ท่านบุกมาที่นี่ทำไม ต้องการอะไรจากเมืองนี้” ฟิเร็นดาตวาด

          “มันคงจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับพวกมนุษย์อย่างท่าน ที่ถูกรุกรานบ้าง ไม่ได้เคยชินกับการถูกรุกรานเหมือนพวกเรา” โซลิแทร์พึมพำ “อีกไม่นานอาจารย์ของท่านก็จะกลับมาถึงที่นี่ เขาคงจะมาโวยวายอยู่หน้าค่ายของเรา เรียกร้องให้เราส่งตัวท่านคืนให้เขา เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะแจ้งข้อเรียกร้องของเราให้เขาทราบเอง”

          “ข้าไม่ยอมเป็นตัวประกันแลกเปลี่ยนให้พวกท่านหรอกนะ” ฟิเร็นดาพูดอย่างเด็ดเดี่ยว

          “ข้าทำเหมือนว่าท่านเป็นตัวประกันหรือไง ข้าไม่ได้เอาอะไรมาล่ามท่าน หรือคอยเฝ้าดูท่านไม่ให้หนี อะไรทำให้ท่านคิดว่าข้าจะเอาท่านไปเป็นตัวแลกเปลี่ยน” โซลิแทร์ทำงานไปเรื่อยๆ อย่างไม่ใส่ใจ

          “แล้วกักตัวข้าไว้ทำไม”

          “จะได้ส่งตัวท่านคืนให้ถึงมืออาจารย์สุดที่รักของท่าน จะได้ยืนยันได้ว่า เราไม่ทำให้ท่านเสียหายบุบสลายตรงไหน ดาร์คเนสดีวิลเรามีชื่อเสียงที่ต้องรักษา” โซลิแทร์ตอบ “ข้านับถือในความกล้าของท่าน ท่านเป็นผู้หญิง ท่านไม่กลัวที่จะรบ แต่เห็นชัดเลยว่าท่านยังไม่รู้ซึ้งถึงความโหดร้ายของมันโดยแท้จริง”

          “ข้ามีความกล้า ข้ามีฝีมือ” ฟิเร็นดาสวน “ข้าเคยสู้รบ แล้วข้าก็ชนะด้วย”

          “นอนในกระโจมหรูๆ  มีเสบียงให้กินอิ่มหนำสำราญ สู้กับพวกกบฏโฮเซ่ที่มีอาวุธบ้างไม่มีบ้าง ไม่สวมเกราะกันสักคน สู้ด้วยกองกำลังที่ได้เปรียบราวสามสี่เท่า ท่านคิดหรือว่าชนะการต่อสู้ในสนามเด็กเล่นแบบนั้นมันทำให้ท่านเป็นส่วนหนึ่งของสมรภูมิรบ คิดว่ามันทำให้ท่านเป็นคนเก่งอย่างนั้นหรือ” โซลิแทร์ส่ายหน้าอย่างขบขัน “นี่คงเป็นสาเหตุว่า ทำไมผู้บัญชาการรบมนุษย์แต่ละคนถึงมีฝีมือต่อสู้ไม่ค่อยจะได้เรื่อง โผล่หน้าไปร่วมศึกที่ตนได้เปรียบหนักๆ พอหอมปากหอมคอ ส่วนศึกที่ตนเสียเปรียบ ก็บงการให้คนอื่นไปเป็นโล่ให้ตน ท่านคงไม่รู้หรอกว่าการต้องรบกับศัตรูที่เหนือกว่าทุกด้าน ไม่ว่าจะเรื่องจำนวน ฝีมือ อุปกรณ์สงคราม รบอย่างมืดแปดด้าน รบอย่างแทบไม่มีหวัง มันแสนทรหดแค่ไหน ท่านคงไม่รู้หรอกว่าการนอนหายใจพะงาบๆ จมกองเลือดตัวเอง บนหิมะเย็นเฉียบ ลืมตามองคนที่เก่งที่สุดที่จะมาเอาชีวิตท่าน มันรู้สึกอย่างไร สงครามจริงๆ มันไม่มีอะไรน่าพิสมัยเลย มันเป็นพื้นที่ของคนที่ไร้ความรู้สึก คำว่าเลือดเย็นคือสิ่งที่ทำให้เราทำสิ่งต่างๆ ในสงครามได้ดี ท่านกล้าพูดหรือเปล่า ว่าท่านเลือดเย็น

          ฟิเร็นดานิ่งเงียบ

          “แต่ท่านก็คงจะเริ่มซึมซับความไม่พิสมัยของมันแล้ว ในตอนที่ท่านแพ้เมื่อสักครู่นี้ พวกอัศวินที่ร่วมต่อสู้กับท่านต่างเผ่นหนีกันแทบไม่ทัน ทิ้งให้ท่านผู้เป็นผู้หญิงคนเดียว ตกอยู่ในกำมือของฝ่ายตรงข้าม” โซลิแทร์พูดไปทำงานไป “หากพวกเราเลวเหมือนเผ่าพันธุ์ท่าน ท่านคงถูกฆ่าหรือถูกรุมข่มขืนไปแล้ว หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่เคยรู้สึกผิดที่จะทำตัวต่ำทราม นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่เผ่าพันธุ์ของเราไม่อนุญาตให้ผู้หญิงออกรบ แต่ไม่ต้องกังวล ปีศาจเราไม่ใช่มนุษย์ เราไม่ทำอะไรกับท่านแบบนั้น จึงนับว่าโชคดีที่ท่านเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ได้โชคร้ายเกิดเป็นฝ่ายที่ถูกมนุษย์กระทำเหมือนพวกเรา เผ่าพันธุ์ของเราไม่มีอะไรเหมือนกัน ฟิเร็นดา เกรซ เผ่าพันธุ์ของท่านอาจฆ่าผู้หญิง ฆ่าเด็ก ฆ่าทารกโดยถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่เผ่าพันธุ์ของเราไม่ใช่แบบนั้น สำหรับเผ่าพันธุ์ของเรานั้น ผู้หญิงเป็นสิ่งสูงค่าหายาก หากจะกำจัดก็ต้องคิดแล้วคิดอีก จริงอยู่ ท่านจับอาวุธต่อสู้กับเรา อาจเป็นอันตรายแก่ชีวิตพวกเราหลายๆ คน แต่ก็เป็นโชคดีของท่าน ที่ท่านยังไม่ได้ฆ่าเราสักคน เราจึงตัดสินใจง่ายขึ้น ที่จะหลีกเลี่ยงไม่เอาชีวิตท่าน”

          “คิดว่าตนมีคุณธรรมนักสินะ” ฟิเร็นดาว่าให้ “ชาวบ้านไร้ทางสู้เหล่านี้ถูกพวกท่านทำร้าย ถูกขับไล่ ถูกปล้นเผาเหมือนโจรป่า พวกนักบวชก็ถูกจับเป็นตัวประกัน พวกเขาล้วนแล้วแต่ไร้ทางสู้”

          “ข้าไม่คิดว่าเรามีคุณธรรมหรอก แต่ขอยืนยันว่า เราไม่ได้ทำร้ายคนไร้ทางสู้” โซลิแทร์พูดไปทำงานไป “รู้ไหม ไร่นา พื้นที่สบายๆ สาธารณูปโภคที่พวกชาวบ้านของท่านมีอยู่ทุกวันนี้ มันเกิดขึ้นจากแรงงานและความเหนื่อยยากของเราที่ถูกเกณฑ์มาใช้แรงงาน ผู้หญิงสูงศักดิ์อย่างท่านคงไม่รู้หรอก ว่าการทำงานให้คนที่เราเกลียด ก้มหน้าก้มตาทำไป โดยที่รู้ทั้งรู้ว่าทำแล้วเราไม่ได้อะไรเลย มันรู้สึกแย่แค่ไหน มิหนำซ้ำชาวบ้านที่ไร้ทางสู้ของพวกท่านทั้งหลายยังชอบกลั่นแกล้งพวกเราอีก ไม่ว่าคนแก่ เด็ก วัยใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่ไร้ความปรานีต่อเราทั้งสิ้น หลายครั้งที่พวกนั้นเอาพืชผักมาขว้างปาข้าเล่น ช่วงนั้นข้าก็ยังเด็กอยู่ ตัวสูงไม่ถึงเอวท่านด้วยซ้ำ แต่ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ของท่านดูจะไม่ใส่ใจว่าข้าเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ปีศาจก็เหมือนๆ กันหมด รังแกได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด แต่บางทีข้าก็ไม่บ่นหรอกนะ ข้าแอบเก็บพืชผักที่พวกนั้นเอามาขว้างข้าได้บ้าง ข้าไม่เคยโกรธเลยเมื่อถูกขว้างด้วยแอปเปิล ข้าชอบแอปเปิล แต่ข้าเกลียดแตงโมเป็นบ้า เป็นผลไม้ที่ข้าเกลียดที่สุดแล้ว รสชาติไม่ได้เรื่อง ลูกมันใหญ่ โดนขว้างทีก็เจ็บ เมื่อมันแตก น้ำฉ่ำๆ เหนียวๆ ก็เลอะตัวข้า ซึมผ่านเสื้อผ้า แล้วยังเม็ดของมันที่คอยเข้ามาในซอกหมวกฮู้ดอีก ติดผมข้าเต็มไปหมด” เขารื้อฝากระท่อมออก พบผลไม้และอาหารในกระท่อม จึงขนไปรวมอีกที่หนึ่ง “ที่สำคัญคือ ชาวบ้านพวกนี้สนับสนุนให้ขุนนางของตนใช้ความรุนแรงกับเรามาตลอด ข้าไม่สนใจหรอกว่าท่านจะมองชาวบ้านเหล่านี้ว่าใสซื่อบริสุทธิ์เพียงใด ที่ทำไปเพราะถูกปลูกฝังมาผิดๆ หรือถูกชักจูงไปผิดทาง ข้ออ้างไร้สาระทำนองนี้เราไม่สน สำหรับปีศาจเรา ใครทำเราเดือดร้อน นั่นไม่ถือว่าใสซื่อบริสุทธิ์ การที่เราไล่พวกเขาไปให้พ้นจากพื้นที่ตรงนี้ ถือว่าเราเอาคืนเบาแล้ว เราฆ่าเฉพาะคนที่จับอาวุธสู้ อย่านึกว่าข้าจำหน้าพวกที่ขว้างปาข้าไม่ได้ จะว่าไปก็เกือบทั้งหมู่บ้านเลยนี่ล่ะ หรือไม่ก็ทั้งหมู่บ้านเลย”

          ฟิเร็นดานิ่งเงียบ ดื่มน้ำในกระบอกไม้ในมือ

          “ท่านเคร่งศาสนาไหมฟิเร็นดา เกรซ” โซลิแทร์ถาม “ท่านเทิดทูนบูชาพวกนักบวชหรือเปล่า”

          “ข้าไม่ได้เคร่งศาสนา แต่นักบวชพวกนั้นก็เป็นสาวกของศาสนาข้า เป็นสิ่งที่ประชาชนในเมืองให้ความเคารพ” ฟิเร็นดาพูดเสียงดัง “ถึงอย่างไรพวกท่านก็ควรให้เกียรติพวกเขา ไม่ควรมาจับพวกเขาเป็นเชลยแบบนี้”

          “ตามข้ามาสิ” โซลิแทร์ละมือจากงานที่ทำ “ข้าจะแสดงบางสิ่งให้ท่านเห็น”  

          เขาเดินนำเธอไปยังวิหารของเจ้าชายไททอส ฟิเร็นดาเดินตามไป ท่าทางสับสนและไม่แน่ใจ ทั้งคู่ขึ้นบันไดไปจนถึงลานหน้าวิหาร ข้างบนนี้เป็นพื้นที่ยกระดับ มองเห็นพื้นที่ใกล้เคียงโดยรอบ และมองเห็นแสงไฟในตัวเมืองและกำแพงเมืองที่อยู่ไกลๆ

          “มองไปรอบๆ พื้นที่แห่งนี้ ท่านมองเห็นอะไรฟิเร็นดา เกรซ” โซลิแทร์กวาดมือไปรอบๆ

          “เห็นดาร์คเนสดีวิลจำนวนมาก ที่กำลังยึดพื้นที่นอกเมืองของข้าอยู่” ฟิเร็นดาจ้องอีกฝ่ายอย่างฉุนเฉียว

          “ถูกแล้ว มีจำนวนมากเลยใช่ไหม” โซลิแทร์พยักหน้า “ท่านคิดว่ามีอยู่เท่าไหร่”

          “ข้าจะไปนับทันได้ยังไง พวกท่านยกพลมามากขนาดนี้” เธอกระชากเสียง

          “ไม่ต้องละเอียดขนาดนั้นก็ได้ ขอแค่ท่านจำไว้ว่าพวกเรายกพลมาที่นี่จำนวนมากก็พอ” โซลิแทร์พูดอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน

          “แล้วให้ข้าจำไว้ทำไม” ฟิเร็นดาหงุดหงิด

          “แล้วถ้ามองไปทางนี้ล่ะ” โซลิแทร์ไม่ยอมตอบคำถาม ผายมือไปทางตัวเมืองโอมิลรอนที่เห็นอยู่ไกลๆ “ท่านมองเห็นอะไร”

          “ท่านกำลังเล่นลูกไม้อะไรอยู่” ฟิเร็นดาขมวดคิ้ว

          “ไม่มีลูกไม้ใดๆ ทั้งนั้น สิ่งที่เราจะพูดกันต่อไปนี้คือความจริงล้วนๆ” โซลิแทร์ตอบ

          “ข้า” ฟิเร็นดาหันกลับไปมองเมือง “ข้าเห็นเมืองโอมิลรอน”

          “ท่านคิดว่ามันเป็นเมืองที่สวยงามใช่ไหม โอมิลรอน” โซลิแทร์ถาม “อาณาจักรโมราโซมอสเปรียบเสมือนสวนสนามหญ้าสวยๆ และโอมิลรอนก็เปรียบเสมือนแผ่นหินสวยๆ ที่วางปูเป็นทางเดินในสวน ว่ากันว่าสวนจะสวย ก็เพราะแผ่นหินพวกนี้นี่ล่ะ”

          ฟิเร็นดานิ่งเงียบ

          “แต่ทุกอย่างมันมีสองด้านเสมอ ท่านลองพลิกแผ่นหินสวยๆ เหล่านั้นขึ้นมาอีกด้านสิ แล้วจะพบว่ามันมีหญ้าตายๆ มีหนอนไช มีซากอะไรเน่าๆ เต็มไปหมด” โซลิแทร์เดินนำเธอเข้าไปในวิหาร “อาจารย์ของท่านคงจะปลูกฝังท่านให้เห็นแต่ด้านดีงามของเมืองนี้ ทำให้ท่านเห็นหินแค่ด้านเดียว แต่ข้าจะพลิกอีกด้านของหินแผ่นนี้ให้ท่านดูเอง”

          ฟิเร็นดายกมือปิดปาก นักบวชในวิหารแต่ละคนถูกมัดมือนั่งรวมกันอยู่ในห้องโถง ประธานนักบวชยังคงนั่งคุกเข่า มีกระถางต้นไม้คล้องอยู่ที่คอ

          “ประธานนักบวชซิท” ฟิเร็นดากระซิบ

          “เลดี้เกรซ” ประธานนักบวชลืมตาเงยหน้ามองเธอตาเหลือก “เลดี้เกรซ ท่านต้องช่วยข้านะ ปีศาจพวกนี้ลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พวกมันทำร้ายสาวกของศาสนา ทำให้วิหารอันศักดิ์สิทธิ์แปดเปื้อน”

          “พวกเขาเป็นแค่นักบวช ไม่มีอาวุธ ไม่มีทางสู้ ทำไมทำกับพวกเขาอย่างนี้” ฟิเร็นดาหันไปตวาดใส่โซลิแทร์ พยายามปลดกระถางต้นไม้ออกจากคอประธานนักบวช ทำได้ไม่ง่ายนักเพราะมันค่อนข้างหนัก “แต่ละคนอายุก็เยอะแล้ว”

          “แล้วท่านรู้ไหม ว่าพวกเขาเคยทำกับเรายังไง ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ล้วนแล้วแต่มีคดีกับเราหมด เราจำได้ทุกคน อีกด้านของชุดขาวสะอาด บุคลิกอันภูมิฐาน กิริยาอันน่าศรัทธา พวกเขาก็ไม่ต่างจากโจรป่าผู้โหดร้ายเลย” โซลิแทร์ชี้หน้านักบวชแต่ละคน “ถามพวกเขาสิฟิเร็นดา เกรซ คนแก่ไร้ทางสู้พวกนี้เคยฆ่าดาร์คเนสดีวิลไปกี่คน เผาผู้หญิงปีศาจทั้งเป็นไปกี่คน นำทารกปีศาจไปโยนทิ้งน้ำไปกี่คน ใช้แรงงานปีศาจจนถึงแก่ชีวิตไปกี่คน ร่างข้อบัญญัติที่สร้างความทุกข์แก่ดาร์คเนสดีวิลกี่ข้อ แล้วยังปลูกฝังให้มนุษย์รุ่นหลังๆ เอาเยี่ยงอย่าง สืบทอดเจตนารมณ์นี้ไปมากมายแค่ไหน”  

          มือของฟิเร็นดาที่กำลังยุ่งเกี่ยวกับสายกระถางต้นไม้หยุดอยู่กับที่ เธอจ้องมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ

          “เป็นความจริงหรือคะ” เธอกระซิบ

          “ศาสนาของเรามีความศักดิ์สิทธิ์” ประธานนักบวชพูดตอบเธอ “พวกปีศาจคือมารศาสนา เป็นตัวบั่นทอนความเชื่อของประชาชน สิ่งที่เราทำ เราทำเพื่อทำนุบำรุงศาสนา”

          “จำได้ไหมฟิเร็นดา เกรซ ก่อนที่จะเข้ามาในวิหาร ข้าให้ท่านดูจำนวนนักรบดาร์คเนสดีวิลที่ข้ายกมาที่นี่” โซลิแทร์ทวนความจำ “ในปฏิบัติการครั้งนี้ ข้าคัดมาเฉพาะคนที่มีอดีตแค้นเคืองกับเมืองนี้ นักรบดาร์คเนสดีวิลทุกคนที่กำลังสร้างค่ายอยู่นอกวิหารนั้น ล้วนเคยเจ็บปวดเพราะลัทธิบ้าบอของเมืองนี้กันทั้งสิ้น” เขายืนกอดอกพูดต่อไป ฟิเร็นดาอ้าปากค้าง “นึกไม่ถึงใช่ไหมว่าจะเยอะขนาดนี้ ศาสนางี่เง่าของท่านทำให้พวกพ้องของข้าจำนวนมากขนาดนี้ต้องประสบเคราะห์กรรม พวกเขาทุกคนมาที่นี่พร้อมกับความแค้นเคือง จึงไม่แปลกใจเลยว่าในการต่อสู้กับกองกำลังของท่านก่อนหน้านี้ พวกเขาถึงสู้กันได้ขาดใจมาก” โซลิแทร์ปรายตาเย็นชาไปทางพวกนักบวช “นักบวชพวกนี้ปลูกฝังมนุษย์ไร้สมองคนอื่นๆ ให้เชื่อว่าปีศาจเราเลว เราร้ายกาจ เราเป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว แต่ทุกการกระทำของเรา ยังเทียบไม่ได้กับเศษเสี้ยวการกระทำของบรรดาคนแก่ที่นั่งรวมกันอยู่ตรงนี้ สิ่งเหล่านี้ไม่เคยถูกบันทึกในประวัติศาสตร์โอมิลรอนหรอก ประชาชนของท่านจดจำแต่ชัยชนะและความรุ่งเรือง ไม่มีใครจดจำวิธีการในการได้มันมา ทุกคนจดจำเจ้าชายไททอสในฐานะวีรบุรุษแห่งมวลมนุษย์ ไม่มีใครจดจำว่าเขาใช้วิธีใดในการเป็นวีรบุรุษ ทุกคนจดจำโอมิลรอนแต่ในด้านดี ไม่มีใครสนใจพลิกอีกด้านของหินขึ้นมาดู”

          “เลดี้เกรซ ศาสนาคือสิ่งที่ขวางกั้นระหว่างพวกเรากับความป่าเถื่อน” ประธานนักบวชซิทพยายามพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “อย่าให้มารศาสนามาบั่นทอนศรัทธาของมนุษยชาติ--”

          ฟิเร็นดาเลิกยุ่งกับกระถางต้นไม้ทันที ทิ้งให้มันกลับไปถ่วงคอประธานนักบวชซิทเหมือนเดิม ลุกเดินออกไปจากวิหาร ไม่หันกลับมามองพวกนักบวชอีกเลย

          “ย้ายพวกมันออกไปนอกวิหาร เราต้องใช้สถานที่” โซลิแทร์บอกพวกนักรบดาร์คเนสดีวิลที่คุมเชลย จากนั้นก็เดินตามฟิเร็นดาออกไป เธอยืนอยู่ที่ลานหน้าวิหาร จ้องมองไปยังกำแพงเมืองโอมิลรอนอีกครั้ง ท่าทางสับสนใจ

          “เมืองอันสวยงามศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ศาสนาอันน่าศรัทธาของท่าน มันถูกสร้างจากกองเลือดกองกระดูกของพวกเราทั้งนั้น เมืองนี้มันก็คือแผ่นหินก้อนใหญ่ ส่วนพวกเราคือสิ่งที่มันเหยียบทับอยู่ ความสวยงามของมัน ความเจริญของมัน ล้วนเกิดขึ้นจากการเหยียบย่ำเราอย่างไม่ปรานีปราศรัย ท่านยังคิดว่ามันเป็นแผ่นหินปูพื้นที่สวยงามอยู่อีกไหม” โซลิแทร์ยืนถามอยู่ข้างหลัง “แม้เราจะเป็นเผ่าพันธุ์ต้อยต่ำที่สุดที่พวกไซคัสสร้างขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีความรู้สึกไม่มีหัวใจ เราก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความคิด มีความรู้สึก ไม่ต่างจากพวกท่านเลย แต่ความน่ากลัวของเรา ความก้าวร้าวของเรา ความแข็งกระด้างของเราในทุกวันนี้ ท่านคงทราบแล้วใช่ไหม ว่ามันเกิดจากอะไร มนุษย์เพาะปลูกสัตว์ร้ายไว้ข้างในตัวเรามาช้านาน มาถึงวันนี้ เราจึงให้มนุษย์ได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่ตนได้ปลูกไว้”

          ฟิเร็นดาได้แต่ยืนนิ่ง จ้องมองไปยังเมืองที่เธอเคยคิดว่ารู้จักมันดี เซซิลแบกของผ่านมาทางนั้น เขาบุ๊ยใบ้ให้โซลิแทร์เดินเข้าไปหา

                “ในฐานะอาจารย์ของท่าน บางครั้ง ข้าก็คิดว่าท่านฉลาดจนน่ากลัว” เซซิลกระซิบ

                “ข้าก็แค่ชวนมนุษย์สาวคนนี้คุยเรื่อยเปื่อย เห็นหน้าตาสวยดี” โซลิแทร์พูดอย่างสบายอารมณ์ เห็นชัดว่าไม่ได้หมายความตามที่พูดสักนิด

                “เธอเป็นลูกสาวของอดีตผู้บัญชาการทหารม้า เป็นบุตรบุญธรรมของแอนโทนิดัส แร็กซ์ริง เป็นไปได้สูงมากที่เธอจะได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองโอมิลรอน สืบต่อจากเขาเมื่อเขาตายไป เรื่องนี้ท่านรู้อยู่เต็มอก” เซซิลพูด “ในตอนนี้ ท่านทำให้สิ่งที่เธอถูกปลูกฝังให้เชื่อมานั้นพังทลายยับเยิน ด้านดีๆ ที่เมืองนี้เคยสร้างภาพมา เธอก็มองเห็นทะลุปุโปร่งแล้ว เมื่อเธอได้ขึ้นเป็นเจ้าเมือง เธออาจปฏิรูปมันจนหมดสิ้น ศาสนาความเชื่อของเมืองโอมิลรอนที่เป็นแหล่งรวมศรัทธาของประชาชนทั้งอาณาจักร เธอคงไม่สนใจจะทำนุบำรุงมันต่อไป เจ้าชายไททอสผู้เป็นวีรบุรุษแห่งโมราโซมอสจะไม่ถูกเธอเชิดชู พวกนักบวชรุ่นหลังๆ จะไม่ได้รับการสนับสนุน ท่านเริ่มต้นทำให้ศาสนาของพวกมนุษย์เสื่อมทลายในระยะยาว ท่านลอร์ด”

                “สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยการโกหก มันก็มักจะเสื่อมทลายลง เมื่อความจริงปรากฏ” โซลิแทร์กล่าว

                “ท่านทั้งสอง” กัปตันมาซูลโบกมือเรียกอยู่ที่ชานบันได “แร็กซ์ริงมาแล้ว”

                “กว่าจะกลับมาได้ เข้าๆ ออกๆ เมืองอย่างกับตุ๊กตาไขลาน สงสัยจริงๆ ว่าพระราชามนุษย์เรียกใช้เขาทำอะไรหนักหนา” โซลิแทร์หันไปหาฟิเร็นดา “มาเถอะ ไปหาอาจารย์ของท่านกัน”

                แอนโทนิดัส แร็กซ์ริงและอัศวินกลุ่มหนึ่งหยุดม้าอยู่หน้าค่ายของพวกดาร์คเนสดีวิลที่กำลังสร้างขึ้น แต่แน่นอนว่าแนวป้องกันหน้าค่ายนั้นถูกสร้างสมบูรณ์แล้ว พวกดาร์คเนสดีวิลสร้างเครื่องป้องกันเครื่องกีดขวางจากเศษซากกระท่อมบ้านเรือนที่รื้อออกมา รวมทั้งรูปปั้นหินรูปปั้นทองแดงที่ยกออกมาจากวิหารด้วย นักรบดาร์คเนสดีวิลครึ่งหนึ่งประจำตำแหน่งกันพร้อม ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งก็จัดการสร้างค่ายอยู่ข้างหลังต่อไปอย่างไม่ใส่ใจ  

                “แบล็กไรดิงฮู้ด” แร็กซ์ริงตะโกนลั่น กวาดตามองหาไปตามแนวกำบังของพวกดาร์คเนสดีวิล “ข้าสาบานต่อเทพเจ้า ถ้าเจ้าทำร้ายเธอแม้แต่ปลายเส้นผม ข้าจะ--”

                “หุบปากของเจ้าเสีย ก่อนที่หลอดคอเหี่ยวๆ ของเจ้าจะแตก” โซลิแทร์สะบัดผ้าคลุมเดินออกมาจากค่าย ตรงเข้ามาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย เซซิลและกัปตันมาซูลตามมาข้างหลัง “รู้ไหม ตั้งแต่เกิดมา ข้าไม่เคยตะโกนหรือขึ้นเสียงกับใครเลยสักครั้ง เพราะข้าเกลียดมันมาก เสียงตะโกนมันทำให้ข้าหงุดหงิด ครั้งต่อไปที่เจ้ามาตะโกนใส่ข้า ข้าจะทำเหมือนที่ชาวบ้านของเจ้าไล่แมวที่ชอบมาทำเสียงดังหน้าบ้าน คงรู้ใช่ไหมว่ามันคือการโยนรองเท้าใส่”

                “ข้าขอเตือน เจ้าปีศาจ ถ้าเจ้าหรือคนของเจ้าทำร้ายเธอ--”

                “อย่าคาดคะเนเราด้วยมาตรฐานมนุษย์ เจ้าเมืองโอมิลรอน เราไม่ใช่มนุษย์อย่างเจ้า เราไม่ทำในสิ่งต่ำทรามที่พวกมนุษย์นิยมทำแน่” โซลิแทร์พูดขัดเสียงเย็นผ่านหน้ากาก “ฟิเร็นดา เกรซ ได้เวลากลับบ้านแล้ว อาจารย์ของท่านมารอรับท่านอยู่”

                ฟิเร็นดาก้าวออกมาจากค่าย แร็กซ์ริงรีบลงจากหลังม้า เธอวิ่งตรงเข้าไปสู่อ้อมแขนเขา น้ำตาไหลอาบแก้มสองข้าง แร็กซ์ริงกอดและลูบศีรษะเธอ ปากพึมพำว่า “ไม่เป็นไรแล้วลูกสาว ปลอดภัยแล้ว”

                “อาจารย์ ข้าเสียใจ” ฟิเร็นดายกมือปาดน้ำตา “ข้าใจร้อนวู่วาม นำกองกำลังเข้ามาติดกับ ข้าคิดว่าตนเองมีฝีมือ แต่แท้จริงแล้ว ข้ายังอ่อนประสบการณ์เรื่องการรบนัก”

                “อย่ากังวลเรื่องนั้นเลย เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว พวกมันทำร้ายเจ้าหรือเปล่า ทำเจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” แร็กซ์ริงจับไหล่ศิษย์สาวทั้งสองข้าง มองสำรวจไปทั่วตัว ฟิเร็นดาส่ายหน้า

                “อาวุธของเธอและม้าของเธอ” เซซิลจูงม้าของฟิเร็นดาที่มีคทาหอกของเธอแขวนอยู่ที่อาน อัศวินคนหนึ่งต้องรีบลงจากหลังม้าเพื่อจับม้าให้ทัน เมื่อเซซิลปล่อยสายบังเหียนและกระตุ้นให้มันเดินไปข้างหน้า

                “อาจารย์ เมืองโอมิลรอนของเรา เมืองที่สวยงาม เจริญรุ่งเรือง และเป็นศูนย์รวมความเชื่อของโมราโซมอส” ฟิเร็นดามองหน้าแร็กซ์ริงด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยน้ำตา “แท้จริงแล้ว มันสร้างขึ้นมาจากความโหดเหี้ยม ความน่ารังเกียจ ความเห็นแก่ตัว ความไร้ยางอาย”

                “ฟิเร็นดา เจ้าพูดอะไร”

                “อาจารย์เป็นเจ้าเมือง อาจารย์รู้เรื่องนี้มาตลอด ศาสนา นักบวช ประชาชน ทุกอย่างล้วนถูกนำเสนอให้เห็นแต่เพียงด้านดีเท่านั้น”

                “ฟิเร็นดา” แร็กซ์ริงพยายามปลอบโยน “เรื่องนี้มันเป็นเรื่องการเมือง เจ้าอาจไม่เข้าใจนัก แต่โปรดเชื่ออาจารย์เถิด อาจารย์ไม่ได้รู้สึกดีที่มันเป็นแบบนี้เลย”

                ฟิเร็นดาเดินซึมๆ ไปยังม้าของเธอ ปีนขึ้นไปนั่งบนอาน แล้วขี่กลับไปยังตัวเมือง แร็กซ์ริงร้องเรียกตามหลัง แต่เธอก็ไม่หยุด เอาเถอะ อย่างน้อยเธอก็กลับไปในที่ปลอดภัยแล้ว

                “นี่เจ้าทำอะไรเธอ” แร็กซ์ริงหันมาเอาเรื่องโซลิแทร์

                “ทำในสิ่งที่เจ้าไม่เคยคิดจะทำ บอกความจริง” โซลิแทร์พูดเรียบๆ “ความจริงมันไม่ใช่สิ่งสวยงาม ไม่รื่นหู ไม่น่าฟัง แต่มันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ และบางครั้งก็ปกปิดได้ยากเสียด้วย เจ้าสร้างโลกอันสวยงามให้เธอ แสดงแต่ด้านดีๆ ของเมืองนี้ให้เธอเห็น โดยหวังลมๆ แล้งๆ ว่าโศกนาถกรรมที่เมืองของเจ้าเคยทำกับเราไว้มันจะไม่โผล่ไปให้เธอรับรู้ ข้าคิดว่าตัวเองมีโลกส่วนตัวสูง เป็นคนเข้าใจยาก แต่ข้าก็ยังคิดว่าพวกมนุษย์เข้าใจยากกว่า พวกเจ้าสร้างหายนะขึ้นมาอย่างไม่อาย แต่กลับอายที่จะพูดในเรื่องหายนะที่ตนสร้างขึ้น ข้าคิดว่าการกระทำมันสำคัญกว่าคำพูดเสียอีก นี่คงเป็นข้อพิสูจน์ว่ามันไม่จริงเสมอไป โดยเฉพาะกับมนุษย์”

                แร็กซ์ริงยืนนิ่ง มือกำด้ามคทาจนขาวซีด

                “ในฐานะเจ้าเมือง ข้าขอให้พวกเจ้าถอนกำลังออกไปให้พ้นจากเมืองข้า” เจ้าเมืองพ่อมดพูดเสียงแข็ง “ขอเตือนว่าเจ้าไม่มีวันตีเมืองแตก เมืองมีความแข็งแกร่ง กองกำลังของเราก็มีมากเพียงพอที่จะสามารถขับไล่พวกเจ้าออกไปได้”

                “แน่นอน เจ้าอาจจัดแบ่งกองกำลังมาจากกองทัพเรือ หรือหามาด้วยวิธีใดสักวิธี แต่ไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่ กองกำลังที่เจ้ามีอยู่ตอนนี้ ไม่อาจเรียกได้ว่าเพียงพอ ทัพบกของโมราโซมอสเหลือไม่พอใช้แล้ว หลังจากแพ้ศึกพวกเราถึงสองครั้ง” โซลิแทร์รู้ทัน “ข้าอาจเพี้ยน แต่ห่างไกลจากคำว่าโง่ยิ่งนัก ถ้าเจ้ามีกองกำลังเพียงพอ ป่านนี้คงยกมาถล่มเราเรียบร้อยแล้ว ไม่เสียเวลามายืนคุยกันอยู่ตรงนี้หรอก”

                แร็กซ์ริงยืนนิ่ง นั่นคือความจริง

                “แล้วอย่าคิดว่ากำแพงเมืองเตี้ยๆ ของเจ้า จะปกป้องเมืองของเจ้าได้ เหมือนที่กำแพงเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดปกป้องเรา” โซลิแทร์เสริม “จริงอยู่ กำแพงของเจ้ามีคาถาอาคมอันทรงอานุภาพ สามารถปกป้องเมืองจากพวกเฟลมฟอร์สมาได้ตลอด แต่ถ้าไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่มีสมองเป็นธาตุอากาศเหมือนพวกเฟลมฟอร์สเล่า ถ้าเป็นเผ่าพันธุ์เรา ซึ่งมีธาตุของสมองใกล้เคียงกับเผ่าพันธุ์ของเจ้า คาถาอาคมมันจะทำอันตรายได้ไหม บรรดาผู้วิเศษมนุษย์ทั้งหลายคงคิดไม่ถึงว่าจะต้องใช้กำแพงตั้งรับดาร์คเนสดีวิล ใครจะไปรู้ว่าเผ่าพันธุ์ที่พวกเขาเหยียบหัวอยู่นั้น จะลุกขึ้นมาเหยียบพวกเขาบ้าง ปีศาจเราอาจไม่สันทัดเรื่องการโจมตีเมือง แต่เมืองนี้สร้างความแค้นให้แก่เรามาช้านาน แล้วการที่เราถูกกระทำทารุณที่เมืองนี้บ่อยๆ ก็ทำให้เราคุ้นเคยกับพื้นที่ของเมืองนี้มากเป็นพิเศษ ข้ากล้าพูดได้ว่า สิ่งสุดท้ายที่เจ้าต้องการตอนนี้ คือกองกำลังของเรา บุกเข้าหากำแพงเมืองของเจ้า เพราะถ้ามันเป็นอย่างนั้น เจ้าอาจจะต้านไม่อยู่”

                แร็กซ์ริงยืนนิ่ง นั่นคือความจริงอีกเหมือนกัน

                “ข้าจะพูดช้าๆ ชัดๆ” โซลิแทร์ว่า “เราจะตั้งค่ายอยู่ตรงนี้ ไม่ถอนย้ายไปไหน ปิดเส้นทางข้างหน้าเมืองโอมิลรอน ยึดวิหารอันศักดิ์สิทธิ์สัญลักษณ์ของโอมิลรอน บั่นทอนศาสนาความเชื่อมั่นความศรัทธาของประชาชนมนุษย์ไปเรื่อยๆ จนกว่าพี่น้องของเราที่ถูกพวกเจ้าจับตัวเป็นเชลยจะได้รับการปลดปล่อย เราต้องการหลักฐานยืนยันว่า เดอะ ทวินเฮด บุคคลที่สำคัญยิ่งสำหรับเผ่าพันธุ์ของเรายังมีชีวิตอยู่ และในระหว่างนี้ หากเจ้าได้กำลังเสริมมาเพียงพอและคิดจะยกเข้ามาขับไล่พวกเรา ข้าจะตัดหัวนักบวชและเชลยศึกทุกคน ข้าพูดจริงทำจริง”

                “นี่มันป่าเถื่อนที่สุด”

                “ข้าแนะนำให้รีบดำเนินการเรื่องนี้โดยเร็ว เพราะทุกๆ หกชั่วโมง หากยังไม่มีการปล่อยตัวพี่น้องของเรา ข้าจะตัดหัวเชลยฝั่งของข้าทิ้งไปหนึ่งคน อาจจะเริ่มจากพวกนักบวชก่อน เพราะข้าไม่ชอบพวกนั้นเลย” โซลิแทร์เสริม “คงรู้ใช่ไหมว่า หัวนักบวชที่ถูกบั่นหนึ่งหัว มันเท่ากับความศรัทธาในศาสนาถูกบั่นไปมากแค่ไหน ประชาชนผู้โง่เขลาของเจ้าคาดหวังในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อว่าศาสนาที่ตนนับถือนั้นมีอิทธิฤทธิ์ คุ้มครองเหล่าสาวกและลงโทษเหล่ามารศาสนา พวกเขาจะซึมซับได้ทีละน้อยว่า ศาสนาที่พวกตนยึดมั่น มันไม่ใช่อะไรเลยนอกเรื่องลวงโลก พวกเขาจะขวัญเสีย หวาดระแวง และเสื่อมศรัทธาในการทำงานของเหล่าขุนนางนักปกครอง”

                “พวกเจ้าควรจะเข้าใจด้วยว่า การเร่งรัดเราแบบนี้มันไม่ได้ช่วยอะไร” แร็กซ์ริงพยายามคุมสติให้อยู่ “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รีบร้อนไม่ได้ เราต้องทำตามขั้นตอน”

                “เอาระบบราชการของเจ้าไปห่างๆ ข้าเกลียดมันยิ่งกว่าอะไร ขั้นตอนอันซับซ้อน ความล่าช้าในการดำเนินงาน ทั้งหมดนี้มีไว้เพียงเพื่อเป็นช่องทางโกงกินให้บรรดาข้าราชการชั้นสูง” โซลิแทร์พูดเสียงเย็นเยียบ “หากมันทำให้พวกเจ้าลำบากยากเย็นนัก พวกเจ้าก็น่าจะคิดได้ก่อนจับพี่น้องของเราไปเป็นเชลย ข้าจะไม่พูดซ้ำสอง รีบๆ ปล่อยตัวบรรดาพี่น้องของข้า หรือจะให้ข้าตัดหัวเชลยไปเรื่อยๆ ทุกหกชั่วโมง”

                “เรื่องนี้มันอยู่นอกเหนืออำนาจของข้า” แร็กซ์ริงพูดเสียงดัง “หากจะปล่อยเชลยศึกได้ ต้องได้รับคำสั่งจากพระราชาเท่านั้น แล้วเมืองของข้าก็ควบคุมเชลยศึกแค่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่เหลืออีกส่วนใหญ่ ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เมืองไดมอนด์เคจ ข้าไม่มีอำนาจก้าวก่ายที่นั่น”

                “ข้าบอกให้เจ้าดำเนินการคนเดียวหรือไง คิดว่าที่เราจู่โจมโอมิลรอนครั้งนี้ เราทำเพื่อเล่นงานเจ้าคนเดียวหรือ” โซลิแทร์ย้อน “การจู่โจมความเชื่อความศรัทธา มันสะเทือนได้ทั้งอาณาจักร มันสะเทือนถึงพระราชาของเจ้าเลยทีเดียว ป่านนี้คงร้อนๆ หนาวๆ อยู่บนบัลลังก์แล้ว เตรียมเดินทางเข้าๆ ออกๆ เมืองหลวงได้เลยแร็กซ์ริง พระราชาของเจ้าจะเรียกประชุมเป็นว่าเล่นแน่ หากไม่อยากเล่นสงครามประสาทกับเรานาน ก็ควรรีบปล่อยตัวเชลยศึกออกมา ไม่อย่างนั้น พวกเจ้าจะเดือดร้อนกันทั้งอาณาจักร ฤดูเก็บเกี่ยวปีนี้ ข้าขอรับรองว่า พวกมนุษย์จะได้เก็บเกี่ยวพืชผลแห่งความเจ็บปวดที่ตนปลูกไว้”

                “ข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเหี้ยมโหดใดๆ ที่เผ่าพันธุ์ของข้ากระทำต่อพวกเจ้า” แร็กซ์ริงหลุดออกมาอย่างอดรนทนไม่ไหว “ข้าไม่เคยสนับสนุนอะไรที่ส่งผลเสียต่อพวกเจ้าเลย ข้าทำหน้าที่เฉพาะในส่วนของข้า ไม่เคยระรานอะไรพวกเจ้าเลย”

                “ทุกคนล้วนมีทางเลือกของตน แร็กซ์ริง และทุกคนก็ต้องยอมรับความเจ็บปวดที่มากับทางเลือกนั้น” โซลิแทร์ส่ายหน้า ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นต่อในสงครามจิตวิทยานี้มาก “เจ้าอาจไม่ได้เลือกที่จะมาระรานเรา แต่เจ้าก็เลือกที่จะรับใช้คนที่มาระรานเรา เจ้าอาจไม่เห็นด้วยกับพระราชาขี้โมโหของเจ้า แต่เจ้าก็รับใช้เขาอย่างซื่อสัตย์ไม่มีบกพร่อง กลายเป็นมือเป็นเท้าของเขา เมื่อเราโจมตีเขา มันก็ย่อมจะกระทบกระเทือนเจ้าไปด้วย เรื่องนี้คนโง่ที่ไหนก็รู้ดี เจ้าอาจคิดว่ามันไม่ยุติธรรม แต่ก็ไม่มีใครบังคับให้เจ้าไปรับใช้เขานี่ เจ้าเลือกเส้นทางนั้นของเจ้าเอง หากเจ้าไม่อยากเผชิญกับความอึดอัดใจนี้ ก็ลาออกจากตำแหน่งเสีย พระราชาคงจะหาคนมาแทนเจ้าได้ไม่ยาก แล้วคนคนนั้นก็จะมาปวดหัวกับเราแทนเจ้าเอง”

                แร็กซ์ริงนิ่งเงียบ พูดอะไรไม่ออก

                “แต่ดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้ว เจ้าก็เลือกที่จะไม่ทำอย่างนั้น” โซลิแทร์ส่ายหน้าอย่างสมเพชอีกครั้ง “เพราะแม้จะอ้างว่ามีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอย่างไร สุดท้ายเจ้าก็ไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป หวงแหนอำนาจลาภยศ ทนเห็นตนเองไปนั่งเก้าอี้โยกที่ห่างไกลเก้าอี้ทางการเมืองไม่ได้ ข้าพูดผิดไว้ตรงไหน เจ้าจะได้เก็บเกี่ยวในสิ่งที่เจ้าปลูก”

                เป็นอีกครั้งที่แร็กซ์ริงพูดไม่ออก

                “กลับไปรับใช้กรัมปี้เสีย ท่านพ่อมดที่ปรึกษา” โซลิแทร์พูดเยาะๆ “ให้เขาตะโกนด่าพวกเราให้เจ้าฟัง และคอยตามแก้ไขปัญหาให้เขาเท่าที่เจ้าจะมีปัญญาทำได้ หากข้อเรียกร้องของเราไม่ได้รับการตอบสนอง เจ้าจะต้องลำบากเพราะเราไปอีกยาว คืนเดอะ ทวินเฮดและเชลยศึกคนอื่นๆ ให้เรา หรือจะให้เราสร้างแรงกดดันที่หนักกว่าเดิม”

                พูดจบ เขาก็สะบัดผ้าคลุมหันหลังให้แร็กซ์ริง เดินกลับเข้าไปในค่ายพร้อมกับเซซิลและกัปตันมาซูล พวกนักรบดาร์คเนสดีวิลที่ประจำอยู่ตามแนวกำบังเริ่มขยับอาวุธ เป็นเชิงบอกให้แร็กซ์ริงกลับไปได้แล้ว

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา