พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.93K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

22) บทที่ 21 ข้อตกลง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 21

ข้อตกลง

 

                กอร์รินนั่งซึมอยู่ที่โต๊ะยาวในห้องประชุม ร่างกายมีร่องรอยบาดแผลจากการต่อสู้ ท็อกซ์ฟ็อกซ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาก็เช่นกัน คนอื่นๆ ที่นั่งอยู่รอบโต๊ะ ไม่ว่าจะเป็นโฟเดเซียร์ แดโมมิกซ์ แอนดรอส และเทอร์ริน ต่างก็ดูเหนื่อยล้าและไม่สบอารมณ์ เป็นอาการของคนแพ้ศึกสงคราม ปฏิบัติการล้มเหลว พวกเขาลงทุนไปมาก แล้วก็สูญเสียเกือบทั้งหมด ทั้งกำลังทหาร ทั้งเรือรบ กองกำลังในสังกัดแบร์ร็อคถูกลดทอนลงไปมากมาย ส่งผลให้อาณาจักรแบร์ร็อคตกอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

                “ดังที่ข้าเคยกล่าวไว้ก่อนเริ่มปฏิบัติการครั้งนี้ หากว่ามันล้มเหลว ด้านกำลังทหารของเราจะได้รับความเสียหายหนัก อาณาจักรแบร์ร็อคจะตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ” เทอร์รินกล่าว “ซึ่งตอนนี้ มันก็ล้มเหลวแล้ว”

                “พวกดาร์คเนสดีวิลหักหลังเรา” ท็อกซ์ฟ็อกซ์คำรามเสียงต่ำ “พวกนั้นไม่ยอมเดินทัพมาสนับสนุน กลับปล่อยให้เราสู้ตามลำพัง”

                “ข้าเชื่อว่ามันต้องมีอะไรผิดพลาด” กอร์รินหันไปว่าให้ “พวกเขาไม่จงใจทิ้งไปง่ายๆ อย่างนั้นหรอก พวกเขาก็อยากให้ปฏิบัติการนี้ลุล่วงพอๆ กับพวกเรานี่แหละ”

                “จนบัดนี้ ท่านยังเข้าข้างพวกนั้นอีกหรือ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ขึ้นเสียงกลับ “ไม่ว่าพวกนั้นจะทิ้งไปด้วยสาเหตุอะไร พวกนั้นก็รู้อยู่เต็มอกว่า การทิ้งไปก็เท่ากับปล่อยให้เราตาย ซึ่งพวกนั้นก็ทิ้งไป พวกนั้นตัดสินใจที่จะปล่อยให้เราตาย”

                “พลหาข่าวกำลังสืบหาสาเหตุอยู่ ว่าทำไมพวกดาร์คเนสดีวิลถึงไม่ยกพลมาสนับสนุนเรา” เทอร์รินตัดบท “รายงานจากพวกนั้นจะมาถึงที่นี่ภายในยี่สิบนาที เมื่อรายงานมาถึงแล้ว เราค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกที ในตอนนี้มาคุยเรื่องปัญหาที่เรากำลังเผชิญกันก่อน พอร์ล็อค บอกข้าที”

                “ในตอนนี้ทัพเรือของเราเสียหายหนัก กองกำลังป้องกันนครก็เช่นกัน เนื่องด้วยเราจัดแบ่งไปเพื่อเสริมทัพเรือในปฏิบัติการครั้งนี้” แดโมมิกซ์รายงานความเสียหาย “เรือรบของเราก็เหลืออยู่ไม่มาก มั่นใจได้เลย น่านน้ำของเรากำลังห่างไกลจากคำว่า ปลอดภัย

                “ในตอนนี้อาณาจักรของเรากำลังตกอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ” เทอร์รินพึมพำ มือกุมหน้าผาก “หวังจริงๆ ว่า จะไม่มีศัตรูที่ไหนยกทัพมาโจมตีเราตอนนี้”  

                “พวกมนุษย์เองก็ได้รับความเสียหายจากปฏิบัติการครั้งนี้เช่นกัน” แอนดรอสรายงาน “เมืองซาโมโรว์และฐานทัพเรือใหญ่ได้รับความเสียหายค่อนข้างหนัก คาดว่าพวกมันคงไม่สามารถส่งกองทัพออกไปโจมตีใครได้ในช่วงระยะเวลานี้”

                “แต่พวกนั้นก็ยังไม่เสียหายหนักเท่าเรา อย่างน้อยพวกนั้นก็มีกองทัพเรือใหญ่ที่ยังอยู่ในสภาพดี” เทอร์รินพูด “หากพูดถึงเรื่องการฟื้นฟู พวกนั้นฟื้นฟูเร็วกว่าเราแน่”

                “ปฏิบัติการครั้งนี้ เรากับพวกดาร์คเนสดีวิลกระทำร่วมกัน แต่ฝ่ายเสียหายหนักกลับเป็นเรา ขณะที่ข้าไม่เห็นว่าพวกนั้นจะสูญเสียอะไรเท่าไหร่” ท็อกซ์ฟ็อกซ์เอ่ยขึ้น “เห็นชัดเจนเลยว่าใครเอาเปรียบใคร”

                “และเห็นชัดเจนเลยว่าท่านบ่นเรื่องนี้ไม่หยุด” กอร์รินเริ่มหมดความอดทน ยิ่งท็อกซ์ฟ็อกซ์ย้ำเตือนเรื่องพวกดาร์คเนสดีวิลเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหมือนตอกย้ำเรื่องปฏิบัติการที่ล้มเหลว กอร์รินเป็นผู้เสนอแผนการนี้และเป็นผู้ดูแลเสียส่วนใหญ่ มันย่อมแทงใจดำเขา

                “ข้าจะสื่อให้เห็นว่า การร่วมงานกับพวกดาร์คเนสดีวิลเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอีกต่อไป” ท็อกซ์ฟ็อกซ์สวนกลับ “ดังที่ข้าเคยเตือนไปก่อนเริ่มปฏิบัติการ เห็นหรือยังว่าผลเป็นอย่างไร”

                มีเสียงเคาะประตู แล้วผู้ช่วยของเทอร์รินก็เปิดเข้ามา เขาโค้งคำนับให้ทุกคนแล้วยื่นเอกสารให้เทอร์ริน ก่อนจะโค้งคำนับอีกครั้งแล้วถอยออกจากห้องประชุม ปิดประตูตามหลัง

                “รายงานจากพลหาข่าว” เทอร์รินอ่านเอกสาร

                “รายงานว่าอย่างไร” แดโมมิกซ์ถาม

                “พวกมนุษย์ได้จัดการกับศพดาร์คเนสดีวิลและศพเอลิลจำนวนมาก บริเวณถนนฝั่งตะวันตกของเมืองซาโมโรว์” เทอร์รินตอบ ตาอ่านแผ่นเอกสาร

                “เอลิล” ทั้งโต๊ะพูดพร้อมกัน หันมามองเทอร์รินกันหมด

                “เอลิลที่มีครบทั้งอาวุธ ชุดเกราะ พาหนะ ปัจจัยสงครามต่างๆ ในลักษณะของสังกัดกองทัพ” เทอร์รินว่าต่อ “ชัดเจนเลยว่า พวกนั้นก่อร่างสร้างตัวตั้งเผ่าพันธุ์ขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากถูกกวาดล้างไปนาน”

                “หากเป็นเช่นนั้น พวกเอลิลจะต้องมีฐานทัพเพื่อสร้างทหาร ผลิตอาวุธ ประกอบอุปกรณ์สงคราม” โฟเดเซียร์ตั้งข้อสงสัย “แล้วทำไมถึงไม่มีใครเคยพบเห็นฐานทัพเอลิลเลย”

                “พวกนั้นคงมีวิธีซ่อนฐานทัพ เพราะสิ่งที่เรามั่นใจได้เลยก็คือ พวกนั้นมีฐานทัพแน่” เทอร์รินกล่าว

                “อาจเป็นเกราะมนต์ดำ อย่างที่พวกดาร์คเนสดีวิลใช้พรางฐานทัพฟรอสท์ไอรอนแคลด” กอร์รินออกความเห็น

                “เป็นไปได้สูง เพราะมันคือสิ่งที่ดีที่สุดที่จะใช้ซ่อนฐานทัพ” เทอร์รินพยักหน้า “และข้าก็มั่นใจว่าฐานทัพที่ว่านั่น จะต้องอยู่ที่เมืองเดธแอเรีย เมืองหลวงของอาณาจักรไอซ์เมส หากพวกเอลิลต้องการขยายความเจริญไปทั่วทั้งอาณาจักรไอซ์เมส ซึ่งต้องการแน่ พวกนั้นจะต้องเริ่มสร้างที่เดธแอเรียเป็นแห่งแรก”

                “จากรายงานของพลหาข่าว” โฟเดเซียรับเอกสารจากเทอร์รินมาอ่าน “ข้าปะติดปะต่อถูกไหม ว่าพวกเอลิลกับพวกดาร์คเนสดีวิลปะทะกันที่ถนนฝั่งตะวันตกของเมืองซาโมโรว์ มันถึงมีศพของทั้งสองฝ่ายและร่องรอยการต่อสู้เต็มไปหมด”

                “ข้าก็เข้าใจเช่นท่าน” เทอร์รินพยักหน้า

                “นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกดาร์คเนสดีวิลถึงไม่ยกพลมาเสริม” กอร์รินพูด “พวกนั้นปะทะอยู่กับพวกเอลิล”

                “พวกเอลิลนำกองกำลังมาสกัดขวางทางพวกดาร์คเนสดีวิลอย่างนั้นหรือ” โฟเดเซียร์ขมวดคิ้ว “ทำเช่นนี้ เท่ากับเจตนาทำให้ปฏิบัติการของเราล่ม มีใครนึกออกไหมว่าทำไมพวกเอลิลถึงต้องทำเช่นนี้”

                “ที่เรามั่นใจได้คือ พวกเอลิลไม่เป็นมิตรกับเราแน่” เทอร์รินกล่าว “ไม่ว่าพวกนั้นจะประกาศตัวเป็นศัตรูกับเราด้วยเหตุผลใด แต่ถ้าพวกนั้นประกาศตัวเป็นศัตรูจริงๆ เราลำบากแน่ รู้ใช่ไหมว่าเอลิลเป็นเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดที่สุดในดาวดวงนี้ เชื่อกันว่าถ้าหากพวกเอลิลไม่ถูกพวกไซคัสกวาดล้างไปก่อน ป่านนี้พวกนั้นก็อาจเป็นเผ่าพันธุ์ทรงอำนาจเทียบเท่าพวกเฟลมฟอร์สเลยทีเดียว”

                “ถึงอย่างไร พวกเอลิลก็เพิ่งสร้างเนื้อสร้างตัวใหม่ ยังไม่แข็งแกร่งขนาดนั้น” แอนดรอสพูดในแง่ดี

                “แต่ก็แข็งแกร่งเกินไปสำหรับเรา แล้วพวกมนุษย์ก็ยังเป็นศัตรูกับเราอยู่อีกหนึ่ง” เทอร์รินว่า “แม้ว่าพวกมนุษย์คงจะไม่สามารถยกพลมาโจมตีเราได้ในตอนนี้ แต่ข้าก็หวั่นใจว่าพวกเอลิลจะทำ เรากำลังอยู่ในสภาพเสียหาย ประสิทธิภาพในการรบอ่อนแอ กองทัพเรือของเราตอนนี้ เหลือแค่อะไรก็ไม่รู้”

                “อย่างน้อย พวกเอลิลก็ยังไม่มีกองเรือ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูด “พวกนั้นเพิ่งสร้างฐานทัพใหม่ขึ้นที่เมืองหลวงเดธแอเรีย มันอยู่ห่างทะเลเกินไป ไม่มีทางจะขยายฐานทัพไปถึงในเร็วๆ นี้แน่”

                “เช่นนั้น เราก็ต้องเฝ้าระวังเรื่องเส้นทางบก เพราะถ้าพวกเอลิลจะเปิดศึกกับเราจริงๆ พวกนั้นเดินทัพมาทางบกแน่” เทอร์รินลุกจากเก้าอี้ ขยับไปทางแผนที่ขนาดยักษ์ที่แขวนอยู่ข้างหลัง เป็นแผนที่ดาวดวงนี้ เขาชี้ไปที่เมืองหนึ่งในแผนที่ “เมืองเด็นร็อค คือหน้าด่านของอาณาจักรแบร์ร็อค พื้นที่บางส่วนติดทะเล แต่ถ้าพวกเอลิลไม่มีทัพเรือก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้มาก ที่เราควรกังวลคือทัพบก”

                “เมืองเด็นร็อคของข้ามีกำแพงเมืองที่แข็งแกร่ง ประตูเมืองทำด้วยหินภูเขาไฟ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์บอก “แต่หลังจากความเสียหายทั้งปวงที่ผ่านมา แน่นอนว่าข้าขาดกำลังทหาร ถ้าพวกเอลิลจะยกทัพมาจริง ข้าย่อมต้องการคนเพิ่ม ซึ่งก็จะเกิดคำถามอีกว่า จะเอาที่ไหนมาเพิ่ม”

                “ก็ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน” เทอร์รินพูด “เมืองรีลร็อคคือเมืองที่อยู่ติดทางซ้ายของของเมืองเด็นร็อค และเป็นเมืองที่มีเส้นทางเหมาะสม สะดวกต่อการส่งกองหนุนไปยังเด็นร็อคมากที่สุด การส่งกองกำลังไปเสริมเติมซึ่งกันและกันระหว่างเมืองทั้งสองนี้จะทำได้รวดเร็ว ฉะนั้น พอร์ล็อค ในฐานะที่ท่านเป็นเจ้าเมืองรีลร็อค ท่านต้องจะต้องส่งกองหนุนไปช่วย หากเด็นร็อคถูกโจมตี”

                “แน่นอนที่สุด โฮซอร์” แดโมมิกส์พยักหน้า “แต่ท่านก็คงทราบดีว่า อาณาจักรของเราไม่ได้ถูกล้อมรอบมิดชิดด้วยเทือกน้ำแข็งอย่างอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล เป็นไปได้ว่าข้าศึกอาจจะไม่เลือกโจมตีเมืองหน้าด่านเด็นร็อค แต่เลือกที่จะมาโจมตีเมืองรีลร็อคก่อน เส้นทางเดินทัพมันไม่ได้ตายตัว”

                “หากเป็นเช่นนั้น เมืองเด็นร็อคก็ต้องเป็นฝ่ายส่งกองหนุนไปช่วยรีลร็อค” เทอร์รินบอก “ท่านสองคนจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หากทัพข้าศึกมุ่งหน้าไปยังเมืองของใคร อีกคนหนึ่งจะต้องส่งกองหนุนไปช่วย เหมือนกับเมืองซาโมโรว์และเมืองโอมิลรอนของพวกมนุษย์”

                “ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่ถูกซ้อนแผนเสียหมดรูป อย่างที่เมืองทั้งสองนั่นโดน” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พึมพำ “แต่ถึงอย่างไรเมืองทั้งสองนั่นก็ยังอยู่ได้ต่อไป เพราะปฏิบัติการของพวกเราล้มเหลว”

                กอร์รินกัดฟันหน้าบึ้งตึงอย่างไม่พอใจ

                “สำหรับเมืองไลท์ร็อคและซิลร็อค ที่ไม่ได้อยู่ในเส้นทางโจมตีของศัตรู ก็ขอให้ส่งกำลังไปสนับสนุนที่เด็นร็อคและรีลร็อคเท่าที่พวกท่านจะทำได้” เทอร์รินหันไปพูดกับโฟเดเซียร์แอนดรอส “ข้ารู้ว่ามันน่าสมเพช เหมือนกับว่ากองกำลังของเรามีแค่กองเดียว ต้องส่งย้ายไปมาที่เมืองนั้นเมืองนี้ที แต่เราไม่มีทางเลือกอื่น กำลังพลเราเหลืออยู่แค่นี้ อย่างที่ข้าบอกไป นี่เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า”

                “ในเมื่อตอนนี้ทั้งเราและพวกดาร์คเนสดีวิลต่างก็มีพวกเอลิลเพิ่มเป็นศัตรู” กอร์รินเอ่ยขึ้นหลังจากนั่งเงียบอยู่นาน “พวกท่านคิดว่าเราควรจะ--”

                “อย่างที่ข้าเสนอไป เราไม่ควรจะทำงานเกี่ยวข้องกับพวกนั้นอีก” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ขัดขึ้นทันที

                “ไม่ใช่ความผิดพวกเขานะ ที่ปฏิบัติการครั้งนี้ล้มเหลว” กอร์รินเริ่มจะหงุดหงิดเต็มพิกัด “ท่านมีอคติกับพวกนั้นก็เพียงเพราะเรื่องพ่อของท่าน และชีวิตที่ยากลำบากของท่านเมื่อขาดอำนาจพ่อ”

                “ส่วนท่านก็เอาแต่แก้ต่างให้พวกนั้น เพียงเพราะผู้นำสูงสุดของพวกนั้นเป็นเพื่อนคนเดียวที่ท่านคิดว่าเข้าอกเข้าใจท่าน” ท็อกซ์ฟ็อกส์โต้กลับ

                “ประเด็นก็คือ” เทอร์รินยกมือให้ทั้งคู่หยุดพูด “ข้าเห็นด้วยกับซีราส”

                “ท่านหมายความว่ายังไง” กอร์รินพูดเสียงดัง

                “ข้าเห็นด้วยกับซีราส ที่เราไม่ควรจะดำเนินปฏิบัติการใดร่วมกับพวกดาร์คเนสดีวิลอีก สถานการณ์ของเราตอนนี้ไม่อาจจะเสี่ยงได้อีกต่อไป” เทอร์รินอธิบาย “ข้าไม่มีปัญหาอะไรกับพวกนั้น และก็ไม่ได้รักใคร่อะไรพวกนั้น ข้าให้ความสำคัญกับความเสี่ยงและความเป็นไปได้สำหรับอาณาจักรของเรา ไม่ว่าจะยังไง เราก็ต้องยอมรับว่าเราคุ้นเคยกับพวกดาร์คเนสดีวิลน้อยมาก ธรรมชาติของพวกนั้น วิธีการทำงานของพวกนั้น รูปแบบการรบของพวกนั้น แนวคิดของพวกนั้น ทุกคนก็รู้ว่าแตกต่างจากเผ่าพันธุ์ของเราอย่างสิ้นเชิง การที่สองเผ่าพันธุ์จะมาทำอะไรร่วมกันนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างน้อยมันต้องอาศัยเวลาในการทำความคุ้นเคยมากกว่านี้ เห็นจากปฏิบัติการที่ผ่านมานี้ใช่ไหม การประสานงานมันติดๆ ขัดๆ มาตลอด พวกดาร์คเนสดีวิลมีกำลังพลมากมายแต่กลับไม่มีทัพเรือ ทำให้ภาระมาตกอยู่ที่พวกเรา ซึ่งกำลังเป็นฝ่ายขาดแคลนกำลังพล พวกเอลิลโผล่มาสกัดพวกดาร์คเนสดีวิลที่ฝั่งถนนตะวันตกของซาโมโรว์ โดยที่เราไม่รู้ไม่เห็น พวกดาร์คเนสดีวิลพ่ายแพ้การต่อสู้ถอยกลับโฟรเซ็นทิเนล ขณะที่เราก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ช่องว่างที่อยู่ระหว่างการทำงานของเรากับพวกนั้นมีมากมาย และศัตรูก็อาศัยช่องว่างเหล่านี้ในการเล่นงานทั้งเราและพวกนั้นได้ง่ายๆ อีกทั้งอาณาจักรของเรากับพวกนั้นก็อยู่คนละฝากแผนที่ มีอาณาจักรอื่นๆ กั้นกลางอย่างพอดิบพอดี” เทอร์รินลากนิ้วบนแผนที่เป็นเส้นเฉียง “เรื่องประสานงานกันนั้นไม่ต้องพูดถึง รับรองได้ว่ามีช่องโหว่มากมาย ในตอนนี้อาณาจักรของเราตกอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงกว่าที่เคยเป็นมา เราไม่อาจรับความเสี่ยงเพิ่มได้อีกแล้ว”

                กอร์รินนิ่งเงียบ

                “เอาล่ะ ขอให้เป็นไปตามนี้” เทอร์รินสรุป “หากมีอะไรสำคัญเพิ่มเติม ข้าจะเรียกประชุมอีกครั้ง”

                ทุกคนลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วโค้งคำนับให้เทอร์ริน เก็บเอกสารของตนแล้วเดินออกจากห้องไป กอร์รินยังคงนั่งซึมอยู่กับที่ ไม่ลุกไปไหน ท็อกซ์ฟ็อกซ์ตบบ่ากอร์รินเบาๆ ขณะเดินผ่าน แม้จะเถียงกันหน้าดำหน้าแดงเรื่องงาน แต่เมื่อออกจากประเด็นเรื่องงานแล้วก็ถือว่าเพื่อนกันทั้งนั้น ยังคงความปรารถนาดีต่อกันเสมอ ทุกคนออกไปจากห้องประชุมกันหมด ยกเว้นเทอร์รินที่ยังจัดการกับเอกสารบนโต๊ะของตน และกอร์รินที่ยังนั่งก้มหน้า

                “ท่านผิดหวังในตัวข้า” กอร์รินเอ่ยขึ้น ตายังจับจ้องอยู่ที่โต๊ะ

                “ข้าไม่เคยพูดเช่นนั้น” เทอร์รินเรียงเอกสารของตนต่อไป สายตาก็ยังไม่เลื่อนออกจากเอกสาร

                “แต่ท่านคิดเช่นนั้น และคิดมาตลอด” กอร์รินว่าต่อ “ท่านคิดว่าข้าก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ ยังมีความสามารถไม่พอที่จะทำงานชิ้นใหญ่ๆ ท่านจึงมักไม่ให้ข้าได้รับผิดชอบงานสำคัญๆ เลย”

                “ปฏิบัติการที่ผ่านมาก็สำคัญนะ” เทอร์รินพูดเรื่อยๆ จัดการเอกสารต่อไป

                “แต่ข้าก็ล้มเหลว” กอร์รินพูด “นั่นก็คงจะทำให้ท่านไม่ไว้ใจให้ข้าทำงานสำคัญอื่นๆ อีกต่อไป”

                “งานทุกงานสำคัญหมด” เทอร์รินเคาะสันปึกเอกสารกับโต๊ะให้เป็นเท่ากัน แล้วเก็บใส่แฟ้ม

                “แต่สำคัญไม่เท่ากัน ท่านรู้ดี” กอร์รินพูด

                “อย่าลืมดื่มยาก่อนอาหารล่ะ แผลจะได้หายไวๆ” เทอร์รินพูดขณะเดินออกไปจากห้องประชุม

                กอร์รินเอนหลังพิงเก้าอี้ มือกุมขมับ ถอนหายใจส่ายหน้า

 

*********************

 

                โซลิแทร์นั่งซึมอยู่ที่พื้นห้องประชุมในมุมมืด ห้องที่เหล่าผู้นำดาร์คเนสดีวิลใช้วางแผนการรบและหารือเรื่องสงคราม มันเต็มไปด้วยแผนที่และแบบจำลองสงคราม มีโต๊ะจำลองสนามรบหลายตัว ตลอดจนตู้เอกสาร และอุปกรณ์ที่จำเป็นหลายต่อหลายอย่าง หากไม่ใช่เพราะดวงตาที่เรืองแสงสีน้ำเงินของโซลิแทร์แล้ว คงไม่มีใครสังเกตว่าเขานั่งอยู่ที่มุมห้อง ชุดเกราะและผ้าคลุมของเขากลืนไปกับเงามืดจนแยกไม่ออก มือข้างหนึ่งของเขาถือแผ่นกระดาษที่วาดตราสัญลักษณ์ดาบสองเล่มเอียงปลายชนกัน สัญลักษณ์ประจำตัวของฝาแฝดเมแมคเซอร์ เดอะ ทวินเฮด แม้จะมีหน้ากากปิดหน้ามิดชิดแต่ดวงตาเรืองแสงของเขาก็แสดงความผิดหวังและความรู้สึกผิด

                เซซิลเปิดเข้ามาในห้องประชุม มือถือปึกเอกสารและหีบเล็กๆ มาหนึ่งใบ เขาวางไว้บนโต๊ะยาวกลางห้องประชุม เร่งไฟในโคมแขวนผนังให้ห้องสว่างขึ้น

                “เราทุกคนล้วนต้องเผชิญกับความล้มเหลวอยู่บ่อยครั้ง มันเป็นสัจธรรม” เซซิลเอ่ยขึ้น ความสนใจยังอยู่ที่เปลวไฟสีเขียวๆ ซีดๆ ในโคม

                “แต่ถ้าไม่ต้องเผชิญบ่อยๆ มันก็คงดีไม่น้อย” โซลิแทร์กล่าวอย่างไร้อารมณ์ผ่านหน้ากาก

                “ใครจะไปรู้ว่า พวกเอลิลจะโผล่มาสกัดภารกิจของเราเช่นนี้” เซซิลหันไปมองโซลิแทร์ “เราวางแผนมาอย่างดีที่สุด ดำเนินปฏิบัติการอย่างชาญฉลาดและใจเย็น มันเกือบจะสำเร็จเสียด้วยซ้ำ”

                “แต่มันก็ล้มเหลว” โซลิแทร์พูดต่อ “ข้ารู้ ไม่มีใครจะประสบความสำเร็จโดยแท้จริงหากไม่เคยล้มเหลว ข้าเองก็เคยล้มเหลวมานับไม่ถ้วน แต่ประเด็นคือ สิ่งที่มาพร้อมกับความล้มเหลวคือความเสียหาย เรากำลังแบกรับความเสียหายอยู่อาจารย์เซซิล เราเสียพวกพ้องไปไม่น้อย โอกาสที่เราจะปลดปล่อยสหายร่วมเผ่าพันธุ์ออกจากกรงของพวกมนุษย์ก็หลุดลอยไปแล้ว คำสัญญาที่ข้าให้ไว้กับทวินเฮด ข้าก็ทำตามไม่ได้ เราวางแผนกันมาแทบตาย ทำทุกอย่างจนเกือบจะสำเร็จ แต่กลับสูญเปล่า” เขาถอนหายใจ ทิ้งกระดาษที่วาดตราสัญลักษณ์ของทวินเฮดลงไปเผาในเตาผิง “เราเสียความไว้วางใจจากพวกโฮเซ่ ขวัญและกำลังใจในเผ่าพันธุ์ถูกบั่นทอน นักรบดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ ต้องพบกับความผิดหวัง ข้าเองก็คาดหวังไม่น้อยว่าปฏิบัติการครั้งนี้จะสำเร็จ ใครจะไม่คาดหวังล่ะในเมื่อมันเกือบจะสำเร็จแล้ว ข้าเคยคิดว่าที่ผ่านมาเผ่าพันธุ์ของเราล้มเหลวมากกว่าประสบความสำเร็จ ครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จอันหายากหาเย็นของเรา แต่สุดท้าย ข้าก็คิดผิด”

          “ชีวิตปีศาจมันก็เฮงซวยอย่างนี้แหละ” เซซิลยิ้มอย่างเศร้าใจ “ปีศาจเรา ชะตาไม่เคยเข้าข้าง ชีวิตมีแต่โชคร้าย ไม่ว่าทำอะไรก็มีอุปสรรคขัดขวาง ต้องพบเจอกับความล้มเหลวบ่อยกว่าคนอื่น อาจกล่าวได้ว่า เกิดมาโดยมีโชคชะตาหมายหัวคอยกลั่นแกล้ง แต่โปรดอย่าท้อใจ ่สุดในโลก แม้ฟ้าจะกลั่นแกล้งคุณเช่นไรคุณก็ทรงพลังพอที่จะยืนหยัดต่อไปได้ ยามที่คุณเหนื่อยก็ขอให้ตระหนักว่าฟ้ามันก็แกล้งคุณไม่ได้อย่างนี้ตลอดเวลาหรอก มันก็ต้องเหนื่อยกับการแกล้งคนที่แข็งแกร่งอย่างคุณเช่นกัน ฉะนั้นจงยืดอก ยกนิ้วกลางให้โชคชะตา แล้วกล่าวกับมันว่า "วันใดที่เมิงเหนื่อยจนล้มลงไปบ้าง วันนั้นกรูที่ถูกเมิงเหยียบล้มอยู่จะลุกยืนให้เมิงดู"ข้าเชื่อว่าปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังหัวใจมากที่สุดในดาวดวงนี้ แม้ฟ้าจะกลั่นแกล้งคุณเช่นไรคุณก็ทรงพลังพอที่จะยืนหยัดต่อไปได้ ยามที่คุณเหนื่อยก็ขอให้ตระหนักว่าฟ้ามันก็แกล้งคุณไม่ได้อย่างนี้ตลอดเวลาหรอก มันก็ต้องเหนื่อยกับการแกล้งคนที่แข็งแกร่งอย่างคุณเช่นกัน ฉะนั้นจงยืดอก ยกนิ้วกลางให้โชคชะตา แล้วกล่าวกับมันว่า "วันใดที่เมิงเหนื่อยจนล้มลงไปบ้าง วันนั้นกรูที่ถูกเมิงเหยียบล้มอยู่จะลุกยืนให้เมิงดู"แม้ฟ้าจะกลั่นแกล้งคุณเช่นไรคุณก็ทรงพลังพอที่จะยืนหยัดต่อไปได้ ยามที่คุณเหนื่อยก็ขอให้ตระหนักว่าฟ้ามันก็แกล้งคุณไม่ได้อย่างนี้ตลอดเวลาหรอก มันก็ต้องเหนื่อยกับการแกล้งคนที่แข็งแกร่งอย่างคุณเช่นกัน ฉะนั้นจงยืดอก ยกนิ้วกลางให้โชคชะตา แล้วกล่าวกับมันว่า "วันใดที่เมิงเหนื่อยจนล้มลงไปบ้าง วันนั้นกรูที่ถูกเมิงเหยียบล้มอยู่จะลุกยืนให้เมิงดู"แม้ฟ้าจะกลั่นแกล้งคุณเช่นไรคุณก็ทรงพลังพอที่จะยืนหยัดต่อไปได้ ยามที่คุณเหนื่อยก็ขอให้ตระหนักว่าฟ้ามันก็แกล้งคุณไม่ได้อย่างนี้ตลอดเวลาหรอก มันก็ต้องเหนื่อยกับการแกล้งคนที่แข็งแกร่งอย่างคุณเช่นกัน ฉะนั้นจงยืดอก ยกนิ้วกลางให้โชคชะตา แล้วกล่าวกับมันว่าแม้โชคชะตาจะกลั่นแกล้งเราเช่นไร เราก็ทรงพลังพอที่จะยืนหยัดต่อไปได้ ยามที่เราเหนื่อย ก็ขอให้ตระหนักว่า โชคชะตามันแกล้งเราไม่ได้อย่างนี้ตลอดเวลาหรอก มันก็ต้องเหนื่อยกับการแกล้งผู้ที่แข็งแกร่งอย่างเราเช่นกัน ฉะนั้น จงยืดอก แล้วกล่าวกับมันว่า วันใดที่เมิงเหนื่อยจนล้มลงไปบ้าง วันนั้นกรูที่ถูกเมิงเหยียบล้มอยู่จะลุกยืนให้เมิงดูวันใดที่เจ้าเหนื่อยจนล้มลงไปบ้าง วันนั้น ข้าที่ถูกเจ้าเหยียบล้ม อยู่จะลุกยืนให้เจ้าดู

                “วันใดที่เจ้าเหนื่อยจนล้มลงไปบ้าง” โซลิแทร์ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเหนื่อยแรงเหนื่อยใจ แต่ก็พร้อมจะสู้ต่อไป “วันนั้น ข้าที่ถูกเจ้าเหยียบล้มอยู่ จะลุกยืนให้เจ้าดู”

                “เราคือกำแพง” เซซิลยิ้ม พยักหน้าให้

                “เราคือกำแพง” โซลิแทร์ตอบกลับ

          กัปตันมาซูลหอบอาวุธสีเงินทั้งโล่ ทั้งดาบ ทั้งปืนเข้ามาวางไว้บนโต๊ะยาวกลางห้องประชุม อาวุธเหล่านี้ถูกเก็บมาจากการสู้รบกับพวกเอลิล เขาวางของทั้งหมดลงบนโต๊ะข้างๆ เอกสารของเซซิล

          “ยังติดนิสัยนั่งเงียบอยู่ในที่มืดๆ และเอาหลังพิงอะไรสักอย่าง เวลารู้สึกเศร้าและท้อแท้อยู่อีกหรือ” เขาถามโซลิแทร์

          “ข้าไม่ใช่คนที่มีสติสตางค์สมประกอบนัก จะให้ทำอะไรที่ดูเข้าท่ากว่านี้หรือไง” โซลิแทร์พึมพำ

          “อาการบาดเจ็บของท่านเป็นยังไงบ้าง” กัปตันมาซูลถามต่อ

          “ส่วนที่ถูกดาบนั้น หลังจากเย็บไปหลายเข็มก็ไม่เป็นอะไรมาก โชคดีที่ข้าโดนแค่ปลายๆ ดาบ” โซลิแทร์ชี้อกเสื้อเกราะตัวใหม่ของตน มันคงมีผ้าพันแผลอยู่ข้างใต้ “แต่ส่วนที่ถูกเตะนั้นบาดเจ็บมากกว่า” เขาแตะด้านข้างฮู้ดคลุมศีรษะ มันปกปิดผ้าพันแผลที่อยู่ข้างใต้เช่นกัน “เส้นประสาทได้รับการกระทบกระเทือน ต่อจากนี้ไป หูซ้ายของข้าจะมีปัญหาเล็กน้อยเรื่องการฟังเสียง ข้าเคยโดนเท้าเตะมาเป็นร้อยๆ ครั้งแล้ว แต่ไม่มีครั้งไหนที่ข้ารู้สึกว่ามันรุนแรงเท่าครั้งนี้ อย่างกับถูกหางมังกรฟาดเข้าให้ โดนที่จุดสำคัญเสียด้วย ไม่เคยนึกมาก่อนว่าแค่ขาข้างเดียว เกือบจะทำให้ข้าถึงกับพิการได้ ยอมรับว่าเซ็ทซาร์ดคนนี้เก่งจริงทำเอาข้าหมดรูปไปเลย แม้ว่าข้าจะคุ้นเคยกับดาบคู่อยู่พอตัว ดีเซ็นทรีของเรารวมทั้งท่านก็ใช้ดาบคู่เป็นอาวุธ แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นใครใช้ดาบคู่ได้อย่างเขามาก่อน”

          “เฟลมฟอร์สเป็นเผ่าพันธุ์ที่เก่งเรื่องสู้รบ และพวกเซ็ทซาร์ดก็จัดอยู่ในพวกที่เก่งที่สุด” กัปตันมาซูลบอก “ท่านไม่ต้องรู้สึกเสียหน้าสำหรับการประลองที่พ่ายแพ้ครั้งนี้หรอก”

          “ข้าจับดาบสู้รบมานาน เคยแพ้มาหลายต่อหลายครั้ง ข้าไม่ได้รู้สึกเสียหน้าในครั้งนี้หรอก” โซลิแทร์จ้องมองมือที่สวมถุงมือเหล็ก และสนับแขนติดกรงเล็บเหล็ก “ที่ข้ารู้สึกมันก็แค่ ท่านพอเข้าใจไหม เราเกลียดอะไรสักอย่างมากๆ แล้วเราก็อ่อนด้อยกว่าสิ่งนั้นมาก”

          “ไม่มีดาร์คเนสดีวิลคนไหนหรอกที่จะไม่เข้าใจ” กัปตันมาซูลพยักหน้ายิ้มๆ

          “ข้ารู้ว่าท่านมีเหตุผลที่จะแค้นพวกเซ็ทซาร์ด พวกนั้นทำให้ท่านตกอยู่ในสภาพที่เป็นทุกวันนี้” เซซิลชี้ไปที่มือทั้งสองของโซลิแทร์ “แต่ก็หวังว่าความเกลียดชัง จะไม่มาข้องเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการสู้รบของท่าน หากท่านต่อสู้ด้วยความแค้น ท่านจะสู้ได้แย่ลงแน่”

          “เรื่องนี้ข้าทราบดี ขอบคุณที่เตือนสติอาจารย์เซซิล” โซลิแทร์พยักหน้า “แต่โปรดอย่ากังวล ข้าอาจละทิ้งความเกลียดชังไม่ได้ แต่ยามที่ข้าจับอาวุธต่อสู้ ข้าก็ไร้ความรู้สึกไม่ต่างจากพวกเอลิล”

          “ซึ่งมันก็ทำให้ท่านต่อสู้ได้เก่งกาจมาก” เซซิลต่อให้

          “แม้จะเก่งไม่เท่าเซ็ทซาร์ดคนนั้นก็ตาม” โซลิแทร์เสริม

          “การต่อสู้มันวัดเป็นปริมาณเป็นคุณภาพมาเปรียบเทียบกันไม่ได้หรอก” เซซิลแก้ประโยค “มันเป็นเรื่องของจังหวะและความรวดเร็วของสมองที่คิดหาวิธีพิชิตคู่ต่อสู้ในเวลาอันสั้น อาวุธอยู่ในมือ อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น”

          โซลิแทร์เดินไปที่โต๊ะยาว หยิบปืนยาวของพวกเอลิลขึ้นมา ตรวจดูมันอย่างพิจารณา

          “ฟาร์ดาราส” เขากล่าว

          “ใช่” กัปตันมาซูลพยักหน้า “ปืนยาวของพวกเอลิลถูกออกแบบเหมือนฟาร์ดาราส พวกสัตว์ปีกไร้วิญญาณที่โจมตีท่านบนฟ้า”

          “ท่านคงอยากรู้อนุภาพของน้ำแข็งที่พวกมันพ่นออกมา” เซซิลเปิดหีบใบเล็กๆ ที่นำมาด้วย

          ข้างในนี้มีน้ำแข็งก้อนเล็กๆ สีขาว มีไอควันสีขาวโชยออกมาเมื่อสัมผัสกับอากาศ มันไม่ละลายเป็นของเหลวเหมือนน้ำแข็งทั่วไป แต่มันค่อยๆ ระเหิดเป็นไอ มันคือน้ำแข็งแห้ง

          “ข้าตรวจสอบดูแล้ว” เซซิลบอก “มันคือน้ำแข็งแห้งเคลือบสารฟรีออน (Freon)”

          “ฟรีออนอย่างนั้นหรือ” กัปตันมาซูลเอื้อมมือไปใกล้ๆ เซซิลคว้าข้อมือไว้ทันที

          “สารเยือกแข็งที่มีความเย็นสูงมาก กัดกร่อนสิ่งต่างๆ ให้ผุพังได้อย่างรวดเร็วด้วยความเย็น” เซซิลเตือน “เนื้อหนัง ไม้ หิน แม้กระทั่งโลหะ”

          “เรื่องนี้ข้ารู้ดี” โซลิแทร์แตะไปตามตัวของตนสองสามจุด ข้างใต้ชุดเกราะมีผ้าพันแผลและบาดแผลแห้งกรังจากการถูกถากด้วยน้ำแข็งชนิดนี้ ไม่อยากนึกเลยว่าหากถูกมันปะทะใส่เต็มๆ จะเป็นอย่างไร “แล้วทำไมมันเหลือก้อนแค่นี้ล่ะ จำได้ว่าแต่ละก้อนที่พุ่งใส่ข้า มันก้อนใหญ่ๆ ทั้งนั้น”

          “นี่เป็นสะเก็ดเล็กๆ ที่ข้าเก็บมาได้” เซซิลตอบ “แล้วข้าก็นำมาใส่หีบใบนี้เพื่อรักษาสถานะของมันไว้ไม่ให้ระเหิดหายไปหมด จะได้ศึกษาอานุภาพของมัน”

          “พวกเอเลนเซฟเวอรี่ของท่านมีคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อแล้ว ท่านลอร์ด” กัปตันมาซูลพูด “ความร้ายกาจของพวกฟาร์ดาราสไม่ได้ย่อหย่อนไปกว่ากันเลย ได้แต่หวังว่าจะไม่มีจำนวนมากเหมือนกัน”

          “เท่าที่ข้ารู้คือ พวกฟาร์ดาราสยังไม่มีเกราะสวม” โซลิแทร์พูด “แต่ใครจะไปรู้ว่าหากได้สู้กันอีกครั้ง พวกมันจะสวมเกราะมาบินเต็มท้องฟ้าหรือไม่”

          “เป็นไปได้ เพราะเรื่องชุดเกราะและอุปกรณ์สงคราม พวกเอลิลไม่ได้เป็นรองเรา” กัปตันมาซูลกวาดมือไปบนอาวุธเอลิลที่วางอยู่บนโต๊ะ “บางอย่างก็เหนือกว่าเราด้วยซ้ำ” เขาหยิบปืนยาวรูปฟาร์ดาราสมาจากโซลิแทร์ “ปืนยาวของพวกนั้นยิงได้ไกลกว่าและรุนแรงกว่าหน้าไม้ของเรา แรงดีดน้อยกว่าปืนยาวของพวกมนุษย์ ซึ่งหมายความว่ามีความแม่นยำสูงกว่า กระสุนก็ถูกออกแบบมาสำหรับเจาะเกราะ” เขาหยิบกระสุนหัวคมออกมาให้ดู “แม้ว่ามันจะใช้เวลาบรรจุกระสุนนานกว่าหน้าไม้ของเราราวเท่าตัว แต่หากในสถานการณ์ที่ต้องยิงต่อสู้กันในระยะไกล เราเสียเปรียบแน่หากอยู่ในตำแหน่งความสูงระดับเดียวกัน”

          “พาหนะของพวกเอลิล ม้าผี” เซซิลส่งเอกสารแผ่นหนึ่งให้โซลิแทร์ มันเป็นรูปวาดจำลองม้าที่พวกเอลิลขี่มาสู้รบ เพียงแต่ในรูปมันไม่ได้สวมเกราะ จึงมองเห็นเนื้อหนังที่โปร่งใสและโครงกระดูกที่อยู่ข้างใน “นี่คือรูปลักษณ์ที่อยู่ใต้เกราะของพวกมัน ไร้ความรู้สึก ไร้อารมณ์ ไร้ชีวิตจิตใจ เช่นเดียวกับม้าปีศาจของพวกเรา ไม่ต้องการอาหาร อาศัยไนโตรเจนในอากาศเป็นพลังงานเช่นเดียวกับเอลิลทั่วไป แข็งแกร่ง วิ่งได้เร็ว ทนทานต่อทุกสภาพแวดล้อม สามารถเดินทางไกลได้โดยไม่รู้สึกเหนื่อยล้า แม้ว่าพวกมันจะพ่นไฟเหมือนพวกม้าปีศาจของเราไม่ได้ แต่นั่นก็ไม่สำคัญนัก เราทุกคนรู้ว่าในสงคราม พาหนะไม่ใช่ตัวปัญหา นักรบที่ต่อสู้อยู่บนหลังมันต่างหาก ที่เป็นตัวปัญหา”

          “ข้าเห็นทหารม้าเอลิลใช้อาวุธยาวต่อสู้กับพวกเรา” โซลิแทร์ทวนความจำ “มันมีลักษณะคล้ายง้าว”

          “นี่ใช่ไหม ง้าวที่ท่านว่า” กัปตันมาซูลหยิบดาบเอลิลขึ้นมาจากโต๊ะ ชักออกจากฝัก แล้วนำด้ามดาบไปกระกอบกับฝัก มันมีช่องสลักให้ประกอบกันพอดี กลายเป็นง้าวที่มีด้ามสั้นเล็กน้อย

          “อาวุธประกอบ ช่างคิด ลดภาระในการพกพาได้ไม่เบา” โซลิแทร์รับง้าวไปพิจารณา “มันสั้นกว่าหอกสามง่ามของเรา หากต่อสู้แบบวิ่งม้าเข้าปะทะกันเราจะได้เปรียบ แต่หากหยุดม้าต่อสู้กันเราจะเสียเปรียบ ง้าวมีองศาการฟันที่กว้างกว่าและมีความคล่องตัวสูงกว่าในสถานการณ์เช่นนั้น”

          “วิธีแก้หมากคือ ให้ทหารม้าของเราเก็บหอกเสีย แล้วชักดาบออกมาสู้แทน” กัปตันมาซูลพูด

          “ปัญหาอีกเรื่องของเราคือ พวกเอลิลมีเลือดเป็นธาตุอากาศ พิษที่อาบลูกศรของเราไม่มีผลต่อพวกนั้น พิษจะซึมผ่านกระแสเลือดเหมือนที่เราใช้กับพวกมนุษย์ไม่ได้” เซซิลพูด “ยิงแขนยิงขาอาจทำให้พิการ แต่ก็ไม่มีประโยชน์นัก ถ้าจะฆ่าเอลิล ก็ต้องยิงให้ถูกจุดสำคัญ ศีรษะ หัวใจ อก ลำตัว บริเวณที่มีเกราะหนาทั้งนั้น”

          “อย่างน้อย หน้าไม้ของเราก็มีอานุภาพเพียงพอ อย่าลืมว่าหัวลูกศรของเราก็ออกแบบสำหรับเจาะเกราะเหมือนกัน” โซลิแทร์กล่าว “พวกเอลิลอาจสวมเกราะเหล็กอย่างดีเต็มตัว แต่มันก็ยากที่จะทานทนหน้าไม้กลไกของเราได้”

          “เช่นเดียวกับเกราะของพวกเรา ที่ยากจะทานทนปืนของพวกนั้น” กัปตันมาซูลพูดต่อ

          “สู้กับพวกเอลิลไม่เหมือนสู้กับพวกมนุษย์ รับรองว่าเราเหนื่อยกว่ามาก” โซลิแทร์วางอาวุธเอลิลลงบนโต๊ะ “ตอนนี้เรากับพวกเอลิลเป็นศัตรูกันแล้ว การนำกองกำลังมาดักโจมตีเราแบบนั้น เป็นการประกาศสงครามชัดเจน”

          “มีใครนึกเหตุผลออกไหม ว่าทำไมพวกเอลิลต้องทำเช่นนั้น ทำไมต้องประกาศสงครามกับเราทั้งที่ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน ทำไมต้องสกัดภารกิจของเราจนล้มเหลว” เซซิลถาม “ที่เราพอนึกออกคือพวกนั้นต้องการช่วยมนุษย์รักษาเมืองซาโมโรว์ไว้ พวกนั้นก็รู้เหมือนเรา ว่าหากซาโมโรว์แตก โมราโซมอสทั้งอาณาจักรจะอ่อนแอ โอกาสแพ้สงครามจะมีสูงขึ้น แต่ประเด็นก็คือ ทำไมพวกเอลิลต้องช่วยพวกมนุษย์รักษาเมืองไว้ด้วย พวกนั้นมีส่วนได้ส่วนเสียตรงไหน”

          “ไม่ใช่ต้องการเป็นพันธมิตรแน่นอน” กัปตันมาซูลมั่นใจ “ไม่มีเหตุผลอันใดที่พวกเอลิลควรจะเข้าร่วมกับพวกมนุษย์ ควรจะเป็นศัตรูกันด้วยซ้ำ”

          “ลองคิดในมุมมองของศัตรู” โซลิแทร์ตั้งข้อสันนิษฐาน “พวกเอลิลรู้ว่าเรากับพวกโฮเซ่ร่วมมือกันเฉพาะกิจ และหากปฏิบัติการครั้งนี้สำเร็จ ก็มีแนวโน้มจะร่วมมือกันอีกยาว อาจถึงขั้นกำราบพวกมนุษย์ทั้งอาณาจักรได้เลยทีเดียว ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ทั้งเราและพวกโฮเซ่จะแข็งแกร่งมาก ยากจะพิชิตได้” เขาชี้ไปบนแผนที่ดาวดวงนี้ที่สลักบนโต๊ะยาว “พวกนั้นจึงต้องการหาอะไรมาแยกเรากับพวกโฮเซ่ออกจากกัน นั่นก็คือรักษาอาณาจักรโมราโซมอสไว้ เพื่อขั้นกลางระหว่างโฟรเซ็นทิเนลกับแบร์ร็อคต่อไป อย่างน้อยเมื่อเราหรือพวกโฮเซ่ทำสงครามกับพวกเอลิล ก็ยังต้องคอยระวังพวกมนุษย์ด้วย” เขาเงยหน้ามองทุกคนอย่างจริงจัง “พวกนั้นจะพยายามกันศัตรูทั้งหมดไม่ให้มารวมกัน จะได้แยกกำจัดง่ายขึ้น กลยุทธ์นี้คุ้นๆ ไหม พวกท่านนึกออกใช่ไหมว่าใครชอบใช้”

          “ท่านหมายถึงพวกเฟลมฟอร์ส” เซซิลเอียงคอ

          “เมื่อตอนที่พวกเฟลมฟอร์สเรืองอำนาจ พวกนั้นก็มักจะส่งกองทัพกระจายไปโจมตีเผ่าพันธุ์ทั้งสี่พร้อมๆ กันเพื่อให้แต่ละเผ่าพันธุ์คิดแต่เรื่องรักษาบ้านเมืองของตน ไม่มีโอกาสไปเป็นพันธมิตรกัน และนั่นก็เกือบจะทำให้พวกเฟลมฟอร์สเป็นฝ่ายชนะ หากไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นที่โฟรเซ็นทิเนลครั้งนั้น” โซลิแทร์เท้าความ “การมีศัตรูหลายคนไม่ใช่เรื่องน่ากังวล ตราบที่ศัตรูพวกนั้นยังไม่มารวมกัน นั่นคืออีกหนึ่งคติพจน์ของพวกเฟลมฟอร์ส”

          “หากมันเป็นอย่างที่ท่านว่าจริง นั่นก็จะตอบทุกข้อสงสัยของเรา” กัปตันมาซูลพูด “พวกเอลิลโจมตีเราเพราะพวกเฟลมฟอร์สชักใยอยู่เบื้องหลัง ทุกอย่างมันสมเหตุสมผล ทั้งกลยุทธ์ที่เป็นลักษณะของเฟลมฟอร์ส ทั้งการประกาศสงครามกับเราและพวกโฮเซ่ ทั้งเซ็ทซาร์ดที่เป็นผู้นำการรบ ข้อสงสัยที่ยังหลงเหลืออยู่ตอนนี้คือ ทำไมพวกเอลิลถึงยอมตามพวกเฟลมฟอร์ส ข้าไม่คิดว่าพวกนั้นจะประกาศตัวเป็นศัตรูกับเราและพวกโฮเซ่ด้วยความเต็มใจหรอก”

          “อาจมีการทำข้อตกลงกัน หรือพวกเฟลมฟอร์สอาจมีสิ่งสำคัญที่ใช้กดดันพวกเอลิลได้ หรือพวกเอลิลอาจต้องอาศัยพวกเซ็ทซาร์ดในการทำบางสิ่งบางอย่าง” โซลิแทร์สันนิษฐาน “อย่างน้อยก็เรื่องม่านเกราะมนต์ดำ ต้องใช้ผู้ที่รอบรู้เรื่องมนต์ดำเป็นพิเศษจึงจะสร้างเกราะมนต์ดำขึ้นมาได้ ซึ่งพวกเอลิลคงไม่หลงเหลือคนที่มีความสามารถพอจะสร้างได้ คนเก่งๆ ในเรื่องนี้ถูกพวกไซคัสกำจัดหมดแล้ว จึงต้องพึ่งความสามารถของพวกเซ็ทซาร์ด พวกเซ็ทซาร์ดมีความสามารถพอที่จะสร้างเกราะมนต์ดำได้”

          “ม่านเกราะมนต์ดำ” กัปตันมาซูลทวนคำ “แบบที่เราใช้พรางกำแพงเมืองของเราอยู่น่ะหรือ”

          “ใช่” โซลิแทร์พยักหน้า “ข้าเชื่อว่าพวกเอลิลไม่กล้าประกาศสงครามกับเราและพวกโฮเซ่แน่ หากไม่มั่นใจว่าพร้อมสำหรับสงคราม พวกนั้นจะต้องมีฐานทัพอันมั่นคง มันคงซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง มีเกราะมนต์ดำอำพรางไว้ตลอดเวลาที่มันถูกสร้างขึ้น”  

          “หากเอลิลจะเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้น ทุกอย่างจะต้องเริ่มจากเมืองหลวงเดธแอเรีย” เซซิลกล่าว “แสดงว่าตอนนี้ ที่เดธแอเรียมีฐานทัพเอลิลสร้างใหม่ ที่ล่องหนจากสายตาคนนอกด้วยเกราะมนต์ดำ”

          “มันเพิ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ คงไม่แข็งแกร่งมากมายนัก แต่อย่างน้อยก็คงแข็งแกร่งเกินกว่าที่เหล่าศัตรูจะไปพิชิตได้ง่ายๆ” โซลิแทร์ประเมินต่อ “ข้ามั่นใจว่าพวกเอลิลจะมีกองทัพจำนวนมากมาย ถึงอย่างไรพวกนั้นก็สร้างประชากรและฝึกนักรบได้รวดเร็วกว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆ ถ้าไม่นับพวกเฟลมฟอร์ส”

          “สรุปคือเราต้องรบกับพวกเอลิลจริงๆ ใช่ไหม” กัปตันมาซูลถอนหายใจ

          “ตราบที่พวกเอลิลมีเซ็ทซาร์ดคนนั้นบัญชาการอยู่ ใช่ เราได้รบกับพวกเอลิลแน่” โซลิแทร์พยักหน้า “เขาจะต้องส่งกองทัพมาโจมตีเราสักวัน ตามกลยุทธ์ของเฟลมฟอร์ส”

          “แล้วท่านก็คงทราบใช่ไหม ว่าตามกลยุทธ์ของเฟลมฟอร์ส เราคือเผ่าพันธุ์ที่ถูกโจมตีหนักที่สุด” กัปตันมาซูลบอก “โดยเฉพาะเมื่อพวกนั้นเห็นว่าเราพัฒนาตัวเองจนแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ พวกนั้นจะต้องกระหน่ำให้เราเสียหาย เพื่อชะลอความแข็งแกร่งของเรา”

          “ข้าทราบ” โซลิแทร์พยักหน้า “ข้าเองก็ไม่ได้อยากสู้กับพวกเอลิลเลย พวกนั้นก็ไม่ได้อยากสู้กับเราเช่นกัน เราสองเผ่าพันธุ์ต่างก็เป็นเผ่าพันธุ์แดนหนาวเหมือนกัน แต่ในเมื่อพวกเอลิลถูกบงการให้มาบุกกำแพงเมืองเรา เราก็จำเป็นต้องต่อสู้ปกป้องตัวเอง”

          “ถ้าเช่นนั้น เราต้องเตรียมการสำหรับรับศึกจากพวกเอลิลแล้ว พวกนั้นไม่สู้เหมือนพวกมนุษย์แน่” เซซิลทำแขนกากบาทให้ทั้งคู่ แล้วคว้าเอกสารกับหีบของตน “ข้าจะไปฝึกให้คนของเราเรียนรู้จังหวะในการยิงและจังหวะกำบังการยิงของพวกเอลิล รวมทั้งการตอบโต้ทัพอากาศด้วย เราได้เจอกับฝูงฟาร์ดาราสแน่”

          “ข้าจะไปฝึกพวกเอเลนเซฟเวอรี่ในการต่อต้านทัพอากาศเอลิล” โซลิแทร์ทำแขนกากบาทตอบกลับ“แต่ก่อนหน้านั้น กัปตันมาซูล ข้าต้องการให้ท่านช่วย”

          “ช่วยอะไร” กัปตันมาซูลถาม

          “ท่านค่อนข้างถนัดดาบคู่ ข้าอยากเรียนรู้วิธีที่จะต่อสู้กับมัน รวมทั้งจุดอ่อนจุดแข็งของอาวุธชนิดนี้อย่างละเอียด ช่วยข้าฝึกซ้อมที”

          “ไม่มีปัญหา แต่ท่านควรรู้ไว้นะ ว่ารูปแบบการต่อสู้ของข้ากับเซ็ทซาร์ดคนนั้นแทบไม่มีอะไรเหมือนกัน แล้วเขาก็ฝีมือเหนือชั้นกว่าข้ามาก”

          “ไม่ต้องห่วง ข้าแค่ต้องการจะคุ้นเคยกับการต่อสู้กับดาบคู่ ที่เหลือข้าจะนำไปประยุกต์เอง”

          “เรื่องประยุกต์พลิกแพลงท่านเก่ง ข้ายอมรับ” กัปตันมาซูลจับบ่าโซลิแทร์ “นิสัยของท่านคือไม่ถอดใจยอมแพ้อะไรง่ายๆ ท่านจะเพียรพยายามต่อสู้กับมัน โดยอาศัยความคิดที่ชาญฉลาดเสมอ และมันก็มักจะสำเร็จทุกครั้ง แต่จะขอเตือนท่านว่าเซ็ทซาร์ดนั้นร้ายกาจมากท่านอาจต้องพยายามมากกว่าที่คิด”

          “ชีวิตข้ายังมีอยู่ ข้าก็จะพยายามไป โชคไม่เคยเข้าข้างปีศาจ เราอยู่รอดได้เพราะความเพียร” โซลิแทร์พูดเรียบๆ “ปล่อยให้พวกพระเอกในนิยายได้เป็นผู้ถูกเลือก ได้เป็นคนพิเศษตามคำพยากรณ์ หรือเป็นอะไรบ้าๆ บอๆ ที่โชคชะตาลิขิตมาเถิด ข้าจะเป็นปีศาจธรรมดาที่กระเสือกกระสนด้วยสองมือของตน และจะยกสองเท้าให้โชคชะตาเอง”

          “เจอกันบนกำแพงชั้นที่สาม” กัปตันมาซูลหัวเราะ ทำแขนกากบาทให้โซลิแทร์ แล้วหอบอาวุธเอลิลที่นำมาด้วย เดินตามเซซิลออกจากห้องประชุม

          โซลิแทร์ดับไฟในห้องและในเตาผิง เดินออกจากห้อง ลงบันไดใหญ่ของห้องโถงป้อมปราการ แล้วเปิดประตูใหญ่ออกไปสัมผัสอากาศอันหนาวเย็นข้างนอก บริเวณนี้ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน คาดว่านักรบคนอื่นๆ ยังพักกันอยู่ บางอย่างสะดุดสายตาเขา ใครสักคนยืนอยู่ที่โคนป้อมหลังหนึ่งที่เชื่อมต่อกับป้อมปราการดำ ห่างออกไปทางซ้าย เห็นอยู่ไกลๆ ว่ายืนหันหลังให้ สวมเสื้อคลุมสีกรมท่าอมเทา สวมหมวกทรงสูงสีเดียวกันที่ปีกหมวกทำด้วยใบไม้ โซลิแทร์ก้าวเดินไปหาร่างนั้นอย่างเยือกเย็น มือขวาจับรอบด้ามดาบอยู่ใต้ผ้าคลุม

          “สวัสดี ท่านลอร์ดมืดแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” ร่างนั้นเอ่ยทักทาย เมื่อโซลิแทร์เดินเข้าไปถึง ยังไม่หันมามอง “หรือข้าควรเรียกท่านว่าแบล็กไรดิงฮู้ดดี”

          “กรุณาให้เหตุผล ว่าทำไมข้าถึงไม่ควรชักดาบออกมาตัดหัวท่านเสียตอนนี้” โซลิแทร์ถามเรียบๆ

          “ถ้าท่านจะตัดหัวข้า ท่านก็คงไม่เสียเวลามาพูดคุยด้วยแบบนี้” ผู้มองไกลหันมองโซลิแทร์ ด้วยใบหน้าที่มีแต่หนังโปร่งใสหุ้มกระดูกขาวโพลน ใบหน้าของเอลิล มือที่ถือไม้เท้าของเขาก็เป็นผิวหนังโปร่งใสหุ้มกระดูกขาวโพลนเช่นกัน

          “บางคน ข้าก็พูดคุยด้วยก่อนตัดหัว” โซลิแทร์บอก “ไปถามพวกนักบวชมนุษย์ดูสิ”

          “ท่านอาจเป็นคนความจำไม่ค่อยดี ท่านลอร์ดมืดแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม แต่ท่านก็ไม่ได้ความจำเสื่อม เหตุผลที่ท่านยังไม่ลงดาบใส่คอข้าที่ข้าบุกรุกเข้ามา” ผู้มองไกลว่า “ก็เพราะท่านจำข้าได้”

          ราวสิบแปดสิบเก้าปีก่อน หลังจากที่โซลิแทร์ทำลายอำนาจมาร์กอลลอสได้โดยบังเอิญ เขาจำได้ว่าเอลิลคนนี้เคยปรากฏตัวให้เขาเห็นที่เมืองหลวงโฟรเซ็นทิเนล

          “ข้าจำได้ว่าท่านโค้งคำนับให้ข้า” โซลิแทร์เอ่ย

          “เพื่อขอบคุณท่าน”

          “ขอบคุณเรื่องอะไร”

          “เรื่องที่พิสูจน์ให้เห็นว่าทฤษฎีความน่าจะเป็น ทฤษฎีที่ข้าเชี่ยวชาญเสมือนเป็นวิชาประจำตัวของข้านั้น มันเป็นทฤษฎีที่ค่อนข้างไร้ประโยชน์”

          “แน่นอน มันเป็นทฤษฎีที่ไร้สาระที่สุดในวิชาคณิตศาสตร์” โซลิแทร์พูด “แต่มันเกี่ยวอะไรกับข้า ข้าหยุดยั้งพวกเฟลมฟอร์ส ไม่ได้ไปโต้วาทีคณิตศาสตร์กับใคร”

          “หากคำนวณตามหลักทฤษฎีความน่าจะเป็น โอกาสที่พวกเฟลมฟอร์สจะเอาชนะพวกท่านได้นั้น มันมากมายเสียจนแทบจะสรุปผลเป็นเอกฉันท์ได้ เมื่อเทียบอัตราส่วนแล้วก็ต้องทำนายว่าพวกท่านเป็นฝ่ายแพ้แน่นอน” ผู้มองไกลตอบ “แต่กลับกลายเป็นว่าพวกท่านเป็นเอาชนะพวกเฟลมฟอร์ส นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าทฤษฎีความน่าจะเป็นนั้นมันเอามาใช้คาดการณ์อะไรไม่ได้เลย โอกาสที่มีน้อยไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่เกิดหรือไม่ใช่ว่ามันจะเกิดไม่บ่อย ในเมื่อชีวิตของข้าคือการใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็นในการคาดการณ์เหตุต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ข้าจึงรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอันด้อยค่าเมื่อได้รู้ความจริงว่าทฤษฎีความน่าจะเป็นมันช่างไร้สาระ อย่างไรก็ตามข้าก็ต้องขอบคุณท่านที่ทำให้ข้าได้รับรู้ความจริง”

          “ท่านเป็นนักพยากรณ์อย่างนั้นหรือ” โซลิแทร์ถาม มีความไม่พอใจแฝงในน้ำเสียง เขาค่อนข้างมีอคติกับหลายสิ่ง หนึ่งในนั้นก็พวกนักพยากรณ์ พวกนักทำนายอนาคต พวกนักอ่านดวงชะตาทั้งหลาย สำหรับเขาและคนที่มีสมองนั้น การทำนายอนาคตคือเรื่องงมงาย หลอกลวง เดาสุ่ม ไร้สาระที่สุดในบรรดาเรื่องไร้สาระที่สุด

          “ข้าเป็นนักคณิตศาสตร์ นักคำนวณ ผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ผู้เชี่ยวชาญเรื่องทฤษฎีความน่าจะเป็น แต่ไม่ใช่นักพยากรณ์แน่นอน ท่านลอร์ดมืดแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” ผู้มองไกลกล่าว “การทำนายอนาคตเป็นสิ่งที่ไร้เหตุผล ไม่มีใครอ่านหนังสือที่ยังไม่ได้เขียนได้ ไม่มีใครข้ามสะพานที่ยังไม่ได้สร้างได้ ไม่มีใครได้ลิ้มรสผลไม้ที่ยังไม่ได้ปลูกได้ ไอซ์ครีเอเทอร์ไม่ได้สร้างข้าขึ้นมาเพราะต้องการนักพยากรณ์ เขาต้องการคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล พร้อมด้วยเหตุผลเต็มเปี่ยม อนิจจา ความสามารถของข้ากลับกลายเป็นดาบสองคม สายตาที่กว้างไกลเกินไป ส่งผลให้ข้ากับเขาขัดแย้งกันถึงขั้นแตกหัก ทำให้ข้าต้องถูกขับออกจากเผ่าพันธุ์ แล้วข้าก็ได้ทำสิ่งที่น่าละอายเกินกว่าที่ใครจะให้อภัยได้ ข้าทรยศต่อเผ่าพันธุ์ของตน ข้าเป็นเหตุให้พวกเขาถูกกวาดล้าง นำไฟสงครามอันร้อนแรงมาสู่ดาวดวงนี้ และตอนนี้เผ่าพันธุ์ของข้าก็กลายเป็นหุ่นเชิดของพวกเซ็ทซาร์ด ทั้งหมดนี้เป็นความผิดพลาดที่ข้าจะต้องแก้ไข”

          “นี่คือเหตุผลที่ท่านบุกรุกเข้ามาในฐานทัพของเราหรือ” โซลิแทร์พูดเสียงเย็น “เข้ามารำพึงรำพันอดีตให้ข้าฟัง ข้าคิดว่าเอลิลเป็นเผ่าพันธุ์ที่ไร้ความรู้สึกเสียอีก”

          “เอลิลอาจไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก แต่เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสมอง มีความทรงจำ มีความคิดสร้างสรรค์” ผู้มองไกลพูด “นั่นทำให้เรามีความคิด มีศักดิ์ศรี มีความรับผิดชอบ มีความละอายใจ”

          “เช่นนั้น เอลิลอย่างท่านก็ควรจะรู้สึกละอายใจบ้าง ที่มาพูดเรื่องความผิดพลาดของตน ให้กับคนที่ไม่อยู่ในอารมณ์อยากฟัง” โซลิแทร์ย้อน “ท่านคงจะรู้ดีว่า ช่วงนี้ข้าต้องเตรียมการรับศึก ศึกจากเผ่าพันธุ์ของท่านนั่นแหละ”

          “เอลิลไม่ได้อยากทำสงครามกับท่าน หรือกับเผ่าพันธุ์ใดทั้งสิ้น” ผู้มองไกลพูด “ที่ทำไปก็เพราะต้องทำตามข้อตกลงกับพวกเซ็ทซาร์ด อย่างที่ข้าบอกไป เผ่าพันธุ์ของข้าถูกเชิด”

          “ข้อตกลงอะไร ที่เผ่าพันธุ์ของท่านตกลงกับพวกเซ็ทซาร์ด” โซลิแทร์ถาม

          “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้ารู้” ผู้มองไกลตอบ “ที่ข้าพอรู้ คือหลังจากที่เฟลมฟอร์สเสื่อมอำนาจ พวกเซ็ทซาร์ดไม่ได้เงียบหายไปไหน พวกนั้นยังคงหาทางดำเนินงานเพื่อสืบสานเจตนารมณ์ของเฟลมฟอร์สต่อไป ท่านคงทราบดีว่าพวกนั้นหลักแหลมและมีความสามารถสูงมาก พวกนั้นคงจะไปค้นพบหนทางที่นำมาใช้ต่อรองกับเผ่าพันธุ์ของข้าได้ ในตอนนี้เซ็ทซาร์ดเดลิลวาสทำหน้าที่ควบคุมและบัญชากองทัพของเผ่าพันธุ์ข้า ขณะที่พี่น้องเซ็ทซาร์ดคนอื่นๆ ของเขากำลังจัดการให้แน่ใจว่า สิ่งที่พวกเขานำมาใช้ต่อรองกับเผ่าพันธุ์ของข้านั้น ยังอยู่ในการควบคุมของพวกเซ็ทซาร์ด ข้าไม่คิดว่านักรบที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีอย่างจอมพิชิตจะภูมิใจกับวิธีการของเหล่าเซ็ทซาร์ดของเขานัก แต่เขาก็ไม่เคยตำหนิหรือขัดขวางอะไรพวกนั้น แม้ว่าพวกนั้นจะใช้วิธีการที่ไม่น่าชมเชยก็ตาม เพราะเขารู้ว่าพวกเซ็ทซาร์ดจงรักภัคดีต่อเขาอย่างเหนียวแน่น และทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของเฟลมฟอร์สอย่างแท้จริง”

          “ข้ารู้ดีว่าพวกเซ็ทซาร์ดจงรักภัคดีต่อเฟลมฟอร์ส จงรักภัคดีจนบางครั้งก็ทำสิ่งเหี้ยมโหดและน่าอายเพื่อประโยชน์ของเผ่าพันธุ์ตน ไม่ต้องมาบอกสิ่งที่ข้ารู้อยู่แล้ว” โซลิแทร์พูดเสียงเย็นเยียบ “ข้าตกอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะพวกมัน”

          “เผ่าพันธุ์ของข้าเองก็กำลังถูกพวกนั้นกดดันให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำเช่นกัน ท่านลอร์ดมืดแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” ผู้มองไกลพูด “กัปตันโพรเฟดและเอลิลคนอื่นๆ ไม่เต็มใจสักนิดที่จะทำสงครามกับเผ่าพันธุ์ของท่าน หรือกับเผ่าพันธุ์ใดก็ตาม”

          “ถ้าท่านคิดว่านั่นจะทำให้ข้ารู้สึกเห็นใจเผ่าพันธุ์ท่านยามที่พวกเขายกทัพมาข้างหน้ากำแพงเมืองข้า ท่านคิดผิดแน่นอน” โซลิแทร์ส่ายหน้ากาก “ข้าไม่สนใจว่าใครจะมาโจมตีเราด้วยเหตุผลอะไร เมื่อคุกคามเข้ามา เราก็จะใช้ความรุนแรงขับไล่ไป”

          “ท่านและพวกพ้องมีสิทธิ์ที่จะปกป้องตนเองเมื่อถูกคุกคาม” ผู้มองไกลโค้งศีรษะ “เรื่องนี้ข้าไม่ได้ร้องขอให้เปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น”

          “เช่นนั้นก็บอกมาเสียที ว่าท่านจะร้องขอสิ่งใดกันแน่” โซลิแทร์เริ่มจะอดรนทนไม่ไหว

          “เผ่าพันธุ์ข้าต้องการความช่วยเหลือ พวกเขากำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือของพวกเฟลมฟอร์ส ซึ่งพวกเขาก็ไม่สามารถต่อต้านได้ การละเมิดข้อตกลงนี้จะนำมาซึ่งหายนะใหญ่หลวง” ผู้มองไกลบอก “แต่ถ้าแผนการของพวกเซ็ทซาร์ดถูกหยุดยั้ง โดยคนอื่นที่ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ข้า หยุดยั้งโดยศัตรูของเฟลมฟอร์สสักฝ่าย ก็ถือว่าเผ่าพันธุ์ของข้ายังไม่ได้ละเมิดข้อตกลง เฟลมฟอร์สไม่มีสิทธิ์จะมาเอาผิดกับเราได้”

          “ท่านจะขอให้ข้าและเผ่าพันธุ์ของข้า หยุดยั้งแผนการของพวกเซ็ทซาร์ดหรือ” โซลิแทร์เอียงคอ

          “ถึงข้าไม่ขอ พวกท่านก็คงจะทำอยู่ดี ท่านกำลังทำสงครามอยู่กับพวกเอลิล ที่มีเซ็ทซาร์ดชักใยอยู่เบื้องหลัง และพวกท่านก็ไม่ต้องการแพ้” ผู้มองไกลพูดต่อ

          “แล้วเราควรจะทำอะไร” โซลิแทร์ถาม “ฆ่าเซ็ทซาร์ดคนที่ชักใยเผ่าพันธุ์ของท่านอย่างนั้นหรือ”

          “ในตอนนี้เซ็ทซาร์ดมีกันอยู่ทั้งหมดแปดคน ต่อให้ท่านพวกฆ่าเดลิลวาสได้ ก็จะมีเซ็ทซาร์ดคนอื่นมาแทนที่อยู่ดี” ผู้มองไกลชี้แจง “หากท่านจะหยุดยั้งแผนของพวกเฟลมฟอร์ส ท่านต้องไม่เพียงทำลายเดลิลวาส ท่านต้องทำลายแผนการของเขาด้วย ทำให้เขาและพวกพ้องของเขามาเชิดเอลิลไม่ได้อีก”

          “ด้วยวิธีใดล่ะ”

          “มีอยู่วิธีเดียว” ผู้มองไกลตอบ “ฆ่าเซ็ทซาร์ดเดลิลวาสและเอาชนะสงครามกองทัพเอลิลที่ถูกเขาควบคุมอยู่ให้ได้”

          “นั่น” โซลิแทร์พูดเสียงเย็นอย่างหงุดหงิด “คือสิ่งที่เราพยายามทำอยู่”

          “ข้ารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่พวกท่านพยายามทำอยู่ ท่านลอร์ดมืดแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม ข้าจึงกล้าพูดว่า ถึงข้าจะไม่ขอให้พวกท่านทำ พวกท่านก็ทำอยู่ดี”

          “แล้วมาบอกสิ่งที่ข้ารู้อยู่แล้วทำไม”

          “เมื่อท่านตั้งคำถาม ข้าก็จำเป็นต้องตอบ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเป็นคำตอบที่ท่านรู้อยู่แล้ว”

          โซลิแทร์เริ่มหงุดหงิดกับเอลิลคนนี้มากขึ้น เขากวนประสาทโดยไม่ตั้งใจหรือตั้งใจกันแน่

          “แล้วท่านไม่ขัดข้องหรือไร หากข้าพิชิตเผ่าพันธุ์ของท่าน” โซลิแทร์ถามหยั่งเชิง

          “สงครามนี้พวกเฟลมฟอร์สเป็นผู้ก่อ ท่านลอร์ดมือแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ของข้า” ผู้มองไกลพูด “หากพวกท่านชนะ เอลิลก็จะถูกตีกระจัดกระจาย พวกเซ็ทซาร์ดจะใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือได้ลำบากขึ้น และนั่นจะช่วยซื้อเวลาให้เอลิลหาทางหลุดจากข้อตกลงได้”

          “ในตอนนี้พวกเอลิลคงมีฐานทัพที่แข็งแกร่ง มันอาจไม่แข็งแกร่งมากมายเพราะเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ในช่วงเวลาอันสั้น แต่มันก็น่าจะแข็งแกร่งเกินไปสำหรับเรา” โซลิแทร์บอก “ดาร์คเนสดีวิลไม่สันทัดเรื่องการต่อสู้เชิงบุกโจมตี ยกทัพไปก็มีแต่จะตาย ซ้ำร้ายจะไม่มีโอกาสยกไปเสียด้วยซ้ำ พวกเอลิลคงส่งกองทัพมาโจมตีเรา จนเราต้องเอาแต่ป้องกันฐานที่มั่น ไม่มีโอกาสทำอย่างอื่นแน่”

          “เรื่องกลยุทธ์สงครามเป็นสิ่งที่ข้าไม่เชี่ยวชาญ ท่านต่างหากที่เชี่ยวชาญ ข้าไม่สามารถจะให้คำแนะนำท่านเรื่องนี้ได้ อภัยให้ข้าด้วย” ผู้มองไกลโค้งศีรษะ “ข้าบอกได้เพียงว่า การจะยุติเรื่องนี้ได้ คือชนะสงครามให้ได้เท่านั้น แต่จะเอาชนะอย่างไรนั้น มันสุดปัญญาความรู้ของข้า ข้าไม่ได้บอกว่ามันง่าย ไม่ได้บอกว่ามันจะมีหนทางมากมาย ไม่ได้บอกว่าสุดท้ายแล้ว มันจะสำเร็จหรือไม่ แต่มันคือวิธีเดียวเท่านั้น” เขาจ้องมองโซลิแทร์ด้วยเบ้าตาที่ปกคลุมด้วยเงามืด “แม้ว่าทฤษฎีความน่าจะเป็นมันค่อนข้างไร้ประโยชน์ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ข้าได้รู้ว่าสิ่งใดคือโอกาสสูงสุด และท่านกับเผ่าพันธุ์ของท่านคือโอกาสที่จะทำให้มันสำเร็จมากที่สุด แม้จะเป็นโอกาสที่น้อยมากก็ตาม”

          “ศัตรูอื่นๆ ของเฟลมฟอร์สมีตั้งมากมาย มนุษย์ โฮเซ่ ฟอเรสเทอร์” โซลิแทร์ไล่ชื่อ “ทำไมท่านต้องเลือกมาพูดคุยกับข้า”

          “เมื่อสิบแปดปีก่อน ท่านต่อสู้กับสิ่งที่ไม่มีวันเอาชนะได้ ด้วยหัวใจที่ไม่มีวันยอมแพ้ แม้ความเป็นไปได้มันจะน้อยเพียงไร มันก็ไม่ได้ทำให้ท่านลดละความพยายาม” ผู้มองไกลกล่าว “ท่านพิสูจน์ให้ข้าเห็นว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้ ไม่ว่าจะมีโอกาสน้อยเพียงใดก็ตาม เด็กชายปีศาจตัวน้อยหยุดยั้งอำนาจของนักรบที่เก่งที่สุดได้ ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง และเด็กชายปีศาจคนนั้นก็เติบโตขึ้นมาปลดปล่อยพวกพ้องจากการเป็นอาณานิคมของมนุษย์ โดยใช้ความหวังและความเพียรมุ่งมั่น ศัตรูของเฟลมฟอร์สอาจมีมากมาย แต่มีท่านเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าทำสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ตลอดมา ขณะที่คนอื่นๆ ต่างยอมแพ้ต่อชะตาลิขิตท่านกลับยืนหยัดที่จะเปลี่ยนชะตาลิขิตของตนอย่างไม่ย่อท้อ ท่านจุดประกายความหวังให้กับพวกพ้อง ท่านทำให้ทุกคนมีความหวัง”

          โซลิแทร์ยืนจ้องอีกฝ่ายนิ่ง มือที่กำรอบด้ามดาบใต้ผ้าคลุมนั้นค่อยๆ คลายออก

          “ท่านอาจรู้สึกว่าไม่ได้อะไรจากการสนทนากับข้าครั้งนี้นัก” ผู้มองไกลหันหลังกลับไป ทำท่าเหมือนจะจากไป “แต่อย่างน้อย ท่านควรจะได้รับรู้ว่า มันมีเหตุผลเพียงพอที่ข้าโค้งคำนับให้ท่านเมื่อสิบแปดปีก่อน และข้าก็หวังว่าจะมีโอกาสโค้งคำนับให้ท่านอีกครั้ง เมื่อท่านทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้อีกครั้ง”

          “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าการพบปะครั้งนี้ไม่ใช่กลลวง” โซลิแทร์ถามไล่หลัง

          “ข้าไม่อาจหาอะไรมาพิสูจน์ได้หรอก ท่านลอร์ดมืดแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” ผู้มองไกลหันกลับมามองโซลิแทร์ “ในดาวดวงนี้ อะไรมันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น เท่าที่เราทำได้ ก็แค่เชื่อในสิ่งที่ตนหวัง”

          แล้วร่างของเขาก็สลายแปรสภาพเป็นกลุ่มใบไม้สีกรมท่า ปลิวขึ้นฟ้าหายไป แม้จะไม่มีลมพัดสักนิด

 

*************************

 

                “หวังว่าความเสียหายที่ผ่านมานี้ จะเป็นอุทาหรณ์ให้เผ่าพันธุ์ของเราได้ตระหนักว่า ความแตกแยกมันนำมาซึ่งหายนะ” พระราชาเอ่ยอยู่บนบัลลัง ในท้องพระโรงโมราโซมอส เบื้องหน้าคือเหล่าขุนนางคนสำคัญทั้งหลาย “ศัตรูของเราเกือบจะดับอนาคตของมนุษยชาติ เราเกือบจะพ่ายแพ้สงคราม เพราะความเหลวไหลไร้สาระและความไม่ลงรอยกันของพวกเจ้าแต่ละคน หากเผ่าพันธุ์มีแต่คนดี ทำเพื่อบ้านเมือง ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เราก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้หรอก”

                ขุนนางทุกคนก้มหน้า เป็นอีกครั้งที่พระราชาโทษว่าเป็นความผิดของทุกคน ยกเว้นตนเอง

                “นี่คือบุคคลที่พวกเจ้าควรยกย่อง” พระราชาชี้ไปที่กัปตันเท็มเปิลที่ยืนอยู่กลางท้องพระโรง บนลายพื้นหินอ่อนที่โดดเด่นเสมือนเป็นจุดเข้าเฝ้า วันนี้เขาดูเด่นเป็นสง่ามาก “เขาทำงานหนัก ขยันอดทน ไม่เกี่ยงความยากลำบาก ซื่อสัตย์สุจริต ทำหน้าที่เพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนหรือลาภยศใดๆ และที่เรารอดพ้นจากความพ่ายแพ้ครั้งนี้ได้ก็เพราะเขา กัปตันเท็มเปิล ข้าขอขอบใจเจ้า”

                “ขอบพระทัยพะยะค่ะ” กัปตันเท็มเปิลคุกเข่าลง ยิ้มอย่างพอใจ เจ้าเมืองทุกคนจ้องมองเขา ในตอนนี้กัปตันเท็มเปิลค่อนข้างมีหน้ามีตา ถ้าได้เป็นพันธมิตรก็คงจะดีไม่น้อย “หากแต่ไม่ใช่เพราะหม่อมฉันที่ช่วยให้เรารอดพ้นจากภัยรุกรานนี้ เจ้าชายอโลบัสก็ใช้ความฉลาดและความเด็ดเดี่ยวในการปกป้องฐานบัญชาการใหญ่ซาโมโรว์ เป็นเรื่องยากที่จะต้านศัตรูในสถานการณ์นั้นได้ แต่เขาก็ทำสำเร็จ หม่อมฉันคงกอบกู้ซาโมโรว์ไม่ทัน หากเขาไม่ต้านข้าศึกได้นานพอ”

                “ในเมื่อเขาปฏิเสธที่จะมาเข้าเฝ้า ก็แสดงว่าเขาต้องการยกความดีความชอบให้เจ้าแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งข้าก็ยอมรับการกระทำของเขา” พระราชาพูด เห็นชัดเจนเลยว่าไม่ค่อยจะรักลูกคนนี้ “ในตอนนี้ เจ้า กัปตันเท็มเปิล คือวีรบุรุษของเรา ทำหน้าที่ได้ดี ขอให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เจ้าคือบุคคลที่ควรเอาเยี่ยงอย่าง”

                “หม่อมฉันพร้อมจะรับใช้บ้านเมืองและพระองค์ต่อไป และจะทำอย่างดีที่สุด อย่างที่ทำมาตลอดพะยะค่ะ” กัปตันเท็มเปิลลุกขึ้นยืน ดูจะภูมิใจในตัวเองมาก “หน้าที่ สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด”

                จงรักภัคดีเหมือนสุนัข ซื่อสัตย์ไม่ลืมหูลืมตา เถรตรงไม่คดไม่งอ นั่นคือคำจำกัดความที่พวกขุนนางทั้งหลายมอบให้กัปตันเท็มเปิล ความจริงแล้วในโมราโซมอส สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้คนเจริญเลย การประจบสอพลอและการฉาบฉวยต่างหาก ที่ทำให้มนุษย์ก้าวหน้า หากกัปตันเท็มเปิลมีเล่ห์เหลี่ยมมากกว่านี้ ก็คงไปได้ไกลกว่านี้อีกมาก อย่างน้อยก็คงได้อะไรมากกว่าคำชม

                “ว่าแต่ที่เราพบศพพวกดาร์คเนสดีวิลและพวกเอลิลนอนเกลื่อนอยู่บริเวณถนนฝั่งตะวันตกของเมืองซาโมโรว์” พระราชาเอ่ยขึ้น “มันหมายความว่ายังไง”

                “ดูเหมือนว่าสองกองกำลังจะปะทะกันพะยะค่ะ” ริฟเฟอร์ตอบ “พวกเอลิลคงยกพลมาสกัดพวกดาร์คเนสดีวิลไม่ให้ไปสมทบกับพวกโฮเซ่ เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เรายังไม่เสียเมืองซาโมโรว์”

                “จากอาวุธ ชุดเกราะ พาหนะ และกองกำลังทหาร แสดงให้เห็นว่าพวกเอลิลมีฐานการผลิตพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงเสริม “ซึ่งหมายความว่า พวกเอลิลสามารถก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้อีกครั้ง หลังจากเงียบหายไปนาน พวกนั้นจะต้องมีฐานทัพอยู่ที่ไหนสักแห่ง หม่อมฉันเชื่อว่าจะต้องอยู่ในเมืองหลวงเดธแอเรีย ทุกอย่างจะต้องเริ่มต้นที่นั่น หากพวกเอลิลต้องการขยายความเจริญให้ทั่วถึงทั้งอาณาจักร”

                “งั้นก็แสดงว่าที่ผ่านมา พวกนั้นแอบสร้างฐานทัพขึ้นมาเงียบๆ และสามารถตบตาจากเผ่าพันธุ์อื่นๆ ได้” พระราชากล่าว “ฟังดูคุ้นๆ ใช่ไหม ทำแบบเดียวกับพวกดาร์คเนสดีวิลไม่มีผิด และข้าว่าพวกมันต้องใช้เกราะมนต์ดำในการพรางฐานทัพเหมือนกัน มันเป็นวิธีเดียวที่จะอำพรางทั้งฐานทัพได้”

                “หม่อมฉันก็เชื่อเช่นนั้นพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงโค้งศีรษะ “และเกราะมนต์ดำนั้นไม่ได้สร้างขึ้นมาง่ายๆ ต้องใช้คนหรือกลุ่มคนที่มีความสามารถเรื่องมนต์ดำและภาษาดาร์เคนเป็นพิเศษ รวมทั้งต้องใช้วัสดุที่จำเป็น และระยะเวลาในการสร้าง นั่นหมายความว่า ในบรรดาพวกเอลิลจะต้องมีใครสักคนหรือหลายคนที่มีความสามารถในเรื่องนี้อย่างแน่นอน ไม่ใช่คนธรรมดา จะต้องเป็นคนที่เก่งมาก”

                “ที่ข้าสงสัยก็คือ พวกเอลิลสกัดทัพพวกดาร์คเนสดีวิลทำไม พวกนั้นช่วยเราไว้ทำไม” พระราชาตั้งข้อสงสัย “ทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการประกาศตัวเป็นศัตรูกับพวกดาร์คเนสดีวิลและพวกโฮเซ่ พวกเอลิลมีปัญหาอะไรกับสองเผ่าพันธุ์นั่น”

                “เป็นไปได้ไหมพะยะค่ะเสด็จลุง ว่าพวกนั้นต้องการร่วมมือกับเรา” แรคแทนทินถาม

                “เช่นนั้น พวกเอลิลก็คงส่งทูตมาเจรจาหรือทำสิ่งที่ใกล้เคียง” พระราชาบอก “ด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม ข้าไม่คิดว่าพวกนั้นจะทำเพื่อเรา”

                “เช่นนั้น พวกนั้นจะทำเพื่ออะไรพะยะค่ะ” อาร์รอสถาม “ประกาศตัวเป็นปรปักษ์กับพวกดาร์คเนสดีวิลและพวกโฮเซ่ ทั้งที่ไม่เคยมีเรื่องบางหมางกันเลย เป็นการตัดสินใจที่ล่อแหลมมาก หากไม่มีเหตุผลเพียงพอก็คงไม่มีใครบ้าทำเช่นนี้ โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดที่สุดในดาวดวงนี้อย่างพวกเอลิล”

                ถูกแล้ว การหาศัตรูที่แข็งแกร่งมาใส่ตัวนั้น เป็นการกระทำที่ล่อแหลม น่าสงสัยว่าพวกเอลิลมีจุดประสงค์อะไรถึงทำเช่นนี้ นึกไปนึกมา คำพูดที่พระองค์เคยได้ยินจากผู้มองไกลก็ย้อนมาเข้าหัว

                “เผ่าพันธุ์ของหม่อมฉันกำลังถูกใช้เป็นหุ่นเชิด และสงครามต่างๆ ที่พระองค์สร้างขึ้นกำลังจะทำให้พวกเขาหลีกเลี่ยงการถูกเชิดไม่ได้”

                ทันใดนั้น ประตูท้องพระโรงก็เปิดออก ทุกคนหันไปมองว่าใครเข้ามาขัดจังหวะการประชุม ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น แพทย์หลวงเกรนวาร์ด โกลด์แมน และที่เดินตามเข้ามาติดๆ คือซอร์โรร่า

                “ถวายบังคมฝ่าบาท” โกลด์แมนทำความเคารพ

                “ข้าส่งเจ้าไปทำภารกิจที่ไอซ์เมสไม่ใช่หรือ” พระราชาถาม

                “มีเหตุจำเป็นที่ต้องยกเลิกภารกิจพะยะค่ะ” โกลด์แมนอธิบาย

                “เสด็จตาห้ามไม่ให้เจ้าเข้ามาเหยียบในท้องพระโรงเป็นเวลาสองปีไม่ใช่หรือ” เอ็ดด์ เฟรเทลหันไปหาซอร์โรร่าด้วยสายตารังเกียจ

                ซอร์โรร่าที่เข้าไปกอดทักทายอาร์รอสพ่อของเธอ กำลังจะหันมาสวนว่า เธอเองก็ไม่ได้เต็มใจจะมาเหยียบที่นี่เลย โชคดีที่โกลด์แมนชิงพูดขึ้นก่อน

                “เลดี้ไอวิวรี่คือผู้ที่เห็นสิ่งสำคัญมากที่สุดพะยะค่ะ หม่อมฉันจึงต้องพาเธอมาเข้าเฝ้า”

                “งั้นเล่ามา แพทย์หลวงโกลด์แมน” พระราชาผงกศีรษะเร็วๆ อย่างรำคาญ “อะไรทำให้เจ้ายกเลิกภารกิจ”

                “มีฐานทัพเอลิลตั้งอยู่ที่เมืองหลวงเดธแอเรียพะยะค่ะ” โกลด์แมนทูล “แต่หม่อมฉันเชื่อว่าพระองค์คงพอเดาเรื่องนี้ได้แล้ว”

                “งั้นก็เป็นการยืนยันว่า พวกเอลิลตั้งฐานทัพอยู่ที่เดธแอเรียจริง” พระราชากล่าว “เจ้าเห็นฐานทัพของพวกนั้นหรือ”

                “เลดี้ไอวิวรี่เป็นคนเห็นพะยะค่ะ และได้เข้าไปสังเกตในฐานทัพด้วย”

                ทุกคนหันมามองซอร์โรร่าเป็นตาเดียวกันหมด อาร์รอสนิ่งอึ้งอย่างไม่อยากเชื่อ ทั้งประหลาดใจ ทั้งไม่พอใจ ทั้งสับสน ซอร์โรร่าอดรู้สึกตื่นๆ ไม่ได้เมื่อสายตาทุกคู่ในท้องพระโรงจับจ้องมาที่เธอกันหมด

                “ไหนเล่ามาสิ” พระราชาสั่ง

                ซอร์โรร่าอธิบายเหตุการณ์ทุกอย่างที่เธอเห็น ทั้งพวกฟอเรสเทอร์ และการที่เธอตกลงไปในอุโมงค์ลับของลินเลนธัน ได้โผล่หัวขึ้นไปดูฐานทัพพวกเอลิลบางส่วน

                “แปลกนะ พวกฟอเรสเทอร์เดินทางมาไกล ฝ่าลมหนาวและภัยธรรมชาติเพื่อทำการสำรวจ” แร็กซ์ริงพึมพำ “จะต้องมีอะไรทำให้พวกนั้นสงสัยเกี่ยวกับพวกเอลิลอย่างแน่นอน”

                “พวกเอลิลไม่เป็นมิตรกับพวกฟอเรสเทอร์อย่างแน่นอนเพคะ พวกชาวป่าถูกขับไล่ด้วยอาวุธหนักและกำลังทหาร” ซอร์โรร่ามั่นใจ “และพวกเอลิลก็คงจะไม่เป็นมิตรกับมนุษย์เช่นกัน”

                “ทำไมถึงแน่ใจว่าไม่เป็นมิตรกับมนุษย์”

                “ก็เพราะฟาร์ดาราสตัวหนึ่งเห็นข้า ก็เข้าจู่โจมทันทีน่ะสิเพคะ” ซอร์โรร่าเปิดชายกระโปรงให้ดูต้นขาอย่างไม่เก้อไม่เขิน ทำเอาขุนนางแก่ๆ หลายคนแทบจะหัวใจวาย มีร่องรอยแผลแห้งกรังที่เกิดจากความเย็น แต่ก็กำลังจะหายสนิทแล้ว

                “นี่ลูกไปเสี่ยงอันตราย” อาร์รอสร้องออกมา เขาหันไปหาพระราชาอย่างจะเอาเรื่อง หลายคนมองเขาตื่นๆ การไปโวยวายใส่พระราชาไม่ใช่เรื่องที่ควรทำสักนิด “พระองค์ส่งลูกสาวคนเดียวของหม่อมฉันไปปฏิบัติภารกิจที่อันตรายถึงชีวิต แล้วเธอก็บาดเจ็บกลับมา”

                “อย่ามาขึ้นเสียงกับข้าอาร์รอส” พระราชาตะคอกกลับ

                “ไม่ว่าเรื่องอะไร หม่อมฉันทนได้รับได้ แต่เรื่องลูกสาว หม่อมฉันทนไม่ได้ ก่อนหน้านี้หม่อมฉันขอร้องให้พระองค์ทรงทบทวนที่จะส่งเธอไปทำภารกิจที่ไอซ์เมส ที่นั่นมันมีแต่ความยากลำบากและอันตราย แต่พระองค์ก็กลับทำได้ลงคอ เพียงเพราะพระองค์ทนให้ใครขัดใจไม่ได้” อาร์รอสต่อว่า “เธอเป็นญาติกับพระองค์ สืบเชื้อสายมาจากน้องสาวของพระองค์โดยตรง แล้วดูสิ่งที่เธอต้องเผชิญสิ ฟาร์ดาราสเป็นสัตว์ที่อันตรายมาก เธอเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น”

                “ข้าจะไปรู้ได้ยังไง ว่าที่นั่นมีฐานทัพเอลิล” พระราชาตะโกนลั่น ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ พระองค์ไม่ชอบให้ใครมาลองดีแบบนี้ “เจ้าอาจเป็นหลานของข้าอาร์รอส แต่พึงสำเหนียกบ้างว่าเจ้าอยู่ในฐานะไหน ข้าอยู่ในฐานะไหน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่การกระทำของเจ้ามันบ่งบอกว่าลืมฐานะของตัวเอง หากตอนนี้เจ้ายังไม่สามารถควบคุมกิริยาสามหาวของเจ้าได้ ข้าก็จะขอเชิญให้เจ้าออกไปสงบสติอารมณ์นอกท้องพระโรง ปล่อยให้คนที่รู้จักควบคุมตัวเองได้ประชุมกันต่อ”

                พูดจาไม่ดูตัวเองเลย หากคนที่ไม่รู้จักควบคุมตัวเองต้องออกไปจากท้องพระโรง พระราชานั่นแหละที่ควรออกไปคนแรก อาร์รอสกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ เขาหันหลังเดินออกไปจากท้องพระโรงทันที แรคแทนทินและเฟรเทลยิ้มเยาะอย่างชอบอกชอบใจ

                “แล้วนั่นเจ้าจะไปไหนซอร์โรร่า” พระราชาพูดเสียงดัง เมื่อเห็นซอร์โรร่าหันหลังเดินตามอาร์รอสออกจากท้องพระโรงด้วย

                “หม่อมฉันอยากอยู่กับพ่อ มากกว่าอยู่ตรงนี้เพคะ” เด็กสาวก็กำลังโกรธเหมือนกัน

                “เจ้ายังรายงานไม่จบนะ”

                “พระองค์สั่งไม่ให้หม่อมฉันเหยียบเข้ามาในท้องพระโรงเป็นเวลาสองปีไม่ใช่หรือเพคะ” ซอร์โรร่าย้อน แล้วเดินออกจากท้องพระโรงต่อไปอย่างไม่แยแส

          ทุกคนมองตามเธอ ทั้งกังวลทั้งนับถือ แรคแทนทินและเฟรเทลส่ายหน้าอย่างดูถูก ริฟเฟอร์กุมหน้าผาก พระราชานั่งกำหมัดอยู่บนบัลลังก์ ควันแทบจะออกหู

                “เหลือเกินจริงๆ” พระองค์โวยวาย “หากน้องสาวข้าไม่ได้เป็นย่าของเธอ ข้าคงจะสั่งขังเธอไปแล้ว เจ้าอบรมลูกศิษย์ของเจ้ายังไงบิลิส ถึงให้กลายมาเป็นผู้หญิงที่สามหาวเช่นนี้”

                ริฟเฟอร์กลอกตา กระสุนปืนใหญ่มาลงที่เขาจนได้

                “โปรดอย่าถือโทษหลานสาวของพระองค์เลยพะยะค่ะ” ริฟเฟอร์พยายามแก้ตัวให้ “ปกติเธอเป็นคนอ่อนหวานน่ารัก ทำให้คนรอบข้างมีความสุขเสมอ เพียงแต่เธอคงเหนื่อยจากการเดินทางไกล แล้วเธอก็ได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งมันอาจเป็นวันที่เธอ เอ้อ--”

                “อะไร”

                “กำลังมีรอบเดือนพะยะค่ะ”

                “ข้าล่ะเกลียดผู้หญิงจริงๆ เวลามีรอบเดือนก็ชอบทำตัวงี่เง่าไร้สาระ” พระราชาตะคอกอย่างอดรนทนไม่ไหว “ไม่แปลกที่มีคำว่า บางครั้งผู้หญิงก็ทำตัวเหมือนสิ่งมีชีวิตที่ไร้สมองที่สุดในดาวดวงนี้”

                “แต่ข้าว่าพระองค์เองก็ฉุนเฉียวอย่างกับมีรอบเดือนทุกวัน” ทหารยามคนหนึ่งหันไปกระซิบเพื่อนอย่างขบขัน ไม่มีใครได้ยินแน่นอน ความสนใจของแต่ละคนถูกดึงไปที่พระราชากันหมด และเสียงตะโกนของพระองค์ก็กลบเสียงอื่นทุกเสียง

                “จะบอกความลับอะไรให้” ทหารยามอีกคนกระซิบตอบ “ไอ้ที่พระองค์บอกว่าเกลียดผู้หญิงน่ะ พระองค์พูดจริงนะ”

                “ทูลฝ่าบาท เลดี้ไอวิวรี่รายงานกับหม่อมฉันว่าพบเห็นอาคารสงครามบางส่วนพะยะค่ะ” โกลด์แมนดึงเรื่องกลับ เพื่อความปลอดภัยของซอร์โรร่า “พวกเอลิลมีกำแพง มีโรงงานผลิตอาวุธและอุปกรณ์สงคราม คาดว่ามีทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรจะมีในการสงคราม ที่แน่ๆ คือพวกนั้นจะต้องมีกองทัพ และเป็นกองทัพขนาดใหญ่ พวกเอลิลไม่เสี่ยงประกาศตัวเป็นศัตรูกับพวกดาร์คเนสดีวิลและพวกโฮเซ่แน่ หากไม่มีความพร้อมที่จะต่อกร”

                “ถ้าเช่นนั้นก็ควรระวังไว้ เราลำบากแน่หากมีพวกนั้นเป็นศัตรู” พระราชาบอก “ใครจะไปรู้ว่าพวกนั้นมีแผนอะไรกับเรา กัปตันเท็มเปิล ท่านจงศึกษาจากอาวุธและชุดเกราะของพวกเอลิลที่เราเก็บมาได้จากศพ ประเมินประสิทธิภาพทางสงครามของพวกนั้น หากเราต้องรบกับพวกเอลิล เราจะได้รู้ว่าควรจะรบอย่างไร”

                “พวกเอลิลอาจไม่ได้ต้องการเป็นศัตรูกับเราพะยะค่ะ” กัปตันเท็มเปิลออกความเห็น “หากพวกนั้นต้องการเห็นเราพังพินาศ ก็คงไม่ช่วยเราจากพวกดาร์คเนสดีวิลและพวกโฮเซ่”

                “เจ้าชายไททอส บรรพบุรุษของข้าเคยเสนอตัวช่วยเหลือพวกดาร์คเนสดีวิล จับมือแสร้งทำเป็นเพื่อนกับพวกนั้น” พระราชากล่าว “พอใช้ประโยชน์จากพวกมันจนเพียงพอ พระองค์ก็จัดการกำราบพวกมันเหมือนที่กำราบศัตรูอื่นๆ เราทำอย่างนั้นกับพวกดาร์คเนสดีวิลมาแล้ว อย่าให้มันเกิดกับเราเสียเอง”

                “พะยะค่ะ” กัปตันเท็มเปิลยืนตรงทำความเคารพ

                “ระหว่างนี้ ข้าเชื่อว่าพวกโฮเซ่และพวกดาร์คเนสดีวิลคงยังไม่กล้าเสี่ยงมาวุ่นวายอะไรกับเรา ขณะยังมีพวกเอลิลเป็นศัตรูอยู่ นับว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเรา ที่จะฟื้นฟูความเสียหายทั้งหมดทั้งปวง” พระองค์พูดต่อ “ซ่อมแซมบ้านเมืองที่เสียหาย เกณฑ์ไพร่พลเพิ่ม ทำอะไรก็ได้ให้ความมั่นคงทางทหารของเรากลับมาฟื้นฟูโดยเร็ว”

                “ค่าใช่จ่ายในเรื่องนี้ค่อนข้างสูงนะพะยะค่ะ” เจ้าเมืองเนพเพอร์ร่างอ้วนเตือน

                “งั้นก็ปรับขึ้นอัตราภาษีชั่วคราว สำหรับเมืองที่ไม่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์นี้” พระองค์สั่ง

                “นั่นคงไม่ทำให้ชาวเมืองพอใจนักพะยะค่ะ” แรคแทนทินตาเหลือก เกือบทุกเมืองในสังกัดของเขาไม่ได้รับผลกระทบจากความเสียหายครั้งนี้เลย หมายความว่าเขาจะได้รับผลกระทบในเรื่องภาษีมากกว่าใคร

                “เราทุกคนมีหน้าที่ และหน้าที่ของประชาชนคือเสียภาษี” พระราชาพูดเสียงเด็ดขาด “เมื่อประชาชนอาศัยแผ่นดินของของข้าอยู่ ประชาชนก็ต้องให้ความร่วมมือ นี่มันช่วงเวลาแห่งสงคราม ทุกอย่างต้องเป็นไปตามระบบ”

                ความจริงแล้ว หากบรรดาขุนนางมนุษย์ทุกคนไม่รู้จักการโกงกิน รับรองได้ว่างบประมาณมีมากมายจนเกินพอ เหตุการณ์ความวุ่นวายที่ผ่านมานี้ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาในบรรดาผู้ปกครองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งไปขึ้นภาษี ยิ่งไปกันใหญ่แน่ แม้ว่าแรคแทนทินจะร่ำรวยจากการเบียดบังงบประมาณและเงินภาษีของชาติ แต่เขาก็ทำอย่างแนบเนียนมาตอลด ไม่มีใครเอาผิดได้ ไม่ได้ก่อความร้าวฉานระหว่างตัวเขาและประชาชนในสังกัดของเขามากมายนัก แต่การขึ้นภาษีครั้งนี้ รับรองได้ว่าความร้าวฉานเพิ่มพูนแน่

                “จงกระทำโดยเร็ว เราอยู่ในช่วงเวลาสงคราม อย่าชักช้าโดยไม่จำเป็น” พระราชากล่าวแก่ขุนนางทุกคนในท้องพระโรง “ทั้งหมดที่ข้าต้องการพูดก็มีแค่นี้ แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนได้ บิลิส แอนโทนิดัส เจ้าสองคนอยู่ก่อน”

                ขุนนางคนอื่นๆ ทำความเคารพและพากันออกไปจากท้องพระโรง ริฟเฟอร์และแร็กซ์ริงมองหน้ากัน รู้สึกใจไม่ค่อยดี พวกเขาเป็นเจ้าเมืองของสองเมืองที่ถูกพวกโฮเซ่และพวกดาร์คเนสดีวิลโจมตีเสียหมดรูป พระราชาอาจคิดว่าเป็นความผิดของพวกเขาทั้งคู่ ที่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เข้า และคงจะขอต่อว่าต่อขานเป็นการส่วนตัว หากเป็นเช่นนั้น ก็เตรียมหูชาได้เลย

                “พวกเจ้าก็ด้วย ออกไปแล้วปิดประตูใหญ่ให้สนิท” พระราชาบอกพวกทหารยาม

                ในท้องพระโรงจึงว่างเปล่า เหลือเพียงพระราชา ริฟเฟอร์ และแร็กซ์ริงตามลำพัง พระองค์ก้าวลงจากบัลลังก์เข้ามาหาทั้งคู่ เดินค่อนข้างช้าเพราะอายุมากแล้ว ความจริงพระองค์ก็ควรตระหนักบ้างว่าคนมีอายุอย่างพระองค์ไม่ควรตะโกนตะคอกและฉุนเฉียวบ่อยๆ  แต่มันกลายเป็นนิสัยติดตัวไปเสียแล้ว เป็นที่มาของฉายากรัมปี้ ฉายาที่คนอื่นๆ เรียกพระองค์ลับหลัง

                “การที่พวกเอลิลมาช่วยเราไว้ครั้งนี้ เรายังไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไรแน่ชัด” พระองค์พูดเสียงเบา น้อยครั้งนักที่พระองค์จะพูดระดับเสียงเพียงแค่นี้ “แต่มันก็เป็นไปได้ว่า เรามีบางอย่างที่เคยเป็นของพวกนั้น และพวกนั้นก็อยากได้คืน ซึ่งพวกนั้นก็รู้ด้วยว่ามันอยู่กับเรา”

                “พระองค์หมายถึงห่วงทองศักดิ์สิทธิ์ วัตถุวิเศษที่ถูกเก็บรักษาอยู่ใต้รูปปั้นโอรอน รูปปั้นที่อยู่ใจกลางเมืองของหม่อมฉัน” แร็กซ์ริงพูด “ห่วงทองของไอซ์ครีเอเทอร์”

                “เคยเป็นของไอซ์ครีเอเทอร์” พระองค์แก้ไข “ข้าค้นพบมันด้วยตัวเองตอนหนุ่มๆ ตอนนี้มันจึงเป็นห่วงทองของข้า”

                “พระองค์คิดว่าพวกเอลิลทำเช่นนี้ เพราะต้องการห่วงทองคืนหรือพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงพูด “หากเป็นเช่นนั้น อีกไม่นานพวกเอลิลจะต้องส่งคนมาเจรจาแน่”

                “ซึ่งข้าก็จะไม่คืน” พระราชายืนกราน “มูลค่าของมันมหาศาล”

                “เห็นด้วยพะยะค่ะ ห่วงทองเป็นวัตถุที่มีพลังงานและอานุภาพสูงมาก ไม่ควรปล่อยให้พ้นจากความดูแลของเรา” แร็กซ์ริงเสริม “อย่างไรก็ตาม หม่อมฉันไม่คิดว่าพวกเอลิลมีจุดประสงค์เรื่องห่วงทอง พวกนั้นไม่ได้เข้ามาใกล้เมืองโอมิลรอนด้วยซ้ำ กลับปรากฏตัวใกล้ๆ กับซาโมโรว์เสียมากกว่า”

          “อย่าลืมสิว่ากุญแจรูปปั้นโอรอนอยู่ที่บิลิส” พระราชากำชับ“อาจไม่ได้มีแค่เราสามคนกับอโลบัสเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ หากพวกเอลิลรู้เรื่องนี้ พวกนั้นก็ย่อมกลัวว่าพวกโฮเซ่และพวกดาร์คเนสดีวิลจะฆ่าบิลิสและพบกุญแจก่อน จึงต้องยกพลไปช่วยซาโมโรว์”

          “หม่อมฉันเข้าใจแล้วพะยะค่ะ” ริฟเฟอร์โค้งศีรษะ“แต่พระองค์ไม่ต้องทรงกังวลในเรื่องนี้ พระองค์โปรดไว้ใจ กุญแจจะปลอดภัยเมื่ออยู่ในมือของหม่อมฉัน”

          นั่นอาจเป็นคำพูดเปรียบเปรย หรืออาจเป็นคำพูดตรงตัว เขายกมือข้างซ้ายให้พระราชาดู มันมีรอยเหมือนผ่าตัดอยู่ที่หลังมือ

          “เพราะข้าไว้ใจเจ้าสองคน ข้าถึงเลือกมาให้เป็นผู้รักษาความลับไม่ว่าจะยังไงพวกเจ้าก็จงรักภัคดีต่อข้า และทำทุกสิ่งเพื่อบ้านเมืองมาตลอด พวกเจ้าช่วยเหลือข้ามาช้านาน และคอยรับใช้ให้ข้าได้ดีมาตลอด” พระราชาพูดอย่างหดหู่ “หากโมราโซมอสเต็มไปด้วยขุนนางอย่างพวกเจ้าก็คงจะดี ไม่ใช่มีแต่พวกลิ้นสองแฉกชอบเลียแข้งเลียขาแต่ไร้ความสามารถ อย่างทุกวันนี้ (เอาเข้าจริง พระราชานี่แหละที่เป็นต้นเหตุให้คนขี้ประจบพวกนี้ได้ดี พระองค์ชื่นชอบให้คนมาประจบสอพลอ แต่ก็ดูเหมือนจะหลอกตัวเองมาตลอดว่าไม่ใช่)ระยะหลังๆ นี้อาณาจักรของเราอ่อนแอมาก ข้าเองก็ไม่รู้จะอยู่ได้อีกกี่ปี อโลบัสเองก็ทำตัวแปลกๆ แม้ว่าข้าจะแทบไม่ได้ใกล้ชิดกับเขา แต่ข้าก็พอดูออกว่าเขาไม่ต้องการเป็นกษัตริย์ หากเลือกได้เขาคงเลือกที่จะทิ้งบัลลังก์ไปแน่นอน รัชทายาทอันดับสองที่มีอยู่สองคน แม็คกับอาร์รอส ทั้งคู่ไม่เคยลงรอยกัน หากมันร้ายแรงถึงขั้นเกิดสงครามกลางเมือง อาณาจักรโมราโซมอสที่อ่อนแออยู่ได้แตกเป็นเสี่ยงๆ แน่”

          “หม่อมฉันเชื่อว่ามันจะมีทางออกที่ดีพะยะค่ะ” ริฟเฟอร์พูดให้อีกฝ่ายสบายใจ “อย่างน้อยเจ้าชายอโลบัสก็คงรู้หน้าที่ของตนดี”

          “ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น พวกเจ้าก็รู้ใช่ไหมว่าเขาทำตัวแปลกขึ้นทุกวันๆ” พระราชากังวลใจ

          “เขาทั้งเก่ง ทั้งฉลาด และมากด้วยความสามารถ แต่ก็อาจทำตัวแปลกๆ บ้าง เพราะความอัจฉริยะของเขา อัจฉริยะมักทำตัวไม่ปกติ” แร็กซ์ริงพูด “เขายังหนุ่มอยู่ ให้เวลาเขาได้ทำความรู้จักกับตัวเองสักหน่อยพะยะค่ะ เมื่อคนเราได้รู้จักตัวเอง ได้ค้นพบเป้าหมายและความต้องการของตน ได้ตระหนักว่าตนจะเลือกไปทางไหน หม่อมฉันเชื่อว่าทุกอย่างจะเข้าร่องเข้ารอยเอง”

 

*******************

 

                นิสัยรักสันโดษและชอบเก็บตัวเงียบของเจ้าชายอโลบัสเป็นที่รู้จักของทุกคนในกองทัพ เขาไม่เคยสุงสิงกับใคร ไม่เคยใช้เวลาว่างกับใคร ยามไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ก็เอาแต่ปลีกตัวไปอยู่คนเดียว ในที่ซึ่งไร้ผู้คน ไปซ้อมดาบบ้าง ไปศึกษาหาความรู้บ้าง ไปขบคิดใช้สมองอยู่คนเดียวบ้าง ไปทำสิ่งต่างๆ ที่ห่างไกลจากสายตามนุษย์คนอื่นๆ บางคนเชื่อว่าอโลบัสมีปัญหากับการเข้าสังคม บางคนก็เชื่อว่าเขาเบื่อหน่ายที่จะใกล้ชิดกับมนุษย์ด้วยกัน แต่นั่นก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ตราบที่เขายังทำหน้าที่ได้ดีไม่มีขาดตกบกพร่อง บุคลิกอันเฉยชาของเขาก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ

                หลังจากสิ้นสุดความวุ่นวายที่ซาโมโรว์ครั้งนี้ อโลบัสก็เก็บตัวมากขึ้น เขามักจะปลีกตัวไปอยู่ที่ป่าบริเวณชานเมืองซาโมโรว์ นั่งคิดอยู่เงียบๆ คนเดียว บางทีก็เอากระดาษหรือสมุดบันทึกไปขีดนู่นเขียนนี่ ทหารบางคนเคยแอบดูสิ่งที่เขาเขียนด้วยความสงสัย จากในกองขยะเอกสารบ้าง บนโต๊ะทำงานที่เขาวางไว้บ้าง พบว่ามันเป็นแนวคิดเชิงปรัชญา ทฤษฎีต่างๆ แผนการรบ สูตรทางวิทยาศาสตร์ แผนภูมิ กลยุทธ์การต่อสู้ใหม่ๆ  แบบแผนเครื่องกล แต่ละอย่างล้วนไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกันเลย สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือมันเป็นสิ่งที่เขาคิด วิเคราะห์ และประยุกต์ขึ้นมาเอง การทำเช่นนี้อาจหมายถึงการพยายามพัฒนาสมองของตน การคิดอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาเองคือการพัฒนาสมองที่ดีที่สุด อีกสิ่งที่ทุกคนรู้ดีคือ นอกเหนือไปจากงานแล้ว อโลบัสจะไม่ทำอย่างอื่นนอกจากพัฒนาตนเอง ทั้งทักษะการรบและทักษะทางความคิด หากมนุษย์ทั่วไปทำแบบเขาก็คงเป็นบ้าไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เสียสติและทำเช่นนี้ต่อไป บางที อาจเป็นเพราะเขาไม่รู้จะทำอะไรที่ทำให้ชีวิตของตนมีความหมายได้มากกว่านี้อีกแล้ว

          วันนี้ก็เป็นอีกวัน ที่เขาปลีกตัวมาอยู่ชายป่าคนเดียว หลังจากที่นั่งคิดนั่งเขียนมาพักใหญ่ เขาก็เก็บม้วนกระดาษและสมุดบันทึกลงในโพรงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เมื่อเขาแตะที่ตาต้นไม้ โพรงไม้ก็เลื่อนปิดสนิทอย่างแนบเนียน ดูไม่ต่างจากต้นไม้อื่นที่อยู่รอบๆ เลย

          “ดูเหมือนท่านจะไม่ไว้ใจที่จะเก็บเอกสารส่วนตัวของตนในปราสาท” เสียงเย็นๆ เบาหวิวเอ่ยขึ้น

          “มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์สอดรู้และขี้สงสัย ข้าไม่คิดว่าการเก็บสิ่งของส่วนตัวใดๆ ในปราสาทมนุษย์ จะรอดพ้นสายตามนุษย์ไปได้” อโลบัสตอบเรียบๆ ไม่ตกใจสักนิดที่จู่ๆ มีเสียงอีกฝ่ายพูดขึ้นมา

          “ท่านประกอบกลไกต้นไม้ต้นนี้เองหรือ” ราซานเซลถาม “อัจฉริยะทีเดียว”

          “ขอบคุณสำหรับคำชมเชย แต่นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกาจอย่างท่าน ย่อมรู้ดีว่ามันไม่ใช่กลไกที่ยากเย็น” อโลบัสกล่าว

          “การศึกษาภาษาดาร์เคนของท่านเป็นอย่างไรบ้าง” ราซานเซลถามต่อ

          “ท่านทราบว่าข้ากำลังสนใจและศึกษาภาษาดาร์เคนอยู่อย่างนั้นหรือ” อโลบัสถามกลับ

          “ทราบว่าท่านเริ่มศึกษามันตั้งแต่เล็กๆ เสียด้วยซ้ำ และท่านก็ทำได้ดี” ราซานเซลพูดต่อ “ถึงขั้นเชี่ยวชาญในระดับสูง เชี่ยวชาญพอๆ กับข้าเลยทีเดียว ท่านมีพรสวรรค์ในเรื่องนี้อย่างยิ่ง”

          “ภาษาดาร์เคนไม่ใช่สิ่งที่บางเผ่าพันธุ์เช่นมนุษย์สามารถใช้ได้ แม้แต่จะเรียนรู้ก็ยังทำไม่ได้ มันเป็นพลังงานด้านมืด ใช้ได้แค่เผ่าพันธุ์ดาร์คเนสดีวิล เอลิล เฟลมฟอร์ส และไซคัสเท่านั้น” อโลบัสพูดช้าๆ “แต่เหตุใด ข้าถึงเข้าอกเข้าใจมันได้อย่างแตกฉาน ทั้งที่แค่ศึกษาจากหนังสือและแผ่นบันทึกข้อความเก่าๆ”

          “บางที ตัวตนของท่านมันคือสิ่งที่พิเศษ พิเศษกว่าที่มนุษย์คนใดจะเป็นได้ มันจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่ท่านจะต้องค้นหาตัวเองให้พบ และเข้าอกเข้าใจมันอย่างถ่องแท้” ราซานเซลพูด “อย่างที่ข้าเคยบอกไปในคราวที่แล้วว่า ครั้งต่อไปที่เราจะพบกัน ข้าเชื่อว่าท่านจะรู้จักตนเองมากขึ้นอีกขั้น และวันนี้ท่านก็จะรู้จักตัวตนมากขึ้นอีกขั้น แต่จะรู้จักมากขึ้นเพียงใด นั่นก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง คนเรามีความยากง่ายในการรู้จักตนเองไม่เหมือนกัน บางคนนั้นใช้เวลาและความพยายามทั้งชีวิตเพียงเพื่อจะได้รู้จักตนเองอย่างแท้จริง แต่ไม่ว่ามันจะยากลำบากเพียงใด ข้าขอยืนยันว่ามันคุ้มค่า”  

          “ดูเหมือนว่าท่านจะเข้าอกเข้าใจข้า” อโลบัสพูดเสียงเบา “มากกว่ามนุษย์ทั้งอาณาจักร”

“ทุกสิ่งย่อมมีเหตุและผลของมัน” ราซานเซลกล่าว

          “ข้าควรจะขอบคุณท่าน” อโลบัสเอ่ยถาม “เผ่าพันธุ์เอลิลของท่านยกพลมาสกัดกองทหารม้าดาร์คเนสดีวิล ช่วยให้เรารอดพ้นจากการเสียเมืองซาโมโรว์ เมืองหน้าด่านและฐานทัพเรือที่สำคัญที่สุดของโมราโซมอส”

          “เกรงว่าข้าแทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย ข้าไม่ใช่ผู้บัญชาการกองทัพ ไม่ได้มีอำนาจสั่งการ อย่างที่ข้าบอกไป ข้าเป็นแค่สมองอากาศธาตุที่ได้แต่ล่องลอยไปมา” ราซานเซลแก้ไข “ในเวลานี้ เอลิลมีผู้บัญชาการรักษาการณ์ ปฏิบัติการทั้งหมดในกองทัพอยู่ในอำนาจสั่งการของเขา”

          “เขาเป็นใคร” อโลบัสถาม

          “ข้า”

          ร่างที่สูงใหญ่ สวมเกราะหนาสีเงินตั้งแต่หัวจดเท้า ก้าวออกมาจากป่าด้านข้าง ตรงเข้ามาหาอโลบัส ใบหน้าที่โผล่ออกมานอกหมวกเกราะบางส่วนนั้นดูเหมือนมังกรหน้าทู่ เกราะไหล่ขวาติดโล่ใบเล็ก เกราะไหล่ซ้ายมีเปลวไฟลุกโชนตลอดเวลา ดวงตาว่างเปล่าเปล่งแสงสีทอง เข็มขัดคาดดาบสองเล่ม มือที่เป็นโลหะถือหีบสีเหลี่ยมแบนๆ กว้างๆ มาด้วย

          “ข้าชื่อเดลิลวาส” เซ็ทซาร์ดแนะนำตัว น้ำเสียงของเขาทุ้มลึกและห้าว คล้ายเสียงมังกรคำราม “ผู้บัญชาการรักษาการณ์ของเอลิล ข้าจะทำหน้าที่นี้ จนกว่าเอลิลจะหาผู้นำมาแทนที่ได้”  

          “เป็นเกียรติที่ได้พบ” อโลบัสโค้งศีรษะอย่างมีมารยาท

          “ขอชมเชยที่ท่านรักษาฐานบัญชาการใหญ่ซาโมโรว์ไว้ได้” เดลิลวาสพูด “กลยุทธ์ที่ชาญฉลาด การจัดรูปทัพสำหรับตั้งรับอย่างเหมาะสม ฝีไม้ลายมือในการต่อสู้ของท่าน มันแสดงให้เห็นแล้วว่า ท่านไม่ธรรมดา”

          “หากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือจากท่านและกองกำลังเอลิลที่ท่านบัญชาการ ข้าก็คงรักษาเมืองไว้ไม่สำเร็จ” อโลบัสพูด “หากไม่เป็นการก้าวก่าย ท่านจะชี้แจงเหตุผลให้ข้าทราบได้ไหมว่าทำไม”

          “มันเป็นเรื่องของกลยุทธ์สงคราม หากท่านมีศัตรูหลายฝ่าย ท่านก็ต้องทำทุกอย่างไม่ให้พวกนั้นรวมตัวกัน โมราโซมอสเป็นอาณาจักรที่กั้นกลางระหว่างแบร์ร็อคและโฟรเซ็นทิเนล อีกทั้งยังเป็นศัตรูกับทั้งสองฝ่าย รักษาโมราโซมอสไว้ แล้วแบร์ร็อคกับโฟรเซ็นทิเนลจะถูกแบ่งแยกกันต่อไป อย่างน้อยก็ไม่มีทางจะทำอะไรร่วมกันได้สะดวก” เดลิลวาสอธิบาย “การมีศัตรูหลายฝ่ายไม่ใช่เรื่องน่ากังวล ตราบที่พวกมันยังไม่ได้มารวมกัน”

          “แต่การบัญชาการของท่าน มันทำให้เอลิลเข้าเป็นศัตรูกับพวกโฮเซ่และพวกดาร์คเนสดีวิล” อโลบัสพูดอย่างไร้อารมณ์ “แม้ว่านั่นไม่น่าจะใช่สิ่งที่เอลิลต้องการ”

          “ในเมื่อเราทำข้อตกลงกันแล้ว เอลิลก็ต้องเคารพในคำมั่นสัญญา” เดลิลวาสเน้นเสียงหนัก “การก่อร่างสร้างตัวของเอลิล ปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เอลิลตั้งตัวได้ใหม่ เกราะมนต์ดำที่พรางฐานทัพเดธแอเรีย การสร้างร่างกายคืนให้แก่กัปตันโพรเฟด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เอลิลกลับมาเป็นเผ่าพันธุ์อีกครั้ง ล้วนเกิดจากการทำงานของพวกเราเซ็ทซาร์ดทั้งแปดคน ข้าได้รับมอบหมายจากหัวหน้าเซ็ทซาร์ดฟอลมิไนท์ ให้ควบคุมดูแลด้านการทหารของเอลิล ตราบที่เอลิลยังหาผู้นำสูงสุดไม่ได้และยังไม่บรรลุข้อตกลงกับเรา ดังนั้น ข้ามีสิทธิ์ที่จะบัญชาการกองทัพ”

          อโลบัสฉลาดพอที่จะรู้ว่านี่เป็นแผนอันแยบยลของพวกเซ็ทซาร์ด การดึงเอลิลให้เป็นศัตรูกับบรรดาศัตรูของเฟลมฟอร์ส ก็เสมือนกับใช้เอลิลเป็นเครื่องมือในการกำจัดศัตรูให้เฟลมฟอร์สนั่นเอง ซึ่งหากทำสำเร็จ ศัตรูของเฟลมฟอร์สจะถูกกำจัดหมด และเอลิลจะตกอยู่ในสภาพเสียหาย และหากบังเอิญในอนาคต เอลิลได้เป็นศัตรูกับเฟลมฟอร์ส ก็จะไม่แข็งแกร่งพอที่จะเป็นศัตรูที่น่ากลัวได้

          “ท่านคงอยากทราบว่า อะไรกันที่เป็นประเด็นสำคัญในข้อตกลงระหว่างเอลิลและเฟลมฟอร์ส เอลิลต้องการอะไรจากเฟลมฟอร์ส และเฟลมฟอร์สต้องการอะไรจากเอลิล” เดลิลวาสพูดต่อ “ข้าขอรับรอง ในอนาคต ท่านจะรับทราบอย่างละเอียดถี่ถ้วนแน่”

          “อะไรทำให้ท่านมั่นใจถึงเพียงนั้น” อโลบัสย้อนถาม

          “เชื่อว่าท่านกำลังค้นหาตัวเองอยู่ ต้องการเข้าอกเข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้” เดลิลวาสไม่สนใจคำถาม “นับว่าเป็นเรื่องที่ดี คนเราจะมีชีวิตที่มีคุณค่า ต้องเริ่มจากการเข้าอกเข้าใจในตัวเองอย่างถ่องแท้”

          “ขอแสดงความยินดีกับท่าน ที่ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้มากกว่าข้า” อโลบัสโค้งศีรษะ

          “ข้ามีบางสิ่ง” เดลิลวาสยกหีบบางๆ ที่ตนถือมาให้อยู่ในระดับสายตาของอโลบัส “ที่จะช่วยให้ท่านเข้าใจในตนเองมากขึ้น”

          เขาเปิดฝาหีบออก เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน มันเป็นแผ่นโลหะกลมสีดำสนิทมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณแปดนิ้ว ตามขอบแผ่นจะมีอักษรภาษาดาร์เคนสีเงินสลักอยู่โดยรอบ ที่ใจกลางแผ่นดูเหมือนจะสลักเป็นแผนที่อาณาจักรไอซ์เมส เดลิลวาสพลิกอีกด้านของแผ่นโลหะให้ดู มันสลักข้อความภาษาดาร์เคนไว้มากมาย หากอโลบัสได้มองใกล้ๆ คงอ่านออกทุกตัวอักษรแน่

          “ท่านทราบไหมว่ามันคืออะไร” เดลิลวาสถาม

          อโลบัสไม่ตอบ บางอย่างมันทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยกับมัน ไม่ว่ามันคืออะไร มันสำคัญกับเขาแน่

          “เรื่องนี้ราซานเซลคงบอกท่านได้” เดลิลวาสยิ้มด้วยปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวมังกร เขารู้เสียด้วยว่าราซานเซลก็อยู่ที่นี่

          “ท่านคงทราบตำนานดาบฝาแฝดแดนน้ำแข็งทั้งสองเล่ม ดาบไอซ์แอคเซอร์และดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ สองอาวุธที่ข้าหล่อจากแร่อันทรงพลัง มอบมันให้เป็นอาวุธประจำกายของไอซ์ครีเอเทอร์” ราซานเซลเท้าความ “หลังจากที่ลินเลนธันกำจัดไอซ์ครีเอเทอร์ เขาก็นำดาบแดนน้ำแข็งทั้งสองเล่มแยกกันไปจองจำในอุโมงค์ลับสองแห่ง ดัดแปลงพลังของพวกมันในการปกป้องอนุสาวรีย์หอคอยที่อยู่ในดินแดนระฟ้า อนุสาวรีย์ที่เป็นแหล่งพลังงานให้แก่ธรรมชาติของดาวดวงนี้ ตราบที่ดาบทั้งสองเล่มยังไม่ถูกปลดปล่อย อนุสาวรีย์ก็จะปลอดภัยจากการคุกคามทั้งปวง”

          “เป็นเหตุให้ดาบแดนน้ำแข็งทั้งสองเล่มก็ได้รับการปกป้องอย่างแน่นหนาเช่นกัน ทั้งด่านต่างๆ และคำสาปแห่งไซคัสทั้งปวง” อโลบัสต่อให้ “อุโมงค์ทั้งสองแห่งที่ใช้จองจำดาบทั้งสองนั้น ถูกร่ายคำสาปอันทรงพลัง โดยใช้แผ่นคำสาปที่ทรงพลัง ทำจากแร่ทองคำสีดำ ทองคำที่หายากที่สุดและเก็บซ่อนพลังงานไว้สูงมาก การจะร่ายคำสาปปิดผนึกอุโมงค์ หรือการจะเข้าไปปลดปล่อยดาบแดนน้ำแข็งในอุโมงค์ จะทำไม่ได้เลยหากปราศจากแผ่นคำสาป” เขาชี้มือไปที่แผ่นกลมในหีบของเดลิลวาส “ซึ่งข้าเชื่อว่าคือสิ่งนั้น”

          “น่าประทับใจที่ท่านค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้มามากมาย เห็นชัดเจนว่าท่านสนอกสนใจในเรื่องนี้มากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และก็ถูกของท่าน นี่คือหนึ่งในสองแผ่นคำสาปของลินเลนธัน เป็นแผ่นคำสาปที่ลินเลนธันใช้จองจำดาบไอซ์แอคเซอร์ ดาบแดนน้ำแข็งฝาแฝดผู้พี่” เดลิลวาสพยักหน้า “ซึ่งหากจะปลดปล่อยดาบไอซ์แอคเซอร์ ก็จะต้องใช้แผ่นคำสาปแผ่นนี้เท่านั้น”

          “แล้วแผ่นคำสาปอีกแผ่นล่ะ” อโลบัสถามต่อ “แผ่นที่ใช้สำหรับปลดปล่อยดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์ ฝาแฝดผู้น้องของดาบไอซ์แอคเซอร์”

          “ข้าไม่มีอยู่ และไม่ทราบว่ามันอยู่ที่ไหน” เดลิลวาสตอบ “แต่สิ่งสำคัญคือ ข้ามีแผ่นคำสาปแผ่นนี้และมันมีประโยชน์อย่างแน่นอน”

          “น่าประทับใจที่ท่านค้นหามันพบ” อโลบัสพูด “ข้าเชื่อว่าลินเลนธันคงเก็บซ่อนมันไว้อย่างดี ไม่ง่ายต่อการค้นหาแน่นอน”

          “ข้าไม่ได้เป็นคนค้นพบมัน เดิมทีผู้ค้นพบมันคือเฮเวนล็อค พี่ชายของท่านจอมทัพมาร์กอลลอสจอมพิชิต” เดลิลวาสอธิบาย “การประยุกต์ใช้พลังงานด้านมืดจากวัตถุที่มีพลังงานสูงนั้น ถือเป็นความสามารถเฉพาะทางของเขา จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่เขาจะค้นหาแผ่นคำสาปอันทรงพลังนี้พบ”

          “เขาพยายามจะปลดปล่อยดาบไอซ์แอคเซอร์หรือ ถึงต้องค้นหาแผ่นคำสาป” อโลบัสถาม

          “ไม่ใช่แค่ดาบไอซ์แอคเซอร์ ดาบฟรอสท์ฟอเมอร์ก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการเช่นกัน” เดลิลวาสตอบ “จริงอยู่ที่ดาบทั้งสองเล่มนี้อาจเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าอาวุธทั่วไป แต่มันก็ไม่ใช่สุดยอดอาวุธเหมือนในนิทาน ไม่ได้ทำให้ผู้ครอบครองเก่งกาจไร้เทียมทานอะไร เรื่องนี้ราซานเซลรู้ดี”

          “ถูกแล้ว” ราซานเซลเอ่ยขึ้น “ดาบทั้งสองเล่มนี้อาจเป็นอาวุธที่แฝงด้วยพลังงานสูง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้ครอบครองทรงพลังเหนือกว่าคนทั่วไปเลย”

          “แต่แน่นอนว่าดาบทั้งสองเล่มก็เป็นวัตถุที่มีพลังงานสูง และเฮเวนล็อคก็เป็นคนเดียวในดาวดวงนี้ ที่สามารถรวบรวม ขยาย ปรับแต่ง และประยุกต์พลังงานของมันให้กลายเป็นพลังงานที่สูงส่งได้” เดลิลวาสพูดต่อ “หากเขาได้ดาบมาทั้งสองเล่ม มันจะทำให้เขามีพลังงานมหาศาล อาจถึงขั้นเทียบเท่าจอมพิชิตน้องชายของเขาเลยทีเดียว สามารถสร้างกองทัพที่ไร้เทียมทานขึ้นมาได้เหมือนกัน นั่นเป็นสิ่งที่เราเฟลมฟอร์สกังวลใจที่สุด โดยเฉพาะยามที่เราเริ่มมั่นใจว่าอุดมการณ์ของเฮเวนล็อคนั้นไม่สอดคล้องกับเผ่าพันธุ์เรา เราสู้ได้กับทุกเผ่าพันธุ์ที่พวกไซคัสสร้างขึ้นมา แต่หากเฮเวนล็อคจะสร้างเผ่าพันธุ์ของตนขึ้นมาเอง และกลายเป็นคู่สงครามกับเราเข้าสักวัน มันจะกลายเป็นสงครามระหว่างสองขั้วอำนาจ สงครามจะรุนแรงจนดาวดวงนี้สั่นสะเทือน มันคงจะทนความร้อนแรงไม่ไหว จนแตกเป็นเสี่ยงๆ”

          “จึงนับว่าเป็นโชคดีของพวกท่าน ที่เฮเวนล็อคปลดปล่อยดาบแดนน้ำแข็งเล่มแรกไม่สำเร็จ” อโลบัสเหมือนพูดซื่อๆ แต่มีความหมายแอบแฝงอย่างแน่นอน “รวมทั้งการที่เขาต้องจบชีวิตลงด้วยเช่นกัน”

          “ข้ารู้ว่าท่านฉลาดพอที่จะไตร่ตรองเรื่องนี้ได้ และเดาออกว่ามันเป็นการจัดฉาก” เดลิลวาสพูดอย่างรู้ทัน “ซึ่งท่านก็เข้าใจถูกแล้ว พวกดาร์คเนสดีวิลจำนวนแค่นั้น จะมีปัญญาอะไรหยุดเฮเวนล็อคได้”

          อโลบัสรอให้อีกฝ่ายอธิบายต่อ ดูเหมือนว่าจุดสำคัญที่ไม่ได้บันทึกในประวัติศาสตร์นั้น กำลังจะเปิดเผยออกมา

          “เมื่อค้นหาแผ่นคำสาปแผ่นนี้พบ เฮเวนล็อคก็มุ่งหน้าไปปลดปล่อยดาบไอซ์แอคเซอร์ทันที คนเก่งอย่างเขาต้องทำสำเร็จแน่ จอมพิชิตไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่อาจขวางทางตรงๆ ได้ มันอันตรายเกินไป จึงแสร้งกระจายข่าวให้พวกมนุษย์รู้ เป็นเหตุให้พวกมนุษย์ส่งพวกดาร์คเนสดีวิลไปหยุดยั้งเฮเวนล็อค พวกนั้นไล่ทันตอนที่เฮเวนล็อคเปิดทางเข้าอุโมงค์จองจำดาบไอซ์แอคเซอร์ได้พอดี” เดลิลวาสเล่า “อุโมงค์แห่งนั้นมีคำสาป จำกัดให้คนเข้าไปได้แค่ยี่สิบห้าคนเท่านั้น เฮเวนล็อคกับคนของเขาจำนวนหนึ่งและพวกดาร์คเนสดีวิลจำนวนหนึ่ง ได้เข้าไปข้างในอุโมงค์ เฮเวนล็อคผ่านด่านต่างๆ ในอุโมงค์อย่างไม่ยากเย็น จนไปพบดาบไอซ์แอคเซอร์ เขาปลดปล่อยดาบจากพันธนาการ แต่ยังไม่ทันจะแตะต้องมัน พวกดาร์เนสดีวิลที่ตามเข้าไปก็เข้าขัดขวาง แน่ล่ะ จะมีปัญญาขวางอะไรได้”

          “แต่สุดท้ายก็ขวางได้ไม่ใช่หรือ” อโลบัสถาม

          “ซีเมลิล แบล็กโฟรเซ็นสตอร์มที่นอนปางตายอยู่บนพื้น คงไม่มีปัญญาขว้างดาบไอซ์แอคเซอร์จัดการเฮเวนล็อคได้ ถ้าข้าไม่โผล่ไปเขี่ยดาบให้เขา พร้อมกับโยนไฟใส่เฮเวนล็อคให้หันโล่ไปอีกทาง” เดลิลวาสพูด “ใช่แล้ว ข้าลอบเข้าไปในอุโมงค์เช่นกันในจังหวะชุลมุน ในตอนนี้ทุกคนที่เข้าไปในอุโมงค์ล้วนตายหมด บ้างก็ตายในอุโมงค์ บ้างก็รอดออกมาได้ แต่ก็ตายในอีกไม่นาน มีเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ ข้า”  

          “นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ท่านได้แผ่นคำสาปนี่มา” อโลบัสเอียงคอ

          “ใช่” เดลิลวาสพยักหน้า “หลังจากเฮเวนล็อคตาย เพดานอุโมงค์ก็ทำท่าจะถล่มลงมา ทุกอย่างชุลมุนไปหมด แผ่นคำสาปนี้ตกอยู่บนพื้น เอโมลิล แบล็กโฟรเซ็นสตอร์มพยายามจะเอื้อมมือไปเก็บมัน แต่ข้าก็คว้าตัดหน้าเขาได้ก่อน และออกไปจากอุโมงค์อย่างรวดเร็ว ที่เชื่อกันในประวัติศาสตร์ว่าพวกดาร์คเนสดีวิลหยุดยั้งเฮเวนล็อค ความจริงแล้ว ข้าต่างหากที่เป็นคนหยุดยั้ง”

          “แล้วเกิดอะไรขึ้นกับดาบไอซ์แอคเซอร์”

          “ตามคำสาปของพวกไซคัส แม้มันจะถูกปลดปล่อย แต่ถ้าหากผู้ปลดปล่อยไม่ได้แตะต้องมันภายในหนึ่งวัน มันก็จะกลับไปถูกจองจำเหมือนเดิม พร้อมด้วยด่านต่างๆ ในอุโมงค์ก็กลับมาเหมือนเดิมเช่นกัน ยกเว้นผู้เฝ้าดาบ” เดลิลวาสตอบ

          “ผู้เฝ้าดาบอย่างนั้นหรือ”

          “ด่านสุดท้ายก่อนจะไปถึงดาบแดนน้ำแข็ง ก็คือผู้เฝ้าดาบ เดิมทีเคยเป็นยอดนักรบไซคัสฝาแฝดที่ทรยศไปเข้าข้างพวกเอลิล จึงถูกลินเลนธันสาปอย่างเหี้ยมโหดให้แยกกันไปเป็นผู้เฝ้าดาบแดนน้ำแข็งทั้งสองเล่มตลอดกาล เชื่อเถิดว่าผู้เฝ้าดาบนี่ล่ะ คืออุปสรรคที่ยากที่สุดสำหรับผู้ที่จะปลดปล่อยดาบ ลินเลนธันไม่เอามาเฝ้าดาบแน่หากฝีมือไม่เลิศล้ำ” เดลิลวาสพูด “อย่างไรก็ตาม ผู้เฝ้าดาบไอซ์แอคเซอร์ถูกเฮเวนล็อคกำจัดไปแล้ว และเขาไม่สามารถฟื้นคืนได้เหมือนด่านอื่นๆ ในอุโมงค์”

          “ดาบไอซ์แอคเซอร์มีลักษณะเป็นยังไงหรือ” อโลบัสสงสัย

          “เป็นแค่แท่งกางเขนสีเงินคมๆ ไม่มีรูปมีร่างอะไร” เดลิลวาสตอบ “เรื่องนี้ผู้สร้างดาบคงให้ความกระจ่างแก่ท่านได้”

          “อาวุธที่ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องมีพลังมากที่สุด แต่เป็นอาวุธที่ออกแบบมาเหมาะสมกับความถนัดของผู้ใช้มากที่สุด เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่ทำให้นักรบเก่งไม่ใช่อาวุธ แต่เป็นความสามารถในการใช้อาวุธ ท่านเป็นนักรบ ท่านย่อมรู้เรื่องนี้ดี” ราซานเซลอธิบาย “ดาบแดนน้ำแข็งทั้งสองนี้จะเปลี่ยนรูปร่างไปตามความถนัดและลักษณะตัวตนของเจ้าของดาบ มันเป็นอาวุธที่มีความสัมพันธ์กับเจ้าของอาวุธอย่างที่อาวุธอื่นๆ ไม่สามารถทำได้ ความเป็นตัวเองของเราจะถ่ายทอดลงในดาบ ทุกครั้งที่เรามองดาบ จะเสมือนว่าเราส่องกระจกมองตนเอง และไม่ใช่ตัวตนที่ผิวเผินหลอกลวง แต่เป็นตัวตนที่แท้จริง”

          แม้จะดูชินชาไร้ความรู้สึก แต่ก็เห็นชัดเจนว่าอโลบัสมีปฏิกิริยาต่อประโยคท้ายสุด

          “ด้วยคำสาปของพวกไซคัส ผู้ที่จะเป็นเจ้าของดาบได้จะต้องเป็นผู้ปลดปล่อยมัน และถือมันจนกว่าความเป็นตัวตนของเขาคนนั้นจะถ่ายทอดลงในดาบอย่างสมบูรณ์” เดลิลวาสพูด “เมื่อซีเมลิล แบล็กโฟรเซ็นสตอร์มคว้ามันเพื่อขว้างใส่เฮเวนล็อค มันจึงยังไม่เปลี่ยนรูปร่าง เพราะแบล็กโฟรเซ็นสตอร์มไม่ใช่เจ้าของดาบ เขาไม่ได้ปลดปล่อยดาบ ส่วนเฮเวนล็อคผู้ปลดปล่อยดาบก็ไม่มีโอกาสได้ถือดาบ เพราะถูกดาบเสียบทะลุร่าง สรุปแล้ว ดาบจึงกลับไปถูกจองจำเหมือนเดิม”

          “งั้นแสดงว่าผู้ปลดปล่อยดาบแดนน้ำแข็งและถ่ายทอดความเป็นตัวเองให้มันจนสำเร็จนั้น จะต้องเป็นเจ้าของดาบตลอดไปอย่างนั้นหรือ” อโลบัสถาม

          “จนกว่าจะมีใครมาฆ่าเขาและยึดดาบไป” ราซานเซลแก้ไข “ดาบจะตกเป็นของผู้ฆ่าไปโดยปริยาย แต่ถ้าหากเจ้าของดาบตายเองโดยไม่มีใครฆ่า ดาบก็จะกลับไปถูกจองจำ รอการปลดปล่อยเหมือนเดิม”  

          อโลบัสจ้องมองเดลิลวาสอย่างพิจารณา บุกคลิกอันไร้อารมณ์ของเจ้าชายหนุ่มนั้น ยากนักที่จะเดาได้ว่าคิดอะไรอยู่

          “อยากทราบว่า ท่านนำแผ่นคำสาปมาให้ข้าดูทำไม” อโลบัสเอ่ยถาม

          “ข้าไม่ได้นำมาให้ท่านดู” เดลิลวาสปิดหีบแล้วยื่นมาข้างหน้า “ข้านำมาให้ท่าน”

          “ให้ข้า” อโลบัสแปลกใจ “แต่ทำไม”

          “เป็นหนึ่งในข้อตกลงระหว่างเราเซ็ทซาร์ดกับไอซ์ครีเอเทอร์” เดลิลวาสตอบ “จุดประสงค์เพื่ออะไรนั้นเราไม่ทราบ เขาต้องการให้ท่านมีมัน ข้าก็นำมาให้แล้ว”

          “ทำไมผู้นำของท่านถึงต้องการให้ข้ามีสิ่งนี้” อโลบัสถามราซานเซล

          “ไม่สำคัญหรอกว่าเขาต้องการอะไร” ราซานเซลพูด “แต่มันสำคัญว่า ท่านต้องการอะไร”

          “แล้วเขาจะสนใจทำไมว่าข้าต้องการอะไร”

          “ไอซ์ครีเอเทอร์เป็นคนมีเหตุผลเสมอ ไม่ว่าเขาทำสิ่งใด เขาย่อมมีเหตุผลอันสมควร” ราซานเซลพูด “สิ่งที่ท่านควรสนใจในตอนนี้ คือสิ่งที่ท่านต้องการ ท่านต้องการอะไรอโลบัส”

          “อย่างที่ข้าเคยบอกท่านไป ข้าต้องการจะค้นพบตัวตนที่แท้จริงของตนเอง ต้องการจะรู้จักและทำความเข้าอกเข้าใจว่าแท้จริงแล้ว ข้าคือใคร หรือคืออะไร”

          “และอย่างที่ข้าเคยบอกท่านไป เมื่อเราได้มาคุยกันวันนี้ ท่านจะเข้าใกล้การรู้จักตัวตนของท่านมากขึ้น อย่างน้อยข้าก็มั่นใจว่า ท่านรู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป”

          อโลบัสรับหีบแผ่นคำสาปมาจากเดลิลวาส เปิดมันออกมาดู จ้องมองมันอย่างพิจารณา

          “ดาบแดนน้ำแข็ง จะสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของเจ้าของดาบ” เขาพูดเสียงเบา “หากข้าปลดปล่อยมัน ข้าจะรับรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของตนเป็นใคร อย่างนั้นหรือ”

          “อย่างที่ข้าเคยบอกไป เรื่องนี้ท่านเท่านั้นที่จะให้คำตอบได้ ตัวตนของท่าน ท่านค้นหา ท่านคิด ท่านตัดสินใจ และท่านทำความเข้าใจ อะไรที่เกี่ยวกับตัวตนของท่าน ไม่มีใครที่จะรู้มากไปกว่าท่านอีกแล้ว” ราซานเซลพูด “การค้นหาตัวเอง เป็นสิ่งที่ต้องทำเพียงคนเดียว ท่านเท่านั้นที่จะบอกได้ว่า ควรทำอะไรต่อไป”

          อโลบัสปิดหีบและเงยหน้าตรงอย่างไร้ความรู้สึก แต่ดูมุ่งมั่น ช่วงเวลานี้ ราวกับว่าเขาดูมีพลังมากขึ้นกว่าเดิม

          “ข้าต้องการสิ่งตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ” เดลิลวาสเอ่ยขึ้น

          “สิ่งใด” อโลบัสถาม

          “แฟ้มเอกสารราชการเก่าๆ ของเผ่าพันธุ์ท่าน ตามเลขรหัสนี้” เดลิลวาสยื่นแผ่นกระดาษให้อโลบัสด้วยมือเหล็ก “ดาดว่าจะพบในกองเอกสารเก่าๆ ที่ไม่ใช้แล้ว ท่านเป็นแม่ทัพมนุษย์ ท่านย่อมหามันได้ไม่ยาก โปรดนำมามอบให้ข้าด้วย”

          “จากรหัสเลขเอกสาร มันเป็นรายงานจากพวกดาร์คเนสดีวิลเมื่อสามสิบสามปีก่อน” อโลบัสอ่านรหัสเลขในกระดาษ “ในสมัยที่พวกนั้นยังเป็นอาณานิคมของเรา”

          “ผู้เขียนรายงานนั้นคือ เอโมลิล แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” เดลิลวาสเสริม “เดอะ โนเวลิลท์”

          “ท่านต้องการเอกสารรายงานเก่าๆ จากพวกดาร์คเนสดีวิลไปทำไมหรือ”

          “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ท่านต้องกังวล แค่นำมาให้ข้าก็เพียงพอแล้ว”

          “หากมันยังไม่ถูกนำไปทิ้ง ข้าจะนำมาให้ท่าน”

          “พรุ่งนี้ตอนฟ้ามืด แขวนมันไว้กับต้นไม้ต้นนี้ ข้าจะมารับไปเอง” เดลิลวาสแตะต้นไม้ที่ตนยืนอยู่ข้างๆ มีรอยไหม้ปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย เพื่อเป็นการทำเครื่องหมาย “ข้าทำตามข้อตกลงเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นเราคงไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก”

          อโลบัสโค้งศีรษะอย่างมีมารยาท เดลิลวาสหันหลังเดินจากไป

          “เขารู้ได้ยังไงว่าท่านอยู่ที่นี่” อโลบัสถามราซานเซล

          “มีหลายสิ่งหลายอย่างที่คนทั่วไปมองไม่เห็น แต่พวกเซ็ทซาร์ดมองเห็น ไม่ว่าจะเป็นพลังงานที่ซุกซ่อนอยู่ สารเคมีไร้สีบางชนิด หรือแม้กระทั่งมองทะลุเกราะมนต์ดำ” ราซานเซลตอบ “ด้วยการมองผ่านเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่บนไหล่ซ้าย ท่านคงไม่คิดว่าพวกนั้นจะมีเปลวไฟไว้แค่ประดับชุดเกราะหรอกนะ”

          “ได้ยินว่าเฟลมฟอร์สคือเผ่าพันธุ์ที่รวบรวมคนเก่งที่สุดเอาไว้” อโลบัสว่า “และพวกเซ็ทซาร์ด จัดอยู่ในกลุ่มที่เก่งที่สุด”

          “นั่นเป็นความจริงแท้ ฉะนั้น คนฉลาดจึงมักเตือนตัวเองว่า ไม่จำเป็นก็จะไม่เป็นศัตรูกับพวกนั้น”

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา