พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.93K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

18) บทที่ 17 แรงกดดันที่เพิ่มพูน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 17

แรงกดดันที่เพิ่มพูน

               

          การปิดล้อมพื้นที่หน้ากำแพงเมืองโอมิลรอนของพวกดาร์คเนสดีวิล สร้างความตื่นตระหนกให้แก่มนุษย์แทบทั้งอาณาจักร การพ่ายแพ้ศึกที่ฟรอสท์ไอรอนแคลดถึงสองครั้งก็ขวัญเสียพออยู่แล้ว นี่พวกปีศาจถึงขั้นรุกคืบเข้ามาประชิดเมืองอันศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งการสยบปีศาจ แล้วยังบุกยึดวิหารของวีรบุรุษผู้พิชิตปีศาจ ควบคุมตัวเหล่านักบวชสาวกของศาสนา ความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อเหล่าขุนนางนักปกครองนั้น จากเดิมที่สั่นคลอนอยู่แล้วก็ยิ่งสั่นคลอนมากขึ้นอีก มีลางร้ายว่ามันอาจนำไปสู่ความวุ่นวายที่ไม่ควรเกิด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในตอนสายของวันนี้ ท้องพระโรงแห่งพระราชวังโมราโซมอสจะเนืองแน่นไปด้วยบรรดาขุนนางนักปกครอง บางคนเช่นแอนโทนิดัส แร็กซ์ริง กับบิลิส ริฟเฟอร์ ดูเหนื่อยล้าและอดหลับอดนอน สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปจากเดิมเลยคือ พระราชานั่งอยู่บนบัลลังก์ สีหน้าบึ้งตึงเกรี้ยวกราด พร้อมที่จะตะโกนใส่ใครสักคนได้ตลอดเวลา

          “พวกมันควบคุมพื้นที่รอบนอกเมืองโอมิลรอน เปลี่ยนหมู่บ้านเป็นค่ายชั่วคราว เปลี่ยนวิหารของเจ้าชายไททอสเป็นป้อมปราการ จัดวางแนวป้องกันและสิ่งกีดขวางด้วยสิ่งต่างๆ ที่หาได้ในพื้นที่ ชิ้นส่วนอาคารบ้านเรือน รูปปั้น เครื่องเรือนในวิหาร” แร็กซ์ริงรายงานพระราชาที่ดูจะเพิ่มความโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ ตามประโยคที่ได้ยิน “พวกมันยึดผลผลิตทางการเกษตรในโรงนาทุกหลัง มีการนำกองเกวียนมาขนกลับไปบำรุงอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล”

          “ช่างหัวผลผลิตเถอะ ใครจะใส่ใจอาหารบ้าบอพวกนั้นกัน มันเทียบไม่ได้เลยกับทรัพย์สมบัติอันหาค่ามิได้ในวิหารเจ้าชายไททอส วิหารของบรรพบุรุษข้า” พระราชาตะเบ็งเสียงลั่น “ป่านนี้พวกปีศาจจะรู้หรือยังว่ามันซ่อนอยู่ตรงไหน ศพของเจ้าชายไททอสก็นอนอยู่ที่นั่น นี่มันหายนะชัดๆ ใครสักคนบอกข้าที ว่าอะไรทำให้พวกปีศาจที่เอาแต่เก็บตัวในพื้นที่ของตน และไม่สันทัดการทำศึกนอกพื้นที่ จู่ๆ ก็บุกมาเคาะประตูเมืองศักดิ์สิทธิ์ อย่างไม่กลัวฟ้ากลัวดิน”

          “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันเชื่อว่าพวกดาร์คเนสดีวิลมีความคุ้นเคยกับเมืองโอมิลรอนมากพอสมควรพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงอธิบาย “เนื่องจากก่อนหน้านั้น มีดาร์คเนสดีวิลจำนวนมากถูกนำมาใช้แรงงาน ถูกนำมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ตลอดจนเดินทางมาส่งบรรณาการที่นั่นบ่อยครั้ง เมืองแทบทั้งเมืองถูกสร้างขึ้นด้วยแรงงานปีศาจ หม่อมฉันเกรงว่า หากพวกมันมีแผนจะบุกเข้าโจมตีตัวเมือง พวกมันก็คงรู้จุดอ่อนจุดแข็งของเมืองไม่น้อยไปกว่าเรานัก”

          พูดง่ายๆ ก็คือ ความโหดเหี้ยม ความเห็นแก่ตัว ความโลภ และความไร้ยางอายของพวกมนุษย์ นำมาซึ่งความหายนะครั้งนี้นี่เอง

          “ดูเหมือนว่าพวกดาร์คเนสดีวิลกับพวกโฮเซ่จะปฏิบัติการร่วมกันพะยะค่ะ” ริฟเฟอร์ทูล “พวกโฮเซ่ล่อกองเรือของกัปตันเท็มเปิลขึ้นเหนือ เพื่อพวกดาร์คเนสดีวิลจะได้บุกเข้าโจมตีโอมิลรอนจากทางใต้ได้สะดวก เห็นทีเราอาจคาดการณ์ผิด เป้าหมายของฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่เมืองซาโมโรว์ แต่คือเมืองโอมิลรอน พวกมันตั้งเป้าไปที่ศาสนาและความศรัทธาของเผ่าพันธุ์เรา เพราะเป็นสิ่งที่กำลังอ่อนแอในตอนนี้”

          “พวกมันรู้ว่ากองทัพบกของเรามีไม่เพียงพอ หลังจากพ่ายศึกพวกมันถึงสองครั้ง” แร็กซ์ริงเสริม “กองกำลังที่พวกมันยกมาไม่ได้มีจำนวนน้อยๆ และเป็นทหารม้าทั้งกอง”

          “กองทัพบกของเราอาจไม่เพียงพอ แต่กองทัพเรือของเรามีเหลือเฟือ” พระราชาพูดเสียงดัง “กองเรือที่กำลังรักษาการณ์อยู่ที่ชายฝั่งซาโมโรว์ ถอนขึ้นบกมาสมทบที่โอมิลรอนให้หมดสิ รีบขับไล่พวกปีศาจออกไป ก่อนที่พวกมันจะปั่นป่วนความศรัทธาของประชาชนไปมากกว่านี้”

          “พวกดาร์คเนสดีวิลจะตัดหัวเชลยศึกทุกคน หากเรายกพลบุกเข้าไปปราบปรามพวกมันพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงเตือนความจำ “ซึ่งแต่ละคนก็เป็นทหารดูแลวิหารและเหล่านักบวช รวมทั้งประธานนักบวชซิทด้วยพะยะค่ะ พวกเขาทุกคนล้วนเป็นพลเมืองโอมิลรอน”

          “แล้วยังไง” พระราชาย้อนถาม เห็นชัดว่าไม่ใส่ใจชีวิตของเชลยศึกเหล่านั้นสักนิด

          “ในเผ่าพันธุ์ของเรามีมนุษย์ที่เคร่งศาสนาอยู่มาก หากเราแสดงถึงความไม่ใยดีต่อสาวกแห่งศาสนา พวกเขาอาจเกิดความไม่พอใจถึงขั้นจับกลุ่มประท้วงได้” แร็กซ์ริงชี้แจง “หม่อมฉันได้รับรายงานจากท่านอาร์รอส ไอวิวรี่ ว่าประชาชนหลายๆ กลุ่มเริ่มมีสัญญาณของการเคลื่อนไหว ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป เกรงว่าในอีกไม่นาน เราจะต้องรับมือกับกลุ่มผู้ชุมชุนหลายกลุ่มพะยะค่ะ”

          “พวกงี่เง่า แค่นี้อาณาจักรเรายังเผชิญปัญหาไม่พออีกหรือไง” พระราชาเอ็ดตะโร “พวกโฮเซ่ที่น่านน้ำเหนือ พวกดาร์คเนสดีวิลที่หน้ากำแพงเมืองโอมิลรอน แล้วนี่ข้าจะต้องมาคอยเอาอกเอาใจพวกประชาชนปัญญาอ่อนไม่ให้ก่อความวุ่นวายอีก”

          “ในตอนนี้ อาณาจักรของเรากำลังอยู่ในสถานการณ์เหลื่อมล้ำพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงเตือน “หากเราจะตัดสินใจทำสิ่งใด ไม่ว่าจะใช้กฎอัยการศึก ประกาศภาวะฉุกเฉิน ร่างพระราชบัญญัติเฉพาะกิจ จะต้องทำด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ”

          “ข้าไม่มีทางปล่อยตัวเจ้าแฝดตัวติดนั่นออกจากกรงเด็ดขาด” พระราชาเอ็ดตะโร “จะเอาหน้าที่ไหนไปมองคนทั้งแผ่นดินได้ ใครที่ไหนจะเคารพยำเกรงข้า หากข้ายอมอ่อนข้อให้เจ้าปีศาจในชุดฮู้ดนั่น”

          “หลานเห็นด้วยพะยะค่ะเสด็จตา” เอ็ดด์ เฟรเทล หลานชายคนโปรดของแม็ค แรคแทนทินสนับสนุนเต็มที่ “เดอะ ทวินเฮดอันตรายเกินกว่าจะปล่อยให้กลับไปหาพวกพ้อง ประชาชนผู้เกลียดชังดาร์คเนสดีวิลจะต้องไม่พอใจ แล้วถ้าพวกมันได้กลับไปโฟรเซ็นทิเนล หลานมั่นใจว่าพวกมันจะสร้างความลำบากให้เราในสนามรบอีกนับครั้งไม่ถ้วนแน่ ในตอนนี้ลุงของหม่อมฉันกำลังไปตรวจดูพวกมันที่เมืองไดมอนด์เคจ”

          “เราน่าจะฆ่าพวกมันทิ้งเสีย” พระราชาคำราม

          “นั่นเท่ากับจุดไฟโทสะของพวกดาร์คเนสดีวิลอย่างรุนแรงที่สุดพะยะค่ะ” ริฟเฟอร์รีบเตือน “ในตอนนี้พวกดาร์คเนสดีวิลยังใช้กลยุทธ์ต่อสู้แบบปิดล้อม ตามที่พวกมันถนัด และไม่เสี่ยงบุกเข้ามาโจมตีตรงๆ เพราะเป็นสิ่งที่พวกมันไม่สันทัด อาจก่อให้เกิดความเสียหายเกินจำเป็นได้ แต่ถ้าหากเราประหารทวินเฮด ก็เท่ากับไปสาดเลือดใส่หน้าพวกมัน พวกมันคงจะระดมทัพเพิ่มจากโฟรเซ็นทิเนล แล้วบุกเข้ามาโดยไม่สนว่าตนจะเสียหายมากแค่ไหน เรากำลังทำศึกกับพวกโฮเซ่อยู่ทางทะเล หากต้องรับศึกพวกดาร์คเนสดีวิลทางบกอีก หม่อมฉันเกรงว่าเราจะต้านไม่ไหวพะยะค่ะ”

          “บ้าที่สุด” พระราชาสบถดังสนั่น “เราจะกำจัดเชลยศึกก็ไม่ได้ ปล่อยเชลยศึกก็ไม่ได้ ขังไว้ต่อไปนานๆ ก็ไม่ได้ ขับไล่พวกดาร์คเนสดีวิลไปจากหน้าเมืองโอมิลรอนก็ไม่ได้ มีอะไรสักอย่างบ้างที่เราทำได้ ดาวดวงนี้มันวิปริตไปแล้วหรือไง มนุษย์ผู้เจริญและมีอำนาจอย่างเรา ถูกบีบให้เล่นตามเกมของพวกปีศาจที่เคยเป็นอาณานิคมของเรามาก่อน ไม่มีผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลคนใดกล้าสร้างปัญหาให้เรา และไม่มีใครสร้างปัญหาได้หนักหนาขนาดนี้ แบล็กไรดิงฮู้ด ทำไมถึงไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นใครมาจากไหน เหมือนว่าจู่ๆ มันก็โผล่ขึ้นมาพร้อมกับหมวกฮู้ดของมัน แล้วก็ฟาดสายฟ้าใส่อาณาจักรของพวกเราเต็มเหนี่ยว”

          “ท่านเจ้าเมืองโอมิลรอนเพิ่งจะพบปะกับมันมา” เฟรเทลหันทำท่าเยาะเย้ย “หลานเชื่อว่าคนฉลาดอย่างเขา คงรู้อะไรเกี่ยวกับเจ้าปีศาจคนนี้บ้างพะยะค่ะ”

          “ทูลฝ่าบาท” แร็กซ์ริงโค้งศีรษะ ปรายตาไม่ชอบใจไปทางเฟรเทล “หม่อมฉันรู้เพียงแค่แบล็กไรดิงฮู้ดจัดอยู่ในประเภทอัจฉริยะสติเฟื่อง ทำให้คาดเดายากยิ่งกว่าคนฉลาดทั่วๆ ไป ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวกับตัวเขาที่หม่อมฉันจะแน่ใจได้ ยกเว้นเรื่องวัยของเขา จากลักษณะเสียง การพูด ความมุ่งมั่นกระตือรือร้นในน้ำเสียง ประกอบกับการเคลื่อนไหวที่กระฉับกระเฉงทรงพลัง หม่อมฉันมั่นใจว่า เขาเป็นดาร์คเนสดีวิลที่ยังอายุไม่มาก อ่อนวัยกว่าเทอร์ริน เฮนิเคม ผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อคด้วยซ้ำ”

          “นี่ข้ากำลังถูกพวกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมรวมหัวกันเล่นงานอย่างนั้นหรือ” พระราชาคำรามลั่น “มันหยามเกียรติกันเกินไปแล้ว ข้าจะไม่ยอมให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด เข้าใจไหม”

          “พะยะค่ะ” ทุกคนรีบก้มหน้ารับคำสั่ง แต่ในใจคิดว่า ไอ้การที่พระองค์ทรงเอาแต่แหกปากตะโกนอย่างนี้นี่ล่ะ ที่จะทำให้คนอื่นรู้กันทั่ว

          พระราชาเริ่มจะรู้ตัวว่าตนใช้เรี่ยวแรงไปกับการตะโกนมาก จึงค่อยๆ เอนหลังพิงบัลลังก์ ท่าทางอ่อนเพลีย อายุก็เยอะแล้ว ไม่ควรจะมาตะโกนอะไรแบบนี้เลย

          “เราต้องเรียกกองกำลังของกัปตันเท็มเปิลกลับมา” พระองค์พึมพำ “อาณาจักรของเรามีกำลังไม่เพียงพอจะป้องกันแล้ว ชนะศึกใดๆ ก็ไม่มีความหมาย หากเราปกป้องพื้นที่ของตนไม่ได้”

          “เกรงว่ากัปตันเท็มเปิลและกองกำลังของเขาจะกลับมาได้ช้าพะยะค่ะ เพราะกำลังติดพันศึกกับกองเรือโฮเซ่อยู่” ริฟเฟอร์ทูล “ในเวลานี้ หากจะปกป้องเมืองโอมิลรอนจากพวกดาร์คเนสดีวิล กองเรือที่เหลือเฝ้าฐานทัพเรือใหญ่ซาโมโรว์ ดูจะเป็นสิ่งเดียวที่หวังพึ่งได้พะยะค่ะ”

          “เตรียมการพวกเขาให้พร้อม พวกเขาจะได้ขึ้นฝั่งมาช่วยเป็นกองหนุนที่โอมิลรอน” พระราชาบอก “อย่างน้อย เราต้องแน่ใจว่าพวกดาร์เนสดีวิลจะบุกเข้ามาพิชิตเมืองศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ เราต้องทำให้พวกมันรู้ว่า เรายังมีกองกำลังเหลือเพียงพอที่จะตั้งรับพวกมัน”

          “เห็นด้วยพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงโค้งศีรษะ

          “มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้นด้วยหรือพะยะค่ะ” เฟรเทลหันไปมองแร็กซ์ริงด้วยท่าทางเยาะเย้ย “หลานคิดว่ากำแพงเมืองโอมิลรอนนั้นมีคาถาอาคมแรงกล้า สามารถปกป้องเมืองได้อย่างดีเหมือนที่มันปกป้องมาได้ตลอดเสียอีก หรือบางที มันจะใช้ได้ผลเฉพาะกับเจ้าเมืองคนก่อนๆ ที่คู่ควรกับเมืองจริงๆ”

          “อาคมของกำแพงมีฤทธิ์เดช ถูกร่ายคาถาเข้ารหัสให้ปกป้องเมืองจากเผ่าพันธุ์ไร้ลมหายใจและมีสมองเป็นธาตุอากาศอย่างพวกเฟลมฟอร์ส” แร็กซ์ริงตอบกลับอย่างไม่พอใจ “แต่มันไม่ได้ถูกเข้ารหัสให้ต่อต้านเผ่าพันธุ์ที่มีลมหายใจและมีสมองเป็นของแข็งกึ่งเหลว เพราะไม่อย่างนั้น มันก็จะต่อต้านเราด้วย บังเอิญว่าพวกดาร์คเนสดีวิลก็มีลมหายใจและมีธาตุสมองเหมือนกับเรา นั่นทำให้กำแพงต่อต้านพวกปีศาจไม่ได้ แต่สำหรับมนุษย์บางคนอาจถูกต่อต้านได้เหมือนกัน เพราะดูเหมือนว่าสมองจะมีแต่อากาศ”

          เฟรเทลหน้าเป็นสีเข้มด้วยความโกรธ แต่ไม่กล้าโวยวายอะไรมากเพราะอยู่ต่อหน้าพระราชา

          “นอกจากที่พวกมันยึดวิหารของบรรพบุรุษข้า ทำให้ประชาชนคลางแคลงข้า บีบบังคับกดดันข้าแล้ว พวกมันยังทำอะไรอีกไหม” พระราชาถามต่อ

          “ทหารบนกำแพงเมืองโอมิลรอนรายงานว่า เห็นพวกมันกำลังตัดไม้มาประกอบเป็นเครื่องกลหลายเครื่องพะยะค่ะ” แร็งซ์ริงทูล “ได้แต่หวังว่าจะไม่ใช่เครื่องกลโจมตีเมือง”

          “เดิมที เราไม่คิดว่าพวกมันจะออกนอกพื้นที่มาบุกเหยียบอาณาจักรของเรา แต่พวกมันก็มา” พระราชาส่ายหน้า “แล้วตอนนี้ เราก็ไม่คิดว่าพวกมันจะบ้าบิ่นบุกเข้าโจมตีเมือง แต่ใครจะไปรู้ว่าพวกมันจะทำอย่างนั้นไหม บางทีแบล็กไรดิงฮู้ดอาจคิดว่าเมืองของเราอ่อนแอจนประจวบเหมาะแก่การเข้าตี แล้วก็บุกเข้ามาเสียดื้อๆ เลย คนหนุ่มมักจะทำอะไรบ้าๆ แบบนั้น”

          “หากเขาทำอย่างนั้น กองกำลังของเขาจะเสียหายหนักพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงทูล “แต่แม้มันจะเสียหายหนัก ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูง ว่าโอมิลรอนจะถูกพิชิตได้เช่นกัน”

          “มันจะต้องไม่ถูกพิชิต” พระราชายื่นคำขาด “เมืองนั้นเป็นสัญลักษณ์ของการพิชิตปีศาจ หากมันถูกปีศาจพิชิตได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่บรรพบุรุษของข้าสร้างมาก็ไม่มีความหมายน่ะสิ ประชาชนจะพากันเสื่อมศรัทธาในศาสนาจนหมดสิ้น ข้ายอมให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้ ข้าไม่อยากจะพูดอะไรแบบนี้เลย แต่เราต้องหาวิธีให้พวกปีศาจสงบ ไม่กระตุ้นโทสะเร่งให้พวกมันเข้ามาโจมตีโอมิลรอน เรา--” พระองค์ดูจะเอ่ยคำพูดที่เหลือด้วยความยากลำบาก “--อาจต้องให้สิ่งที่พวกมันต้องการบ้าง”

          “พระองค์จะทำเช่นไรหรือพะยะค่ะ” ริฟเฟอร์ถาม

          “พวกมันคงอยากจะพบเจอหัวหน้าของพวกมัน หลังจากไม่ได้เห็นหน้าเห็นตามาสิบกว่าปี คงอยากรู้ว่าทวิดเฮดยังอยู่ในสภาพดีหรือมีส่วนไหนเสียหายบุบสลายไปบ้างไหม” พระราชางึมงำ “นั่นอาจทำให้พวกมันสงบลงได้บ้าง แล้วพวกมันก็จะได้รู้ว่า หากจะบุกเข้าโจมตีเมือง ทวินเฮดก็จะถูกลูกหลงด้วย”

          “เป็นพระปรีชายิ่งนักพะยะค่ะ” เฟรเทลได้ทีประจบใหญ่

          “เจ้าสองคนกลับไปที่เมืองของตน คอยดูแลจัดการตามแต่คำสั่งของข้าจะส่งไปอีกที” พระราชาสั่งแร็กซ์ริงและริฟเฟอร์ “แอนโทนิดัส เจ้าต้องดูแลเมืองโอมิลรอน ไม่ให้พวกดาร์คเนสดีวิลทำอะไรได้มากกว่านี้ ส่วนเจ้าบิลิส เมื่อมีคำสั่งจากข้า จงยกกองเรือที่เหลือขึ้นบกไปช่วยสนับสนุนโอมิลรอนทันที”

          “พะยะค่ะ” เจ้าเมืองทั้งสองรับคำสั่ง

          “ส่วนหลาน เอ็ดด์” พระองค์หันไปหาเฟรเทล “เดินทางไปยังโอมิลรอนกับเจ้าเมืองแอนโทนิดัส แร็กซ์ริง ไปคอยแม็คลุงของหลานที่นั่น ยามที่เขาต้องตามไปสมทบที่เมืองนั้นในอีกไม่นานนี้ หลานจะได้รายงานความเป็นไปต่างๆ แก่เขาได้อย่างละเอียดยิ่งกว่าใคร”

          พระราชาทำเช่นนี้เพราะรู้ว่าแร็กซ์ริงกับแรคแทนทิคไม่ลงรอยกัน ย่อมประสานงานกันลำบากแน่ อย่างน้อยก็ควรให้คนของแรคแทนทินสักคนไปอยู่ที่โอมิลรอนด้วย จะได้ส่งต่อหน้าที่แก่แรคแทนทินได้โดยไม่ติดขัดอะไร นั่นย่อมทำให้ทั้งเฟรเทลและแร็กซ์ริงไม่พอใจ คนหนึ่งไม่อยากเข้าไปในถิ่นฝ่ายตรงข้าม ส่วนอีกคนหนึ่งก็ไม่อยากต้อนรับฝ่ายตรงข้ามเข้าไปในถิ่นของตน แต่ก็ไม่กล้าขัดพระราชา

          “แล้วเสด็จตาต้องการให้ลุงแม็คของหม่อมฉันทำหน้าที่ใดหรือพะยะค่ะ” เฟรเทลถาม “ถึงต้องให้เขาตามไปสมทบที่เมืองโอมิลรอน”

          “ตาจะส่งเอกสารคำสั่งไปหาเขาที่เมืองไดมอนด์เคจ” พระราชาบอก “เขาจะต้องเป็นคนจัดการเกี่ยวกับการควบคุมตัวเจ้าแฝดตัวติดนั่น”

          “พะยะค่ะ” เฟรเทลโค้งศีรษะ สีหน้าเริ่มกังวล รู้อยู่เต็มอกว่า แม็ค แรคแทนทิน ลุงของตนนั้น เป็นศัตรูตัวฉกาจของเดอะ ทวินเฮด แรคแทนทินจะต้องรู้สึกไม่เป็นสุขแน่

 

********************

 

                เมืองไดมอนด์เคจคือเมืองที่ใช้จองจำนักโทษเชลยศึก ไม่ว่าจะเป็นดาร์คเนสดีวิล โฮเซ่ หรือแม้กระทั่งมนุษย์ที่ทำผิดกฎหมาย แต่เกือบทั้งหมดของนักโทษคือดาร์คเนสดีวิลที่หัวแข็ง ยอมหักไม่ยอมงอ ไม่ยอมถูกพวกมนุษย์ควบคุม เมืองแห่งการจองจำแห่งนี้อยู่ในความดูแลของเจ้าเมืองไดมอนด์เคจ ผู้ซึ่งขึ้นตรงต่อแม็ค แรคแทนทิน รู้กันอย่างไม่เป็นทางการว่านักโทษคนสำคัญที่สุดในเมืองนี้ คือแฝดตัวติดที่ชื่อว่าซิลเวอร์ เมแมคเซอร์ และค็อปเปอร์ เมแมคเซอร์ หรือ เดอะ ทวินเฮด ผู้เป็นศัตรูคู่ปรับของแรคแทนทิน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แรคแทนทินย่อมทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ฝาแฝดได้หลุดออกมาจากที่คุมขัง

                “เชลยศึกดาร์คเนสดีวิลทุกเรือนจำเริ่มจะฮึกเหิมเกินควบคุม พวกมันรู้ว่าพวกที่โฟรเซ็นทิเนลบุกเข้ามาประชิดเมืองโอมิลรอน เพื่อจะช่วยพวกมันออกไป” เจ้าเมืองไดมอนด์เคจหัวรังนกรายงานแรคแทนทิน ขณะเดินลงบันไดไปสู่คุกใต้ดิน “พวกมันไม่ได้เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เราแยกเจ้าแฝดตัวติดมาขังเดี่ยวที่นี่แล้ว ก่อนหน้านั้นเจ้าแฝดนั่นก็ปลุกระดมเชลยศึกคนอื่นๆ จนเกือบจะกลายเป็นจลาจล นั่นคือเหตุที่ทำให้พวกเราแยกพวกมันมาขังเดี่ยวข้างล่างนี่”  

                “แล้วเจ้าแฝดตัวติดนั่น มันยังอวดดีไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินอยู่อีกไหม” แรคแทนทินถาม “การนำพวกมันมาขังเดี่ยวที่นี่อยู่หลายปี น่าจะทำให้พวกมันสิ้นฤทธิ์สิ้นเดชลงบ้าง”

                “ที่ผ่านมาพวกมันอาจสงบลงได้เล็กๆ น้อยๆ แต่ข่าวเรื่องโอมิลรอนถูกบุกทำให้พวกมันตื่นตัวยิ่งกว่าครั้งไหนๆ” เจ้าเมืองไดมอนด์เคจว่า “คงเป็นเพราะพวกผู้คุมเอาแต่คุยกันไม่รู้จักหุบปาก พวกมันจึงทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างนอก”

                “ถึงอย่างไร พวกมันก็ต้องรู้อยู่ดี” แรคแทนทินพูดอย่างหงุดหงิด มือชูม้วนเอกสารคำสั่งจากพระราชาให้ดู “เกรงว่าเราต้องเอาตัวพวกมันออกจากห้องขังชั่วคราว”

                “นายท่าน” เจ้าเมืองไดมอนด์เคจตาเหลือก “ข้าคิดว่านั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย”

                “มันไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่นอนล่ะ” แรคแทนทินชี้หน้าอีกฝ่ายด้วยม้วนเอกสาร “ข้ารู้จักความร้ายกาจของพวกมันมากกว่าใคร อยากให้พวกมันถูกคุมขังอยู่ที่นี่มากกว่าใคร แต่ไอ้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างนอกนั้น มันทำให้เราต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ”

          ในคุกใต้ดินแห่งนี้เป็นอุโมงค์แคบๆ ที่มีห้องขังอยู่สุดอุโมงค์เพียงห้องเดียว เหนือประตูห้องขังมีตราสัญลักษณ์ดาบสีเงินกับดาบสีบรอนซ์เอียงปลายชนกันเป็นรูปตัว /\  ตราสัญลักษณ์ของเดอะ ทวินเฮด เบื้องหน้าห้องขังมีผู้คุมมนุษย์สามนายยืนถือปืนยาวจ่อนักโทษในห้องขัง อีกสองนายเปิดประตูห้องขังเข้าไปจัดการตัวนักโทษ ลูกกรงห้องขังสะท้อนประกายสีแดงตลอดเวลา บ่งบอกให้รู้ว่ามันถูกลงอาคมไว้

          “ถอยหลังพิงกำแพง” ผู้คุมมนุษย์ที่ถือปืนตะคอกใส่

          ดาร์คเนสดีวิลร่างสูงใหญ่ล่ำสันสองคนที่มีลำตัวติดกัน ถูกผู้คุมสองคนดันไปพิงผนังแล้วล่ามแขน ขา คอ ลำตัว ด้วยโซ่เหล็กที่สะท้อนประกายแสงสีแดงเช่นเดียวกับลูกกรง ทั้งคู่เป็นดีวอเชอร์ เคลื่อนที่ได้ด้วยการลอยไปลอยมา น่าประหลาดใจที่แม้จะตัวติดกัน ก็สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างพร้อมเพรียงกันมากขนาดนี้ อีกทั้งรูปร่างหน้าตาก็ยังเหมือนกันจนแทบแยกไม่ออก จากเครื่องพันธนาการหลายต่อหลายชิ้น และการถูกควบคุมอย่างเข้มงวดเช่นนี้ บอกให้รู้ว่าทั้งคู่อันตราย

          “นายท่าน” ผู้คุมคนที่ถือปืนยาวคนกลางหันมาโค้งคำนับแรคแทนทิน ดูจะเป็นหัวหน้าผู้คุม “เราจัดการล่ามเจ้าปีศาจตัวติดพวกนี้แล้ว ซิลเวอร์ เมแมคเซอร์ (เขาชี้ไปที่แฝดคนซ้าย) ค็อปเปอร์ เมแมคเซอร์ (เขาชี้ไปที่แฝดคนขวา) เดอะ ทวินเฮด”

          “ข้ารู้ว่าพวกมันเป็นใคร รู้มากกว่าเจ้าเสียอีก” แรคแทนทินโบกมือใส่หน้าหัวหน้าผู้คุม “เพราะข้าเป็นคนนำพวกมันมาที่นี่เอง”

          แฝดทั้งสองเงยหน้าขึ้นมามองแรคแทนทิน ผ่านม่านผมสีเงินที่กระเซิงปิดหน้าปิดตา ดวงตาสีแดงแสดงถึงความไม่เป็นมิตร ว่ากันว่าดาร์คเนสดีวิลที่มีนัยน์ตาสีแดงนั้น จะมีสัญชาติญาณก้าวร้าวดุร้ายมากกว่านัยน์ตาสีอื่นๆ  

          “ไม่ได้เจอตั้งนาน แก่ลงเยอะเลยนะ” ซิลเวอร์ยิ้มเถื่อนๆ เขียวขาวเงาวับอยู่ในปาก “ครั้งต่อไปที่เจอกัน เจ้าคงถือไม้เท้ามาด้วย”

          “คงเหลือเวลาที่จะมีชีวิตได้อีกไม่นาน” ค็อปเปอร์ยิ้มแยกเขี้ยวเหมือนกัน ราวกับเป็นคนเดียวกัน “แก่ปูนนี้แล้ว น่าจะทิ้งเก้าอี้การเมืองไปนั่งเก้าอี้โยกได้แล้ว”

          แรคแทนทินฟาดหลังกำปั้นใส่หน้าฝาแฝดคนละหมัดจนหน้าหัน ทั้งคู่หันกลับมายิ้มให้กับแรคแทนทินด้วยเลือดสีดำที่ไหลออกจากมุมปากอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน แสงตะเกียงส่องให้เห็นริ้วรอยแผลเป็นเล็กๆ บนใบหน้าของทั้งคู่ ยิ่งทำให้ดูน่ากลัวมากขึ้นอีก น่าประทับใจที่แม้แต่รอยแผลเป็นก็มีเหมือนกัน

          “ไอ้พวกตัวประหลาดผิดธรรมชาติ ข้าน่าจะฆ่าพวกเจ้าทิ้งเสียตั้งแต่ยังมีโอกาส” แรคแทนทินคำราม

          “นั่นสิ เจ้าน่าจะทำ” ค็อปเปอร์สวนกลับ “แต่จำคำพูดของเจ้าได้ไหม เจ้าอยากให้เราทรมานยิ่งกว่าตาย เจ้ารู้ว่าเราเกลียดกรงขังมากกว่าการตาย คงคาดไม่ถึงใช่ไหม ว่าไอ้ความโหดเหี้ยมของเจ้า มันกำลังย้อนกลับมาเล่นงานเจ้าเสียเอง”

          “รู้สึกยังไงบ้างล่ะที่อยากจะฆ่าเราใจจะขาด แต่ก็ฆ่าไม่ได้” ซิลเวอร์ถาม “ดูเหมือนว่าตอนนี้ เจ้าจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษไม่ให้เราเกิดขาดใจตายขึ้นมา ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าจะต้องเสียใจที่ไม่ฆ่าเราในตอนนั้น”

          “ดูสิว่าพวกเจ้าเป็นต้นเหตุให้เกิดอะไรขึ้นมา” แรคแทนทินกัดฟัน

          “เราหรือ” ค็อปเปอร์ตีหน้าเซ่อ “ก็เห็นๆ อยู่ว่าเราถูกล่ามอยู่ในที่มืดๆ แคบๆ ไม่เห็นเดือนไม่เห็นตะวัน เราจะไปทำอะไรแบบนั้นได้ล่ะ”

          “พวกลิ่วล้อของพวกเจ้าจากโฟรเซ็นทิเนลมันกำแหงนัก” แรคแทนทินกระชากคอเสื้อทั้งคู่ “แบล็กไรดิงฮู้ด บอกข้ามาว่ามันคือใคร”

          “เราจะไปรู้ได้ยังไง เขาอาจเป็นดาร์คเนสดีวิลคนไหนก็ได้ที่เหลืออดเหลือทนกับการถูกพวกเจ้าเหยียบย่ำ จะว่าไปก็ทุกคนนั่นแหละ” ซิลเวอร์กลอกตาไปมา “ไม่มีใครหรอกที่จะทนแรงเหยียบของพวกเจ้าได้ และจะต้องมีสักคนที่เหลืออดเหลือทน จนทำให้ตนแข็งแกร่งพอที่จะผลักการเหยียบของพวกเจ้าออกไป”

          “เป็นเพราะพวกเจ้า พวกมันถึงบุกมาทำลายความเชื่อความศรัทธาของเผ่าพันธุ์ข้า” แรคแทนทินทำเสียงกราดเกรี้ยวในลำคอ

          “เป็นเพราะเจ้าไม่ใช่หรือ ที่นำเรามาจองจำที่นี่ตั้งแต่แรก” ค็อปเปอร์ตอบกลับ

          “พวกเจ้าจะต้องไปบอกให้คนของพวกเจ้ายกทัพกลับไป” แรคแทนทินชี้หน้าทั้งคู่ “ไม่อย่างนั้น พวกเจ้าจะต้องพบกับความทรมานแสนสาหัส จนพวกเจ้าแทบจะลืมชื่อตัวเองเลย”

          “อย่างเจ้าจะไปรู้อะไรเกี่ยวกับความทรมาน” ค็อปเปอร์ทำเสียงดูถูก “เจ้าเป็นเชื้อพระวงศ์ อยู่แต่ในปราสาทหรูหรา มีคนรองมือรองเท้า ออกรบโดยมีเสบียงปัจจัยพร้อมเพรียงตลอด ยืนอยู่แนวหลังคอยแต่ชี้นิ้วสั่งการ สู้ศึกทุกครั้งด้วยกำลังพลที่เหนือกว่า เจ้าไม่เคยรับรู้หรอกว่า การต้องต่อสู้กับกองทัพที่เก่งที่สุดในดาวดวงนี้ โดยแทบไม่มีอะไรจะไปสู้นั้น มันสาหัสขนาดไหน”

          “ทรมานพวกเราสิ ทำสิ่งที่เจ้าคิดว่าจะทำให้เราเจ็บปวดจนทนไม่ไหว” ซิลเวอร์ท้าทาย “แต่ข้าเกรงว่า นั่นจะไม่ส่งผลให้เราพูดอะไรตามที่เจ้าต้องการ แล้วพวกพ้องของเราที่อยู่นอกกำแพงเมืองโอมิลรอนก็คงไม่ปลาบปลื้มกับสิ่งที่เจ้าทำนัก มนุษย์อย่างเจ้าอาจไม่คุ้นเคยกับคำว่า กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่เชื่อข้าเถอะ อีกไม่นานเจ้าจะคุ้นเคยแน่”

          “ไม่ว่าพวกพ้องของพวกเจ้าจะมาไม้ไหน จำคำข้าไว้ พวกเจ้าจะไม่มีวันได้ออกไปจากกรงขังนี่” แรคแทนทินประกาศกร้าว “พวกเจ้าจะต้องเน่าตายอยู่ในนี้”

          “เราเคยสิ้นหวังมากกว่านี้อีก” ค็อปเปอร์พูดสบายๆ “อย่างน้อย พวกพ้องของเราก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว เราจะเป็นตายอย่างไรก็ช่างหัวปะไร เผ่าพันธุ์ของเราแข็งแกร่ง เผ่าพันธุ์ของเรามีความหวัง และเผ่าพันธุ์ของเราก็ทรงพลังเกินกว่าที่พวกเจ้าจะเหยียบย่ำได้อีกต่อไป มันสำคัญแค่ตรงนี้”

          “กัปตันเท็มเปิลจะยกกองหนุนกลับมา บดขยี้พวกพ้องของพวกเจ้าให้ราบเป็นหน้ากลอง” แรคแทนทินขู่ “ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าได้สั่งพวกมันให้ถอยกลับไป ไม่อย่างนั้น พวกเจ้าจะได้ดูพวกพ้องตัวเองย่อยยับไปกับตา เหมือนที่เคยเป็นในอดีตหลายต่อหลายครั้ง จะเอาอย่างนั้นใช่ไหม”

          ฝาแฝดมองหน้ากันอย่างครุ่นคิด คงรู้ว่าคู่แฝดของตนคิดอะไรอยู่ นั่นย่อมทำให้แรคแทนทินรู้สึกกังวล ทวินเฮดอาจเป็นพวกแข็งกร้าวดุดันมุทะลุ แต่ก็ไม่ใช่พวกโง่ที่เอาแต่ใช้กำลังชน พวกเขาฉลาดพอที่จะวางแผนใช้ความคิด ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแผนอะไรความคิดใดนั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องชวนให้สบายใจแน่ ที่แย่กว่านั้นคือ แรคแทนทินไม่มีทางรู้หรือเดาออก

          “เราบอกไม่ได้หรอกว่าอะไรมันจะเกิดไม่เกิด” ซิลเวอร์พูดกลางๆ “แต่คงจะดีไม่น้อย ที่เราจะได้พบปะพวกเดียวกันแม้จะในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม แน่นอนว่าเจ้าพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้เราได้พบ แต่ก็ใช่ว่าเจ้าจะมีทางเลือกนักหรอกใช่ไหม”

          แรคแทนทินสะบัดหน้าหันหลังเดินออกจากห้องขังไป ฝาแฝดมองตามด้วยแววตาเกลียดชังอาฆาต เหมือนที่เป็นมาทุกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ มันมีสิ่งที่แสดงความเป็นต่ออยู่ในดวงตา

 

********************

 

                “เรียนโฮซอร์เฮนิเคม โฮซอร์ท็อกซ์ฟ็อกซ์ กองเรือมนุษย์ที่ฐานทัพเรือซาโมโรว์ระดมพลขึ้นบกกันหมดแล้วครับ ดูเหมือนจะมีโครงการเคลื่อนพลไปสนับสนุนเมืองอื่น”

                ทหารสอดแนมโฮเซ่รายงานกอร์รินและท็อกซ์ฟ็อกซ์บนเรือจ่าฝูง เรือลำนี้และเรืออีกสี่ลำจอดซุ่มอยู่ตามเกาะแก่งต่างๆ ห่างจากชายฝั่งซาโมโรว์ไม่มากนัก ก่อนหน้านี้กอร์รินเอาแต่มองท้องฟ้าและสังเกตปริมาณเมฆ ส่วนท็อกซ์ฟ็อกซ์ก็เดินไปเดินมาท่าทางหงุดหงิด การรายงานครั้งนี้เรียกความสนใจจากทั้งคู่ได้

                “เป็นไปตามที่วางแผนไว้” กอร์รินพูดอย่างยินดี “พวกมนุษย์ถอนกองเรือขึ้นฝั่ง เพื่อจะยกพลไปช่วยโอมิลรอนทางบก ท่าทางพวกดาร์คเนสดีวิลจะมีวิธีกดดันที่ไม่เลวนัก”

                “นอกจากแนวป้องกันและเครื่องกีดขวางแล้ว ดูเหมือนว่าพวกดาร์คเนสดีวิลยังจะตัดไม้มาประกอบเครื่องกลอีกด้วย” ทหารสอดแนมรายงานต่อ “ลักษณะคล้ายจะเป็นเครื่องกลโจมตีเมืองครับ”

                “พวกดาร์คเนสดีวิลเชี่ยวชาญเรื่องช่างไม้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ท็อกซ์ฟ็อกซ์สงสัย “พวกนั้นน่าจะทำอะไรเกี่ยวกับโลหะหรือสิ่งที่หลอมได้ตีได้มากกว่า”

                “มันเป็นอุบายกลลวงน่ะสิ” กอร์รินรู้ทัน “แสร้งทำเหมือนว่าเตรียมอุปกรณ์เครื่องกลเผื่อเกิดเปลี่ยนใจอยากเข้าตีเมืองขึ้นมา ซึ่งไม่ว่าพวกมนุษย์จะสงสัยหรือไม่ พวกมันก็ไม่เสี่ยงให้เมืองขาดการป้องกันแน่ ซาโมโรว์จะต้องส่งกองหนุนไปที่โอมิลรอน เพื่อขู่ไม่ให้พวกดาร์คเนสดีวิลบุกเข้าตีเมือง เพราะหากเกิดการโจมตีจริงๆ ตัวเมืองโอมิลรอนจะเสียหายหนัก”

                “หากซาโมโรว์ส่งกองหนุนไปยังเมืองอื่น ก็หมายความว่าทางของเราสะดวกแล้ว” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูดอย่างกระตือรือร้น “เราจะสามารถทำการยกพลขึ้นบกที่ชายฝั่งซาโมโรว์ได้”

                “แน่นอนอยู่แล้ว ที่เราต้องทำ คือรอให้ถึงเวลาอันเหมาะสม” กอร์รินโบกมือให้ทหารสอดแนมไปพักได้ “เราจะเริ่มเคลื่อนพลเมื่อมั่นใจว่ากองหนุนมนุษย์จะวกกลับมาหาเราไม่ได้ ต้องให้แน่ใจว่าพวกดาร์คเนสดีวิลทำให้พวกมันติดพันอยู่ที่ซาโมโรว์ ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนใจร้อนและกระตือรือร้นกับงานนี้มากซีราส แต่โปรดอย่ากังวล ท่านจะได้ขึ้นไปเหยียบฐานทัพเรือซาโมโรว์อย่างถูกที่ถูกเวลาแน่”

                “นั่นคือเหตุผลที่ท่านเอาแต่สังเกตเมฆบนท้องฟ้าใช่ไหม” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ถาม “ท่านจะคาดการณ์สภาพท้องฟ้าในช่วงนี้ว่าคืนไหนจะเป็นคืนที่ฟ้ามืด เพื่อจะได้จู่โจมได้ถูกที่ถูกเวลา”

                “ฉลาดมาก ท่านเดาถูก” กอร์รินยิ้มให้ “เราจะทำเหมือนพวกดาร์คเนสดีวิล คือจู่โจมในตอนกลางคืน และจู่โจมในคืนที่เหมาะสม”

                “หลังจากที่พ่ายศึกพวกมนุษย์ทางทะเลหลายต่อหลายครั้ง ใครจะไปนึกว่าเราจะมีโอกาสได้เข้าถึงหัวใจของกองทัพเรือพวกมันได้มากกว่าครั้งไหนๆ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูด

                “น่าประทับใจ ที่ครั้งนี้ท่านไม่บ่นอะไรเกี่ยวกับพวกดาร์คเนสดีวิลเลย” กอร์รินยิ้มแฉ่ง

                “ก็เพราะบ่นไป ท่านก็ไม่สนใจอยู่ดี” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ส่ายหน้า “และปฏิบัติการก็ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว บ่นไปก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้”

                กอร์รินหัวเราะ ตบหลังเสื้อเกราะอีกฝ่ายเสียงดัง แล้วจึงเงยหน้าขึ้นไปพิจารณาเมฆบนฟ้าต่อ

 

*******************

 

                เป็นเวลาสามวันแล้ว ที่พวกดาร์คเนสดีวิลทำการยืดพื้นที่หน้าเมืองโอมิลรอน หัวของเชลยศึกมนุษย์ยังคงถูกโซลิแทร์ตัดทุกหกชั่วโมง ตามที่สัญญาไว้ โดยจะคัดเลือกคนที่สร้างปัญหาหรือคนที่ปากไม่ดีมากที่สุดก่อน นั่นทำให้พวกที่เหลืออยู่นั้น ส่วนใหญ่มีแต่พวกนักบวชขี้กลัว บางคนถูกอุดปากเพราะเอาแต่ร้องขอความเมตตา นั่นเป็นเรื่องที่พวกดาร์คเนสดีวิลรับไม่ค่อยได้นัก นักบวชเหล่านี้ยามมีอำนาจก็โหดเหี้ยมเห็นแก่ตัวไร้ปรานี แต่พอมายามนี้กลับหน้าด้านหน้าทนอ้อนวอนขอชีวิต ไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเอาเสียเลย

          ค่ายชั่วคราวของพวกดาร์คเนสดีวิลดูจะแน่นหนาขึ้น อีกทั้งยังมีเครื่องกลแปลกๆ ที่ทำด้วยไม้ถูกประกอบขึ้นหลายเครื่อง ยิ่งทำให้ชาวเมืองโอมิลรอนขวัญหนีดีฝ่อ ชาวเมืองจำนวนมากอพยพหนีไปเมืองอื่น ทำให้เมืองแทบจะกลายเป็นเมืองร้าง จึงเป็นงานหนักของแอนโทนิดัส แร็กซ์ริงที่จะต้องรักษาความสงบภายในเมือง วันนี้เขาตัดสินใจนำกลุ่มอัศวินออกไปเจรจากับพวกดาร์คเนสดีวิลในตอนเช้าตรู่ สิ่งที่น่ากังวลก็คือเอ็ดด์ เฟรเทลที่ติดตามมายังเมืองนี้ตามคำสั่งพระราชานั้น ยืนกรานที่จะออกมาร่วมเจรจาด้วย โดยบอกว่าต้องคอยติดตามสถานการณ์เพื่อจะได้รายงานแรคแทนทินได้อย่างถูกต้อง เฟรเทลก็เหมือนแรคแทนทินผู้เป็นลุง ตรงที่เกลียดชังพวกดาร์คเนสดีวิลจนออกนอกหน้า ในตอนนี้พวกดาร์คเนสดีวิลในค่ายรู้เพียงว่าเจ้าเมืองโอมิลรอนกำลังตรงเข้ามาเจรจา แต่หากพวกเขารู้ว่ามีหลานของแม็ค แรคแทนทิน ผู้เป็นที่เกลียดชังของดาร์คเนสดีวิลทั่วทั้งอาณาจักรรวมอยู่ในกลุ่มด้วย การเจรจาคงไม่ราบรื่นแน่

                “ไม่อยากเชื่อเลยว่า เราจะเคยตกเป็นทาสของพวกโง่บรมอย่างพวกมนุษย์” โซลิแทร์พูดขณะใช้ขวานแกะไม้ให้เป็นชิ้นส่วนเครื่องกล ทำได้ไม่สวยนักเพราะดาร์คเนสดีวิลจะถนัดเรื่องเครื่องเหล็กมากกว่า คัมภีร์ทางศาสนาที่ได้มาจากตู้ในวิหาร กางเปิดอยู่ข้างๆ  “เจ้าชายไททอสทำให้พวกมนุษย์มากมายเชื่อว่า เทพเจ้าสร้างดาวดวงนี้ขึ้นมา และคอยเฝ้าดูอยู่ห่างๆ  หากทำตามข้อปฏิบัติของศาสนา ก็เท่ากับทำให้เทพเจ้าพอใจ เทพเจ้าจะอวยพรให้เกิดสิ่งดีๆ ต่อชีวิต เงินทองโชคลาภจะไหลมาเทมา และเมื่อมนุษย์ตายไป ดวงวิญญาณจะขึ้นไปเสวยสุขบนสวรรค์ร่วมกับเทพเจ้า อาจารย์เซซิล สวรรค์มันอยู่ตรงไหนหรือ ข้าว่าข้าส่องกล้องดูดาวแล้ว ก็ยังหาไม่เจอ”

                “ข้าแนะนำให้ท่านหาในพจนานุกรมท่านลอร์ด” เซซิลโยนชิ้นส่วนเครื่องกลที่เพิ่งแกะเสร็จไปรวมในกอง แกะได้สวยกว่าโซลิแทร์แน่นอนเพราะมือนิ่งกว่ามากนัก “หาในหมวดเรื่องไร้สาระ เรื่องงมงาย หรือสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นผลเลย”

                “พวกท่านว่าแปลกไหม” กัปตันมาซูลพูดไปใช้ขวานแกะไม้ไป “ถ้าพวกมนุษย์ที่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของศาสนาได้ขึ้นสวรรค์หลังจากตายไปแล้วจริง ทำไมพวกนักบวชทั้งหลายดูจะกลัวความตายมาก ก็ไหนบอกทุกคนว่าตายไปแล้ว จะได้ขึ้นไปเสพสุขบนสวรรค์ชั้นฟ้าไง”

                “ท่าทางจะกลัวความสูง” โซลิแทร์ว่า

                กัปตันมาซูลหัวเราะชอบใจ ห่างออกไปนอกค่าย แร็กซ์ริง เฟรเทล และเหล่าอัศวินได้หยุดยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อรอการเจรจา ฝ่ามือข้างหนึ่งของแร็กซ์ริงชูขึ้น แสดงสัญลักษณ์กระดาษ สัญลักษณ์ขอเจรจา โซลิแทร์ส่องกล้องออกไปมอง รับรู้ว่าอีกฝ่ายเข้ามาขอเจรจา แต่ก็ไม่สนใจ ก้มหน้าก้มตาแกะไม้ต่อไป

                แร็กซ์ริงแสดงสัญลักษณ์อีกครั้ง ก็ยังไม่มีการตอบรับกลับไป พวกนักรบดาร์คเนสดีวิลที่เฝ้ายามอยู่หน้าค่ายก็ยังคงยืนนิ่งรักษาการณ์อยู่ตรงนั้น ไม่สนอกสนใจอะไร สนใจเพียงแค่คอยระวังไม่ให้พวกพวกมนุษย์เข้ามาใกล้ค่ายจนเกินไป

                “แบล็กไรดิงฮู้ด” เฟรเทลตะโกนออกไปอย่างหมดความอดทน แร็กซ์ริงหันมามองหน้า “ข้า เอ็ดด์ เฟรเทล ตัวแทนของแม็ค แรคแทนทิน รัชทายาทอันดับสองแห่งราชบัลลังก์โมราโซมอส ในนามของพระราชา จงออกมาเจรจา”

                “เบื่อจริงๆ พวกมนุษย์ ชอบทำการใดๆ ตั้งแต่ไก่โห่ ไม่รู้หรือไงว่าเผ่าพันธุ์แดนหนาวอย่างเราตื่นสาย” โซลิแทร์แกะไม้ต่อไปอย่างไม่ใส่ใจ “ไอ้การตื่นเช้า มันไม่ทำให้คุณภาพงานดีขึ้นหรอก มีแต่จะทำให้หาวไปทำงานไป แล้วยังทำให้อ่อนเพลียในตอนดึก ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะแก่การถูกจู่โจมมาก ดูเหมือนว่าการยึดวิหารเจ้าชายไททอสในตอนกลางคืน ยังสร้างบทเรียนให้พวกนั้นไม่พอ”

                “แบล็กไรดิงฮู้ด แสดงตัวเดี๋ยวนี้” เฟรเทลย้ำด้วยเสียงอันดัง

                “แม้ว่าข้าจะไม่ใช่คนที่เกลียดเสียงตะโกนอย่างท่านนะท่านลอร์ด แต่ไอ้หมอนี่ก็เริ่มทำให้ข้ารำคาญแล้ว” กัปตันมาซูลถอนหายใจ “มันคิดว่าเป็นทายาทกษัตริย์ แล้วจะมาสั่งพวกเราได้เหมือนพวกมนุษย์ขี้ประจบหรือไง”

                “เป็นหลานของแม็ค แรคแทนทิน มนุษย์ที่จับทวินเฮดไปจองจำ” เซซิลพูดอย่างไม่ชอบหน้า “ลักษณะและการวางตัวเหมือนกันมาก เหมือนจะถอดแบบกันออกมาเลยด้วยซ้ำ”

                โซลิแทร์วางขวานลง ยืดตัวตรง หันมองออกไปนอกค่าย

                “พวกมันไม่มีมารยาทเลยหรือไง ปล่อยให้เรามารออย่างนี้หรือ” เฟรเทลหันมาพูดกับแร็กซ์ริงอย่างฉุนเฉียว “ไอ้พวกไร้วัฒนธรรม”

                “ท่านก็น่าจะพอทราบว่าพวกดาร์คเนสดีวิลไม่ใช่เผ่าพันธุ์ระดับเดียวกับเรา พวกนั้นไม่คิดว่ามารยาทคือสิ่งจำเป็น โดยเชื่อว่ามารยาทคือการหน้าไหว้หลังหลอก” แร็กซ์ริงพึมพำ “อย่างน้อย พวกนั้นก็ไม่คิดจะมีมารยาท กับสิ่งที่พวกนั้นคิดว่าไม่คู่ควรกับการให้เกียรติ”

                “แบล็กไรดิงฮู้ด” เฟรเทลตะโกนต่อ “อย่ามุดหัวอยู่แต่ในค่าย แสดงตัวออกมา--”

                แล้วเขาก็ต้องร้องลั่น ล้มตกจากหลังม้าเพื่อหลบรองเท้านักบวชข้างหนึ่ง ที่บินจากในค่ายมาเฉียดหัวไป โซลิแทร์ก้าวออกมาจากค่ายอย่างเยือกเย็น ผ้าคลุมกระพือไปตามแรงลมเบาๆ เซซิลและกัปตันมาซูลตามมาข้างหลังติดๆ

                “เจ้า ไอ้ปีศาจไร้วัฒนธรรม” เฟรเทลโกรธจัด ลุกขึ้นจากพื้น “กล้าดียังไงมาทำอะไรแบบนี้กับข้า รู้ไหมว่าข้าเป็นใคร ข้าคือเอ็ดด์ เฟรเทล ผู้สืบเชื้อสายจากกษัตริย์โมราโซมอส หลานของพระราชา”

                “ที่พูดมาทั้งหมดนั่นชื่อของเจ้าหรือ” โซลิแทร์ถามเรียบๆ ผ่านหน้ากาก “ไม่มีปัญหาเวลากรอกข้อมูลลงในเอกสารบ้างหรือไง เอกสารราชการของพวกเจ้ายิ่งมีหลายแผ่นอยู่ด้วย”  

          “เจ้ามันถ่อยสถุน ไม่มีสมบัติผู้ดี” เฟรเทลชี้หน้าอีกฝ่าย

                “พวกเราต้องทนเป็นโล่ให้เผ่าพันธุ์ของเจ้ามานานแสนนาน เพื่อให้พวกเจ้ามีงานเลี้ยงหรูหราฟุ่มเฟือย และสร้างภาพสมบัติผู้ดีให้ตัวเองไปวันๆ อะไรทำให้เจ้าคิดว่า เราจะมีสมบัติผู้ดีกับพวกเจ้า” โซลิแทร์พูดอย่างไม่ใส่ใจ “แต่สิ่งที่ข้ามีตลอดมา คือการรักษาคำสัญญา ข้าเคยสัญญาไว้ว่า ถ้ามาตะโกนใส่ข้าอีกครั้ง ข้าจะโยนรองเท้าใส่” เขาพูดเสียงเข้มขึ้น ดูมีพลังมากกว่าอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจเพราะตัวสูงกว่ามาก “ฟังนะ ข้าไม่ชอบพวกมนุษย์ ไม่ชอบเกือบทุกคนในอาณาจักรแห่งนี้ และแน่นอนที่สุด ข้าไม่ชอบเจ้ากับลุงของเจ้าเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าไม่ชอบเจ้า ฉะนั้นข้าไม่ต้องการจะเสียเวลาเจรจากับเจ้าพร่ำเพรื่อ ข้าไม่ใช่ระบบราชการมนุษย์ที่มักจะทำสิ่งต่างๆ ให้สิ้นเปลืองเวลาและยุ่งเหยิงเกินจำเป็น หากจะทำการเจรจา ข้าก็ต้องการคนที่พูดจารู้เรื่องและเข้าประเด็นเสียที”

                “เจ้าสองคน” แร็กซ์ริงบอกอัศวินสองคน “พาท่านเฟรเทลกลับเข้าไปในปราสาท”

                “ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น” เฟรเทลตะคอก

                “ที่นี่เป็นเมืองของข้า ข้ามีอำนาจที่นี่” แร็กซ์ริงพูดเสียงเฉียบขาด “แล้วข้าบอกว่า เจ้าสองคน พาท่านเฟรเทลกลับเข้าไปในปราสาท”

                เฟรเทลทำเสียงฟึดฟัดตามแบบคนเอาแต่ใจ แต่ก็ยอมปีนขึ้นหลังม้า ขี่กลับเข้าไปในตัวเมืองพร้อมกับอัศวินสองคน แร็กซ์ริงหันกลับหาโซลิแทร์ที่ยืนนิ่ง จ้องมองตอบกลับด้วยสายตาเย็นชา แขนสองข้างกอดอกอยู่ใต้ผ้าคลุมที่คลุมตัวมิดชิด

“ข้าไม่ชอบเจรจากับมนุษย์” โซลิแทร์พูดเสียงเย็น “ฉะนั้น บอกมาว่าต้องการจะคุยอะไรกับข้า หากไม่ใช่เรื่องปล่อยตัวพี่น้องของข้า เราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก”

                “ข้าต้องการให้พวกเจ้ายุติความโหดร้าย” แร็กซ์ริงพยายามควบคุมอารมณ์ “เจ้าตัดหัวเชลยศึกทุกๆ หกชั่วโมง มันเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนมาก”

                “มันไม่ป่าเถื่อนเลยสักนิด เมื่อเทียบกับสิ่งต่างๆ ที่เชลยศึกพวกนั้นเคยกระทำกับเรา พวกมนุษย์อย่างเจ้าไม่มีสิทธิ์ว่าผู้อื่นโหดร้าย” โซลิแทร์สวนกลับ “ทุกหกชั่วโมงที่พวกพ้องของเรายังอยู่ในกรงขัง หัวมนุษย์ก็จะถูกตัดไปเรื่อยๆ มันจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”

                “ถ้าข้าทำให้เจ้าได้พบปะกับคนสำคัญของเจ้า เจ้าจะลดความโหดร้ายต่อเชลยศึกลงบ้างไหม” แร็กซ์ริงเสนอ

                โซลิแทร์สวมหน้ากากอยู่ แร็กซ์ริงย่อมเดาไม่ออกว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไร แต่สำหรับคนที่รู้จักโซลิแทร์ดีพอ คงจะพอเดาได้ว่าเขาเริ่มจะรู้สึกใจจดใจจ่อมากขึ้น

                “ในตอนนี้ข้ายังไม่อาจปล่อยตัวเดอะ ทวินเฮดได้ แต่ข้าก็สามารถทำเรื่องขอให้พวกเขามาพบปะกับเจ้าได้ที่นี่ ในช่วงเวลาสั้นๆ” แร็กซ์ริงขยายความ “หากเป็นเช่นนั้น เจ้าจะระงับการตัดหัวเชลยศึกได้ไหม”

                “จากหกชั่วโมงต่อหนึ่งหัว ข้าจะเลื่อนเวลาเป็นสิบสองชั่วโมงต่อหนึ่งหัว” โซลิแทร์กล่าว

                “นั่นมันไม่เพียงพอ--”

                “นั่นคือสิ่งที่ข้าให้ได้เพียงอย่างเดียว และข้าเกลียดการต่อรอง หากไม่ตกลงสิ่งนี้ ก็จะไม่มีสิ่งอื่นให้ตกลง” โซลิแทร์ยื่นคำขาด “จงอย่าลืมว่า แต่ละหัวเชลยศึกมนุษย์ที่ถูกตัดไปนั้น เกิดจากความล่าช้าของพวกเจ้า หากไม่อยากให้พวกสวะเหล่านั้นเสียหัวเพิ่มอีก ก็ควรดำเนินเรื่องนี้โดยเร็ว”

                แน่นอนว่าแร็กซ์ริงไม่มีทางเลือก มันไม่ใช่ข้อเสนอที่ดีนัก แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย

                “อีกสองวัน” แร็กซ์ริงนัดเวลา “ตอนฟ้าสาง--”

                “ตอนเที่ยง” โซลิแทร์แก้ไข “อย่าเอาเวลาราชการของพวกเจ้ามาใช้กับเรา เราเกลียดมัน ถ้ามาตอนฟ้าสางอีก เราจะปล่อยให้พวกเจ้าได้รอจนถึงตอนเที่ยง”

                “ก็ได้” แร็กซ์ริงยอมตาม “อีกสองวัน ตอนเที่ยง เจ้าจะได้พบกับเดอะ ทวินเฮด ส่วนจะได้พบนานแค่ไหนนั้น เราจะกำหนดเอง และจงอย่างลืม ยืดเวลาตัดหัวให้บรรดาเชลยศึกด้วย”

                แร็กซ์ริงบังคับม้าหันกลับไปยังตัวเมืองพร้อมกับกลุ่มอัศวินของตน ก่อนจะออกม้านั้น โซลิแทร์ยังเตือนตามหลังว่า

                “และจงอย่าลืม แร็กซ์ริง หากมีกองกำลังของพวกเจ้าบุกเข้ามาหาพวกเรา ความพยายามของเจ้าที่จะรักษาหัวของเชลยศึกที่เหลือ ก็สูญเปล่าอยู่ดี”

 

***************

 

                “ตั้งแต่ข้าเกิดมา ไม่เคยมีใครกล้าทำอะไรเลวทรามกับข้าแบบนี้มาก่อน” เฟรเทลโวยวายขณะนั่งอยู่ในห้องทำงานของแร็กซ์ริง “เจ้าแบล็กไรดิงฮู้ดมันโยนรองเท้าใส่ข้า มันบังอาจนัก”

                “ท่านก็ควรจะทำตัวให้ชินไว้เสีย” แร็กซ์ริงอดรนทนไม่ไหว “พวกที่อยู่นอกกำแพงเมืองไม่ใช่คนที่คอยประจบประแจงท่าน ไม่ใช่คนประเภทที่ท่านเคยเจอมาทั้งชีวิตที่ผ่านมานี้”

                “ท่านว่าอะไรนะ” เฟรเทลจ้องหน้าอีกฝ่าย

                “ข้ามั่นใจว่าท่านได้ยินชัดเจน” แร็กซ์ริงเอนหลังพิงเก้าอี้ทำงานของตน

                เฟรเทลนั่งนิ่งอย่างเดือดดาล ที่นี่เป็นเมืองของแร็กซ์ริง แร็กซ์ริงมีอำนาจที่นี่ เขาจึงไม่อาจแสดงความสามหาวออกมาได้มากนัก

                “ท่านเป็นเจ้าเมืองศักดิ์สิทธิ์ เป็นพ่อมดที่ปรึกษากษัตริย์ ท่านกลับปล่อยให้เจ้าปีศาจชั้นต่ำรุ่นลูกรุ่นหลานมาข่มขู่แบบนี้หรือ” เฟรเทลพยายามหาทางตำหนิ เปลือกตาหนาๆ และตาเล็กๆ ของเขายิ่งทำให้เหมือนว่าเขาทำสายตาดูถูกตลอดเวลา “ท่านยิ่งไปยอมมัน แบล็กไรดิงฮู้ดก็จะยิ่งได้ใจ”

                “ดูเหมือนว่าท่านจะมีวิธีฉลาดๆ มาแนะนำข้า” แร็กซ์ริงย้อนกลับ “โปรดแนะนำมาสักอย่าง ข้ายินดีรับฟังหากมีเหตุผลเพียงพอ”

                ไม่ว่าจะยังไง พ่อมดผู้นี้ก็ผ่านโลกผ่านประสบการณ์มามากกว่าเฟรเทลมาหลายขุมนัก มากพอที่จะตอกหน้าเจ้าเด็กสามหาวคนนี้ได้  

                “ไม่ใช่แค่พวกมันที่มีตัวประกันเพียงฝ่ายเดียว ฝ่ายเราก็มีตัวประกันด้วยเหมือนกัน” เฟรเทลว่า “ตาต่อตาฟันต่อฟัน พวกมันตัดหัวตัวประกันของเรา เราก็ตัดหัวตัวประกันของพวกมันบ้าง ลุงของข้าสนิทกับเจ้าเมืองไดมอนด์เคจ เขาพยักหน้าครั้งเดียว หัวปีศาจก็ขาดได้ทันทีแล้ว”

                “เหตุผลเดียวที่เราควบคุมตัวเชลยศึกไว้ ไม่ฆ่าทิ้งเสียแต่ทีแรก ก็เพราะพวกมันมีประโยชน์ ที่พวกดาร์เนสดีวิลไม่ยกทัพใหญ่จากโฟรเซ็นทิเนลบุกเข้ามาถล่มเมืองนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด ก็เพราะเรายังไม่ฆ่าตัวประกันของพวกมันนี่ล่ะ” แร็กซ์ริงพูด “ท่านคิดว่าถ้าพวกดาร์คเนสดีวิลไม่เป็นต่อพวกเราเรื่องจำนวนอย่างแท้จริง เราจะมาถูกพวกมันกดดันอย่างนี้หรือ การแพ้ศึกที่ฟรอสท์ไอรอนแคลดถึงสองครั้งทำให้กองกำลังโดยรวมของพวกมันมากกว่ากองกำลังของพวกเราอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งพระราชาญาติของท่านที่แม้พระองค์จะใจร้อนเจ้าอารมณ์ แต่ก็ยังมีสติพอจะรับรู้ว่าไม่ควรไปกระตุ้นความเคียดแค้นพวกปีศาจมากกว่านี้ หากพวกมันเลือดขึ้นหน้า ระดมพลชุดใหญ่บุกเข้ามาจริงๆ เราสาหัสแน่”

                “พวกปีศาจไม่สันทัดเรื่องการบุกโจมตี พวกมันถนัดแต่การต่อสู้แบบตั้งรับในพื้นที่” เฟรเทลเถียง “จริงอยู่ เราอาจมีกองทัพน้อยกว่าพวกมัน แต่ความสามารถอันน้อยนิดในการโจมตีเมืองของพวกมัน ข้าไม่คิดว่าจะทำให้พวกมันพิชิตอาณาจักรเราได้”

                “แต่ก็มากพอจะทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวง” แร็กซ์ริงว่า “ท่านคงไม่ลืมใช่ไหม ว่าตอนนี้เราไม่ได้ทำศึกกับพวกดาร์คเนสดีวิลเพียงฝ่ายเดียว พวกโฮเซ่ก็กำลังรบรากับเราอยู่อีกฟากตอนนี้ ท่านอาจมีความคิดตื้นๆ แต่พวกนั้นไม่ ข้าก็ไม่ พระราชาก็ไม่ ศัตรูหนึ่งฝ่ายอาจไม่ทำให้อาณาจักรเราล่มสลายได้ แต่นี่เรามีถึงสองฝ่าย และถ้ามีสิ่งไปกระตุ้นให้พวกมันยอมเสี่ยงตายเข้ามาแลกโดยไม่สนความเป็นความตาย นั่นล่ะ ความพินาศของอาณาจักรเรา”

                เฟรเทลขุ่นเคืองมากที่ถูกสบประมาท ที่ผ่านมามีแต่คนคอยตามใจเขาตลอด เขาไม่เคยต้องมาอดทนอดกลั้นอะไรแบบนี้เลย แต่ก็เหมือนเคย ที่นี่เป็นเมืองของแร็กซ์ริง เขาอวดดีอะไรมากไม่ได้

                “เมื่อไหร่กองเรือของกัปตันเท็มเปิลจะกลับมา” เฟรเทลถาม

                “ไม่ใช่เร็วๆ นี้ พวกเขากำลังติดพันศึกทางทะเล” แร็กซ์ริงตอบ “ที่เราทำได้ คือพยายามยืดเวลาจนกว่าพวกเขาจะกลับมา ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ข้าพยายามทำอยู่”

                “กองหนุนจากซาโมโรว์จะมาสนับสนุนที่นี่ใช่ไหม” เฟรเทลถามต่อ

                “ใช่ อีกไม่เกินสองวัน” แร็กซ์ริงพยักหน้า “เป็นวันที่เราจะนำตัวทวินเฮดไปพบกับแบล็กไรดิงฮู้ด ตามที่ตกลงกันไว้”

                “ข้ายังคงไม่คิดว่ามันเป็นความคิดที่ดี” เฟรเทลกล่าว

                “ถ้ามีความคิดที่ดีกว่านี้ให้เลือก ข้าก็เลือกไปแล้ว” แร็กซ์ริงยอกย้อน “หรือท่านจะเสนอความคิดอะไรที่ดูฉลาดๆ อีก”

                “ข้าขอตัว” เฟรเทลลุกขึ้นยืน ท่าทางหงุดหงิด ดูเหมือนไม่อยากทนอยู่ที่นี่ต่อ

                “ท่านจะไปไหนหรือ” แร็กซ์ริงถาม ยืนขึ้นด้วยตามมารยาท

                “ข้าจะไปพักที่เมืองเนพเพอร์ เจ้าเมืองเนพเพอร์สนิทกับลุงของข้า” เฟรเทลพูดเชิงเหน็บแนม “เขาจะต้อนรับข้าอย่างดี อย่างที่เขาควรทำ”

                “รถม้าของข้าจะไปส่งท่านเอง ขอให้โชคดี” แร็กซ์ริงพูดตามมารยาท

                เฟรเทลเดินหน้าบูดออกไปจากห้อง ระหว่างนั้นก็สวนกับฟิเร็นดาที่จะเดินเข้ามาในห้อง ยิ่งทำหน้าบูดมากขึ้นอีก ทั้งคู่จ้องมองกันแวบหนึ่งอย่างไม่ชอบใจ เห็นชัดเจนว่าไม่ค่อยถูกกัน เป็นภาพที่น่าขันเพราะเฟรเทลเตี้ยกว่าฟิเร็นดา แล้วทั้งคู่ก็เดินแยกกันไป ไม่หันไปมองกันอีกเลย

                “เขามาทำอะไรที่นี่หรือคะ” ฟิเร็นดาเดินเข้ามาในห้องทำงานของแร็กซ์ริง

                “พระราชาให้เขามาจัดการธุระเรื่องพวกดาร์คเนสดีวิลด้วย” แร็กซ์ริงนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยใจ เปิดขวดแก้วเจียรนัยรินเหล้าให้ตนเอง “อีกสองวันลุงของเขาก็จะมาที่นี่ด้วย พร้อมกับเดอะ ทวินเฮด”

                “เดอะ ทวินเฮด” ฟิเร็นดาทำตาโต “แฝดปีศาจที่มีฝีมือร้ายกาจ อาจร้ายกาจที่สุดในพวกดาร์คเนสดีวิลก็เป็นได้ แล้วยังเป็นคู่ปรับกับแรคแทนทินอีก”

                “อีกสองวัน เมืองของอาจารย์จะเต็มไปด้วยอะไรก็ไม่รู้” แร็กซ์ริงจิบเหล้า “ทั้งพวกปีศาจ ทั้งทวินเฮด ทั้งสองลุงหลานนั่น โชคดีจริงๆ ที่ซอร์โรร่า ไอวิวรี่เดินทางไปไอซ์เมสกับแพทย์หลวงโกลด์แมนแล้ว”

                “แหม ซอร์โรร่าอาจเพี้ยนๆ แต่ก็เธอน่ารักไม่ใช่หรือคะ” ฟิเร็นดายิ้มอ้อน “เธอดีต่ออาจารย์ แล้วอาจารย์ก็ดีต่อเธอเสมอมา”

                “นี่ ถามอะไรหน่อยฟิเร็นดา หวังว่าอาจารย์คงไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวเจ้านะ” แร็กซ์ริงงึมงำ “เจ้ากับเธอ เอ้อ!---อาจารย์หมายถึง--”

                “เปล่าค่ะ เราเป็นแค่เพื่อนกัน” ฟิเร็นดาอดหัวเราะไม่ได้ “เราไม่เคยมีความสัมพันธ์อะไรลึกซึ้งไปกว่านั้น รสนิยมข้าไม่เหมือนเธอ ข้าชอบแต่ผู้ชายอย่างเดียว”

                “รู้ไหม เฟรเทลพูดถูกอย่างหนึ่ง” แร็กซ์ริงถอนหายใจ “อาจารย์เป็นถึงพ่อมดที่ปรึกษากษัตริย์ เป็นเจ้าเมืองสำคัญ เป็นผู้ทรงความรู้ผู้เป็นที่นับหน้าถือตา แต่กลับถูกเจ้าปีศาจวัยลูกวัยหลานมาถอนหงอกแบบนี้ได้ ไม่ว่าจะทำอะไร อาจารย์ต้องเล่นตามเกมของเขาตลอด”

                “หรือบางที เราควรจะคืนพวกพ้องของเขาให้เขาไป” ฟิเร็นดากระซิบ “ถึงอย่างไร เราก็ไม่ควรจับปีศาจเหล่านั้นมาจองจำตั้งแต่แรกแล้ว”

                “อาจารย์ไม่มีอำนาจในเรื่องนี้ อำนาจอยู่ที่พระราชาเท่านั้น แล้วเชลยศึกดาร์คเนสดีวิลส่วนใหญ่ก็อยู่ในการควบคุมของเมืองไดมอนด์เคจ ซึ่งขึ้นตรงต่อแรคแทนทิน” แร็กซ์ริงพูดไปจิบเหล้าไปเครียดๆ “พระราชาเกลียดพวกดาร์คเนสดีวิล แรคแทนทินและเหล่าขุนนางที่สนับสนุนเขาก็เกลียดพวกดาร์คเนสดีวิล พวกเขาย่อมหาทางที่จะไม่ปล่อยพวกเชลยศึกออกไปแน่”

                “แต่พวกเขาก็เป็นนักการเมืองกันหมด และนักการเมืองก็ไม่ใช่คนโง่” ฟิเร็นดาถามต่อ “พวกเขาน่าจะรู้ดีไม่ใช่หรือคะ ว่าในสถานการณ์นี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจความรู้สึกส่วนตัว”

                “นั่นล่ะ ที่มีเรื่องของการเมืองมาเกี่ยวเนื่องด้วย การยอมตามคำขู่ของศัตรูมันแสดงถึงความด้อยประสิทธิภาพของคณะปกครอง โดยเฉพาะศัตรูที่เคยเป็นอาณานิคมของเรามาก่อน หากเราทำตามที่พวกดาร์คเนสดีวิลต้องการ ประชาชนได้หมดความเชื่อมั่นในผู้ปกครองแน่” แร็กซ์ริงวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะ แล้วรินเหล้าเติม “แล้วยังมีประชาชนจำนวนมากที่เกลียดชังพวกดาร์คเนสดีวิลเช่นกัน พวกเขาคงจะเริ่มตั้งกลุ่มประท้วงหากเราปล่อยตัวเชลยศึก”

                “หมายความว่า เราไม่ควรปล่อยตัวเชลยศึกอย่างนั้นหรือคะ” ฟิเร็นดาเอียงคอ

                “อาจารย์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราควรทำอย่างไรดี” แร็กซ์ริงจิบเหล้าอึกใหญ่ “เพราะอย่าลืมว่ายังมีประชาชนอีกหลายกลุ่มที่ไม่ได้คิดเห็นเป็นเช่นนั้น บางกลุ่มก็อยากให้เราปล่อยเชลยศึกไป เพื่อพวกดาร์คเนสดีวิลจะได้ไปให้พ้นๆ เสียที บางกลุ่มที่เคร่งศาสนาก็โกรธเคืองที่เราปกป้องพวกนักบวชไม่ได้ การปิดล้อมโจมตีครั้งนี้ทำให้เกิดความตื่นตระหนก ความตกต่ำของเศรษฐกิจ ความคลางแคลงสงสัยในศาสนา เผ่าพันธุ์ของเรามันเห็นแก่ได้และเป็นสังคมแตกแยกอยู่แล้ว เมื่อถูกพวกดาร์คเนสดีวิลมากะเทาะรอยแตกได้ถูกจุดเช่นนี้ ยามเกิดปัญหาก็จะมีอีกหลายๆ ปัญหาผุดมาอีกรอบด้าน”

                “อาจารย์พูดถูกค่ะ การเมืองมีแต่เรื่องปวดหัว” ฟิเร็นดาลูบแขนอีกฝ่ายอย่างให้กำลังใจ

                “อาจารย์ไม่รู้ว่าแบล็กไรดิงฮู้ดคิดอะไรอยู่ มีแผนอะไรในใจแบบไหน แต่เขาเป็นคนใจเย็นมาก แล้วเขาก็เอาคืนให้เผ่าพันธุ์ของเขาได้สาสมทีเดียว” แร็กซ์ริงพูดเสียงเบา “อาจารย์ไม่ค่อยได้พบเจอดาร์คเนสดีวิลนักหรอก แต่อาจารย์ขอพูดว่า เจ้าปีศาจคนนี้ เป็นปีศาจที่เหลี่ยมจัดที่สุดที่อาจารย์เคยพบมา มนุษย์ทุกคนคงจะจดจำชื่อเขาไปอีกร้อยปีพันปี พร้อมด้วยความรู้สึกแสบๆ หนาวๆ ยามที่ต้องนึกถึง”

                ผมหงอกของแร็กซ์ริงร่วงออกมาสองสามเส้นยามที่เขายกมือสางผม

                “อาจารย์เคยคิดไหมคะ ว่าบางที การเกษียรตัวเองไปนั่งเก้าอี้โยก มันอาจนั่งสบายกว่าเก้าอี้การเมือง” ฟิเร็นดายิ้มอย่างอ่อนโยน

                “เคยสิ หลายครั้งด้วย” แร็กซ์ริงยิ้มตอบ “แต่อาจารย์รู้ซึ้งถึงคำว่าการเมืองคือสิ่งเสพติดแล้ว การที่เราจะปีนขึ้นสูงนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย เมื่อเทียบกับตอนพยายามจะลงมา แบล็กไรดิงฮู้ดคงจะพูดถูก ในเมื่ออาจารย์ละทิ้งอำนาจลาภยศไม่ได้ อาจารย์ก็สมควรจะโดนแบบนี้แล้ว”

                “เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว ข้าคงขยาดเส้นทางการเมืองไปพอสมควรเลยค่ะ” ฟิเร็นดาพูดกลัวๆ “หากข้าเล่นการเมืองแล้วต้องเจออะไรแย่ๆ ทำนองนี้ ข้าคงปลีกตัวจากมันไม่ยาก”

                “เชื่ออาจารย์เถอะลูกสาว” แร็กซ์ริงยิ้มให้เธออย่างเอ็นดู “หากเจ้าก้าวเท้าเข้ามาในวงการนี้จริงๆ เจ้าจะตระหนักได้ว่า การจะทำตามสิ่งที่เจ้าพูดเมื่อกี้นี้ มันไม่ง่ายอย่างที่คิดแน่นอน”




 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา