พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.94K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

21) บทที่ 20 จุดเปลี่ยน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 20

จุดเปลี่ยน

 

                แม้ว่าปฏิบัติการจู่โจมโมราโซมอสของพวกโฮเซ่และพวกดาร์คเนสดีวิลจะดำเนินมาด้วยดีตลอด แม้ว่ามันใกล้จะลุล่วงเต็มที แต่แล้ววันนี้สิ่งผิดปกติก็เกิดขึ้น ตามแผนการแล้ว วันนี้ ณ ช่วงเวลานี้ พวกโฮเซ่จะต้องบุกเข้าโจมตีฐานบัญชาการใหญ่ซาโมโรว์ ส่วนพวกดาร์คเนสดีวิลจะตรึงกำลังอยู่ตามชายฝั่ง คอยตั้งรับกองเรือของกัปตันเท็มเปิลที่ยกพลกลับมากู้เมือง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นวี่แววของพวกดาร์คเนสดีวิล พวกนั้นหายไปไหนกัน กอร์รินผู้ซึ่งสวมชุดเกราะพร้อมรบได้แต่เดินไปเดินมาอย่างวิตกกังวล เวลาไม่คอยท่า โซลิแทร์และพวกพ้องของเขาหายหัวไปไหนกันหมด

          “ข่าวร้าย กอร์ริน” ท็อกซ์ฟ็อกซ์เดินเร็วๆ เข้ามารายงาน “กระแสลมและกระแสน้ำเข้าข้างพวกมนุษย์ กองเรือของพวกมันจะกลับมาถึงที่นี่เร็วกว่าที่คิด เราชักช้าต่อไม่ได้แล้ว ถ้าเราจะเข้าโจมตีฐานบัญชาการใหญ่ซาโมโรว์ ก็ควรจะเริ่มเคลื่อนพลตอนนี้เลย”

          “นี่มันก็เที่ยงแล้ว ยังไม่เห็นวี่แววของพวกดาร์คเนสดีวิลอีกหรือ” กอร์รินพูดอย่างร้อนรน

          “ไม่เห็นแม้แต่เงา พวกนั้นควรจะมาสมทบกับเราตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ท่านรู้ใช่ไหมว่าเราไม่สามารถรอต่อไปได้แล้ว เรากำลังล่าช้า”

          “รู้” กอร์รินพยักหน้าอย่างประสาทเสีย

          “หากพวกปีศาจไม่โผล่มา ก็เท่ากับว่ากองกำลังของเรามีไม่เพียงพอ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูดต่อ “เราไม่มีทางตีฐานบัญชาการใหญ่โมราโซมอสแตกก่อนที่กองทัพเรือของพวกมนุษย์จะมาถึง เมื่อไม่มีพวกดาร์คเนสดีวิลคอยสกัดกองเรืออยู่ที่ชายฝั่ง พวกมันจะบุกขึ้นมาตลบหลังเรา เราจะถูกโจมตีประกบ”

          “ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า” กอร์รินตัดสินใจ “แบ่งกองกำลังของเราออกเป็นสองส่วน ซีราส ท่านตรึงกำลังอยู่ที่ชายฝั่งแทนพวกดาร์คเนสดีวิล คอยสกัดทัพเรือพวกมนุษย์ ถ่วงเวลาพวกนั้นไม่ให้ยกพลขึ้นบก ข้าจะบุกโจมตีฐานบัญชาการใหญ่ซาโมโรว์เอง”

          “ด้วยกองกำลังแค่นั้นหรือ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ไม่สู้ศรัทธา “ข้าไม่คิดว่ามันเพียงพอจะโจมตีฐานบัญชาการซาโมโรว์ให้แตกได้”

          “เรายังมีจำนวนมากกว่ากองกำลังป้องกันฐานทัพนั่น ก็พอมีโอกาสโจมตีแตกบ้าง” กอร์รินว่า

          “โอกาสน้อยมากนะนั่น เราจะมาแขวนภารกิจไว้กับโชคชะตาไม่ได้นะ”

          “ก็ต้องหวังว่าพวกดาร์คเนสดีวิลตามมาสมทบ”

          “แล้วถ้าหากไม่เป็นอย่างที่ท่านหวัง หากพวกนั้นทอดทิ้งเราอย่างที่ข้ากลัวล่ะ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์เน้นเสียง

          “ไม่ว่าพวกนั้นจะมาหรือไม่มา เราก็ต้องโจมตีฐานบัญชาการซาโรโรว์ให้แตก” กอร์รินสูดหายใจลึกๆ “เรามาไกลถึงขนาดนี้แล้ว อีกแค่เอื้อมมันจะสำเร็จ ข้าต้องการเวลาซีราส หวังว่าท่านจะสกัดทัพเรือมนุษย์ไว้ จนกว่าข้าจะโจมตีฐานบัญชาการซาโมโรว์แตก ไม่ว่าพวกดาร์คเนสดีวิลจะมาสมทบหรือไม่ก็ตาม”

          “จะให้สกัดไว้นานเท่าไหร่ล่ะ”

          “นานที่สุดเท่าที่ท่านจะทำได้”

          ท็อกซ์ฟ็อกซ์ถอนหายใจ หยิบขวานหยิบโล่เดินไปสั่งการกองกำลังส่วนของตนที่ชายฝั่งซาโมโรว์ กอร์รินสวมหมวกเกราะ พับหนามตามชุดเกราะให้ตั้งขึ้น ส่งสัญญาณเรียกระดมพล การแบ่งกองกำลังออกเป็นสองส่วนเช่นนี้ทำให้ภารกิจลำบากขึ้น กำลังพลเหลือน้อยเกินไป

          “ตะบองเพชรพินาศ! โซลิแทร์ ทำไมไม่โผล่หัวสวมฮู้ดของท่านมาเสียที” เขาสบถในลำคอ

 

***************

 

                สิ่งที่หัวสวมฮู้ดของโซลิแทร์ทำอยู่ตอนนี้ คือก้มหลบก้อนน้ำแข็งแห้งเย็นจัดที่อาบด้วยไอควันสีขาว มันพุ่งไปพุ่งมาเต็มไปหมด ขนาดของมันพอๆ กับดาวตกของเอเลนเซฟเวอรี่ ชุดเกราะที่ชำรุดและบาดแผลแห้งกรังมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะ บอกให้รู้ว่าเขาถูกถากด้วยก้อนน้ำแข็งแห้งชนิดนี้ไปแล้วหลายครั้ง ซึ่งก้อนน้ำแข็งแห้งเหล่านั้น มันออกมาจากปากของสัตว์ปีกขนาดใหญ่ตัวยาวสี่ห้าตัว ที่บินวนเวียนต่อสู้อยู่กับพาหนะของเขา พวกมันตัวใหญ่พอๆ กับเอเลนเซฟเวอรี่ เป็นสัตว์ปีกที่มีเนื้อหนังค่อนข้างโปร่งใส มองเข้าไปเห็นโครงกระดูกข้างในอย่างชัดเจน ครึ่งท่อนบนดูคล้ายมังกรที่มีเขาห้าแฉก ครึ่งท่อนล่างดูคล้ายงูและปกคลุมด้วยเกล็ดสีเงินมีกรงเล็บสีเงินเป็นโลหะหนึ่งคู่มีปีกคู่ใหญ่คล้ายปีกมังกร แต่โปร่งใสราวกับแก้วจนมองแทบไม่ออกว่าเป็นปีก ดวงตาสีเงินว่างเปล่าของพวกมันไร้ซึ่งความรู้สึก พวกมันไม่ส่งเสียง ไม่คำราม ไม่หายใจ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ความรู้สึกเช่นเดียวกับพวกเอเลนเซฟเวอรี่ และก็อันตรายไม่แพ้กัน พวกมันโฉบไปโฉบมาอยู่บนฟ้า พ่นน้ำแข็งเย็นเฉียบใส่โซลิแทร์ที่ต้องคอยบังคับพาหนะบินหลบหลีกเหมือนคนบ้า

                ขณะที่โซลิแทร์ต่อสู้อยู่บนฟ้า ที่พื้นดินเบื้องล่างนั้น กองกำลังดาร์คเนสดีวิลของเขาก็กำลังต่อสู้กับกองกำลังสีเงิน ที่ทหารนักรบแต่ละคนมีทั้งชุดเกราะ พาหนะ และอาวุธสงครามอย่างดี ไม่ใช่กองกำลังมนุษย์ แต่เป็นกองกำลังผี กองกำลังเอลิล ทหารเอลิลทุกคนสวมเกราะสีเงินอย่างดีทั่วตัว มีดาบ มีโล่ มีหอกยาว บางคนก็มีปืนยาวรูปร่างเหมือนสัตว์ร้ายที่บินสู้อยู่กับโซลิแทร์บนฟ้า มันยิงได้รุนแรงกว่ากว่าปืนยาวของมนุษย์หรือหน้าไม้ของดาร์คเนสดีวิล กระสุนของมันก็มีลักษณะแหลมๆ ยาวๆ หัวคมกริบ เหมาะสำหรับเจาะทะลุเกราะ พวกนักรบดาร์คเนสดีวิลถูกยิงตาย ถูกฟัน ถูกแทงตกจากพาหนะ ในตอนแรกพวกเขาเคลื่อนพลมุ่งหน้าไปยังฐานทัพเรือซาโมโรว์เพื่อสมทบกับพวกโฮเซ่ตามกำหนด จู่ๆ ก็มีกองกำลังเอลิลโผล่มาสกัดเสียเฉยๆ มาได้ยังไง มาจากไหน มาเพื่ออะไรก็สุดรู้ได้ แต่ดูเหมือนพวกเอลิลจะวางแผนไว้ พวกนั้นรู้ว่ากองกำลังดาร์คเนสดีวิลชุดนี้เป็นทหารม้า จึงนำกองทหารม้าและทหารถือหอกยาวมาแก้ทาง พาหนะของพวกเอลิลเป็นม้าที่สวมเกราะหนาสีเงินทั้งตัว จนมองไม่เห็นร่างกายที่แท้จริงของพวกมัน เห็นแต่เพียงตาสีเงินว่างเปล่าที่ไร้ความรู้สึกใดๆ สิ้นเชิง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของพวกเอลิลล้วน ไร้ความรู้สึก ไร้ชีวิตจิตใจ แต่แน่นอนว่าเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพในการรบ

          เซซิลกำลังเจอศึกหนักเมื่อถูกกระสุนปืนยาวหัวคมของพวกเอลิลพุ่งเข้าใส่จากรอบทิศทาง การเป็นดีวอเชอร์ทำให้เขาไม่สามารถพุ่งตัวหลบลงบนพื้นได้ เท่าที่ทำได้ก็แค่คว้าโล่อีกใบจากศพศัตรูขึ้นมายกกำบังพร้อมกับหมุนรอบตัวเองเพื่อป้องกันกระสุน ทำได้ดีทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่าโล่สองใบจะกำบังกระสุนได้เกือบทั้งหมดแต่กระนั้น กระสุนนัดหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่กลางหลังจนได้ แม้เสื้อคลุมแผ่นโลหะตัวยาวและเกราะหนาๆ จะช่วยป้องกันไว้ได้แต่เนื่องจากกระสุนชนิดนี้หัวคม เขาจึงถูกมันเจาะเข้าไปในเนื้อเล็กน้อย แรงกระแทกทำเอาจุกทีเดียวรอบตัวเขา นักรบดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ ก็ไม่ต่างกัน ถูกยิงบ้างถูกดาบฟันแทงบ้างไม่คาดคิดว่าจะต้องสู้กับกองกำลังเอลิลมาก่อน ไม่คาดคิดด้วยซ้ำว่าเผ่าพันธุ์เอลิลที่ถูกกวาดล้าง เงียบหายไปนานแสนนาน จู่ๆ จะมีกองกำลังสงครามปรากฏขึ้นมาเล่นงานพวกเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

                กัปตันมาซูลถูกล้อมด้วยหอกยาว ต้องลงจากหลังม้ามาต่อสู้บนพื้น สู้บนหลังม้าอาจเสียเปรียบหอกยาว แต่หากลงมาใช้ดาบคู่ต่อสู้บนพื้นดินจะได้เปรียบ กระนั้น พวกทหารเอลิลที่ล้อมเขาอยู่ก็ทิ้งหอกยาวแล้วชักดาบออกมาต่อสู้กับเขาแทน เขากลอกตาอยู่หลังกระบังหมวกเกราะอย่างอ่อนใจ ปากพึมพำว่า “เราคือกำแพง” แล้วฟาดฟันดาบเข้าต่อสู้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นนักรบฝีมือล้ำเลิศ สามารถต่อสู้กับทหารเอลิลกลุ่มนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว แม้จะต้องเหนื่อยสักหน่อยก็ตาม พวกดาร์คเนสดีวิลบาดเจ็บกันถ้วนหน้า ตายไปก็เยอะ อีกฝ่ายจัดสรรชนิดกองกำลังมารับมือกับพวกเขาได้ถูกต้อง อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย นับว่าเจอศัตรูที่เก่งจริงๆ เข้าเสียแล้ว

                กองกำลังเอลิลชุดนี้มีผู้นำ ซึ่งดูจะมีฝีมือการต่อสู้เก่งที่สุด เขาไม่ใช่เอลิล ความสูงของเขาไม่ต่ำกว่าสองเมตรเศษ สวมเกราะแข็งหนาสีเงินตั้งแต่หัวจดเท้า เกราะไหล่ขวาติดโล่ใบเล็ก เกราะไหล่ซ้ายมีเปลวไฟลุกโชนตลอดเวลา ใบหน้าที่โผล่ออกมานอกหมวกเกราะบางส่วนนั้น ดูเหมือนมังกรหน้าทู่ ดวงตาใสว่างเปล่าเหมือนแก้วและมีแสงสีทองส่องออกมา เขาไม่ใช่เผ่าพันธุ์ผี แต่เป็นเผ่าพันธุ์มังกร เป็นเผ่าพันธุ์เฟลมฟอร์ส และเป็นอะไรที่พิเศษกว่านั้น

                “เซ็ทซาร์ด” โซลิแทร์พึมพำ

                บางสิ่งบางอย่างมันจุดเพลิงแห่งความเกลียดชังในตัวโซลิแทร์ เขากำลังมองสิ่งที่ตนเกลียดชังที่สุด เมื่อยี่สิบเก้าปีก่อน เซ็ทซาร์ดทุกคนไล่ล่าเขากับแม่อย่างดุเดือด สิ่งแรกในชีวิตที่เขาจำได้คือ แม่ของเขาถูกสอยตกม้าตายด้วยลูกดอกพิษ ส่วนตัวของเขาก็ถูกเปลี่ยนเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดไปตลอดกาล มือทั้งสองข้างที่เขาต้องสวมถุงมือตลอดเวลา มือที่เคยทำให้คนสำคัญในชีวิตของเขาต้องตายโดยไม่ได้ตั้งใจ ชีวิตอันยากลำบาก ปมด้อย ความผิดปกติมากมายที่เขาเป็นอยู่ พวกเซ็ทซาร์ดคือสาเหตุใหญ่

          เซ็ทซาร์ดคนนี้ใช้ดาบคู่เป็นอาวุธ เขาต่อสู้ได้เก่งกาจมาก เกราะหนาๆ ของเขาไม่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวสักนิด ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะว่องไวได้ขนาดนี้ สองมือกวัดแกว่งดาบฟาดฟันพวกนักรบดาร์คเนสดีวิลล้มตายลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นดีเซ็นทรี ดีวอเชอร์ จะมีพาหนะหรือไม่มีพาหนะ เขาก็ต่อสู้กำจัดได้หมด ขณะที่โซลิแทร์ที่อยู่บนฟ้านั้นกำลังลำบาก แม้จะฟันดาบปาดคอสังหารสัตว์ปีกเอลิลได้ตัวหนึ่ง แต่ก็ต้องบังคับพาหนะบินโฉบลงต่ำเพื่อหลบก้อนน้ำแข็งของอีกตัวหนึ่ง การที่เขาบินโฉบลงต่ำนั้น เปิดโอกาสให้ศัตรูบนพื้นดินมีช่องทางโจมตี เซ็ทซาร์ดเก็บดาบเล่มหนึ่งลงฝัก หยิบหอกสามง่ามบนพื้นขึ้นมาเล่มหนึ่ง แล้วพุ่งออกไปเต็มเหนี่ยว หอกพุ่งผ่านช่องระหว่างคอสองคอของเอเลนเซฟเวอรี่สีดำ ตรงเข้าหาตำแหน่งหัวใจกลางหน้าอกของโซลิแทร์ด้วยความเร็วสูง การที่หอกพุ่งเข้าใส่ในจังหวะที่โซลิแทร์บินโฉบสวนทางมาเช่นนี้ ย่อมทำให้เขาไม่มีมุมหลบ จึงทำได้แค่ยกสนับแขนสองข้างกำบังไขว้กันเป็นกากบาท หอกปะทะสนับแขนอย่างแรงจนเกิดประกายไฟ แรงกระแทกส่งผลให้โซลิแทร์กระเด็นหงายตกพาหนะ ไม่ได้ตกสูงมากจึงไม่บาดเจ็บ แต่ก็ทำเอาล้มคลุกคลานไปกับพื้นไม่เป็นท่าเหมือนกัน

          เซ็ทซาร์ดชักดาบอีกเล่มออกมาและก้าวเท้าเข้าหา โซลิแทร์ลุกขึ้นยืน สองมือจับดาบตั้งท่าเตรียมสู้ แม้ว่าเขาจะเป็นคนตัวสูง แต่อีกฝ่ายก็สูงใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่าแน่นอนเพราะเป็นเผ่าพันธุ์มังกร ดาบคู่สีเงินตรงเข้ามาปะทะกับดาบยาวสีดำ แล้วมันก็ฟาดฟันกันอย่างรวดเร็ว โซลิแทร์เพิ่งตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายว่องไวแค่ไหน เดาไม่ออกว่าถนัดซ้ายหรือถนัดขวาเพราะใช้ดาบทั้งสองเล่มได้หนักหน่วงและคล่องแคล่วพอกัน ดาบเล่มหนึ่งฟันใส่โซลิแทร์ โซลิแทร์ยกดาบรับไว้ได้ แล้วก็ต้องก้มหัวหลบอีกเล่มแทบจะในทันที เขาฟันโต้ตอบกลับไป เซ็ทซาร์ดปัดป้องด้วยดาบเล่มหนึ่ง และแทงสวนกลับในจังหวะเดียวกันด้วยดาบอีกเล่ม โซลิแทร์ต้องกลับกลายมาเป็นฝ่ายหลบหลีกอีกครั้ง นี่เป็นปัญหาของผู้ที่ต่อสู้กับดาบคู่ มันเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพเชิงรุกสูงมาก

          ดาบสองเล่มแทงใส่โซลิแทร์จากทางซ้ายและขวา ไขว้กันเป็นกากบาท โซลิแทร์ก้าวถอยหลังหลบ แล้วก็ต้องทำท่ากึ่งสะพานโค้งหลบ เมื่อดาบทั้งสองกวาดกระจายออกเป็นครึ่งวงกลม เกือบจะตัดคอเขาในลักษณะของกรรไกร โซลิแทร์ตั้งหลักอย่างรวดเร็ว แทงดาบใส่อีกฝ่าย ดาบของเขายาวกว่าเพราะเป็นดาบสองมือ เซ็ทซาร์ดหมุนตัวหลบพร้อมกับเหวี่ยงดาบทั้งสองเล่มขนานกันมาทั้งในมุมสูงและมุมต่ำ เป็นปัญหาของโซลิแทร์อีกครั้ง ถ้าเขาย่อตัวหลบลงต่ำก็จะโดนเล่มล่าง ถ้ากระโดดขึ้นสูงหลบก็จะโดนเล่มบน แต่ก็ต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง ไม่งั้นโดนทั้งสองเล่มแน่ เขาจึงเลือกกระโดดหลบเล่มล่าง และยกสนับแขนกำบังเล่มบน การกระโดดรับดาบทำให้เสียการทรงตัว ผลที่ได้คือเขาเสียหลักล้มลงไปกับพื้น แต่ก็ยังแก้ตัวด้วยการม้วนตัวกลับหลังลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และแทงดาบสกัดอีกฝ่ายในจังหวะเดียวกัน มันทำให้จังหวะต่อเนื่องของเซ็ทซาร์ดชะงักเล็กน้อย ถึงอย่างไรดาบสองมือก็ได้เปรียบดาบคู่ในเรื่องความยาวในการแทง โซลิแทร์ต้องอาศัยข้อได้เปรียบนี้ในการต่อสู้ เขากวาดดาบฟันใส่อีกฝ่าย หาจังหวะแทง อย่างน้อยดาบคู่ก็มีข้อเสียตรงที่อาวุธมีความแคบ มีช่องทางให้แทงได้มากมาย ซึ่งมุมแทงที่ดาบคู่น่าจะปัดป้องยากที่สุด คือตรงกลางระหว่างดาบสองเล่ม พยายามแทงให้ผ่านช่องนั้น แล้วศัตรูจะตั้งรับได้ลำบาก

          เซ็ทซาร์ดกวาดดาบใส่โซลิแทร์ในมุมเฉียงขวาขึ้นไปทางซ้าย แล้วกวาดอีกเล่มเฉียงซ้ายขึ้นไปทางขวา โซลิแทร์หลบหลีกได้ทั้งสองจังหวะ ฟันแสกหน้าใส่อีกฝ่ายด้วยสองมือ เซ็ดซาร์ดยกดาบสองเล่มรับไว้เหนือศีรษะเป็นกากบาท เท้าข้างหนึ่งยกขึ้นจะถีบใส่โซลิแทร์ ขายาวกว่าย่อมได้เปรียบ โซลิแทร์หมุนตัวหลบเท้า พร้อมกับเหวี่ยงดาบไปทางซ้าย เซ็ทซาร์ดใช้ดาบเล่มซ้ายปัดป้องได้ โซลิแทร์หมุนเหวี่ยงดาบกลับไปทางขวา เซ็ทซาร์ดปัดป้องได้อีกครั้งด้วยดาบเล่มขวา โซลิแทร์ได้จังหวะแล้ว เขาแทงเข้าใส่เซ็ทซาร์ด ผ่านช่องตรงกลางระหว่างดาบเล่มซ้ายและดาบเล่มขวา เล็งไปที่กลางหน้าอกของอีกฝ่าย มันเป็นตำแหน่งที่ปัดป้องได้ยากสำหรับดาบคู่

          แต่เซ็ทซาร์ดกลับแก้ทาง ด้วยการประสานดาบสองเล่มเป็นกากบาทคว่ำ กดดาบโซลิแทร์ให้เฉียงลงพื้น ไม่ไวจริงทำเช่นนี้ไม่ได้ นั่นทำให้โซลิแทร์เสียหลักเซไปข้างหน้า ปลายดาบถูกกดลงพื้นในจังหวะเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดีแน่ แล้วในจังหวะที่สอง เซ็ทซาร์ดก็ยกขายาวๆ เตะสูงข้ามมา มันฟาดเข้าที่ด้านซ้ายหมวกฮู้ดบริเวณกกหูของโซลิแทร์ การถูกเตะด้วยรองเท้าเหล็กมันไม่ได้เบาๆ เลยแม้จะมีหน้ากากบางส่วนรองรับอยู่บ้าง โซลิแทร์ถึงกับชะงักมึนงงตาค้าง จากนั้นในจังหวะที่สาม เซ็ทซาร์ดก็กวาดดาบทั้งสองที่ไขว้กันอยู่ เฉียงขึ้นมากระจายออกจากกันในลักษณะของกรรไกร ปลายดาบทั้งสองเล่มเฉือนเข้าที่หน้าอกโซลิแทร์ เสื้อเกราะและปกผ้าคลุมชำรุด เลือดสีดำกระเซ็นออกมา โซลิแทร์เซถอยหลังล้มลงไปไกล

          แผลจากดาบนั้นไม่อันตรายมากเพราะมีเสื้อเกราะช่วยรองรับและโดนแค่ปลายดาบ โชคดีที่เขาใช้ดาบสองมือเป็นอาวุธ ความยาวของดาบสองมือทำให้ระยะต่อสู้ระหว่างเขากับเซ็ทซาร์ดห่างกันมากขึ้น ไม่อย่างนั้นได้แผลลึกถึงตายแน่ แต่สิ่งที่กระทบกระเทือนเขาจริงๆ คือการถูกเตะเข้าที่ศีรษะก่อนหน้านี้ เขานอนแผ่ตาลอยด้วยความมึนงง หูซ้ายอื้อไม่ได้ยินอะไร รู้สึกอยู่ใต้ฮู้ดคลุมหัวว่าผมด้านซ้ายของตนเปียกๆ เหนียวๆ  บอกให้รู้ว่าบริเวณนั้นมีเลือดไหล เขาล้มมาไกลจากเซ็ทซาร์ด ท่ามกลางการต่อสู่อันวุ่นวาย เซ็ทซาร์ดคงไปสู้กับคนอื่นแล้ว

          “ท่านลอร์ด ได้ยินข้าไหม”

          โซลิแทร์กระพริบตา พยายามให้หายมึนงง เขาเห็นหน้าสุนัขจิ้งจอกปีศาจที่เป็นเหล็กแยกเขี้ยวอยู่ตรงหน้า แต่ภาพค่อนข้างมัวและสั่นไหว จนเหมือนว่าสิ่งที่เห็นนั้นแยกร่างได้ เสียงก็ก้องสะท้อนแปลกๆ

          “ลุกไหวไหม” กัปตันมาซูลถาม เลื่อนกระบังหมวกหน้าสุนัขจิ้งจอกปีศาจขึ้น หน้าผากมีแผลแตกและมีเลือดสีดำเล็กน้อย

          โซลิแทร์พยายามจะลุกแต่ก็ลุกไม่ขึ้น การถูกเตะด้วยแข้งขาอันทรงพลังของเซ็ทซาร์ดและหุ้มด้วยเหล็กหนาหนักขนาดนั้น ไม่ต่างจากถูกฟาดด้วยกระบองเลย

          “เราสู้ต่อไม่ไหว ได้ตายกันหมดแน่” กัปตันมาซูลนำแขนข้างหนึ่งของโซลิแทร์มาโอบคอตน แล้วพยุงให้ลุกขึ้นยืน “ต้องถอยกลับโฟรเซ็นทิเนล”

          “แต่ถ้าเราไม่ไปสมทบ พวกโฮเซ่ตายแน่” โซลิแทร์พูดอย่างอ่อนแรง ดูจะยืนไม่ค่อยไหว

          “ยังไงเราก็ผ่านพวกเอลิลไปไม่ได้อยู่ดี” กัปตันมาซูลหยิบดาบของโซลิแทร์จากพื้น เก็บลงฝักให้

          “งั้นเราคงต้องถอยทัพ” โซลิแทร์ยกมือข้างหนึ่งขึ้น พยายามจะยิงพลุสีแดงส่งสัญญาณล่าถอยขึ้นฟ้า แต่ก็ทำไม่ไหว ศีรษะคือส่วนสำคัญที่สุดของร่างกาย มันรับความรุนแรงไม่ได้มากเท่าส่วนอื่น ถูกกระแทกหนักๆ ด้วยของแข็งแบบนี้อาจถึงแก่ชีวิตได้ทีเดียว ชัดเจนแล้วว่าพวกเซ็ทซาร์ดไม่ใช่นักรบธรรมดาจริงๆ พวกนี้รู้จุดตายของคู่ต่อสู้เสมอ สามารถจัดการขั้นเด็ดขาดกับศัตรูได้ ไม่ว่าจะใช้คมอาวุธหรือไม่ก็ตาม

          “ถอยทัพ” เซซิลต้องเป็นคนตะโกนสั่งถอยเมื่อเห็นสัญญาณมือจากกัปตันมาซูล “ถอยทัพกลับโฟรเซ็นทิเนล”

          กองกำลังดาร์คเนสดีวิลถอยทัพตามคำสั่ง เจ้าเอเลนเซฟเวอรี่สีดำบินลงมารับโซลิแทร์ เกราะของมันชำรุดและเกิดบาดแผลจากการต่อสู้กับพวกสัตว์ปีกเอลิลบนท้องฟ้า กัปตันมาซูลพยุงโซลิแทร์ขึ้นไปนอนฟุบบนอานของมัน แล้วหันไปขึ้นม้าของตน พวกดาร์คเนสดีวิลถอยกลับไปอย่างสะบักสะบอม นี่คือจุดเปลี่ยนของปฏิบัติการครั้งนี้ กองกำลังเอลิลที่นำโดยเซ็ทซาร์ดคนหนึ่ง โผล่มาสกัดกลางทาง ซึ่งทำเพื่อจุดประสงค์อะไรก็ยังไม่อาจสรุปได้

 

*****************

 

                กอร์รินพยายามอย่างที่สุดที่จะพิชิตฐานบัญชาการใหญ่ซาโมโรว์ให้ได้ เขาและเหล่าทหารของเขาฟาดฟันขวานต่อสู้กับพวกทหารมนุษย์สุดกำลัง เวลามีไม่มาก ท็อกซ์ฟ็อกซ์จะต้านทัพเรือของกัปตันเท็มเปิลได้อีกนานสักเท่าไหร่ แต่กองกำลังป้องกันฐานบัญชาการที่นำโดยอโลบัสนั้น ก็ยังต่อสู้ป้องกันไว้ได้อย่างเหนียวแน่น อโลบัสคอยสั่งการให้กองกำลังของตนแปรรูปขบวนตั้งรับศัตรูตามสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี ต้องยอมรับว่าเก่ง กอร์รินเองก็มีปัญหาเรื่องการเจาะแนวรับของศัตรูไม่เข้า กองกำลังของเขามีน้อยกว่าที่ควรจะมีเกือบครึ่งหนึ่ง เพราะต้องแบ่งอีกส่วนไปให้ท็อกซ์ฟ็อกซ์ใช้ปกป้องชายฝั่ง เสียงปืนใหญ่จากทางชายฝั่งบ่งบอกให้รู้ว่าทางนั้นกำลังสู้กันอย่างดุเดือด ถ้าพวกเขาทางนี้ไม่รีบพิชิตเมืองให้ได้โดยเร็ว โฮเซ่จะกลายเป็นฝ่ายแพ้เสียเอง มันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น อุตส่าห์มาไกลขนาดนี้แล้วจะมาพลิกผันเอาตอนสุดท้ายเลยหรือ

                “จัดขบวนเป็นรูปดาบ เน้นเจาะทะลวงเข้ากลางกองกำลังมนุษย์” กอร์รินตะโกนสั่ง ขวานตัดคอทหารมนุษย์คนหนึ่งขาดกระเด็น

                “จัดขบวนเป็นรูปคันศรหัก เข้าประกบจากสองด้านข้างเมื่อฝ่ายตรงข้ามเจาะเข้ามาตรงกลาง” อโลบัสสั่งเสียงเรียบๆ แต่ได้ยินกันทั่ว ดาบในมือแทงเข้ากลางหัวใจทหารโฮเซ่คนหนึ่ง

                แทนที่พวกโฮเซ่จะเจาะผ่านแนวรับได้ กลับถูกประกบสองข้าง สุดท้ายก็ต้องถอยไปจัดรูปขบวนใหม่ ทั้งสองฝ่ายล้มตายกันไปก็เยอะ บาดเจ็บกันก็มาก คอยปรับรูปขบวนรับมือกันไปมาไม่จบไม่สิ้นเสียที ขืนเป็นเช่นนี้พวกโฮเซ่ลำบากแน่ กองเรือมนุษย์จี้อยู่ข้างหลัง พวกเขามีเวลาจำกัด นี่ถ้ามีกองทหารม้าสักกองก็คงจะพิชิตซาโมโรว์สำเร็จไปแล้ว ทั้งลักษณะพื้นที่ในฐานทัพและชนิดกองกำลังป้องกันฐานทัพที่ส่วนใหญ่ที่เป็นทหารราบนั้น ค่อนข้างแพ้ทางทหารม้า แต่กองทหารม้าดาร์คเนสดีวิลที่ปิดล้อมเมืองโอมิลรอนหายไปไหนกันหมด ทิ้งให้พวกโฮเซ่ต้องต่อสู้อยู่ลำพัง

                กอร์รินเหวี่ยงขวานไปทางซ้ายทีขวาทีปลิดชีวิตทหารมนุษย์ไปเป็นเบือ รองเท้าโลหะของเขาเตะเข้าเต็มๆ ปลายคางของมนุษย์คนหนึ่งสลบกลางอากาศ อัศวินคนหนึ่งควบม้าเข้ามาเต็มที่และแทงทวนใส่เต็มแรงแต่กอร์รินก็ใช้ด้ามขวานกระแทกออกไปได้และแทงใบขวานด้านแหลมเข้าเต็มคอหอยของอัศวินคนนั้น เขาถอนขวานกลับมาและหมุนตัวกลับไปข้างหลังกวาดขวานปาดคอทหารมนุษย์อีกสามคนที่ลอบเข้ามาโจมตี หากวัดกันตอนนี้ ถือว่ากองกำลังของเขาได้เปรียบกองกำลังของอโลบัสเรื่องจำนวน แต่ถ้าหากยังตีฐานบัญชาการใหญ่ซาโมโรว์ไม่แตกโดยเร็ว กองเรือของกัปตันเท็มเปิลจะบุกขึ้นฝั่งมาพลิกสถานการณ์ ปัญหาก็คืออโลบัสและกองกำลังของเขาก็ยังคงต้านทานไว้ได้เรื่อยๆ กอร์รินเคยแพ้ศึกทางทะเลแก่เขามาแล้ว นี่เป็นโอกาสที่จะแก้มือ หรือว่ามันจะซ้ำรอยเดิม

                ธนูสามดอกพุ่งเข้าใส่อโลบัสด้วยความเร็วพอๆ กับกระสุนปืนทำให้ต้องเอี้ยวตัวหลบอย่างฉับพลันและเสียหลักตกหลังม้า เขาลุกขึ้นจากพื้นและฟันดาบต่อสู้กับพวกทหารโฮเซ่อย่างคล่องแคล่วลื่นไหล กลุ่มไอน้ำแข็งเย็นเฉียบพุ่งออกจากปลายดาบของเขาเป็นรูปดาวหางตรงเข้าสลายร่างโฮเซ่กลุ่มหนึ่งแหลกเป็นผุยผง ดาบสองมือของเขาตวัดกวัดแกว่งปลิดชีพพวกทหารโฮเซ่ในรัศมีคมดาบล้มตายไปเรื่อยๆ เป็นเรื่องยากที่จะเข้าถึงตัวเขาได้ ดาบสองมือเป็นอาวุธที่มีความยาว มักถึงตัวคู่ต่อสู้ได้ก่อน โดยเฉพาะเมื่อต่อสู้กับขวานของพวกโฮเซ่ แล้วอโลบัสก็ใช้มันได้ว่องไวรวดเร็วยิ่งกว่าดาบมือเดียวเสียอีก นั่นทำให้เขาเป็นคู่ต่อสู้ที่อันตรายมาก แม้จะยิงธนูเข้าใส่ เขาก็ใช้ดาบปัดป้องได้หมด

                แล้วขวานไฟของกอร์รินก็ร่อนข้ามหัวที่ก้มหลบของอโลบัสไป มันร่อนหมุนไปตัดคอทหารมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่หลบไม่ทัน แล้วบินกลับมาหาอโลบัสอีกครั้ง อโลบัสปล่อยกลุ่มไอน้ำแข็งออกจากฝ่ามือ พุ่งปะทะสวนกับขวาน บังเกิดละอองไอน้ำ เกล็ดน้ำแข็งพุ่งกระจาย และเสียงฟู่ฟ่าที่เกิดจากความร้อนจัดปะทะความเย็นจัด แล้วขวานก็พุ่งกลับไปหากอร์รินที่คว้าไว้ได้อย่างเฉียดฉิว ใบขวานห่างหน้าเขาไปนิดเดียวเท่านั้น ด้ามขวานที่เขาจับอยู่ให้ความรู้สึกเย็นเฉียบ

                แม้ว่าพวกโฮเซ่จะพยายามเจาะทะลวงเท่าไหร่ กองกำลังของอโลบัสก็ต้านทานไว้ได้ไม่จบไม่สิ้น แม้จะเหลือกันไม่มาก แม้ใกล้จะจนมุม แต่ก็ยังรักษาฐานบัญชาการไว้ได้ต่อไป มีสัญญาณแตรดังมาจากชายฝั่งซาโมโรว์ และกองกำลังโฮเซ่อีกส่วนหนึ่งก็เริ่มแตกถอยมารวมด้วย ท็อกซ์ฟ็อกซ์ต้านไม่อยู่เสียแล้ว กองเรือของกัปตันเท็มเปิลบุกยึดชายฝั่งได้ และกำลังรุกไล่ตามหลังมา

                “กอร์ริน” ท็อกซ์ฟ็อกซ์จับช่องคอเสื้อเกราะของกอร์ริน แล้วดึงให้หันไปหา หายใจหอบ ตามชุดเกราะชำรุด เนื้อตัวมีบาดแผล บางแห่งมีเลือดสีขาวไหลออกมา “ทางข้าต้านไม่อยู่แล้ว ตอนนี้กลายเป็นว่าเราถูกพวกมันประกบทั้งข้างหน้าและข้างหลัง เราต้องถอยทัพ ไม่อย่างนั้นตายกันหมดแน่”

                “หมายความว่าปฏิบัติการล้มเหลวหรือ” กอร์รินพูดอย่างเจ็บปวด

                “ใช่” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พยักหน้า

                “มีแนวโน้มว่าพวกดาร์คเนสดีวิลจะยกพลมาเสริมไหม” กอร์รินยังแอบหวัง

                “ไร้เงาเหมือนเดิม พวกนั้นทิ้งเราไปแล้ว” ท็อกซ์ฟ็อกซ์คำราม “ต่อให้มาตอนนี้ก็สู้ไม่ไหวอยู่ดี กองกำลังจากทัพเรือมนุษย์มีจำนวนมากเกินไป”

                กองกำลังของกัปตันเท็มเปิลเคลื่อนพลรุกไล่กองกำลังที่เหลือของท็อกซ์ฟ็อกซ์เข้ามาจากทางชายฝั่ง มีเสียงแตรเป่าเป็นเพลงและเสียงคำรามอย่างฮึกเหิมของพวกมนุษย์ พวกนั้นมีจำนวนมากอย่างที่ท็อกซ์ฟ็อกซ์บอกจริงๆ ทั้งอาวุธทั้งเกราะมีครบเครื่องกันทุกคน

                “ศัตรูแห่งมนุษย์จงพ่ายแพ้ ในนามของพระราชา” กัปตันเท็มเปิลประกาศก้อง

                “กอร์ริน เราแพ้แล้ว” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูดชัดถ้อยชัดคำ “ต้องปล่อยวางภารกิจ หรือจะตายกันหมด โดยไม่ได้อะไรเลย”

                กอร์รินหลับตาอย่างเจ็บปวดและผิดหวัง

                “ตีฝ่าออกไปทางตะวันตก” เขาพูดเสียงอ่อน “เส้นทางนั้นปลอดภัยที่สุด”

                ท็อกซ์ฟ็อกซ์ส่งสัญญาณถอยทัพ พวกโฮเซ่ที่เหลือพากันตีฝ่าพวกมนุษย์ออกไป ตายกันไปอีกหลายคน ที่ฝ่าออกไปได้ก็ทั้งบาดเจ็บและผิดหวัง ปฏิบัติการที่จวนเจียนจะสำเร็จ กลับล้มเหลว

          พวกมนุษย์ไชโยโห่ร้องประกาศชัยชนะ กัปตันเท็มเปิลกลายเป็นวีรบุรุษ พวกทหารนักรบตะโกนสรรเสริญเขา ขณะที่อโลบัสและกองทหารรักษาฐานทัพที่เหลืออยู่เพียงหยิบมือเดียวดูจะถูกลืมไป แทบจะไม่มีใครสนใจว่าที่ซาโมโรว์รอดพ้นจากการถูกพิชิตนั้น ก็เพราะความสามารถของเจ้าชายมนุษย์หนุ่มคนนี้ พวกมนุษย์สนใจแต่ผู้กอบกู้ที่ปรากฏตัวชัดเจนกว่า อย่างไรก็ตาม นั่นก็ไม่ได้ทำให้อโลบัสรู้สึกอะไร เขาดูไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึกเกินกว่าจะสนอกสนใจเรื่องนี้

          ด้วยน้ำใจนักรบของกัปตันเท็มเปิล เขารู้อยู่แก่ใจว่าใครคือวีรบุรุษที่แท้จริง เขาเดินไปหาอโลบัส และแสดงความขอบคุณ

                “เรารักษาเมืองซาโมโรว์ไว้ได้ หากเสียเมืองอาจเป็นจุดเปลี่ยนให้ศัตรูมีช่องทางพิชิตเราได้ทั้งอาณาจักร แต่เราก็ไม่เสียเมือง” เขาโค้งศีรษะให้อโลบัส “ต้องขอบคุณท่าน”

                “ขอบคุณท่านต่างหาก ที่ยกพลกลับมากอบกู้ได้ทันเวลา” อโลบัสพูดเรียบๆ

                “เราต่างก็เป็นนักรบที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าใครลงแรงลำบากกว่าใคร ใครต้องต่อสู้มากกว่าใคร” กัปตันเท็มเปิลยิ้ม “ท่านคือวีรบุรุษตัวจริง เจ้าชายอโลบัส ท่านควรภาคภูมิใจ”

                “ข้าควรหรือ” อโลบัสถามอย่างไร้อารมณ์

                กัปตันเท็มเปิลขมวดคิ้ว

                “ตายกันเกลื่อนกลาด” อโลบัสมองไปตามศพทหารมนุษย์และทหารโฮเซ่ที่นอนเกลื่อนบนพื้น “คนตายเหล่านี้ต่างต่อสู้ กระเสือกกระสน ดิ้นรนอย่างมีเป้าหมาย แต่ทำไมข้าที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงรู้สึกไร้ทิศทาง ความยากลำบากที่ข้าลงทุนลงแรงไปนั้น มันเพื่ออะไรกัน ทำไมข้าถึงนึกไม่ออกว่าข้ารบเพื่ออะไร”

                “ท่านรบเพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรา และอาณาจักรโมราโซมอสของเรา” กัปตันเท็มเปิลเน้นชัดทุกพยางค์

                “แล้วทำไม ข้าถึงไม่รู้สึกว่ามันคุ้มค่าเลย” อโลบัสสงสัย “ข้าปกป้องมนุษย์ให้รอดพ้นจากศัตรูภายนอก เพื่อได้เห็นมนุษย์กลับไปแสดงความโลภหลง ความเห็นแก่ตัว พร้อมจะรุกรานผู้อื่นเมื่อมีโอกาส ช่างเป็นการปกป้องที่ไร้แก่นสารเสียจริง”

                “มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ของท่าน” กัปตันเท็มเปิลเสียงแข็งเป็นเชิงเตือนสติ

                “แล้วทำไมข้าถึงไม่รู้สึกเช่นนั้นนัก” อโลบัสถามกลับ

                “ท่านคือรัชทายาทอันดับหนึ่งแห่งราชบัลลังก์โมราโซมอส วันหนึ่ง ท่านต้องขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งมนุษยชาติ” กัปตันเท็มเปิลพูดอย่างจริงจัง “ไม่ว่าท่านเกิดความสับสนอันใด ก็ควรรีบแก้ไขได้แล้ว ทำตัวให้สมกับคนที่จะได้เป็นกษัตริย์ด้วย”

                “นั่นคืออนาคตที่รอข้าอยู่อย่างนั้นหรือ” อโลบัสถามเรียบๆ

                “นั่นคือสิ่งที่ท่านเกิดมาเพื่อมัน” กัปตันเท็มเปิลว่า “มันคือชะตาลิขิตของท่าน”

                “ข้าเข้าใจว่าเราลิขิตชะตาตัวเองเสียอีก” อโลบัสพูดอย่างไร้ความรู้สึก “ชีวิตเราคงไร้ความหมาย หากไม่ได้เป็นผู้ลิขิตเอง คงจะเป็นชีวิตที่ว่างเปล่า หากไม่มีโอกาสได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเรา”

                “ท่านคงเหนื่อยจากการรบ ไปพักผ่อนจัดการตัวเองเสีย” กัปตันเท็มเปิลตัดบท “เราทุกคนมีหน้าที่ เจ้าชายอโลบัส จดจำไว้ในใจตลอด ว่าหน้าที่ของเราคืออะไร”

                แล้วเขาก็เดินจากไป เบื่อที่จะพูดคุยกับอโลบัสเวลาแสดงความคิดและคำพูดแปลกๆ เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ส่วนอโลบัสยังคงยืนนิ่ง ในหัวครุ่นคิดถึงประโยคสุดท้ายที่ได้ยิน กัปตันเท็มเปิลเตือนให้เขานึกถึงหน้าที่ แต่อะไรคือหน้าที่สำหรับเขากัน หน้าที่ซึ่งเขาควรทำโดยแท้จริง กระทำแล้วรู้สึกว่ามันมีความหมาย ไม่ไร้แก่นสารเลือนลอยอย่างที่เป็นมาตลอด

 

****************

               

                เซ็นแวนเดอร์และกองกำลังฟอเรสเทอร์จำนวนหนึ่งกำลังขี่ม้าลุยหิมะเย็นเฉียบ ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บอาณาจักรไอซ์เมส สภาพอากาศของที่นี่ไม่เหมาะกับเผ่าพันธุ์ฟอเรสเทอร์เลย โดยเฉพาะวันนี้ ที่อุณหภูมิลดต่ำลงอีก ปกติแล้วเวลากลางวันคือเวลานอนหลับพักผ่อนของพวกฟอเรสเทอร์ แต่พวกเขาก็จำต้องมาทำงานสำรวจในตอนกลางวัน เนื่องด้วยอากาศของที่นี่จะหนาวขึ้นอีกยามฟ้ามืด แม้ทุกคนจะถูกห่อหุ้มอยู่ในเสื้อขนสัตว์ที่หนาเป็นพิเศษ(กระทั่งม้าที่พวกเขาขี่อยู่ก็ยังต้องห่มขนสัตว์)แต่ก็ไม่อาจทำให้อบอุ่นเพียงพอ แต่ละคนหายใจออกมาเป็นควันขาว บางคนมือไม้สั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ ก่อนหน้านี้พวกเขาสำรวจเมืองหลายเมืองในไอซ์เมสที่เดินทางผ่าน ไม่มีวี่แววของฐานทัพเอลิลเลย สภาพอากาศอันย่ำแย่ทำให้นักรบบางส่วนล้มป่วย เซ็นแวนเดอร์ต้องส่งพวกเขากลับกาโกคอล ขณะที่เขาและนักรบที่เหลือก็ทำการสำรวจต่อไป ในวันนี้พวกเขาเข้ามาถึงเมืองเดธแอเรีย เมืองหลวงของอาณาจักรไอซ์เมส คงจะได้รู้ชัดเสียทีว่ามีฐานทัพเอลิลหรือไม่

          อย่างที่แอเมน่าบอก หากพวกเอลิลจะก่อร่างสร้างตัวขึ้นใหม่ ทุกอย่างจะต้องเริ่มจากเมืองหลวงแห่งนี้ ในตอนนี้เซ็นแวนเดอร์ก็ยังไม่เห็นฐานทัพที่ไหนเลย ที่เขาเห็นก็แค่พื้นที่โล่งกว้างสีขาวว่างเปล่า และภูเขาน้ำแข็งเป็นฉากหลัง ถ้ามีฐานทัพจริงก็คงจะพอเห็นอยู่ไกลๆ บ้าง มันไม่ใช่สิ่งที่จะซ่อนจากสายตาได้ง่ายๆ อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่อาจมั่นใจเต็มร้อยว่าพื้นที่แถบนี้ว่างเปล่า อาจยังสำรวจไม่ละเอียดก็เป็นได้

          “ขออนุญาตออกความเห็นครับ ท่านรองหัวหน้าเผ่า” นักรบฟอเรสเทอร์คนหนึ่งพูดผ่านฟันที่กระทบกัน ทำอย่างไรก็อบอุ่นไม่พอ

          “เจ้ามีอะไรจะชี้แจง” เซ็นแวนเดอร์ถาม

          “เมืองหลวงเดธแอเรียเป็นพื้นที่ราบ ทำให้เรามองเห็นได้อย่างกว้างขวาง” นักรบกวาดมือไปรอบๆ “หากพวกเอลิลสร้างฐานทัพไว้ที่นี่จริง เราก็คงจะเห็นบ้างแล้ว ฐานทัพไม่ใช่สิ่งที่จะซ่อนจากสายตาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะในพื้นที่โล่งกว้างของเมืองนี้ ข้าคิดว่าไม่น่าจะมีฐานทัพเอลิลที่นี่ครับ”

          “เจ้าพูดมีเหตุผล” เซ็นแวนเดอร์พยักหน้า “แต่อาวุธเอลิลที่เราพบเจอ มันชวนให้น่าสงสัย มันถูกผลิตขึ้นในรูปแบบอุตสาหกรรม ซึ่งหากจะผลิตอาวุธในรูปแบบอุตสาหกรรมได้ ก็ต้องมีฐานทัพ และถ้าหากพวกเอลิลจะสร้างฐานทัพ มันจะต้องเริ่มต้นจากเมืองหลวงแห่งนี้ สำหรับเมืองอื่นๆ ที่เราเดินทางผ่านมานั้น เราสำรวจแค่ผ่านสายตา แต่สำหรับเมืองนี้ ข้าอยากให้เราแน่ใจจริงๆ ว่าไม่ได้พลาดอะไรไป”

          “เรียนท่านรองหัวหน้าเผ่า ที่นี่มันร้างและว่างเปล่า ข้าไม่เห็นอะไรนอกจากหิมะกับน้ำแข็ง สิ่งมีชีวิตสักตัวก็ยังไม่มี นอกจากพวกเรา” นักรบอีกคนพูด

          “ความจริงแล้ว” เซ็นแวนเดอร์พูดช้าๆ “ในตอนนี้ แถวนี้ไม่ได้มีแค่เราหรอก มีใครสักคนกำลังจับตามองเราอยู่ห่างๆ ข้าเหลือบไปเห็นเมื่อกี้”

          นักรบฟอเรสเทอร์คนอื่นๆ หันมามองเขา เซ็นแวนเดอร์โบกมือให้ทุกคนขี่ม้าต่อไป ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

          “ตรงไหนครับ” นักรบคนหนึ่งถาม

          “ทิศตะวันตก บนเนิน อย่าหันไปมอง” เซ็นแวนเดอร์บอก พยายามวางท่าทางให้ปกติ “สวมชุดกันหนาวสีขาว ขี่ม้าขาว ลักษณะอานน่าจะเป็นม้าของพวกมนุษย์”

          เรื่องสายตานั้น เซ็นแวนเดอร์เป็นเลิศมาก ว่ากันว่ามันทำให้เขายิงธนูแม่นยำที่สุดในกาโกคอล

          “เรากำลังถูกจับตาโดยมนุษย์หรือครับ” นักรบถามต่อ

          “มนุษย์แน่นอน” เซ็นแวนเดอร์มั่นใจ

          “เราควรทำยังไงต่อครับ” นักรบอีกคนถาม

          “ในตอนนี้วางตัวเฉยไว้ก่อน ขี่ม้าต่อไปเรื่อยๆ อย่าหยุด” เซ็นแวนเดอร์สั่งการ “เตรียมอาวุธไว้ให้พร้อม เราไม่รู้ว่ามนุษย์คนนั้นเป็นใคร ต้องการอะไร มาทำอะไรที่นี่ เรา--”

          ไม่ทันได้พูดจบประโยค ทั้งเขาและเฟอเรสเทอร์คนอื่นๆ ที่ขี่ม้าตามมา ก็ต้องสะดุ้งจนตัวลอย เมื่อเกิดความรู้สึกทะลุผ่านอะไรสักอย่างที่มองไม่เห็น คล้ายกับทะลุผ่านอากาศที่มีความหนาแน่นเป็นพิเศษ แล้วทุกคนก็จ้องมองไปข้างหน้าตาค้างจนลืมหยุดม้า จู่ๆ สิ่งที่พวกเขามองไม่เห็นจากไกลๆ กลับโผล่มาปรากฏให้เห็นในระยะใกล้ๆ ทำไมก่อนหน้านี้พวกเขาถึงไม่เห็นมันล่ะ มันจะต้องเกี่ยวกับความรู้สึกที่เหมือนเดินผ่านเกราะล่องหนเข้ามาแน่ๆ

          กำแพงที่สร้างด้วยหินตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้าพวกเขา มันล้อมพื้นที่กว้างๆ บริเวณหนึ่ง มียอดอาคารยอดปล่องควันโผล่พ้นขอบกำแพงมาให้เห็นบ้าง กำแพงยังดูใหม่ คงจะเพิ่งสร้างเสร็จมาไม่นาน มีทหารเอลิลยืนประจำอยู่ตามเชิงเทินกำแพง แต่ละคนสวมเกราะสีเงินเป็นประกายทั่วทั้งตัว ถือปืนยาวรูปฟาร์ดาราสคนละกระบอก ปืนแบบเดียวกับที่เคยใช้ยิงเซ็นแวนเดอร์ที่กาโกคอล พวกนั้นจ้องมองมายังพวกเขาด้วยเบ้าตากลวงๆ ปกคลุมด้วยเงามืด ผ่านกระบังหมวกเกราะที่เลื่อนขึ้น คงจะเห็นพวกเขาเคลื่อนพลมาแต่ไกลแล้ว ก่อนหน้านี้ที่พวกเอลิลยังไม่เคลื่อนไหว ก็เพราะคอยดูว่าพวกฟอเรสเทอร์จะผ่านเกราะพรางตาเข้ามาหรือไม่ บางทีอาจตบตาพวกฟอเรสเทอร์ได้จนกระทั่งพวกฟอเรสเทอร์กลับไปรายงานเผ่าพันธุ์ว่าไม่พบฐานทัพเอลิล แต่เซ็นแวนเดอร์และพวกพ้องก็ขี่ม้าทะลุเกราะเข้ามาเห็นฐานทัพจนได้ เป็นจุดเปลี่ยนให้พวกเอลิลไม่จำเป็นต้องเฉยอีกต่อไป

                “พวกเอลิลใช้เกราะมนต์ดำพรางฐานทัพไว้” เซ็นแวนเดอร์กระซิบ

                “เรา” นักรบคนหนึ่งตะกุกตะกัก ยังไม่หายตกใจ “เราจะทำอย่างไรกันดีครับ”

                แอเมน่าสั่งไว้ว่า หากพบเจอพวกเอลิล ให้หลีกเลี่ยงการต่อสู้ อย่างน้อยก็หาทางเจรจาให้รู้เรื่องก่อน เซ็นแวนเดอร์จึงกางฝ่ามือและชูขึ้นให้พวกเอลิลเห็น สัญลักษณ์กระดาษ สัญลักษณ์ขอเจรจา

                บนกำแพงมีเอลิลคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า เขาสวมเกราะสีเงินทั่วตัวเหมือนทหารเอลิลทั่วไป ต่างแค่ยอดหมวกเกราะของเขาติดพู่สีเงินเป็นหางม้า แสดงให้เห็นถึงฐานะที่แตกต่างจากทหารเอลิลทั่วไป ที่พิเศษกว่านั้นคือ ตาของเขาไม่ได้เป็นกลุ่มธาตุอากาศสีดำเหมือนเอลิลทั่วไป แต่เป็นสีขาว

                หัวหน้าทหารเอลิลคนนั้นยกสองนิ้วขึ้น แสดงสัญลักษณ์กรรไกร สัญลักษณ์ปฏิเสธการเจรจา

                “แย่แล้ว” เซ็นแวนเดอร์หันไปหาฟอเรสเทอร์คนอื่นๆ “ทุกคน ขี่ม้าหนีไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด”

                นายทหารเอลิลเลื่อนกระบังหมวกเกราะเป็นซี่ตะแกรงถี่ๆ ลงมาปิดหน้า แล้วยกมือทำสัญญาณสั่งการ ทหารเอลิลคนอื่นๆ ก็เลื่อนกระบังหมวกเกราะแบบเดียวกันลงมาปิดหน้าพร้อมรบ บนกำแพงมีพื้นที่สำหรับตั้งอาวุธหนักของพวกเอลิลอยู่เป็นจุดๆ มันคือฐานปล่อยจรวดขนาดย่อม พวกทหารเอลิลที่ประจำอยู่ตามฐานปล่อยจรวดนั้น ช่วยกันปรับความเอียงของฐานจรวดตามขีดวัดองศาเพื่อคำนวณจุดตก คบเพลิงจ่อที่ชนวนจรวดทันที

                “เร่งม้าอีก เร็วเข้า” เซ็นแวนเดอร์ตะโกน ควบม้าลุยหิมะหนีสุดชีวิต

                จรวดหลายลำพุ่งตรงเข้ามาระเบิดไล่หลังพวกเขา แรงระเบิดและรัศมีของมันไม่ธรรมดาเลยทีเดียว หิมะกระจัดกระจาย ละลายด้วยความร้อน ระเหยเป็นไอโชย และส่งเสียงฟู่ฟ่า นักรบฟอเรสเทอร์สองสามคนขี่ม้าหนีไม่พ้นรัศมี ต้องสังเวยชีวิตไป เซ็นแวนเดอร์และคนอื่นๆ ที่เหลือสะบัดบังเหียนเร่งม้าขึ้นอีก จะมีจรวดตามมาอีกหลายลำแน่

                “กระจายกันออกไป” เซ็นแวนเดอร์ตะโกนสั่ง

                พวกฟอเรสเทอร์ขี่ม้ากระจายกลุ่มกันออกไป เพื่อพวกเอลิลจะได้เล็งจรวดเก็บพวกเขาทั้งหมดยากขึ้น ถึงอย่างไรก็ขอไปให้พ้นระยะยิงเสียก่อน แม้จะถูกระเบิดไปอีกสองสามคน แต่พวกเขาก็ทะลุออกมานอกเกราะมนต์ดำได้ น่าจะพ้นรัศมีการยิงพอดี เกราะมนต์ดำเป็นธาตุอากาศที่หนาแน่น เมื่อขี่ม้าทะลุผ่านมันจึงเกิดช่องโหว่อยู่ชั่วขณะ ก่อนที่ธาตุอากาศเหล่านั้นจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เซ็นแวนเดอร์หันไปมองก่อนที่เกราะจะกลับมาผสานกัน เขาทันเห็นประตูกำแพงที่เป็นประตูกลตะแกรงเหล็กนั้น เลื่อนเปิดขึ้น เหล่าทหารเอลิลควบม้าสวมเกราะสีเงินเต็มตัวไล่กวดตามหลังพวกเขา ม้าของพวกเอลิลสามารถวิ่งไปบนผิวหิมะได้โดยไม่จมลึกลงไปเหมือนม้าของพวกเขา นั่นทำให้ในพื้นที่แห่งนี้ ม้าของพวกเอลิลเร็วกว่าม้าของพวกเขา

                “หนีต่อไป อย่าหยุด” เซ็นแวนเดอร์ตะโกนสั่งคนของตน ควบม้าหนีไปด้วย

                พวกทหารม้าเอลิลทะลุออกมาจากเกราะมนต์ดำ ในมือแต่ละคนถือปืนยาว จะไล่ทันพวกฟอเรสเทอร์ในอีกไม่นานเพราะม้ามีความคล่องตัวบนพื้นหิมะสูงกว่า ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อไล่หลังมาจนถึงระยะปืน พวกทหารม้าเอลิลก็เริ่มเหนี่ยวไก แม้จะเป็นเรื่องยากที่จะยิงปืนให้แม่นระหว่างกำลังขี่ม้าเต็มฝีเท้า แต่เมื่อระดมยิงจากปืนหลายกระบอก มันก็ต้องถูกเป้าหมายบ้าง นักรบฟอเรสเทอร์อีกหลายคนถูกยิงตกหลังม้า ขนนกบนรัดเกล้าของเซ็นแวนเดอร์ถูกยิงขาดกระจุย ต่ำกว่านี้อีกนิดเดียว สิ่งที่กระจุยคงจะเป็นหัวของเขาแทน เอาเถิด อย่างน้อยปืนมันก็มีข้อเสีย มันบรรจุกระสุนใหม่ลำบากโดยเฉพาะบนหลังม้า พวกเอลิลยิงได้นัดเดียวก็ต้องเก็บปืนไป เซ็นแวนเดอร์หันไปยิงธนูโต้ตอบบ้าง ให้รู้กันไปว่าธนูก็สู้ปืนได้ ธนูดอกแรกพุ่งใส่กลางอกทหารเอลิลคนหนึ่งอย่างแม่นยำ แต่มันก็กระทบกับเกราะเหล็กและกระดอนออก ทำทหารเอลิลคนนั้นแค่เสียหลักเล็กน้อย หัวลูกธนูที่เป็นหินหรือจะเจาะเกราะเหล็กเข้า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เซ็นแวนเดอร์รู้สึกว่าเผ่าพันธุ์ของตนล้าหลังกว่าเผ่าพันธุ์อื่นมาก

                แม้อาวุธจะด้อยกว่า แต่ฝีมือยิงธนูของเขามันก็ยังคงเหนือชั้น เขาหันไปยิงอีกครั้ง ใช้เวลาเล็งมากขึ้นเล็กน้อย หนนี้ธนูเสียบผ่านช่องเกราะเข้าที่คอของทหารเอลิล ปลิดชีพทหารคนนั้นร่วงตกหลังม้า นับว่าเก่งมาก เซ็นแวนเดอร์คอยบังคับม้าและคอยหันไปหาจังหวะยิงเรื่อยๆ เก็บทหารเอลิลได้อีกหลายคน นั่นช่วยชะลอการรุกไล่จากอีกฝ่ายได้ดีทีเดียว และในจังหวะที่เขาจะหันไปยิงอีกนั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นบนฟ้า ฟาร์ดาราสตัวหนึ่งบินตามกลุ่มทหารม้าเอลิลมา แสงแดดจางๆ ส่องผ่านปีกโปร่งใสของมันเป็นลำแสงหักเห หายนะบังเกิดแล้ว ไม่ว่าเขาจะแม่นธนูสักแค่ไหน มันก็ไม่เพียงพอจะหยุดยั้งสัตว์ใหญ่อย่างฟาร์ดาราสได้ ธนูเป็นไม้ หัวธนูทำด้วยหิน จะยิงเข้าอย่างไร

                “หนีสุดชีวิต” เขาตะโกนบอกฟอเรสเทอร์คนอื่นๆ “ฟาร์ดาราส”

                ความเร็วม้า คงไม่มีทางจะหนีทันสัตว์ปีกตัวใหญ่ที่บินอยู่บนฟ้า ทันทีที่ฟาร์ดาราสไล่ตามทัน พวกเขาคงตายกันหมดแน่ พวกเขายังพอกระเสือกกระสนหนีกลุ่มทหารม้าเอลิลได้ แต่ฟาร์ดาราสนี่คงไม่มีทาง ไม่รู้จะเอาอะไรไปสกัดมันไว้

                “จิตวิญาณแห่งบรรพชน” เซ็นแวนเดอร์พึมพำ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล แต่ด้วยความที่เป็นเผ่าพันธุ์ฟอเรสเทอร์ เผ่าพันธุ์ที่ยังล้าหลังและตัดเรื่องงมงายออกไปไม่ได้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปพึ่งพาสิ่งที่ไม่มีตัวตนยามจนตรอก “โปรดปกป้องพวกเรา”

                ฟาร์ดาราสตัวนั้นควรจะไล่ทันพวกเขาแล้ว พวกมันควรจะโฉบพวกเขาสักคนตกจากหลังม้า หรือไม่ก็พ่นน้ำแข็งจัดการให้สิ้นซาก แต่ทำไมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                เซ็นแวนเดอร์หันกลับไปมอง ฟาร์ดาราสตัวนั้นบินไปอีกทาง เหมือนพบเห็นอะไรสักอย่างแล้วไล่ตามไป บางอย่างบังเอิญไปดึงดูดความสนใจมัน จะเป็นอะไรนั้นก็ไม่สำคัญ แต่โชคเข้าข้างแล้ว ตอนนี้มีเพียงพวกทหารม้าเอลิลเท่านั้นที่ไล่กวดพวกเขามา เซ็นแวนเดอร์หยิบธนูออกมาขึ้นสาย ตั้งสมาธิมากกว่าครั้งไหนๆ หันกลับไป แล้วยิงขึ้นฟ้า

          ธนูดอกนั้นแตกกระจายออกเป็นธนูไฟเกือบยี่สิบดอก มันโปรยเข้าใส่พวกทหารม้าเอลิลราวกับฝน ทหารเอลิลหลายคนถูกธนูไฟเสียบตกหลังม้าตายสนิท บางคนก็ยกโล่กำบังไว้ได้ นั่นทำให้กองทหารม้าเอลิลถึงกับชะงักทีเดียว เป็นจุดเปลี่ยนให้พวกฟอเรสเทอร์เร่งหนีทิ้งห่างออกไป

          พวกเอลิลไม่ไล่ตามต่อ อีกฝ่ายทิ้งระยะห่างมากเกินไป อีกทั้งเซ็นแวนเดอร์ก็คงสามารถหันมาใช้ความสามารถพิเศษสกัดการไล่ล่าได้อีกหลายจังหวะ พวกเขาจึงหยุดม้าผี ปล่อยพวกฟอเรสเทอร์ไป  

                เป็นอันสรุปได้ชัดเจนว่า เอลิลไม่ได้เป็นมิตรกับฟอเรสเทอร์อย่างแน่นอน

               

***************

 

                “ไม่พบร่องรอยของเธอเลยหรือ” แพทย์หลวงโกลด์แมนถามทหารลาดตระเวนอย่างประสาทเสีย ทั้งวิตกกังวลและกระวนกระวาย

                “หิมะกลบรอยม้าของเธอหมดครับ เราตามรอยไปไม่ถูก ยิ่งตอนนี้ยิ่งหายาก ฟ้ามืดสนิทแล้ว อากาศก็เย็นลง มนุษย์เราไม่คุ้นเคยกับพื้นที่บริเวณนี้ด้วย” ทหารลาดตระเวนรายงาน

                “เราต้องหาต่อไป จนกว่าจะพบเธอ” โกลด์แมนบอก

                ทหารโค้งคำนับแล้วแหวกผ้าออกจากกระโจมไป โกลด์แมนเดินไปเดินมาอยู่ในกระโจมของตน คว้าจอกเหล้ามาบนโต๊ะทำงานดื่มแก้เครียด ซินิท โกลด์แมนลูกสาวของเขา นั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน สีหน้าไม่สบายใจเช่นกัน

                “ท่านพ่อก็รู้ไม่ใช่หรือคะ ว่าวันนี้เธอจะไปสำรวจพื้นที่บริเวณไหน” ซินิทถาม “ท่านเป็นคนกำหนดพื้นที่ให้เธอไปสำรวจเอง”

                “พ่อส่งคนไปหาเธอในพื้นที่นั้นแล้ว ไม่พบเธอ” โกลด์แมนตอบ “ไอซ์เมสก็ไม่ใช่พื้นที่ที่มนุษย์เราคุ้นเคย อันตรายมีอยู่เต็มไปหมด เธออาจขี่ม้าเหยียบน้ำแข็งแตกตกลงไปในทะเลสาบเย็นเฉียบ หรืออาจพลัดตกเหวน้ำแข็งลึกๆ แคบๆ หรืออาจมีสัตว์ร้ายงาบเธอไปกิน หรือแม้กระทั่งหลงทางติดอยู่ในความมืด ท่ามกลางอากาศอันหนาวเย็น”

                “ปกติเธอจะกลับมาก่อนค่ำเสมอ ไม่มีใครอยากจะอยู่นอกค่ายในตอนฟ้ามืดและอุณหภูมิที่ต่ำลง” ซินิทพูด “เธอก็สำรวจพื้นที่ในเมืองหลวงเดธแอเรียนี้มาตั้งหลายวันแล้ว ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ทำไมวันนี้อิลิมิน่าตกดินแล้วเธอยังไม่กลับ”

                “พ่อมองหน้าอาร์รอสไม่ติดแน่ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับลูกสาวของเขา” โกลด์แมนรินเหล้าดื่มอีก

                “เราต้องหาเธอให้เจอค่ะ” ซินิทพยายามให้กำลังใจ

                “ก็ไม่รู้ว่าจะหาเจอในสภาพไหน--”

                “เรียนท่านแพทย์หลวง” ทหารลาดตระเวนคนเดิมแหวกผ้าม่านเข้ามารายงานอย่างเร่งรีบ “พบเธอแล้วครับ”

                “พบที่ไหน” โกลด์แมนรีบถามอย่างโล่งใจ

                “เธอขี่ม้ากลับมาเองครับ” ทหารโค้งคำนับแล้วถอยออกไปจากกระโจม

          นาทีต่อมา ซอร์โรร่าก็เข้ามาในกระโจม ท่าทางเหนื่อยล้า ผมสีน้ำตาลทองยุ่งกระเซิง เสื้อผ้าเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ เนื้อตัวมีรอยฟกช้ำเล็กน้อย เสื้อคลุมขนสัตว์ขาดชำรุดบริเวณขาและสะโพก มีบาดแผลแห้งกรังเหมือนถูกน้ำแข็งกัด

          “แม่หนู เจ้าบาดเจ็บ” โกลด์แมนเข้าตรวจดูเธอ “ซินิท ช่วยเธอถอดเสื้อกันหนาวที”

          “ข้าไม่เป็นอะไรมากค่ะ บาดแผลไม่ร้ายแรง” ซอร์โรร่าให้ซินิทถอดเสื้อคลุมออก แล้วขึ้นไปนั่งบนโต๊ะว่างๆ ตามที่ถูกประคองไป ดูเธอเหน็ดเหนื่อย

          “ไปโดนอะไรมาล่ะ” โกลด์แมนวางกล่องเครื่องมือลงบนโต๊ะ เข้ามาตรวจดูแผลที่ขาและสะโพกของเธอ “เหมือนกับถูกทำร้ายด้วยสิ่งที่แข็งและเย็นจัด”

          “ฟาร์ดาราสค่ะ” ซอร์โรร่าตอบ

          “อะไรนะ”

          “ท่านหมายถึงผีบิน สัตว์ปีกเอลิลในตำนานหรือคะ” ซินิทเบิกตากว้าง

          “มันพ่นน้ำแข็งแห้งที่เย็นจัดโจมตีข้า นั่นล่ะค่ะที่ข้าหมายถึง” ซอร์โรร่าบอก

          “มันมาได้ยังไง” โกลด์แมนสับสนใหญ่

          “ในวันนี้ ข้าก็ออกไปสำรวจพื้นที่ตามปกติ” ซอร์โรร่าเล่า “เมื่อไปถึงบริเวณใจกลางเมือง ข้าก็พบฟอเรสเทอร์กลุ่มหนึ่งมาสำรวจพื้นที่เช่นกัน--”

          “ฟอเรสเทอร์หรือ” โกลด์แมนขมวดคิ้ว เริ่มทำความสะอาดแผลให้ซอร์โรร่า เด็กสาวสะดุ้งเพราะแสบแผล “พวกนั้นมาทำอะไรที่นี่ สำรวจพื้นที่ต่างแดน ห่างไกลจากอาณาจักรกาโกคอล ฟังดูไม่ใช่ธรรมชาติของพวกนั้นเลย”

          “ข้าจับตาดูพวกเขาอยู่ห่างๆ แล้วจู่ๆ พวกเขาก็ทะลุหายเข้าไปในอากาศ เหมือนผ่านเกราะที่มองไม่เห็น” ซอร์โรร่าเล่าต่อ “คาดว่าคงจะเป็นเกราะมนต์ดำ แบบเดียวกับที่พวกดาร์คเนสดีวิลใช้พรางฐานทัพ ข้าสังเกตเห็นอากาศกระเพื่อมตอนที่พวกฟอเรสเทอร์ทะลุผ่านเข้าไป”

          “ท่านหมายความว่า มีฐานทัพซ่อนอยู่ที่ใจกลางเมืองหลวงเดธแอเรียหรือคะ” ซินิทยกมือปิดปาก “และที่เรามองไม่เห็นจากไกลๆ ก็เพราะมันมีเกราะมนต์ดำพรางตาอยู่”

          “พวกฟอเรสเทอร์ก็ตกใจเหมือนกันค่ะ พวกเขาก็คาดไม่ถึงว่ามีฐานทัพเอลิลซ่อนอยู่ตรงนั้น” ซอร์โรร่าพูด “เห็นจากที่พวกเขาขี่ม้าแตกตื่นกันออกมาจากเกราะ พร้อมด้วยจรวดและกระสุนที่พุ่งไล่หลัง จากนั้นก็มีทหารม้าเอลิลตามไล่กวด พร้อมด้วยฟาร์ดาราสอีกตัวหนึ่ง ในตอนแรกฟาร์ดาราสตัวนั้นก็ทำท่าจะไล่กวดพวกฟอเรสเทอร์ แต่เป็นโชคร้ายของข้าที่มันหันมาสังเกตเห็นข้าด้วย มันจึงไล่กวดข้าแทน ข้ารู้ซึ้งเลย ว่าพวกเอลิลไม่ต้องการให้ใครไปสอดแนม”

          “แล้วท่านหนีมันพ้นได้อย่างไรคะ” ซินิทถามต่อ

          “ขี่ม้าหนีสุดชีวิต แน่นอนว่าคงจะหนีพ้นยาก มันพ่นน้ำแข็งโจมตีข้า ได้แผลมาอย่างที่เห็น” ซอร์โรร่าชี้ไปที่ขาและสะโพกที่โกลด์แมนกำลังโปะผ้าพันแผลให้ “ข้าควบม้าไปที่เนินเตี้ยๆ คิดว่าจะให้มันช่วยกำบัง แล้วจู่ๆ ข้าก็ขี่ม้าตกลงไปในอุโมงค์แห่งหนึ่ง เป็นที่มาของรอยฟกช้ำพวกนี้” เธอชี้ไปตามเนื้อตัวที่ฟกช้ำ “ข้าไม่ได้ทะลุผ่านเพดานอุโมงค์ตกลงไป แต่เหมือนว่าข้าตกลงไปผ่านช่องทางเข้าอุโมงค์โดยตรงเลย มีขั้นบันไดลงมาจากปากทางเข้าเสียด้วย ข้าเองก็สับสนว่าตกลงไปได้ยังไง ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นปากทางเข้าอุโมงค์ ราวกับมีอำนาจอาคมบางอย่างพรางมันไว้”  

          “มันทำให้ท่านรอดจากฟาร์ดาราสหรือคะ”

          “ใช่ค่ะ มันทำให้ฟาร์ดาราสตัวนั้นหาข้าไม่เจอ” ซอร์โรร่าพยักหน้า “ข้าลองมองสำรวจอุโมงค์ พบว่ามันเป็นอุโมงค์แคบๆ ที่ถูกขุดขึ้นมาเอง และยังมีความพิเศษมาก มีคบเพลิงแขวนผนังอยู่ตลอดทาง ซึ่งมันก็ติดไฟขึ้นมาเองเมื่อข้าขี่ม้าผ่าน แล้วยังมีรูปสลักตามผนังคล้ายกับเป็นป้ายบอกทาง ในเมื่อยังไม่สามารถกลับออกไปทางเดิมได้เพราะมีฟาร์ดาราสบินวนอยู่ ข้าจึงเริ่มสำรวจเส้นทางอุโมงค์ เผื่อว่ามันพาข้าไปโผล่ในที่ปลอดภัย ข้าขี่ม้าไปตามทางยาวของอุโมงค์ จนกระทั่งพบสองทางแยก ข้าตีความรูปภาพบนผนังถ้ำไม่ออกจึงต้องเดาทางสุ่มไป พวกท่านเชื่อไหมว่า มันเกือบจะนำข้าไปโผล่นอกอาณาจักรไอซ์เมสทีเดียว ข้ารู้ตัวว่าไปผิดทาง จึงกลับไปทางเดิม แล้วเลือกไปอีกทางแยกหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเลย มันนำข้าไปโผล่ใจกลางเมืองเดธแอเรีย กลางฐานทัพพวกเอลิลพอดี”

          “ท่านไปโผล่กลางฐานทัพเอลิลหรือ” โกลด์แมนเงยหน้าจากการทำแผลซอร์โรร่า

          “ทางออกอุโมงค์ฝั่งนั้น มันไปโผล่กลางฐานทัพเอลิลใกล้ๆ กับหอคอยหลังหนึ่ง ข้าจำได้ว่าที่บันไดทางเข้าออกตรงนั้น สลักรูปเหรียญห้าเหลี่ยมที่มีปีกอยู่ด้านข้างและมีวงแหวนอยู่ข้างบน ตัวเหรียญสลักรูปกุญแจ ข้าไม่รู้หรอกว่ามันหมายถึงอะไร มันอาจเป็นแค่รูปสลัก” ซอร์โรร่าบอก “แต่สิ่งที่ข้ารู้คือ อุโมงค์นี้มีมนต์คาถาและพลังงานสำหรับป้องกันพวกเอลิลโดยเฉพาะ พวกเอลิลมองไม่เห็นปากทางเข้า จะเข้ามาก็เข้าไม่ได้ ข้าเห็นทหารเอลิลคนหนึ่งเดินผ่านมาเหยียบลงบนปากทางออก เขาไม่ตกลงมาในอุโมงค์ เหมือนกับว่าเขาเดินบนอากาศได้”

          “ทำไมถึงมีอุโมงค์ลับไปโผล่กลางเมืองเดธแอเรีย แล้วก็มีคาถาอาคมอำพรางพวกเอลิล” ซินิทสงสัย “ใครสร้างมันขึ้นมา ที่แน่ๆ ไม่ใช่พวกเอลิล”

          “เคยได้ยินตำนานที่พวกไซคัสเอาชนะพวกเอลิลได้ไหม” โกลด์แมนเอ่ยขึ้น

          “พวกไซคัสเอาชนะพวกเอลิลได้ก็เพราะวัตถุวิเศษชิ้นเล็กๆ เรียกอีกอย่างว่าความลับแห่งการเดินทาง วัตถุอันทรงพลังที่สามารถนำไซคัสทั้งกองทัพให้ไปปรากฏตัวรอบๆ วัตถุชิ้นนั้นได้อย่างทันทีทันใด” ซอร์โรร่าทวนความจำที่ตนเคยค้นคว้ามา เธอเองก็สนใจเรื่องนี้ “ลินเลนธันลอบเข้าไปยังใจกลางเมืองเดธแอเรีย โดยขุดอุโมงค์ลับเข้าไป จากนั้นก็ใช้ความลับแห่งการเดินทางเรียกกองทัพของตนให้ไปปรากฏตัวที่ใจกลางเมือง เป็นเหตุให้พิชิตพวกเอลิลได้”

          “หมายความว่า มันคืออุโมงค์เดียวกับที่เลดี้ไอวิวรี่เข้าไปหรือคะ” ซินิทกระซิบ

          “ข้าคิดว่าใช่ค่ะ” ซอร์โรร่าพยักหน้า “จากลักษณะการออกแบบอุโมงค์ การมีคบเพลิงแขวนตลอดทาง ตำแหน่งทางเข้าออก อาคมที่ใช้ป้องกันพวกเอลิล รวมไปทั้งรูปสลักเหรียญห้าเหลี่ยมที่บันไดตรงปากทางอุโมงค์ใจกลางเมืองเดธแอเรีย ข้าคิดว่ามันคือรูปสลักของวัตถุวิเศษ ความลับแห่งการเดินทาง”  

          “พวกเอลิลคงไม่เคยรู้เลยว่ามีอุโมงค์ลับอยู่ตรงนั้น เพราะมันมีอาคมป้องกันอยู่” โกลด์แมนจัดการกับแผลซอร์โรร่าจนเสร็จ หันไปจัดยาให้เธอ “จะต้องเป็นอาคมที่ทรงพลังมาก เรื่องอาคมและสิ่งที่อยู่ใต้ดินนั้น พวกไซคัสเก่งที่สุด”

          “อย่างไรก็ตาม อาคมก็ไม่ได้ป้องกันเผ่าพันธุ์อื่นค่ะ” ซอร์โรร่าพูดต่อ “ข้าสามารถผ่านเข้าออกอุโมงค์ได้ทุกทาง ข้ายื่นหัวออกจากปากทางขึ้นไปมองฐานทัพเอลิล แน่ล่ะ ข้ามองอยู่อย่างนั้นนานๆ ไม่ได้ เอลิลสักคนอาจเห็นเหมือนว่าหัวข้างอกออกมาจากพื้นหิมะ แต่ข้าก็มองได้นานพอจะรู้ว่าพวกเอลิลมีฐานทัพที่มั่นคงทีเดียว ทั้งกำแพง ป้อม โรงตีเหล็ก อาคารประกอบอุปกรณ์สงคราม และกำลังพลทหารที่มีมากมาย ข้าจึงรีบขี่ม้ากลับไปยังปากทางเดิมที่ข้าพลัดตกลงมาตอนแรก และตรงกลับมาที่นี่ ฟาร์ดาราสตัวที่ไล่ล่าข้าก็ไม่อยู่แล้ว ข้าอยู่ในอุโมงค์นานหลายชั่วโมง จนมันคงตัดสินใจว่าข้าหนีไปได้”

          “นั่นสรุปได้แล้วว่า หลังจากหายเงียบไปเป็นร้อยเป็นพันปี เผ่าพันธุ์เอลิลก็กลับมาอีกครั้ง ผีคืนชีพ” โกลด์แมนว่า “และไม่เป็นมิตรกับใครก็ตามที่ล่วงล้ำเข้าไปใกล้ฐานทัพ เราไม่รู้ว่าพวกนั้นมีจุดประสงค์อะไร มีเป้าหมายอะไร แต่หากเราได้เป็นศัตรูกับพวกนั้น เราลำบากหนักแน่ พวกเอลิลทั้งเก่งและฉลาด”

          “เราควรกลับไปแจ้งทางโมราโซมอสให้ทราบค่ะ” ซอร์โรร่าบอก

          “พวกเขาอาจรู้ก่อนเราเสียอีก แต่ถึงยังไง เราก็ต้องล้มเลิกโครงการค้นหานี้ แล้วเดินทางกลับอาณาจักรกันอยู่ดี พวกเอลิลตั้งฐานทัพอยู่ที่ใจกลางเมืองหลวงเดธแอเรีย มันเป็นจุดเปลี่ยนให้ภารกิจอันตรายเกินกว่าจะดำเนินต่อ” โกลด์แมนกล่าว “แต่อย่างน้อยก็เป็นข้ออ้างให้เรากลับบ้านกันได้ แม้โครงการจะไม่คืบหน้าสักนิด”

               

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา