พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.92K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

17) บทที่ 16 นักล่าสมบัติ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 16

นักล่าสมบัติ

 

                ฟิเร็นดานั่งแช่อยู่ในสระอาบน้ำ สีหน้าเหม่อลอยเซื่องซึม เธอนั่งอยู่อย่างนี้มานานแล้ว ความรู้สึกนึกคิดในสมองตอนนี้คงตีกันวุ่น

                “ฟิเร็นดา อาจารย์เข้าไปได่ไหม” เสียงถามดังมาจากนอกห้องอาบน้ำ

                ฟิเร็นดาขยับตัวให้ระดับน้ำและฟองสบู่บดบังร่างให้มิดชิด แล้วจึงตอบกลับไปว่า “ค่ะ”

                แอนโทนิดัส แร็กซ์ริงเดินเข้ามาท่าทางเหนื่อยล้า แต่ก็ยังยิ้มให้ศิษย์สาวอย่างมีเมตตา เขานั่งลงที่ขอบสระ เอื้อมมือลูบศีรษะเธอ

                “เจ้ารู้สึกยังไงบ้าง ลูกสาว”

                “ข้า” ฟิเร็นดากระซิบ “ข้าอธิบายไม่ถูกค่ะ เหมือนว่าข้าตาบอดมานานแสนนาน ข้าอยากมองเห็น แต่เมื่อข้ามองเห็นแล้ว ข้ากลับเห็นสิ่งที่แย่กว่าเดิม จนอยากกลับไปตาบอดอีกครั้ง แต่ก็ทำไม่ได้แล้ว อาจารย์พูดถูกค่ะ เมื่อเลือดมือเลอะมือข้าแล้ว มันจะเปื้อนมือไปตลอดชีวิต”

                “แต่เจ้าไม่ได้มีส่วนกับความรุนแรงที่เมืองนี้กระทำต่อพวกดาร์คเนสดีวิลนะ” แร็กซ์ริงปลอบ

                “แต่ข้าก็เติบโตมาด้วยการหล่อหลอมจากเมืองนี้ ซึมซับสิ่งต่างๆ จากเมืองนี้มา เมืองที่ข้าเคยคิดว่าเป็นเมืองที่ดีที่สุดในอาณาจักร” ฟิเร็นดาพูดเสียงเบา “ในตอนนี้ ข้ากลับรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งสกปรกโสมม ล้างยังไงก็ไม่ออก ข้ารู้ว่าดาวดวงนี้มันไม่ได้สวยงาม แต่ไม่นึกว่ามันจะโหดร้ายถึงเพียงนี้ หลังจากนี้ ยามที่ข้ามองศิลปะวัฒนธรรมอันสวยงามของเมือง ข้าจะมองเห็นซากศพดาร์คเนสดีวิล มองเห็นผู้หญิงปีศาจถูกเผา มองเห็นทารกปีศาจถูกโยนทิ้งน้ำ”

                “อาจารย์เสียใจที่นำเสนอแต่ด้านดีๆ ของเมืองให้เจ้ารับรู้ อาจารย์ควรเป็นคนแสดงความจริงให้เจ้าเห็น ไม่ใช่ให้เจ้าต้องมารับรู้ด้วยวิธีนี้” แร็กซ์ริงถอนหายใจ “อาจารย์ยอมรับว่าตัวอาจารย์เองก็ไม่ภูมิใจในสิ่งที่ทำนักหรอก อาจารย์ปกครองเมืองอันไร้ยางอายนี้ตามแต่พระราชาจะสั่ง สิ่งใดที่แสดงถึงความโหดเหี้ยมของเมือง อาจารย์ก็ได้แต่แสร้งทำเป็นไม่สนใจ พวกนักบวชทำสิ่งใด ประชาชนทำสิ่งใด อาจารย์รู้หมด แต่ก็ไม่อาจไปห้ามได้ อาจารย์ต้องเชื่อฟังพระราชา”

                “แต่อาจารย์ไม่ผิดนี่คะ อาจารย์ต้องทำตามหน้าที่ อาจารย์ไม่มีทางเลือก” ฟิเร็นดาหันไปมองแร็กซ์ริง

                “แบล็กไรดิงฮู้ดพูดถูก ทุกคนล้วนมีทางเลือกของตน และทุกคนก็ต้องยอมรับความเจ็บปวดที่มากับทางเลือกนั้น” แร็กซ์ริงส่ายหน้า “ไม่มีใครบังคับให้อาจารย์ไปรับใช้พระราชา อาจารย์เลือกของอาจารย์เอง อาจารย์ทำเพราะยังต้องการรักษาอำนาจลาภยศ สุดท้ายแล้ว อาจารย์ก็ไม่ต่างจากมนุษย์คนอื่นๆ เลย”  

                “แต่อาจารย์ก็ยังเป็นคนที่ดีที่สุดที่ข้ารู้จักเสมอมาค่ะ” ฟิเร็นดายิ้มให้อย่างจริงใจ

                “จะบอกความลับอะไรให้นะลูกสาว” แร็กซ์ริงยิ้มตอบเธอ “เจ้าอาจเติบโตในเมืองนี้ ซึมซับสิ่งต่างๆ จากเมืองนี้มามากมาย แต่อย่าได้รู้สึกไม่ดีกับตัวเองเลย เพราะตลอดเวลาที่อาจารย์อบรบเจ้ามา อาจารย์ไม่เคยให้เจ้านับถือศาสนา ไม่เคยให้เจ้าสรรเสริญเจ้าชายไททอส ไม่เคยชี้นำเจ้าอย่างที่พระราชาคาดหวังเลยสักนิด เจ้าจึงไม่ได้ซึมซับสิ่งต่างๆ อย่างที่ควรจะเป็น ฟังดูอาจารย์คงทำหน้าที่ผู้สอนได้แย่มาก แต่บอกตรงๆ ว่า อาจารย์ไม่รู้สึกแย่เลยสักนิด”

                ฟิเร็นดายิ้มให้เขา แร็กซ์ริงลูบศีรษะศิษย์สาวอย่างเอ็นดู มีเสียงเรียกออกมาจากนอกห้องอาบน้ำ เป็นเสียงของสาวใช้

                “ท่านเจ้าเมืองแร็กซ์ริงคะ เจ้าเมืองซาโมโรว์ ริฟเฟอร์มาขอพบค่ะ”

                “อาจารย์ไปทำธุระก่อนนะ อย่าแช่น้ำนานล่ะเดี๋ยวเป็นหวัด” แร็กซ์ริงตบแก้มฟิเร็นดาเบาๆ แล้วเดินออกไปเร็วๆ

                บิลิส ริฟเฟอร์รออยู่ในห้องรับแขก เมื่อเห็นแร็กซ์ริงเดินเข้ามาในห้อง ก็รีบลุกขึ้นยืนทันที

                “พระราชาเดือดดาลแน่ ป่านนี้คงทราบข่าวแล้ว” ริฟเฟอร์พูด “ดาร์คเนสดีวิล ปีศาจที่มักจะอยู่ติดพื้นที่ ไม่ชอบออกนอกพื้นที่ของตน กลับบุกมาเหยียบดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของคนที่เคยกำราบพวกมัน”

                “พวกมันกล้าเหยียบ เพราะพวกมันคุ้นเคยกับพื้นที่เมืองนี้” แร็กซ์ริงนั่งเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า “พวกมันคุ้นเคยก็เพราะถูกเราเกณฑ์มาใช้แรงงาน ถูกบังคับให้มาส่งบรรณาการ เมืองเกือบทั้งเมืองถูกสร้างขึ้นมาด้วยแรงงานปีศาจทั้งนั้น”

                “สถานการณ์แย่แค่ไหน” ริฟเฟอร์ถาม

                “แย่มาก” แร็กซ์ริงตอบ “พื้นที่นอกกำแพงถูกพวกมันควบคุม หมู่บ้านเกษตรกร ยุ้งฉางที่ใช้เก็บรักษาผลผลิตหลังเก็บเกี่ยว ที่สำคัญที่สุดคือวิหารของเจ้าชายไททอส”

                “ข้างในนั้นมีสมบัติชาติที่หาค่ามิได้อยู่มากมาย และยังเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของประชาชน” ริฟเฟอร์พูดอย่างเคร่งเครียด “ศพของเจ้าชายไททอสก็อยู่ในนั้น”

                “ข้าถึงบอกว่ามันแย่มาก” แร็กซ์ริงกุมหน้าผาก

                “ท่านคิดว่าพวกดาร์คเนสดีวิลจะเจอศพเจ้าชายไททอสที่ซ่อนอยู่ไหม”

                “ถ้าพวกนั้นค้นหาด้วยการรื้อถอน ยังไงก็ต้องหาเจอ”

                “พวกนั้นเรียกร้องอะไร” ริฟเฟอร์ถามต่อ

                “พวกนั้นต้องการตัวเดอะ ทวินเฮดและเชลยศึกปีศาจทั้งหมด” แร็กซ์ริงตอบ

                “พระราชาไม่มีทางยอมแน่ ทวินเฮดเป็นอาวุธที่อันตรายมาก ปล่อยกลับไปเข้ามือคนอย่างแบล็กไรดิงฮู้ด รับรองได้ว่าหายนะบังเกิด” ริฟเฟอร์ว่า “แม็ค แรคแทนทินก็เป็นศัตรูอันดับหนึ่งของแฝดตัวติดนั่น เขาจะต้องทำทุกวิธีทางเพื่อกล่อมพระราชาลุงของเขา ไม่ให้ปล่อยอย่างแน่นอน”

                “แบล็กไรดิงฮู้ดจะตัดหัวตัวประกันทุกๆ หกชั่วโมง หากทวินเฮดยังไม่ถูกปล่อยตัว” แร็กซ์ริงพูด

                “พวกมันทำท่าจะบุกเข้ามาโจมตีเมืองไหม” ริฟเฟอร์ถาม

                “ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ถ้าพวกมันบุกเข้ามา อาจเป็นไปได้ว่าเราจะรับมือไม่ไหว กองกำลังป้องกันนครมีไม่เพียงพอ แล้วอย่าลืมว่าพวกมันเป็นทหารม้ากันทุกคน” แร็กซ์ริงพูด

                “ในตอนแรก เราต่างคิดว่าเทอร์ริน เฮนิเคมจะเล่นลูกไม้ ล่อกองเรือของเราออกจากฐานทัพเรือซาโมโรว์ เพื่อกองเรือของพวกมันอีกส่วนจะเข้าโจมตีฐานทัพเรือได้” ริฟเฟอร์ดื่มเหล้าในแก้ว “แต่ใครจะไปรู้ว่ามันไม่ใช่ ศัตรูทั้งสองของเราร่วมมือกัน พวกโฮเซ่ล่อกองเรือขึ้นเหนือ เพื่อเปิดทางให้พวกดาร์คเนสดีวิลเข้ามาโจมตีโอมิลรอนทางบก ในตอนนี้ทัพบกของเราก็เหลือไม่เพียงพอ คงต้องแบ่งกำลังพลจากทัพเรือขึ้นมาเสริม”

                “ทัพเรือส่วนใหญ่ กัปตันเท็มเปิลยกขึ้นเหนือไปแล้ว” แร็กซ์ริงเตือนความจำ

                “แต่ก็ยังเหลืออีกส่วนหนึ่ง รักษาการณ์อยู่ที่ฐานทัพเรือซาโมโรว์ หากนำมารวมกับกองกำลังของท่านที่เมืองนี้ ก็จะมีเพียงพอขับไล่พวกดาร์คเนสดีวิลไปได้” ริฟเฟอร์บอก “พระราชาจะต้องสั่งการให้ทำเช่นนี้แน่”

                “หากเรานำกองกำลังบุกเข้าไปหาพวกดาร์คเนสดีวิล ตัวประกันทุกคนจะถูกตัดหัวทันที” แร็กซ์ริงพูด “คงจะเริ่มจากพวกนักบวชก่อน เพราะพวกปีศาจเกลียดชังพวกนักบวชมาก”

                “พระราชาคงไม่ใส่ใจในเรื่องนี้นัก พระองค์เคยเห็นชีวิตนักบวชหรือชีวิตคนอื่นๆ สำคัญตอนไหนกัน” ริฟเฟอร์เดาได้

                “เมื่อกลุ่มประชาชนผู้เคร่งศาสนาลุกฮือ มันจะสำคัญตอนนั้นล่ะ” แร็กซ์ริงชี้แจง “เมื่อพวกเขาเห็นว่าพระราชาไม่ใยดีต่อชีวิตผู้สืบทอดศาสนา ความวุ่นวายเกิดขึ้นแน่ แบล็กไรดิงฮู้ดฉลาดกว่าที่เราคิด ที่ผ่านมาเราใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการปกครอง แต่ตอนนี้ เขาหันเครื่องมือนั้นกลับมาสั่นสะเทือนการปกครองของเราเสียเอง”

                “โชคดีจริงๆ ที่ซอร์โรร่าลูกศิษย์ของข้าเดินทางไปไอซ์เมส” ริฟเฟอร์พึมพำ “ไม่อย่างนั้น เธอได้อาจขอไปเป็นตัวแทนเจรจาสงบศึกกับพวกปีศาจ หรืออาจเข้าข้างพวกนั้นอย่างเปิดเผย สร้างความเกรี้ยวกราดให้พระราชาอย่างหนักเป็นแน่แท้”

                “เรียนท่านทั้งสอง” ทหารยามคนหนึ่งเดินเข้ามารายงาน “มีม้าเร็วจากพระราชวังมาแจ้ง ให้พวกท่านเดินทางเข้าเมืองหลวงด่วน พระราชาจะจัดประชุมครับ”

                “นั่นไง คิดไว้ไม่มีผิด” ริฟเฟอร์กลอกตา จับบ่าแร็กซ์ริง “ข้าเสียใจเพื่อนยาก ท่านเพิ่งจะเดินทางกลับมาไม่นาน ต้องบ่ายหน้าเข้าเมืองหลวงอีกแล้ว คราวนี้วุ่นวายกันยกใหญ่แน่”

 

************************

 

                พวกดาร์คเนสดีวิลช่วยกันสร้างค่ายชั่วคราวจนเสร็จ แนวกำบังต่างๆ ถูกสร้างจากซากบ้านเรือนและรูปปั้นในวิหาร รูปปั้นเจ้าชายไททอสขนาดใหญ่หน้าวิหารก็ถูกโค่นลงมาวางขวางเป็นแนวป้องกัน ส่วนใหญ่แล้ว วัสดุสร้างค่ายก็ถูกถอดแกะออกมาจากวิหาร พระราชามนุษย์คงโมโหอกแตกตายหากรู้ว่าเครื่องเรือนและประติมากรรมที่ทำด้วยทองคำและเงิน ถูกนำมาดัดแปลงเป็นเครื่องกีดขวางเสียหมดสิ้น ในตอนนี้วิหารจึงโล่งมาก การจู่โจมครั้งนี้พวกดาร์คเนสดีวิลนำกองกำลังมาสองส่วน ส่วนแรกไว้เพื่อต่อสู้ อีกส่วนหนึ่งเป็นกองเกวียนเปล่าๆ  มีหน้าที่ขนทรัพยากรที่ยึดได้กลับอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล ซึ่งนั่นก็คืออาหารพืชผลต่างๆ ที่พวกมนุษย์เก็บเกี่ยวไว้ในยุ้งฉางแต่ละหลัง พวกเขาไม่ใยดีทรัพย์สมบัติในวิหาร แต่พวกเขาให้ความสำคัญกับอาหารในยุ้งฉางมาก ภูมิประเทศภูมิอากาศที่หนาวเย็นแห้งแล้งของโฟรเซ็นทิเนล ทำให้ขาดแคลนอาหาร การขนอาหารเหล่านี้กลับไปจะช่วยแก้ปัญหาได้ระยะหนึ่งทีเดียว โซลิแทร์มีความสุขมากที่เห็นแอปเปิลบรรทุกอยู่เต็มลำเกวียน มีพืชผักอีกหลายชนิดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เขาสนอกสนใจลังผักที่เซซิลกำลังขน มันดูคล้ายๆ แอปเปิล

                “มันคืออะไรหรือ” โซลิแทร์ถามเซซิล “บางผลก็สีแดง บางผลก็สีม่วง บางผลก็สีเหลือง สวยน่ากินเป็นบ้า ข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลย”   

                “พริกหยวก” เซซิลตอบ “สมบัติล้ำค่าเลยล่ะ ข้าเองก็เพิ่งจะเคยเห็นผลจริงๆ ของมัน คนในเผ่าพันธุ์ของเราคงจะตื่นเต้นมากที่จะได้กินมัน”

                “ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ! พวกมนุษย์นี่ก็ประหลาด สนใจแต่ไอ้ของวาวๆ ที่กินใช้ไม่ได้ในวิหาร ขณะที่เพิกเฉยต่อสิ่งล้ำค่าที่มีอยู่ในโรงนาเต็มไปหมด” โซลิแทร์ผูกเชือกโยงวัวทั้งฝูงไว้กับท้ายเกวียน “พวกมันน่าจะสำนึกได้ว่า โชคดีแค่ไหนที่อาณาจักรมีแต่ความอุดมสมบูรณ์ ไม่เคยขาดแคลนอาหาร ถึงขั้นเอามาปาหัวข้าเล่นได้ทุกครั้งที่ข้านำบรรณาการมาส่ง พวกมันกลับขวนขวายวัตถุนอกกายที่ไร้ประโยชน์ อย่างทองคำเพชรพลอย”

                “ให้พวกมนุษย์ไปอยู่ที่เมืองฟรอสท์ฟลายสักสามวัน แล้วพวกมันจะเห็นคุณค่าของมันฝรั่งหนึ่งหัว มากกว่าทองคำหนึ่งตันเสียอีก” เซซิลต้อนหมูเข้าไปในเกวียน

                ทั้งคู่ช่วยกันขึงผ้าคลุมเกวียนสามเล่ม แล้วเดินกลับไปยังวิหารของเจ้าชายไททอส ที่ลานเบื้องหน้าวิหาร เชลยศึกทุกคนถูกมัดรวมกันอยู่ที่ฐานรูปปั้นอัศวินม้าขาวขนาดยักษ์ ซึ่งตอนนี้เหลืออยู่แค่ฐาน เพราะตัวรูปปั้นถูกโค่นไปทำแนวป้องกันแล้ว กัปตันมาซูลกำลังขนกระสอบต่างๆ มากองไว้ข้างหน้าลานทีละกระสอบ เขาพยักหน้าทักทายโซลิแทร์และเซซิลที่ขึ้นบันไดลานมา

                “ใครจะไปรู้ว่าพวกนักบวชจะมีเสบียงปัจจัยมากมายก่ายกองขนาดนี้” กัปตันมาซูลโยนกระสอบที่แบกอยู่ไปรวมในกอง “พวกมนุษย์นี่น่ารังเกียจ จะสถาบันทางการเมืองหรือสถาบันศาสนาก็หนีไม่พ้นการโกงกิน ปากก็อ้างว่าปฏิบัติธรรมเคร่งครัด แต่มือก็กอบโกยเอา ข้าพบเสื้อดันทรงของผู้หญิงในตู้เก็บคัมภีร์ด้วย นักบวชหลายคนคงได้มันติดไม้ติดมือมาจากหอนางโลม”

                “แก่จะตายอยู่แล้ว หัดรู้จักถนอมตัวกันหน่อย หัวใจจะวายตายเอานะ” โซลิแทร์ชักดาบออกมา ตบหน้านักบวชสองสามคนเบาๆ ด้วยด้านแบนของดาบ ทำเอาอีกฝ่ายตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว “แล้วนี่ทำไมทหารรักษาวิหารคนนี้ถึงถูกรองเท้าของตัวเองอุดปากด้วย แถมยังทำตาดุใส่ข้าอีก”

                สิ่งที่มัดรองเท้ากับปากทหารมนุษย์คนนั้นเป็นผ้ายืด โซลิแทร์จึงรั้งผ้ายืด ดึงรองเท้าออกจากปากทหารคนนั้นได้โดยไม่ต้องแก้ปม

                “อยากจูบปากแลกลิ้นกับข้าหรือไง” ทหารคนนั้นพ่นออกมาประโยคแรก “พวกเศษผ้าสีดำที่เป็นพรมเช็ดเท้าของมนุษย์--”

                “อ้อ เข้าใจแล้วว่าทำไม” โซลิแทร์ปล่อยรองเท้าดีดกลับเข้าปากทหารมนุษย์แทบหน้าหงาย

                “เจ้าพวกปีศาจโสมม พวกเจ้าจะต้องถูกสวรรค์ลงโทษจากการกระทำอันต่ำช้าทั้งหลายทั้งปวง” ประธานนักบวชซิทพึมพำในลำคอ ท่าทางอ่อนแรง แต่ยังเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้น นั่งคุกเข่าอยู่เพราะยังคงมีกระถางต้นไม้แขวนอยู่ที่คอ

                “ท่าทางท่านประธานนักบวชอยากมีรองเท้าในปากด้วย” โซลิแทร์พูดอย่างขบขัน “ในตอนนี้ค่ายชั่วคราวสร้างเสร็จแล้ว การลำเลียงเสบียงก็กำลังดำเนินไปด้วยดี สิ่งที่เราต้องทำต่อจากนี้ คือค้นหาสิ่งที่เจ้าชายไททอสเคยยึดจากเราไป เจ้าเคยได้ยินเรื่องคทาดำแห่งพันธมิตรไหม ประธานนักบวชชิท (Shit)”

                ประธานนักบวชซิทนิ่งเงียบ

                “แน่นอน เจ้ารู้จักมันดี” โซลิแทร์ยื่นหน้าไปหาอีกฝ่าย “และหากให้ข้าเดา มันคงถูกซ่อนอยู่ที่เดียวกับศพของเจ้าชายไททอส ฉะนั้นบอกข้ามา เจ้าซ่อนมันไว้ไหน”

                ประธานนักบวชไม่ตอบ ก้มหน้าไม่ยอมเงยหน้ามองโซลิแทร์

                “การหลบสายตา ไม่ได้ช่วยให้เจ้าหลบเลี่ยงคำตอบได้” โซลิแทร์จับสายกระถางต้นไม้ที่คล้องคอประธานนักบวชซิท เพื่อให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามอง มันเกี่ยวถูกสร้อยตลับที่ประธานนักบวชซิทสวมอยู่พอดี

                “อย่าแตะต้องมัน” ประธานนักบวชโวยวายลั่น

                “การตะคอก มักทำให้เสียเรื่องเสมอ” โซลิแทร์พูดอย่างพอใจ จ้องมองที่สร้อยคออีกฝ่ายอย่างสนใจ “อะไรหนอ ที่ทำให้สร้อยโลหะธรรมดามีความสำคัญต่อเจ้าขนาดนี้ มันก็ไม่ต่างจากเครื่องรางประจำศาสนาที่คล้องคอนักบวชทุกคน นอกเสียว่าสร้อยเส้นนี้ มันพิเศษกว่าเส้นอื่น”

                เขาเก็บดาบลงฝัก กระชากสร้อยออกจากคอประธานนักบวชซิท เปิดตลับออกสำรวจดูอย่างใกล้ชิด แล้วพบว่ามันสามารถกางออกเป็นรูปที่ดูคล้ายกุญแจ

                “ดูเหมือนว่าเราจะพบกุญแจสู่สุสานของเจ้าชายไททอสแล้ว” กัปตันมาซูลยื่นหน้ามาดู

                “มันใช้ไขอะไร” เซซิลหันไปจ้องหน้าประธานนักบวช ตอนนี้เขาไม่ได้สวมหมวกเกราะแล้ว จึงมองเห็นเขี้ยวเงาวับในปากชัดเจน

                ประธานนักบวชยังคงนิ่งเงียบ เขาทำเสียเรื่องไปรอบหนึ่งแล้ว จะทำผิดซ้ำสองไม่ได้

                “เข้าไปสำรวจดูในวิหารกันเถอะ” โซลิแทร์พยักหน้าให้ทั้งคู่

          พวกเขาสามคนเดินเข้าไปในวิหารที่ไม่เหลือเค้าโครงเดิมอีกต่อไป มันเสียหายและโล่งว่างเพราะหลายสิ่งหลายอย่างถูกขนออกไปสร้างเป็นแนวป้องกันรอบค่าย ตู้บริจาคล้มระเนระนาด เหรียญเงินกระจัดกระจายเต็มพื้น พวกดาร์คเนสดีวิลไม่เก็บไปสักเหรียญเพราะมันไม่มีค่าอะไรสำหรับพวกเขา ในห้องโถงวิหารอันกว้างขวางแห่งนี้ดูจะไม่เหลืออะไรน่าสนใจ มีแต่เสาต้นใหญ่ๆ ที่ค้ำเพดานสูงลิ่ว ซึ่งทั้งสามตรวจดูแล้ว ไม่มีกลไกซ่อนอยู่สักต้น ถัดจากห้องนี้ยังมีอีกห้องหนึ่งที่ใหญ่พอกัน เป็นห้องสำหรับประกอบพิธีกรรม มีรูปปั้นเจ้าชายไททอสขนาดมหึมาอยู่อีกฟากของห้อง ดูเป็นมนุษย์ร่างใหญ่ที่มีความสง่างามมีอำนาจราวกับเทพเจ้า สูงจนเกือบถึงเพดาน ข้าวของในห้องถูกขนออกไปหมดแล้ว ห้องจึงดูโล่งมาก มีเพียงพรมขนสัตว์ที่ปูอยู่บนพื้นหน้ารูปปั้นอย่างกว้างขวาง คงมีไว้สำหรับให้คนมาคุกเข่าบูชา มีโต๊ะยาวและถาดเครื่องเส้นวางอยู่หน้ารูปปั้น พวกดาร์คเนสดีวิลไม่เอามันไปทำเป็นแนวป้องกัน เพราะมันใหญ่เกินกว่าจะขนผ่านช่องประตูไปได้

          “มันชัดเจนมาก ถ้าข้าเป็นพวกมนุษย์ ข้าจะซ่อนกลไกไว้แถวๆ รูปปั้นนี่ล่ะ” กัปตันมาซูลออกความเห็น “มันเป็นตำแหน่งที่คนทั่วไปไม่เฉียดเข้าใกล้นัก”

          “ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นไปได้สูงว่ารูกุญแจจะเป็นส่วนหนึ่งของรูปปั้นเจ้าชายไททอส” เซซิลเงยหน้ามองรูปปั้นยักษ์ “ตรงไหนสักแห่ง”

          “ดูสิว่าข้าเจออะไร” โซลิแทร์พูดอย่างดีใจ ย่อตัวคุกเข่าลงไปที่พรมขนสัตว์ ถอดหน้ากากออก เอื้อมมือไปทางโต๊ะเครื่องเส้น

          เซซิลและกัปตันมาซูลรีบขยับเข้าไปหาทันที โซลิแทร์คงจะพบรูกุญแจ แต่เสียงกร๊อบก็ทำเอาทั้งคู่สะดุ้งถอยออกมา

          “สักหน่อยไหม” โซลิแทร์หันไปยื่นแอปเปิลแหว่งในมือให้ “เจอมันลูกหนึ่งในถาดเครื่องเส้น”

          “ข้ายอมรับว่า ข้าทนความเพี้ยนของท่านได้” กัปตันมาซูลถอนหายใจ “แต่บางครั้ง มันก็ทำข้าหงุดหงิดไม่น้อยทีเดียว บางมุขของท่าน ข้าก็ไม่ตลกนะ”

          “อย่าโมโหสิสหาย มันไม่ได้ช่วยให้ท่านหารูกุญแจเจอหรอกนะ” โซลิแทร์ยิ้ม กัดแอปเปิลอีกคำ เขี้ยวขาวเงาวับยังคงงอกยาวอยู่ในปาก

          “รูกุญแจอาจซ่อนอยู่ที่รูปปั้นนี้ก็จริง แต่เราจะหามันเจอได้ยังไง” เซซิลเงยหน้ามองรูปปั้น “รูปปั้นมหึมาขนาดนี้ คงใช้เวลาสำรวจนานและสำรวจได้ลำบากแน่”

          “ข้าจะลองสำรวจดูก่อน” โซลิแทร์คุกเข่าสำรวจบริเวณฐานรูปปั้นข้างหน้าเป็นส่วนแรก ดูจะไม่รีบร้อนอะไรเพราะมีแอปเปิลของโปรดให้กินไปพลางๆ “รูกุญแจไม่น่าจะอยู่สูงหรอก เพราะประธานนักบวชซิทคงปีนขึ้นไปไขไม่ไหว”

          “ข้าจะไปช่วยเร่งความเร็วในการค้นหาให้ท่านเอง” เซซิลทำแขนกากบาทให้ทั้งคู่ แล้วหันหลังมุ่งหน้าออกไปจากวิหาร เขี้ยวในปากงอกออกมาอีกครั้ง

          “ท่านจะไปไหนหรือ” กัปตันมาซูลถามไล่หลัง

          “จะไปกระทุ้งความจริงออกจากปากเหี่ยวๆ ของประธานนักบวชซิท” เซซิลตอบกลับ “ดูสิว่าจะจงรักภัคดีต่อซากศพของเจ้าชายผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้นานสักแค่ไหน หลังจากได้เห็นกรดเคมีของข้า ใกล้ๆ”

          “ข้าไปจัดการกับกระสอบพวกนั้นต่อให้เสร็จดีกว่า” กัปตันมาซูลทำแขนกากบาทให้โซลิแทร์ เดินตามเซซิลไปอย่างกระตือรือร้น เห็นชัดเลยว่าหาข้ออ้างไปดูประธานนักบวชซิทถูกเซซิลทรมาน

          “เหลือหัวของเขาให้ข้าตัดด้วยนะ ข้าสัญญากับพวกมนุษย์เรื่องนี้ไว้ ข้าต้องรักษาคำพูด” โซลิแทร์กัดแอปเปิลคำใหญ่ ตาก็มองสำรวจตามฐานรูปปั้นต่อไป ด้านหลังรูปปั้นเป็นมุมมืด ท่าทางจะสำรวจลำบาก หวังว่ารูกุญแจจะไม่ซ่อนอยู่แถวๆ นั้น เพราะเขาไม่มีทางสำรวจได้ละเอียดแน่

                บางอย่างสะท้อนเงาอยู่บนขอบถาดทองคำที่โต๊ะเครื่องเซ่นกำลังเคลื่อนไหว สาวผมสีเงินยาวถึงเอว ในชุดหนังสีดำเปิดเอวและเนินอกแอบซ่อนอยู่ด้านหลังรูปปั้น เธอปีนเกาะรูปปั้นอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าเล็กน้อย มือข้างหนึ่งที่ว่างอยู่ยกกระบอกลูกดอกจ่อปากเตรียมเป่า โซลิแทร์แสร้งทำเป็นไม่เห็น ก้มหน้าก้มตากัดแอปเปิลไปเรื่อยๆ แต่ความจริงแล้วกำลังรวบรวมสมาธิเตรียมตัวเต็มที่

                ลูกดอกพุ่งตรงเข้ามาหาเขา เขาเงยหน้าขึ้นยกแอปเปิลในมือรับลูกดอกไว้ได้อย่างพอดิบพอดี ปลายลูกดอกเจาะทะลุแอปเปิลห่างหน้าเขาไปเล็กน้อย วินาทีต่อมาสาวผมเงินคนนั้นก็กระโจนลงมาจากรูปปั้น พร้อมกับเงื้อกริชโค้งแทงลงมา โซลิแทร์ล้มลงไปนอนหงายบนพรมขนสัตว์โดยที่ร่างของผู้หญิงคนนั้นคร่อมทับอยู่บนตัว แขนซ้ายของเขายกขวางแขนที่ถือกริชของเธอ ส่วนมือขวาก็จ่อสนับหลังมือติดกรงเล็บเหล็กเข้าที่เอวเปลือยเปล่าของเธอ เธอจึงค้างอยู่ท่านั้น ตาสีเหลืองเลื่อนลงมามองที่กรงเล็บเหล็ก ริมฝีปากยิ้มน้อยๆ อย่างไม่ทุกข์ร้อน

                “ดูเหมือนว่า ข้าจะพลาดมาโจมตีคนที่ไวกว่าเสียแล้ว” ไวเซ็นเลื่อนสายตากลับมามองหน้าโซลิแทร์ พูดเสียงกระเส่าเพราะหอบหายใจ อกที่เบียดแน่นอยู่ในเสื้อหนังรัดรูปกระเพื่อมขึ้นลงตามการหายใจที่หนักหน่วง

                มือซ้ายของโซลิแทร์หยิบกริชออกจากมือขวาของเธอแล้วโยนทิ้งไปไกล มือขวาของเขายังคงจ่อกรงเล็บอยู่ที่สีข้างเธอ เขาส่งยิ้มเย็นๆ ให้ราวกับเป็นการทักทายแบบตลกร้าย

                “กำลังจะฆ่าข้าแล้วไม่ใช่หรือ” ไวเซ็นยิ้มให้ฝ่ายที่อยู่ใต้ตัวอย่างไม่เกรงกลัวความตาย “จะไม่พูดอะไรสักคำหรือไง สาวน้อย”

                “ข้าเป็นผู้ชายนะ” โซลิแทร์เลิกยิ้มทันที “โปรดสังเกตเขี้ยวกับลูกกระเดือกของข้าด้วย”

                “ขอโทษ ข้าไม่รู้” เธอหัวเราะ “คอเสื้อเกราะของท่านปกปิดมิดชิด แล้วหน้าท่านก็เหมือนผู้หญิงมาก กลิ่นเส้นผมก็คล้ายๆ ด้วย นึกว่าเป็นพวกสาวสวยที่สวมเกราะมาร่วมรบในสงครามเสียอีก”

                “ส่วนท่านก็เป็นสาวสวยสวมชุดหนังที่คอยบุกเข้าโจมตีคนสวมเกราะอย่างนั้นหรือ” โซลิแทร์ย้อน “ควรทราบด้วยว่าคนที่สวมเกราะมักจะเป็นนักรบในสงคราม การรบในสงครามทำให้มีทักษะการต่อสู้ และบางคนก็มีทักษะการต่อสู้ค่อนข้างสูง แน่นอนว่าท่านเงียบ ท่านว่องไว ท่านแข็งแรง ท่านมีทักษะการต่อสู้แต่ท่านไม่ใช่พวกที่จับดาบสู้กับข้าศึกนับร้อยในสนามรบ ข้ารู้ว่าท่านเป็นพวกซินซิสเทอร์ ถนัดเรื่องย่องเบา หรือเล่นงานทีเผลอมากกว่า” เขากราดสายตามองชุดที่เธอสวม เธอยิ้มมากขึ้นเล็กน้อยเมื่อสายตาของเขาไปสะดุดที่ร่องอกและหน้าท้องขาวเนียนของเธอ “ท่านคงคิดว่าการอยู่บนร่างคู่ต่อสู้นั้นทำให้ได้เปรียบ มันอาจใช้ได้ผลกับเผ่าพันธุ์อื่นที่ไม่ใช่ดาร์คเนสดีวิล แต่เราสันทัดเรื่องการต่อสู้แบบตั้งรับ เราถนัดให้คู่ต่อสู้โจมตีก่อนแล้วจึงโต้ตอบ ท่านรู้ไหม การเป็นฝ่ายอยู่ข้างล่างนั้น มันมีช่องทางตอบโต้มากทีเดียว”

                “แสดงว่าผู้ชายดาร์คเนสดีวิลชอบให้อีกฝ่ายอยู่ข้างบนอย่างนั้นสิ” ไวเซ็นหัวเราะอย่างขบขัน

                “อยู่ข้างบน” โซลิแทร์เสริม “และมีกรงเล็บจ่ออยู่ที่ท้อง”

                “รีรออะไรอยู่ล่ะ” เธอท้าทาย “ทำไมไม่ฝังกรงเล็บเข้ามาในร่างข้า แล้วมองดูข้าเลือดไหลลงไปท่วมตัวท่าน ข้าไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย”

                “เพราะข้าคิดว่าท่านมีสองทางเลือก ให้ข้าฝังกรงเล็บเข้าไปในร่างท่าน แล้วมองดูท่านเลือดไหลลงมาท่วมตัวข้า” โซลิแทร์พูด “หรือว่าเราจะแค่คุยกันเพลินๆ ข้าแทบไม่เคยได้คุยกับผู้หญิงเลย”

                “อย่างที่บอกไป ข้าไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย” เธอพูด “แต่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าท่านจะคุยอะไรกับข้า”

                “เยี่ยม” เขาพยักหน้า “แต่หากท่านเกิดอยากเปลี่ยนใจเลือกทางแรก ข้าก็ไม่ขัดข้อง”

                “หากจะคุยกันก็คงใช้เวลา” เธอเลื่อนสายตาไปมองที่เอว “ช่วยเอากรงเล็บออกไปจากเอวของข้าก่อนได้ไหม ข้าเกร็งสีข้างจนเมื่อยแล้ว”

                “แต่ข้าคิดว่ามันจะทำให้ข้าปลอดภัยกว่าเมื่อเอามันมาใกล้ๆ ตัวท่าน” โซลิแทร์กล่าว

                “งั้นเอาออกไปห่างๆ สักหน่อยก็ได้ ข้าจะได้ขยับตัวให้อยู่ในท่าที่สบายขึ้น”

                “ตามที่ท่านต้องการ” โซลิแทร์ถอยกรงเล็บออกห่างจากเอวของเธอเล็กน้อย “แต่เตือนไว้ก่อนนะ หากท่านคิดจะเชือดคอข้าทีเผลอ มันก็กลับมาแทงท่านได้ทันเสมอ”

                ไวเซ็นล้มตัวทิ้งน้ำหนักลงมาบนร่างของโซลิแทร์อย่างไม่เกรงใจ โซลิแทร์รู้สึกถึงอีกร่างที่แนบชิดและน้ำหนักที่กดทับลงมามากขึ้น แม้ว่าเขาจะสวมเสื้อเกราะแต่ก็สัมผัสได้ถึงจังหวะการหายใจของเธอ กลิ่นอายสาว รวมทั้งความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายเธอ เธอวางศอกข้างศีรษะเขาแล้วเท้าคางอย่างสบายอารมณ์ การที่ใบหน้าของเธอเข้ามาใกล้มากขึ้นทำให้เขาเห็นรอยแผลเป็นบางๆ สามขีดคล้ายหนวดแมวที่ข้างแก้มขวาของเธอ

                “ดูท่านตื่นเต้นหน่อยๆ นะ” เธอยิ้มอย่างขอเล่นด้วย “ไม่เคยแนบชิดผู้หญิงมากขนาดนี้สินะ”

                “แล้วมันเป็นเรื่องน่าอายหรือ” เขาวางท่าเรียบเฉย แต่รู้สึกว่ามีความอุ่นแผ่ออกมาจากแก้มทั้งสองข้าง มันเป็นสีชมพูขึ้นมาเล็กน้อย

                “มันเป็นเรื่องน่าเสียดาย” เธอมองรอยสีชมพูที่แก้มของเขาอย่างขบขัน “เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นความต้องการพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อ เหมือนกับที่ร่างกายต้องการอาหาร มันคงจะเป็นเรื่องโง่ที่จะฝืนทนอดอยากเอาไว้ เหมือนพวกนักบวชลัทธิงี่เง่าทั้งหลาย”

                “ข้าไม่ได้ฝืนทนอดอยากเหมือนพวกนักบวชลัทธิงี่เง่า ข้าไม่ชอบพวกนั้น และไม่มีอะไรเหมือนพวกนั้นสักนิด” โซลิแทร์พูดอย่างหงุดหงิด “ข้าแค่---เผ่าพันธุ์ข้ามีผู้หญิงน้อย แล้วชีวิตของข้าก็ไม่พบเจอเพศตรงข้ามมากนัก ข้าไม่ได้เดินทางไปทั่วทุกสารทิศแบบท่าน หรือมีเสน่ห์มากมายแบบท่าน” เขาเลื่อนสายตาไปที่อกของเธอ เธอยิ้มมุมปาก “จึงไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเพศตรงข้ามมากเหมือนท่าน”

                “เพศเดียวกันข้าก็ยุ่งเกี่ยวนะ” เธอเสริม

                “ช่างเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์และใจกว้างอะไรเช่นนี้” โซลิแทร์ส่ายหน้ายิ้มๆ “ยกเว้นตอนที่พยายามจะฆ่าข้า ซึ่งท่านคงอยากอธิบายว่า ทำไมถึงต้องทำแบบนั้น”

                “เพราะท่าน” เธอเอื้อมมือไปหยิบสร้อยของประธานนักบวชซิท ที่ตกอยู่บนพรมข้างตัวโซลิแทร์ “มีสิ่งที่ข้าต้องการ”

                “สร้อยโลหะถูกๆ จะมีค่าอะไรสำหรับท่าน” โซลิแทร์ถามอย่างรู้ทัน

                “ข้าก็ไม่ได้บอกว่าสร้อยเส้นนี้มีค่า” เธอวางสร้อยลง แล้วหันมายิ้มให้เขา

                “เช่นนั้น ท่านก็คงต้องการนำสร้อยเส้นนี้ไปทำอะไรสักอย่าง” โซลิแทร์ยิ้มตอบอย่างเล่นด้วย “หากจะให้เดา ข้าคิดว่าท่านคงใช้มันเป็นกุญแจสู่อะไรสักอย่าง ซึ่งในวิหารแห่งนี้ มันก็ซ่อนของอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ศพของเจ้าชายไททอส”

                “เคยได้ยินเรื่องคทาศักดิ์สิทธ์ไหม เจ้าชายไททอสจะถือมันเวลาแต่งตัวเต็มยศ” ไวเซ็นเอามืออีกข้างที่ว่างอยู่เล่นปลายผมโซลิแทร์เพลินๆ“หัวคทาทำด้วยเพชรเม็ดใหญ่เท่ากำปั้น ยามที่สัมผัสน้ำจะเปล่งแสงระยิบระยับแม้จะอยู่ในความมืด หลายคนจึงเรียกมันว่า เพชรน้ำ

                “ท่านเสี่ยงชีวิตตัวเองเข้ามาที่นี่ เพียงเพื่อหินไร้ประโยชน์นี่หรือ” โซลิแทร์กลอกตาอย่างเบื่อหน่าย “ท่านมีเชื้อสายดาร์คเนสดีวิลเหมือนกับข้า แต่กลับทำตัวไร้สาระเหมือนผู้หญิงมนุษย์”

                “ท่านไม่ใช่ดาร์คเนสดีวิลแท้หรอกหรือ ข้าดูไม่ออกเลยว่าท่านมีเชื้อสายของเผ่าพันธุ์อื่นด้วย”

                “แม่ของข้าเป็นฟอเรสเทอร์ ข้าเป็นเลือดผสมดาร์คเนสดีวิลกับฟอเรสเทอร์เหมือนกับท่าน” โซลิแทร์อธิบาย “แต่ข้าไม่ใช่ลูกครึ่งเหมือนท่าน ข้ามองไม่เห็นในที่มืด ไม่มีส่วนประกอบของร่ายกายฟอเรสเทอร์มากนัก ข้ามีความเป็นดาร์คเนสดีวิลมากกว่าในอัตราส่วนที่สูงมาก ข้าเป็นดาร์คเนสดีวิลเกือบทั้งตัว”

                “สรุปแล้วแบล็กไรดิงฮู้ดก็ไม่ใช่ปีศาจแท้ๆ สินะ” เธอเล่นผมเขาไปเรื่อยๆ“ความจริงแล้ว ภายใต้หน้ากากอันน่าเกลียดน่ากลัว เขาก็เป็นแค่เด็กผู้ชายหน้าหวานที่ไม่เคยมีอะไรกับผู้หญิงมาก่อน อายุเท่าไหร่แล้วล่ะหนุ่มน้อย”

                “ข้าว่าโตพอที่จะเอากรงเล็บเหล็กแทงท่านได้นะ” โซลิแทร์สวนกลับ

                “ทำไมไม่เอากรงเล็บออกไปไกลๆ แล้วแทงข้าด้วยสิ่งที่เหมาะสมกว่าล่ะ” ไวเซ็นยื่นหน้าเข้ามาใกล้

                “ข้าอาจไม่คุ้นเคยกับผู้หญิง แต่ข้าก็พอเดาได้ว่าผู้หญิงแบบไหนจะฉวยโอกาสปาดคอข้าตอนที่ข้าอ่อนแรง และมองดูข้านอนแห้งตายอยู่ใต้ตัวเธอ” โซลิแทร์ยิ้มให้เธอ เขี้ยวคมกริบเงาวับอยู่ในปาก

                “ท่านไม่ค่อยไว้ใจคนอื่นมากสินะ” ไวเซ็นหรี่ตาลง “ข้าสัญญาว่าจะไม่ปาดคอท่าน แต่ไม่สัญญานะ ว่าท่านจะไม่อ่อนแรงและนอนแห้งตายอยู่ใต้ตัวข้า”

                “ท่านชอบเรื่องแบบนี้มากสินะ” โซลิแทร์ยิ้ม ทำตาโต

                “แล้วท่านไม่ชอบหรือไง” ไวเซ็นย้อน

                “คงไม่ชอบมากมายเท่าท่าน”

                “ชีวิตข้าเสมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย เต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ใครจะไปรู้ว่าตายในวันไหน ข้าก็ควรฉกฉวยความสุขทุกครั้งที่มีโอกาสไม่ใช่หรือ” ไวเซ็นว่า “ชีวิตของท่านก็ต้องผจญอันตรายไม่ต่างจากข้า ชีวิตนักรบไม่ใช่ชีวิตที่ยืนยาวนักหรอกนะ เมื่อชีวิตดำเนินไปข้างหน้า มันก็ถอยหลังไม่ได้ ท่านควรหาความสุขให้ชีวิตทุกครั้งที่มีโอกาสเหมือนกันนะ”

                “ข้ากำลังทำอยู่” โซลิแทร์บอก “สิ่งที่ทำให้ข้ามีความสุข คือการไม่ต้องตกอยู่ใต้อำนาจใคร ไม่ต้องมีใครมาบังคับ หลุดพ้นจากคนที่เราเกลียด และแข็งแกร่งพอที่จะกันไม่ให้คนที่เราเกลียดมามีอิทธิพลต่อเราได้อีก นั่นคือสิ่งที่ข้าปรารถนามากกว่าความสุขอื่นๆ ในตอนนี้”

                “แล้วสิ่งใดล่ะ ที่ท่านปรารถนาจากสุสานฝังศพของเจ้าชายไททอส” ไวเซ็นถาม “ท่านพยายามค้นหาที่ซ่อนสุสาน ท่านต้องการอะไรจากเจ้าชายไททอส”

                “คทาของบรรพบุรุษข้า ที่เจ้าชายไททอสเคยยึดไป มันคงจะถูกเก็บอยู่ในสุสานร่วมกับสมบัติชิ้นอื่นๆ ของเจ้าชายไททอส” โซลิแทร์ตอบ “สำหรับท่านมันคงเป็นแค่แท่งโลหะไม่มีค่าอะไร แต่เมื่อข้านำมันกลับไปที่โฟรเซ็นทิเนล มันจะช่วยเพิ่มขวัญและกำลังใจให้แก่พวกพ้องของข้า มันจะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่า พวกมนุษย์ยึดเอาสิ่งที่เป็นของเราไป เราก็แข็งแกร่งพอที่จะนำมันกลับคืนมาได้ในที่สุด มันจะเป็นเครื่องเตือนใจว่า เราเคยมาเหยียบเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเหยียบเรามาช้านาน”

                “เบื่อจริงๆ สงคราม” ไวเซ็นหาว หนุนศีรษะลงบนคอเสื้อเกราะของโซลิแทร์ ทำเป็นหลับ“ใครจะแพ้ ใครจะชนะ ใครจะเหยียบใคร ใครจะกำจัดใคร ข้าไม่เคยสนใจเรื่องงี่เง่าพวกนี้เลย ไม่เกี่ยวกับข้าสักนิด”

                “ท่านฉลาดแล้วที่ไม่ยุ่งกับสงคราม บางครั้งมันก็ไม่ใช่สิ่งที่สนุกนักหรอก” โซลิแทร์เริ่มจะรู้สึกเคอะเขินมากขึ้น เมื่ออีกฝ่ายทำเหมือนกับเขาเป็นฟูกนอนส่วนตัว“เป็นนักล่าสมบัติเช่นนี้ไปเรื่อยก็ดีแล้ว เฝ้าดูข้ากับพวกมนุษย์เอาดาบฟาดใส่กันอยู่ห่างๆ คงจะสนุกกว่าเยอะ ไม่ต้องเข้ากับฝ่ายไหน มีอิสระอย่างที่ใจต้องการ แต่เมื่อต้องยุ่งเกี่ยวกับข้าโดยบังเอิญอย่างเช่นตอนนี้ เราก็พยายามหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งกันให้มากที่สุดดีไหม ถึงอย่างไรเราก็มีเลือดดาร์คเนสดีวิลเหมือนกัน และข้าก็ไม่ชอบที่จะมีปัญหากับผู้หญิง ฉะนั้นเรามาตกลงกันดีๆ นะ” เขาลดกรงเล็บลง “ไม่จ่ออาวุธใส่กัน ไม่รุนแรงต่อกันอีก ข้าจะให้คทาไร้สาระของเจ้าชายไททอสแก่ท่าน หากท่านพาข้าเข้าไปในสุสานฝังศพของเจ้าชายไททอส” มือข้างหนึ่งเอื้อมไปหยิบสร้อยของประธานนักบวชซิทส่งให้เธอ เธอผงกศีรษะขึ้นมามองสร้อย“ท่านรู้วิธีใช้มันใช่ไหม”

                “รู้” ไวเซ็นรับสร้อยไป ยิ้มชายตา

                “งั้นก็ช่วยลุกออกจากตัวข้าที เราจะได้เริ่มค้นหาสมบัติกัน”

                “ไม่รู้สิ” ไวเซ็นวางศีรษะลงที่เดิมอย่างหยอกเล่น“ข้าเริ่มจะชอบอยู่ตรงนี้เสียแล้ว มันสบาย แล้วก็ตลกดีด้วยเวลาเห็นท่านเขิน”

                “แล้วท่านรู้ไหม ว่าท่านตัวหนัก” โซลิแทร์ยิ้มกระพริบตา“โดยเฉพาะส่วนบน”

                “อ้อนวอนข้าสิ ข้าชอบการอ้อนวอน” ไวเซ็นทำเสียงล่องลอย

                “ได้โปรด จะให้ข้าเรียกท่านว่าแม่ก็ได้ ช่วยยกอกหนักๆ ออกไปจากตัวข้าที ก่อนที่ข้าจะต้องเปลี่ยนกางเกงตัวใหม่”

                ไวเซ็นหัวเราะ พลิกตัวออกไปจากร่างของโซลิแทร์ เอื้อมมือไปเก็บกริชของตนกลับมาเสียบที่เข็มขัด โซลิแทร์ลุกขึ้นนั่ง หยิบหน้ากากใต้ผ้าคลุมมาสวม

                “ข้าควรเรียกท่านว่าอะไรล่ะ” เขาลุกขึ้นยืน จะช่วยประคองแขนอีกฝ่ายให้ยืนขึ้นด้วย แต่เธอก็ลุกขึ้นมาได้เอง

                “เรียกข้าว่าไวเซ็นก็พอ” เธอตอบ สะบัดผมสีโลหะเงินให้อยู่ทรง เงยหน้ามองอีกฝ่ายที่สูงกว่า “ท่านสูงมากเลยสำหรับเด็กผู้ชายวัยนี้ข้าว่าข้าสูงแล้วนะ แล้วยังใส่รองเท้าส้นสูงด้วย อายุเท่าไหร่แล้วล่ะหนุ่มน้อย”

                “สามสิบสองปี” โซลิแทร์บอก “และหากไม่เป็นการรบกวนท่านจนเกินไป โปรดเลิกเรียกข้าว่าหนุ่มน้อยที ข้าไม่ได้อ่อนวัยกว่าท่านมากนักหรอก ข้าชื่อแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม”

                “แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม ช่างเป็นนามสกุลที่ยาวและความหมายหลุดโลกจริงๆ”

                “ข้าไม่ใช่คนตั้ง”

                “รู้ไหมแบล็กกี้” ไวเซ็นปรายตา “ตอนข้าอายุเท่าท่าน ข้าได้สัมผัสไออุ่นจากผู้หญิงแล้ว”

                “คนสวยๆ อย่างท่านย่อมมีแรงดึงดูดเสมอ ไม่ว่ากับผู้หญิงหรือผู้ชาย” โซลิแทร์ไม่ใส่ใจ “ส่วนข้าไม่ได้โชคดีหรือใจกว้างเหมือนท่าน ข้าไม่ได้ชอบเพศเดียวกัน และไม่ค่อยมีเพศตรงข้ามมาชอบนัก”

                “สวมหน้ากากน่ากลัวเกือบจะตลอดเวลาอย่างนั้น ใครจะชอบท่านได้ล่ะ” ไวเซ็นเดินไปที่หลังรูปปั้นในมุมมืด ลูบมือไปบนฐานรูปปั้นตามลายสลักเหมือนหาอะไรสักอย่าง โซลิแทร์มองไม่เห็นว่าเธอทำอะไรอยู่เพราะเขามองไม่เห็นในที่มืดเหมือนเธอ

                “ข้ารู้สึกเป็นตัวของตัวเองเมื่อสวมมัน ถึงอย่างไรข้าก็พบเจอกับฝ่ายตรงข้าม บ่อยกว่าเพศตรงข้าม” โซลิแทร์ยื่นหน้ามองเธอ “ให้ข้าส่องไฟให้ไหม”

                “ข้าเป็นลูกครึ่งฟอเรสเทอร์ ข้ามองเห็นในที่มืดและมองเห็นในที่สว่างชัดเจนพอกัน” เธอตอบ

                “โชคดีทีเดียวที่มีสายตาแบบนั้น” โซลิแทร์ว่า “ท่านได้แต่ส่วนดีๆ ของทั้งสองเผ่าพันธุ์”

                “แล้วท่านล่ะ ได้ลักษณะแปลกๆ มากจากไหน” เธอยื่นหน้ามามองสำรวจเขา “ดวงตาของท่านใสสะท้อนเหมือนกระจก ผมก็เป็นสีเหมือนทองที่ถูกหลอมใหม่ๆ ไม่มีดาร์คเนสดีวิลคนไหนมีผมกับตาแบบนี้หรอกนะ ไม่มีเผ่าพันธุ์ไหนมีแบบนี้ด้วยซ้ำ ใช้อะไรย้อมผมกับใส่อะไรเข้าไปในตาหรือ”

                “ข้าไม่ได้ย้อมผม ไม่ได้ใส่อะไรเข้าไปในตา มันเป็นผลข้างเคียงจากอำนาจพิเศษที่ข้าได้รับ”

                “นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ดวงตาของท่านเรืองแสงในที่มืดด้วยใช่ไหม สวยดีข้าชอบ ทำให้ท่านดูเหมือนผู้หญิงมากขึ้นไปอีก จริงๆ เลยนะ ถ้ามองแค่หัว ข้าคงใช้เวลานานมากกว่าจะรู้ว่าท่านไม่ใช่ผู้หญิง”

                “ท่านนี่ฝังใจอะไรกับผู้ชายที่หน้าเหมือนผู้หญิงหรือเปล่า” โซลิแทร์พูดอย่างอ่อนใจ

                “ข้าก็แค่สนใจในของสวยๆ งามๆ เป็นนิสัยของพวกเราซินซิสเทอร์” ไวเซ็นยังคงหาบางอย่างที่อยู่หลังรูปปั้น “ข้าก็เหมือนกับท่านล่ะแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม ไขว่คว้าสิ่งที่ตนปรารถนา ดำเนินชีวิตไปตามทิศทางของพรสวรรค์และความสามารถที่มีอยู่ในตัว ท่านพยายามอย่างหนักเพื่อไขว่คว้าอิสรภาพและความแข็งแกร่ง ข้าก็พยายามอย่างหนักเพื่อไขว่คว้าวัตถุที่ข้าต้องการ”

                “ตามความเห็นข้า การยึดติดกับวัตถุมันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงนะ” โซลิแทร์บอก “แต่แน่ล่ะ เคยมีคนบอกข้าว่า ผู้หญิงคือเพศที่ยึดติดกับวัตถุอย่างเหนียวแน่น และเป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยากที่สุดในดาวดวงนี้ ฉะนั้น ข้าจะไม่พยายามเข้าใจล่ะว่าเหตุใดท่านถึงเสี่ยงชีวิตเพียงเพื่อหินวาวๆ ก้อนใหญ่นี่ อีกทั้งยังเลือกเข้ามาขโมยได้ผิดเวลามาก เลือกเอาวันที่วิหารถูกโจมตีพอดี”

                “เลือกวันได้ฉลาดต่างหาก” ไวเซ็นแย้ง “วิหารแห่งนี้ถูกเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด มีการจัดเวรยามแน่นหนาตลอดเวลา ข้าแทบจะหาช่องทางไม่ได้ ทางเดียวที่จะเข้ามาได้ ก็คงต้องใช้กำลังบุกเข้ามาตรงๆ ฆ่าทุกคนที่ขวางทาง ซึ่งท่านกับพวกพ้องก็ช่วยทำสิ่งนี้ให้ข้า ในระหว่างที่พวกท่านกำลังต่อสู้กับพวกทหารยาม ข้าก็ลอบเข้ามาได้สบายๆ  แต่ติดปัญหาที่กุญแจที่ใช้เปิดประตูสุสานนั้นคล้องคออยู่ที่ประธานนักบวชซิท ซึ่งท่านก็ได้ตัวเขาก่อน ข้ารู้ว่าพวกท่านเกลียดชังเขาอย่างรุนแรง จึงซ่อนตัวอยู่ในวิหารกะว่าจะรอจนกว่าท่านจะเชือดคอเขาแล้วทิ้งศพไว้ แต่เมื่อข้าเห็นท่านกลับเข้ามาที่นี่อีกครั้งพร้อมกับกุญแจและพยายามใช้มัน ข้าก็ตระหนักแล้วว่าแผนกำลังจะพัง จึงรอจนท่านอยู่คนเดียวแล้วบุกเข้าโจมตีอย่างที่เห็น”

                “ไม่คิดว่าแผนของท่านมันเสี่ยงไปหน่อยหรือ” โซลิแทร์เตือน

                “อย่างที่ข้าบอกไป ข้าใช้ชีวิตโลดโผน ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย” ไวเซ็นพูดอย่างท้าทาย “ชีวิตมันต้องเสี่ยงบ้างจึงจะมีรสชาติ นักรบอย่างท่านก็ไม่น่าจะปฏิเสธความท้าทายเช่นกันนะ”

                “ข้าไม่รังเกียจความท้าทาย พร้อมที่จะเผชิญกับความยากลำบากและศัตรูที่เหนือกว่าทุกเมื่อ แต่ข้าไม่ชอบความเสี่ยง” โซลิแทร์บอก “การทำสิ่งเสี่ยงๆ มันต้องอาศัยโชค ซึ่งโชคก็ไม่เคยเข้าข้างข้าเลยสักครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าประสบความสำเร็จล้วนมาจากการดิ้นรนอย่างหนักและสู้ทนต่อโชคร้ายที่ชอบโผล่มาขวางทางมากกว่าคนอื่นๆ ข้าเกลียดการพนัน เกลียดทุกอย่างที่อาศัยโชค เพราะข้าไม่เคยพึ่งพาโชคได้เลย โชคต่างหากที่คอยทำข้าซวยโดยไม่จำเป็นอยู่บ่อยๆ”

                “โถ น่าสงสาร พ่อหนุ่มสวยผู้ไร้โชค มิน่าถึงหาผู้หญิงไม่ได้สักคน เพราะเรื่องการหาคู่นั้นมันอาศัยโชคมากกว่าสิ่งอื่น” ไวเซ็นหัวเราะ นำสร้อยของประธานนักบวชซิทไปทำอะไรสักอย่างกับฐานรูปปั้นด้านหลัง มีเสียงลงสลัก แล้วรูปปั้นขนาดมหึมาก็ค่อยๆ เลื่อนถอยหลัง เผยให้เห็นบันไดลับที่อยู่ใต้รูปปั้น มันนำพาไปสู่อุโมงค์ลับ เธอฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีแล้วไปยืนอยู่เบื้องหน้าบันได

                “ข้าขอลงไปก่อน” โซลิแทร์ก้าวขาลงไป หงายมือซ้ายขึ้น มีเปลวไฟสีเขียวซีดๆ ลุกติดขึ้นมาบนถุงมือหุ้มเหล็ก เขาจำเป็นต้องอาศัยแสงในอุโมงค์มืดๆ แห่งนี้ เพราะไม่ได้มีดวงตากลางคืนเหมือนไวเซ็น

                “เป็นสุภาพบุรุษมาก แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องกับดักกลไกหรอก ข้างล่างนี้ปลอดภัย” ไวเซ็นลงบันไดตามมา

                “ท่านรู้เกี่ยวกับอุโมงค์ลับนี้ได้ยังไง แล้วรู้วิธีเปิดทางลับได้ยังไง” โซลิแทร์หันไปถามอย่างสงสัย “ข้าคิดว่าความลับแบบนี้น่าจะมีคนรู้แค่ไม่กี่คน รู้เฉพาะนักบวชวงในเท่านั้น”

                “ท่านให้ความสำคัญกับตำแหน่งสูงมากเกินไป บางครั้ง คนที่อยู่ต่ำที่สุดก็มีบทบาทไม่แพ้คนที่อยู่สูงๆ” ไวเซ็นยิ้มร่า “จริงอยู่ อุโมงค์ลับนี้ควรถูกเก็บเป็นความลับ แต่มันก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเก็บของมีค่าไว้มากมาย มันย่อมต้องการการทำความสะอาด อย่างน้อยก็เดือนละครั้ง ซึ่งท่านคิดว่าเหล่านักบวชผู้สูงส่งจะลงไปคลานขัดพื้น หรือนำสมบัติแต่ละชิ้นมานั่งเช็ดถูหรือ สุดท้ายแล้วก็ต้องอาศัยพวกสาวใช้ ประธานนักบวชซิทจะคอยทำหน้าที่เปิดทางลับให้พวกสาวใช้ลงไปทำความสะอาด พวกเธอย่อมเห็นว่าเขาเปิดมันยังไง และรับรู้ว่าในอุโมงค์แห่งนี้มีอะไรบ้าง ก็ต้องรู้อยู่แล้วล่ะ เมื่อต้องทำความสะอาดมันทุกซอกทุกมุม บางครั้งถ้าสะอาดไม่พอ ก็จะถูกพวกนักบวชจอมจู้จี้สั่งให้ทำใหม่อีกรอบ”

                “ท่านจึงไปเก็บข้อมูลจากพวกสาวใช้หรือ” โซลิแทร์ถาม

                “แค่คนเดียว คนที่ข้านอนด้วย” ไวเซ็นแก้ไขด้วยรอยยิ้ม “ท่านคงไม่เชื่อหรอกว่าสาวใช้บางคนนั้นสวยกว่าพวกลูกสาวเจ้าเมืองเสียอีก”

                ตามผนังอุโมงค์มีคบไฟแขวนอยู่จนสุดทาง เปลวไฟสีเขียวในมือของโซลิแทร์กระจายพุ่งออกไปติดบนคบไฟแต่ละอัน ด้านข้างอุโมงค์มีตู้กระจกใส่เครื่องประดับอัญมณีเต็มสองด้าน ทั้งเสื้อคลุมทอง รองเท้าเงิน สร้อยทอง เครื่องประดับแพงๆ มากมายที่เคยเป็นของเจ้าชายไททอส ตลอดจนชุดเกราะหลายตัวและอาวุธที่ทำด้วยวัตถุแพงๆ ไวเซ็นถอดคบเพลิงอันหนึ่งออกจากผนังและฟาดใส่ตู้กระจกบานหนึ่งกระจกตู้แตกเป็นเสี่ยงๆ เธอหยิบเอาสร้อยและแหวนบางชิ้นโกยใส่กระเป๋าด้านหลังเสื้อนอก มันถูกออกแบบให้เหมือนเป้เล็กๆ

                “นึกว่าท่านมาเพื่อเพชรน้ำอย่างเดียวเสียอีก” โซลิแทร์ว่า

                “เพชรน้ำคือของที่องค์กรของข้าต้องการ มันหาค่ามิได้” ไวเซ็นขยับเสื้อเกาะอกให้เข้าที่ “ส่วนเครื่องประดับพวกนี้สามารถตีราคาได้ มันจะช่วยซื้อเสบียงและปัจจัยต่างๆ ได้มากมาย”

                “ฟังดูมันมีค่ายิ่งกว่าเพชรน้ำเสียอีก” โซลิแทร์ตั้งข้อสังเกต “อย่างน้อยมัน ก็ซื้อสิ่งที่มีประโยชน์ได้”

                “แล้วท่านไม่คิดจะเอาสิ่งที่มีประโยชน์จากที่นี่ไปบ้างหรือ” ไวเซ็นชี้ไปตามชุดเกราะหลายตัวในตู้กระจก รวมทั้งอาวุธต่างๆ ที่ทำด้วยทองคำประดับเพชร

                “ข้าดูเหมือนตัวตลกที่อยากมีตัวระยิบระยับเวลาโดนแสงแดดหรือไง รู้ไหมว่ามันดูงี่เง่ามากในสนามรบ” โซลิแทร์ไม่สู้ศรัทธา “ข้าไม่คิดว่าไอ้สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในตู้นี้คือชุดเกราะหรืออุปกรณ์สงคราม คิดว่ามันก็คือเครื่องประดับไม่ต่างจากสร้อยเชยๆ หรือแหวนหวานแหววในตู้ข้างๆวัสดุที่ใช้สร้างมันขึ้นมาไม่มีความแข็งแกร่งเลย แล้วดูดาบเล่มนั้นสิ ไอ้โง่ที่ไหนเอาทองมาทำอาวุธกัน รู้กันอยู่ว่าทองคือแร่ที่เปราะบาง ข้าเดาว่าเจ้าชายไททอสคงจะสวมเครื่องประดับพวกนี้ในยามที่จะต้องไปปรากฏตัวต่อประชาชนหรือในงานพิธีปัญญาอ่อนทั้งหลาย ถ้าเขาสวมพวกมันเข้าไปในสนามรบ มั่นใจได้เลยว่าอยู่ไม่ถึงห้านาทีแน่”

                “แล้วท่านไม่เบื่อสีดำบ้างหรือ” ไวเซ็นมองไปตามชุดเกราะและผ้าคลุมของโซลิแทร์

                “ดูสิว่าใครเป็นคนพูด” โซลิแทร์ผงกศีรษะไปทางชุดหนังสีดำของไวเซ็น

                “สีดำทำให้ข้าพรางตัวได้ง่าย” ไวเซ็นหมุนตัวอย่างอารมณ์ดี “แล้วก็ทำให้ข้าดูร้อนแรง”

                “ข้าก็เหมือนกัน” โซลิแทร์บอก

                ไวเซ็นหัวเราะชอบใจ โซลิแทร์มองไปจนสุดอุโมงค์ พบโลงศพทองคำที่แกะสลักลวดลายสวยงามฝาโลงสร้างเป็นรูปราชสีห์สวมมงกุฎนอนหมอบอยู่ โซลิแทร์ไม่สนใจโลงศพนัก ความสนใจของเขาอยู่ที่ตู้กระจกใบสุดท้าย มันมีไม้คทายาวอันหนึ่งตั้งอยู่ เป็นคทาสีดำ ด้ามคทามีลายคล้ายหางปีศาจ หัวคทาเป็นปีศาจกางปีกกางกรงเล็บแยกเขี้ยว เป็นคทาที่มีลักษณะคล้ายสามง่าม

                “คทาดำแห่งพันธมิตร วัตถุแห่งความอัปยศของเซ็นเทอริอัส แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” โซลิแทร์เดินเข้าไปหาตู้กระจก ชี้ไปที่หัวคทา “เห็นที่ปากปีศาจไหม มันมีไว้สำหรับใส่ลูกแก้วพันธมิตร ลูกแก้วที่เจ้าชายไททอสสัญญาว่าจะมอบให้เขา สิ่งที่น่าขันก็คือเขาอุตส่าห์ตั้งหน้าตั้งตาสร้างคทาไว้เตรียมรองรับวัตถุแห่งเพื่อนจากอีกฝ่าย แต่แทนที่จะได้รับลูกแก้ว กลับถูกยึดคทาและตกเป็นอาณานิคมแทน ข้าถึงบอกท่านไงว่าการยึดติดกับวัตถุมันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ดูสิว่าไอ้วัตถุกลมๆ ลูกเล็กๆ นั่นทำให้บรรพบุรุษข้าตกอยู่ในสภาพอย่างไร”

                “วัตถุชิ้นเดียวกัน ย่อมมีความหมายต่อแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบของมีค่าเพราะมันขายได้ราคาสูง แต่บางคนเช่นข้า ก็ชอบมันเพราะมันให้ความรู้สึกเป็นมิตร เหมือนกับว่ามันเป็นเพื่อนของข้า” ไวเซ็นขึ้นไปนั่งไขว่ห้างบนฝาโลงศพบริเวณที่เป็นหลังราชสีห์ มือลูบไล้ไปบนหัวราชสีห์ทองคำ “บางที ท่านอาจพบว่าสิ่งไม่มีชีวิตนั้น ให้ความสบายใจมากกว่าสิ่งมีชีวิต อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าสิ่งเหล่านี้จะคิดยังไงกับเรา มันดูแลรักษาง่ายกว่ากันเยอะ”

                “ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิต ข้าก็ไม่เคยกังวลว่าจะคิดยังไงกับข้าเช่นกัน ข้าคือจุดศูนย์กลางของตัวข้า และข้าก็จะไม่ยอมเปลี่ยนตัวตนเพราะความคิดคนอื่น” โซลิแทร์ฟาดตู้กระจกด้วยถุงมือหุ้มเหล็ก แล้วหยิบคทาดำแห่งพันธมิตรออกมา ความยาวของมันพอๆ กับหอก “ความจริงแล้ว คทาด้ามนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรกับข้านัก แต่ในเมื่อมันมีความหมายต่อคนในเผ่าพันธุ์ของข้า มันช่วยสร้างขวัญและกำลังใจแก่พวกเขา ซึ่งก็เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของข้าและผู้นำคนอื่นๆ ข้าก็ยินดีที่จะนำมันกลับไป”

                “มันดูไม่ค่อยมีราคาเท่าไหร่” ไวเซ็นมองคทาอย่างพิจารณา “มันมีความพิเศษอะไรไหม”

                “ก็แค่สามารถเปลี่ยนเป็นธาตุอากาศและเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง---”

                “อธิบายเป็นภาษาที่ฟังรู้เรื่องด้วย ข้าไม่เก่งวิทยาศาสตร์”

                “ข้าสามารถวางมันไว้สักที่ในโฟรเซ็นทิเนลและให้มันมาปรากฏบนมือข้าได้” โซลิแทร์บอก “แต่ทั้งข้าและคทาจะต้องอยู่ในเขตพื้นที่อาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลทั้งคู่จึงจะทำแบบนี้ได้”

                “แล้วมันดีตรงไหน กับการให้คทามาปรากฏในมือได้ตามที่ต้องการแบบนี้” ไวเซ็นอ้าปากหาว “จะใช้มันตีหัวใครสักคนหรือ ข้าว่าท่านก็พกดาบอยู่ตลอดเวลานะ”

                “ข้าก็ไม่ได้บอกว่ามันดีวิเศษอะไร สุดท้ายแล้วมันก็แค่แท่งโลหะยาวๆ บรรพบุรุษของข้าคงขี้เกียจหอบมันไปไหนตลอดเวลา เขาคงจะอยากเอาคทาออกมาแสดงได้ทุกเมื่อยามที่ต้องการ” โซลิแทร์วางคทาพาดกับผนัง “แต่อย่างน้อย ตราบที่อยู่ในเขตโฟรเซ็นทิเนล ข้าก็สามารถเรียกมันมาใช้ได้ทุกเมื่อ ไม่ต้องหอบไปหอบมาให้เกะกะ ถ้าข้าได้ใช้มันทำอะไรสักอย่างนะ”

                เขาเดินเข้ามาพิจารณาโลงศพทองคำที่ไวเซ็นนั่งอยู่ เธอยิ้มให้เขา มือลูบไปบนหลังราชสีห์ทองคำ

                “เจ้าชายไททอสนี่คงเป็นโรคเสพติดทองคำ อะไรๆ ก็ทำด้วยทองคำ” โซลิแทร์กราดสายตามองโลงศพที่ไวเซ็นนั่งไขว่ห้างอยู่ “ท่านรู้ไหม ท่านกำลังเอาก้นทับเจ้าชายมนุษย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ปราบปีศาจ ผู้เป็นต้นแบบของอัศวินม้าขาวในนิทานนะ”

                “ข้าก็เคยเอาหน้าอกทับผู้นำปีศาจตัวร้าย ที่ยกพลมาถล่มเมืองศักดิ์สิทธ์ของเจ้าชายคนนี้ด้วยไม่ใช่หรือ” ไวเซ็นขยับขาออกจากท่าไขว่ห้าง แล้วยื่นหน้าไปหาโซลิแทร์

                “เห็นชัดเลยว่าท่านมีความสุขยามอยู่บนตัวคนอื่น”

                “พวกคนที่อยู่ใต้ตัวข้าก็มีความสุขเหมือนกัน” ไวเซ็นกระโดดลงจากฝาโลง ก้าวเข้ามาชิดตัวโซลิแทร์

                “อาจมีบางคนที่ไม่รู้สึกอย่างนั้น” โซลิแทร์ยิ้มอยู่หลังหน้ากาก

                “แล้วท่านเป็นหนึ่งในบางคนหรือเปล่า”

                “เปล่า”

                ไวเซ็นหัวเราะชอบใจ โซลิแทร์ออกแรงดันฝาโลงให้เปิดออก มันค่อยๆ เลื่อนเปิดช้าๆ เพราะทำด้วยทอง มีน้ำหนักมาก คาดว่าสิ่งที่อยู่ในโลงจะส่งกลิ่นเหม็นเสียอีก แต่มันไม่มีกลิ่นใดๆ เลย เป็นโครงกระดูกมนุษย์สีขาวโพลนแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างดี ศีรษะสวมมงกุฎทองประทับตราราชสีห์คำราม มือที่มีแต่โครงกระดูกประสานกันอยู่ที่อก โซลิแทร์ดันฝาโลงออกไปหล่นลงพื้นดังโครมทำเอาพื้นหินอ่อนร้าว สิ่งที่ทำด้วยทองไม่ได้มีน้ำหนักเบาๆ

                “สวัสดีเจ้าชายไททอส หลับสบายดีไหม การนอนอยู่ในที่มืดๆ แบบนี้มันไม่ดีต่อผิวนะ รู้จักไปรับสารอาหารจากแดดบ้าง อ้อ! ลืมไป เจ้าไม่มีผิวแล้วนี่” โซลิแทร์ตบแก้มหัวกะโหลกเบาๆ“ดูนี่สิ ใครจะไปรู้ว่าเจ้าชายผู้ทรงเกียรติและศักดิ์สิทธิ์จะมีฟันเกมากขนาดนี้ มิน่าถึงไม่มีใครจำลองรูปตอนเขาอ้าปากเลย หวังว่าภรรยาของเขาจะไม่ลำบากตอนจูบปากเขานักนะ”

                “ท่านแข็งแรงกว่าที่ข้าคิดเสียอีก” ไวเซ็นมองฝาโลงที่หงายอยู่บนพื้นร้าวๆ “ทองคำหนักๆ ชิ้นนั้นน่าจะใช้คนมากกว่าหนึ่งคนถึงจะขยับเขยื้อนได้นะ”

                “หากท่านได้เข้าใกล้โฟรเซ็นทิเนลบ้าง ท่านจะพบว่าปีศาจรุ่นใหม่นั้นแข็งแรงขึ้นและห้าวหาญขึ้น” โซลิแทร์หายใจหนักเล็กน้อยเพราะเพิ่งออกแรงดันของหนัก “พวกมนุษย์กดขี่เรามานานแสนนาน จนเราลืมไปว่าตนเองมีพลังแค่ไหน ซึ่งจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว เสียใจด้วยนะไททอสเพื่อนเก่า” เขาหันไปพูดกับศพในโลง “เจ้ามีเท้าใหญ่ขนาดไหน ก็เหยียบเราไม่ได้ตลอดไปหรอก”

                “มันดูไม่หนักสำหรับท่านเท่าไหร่เลยนะ” ไวเซ็นตั้งข้อสังเกต “ท่านไม่ส่งเสียงเวลาออกแรงเลย”

                “มันก็หนักสำหรับข้าอยู่นะ ทองชิ้นใหญ่ขนาดนั้น มันจะไม่หนักสำหรับใครบ้างล่ะ เพียงแต่ข้าไม่ชอบส่งเสียงเวลาออกแรง ประการแรกมันดูงี่เง่า ประการที่สอง สู้เอาแรงที่ใช้ในการส่งเสียงมาเพิ่มให้ที่มือแขนขาจะเข้าท่ากว่า ประการที่สาม หากเป็นการใช้แรงขณะต่อสู้” โซลิแทร์ชี้แจง “คู่ต่อสู้ก็คงเดาทางท่านได้จากเสียงร้องหมด อย่างที่ข้าเดาได้ ตอนที่ท่านเข้ามาโจมตีข้า ท่านร้องเสียงดังลั่นตอนออกแรงแทงกริช”

                “ข้าร้องดังกว่านั้นอีกตอนออกแรงทำอย่างอื่น” ไวเซ็นหันไปยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่เขา

                “เรื่องนั้นข้าก็พอจะเดาได้เหมือนกัน” โซลิแทร์ส่ายหน้ายิ้มๆ หันกลับไปหาศพในโลง “น่าสนใจนะ ทั้งโครงกระดูกและเสื้อผ้าดูสะอาดสะอ้าน อยู่ในสภาพค่อนข้างดี”

                “ได้ยินว่าพวกมนุษย์จะหมั่นเปิดโลงเพื่อทำความสะอาดศพ มันจึงไม่เหม็นเน่า” ไวเซ็นบอก

                “กระดูกถูกเคลือบไว้ด้วยสารสังเคราะห์ ไม่ให้มันผุกร่อน” โซลิแทร์ดึงมือข้างหนึ่งออกมาจากศพ ดูใกล้ๆ แล้วโยนข้ามหัวทิ้งไป “พวกมนุษย์นี่เก่งจริงๆ เรื่องการทำนุบำรุงคนตาย แต่กลับปล่อยคนเป็นให้อดอยากหรือส่งไปตายในสงครามง่ายๆ นึกไม่ออกเลยว่าจะสิ่งมีชีวิตไหนในดาวดวงนี้ ที่ใช้สิ่งที่ตนมีได้สิ้นเปลืองและเปล่าประโยชน์ได้เท่าพวกมนุษย์”

                “สวัสดีจ้ะ” ไวเซ็นเอื้อมมือไปหยิบสิ่งหนึ่งที่อยู่ในมืออีกข้างของเจ้าชายไททอส ทักทายมันราวกับเป็นคนรักคนใหม่ของเธอ มันคือคทาด้ามสั้นที่ทำด้วยทองคำ ยอดคทาเป็นรูปสิงโตสวมมงกุฎสองตัวเกาะอยู่ข้างเพชรเม็ดใหญ่เท่ากำปั้น แสงระยิบระยับของมันสะท้อนอยู่ในดวงตาสีน้ำเงินของโซลิแทร์

                “นี่หรือ คือสิ่งที่ท่านค้นหา” โซลิแทร์กลอกตาอย่างเบื่อหน่าย

                “มันสวยใช่ไหม” ไวเซ็นเอาคทาแนบอกอย่างรักใคร่ “เคยเห็นสิ่งที่สวยกว่านี้ไหมล่ะ”

                “กำลังเห็นอยู่” โซลิแทร์พูดยิ้มๆ ตามองสิ่งที่ไวเซ็นนำคทาไปแนบ

                “ข้าต้องการแค่เพชรน้ำ” ไวเซ็นชักกริชออกมา มองหามุมแงะเอาเพชรออกจากคทา

                “ไม่เอาไปทั้งคทาเลยล่ะ มันก็ทำด้วยทองนะ”

                “คทาทั้งด้ามมันใหญ่เกินกว่าจะใส่กระเป๋าเสื้อนอกได้ แล้วทองมันก็ไม่มีอะไรพิเศษนัก หาได้ง่ายๆ” ไวเซ็นมองหาจุดที่จะแงะ “อย่างที่ข้าบอกไป ข้าต้องการแค่เพชรน้ำ”

                “ขออนุญาตช่วยนะ” โซลิแทร์หยิบคทามาฟาดกับขอบโลงทองคำ ขอบโลงบิ่น คทาส่วนที่เป็นสิงโตหัก เพชรกระเด็นหลุดออกมา เขาคว้าไว้ได้กลางอากาศแล้วส่งให้ไวเซ็น “อย่างที่ข้าบอกไป ทองเป็นแร่ที่เปราะบาง”

                “ท่านทำเหมือนกับมันทำได้ง่ายๆ” ไวเซ็นรับเพชรไปด้วยรอยยิ้ม “เหมือนกับคทาทำด้วยไม้”

                “ก็แค่อาศัยทักษะในการฟันดาบ บางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้องออกแรงมาก แค่ใช้ความเร็วที่เหมาะสมและอาศัยมุมที่ถูกต้อง อำนาจการทำลายของมันจะสูงพอๆ กับการใช้แรงมากๆ” โซลิแทร์อธิบาย “แล้วส่วนที่เป็นสิงโตก็บางนิดเดียวด้วย สิ่งหนาๆ ที่มีบางส่วนที่บาง มันแตกหักได้ง่ายกว่าที่คิด ข้าทดสอบกับบันไดยาวของพวกมนุษย์มาแล้ว” เขามองไปรอบๆ “ว่าแต่เราจะรู้ได้ไงว่านี่คือเพชรน้ำ แถวนี้มีน้ำไหม”

                ไวเซ็นยกเพชรจ่อปาก แล้วลากลิ้นลูบไล้เพชรอย่างนุ่มนวล โซลิแทร์มองตาค้าง เพชรก็ค่อยๆ เปล่งระยิบระยับออกมา แม้จะอยู่ในเงามืด มันก็ยังเปล่งแสงระยิบระยับราวกับมันกำเนิดแสงเล็กๆ ได้เอง

                “ถ้าท่านทำอย่างนั้นอีกรอบ ข้าคงได้หัวใจวายตายตั้งแต่ยังหนุ่ม” โซลิแทร์พูดเสียงเบา

                “ข้าบอกท่านไปหรือยัง ว่าข้าใช้ลิ้นเก่งมาก” ไวเซ็นหันมายิ้มให้เขา

                “ยัง” โซลิแทร์พูด “แต่ตอนนี้ข้าก็รู้ชัดแล้วล่ะ”

                ไวเซ็นเอาเพชรใส่กระเป๋าเสื้อนอก เดินขึ้นบันไดอุโมงค์กลับไปสู่ห้องบูชาอย่างอารมณ์ดี โซลิแทร์เดินตามเธอไป ถือคทาดำแห่งพันธมิตรไปด้วย ห้องบูชายังคงสงบเงียบเหมือนเดิม เพียงแต่รูปปั้นขนาดมหึมาของเจ้าชายไททอสดูไม่น่าเกรงขามอีกต่อไปแล้ว ไม่อีกต่อไป หลังจากที่พวกเขาได้ไปเห็นตัวจริงที่เป็นโครงกระดูกนอนหมดสภาพอยู่ในโลง สุดท้ายแล้ว ทุกชีวิตก็หลีกหนีความเสื่อมไม่พ้น จะยิ่งใหญ่ค้ำฟ้ามาจากไหน ก็ต้องลงไปนอนเป็นซากศพกันทุกคน

                “ทำไมท่านถึงชอบเดินส่ายก้นด้วย” โซลิแทร์หันไปถามไวเซ็น

                “อีกข้อมูลที่ผู้ชายควรรู้ ผู้หญิงที่ใส่รองเท้าเสริมส้นก็เดินส่ายก้นกันทั้งนั้นแหละ” ไวเซ็นยิ้มอย่างมีเลศนัย “แต่ท่านคงไม่รู้ว่าข้าเดินส่ายก้นหรอกใช่ไหม ถ้าไม่คอยจ้องมัน”

                “ข้าก็ไม่ได้บอกว่าไม่ได้คอยจ้องมัน”

                “งั้นข้าคิดว่าการที่ข้าเดินส่ายก้น มันก็คงไม่เป็นปัญหาสำหรับท่าน”

                “อาจจะเป็น ถ้าท่านเลิกทำ”

                “นี่สุดสวย” เธอคว้าแขนเขาให้หันไปหา แล้วก้าวเข้ามาประชิดตัว “ท่านอาจยังบริสุทธิ์อยู่ แต่ท่านก็รู้จักยอกย้อนมุขตลกสกปรกของข้าได้อย่างถูกจังหวะ หยอกล้อเล่นกับข้าได้อย่างสนุกสนาน แล้วก็รู้จักกวนประสาทให้ข้าได้หัวเราะ ท่านไม่ใช่พวกผู้ชายที่แสร้งทำตัวเป็นสุภาพบุรุษแต่ในใจคิดสกปรกร้อยแปด ท่านแสดงมันออกมาได้อย่างตลกขบขันไม่น่าเกลียด แล้วท่านก็หน้าสวยกว่าผู้หญิงครึ่งหนึ่งที่ข้าเคยมีอะไรด้วยเสียอีก ข้าคิดว่าเราสองคนมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกันมากทีเดียว ข้าไม่ได้พูดถึงเรื่องมิตรภาพหรือความรักนะ คงรู้ใช่ไหมว่าข้าพูดถึงเรื่องอะไร”

                “ข้าไม่รู้หรอกว่าอะไรของข้าดึงดูดท่าน” โซลิแทร์งึมงำ “แต่ข้ารู้ชัดเจนเลยว่า อะไรของท่านดึงดูดข้า”

                “ท่านไม่จำเป็นต้องปิดหน้าปิดตาตลอดเวลาอย่างนี้หรอก หน้ากากของท่านมันน่ากลัว” ไวเซ็นเอื้อมมือเข้ามาใกล้หน้ากากโซลิแทร์ จะถอดมันออก โซลิแทร์ก้าวถอยหลังไปพิงเสา เธอก้าวเข้ามาชิดตัวเขาแล้วจะถอดหน้ากากอีกครั้ง เขาสะบัดหน้าหนีเป็นครั้งที่สอง

                “เป็นอะไรไป มือข้ามีอะไรหรือ” ไวเซ็นขมวดคิ้ว ยกนิ้วตัวเองขึ้นมาดู

                “ข้าเสียใจ ข้าไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องหน้ากากตอนที่ข้าสวมมันอยู่ มันทำให้ข้ารู้สึกไม่ปลอดภัย” โซลิแทร์กระซิบ “ข้ารู้ว่ามันเป็นอาการแปลกๆ แต่ท่านก็คงทราบว่าข้าไม่ใช่คนที่มีจิตใจปกตินัก”

                “ท่านเป็นอัจฉริยะแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม และไม่มีอัจฉริยะคนใดหรอกที่มีจิตใจปกติ” ไวเซ็นยิ้มให้เขา ลดมือลง “สาบานได้ว่าถ้าข้าไม่ใช่สาวสวยสุดร้อนแรง ท่านคงฟันมือข้าขาดไปแล้ว”

                “ข้าคงจะฟันคอท่านขาดด้วยหากท่านเป็นผู้ชายมนุษย์” โซลิแทร์บอก

                “ต่อให้พวกนั้นไม่มาจับหน้ากากท่าน ท่านก็ฟันคอพวกนั้นอยู่ดี”

                “ก็จริง”

                “พวกเชลยที่ท่านจับตัวไว้” เธอถาม “จะฆ่าทุกคนเลยไหม”

                “ถ้าหากพวกมนุษย์ยกพลบุกเข้ามา เราก็ต้องรักษาคำพูด เราจะฆ่าทุกคน” โซลิแทร์ตอบ “ท่านไม่อยากให้ข้าฆ่าพวกนั้นหรือ”

                “ข้าอยาก” ไวเซ็นบอก “พวกนั้นรู้เกี่ยวกับข้าและเพชรน้ำมากเกินไป”

                “เป็นไปได้สูงที่มันจะเป็นไปตามที่ท่านต้องการ” โซลิแทร์ว่า “พวกมนุษย์ไม่ชินกับการถูกกดดัน พวกมันถนัดแต่เรื่องกดดันคนอื่น พวกมันคงทนให้เราลบหลู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่นาน แล้วก็ยกพลเข้ามาขับไล่ โดยไม่สนว่าเชลยจะตายหรือไม่ ถึงอย่างไรพวกมันก็ไม่ให้ความสำคัญเรื่องชีวิตของพวกเดียวกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

                เสียงร้องโหยหวนของประธานนักบวชซิทดังมาจากนอกวิหาร เขาทั้งร้องไม่เป็นภาษาและสวดอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ปกป้องตนจากปีศาจร้าย โซลิแทร์ถอนหายใจส่ายหน้าอย่างรำคาญ

                “อย่างน้อยก็มีคนร้องครางเสียงดังกว่าท่านแล้ว” เขากระชับคทาดำในมือขวา แล้วก้าวเดินตรงไปยังประตูห้องโถง ไวเซ็นยิ้มอย่างขบขันแล้วเดินตามไป

                “รู้ไหม ทำไมข้าถึงมีฉายาว่าเดอะ เจสเทอร์” เซซิลกระซิบ แต่เสียงเหี้ยมเกรียมจับใจ แม้เขาถอดหมวกเกราะและผ้าเหล็กปิดปากออกแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลดความน่ากลัวลงเลย เขี้ยวเงาวับงอกอยู่ในปาก ดวงตาสีเทาเย็นชาไม่มีแววปรานีแม้แต่น้อย เขายืนอยู่ข้างหน้าแท่นที่เคยตั้งรูปปั้นทองแดงของเจ้าชายไททอสซึ่งบัดนี้มีประธานนักบวชซิทนอนตัวสั่นอยู่แทน แต่ก็สั่นมากไม่ได้เพราะตาข้างหนึ่งถูกเซซิลนำหลอดแก้วมาเอียงจ่อใกล้กับดวงตา สารเคมีสีเขียวในหลอดเดือดปุดๆ เมื่อสัมผัสอากาศ มันเหมือนจะหยดออกจากขอบหลอดแก้วลงมาใส่ตาประธานนักบวชซิทได้ทุกเวลา ซึ่งขอบหลอดแก้วก็อยู่ห่างจากตาไปไม่ถึงครึ่งเซ็นติเมตร “เพราะตอนหนุ่มๆ นั้นข้าขี้เล่นมาก ทำทุกคนได้หัวเราะ เห็นทุกอย่างเป็นเรื่องตลกได้ตลอดเวลา” มือที่ถือหลอดเคมีของเขานิ่งมากไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ขณะที่ประธานนักบวชซิทกลัวจนเหงื่อท่วมตัว “แต่ก็มีหลายเรื่องที่ข้ามองเป็นเรื่องตลกไม่ออก หลายเรื่องที่นักบวชผู้ศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเจ้าทำพวกผู้หญิงดาร์คเนสดีวิลถูกมัดกับฟืนแล้วเผาทั้งเป็นเพราะพวกเจ้าตราหน้าว่าเป็นแม่มด พวกเด็กทารกดาร์คเนสดีวิลแรกเกิดที่พวกเจ้านำไปโยนทิ้งในแม่น้ำ พวกชายดาร์คเนสดีวิลที่ถูกพวกเจ้านำไปฝังดินทั้งเป็นและยังมีอะไรอีกมากมายที่พวกเจ้าทำเพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพวกเจ้า ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ! ข้ามองยังไงก็ขำไม่ออกเลย ดูเหมือนว่าตอนนี้เจ้าก็ขำไม่ออกเหมือนกัน”

                “ข้าแด่พระผู้เป็นเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ โปรดปกป้องข้าจากปีศาจร้าย” ประธานนักบวชซิทสวดอ้อนวอน เสียงสั่นแทบฟังไม่ออก ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ “โปรดฉายแสงสว่างต่อข้า เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย โปรดลงโทษพวกเลือดสีดำ นำพวกมันกลับคืนสู่นรก--”

                “ได้ผลไหม มีอะไรเกิดขึ้นไหม” เซซิลถามอย่างสนใจ “ไม่เห็นมีอะไรงอกขึ้นมาปกป้องเจ้าจากข้าเลย ท่าทางเจ้าจะท่องผิดนะ” เขาเอียงหลอดเพิ่มอีกเล็กน้อย ประธานนักบวชซิทเริ่มจะสวดไม่เป็นภาษา “นอกจากจะเป็นตัวตลกแล้ว ข้ายังเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องธาตุเคมีด้วย ข้าผสมตวงสารเคมีมาเป็นล้านๆ ครั้ง ต้องอาศัยสมาธิและความละเอียดอ่อน มือของข้าจึงนิ่งและมั่นคงมาก ข้าสามารถนำสารเคมีนี่เข้าไปจ่อใกล้ตาเจ้าได้มากกว่านี้อีกรู้ไหม และเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง เมื่อมีสักหยดได้สัมผัสกับผิวตาของเจ้า เจ้าจะตระหนักว่า ดวงตานั้นมีเส้นประสาทเยอะขนาดไหน” ประธานนักบวชซิทเริ่มสวดอ้อนวอนไม่ออก ตัวแข็งด้วยความกลัวสุดขีด “บางคนบอกว่าข้าเป็นพวกหัวรุนแรง เพราะข้ามักจะผสมสารเคมีที่มีอานุภาพทำลายล้างขึ้นมาเสมอ สารเคมีชนิดนี้ก็เช่นกัน มันไม่ค่อยมีผลต่อหลอดแก้วหรือของแข็ง แต่มันมีผลต่อเนื้อหนังเป็นพิเศษ การถูกแต่ละหยดเผาไหม้เข้าไปทีละนิดๆ มันสุดแสนจะทานทนได้ มั่นใจได้เลยว่าความนิ่งของมือข้าจะทำให้แต่ละหยดนั้น ตกลงไปบนจุดที่มีเส้นประสาทมากที่สุดทางเดียวที่จะหยุดมันได้ คือบอกมาว่าไอ้สิ่งที่เคยคล้องคอเจ้านั้น มันจะนำเราไปสู่สุสานของเจ้าชายไททอสได้อย่างไร หากยิ่งช้า หลอดของข้าก็จะยิ่งเอียงไปเรื่อยๆ”

                กัปตันมาซูลที่ยกของผ่านมานั้น ชนเข้าที่หลังเซซิล เซซิลเซไปข้างหน้าเล็กน้อย สารเคมีในหลอดกระฉอกออกไปสองสามหยด มีหยดหนึ่งตกใส่เส้นผมของประธานนักบวชซิทที่กระเซิงสยายอยู่บนแท่น ทำเอามันละลายเป็นวงเล็กๆ ควันขึ้นเล็กน้อย กลิ่นผมไหม้ลอยมาเข้าจมูก ต้องนับถือในความมือนิ่งของเซซิลจริงๆ มันคงจะหกใส่หน้าประธานนักบวชซิทหมดหลอดหากเขาไม่ควบคุมมือเก่งขนาดนี้ส่วนประธานนักบวชนอนสั่นเกร็งทั้งตัว เสื้อคลุมท่อนล่างเริ่มเปียกแฉะ

                “อภัยให้ด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจ” กัปตันมาซูลหัวเราะ เขี้ยวเงาวับอยู่ในปาก

                “ท่านตั้งใจ” เซซิลส่ายหน้า “หากว่ามันหยดลงไปเต็มตาประธานนักบวชมนุษย์ขึ้นมาจะทำอย่างไร”

                “ประธานนักบวชมนุษย์มีตาสองข้างไม่ใช่หรือ” กัปตันมาซูลเสนอ

                “จริงด้วย ข้าลืมคิดไป” เซซิลพยักหน้าอย่างนึกได้ “จะว่าอะไรไหมถ้าท่านจะแกล้งมาชนอีกรอบคราวนี้ข้าจะระมัดระวังให้น้อยลง”

                “ใครจะไปคิดว่าประธานนักบวชมนุษย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้เป็นตัวแทนของลัทธิอันศักดิ์สิทธิ์ ผู้ซึ่งเป็นผู้นำความเชื่อของมวลมนุษย์ จะฉี่รดตัวเองเหมือนเด็กทารก และร้องดังลั่นเหมือนสุนัขถูกเหยียบหาง”

                เซซิลและกัปตันมาซูลหันไปมองตามเสียงและพบว่าโซลิแทร์ยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา มือข้างหนึ่งถือคทาดำแห่งพันธมิตร มีไวเซ็นยืนอยู่ข้างๆ

                “ทุกท่าน” โซลิแทร์ขยับคทาในมืออย่างอารมณ์ดี “ดูสิว่าข้าได้อะไรมา”

                “แล้วท่านได้อะไรมาล่ะ” กัปตันมาซูลถาม เขากับเซซิลไม่ได้มองที่คทา แต่จ้องไปที่ไวเซ็นตาค้าง ประหลาดใจว่าเธอโผล่มาได้ยังไง

                “เธอชื่อไวเซ็น เป็นซินซิสเทอร์ ลอบเข้าไปในวิหารในตอนที่พวกเรากำลังต่อสู้กับพวกมนุษย์ แล้วเธอช่วยให้ข้าพบสุสานของเจ้าชายไททอส และคทาดำแห่งพันธมิตร” โซลิแทร์แนะนำ “ไวเซ็น สองคนนี้คือสมาชิกคณะผู้นำแห่งโฟรเซ็นทิเนล อาจารย์เซซิล เดอะ เจสเทอร์ และกัปตันมาซูล เดอะ สโนว์ฟ็อกซ์”

                “เดอะ สโนว์ฟ็อกซ์ เดอะ เจสเทอร์ เดอะ แบล็กไรดิงฮู้ด” ไวเซ็นไล่ไปทีละคนอย่างขบขัน “เป็นธรรมเนียมของคณะผู้นำแห่งโฟรเซ็นทิเนลว่าจะต้องมีฉายาประหลาดๆ กันหรือ”

                “ไม่จำเป็นต้องเป็นคณะผู้นำโฟรเซ็นทิเนลก็มีฉายาได้ แค่ได้เป็นที่รู้จักของคนมากๆ ก็พอ ส่วนใหญ่จะรู้จักในแง่ลบเสียด้วย” กัปตันมาซูลพูด “ซึ่งข้าเชื่อว่าต้องมีคนตั้งฉายาให้ท่านด้วยเหมือนกัน”              

          “คนส่วนใหญ่มักเรียกข้าว่านางตัวแสบ(Bitch)” ไวเซ็นพูดอย่างอารมณ์ดี “ก็ไม่เลวนักหรอก ฟังดูยั่วยวนดี”

                “เชื่อข้าเถอะ ต่อให้ท่านมีฉายาว่ารถเข็นปุ๋ยคอก ท่านก็ยังยั่วยวนอยู่ดี” โซลิแทร์ยิ้มกลอกตา

                “เธอเป็นหนึ่งในพวกเรา” เซซิลพิจารณาลักษณะของไวเซ็น

                “เธอแค่มีเชื้อสายเผ่าพันธุ์ของเรา แต่ไม่ได้อยู่ในสังกัดเผ่าพันธุ์ของเรา” โซลิแทร์ฝากคทาไว้กับเซซิลแล้วไปช่วยกัปตันมาซูลยกของ “เธอเกิดและใช้ชีวิตนอกอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลมาตลอด อย่างที่บอกไป เธอเป็นสมาชิกขององค์กรซินซิสเทอร์ เหล่าหญิงสาวนักผจญภัยล่าสมบัติ ซึ่งข้าเดาว่าอาจเป็นนักฆ่าบางเวลาด้วย ดูจากรอยแผลเป็นและทักษะการต่อสู้ของเธอ”

                “สิ่งที่ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับพวกซินซิสเทอร์คือสมาชิกทุกคนล้วนงามยั่วยวนใจและอันตรายถึงชีวิต” กัปตันมาซูลบอก “ในเมื่อท่านมาที่นี่เพื่อสมบัติบางชิ้น ท่านได้สิ่งที่ต้องการหรือยังล่ะซินซิสเทอร์”

                “ข้าได้แล้ว” ไวเซ็นหยิบเพชรน้ำออกมาจากกระเป๋าเสื้อนอก

          กัปตันมาซูลกับเซซิลทำหน้าเบื่อหน่ายเหมือนที่โซลิแทร์ทำไม่มีผิด คงไม่มีดาร์คเนสดีวิลคนไหนมองว่าเพชรมีค่าเลยสักคน อย่างไรก็ตาม มันกระตุ้นประธานนักบวชซิทให้หายจากกลัวเป็นความโกรธแทนร่างที่ถูกมัดของเขาดิ้นพล่าน ตาจับจ้องไปที่ไวเซ็นอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ

          “เจ้า นางผู้หญิงโสโครก เจ้าบังอาจปล้นสมบัติของมนุษยชาติ เจ้าปล้นวัตถุอันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าชายไททอส” เขาคำรามอย่างเคียดแค้น “เจ้าจะต้องตกนรกหมกไหม้”

          “หากนรกมีจริง เจ้าชายของเจ้าก็คงได้ลงไปเป็นคนแรก” เธอปราดเข้ามาก้มตัวอยู่เหนือประธานนักบวชซิทด้วยความรวดเร็ว ยิ้มอย่างขี้เล่น “เพราะเขาก็ปล้นเอาเพชรเม็ดนี้มาจากพวกดาร์คเนสดีวิลเหมือนกัน ข้าอาจเป็นโจรเป็นขโมย แต่ข้าก็ปล้นเฉพาะคนที่เคยปล้นคนอื่นเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเพราะมีคุณธรรมอะไรหรอกนะ แต่เพราะมันสะใจและไม่เกิดความรู้สึกผิดเลย และยังทำให้สาวถึงตัวข้ายากด้วย” เธอตบกระหม่อมที่ไร้เส้นผมของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู “หากไม่อยากถูกข้าปล้นก็อย่าไปปล้นใครสิ แต่ก็นะ พวกมนุษย์ชั้นสูงอย่างเจ้าโดยเฉพาะพวกนักบวชก็เก่งแต่เรื่องรีดไถ โกงกิน ทุจริต และละเมิดสิทธิผู้อื่น คงลำบากมากที่จะหาคนที่ข้าปล้นไม่ได้”

          เธอแกว่งเพชรน้ำล้อหน้าล้อตาประธานนักบวชซิทแล้วจูบมันฟอดใหญ่

          “คราวนี้รู้หรือยังว่าการเป็นฝ่ายถูกปล้นบ้างมันรู้สึกยังไง” เธอเก็บเพชรแล้วเดินถอยออกไป “ความจริงแล้วเจ้าไม่ควรรู้ว่าเพชรอยู่ที่ข้าหรอก แต่ก็ไม่เป็นไร ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่นานนัก เจ้าสร้างความแค้นแก่พวกดาร์คเนสดีวิลไว้มาก ไม่น่าจะรอดอยู่อีกหลายวัน”

          “นี่ถ้าไม่ติดว่าเธอเป็นพวกซินซิสเทอร์ ข้าก็คงยินดีสนับสนุน หากท่านจะคบหาเธอเป็นคู่รัก” กัปตันมาซูลหัวเราะกับโซลิแทร์

          “อย่าเพิ่งมองเธอในแง่ดีเกินไป” โซลิแทร์ยิ้มอยู่หลังหน้ากาก “หากมีความจำเป็น เธอก็ไม่ลังเลที่จะฝังกริชลงในหัวใจของเราทุกคน”                   

          “คทาดำแห่งพันธมิตร ตัวแทนของการถูกยึดครอง” เซซิลลูบไปบนคทาในมือ “บัดนี้เราก็ได้มันกลับคืนมาแล้ว เหล่านักรบของเราจะมีขวัญและกำลังใจมากขึ้น ท่านเก่งเรื่องสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นมากที่สุด ท่านลอร์ด เชิญท่านเลย”

          “ด้วยความยินดี” โซลิแทร์รับคทาไปจากเซซิล ก้าวขายาวๆ ขึ้นไปยืนบนแท่นที่ประธานนักบวชซิทนอนอยู่ รองเท้าเหล็กเกือบจะเหยียบหน้าประธานนักบวช ไวเซ็นปิดปากหัวเราะ ตอนนี้ฟ้าเริ่มจะสางแล้ว แลดูเป็นฉากหลังที่ดี

          “ทุกท่าน” โซลิแทร์ประกาศด้วยเสียงเรียบๆ แต่มีพลัง และดังชัดเจนทั่วถึงด้วยอำนาจภาษาดาร์เคน นักรบดาร์คเนสดีวิลทุกคนหยุดทำงานและหันมามองเขา “ร่วมพันปีมาแล้ว ที่คทาดำแห่งพันธมิตรถูกยึด เช่นเดียวกับอิสรภาพของเรา ที่ถูกพวกมนุษย์ควบคุมมาช้านาน” เขาชูคทาในมือขึ้น “จะไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว นี่คือข้อพิสูจน์ว่าสิ่งที่พวกมนุษย์แย่งชิงเอาไป สักวันเราก็จะเอาคืนมาได้”

          เหล่านักรบดาร์คเนสดีวิลเปล่งเสียงอย่างฮึกเหิม เซซิลและกัปตันมาซูลก็เช่นกัน ทุกคนมีเขี้ยวงอกอยู่ในปากอีกครั้ง

          “เช่นเดียวกับพี่น้องของเราที่ถูกจองจำเป็นเชลย” โซลิแทร์พูดต่อ “พวกมนุษย์แย่งชิงอิสรภาพจากพวกเขา ยึดความหวังของพวกเขา พรากพวกเขาจากแผ่นดินเกิด พรากพวกเขาจากพวกเรา” เขาชี้ไปยังกำแพงเมืองโอมิลรอนที่เห็นอยู่ไกลๆ “เราจะทำให้พวกมนุษย์คืนทุกอย่างให้แก่พวกเขา เหมือนที่ทำให้พวกมันคืนคทาด้ามนี้แก่เรา พี่น้องของเราทุกคนจะต้องหลุดออกจากกรงแคบๆ ของพวกมัน พวกมันจะรู้ซึ้งว่า แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่ต่ำทรามอย่างพวกเราก็สามารถเอื้อมมือขึ้นไปเค้นคอให้พวกมันคายทุกสิ่งที่เป็นของเราคืนมาได้”

          “เราคือกำแพง” กัปตันมาซูลตะโกน ทำแขนกากบาท

          “เราคือกำแพง” นักรบดาร์คเนสดีวิลทุกคนเปล่งเสียงพร้อมกัน ทำแขนกากบาทพร้อมกันอย่างเข้มเข็ง เสียงเกราะกระทบกันดังสนั่นเป็นเสียงเดียวกัน พวกมนุษย์ในตัวเมืองโอมิลรอนคงรับรู้ถึงการการปลุกระดม และคงขวัญหนีดีฝ่ออยู่หลังกำแพงเมือง โซลิแทร์กระโดดลงจากแท่น ฝากคทาไว้กับเซซิล

          “ท่านไม่ควรอยู่ในเมืองนี้นาน ฟ้าใกล้สว่างแล้ว เมื่อมันสว่างเต็มที่ พวกมนุษย์จะถูกบีบคั้นมากขึ้น” โซลิแทร์บอกไวเซ็น “เมืองศักดิ์สิทธิ์จะร้อนเหมือนนรก”

          “ข้าอาจไม่ใช่นักวางแผนสงคราม แต่ข้าก็ไม่ได้โง่” ไวเซ็นบอก “การสู้รบกำลังจะเกิด ข้าไม่อยู่ให้โดนลูกหลงแน่”

          “ข้าจะเดินไปส่งท่านเอง ท่านจะได้ไม่ต้องอธิบายตนเองกับพวกนักรบดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ” โซลิแทร์เสนอ

          “ก็ไปสิ” ไวเซ็นขยับมาคล้องแขนโซลิแทร์อย่างอารมณ์ดีราวกับจะควงไปงานเต้นรำ แต่ไม่จับส่วนที่เป็นสนับแขนเพราะมันมีส่วนคมเต็มไปหมด “พี่น้องข้าคงรอสัญญาณของข้าอยู่นอกค่าย”

          ทั้งคู่เดินลงจากวิหารไปด้วยกัน นักรบดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ หันมามองไวเซ็นแต่ก็ไม่ติดใจสงสัยอะไรมากนักเพราะเห็นมากับผู้นำสูงสุดของตน อีกทั้งเธอก็มีเชื้อสายดาร์คเนสดีวิลด้วยจึงไม่ถูกระแวงนัก

          “ท่านคงต้องเดินทางอีกไกลใช่ไหม” โซลิแทร์เดา

          “ไกลพอดู” ไวเซ็นตอบ “ที่ซ่อนของข้าอยู่ในดินแดนระฟ้า”

          “ท่านไม่เบื่อเดินทางไกลหรือไง ข้าว่ามันชวนให้เหนื่อยและหงุดหงิด” โซลิแทร์ออกความเห็น

          “แล้วท่านไม่เบื่อทำสงครามหรือไง” ไวเซ็นย้อน “ข้าว่ามันชวนให้เหนื่อยและหงุดหงิดมากกว่านะ”

          “ไม่รู้สิ ข้าเติบโตมากับสงคราม และดูจะมีพรสวรรค์ในเรื่องนี้” โซลิแทร์ว่า “ถ้าข้าไม่ทำสงคราม ข้าก็นึกภาพตัวเองทำอย่างอื่นไม่ออกแล้ว”

          “ท่านผ่านการต่อสู้มามากมาย แต่ทำไมใบหน้าถึงเกลี้ยงเกลาไร้ริ้วรอยขนาดนี้” เธอสงสัย

          “ก็เพราะข้าสวมหน้ากากเกือบจะตลอดเวลาน่ะสิ เห็นประโยชน์ของมันหรือยัง” โซลิแทร์เคาะหน้ากากเหล็กที่ตนสวมอยู่ “แล้วทุกครั้งที่ต่อสู้ ข้าก็ระมัดระวังหัวมากกว่าส่วนอื่น แต่ไม่ต้องห่วงว่าข้าจะไม่มีรอยแผลเป็นหรอก ร่างกายส่วนอื่นๆ ของข้ามีแผลเป็นหลายรอยทีเดียว”

          “นั่นคือเหตุผลที่ท่านชอบแต่งตัวมิดชิดหรือ”

          “จะมีแผลเป็นหรือไม่มี ข้าก็ชอบแต่งตัวแบบนี้” โซลิแทร์พูด “ข้ารู้ตัวว่าไม่มีทางจะเผยเนื้อหนังมังสาแล้วดูดีเหมือนท่าน ถามจริงๆ เถอะ สมาชิกคนอื่นๆ ในองค์กรของท่านใส่เสื้อเปิดเนินอกแบบท่านไหม”

          “แน่นอนอยู่แล้ว คล้ายกับเป็นเอกลักษณ์ขององค์กรเราเลย ซึ่งพวกเราใส่แล้วก็ดูดีกันทั้งนั้น”

          “มีเหตุผลไหม ว่าทำไมชุดถึงต้องเป็นแบบนั้น”

          “ประการแรก มันทำให้เราสวย” ไวเซ็นหมุนตัวเข้าไปชิดโซลิแทร์ ทำให้แขนของเขาที่เธอคล้องอยู่นั้นขยับไปโอบเอวเธอแทน “ประการที่สอง เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดถึง แต่ก็เป็นความจริงอันแยบยล มันดึงความสนใจคู่ต่อสู้ได้มากทีเดียว โดยเฉพาะเพศตรงข้าม หากสายตาอีกฝ่ายมัวแต่คอยสะดุดอยู่ที่เนินอกของเรา ก็เปิดโอกาสให้เราเอากริชไปปักหัวใจได้มากขึ้น”

          “น่าสนใจมาก แล้วมันได้ผลไหม”

          “ได้ผลกับท่าน”

          “แน่ใจหรือว่าได้ผล จำได้ว่าท่านเอากริชปักที่หัวใจข้าไม่สำเร็จนะ”

          “แต่อย่างน้อย มันก็ดึงดูดสายตาท่านได้บ่อยทีเดียว ตอนนี้ก็ใช่ด้วย”

          “ข้าไม่ได้จงใจให้เป็นอย่างนั้น หวังว่าท่านจะไม่ถือสา”

          “น่ารักเป็นบ้า” ไวเซ็นกระแซะตัวไปดันโซลิแทร์อย่างหยอกเล่น ทำเอาเขาเดินเซ “ถามอะไรหน่อยสิ ท่านอาจไม่เคยมีอะไรกับผู้หญิงมาก่อน แต่เคยรักหรือคบหากับใครบ้างหรือเปล่า”

          “ข้าไม่รู้สิ ข้าไม่แน่ใจว่ารักมันควรจะรู้สึกอย่างไร” โซลิแทร์ครุ่นคิด “ไอ้ความรู้สึกที่เรามีให้กันอยู่ตอนนี้ มันเรียกว่าความรักหรือเปล่า”

          “ไม่น่าจะใช่” ไวเซ็นหัวเราะชอบใจ “น่าจะเรียกว่าความใคร่มากกว่า”

          “โล่งใจเป็นบ้า ข้าไม่ได้รักท่าน” โซลิแทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไวเซ็นหัวเราะชอบใจ “อย่างที่ข้าบอกไป ข้าเติบโตมากับสงคราม มีเครื่องมือเครื่องใช้เป็นอาวุธ มีเสื้อผ้าเป็นชุดเกราะ ข้าจึงไม่ค่อยมีความรู้ความเข้าใจเรื่องความรักเท่าไหร่ ข้าไม่รู้ว่ารักควรจะรู้สึกยังไง ที่แน่ๆ ข้าไม่มีโอกาสพบเจอเพศตรงข้ามนัก”

          “นั่นคงไม่ได้ทำให้ท่านผันตัวมาชอบเพศเดียวกันใช่ไหม” ไวเซ็นหัวเราะคิกคัก

          “มีหลายเรื่องที่ข้าไม่แน่ใจ แต่สำหรับเรื่องชอบเพศเดียวกันนั้น ข้าแน่ใจเต็มที่ว่าไม่ใช่” โซลิแทร์พูดอย่างขยะแขยง “ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ! ข้าจริงจังนะกับเรื่องนี้นะ ข้าไม่ชอบเพศเดียวกัน ข้าชอบเพศตรงข้าม ได้โปรด จะให้ข้าพิสูจน์ยังไงก็ได้”

          “คงไม่จำเป็นแล้วล่ะ” ไวเซ็นเลื่อนสายตาไปที่แขนของเขา ที่ยังโอบเอวเธออยู่ ท่าทางขบขัน “จนป่านนี้ยังไม่ยอมปล่อยเลยนะ”

          “อภัยให้ด้วย ข้าไม่ได้สังเกต” โซลิแทร์รีบดึงแขนออก

          ทั้งคู่เดินออกมาจากนอกเขตค่าย กระโดดข้ามสิ่งกีดขวางไปสู่ไร่ข้าวโพดที่ถูกเก็บเกี่ยวไปแล้ว ห่างออกไปด้านหลังไกลๆ นักรบดาร์คเนสดีวิลกลุ่มหนึ่งกำลังขนกระสอบข้าวโพดออกจากโรงนาขึ้นเกวียน ดูจากจำนวนเกวียนของพวกดาร์คเนสดีวิลแล้ว คาดว่าพวกเขาคงขนเสบียงกลับไปบำรุงอาณาจักรได้มากมายแน่ ไวเซ็นหยิบนกหวีดเรียกสุนัขจากส้นรองเท้ามาเป่า ความถี่ของมันสูงเกินกว่าคนทั่วไปจะได้ยิน

          “พี่น้องร่วมองค์กรของข้าคงซ่อนตัวอยู่ในไร่ข้าวโพด อย่าชักดาบจ่อหน้าพวกเขาตอนพวกเขาออกมาล่ะ” ไวเซ็นเตือนโซลิแทร์อย่างรู้ทัน

          “อย่ามองข้าในแง่ร้ายสิ ข้าไม่ได้ขี้ระแวงขนาดนั้น” โซลิแทร์พูดสบายๆ แต่มือที่กำรอบด้ามดาบอยู่ใต้ผ้าคลุมค่อยๆ คลายออก เขาสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวในไร่ข้าวโพดตั้งนานแล้ว

          แล้วก็มีซินซิสเทอร์อีกสองคนโผล่ออกมาจากไร่ข้าวโพด คนหนึ่งเป็นมนุษย์ผมแดง สวมชุดหนังสีน้ำตาล ไม่เปิดเอวเหมือนไวเซ็นแต่เปิดเนินอกเหมือนกัน อีกคนเป็นฟอเรสเทอร์ สวมชุดหนังที่นุ่งน้อยห่มน้อยกว่าไวเซ็นมาก เนื้อตัวบางส่วนสักลายกิ่งไม้ใบไม้สีเขียวจางๆ สวมหน้ากากคาดตา จมูกหน้ากากมีหนวดหกเส้นคล้ายกระรอก ตามความเห็นของโซลิแทร์นั้น แม้ทั้งคู่จะไม่สวยเท่าไวเซ็น แต่ก็ถือว่าสวยไม่เบา ชวนให้คิดว่าการจะเป็นซินซิสเทอร์นั้น จะต้องผ่านการคัดเลือกรูปร่างหน้าตาด้วย

          “หายไปนาน นึกว่าจะมีปัญหาเสียแล้ว” ซินซิสเทอร์ที่เป็นฟอเรสเทอร์ขยิบตาให้ไวเซ็น ถอดบางอย่างออกจากหู คาดว่าน่าจะเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้ได้ยินเสียงนกหวีดความถี่สูงของไวเซ็นได้

          “สไควร์เรล” ไวเซ็นแนะนำซินซิสเทอร์ฟอเรสเทอร์ที่สวมหน้ากากกระรอกแก่โซลิแทร์ จากนั้นก็ชี้ไปที่ซินซิสเทอร์มนุษย์ “ส่วนนี่คือจิงซ์ หวังว่าท่านคงไม่มีอคติที่เธอเป็นมนุษย์ใช่ไหม”

          “ซินซิสเทอร์ไม่แบ่งแยกเผ่าพันธุ์ไม่ว่าสมาชิกคนใดจะมาจากเผ่าพันธุ์ใด องค์กรถือเป็นเผ่าพันธุ์ที่แท้จริงของตน” โซลิแทร์บอก “ทางเทคนิคแล้ว ข้าจึงไม่ถือว่าเธอเป็นมนุษย์”

                 “พี่สาวน้องสาวของข้า คงไม่ต้องบอกก็คงทราบ ว่าเขาคือแบล็กไรดิงฮู้ด” ไวเซ็นแนะนำโซลิแทร์บ้าง “ชื่อจริงๆ ของเขาคือแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม ภายใต้หน้ากากอันน่าเกลียดน่ากลัวและกิริยาอันแข็งกร้าว เขามีใบหน้าหวานเหมือนผู้หญิง แล้วเขาก็ยังบริสุทธิ์อยู่ด้วย”

                โซลิแทร์กลอกตาอย่างหงุดหงิดอ่อนใจ สาวน้อยซินซิสเทอร์อีกสองคนหัวเราะคิกคัก

          “เราเริ่มจะเป็นห่วงเจ้าแล้วรู้ไหมไวเซ็น เราคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้ถูกพวกดาร์คเนสดีวิลคุมตัวไว้--” จิงซ์ยิ้มอย่างมาเลศนัย ปรายตาไปทางโซลิแทร์ “--เจ้าก็คงกำลังนัวเนียอยู่กับดาร์คเนสดีวิลสักคน”

          “บังเอิญว่าสถานการณ์ สถานที่ และเวลาไม่เอื้ออำนวย แล้วท่านลอร์ดมืดแบล็กโฟรเซ็นสตอร์มก็ดูจะสนอกสนใจกับการเล่นงานพวกมนุษย์มาก จนไม่เป็นอันทำอย่างอื่น” ไวเซ็นยิ้มชายตา “แต่ยังไงก็ตาม เขาช่วยให้ข้าได้สิ่งนี้มาด้วย”

          เธอหยิบเพชรน้ำออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้านหลัง จิงซ์และสไควร์เรลเบิกตาอย่างตื่นเต้น โซลิแทร์กลอกตาอีกครั้งด้วยความเบื่อหน่าย ผู้หญิงในดาวดวงนี้คงจะเป็นบ้ากันหมดจริงๆ หลงใหลเพชรพลอย ราวกับมีมันแล้วจะตายยากขึ้น

          “คนอื่นๆ ในรังของเราจะต้องตื่นเต้นที่ได้เห็นมัน” จิงซ์ปรบมือเข้าหากัน “สมบัติของเจ้าชายไททอสผู้ศักดิ์สิทธิ์ มาอยู่ในการครอบครองของซินซิสเทอร์ ใครจะไปนึก ยามที่เขามีชีวิตอยู่ เขารวบรวมสิ่งมีค่ามาครอบครองได้มากมาย แต่ยามเขาสิ้นใจ สมบัติสักชิ้นก็เอาไปไม่ได้ สุดท้าย มันก็ตกเป็นของคนอื่นอยู่ดี”

          “ท่านลอร์ดมืดแบล็กโฟรเซ็นสตอร์มมีน้ำใจกับเราช่วยให้เราได้มันมา” สไควร์เรลเอียงคอยิ้ม “แสดงว่าเขาและเผ่าพันธุ์ของเขา ไม่ได้มีความรู้สึกในแง่ลบกับองค์กรของเรา”

          “ใครจะรู้สึกไม่ดีกับพวกท่านได้” โซลิแทร์ยิ้มอยู่หลังหน้ากาก “ตราบที่องค์กรของพวกท่านไม่สร้างความเดือดร้อนแก่เผ่าพันธุ์ของข้า ข้าก็ยินดีจะทำตัวดีด้วยเสมอ ว่าแต่องค์กรของพวกท่าน ใครเป็นผู้นำหรือ”

          “สมาชิกในองค์กรของเรามีกันอยู่ไม่มาก จึงไม่จำเป็นต้องมีผู้นำ เราทุกคนมีความเสมอภาค” สไควร์เรลตอบ “เป็นอีกสิ่งที่เรากับพวกท่านมีคล้ายๆ กัน”

          “ความจริงแล้ว เราค่อนข้างรู้สึกทึ่งที่พวกท่านต้านการบุกของพวกมนุษย์ได้ถึงสองครั้ง และยกพลมาเหยียบเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่เคยมีอำนาจเหนือพวกท่าน อย่างที่บรรดาบรรพบุรุษของพวกท่านไม่เคยทำได้” จิงซ์สะบัดผมแดงสลวย “ใครจะไปรู้ว่าดาร์คเนสดีวิลรุ่นนี้ จะมีความสามารถมากขนาดนี้”

          “หากเหลืออดเหลือทนกับการถูกเหยียบหัว เราก็ต้องแข็งแรงให้เพียงพอที่จะยกเท้าหนักๆ ออกจากหัว ซึ่งบางครั้ง ความแข็งแรงก็มาพร้อมกับความแข็งกร้าว และความแข็งกร้าว บางครั้ง มันก็นำไปสู่ความรุนแรง” โซลิแทร์ว่า “ความรุนแรงที่ว่านั้นกำลังจะเกิดกับพวกมนุษย์มากกว่านี้ ซินซิสเทอร์เป็นองค์กรอิสระ ไม่ขึ้นตรงต่อเผ่าพันธุ์ใด ข้าให้ความเคารพพวกท่าน ข้าถูกชะตากับไวเซ็น แต่ข้าก็ขอแนะนำให้พวกท่านอยู่ห่างๆ รัศมีความรุนแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ พื้นที่สงครามเป็นพื้นที่อันตราย หากก้าวเหยียบไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา อาจหมายถึงการประกาศตัวเข้าร่วมกับฝ่ายหนึ่ง และเป็นอริกับอีกฝ่ายหนึ่ง ฉะนั้นหากจะหลีกเลี่ยงมัน ก็ควรรีบๆ หลีกเลี่ยง ก่อนที่จะหลีกเลี่ยงยากยิ่งกว่านี้”

          “ใช้สำนวนนักปกครองอีกแล้ว แน่นอนท่านไม่ใช่นักปกครองข้ารู้ ท่านไม่ชอบเป็นแบบนั้น” ไวเซ็นรีบขัดเมื่อโซลิแทร์ทำท่าจะแย้ง “แต่การที่ท่านเป็นผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนล มันทำให้บางครั้งท่านใช้คำพูดได้คล้ายๆ กับพวกนักปกครอง เรื่องนี้ท่านต้องยอมรับ คำพูดที่ฟังดูเป็นทางการ เรียบเรียงอย่างฉลาดเฉลียว แฝงความในอย่างแยบยล และเป็นประโยคที่นำมาย้อนเล่นงานผู้พูดไม่ได้ เพราะมันสามารถตีความได้หลายความหมาย” เธอเอื้อมนิ้วมาลูบจีบผ้าคลุมของเขา “จริงอยู่ นักล่าสมบัติอย่างเราอาจไม่ฉลาดเท่าจอมวางแผนอย่างท่าน แต่เราก็พอเข้าใจเจตนาของท่านดี ท่านต้องการให้เรารีบๆ ไปให้พ้น เพื่อเราจะได้ไม่อยู่ผิดที่ผิดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไปอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกับพวกท่าน”

          “ว้าว” โซลิแทร์ยิ้มอยู่หลังหน้ากาก “ท่านสรุปความได้แจ่มแจ้งดี หวังว่ามันคงไม่ทำให้พวกท่านขุ่นเคือง ไม่ใช่ว่าเราไม่ไว้ใจพวกท่าน แต่--”

          “แน่นอนที่สุด พวกท่านไม่ไว้ใจพวกเรา ซึ่งถือว่าเป็นความคิดที่ฉลาด” ไวเซ็นเอียงคอ “และพวกท่านก็รู้ว่าเราไม่ค่อยไว้ใจพวกท่านเช่นกัน แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ข้าเห็นด้วยกับท่านที่เราไม่ควรอยู่ที่นี่นาน อย่างที่ข้าเคยบอกไป ข้าอาจไม่ใช่นักวางแผนสงคราม แต่ข้าก็ไม่ได้โง่ โอมิลรอนกำลังจะลุกเป็นไฟ ในเมื่อเราได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เราจะชักช้าอยู่ที่นี่ต่อไปเพื่ออะไร ถูกลูกหลงจากสงครามมันไม่ใช่เบาๆ”

          “ดีใจที่เราเข้าอกเข้าใจกันโดยไม่ต้องพยายามมาก” โซลิแทร์พยักหน้า “ในอนาคต เราอาจต้องพบเจอกันโดยบังเอิญอีก และหากเป็นเช่นนั้น ก็ขอให้เราทั้งสองฝ่ายต่างโล่งใจ ที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน”

          ไวเซ็นขยิบตาให้โซลิแทร์ แล้วผงกศีรษะให้เพื่อนอีกสองคนเดินตามเธอไป ระหว่างที่เดินจากไปก็พูดคุยซุบซิบกัน หันกลับมามองโซลิแทร์บ้าง ยิ้มอย่างมีเลศนัย

          “พอเดาได้ไหม ว่าพวกซินซิสเทอร์กำลังคุยอะไรกันอยู่” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังโซลิแทร์

          โซลิแทร์สะดุ้ง หันไปเห็นเซซิลกำลังยกกระสอบมันฝรั่งจากรถเข็นขึ้นเกวียนเล่มที่ใกล้ที่สุด เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นนับไม่ถ้วน เซซิลเคลื่อนที่ด้วยการลอย ไม่มีเสียงฝีเท้า แล้วก็ชอบทำตัวเงียบเชียบ การปรากฏตัวของเขาจึงมักทำให้ผู้อื่นตกใจเสมอ

          “รู้สึกว่าท่านจะเป็นคนบอกข้าเอง ว่าผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่คาดเดาและเข้าใจยากที่สุดในดาวดวงนี้” โซลิแทร์เข้าไปช่วยเซซิลขนมันฝรั่งกระสอบอื่นๆ  

          “แต่บางสถานการณ์ก็พอเดาได้” เซซิลพูด

          “งั้นพวกเธอกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่หรือ”

          “พวกเธอกำลังคิดเหมือนกับที่เรากำลังคิดกับพวกเธอ” เซซิลตอบ “หากได้เป็นพันธมิตรด้วย จะถือว่ามีพันธมิตรที่มีพลังมหาศาล”

          “แต่ท่านก็คงทราบดี ว่าพวกซินซิสเทอร์ไว้ใจไม่ได้” โซลิแทร์ส่ายหน้า “เช่นเดียวกับที่พวกนั้นก็ไว้ใจเราไม่ได้เหมือนกัน”

          “นั่นแหละปัญหา ที่ทำให้เรากับพวกนั้นยังเป็นพันธมิตรกันไม่ได้” เซซิลกล่าว “เรารู้ว่าซินซิสเทอร์เปี่ยมไปด้วยมารยาอันแยบยล ส่วนพวกซินซิสเทอร์ก็รู้ว่าพวกเราเปี่ยมไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมเหนือเมฆ อย่างไรก็ตาม ท่านทำสิ่งที่ฉลาดท่านลอร์ด ท่านเริ่มต้นทำความรู้จักซินซิสเทอร์คนหนึ่งด้วยการแบ่งปันผลประโยชน์ แสดงให้พวกนั้นเห็นว่า สามารถปฏิบัติการร่วมกับเราได้หากมีผลประโยชน์ร่วมกัน ฉะนั้นในอนาคต หากเรามีผลประโยชน์ร่วมกับพวกนั้นอีก การดำเนินงานร่วมกันก็คงจะราบรื่นขึ้นมาก”

          “ก็คงจะใช่ อย่างน้อยครั้งหน้า ไวเซ็นก็คงจะไม่เอากริชมาแทงข้าอีก” โซลิแทร์โยนฝรั่งกระสอบสุดท้ายขึ้นไปบนเกวียน แล้วขึงผ้าคลุมท้ายเกวียน “เกวียนเสบียงเล่มสุดท้ายเต็มแล้วอาจารย์เซซิล ข้าคิดว่าควรส่งกองเกวียนลำเลียงเสบียงกลับโฟรเซ็นทิเนลเลยดีกว่า เราจะได้ใช้พื้นที่ในด้านการรบอย่างเต็มที่”

          พลุสีเขียวพุ่งออกจากปลายถุงมือหุ้มเหล็กของโซลิแทร์ ส่องสว่างสู่ท้องฟ้าที่ใกล้จะสาง มีเสียงสะบัดบังเหียนจากที่นั่งคนขับเกวียนขนเสบียงทุกลำ แล้วกองเกวียนก็เริ่มเคลื่อนขบวนออกจากพื้นที่ค่าย มุ่งตรงกลับไปยังอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล มีกองกำลังจำนวนหนึ่งตามไปอารักขากองเกวียน ขณะที่กองกำลังส่วนใหญ่ยังคงประจำการอยู่ที่ค่ายต่อไป เตรียมพร้อมจะอยู่ต่อกรกับพวกมนุษย์ตามแต่แผนการใดๆ ก็ตามของโซลิแทร์ การโจมตีวันแรกเพิ่งผ่านไป คงได้รบกันอีกยาว

          “ทำไมเกวียนสามเล่มนี้ถึงยังอยู่ที่นี่” โซลิแทร์หันไปเห็นเกวียนสามเล่มจอดอยู่เฉยๆ ขณะเดินกลับวิหาร จากผ้าคลุมท้ายเกวียนที่ตุงออกมา บ่งบอกว่าบรรทุกของอยู่เต็มลำเกวียน

          “นั่นไม่ใช่เกวียนขนเสบียง มันแค่ขนบางสิ่งบางอย่างจากโฟรเซ็นทิเนลมาใช้ที่นี่” เซซิลตอบ

          “ขนอะไรมา” โซลิแทร์เปิดท้ายเกวียนเล่มหนึ่ง พบลูกระเบิดเพลิงปีศาจที่ใช้กับเครื่องยิงบนกำแพงเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดบรรทุกอยู่เต็มเกวียน “เอามาที่นี่ทำไมหรือ เราไม่ได้นำเครื่องยิงมาด้วย”

          “ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องยิง เราก็ทำให้มันระเบิดได้” เซซิลว่า “ก็ท่านวางแผนเกี่ยวกับวิหารของเจ้าชายไททอสไว้ไม่ใช่หรือ ระเบิดเพลิงปีศาจทั้งสามคันรถนี้ จะทำให้แผนนั้นสำเร็จ”

          “อ้อ” โซลิแทร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ

          “นี่ก็ครบหกชั่วโมงแล้ว ได้เวลาที่ท่านต้องทำตามสัญญาแล้ว” เซซิลเตือนความจำ

          “ขอบคุณมากอาจารย์เซซิล ท่านต้องคอยเตือนข้าทุกหกชั่วโมง เพราะข้าความจำไม่ค่อยดีแล้วก็มีนิสัยเสียเรื่องเวลา” โซลิแทร์ก้าวเดินต่อไปยังวิหาร “แต่สิ่งที่มั่นใจได้คือ ข้าเป็นคนรักษาคำสัญญา ข้าลั่นวาจาสิ่งใดไป ข้าจะต้องทำตามเสมอ”

          ไม่ถึงสิบนาทีต่อมา โซลิแทร์ก็เดินออกไปหน้าค่าย พร้อมกับลากหลังเสื้อทหารเฝ้าวิหารมนุษย์จอมปากเสียมาด้วย เซซิลกับกัปตันมาซูลตามหลังมาติดๆ  พวกทหารมนุษย์บนกำแพงเมืองโอมิลรอนจ้องมองอยู่ห่างๆ ท่าทางกังวลใจ ตามที่โซลิแทร์ได้ลั่นวาจาไว้ ทุกๆ หกชั่วโมงหากเชลยศึกดาร์คเนสดีวิลยังไม่ถูกปล่อยตัว เชลยศึกมนุษย์จะถูกตัดหัวทีละคน ทหารยามมนุษย์ถูกจับให้นั่งคุกเข่า จ้องมองโซลิแทร์ตาขวาง พยายามแสดงให้เห็นว่าไม่หวาดกลัว ปากยังคงถูกอุดด้วยรองเท้าของตัวเอง

          “มีอะไรจะสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้ายไหม” โซลิแทร์ปลดรองเท้าออกจากปากอีกฝ่าย “แต่ถ้าพูดอะไรที่ไม่ค่อยรื่นหูข้า เจ้าจะสูญเสียฟันหมดปากก่อนตาย”

          “เจ้าปีศาจ ข้าคิดว่าแม่ของเจ้าเคยร่วมเพศกับผู้ชายมาแล้วหลายคน หนึ่งในนั้นก็คือข้าด้วย”

          “นี่ รู้กันแค่สองคนนะ ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่รอดอยู่แล้ว” โซลิแทร์ยื่นหน้าไปกระซิบกับทหารมนุษย์อย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน “แม่ของข้าเคยร่วมเพศกับผู้ชายมาแล้วหลายคนจริง แต่แน่ล่ะ หนึ่งในนั้นไม่มีเจ้าอยู่ด้วยแน่ เพราะเธอโปรดปรานเฉพาะผู้ชายหล่อๆ อัปลักษณ์ขนาดเจ้านี้ ต่อให้เธอตาบอดก็คงอ้วกแตกได้” เขาตบแก้มทหารมนุษย์เบาๆ ด้วยถุงมือเหล็ก “ระหว่างเจ้ากับข้าไม่มีอะไรเป็นส่วนตัวหรอกนะ แต่ข้าเป็นคนรักษาคำพูด ในเมื่อข้าคิดว่าคำสั่งเสียของเจ้ามัน ไม่ค่อยรื่นหูข้าเท่าไหร่นัก--”

          รองเท้าเหล็กของโซลิแทร์เตะเสยเข้าที่ปากของทหารมนุษย์คนนั้น เลือดแดงฉานและฟันจำนวนเป็นกำกระเด็นหลุดออกจากปาก แล้วก่อนที่ศีรษะของทหารคนนั้นจะหงายล้มลงไป ดาบสีดำคมกริบก็ตวัดตัดมันขาดกระเด็นกลิ้งไปกับพื้น นับว่าเป็นการตัดหัวที่มีฝีมือมาก ฟันขาดในครั้งเดียวโดยที่เลือดไม่กระเซ็นถูกตัวผู้ฟันเลยสักหยด โซลิแทร์ควงดาบหนึ่งรอบแล้วเก็บดาบลงฝัก พวกทหารมนุษย์บนกำแพงเมืองโอมิลรอนคงขวัญหนีดีฝ่อกันใหญ่แล้ว

          “พวกมนุษย์จะต้องมาเก็บศพเจ้าปากเสียนี่ไป หรือไม่ก็ทิ้งให้นกกามาจิกอยู่ตรงนี้” โซลิแทร์เงยหน้ามองฟ้า “ดาวฤกษ์อิลิมิน่ากำลังขึ้น ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ! ข้าเกลียดทไวไลท์ (Twilight = ช่วงเวลาหลังจากพระอาทิตย์ตกหรือก่อนฟ้าสาง)”  

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา