พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.90K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

23) บทที่ 22 หัวหน้าคนแคระ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 22

หัวหน้าคนแคระ

 

                หลังจากที่เซ็นแวนเดอร์และกองสอดแนมของเขากลับมารายงานเรื่องฐานทัพเอลิลให้แอเมน่าฟัง เธอก็ประกาศภาวะสงครามทันที ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องเตรียมการรับศึก มันชัดเจนแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรู อาวุธและอุปกรณ์สงครามมีโครงการจะถูกผลิตเพิ่มอีกเท่าตัว กำแพงเมืองหลวงกาโกคอลถูกปรับแต่งให้พร้อมรับศึก ป่าดงดิบรอบนอกที่เสมือนเป็นหน้าด่านของเมืองนั้น ก็มีกองกำลังวูดส์วาร์เด็นไปประจำการอยู่เต็มไปหมด เป็นเรื่องดีที่วูดส์วาร์เด็นมีจำนวนมากขึ้นอีก ตอนนี้พวกเขาพร้อมที่จะเป็นหน่วยเฝ้าระวังให้กับเผ่าพันธุ์อย่างเต็มตัวแล้ว อย่างไรก็ตาม มันก็ยังไม่ทำให้ประชาชนอุ่นใจนัก เมื่อได้รู้ว่าเผ่าพันธุ์ของตนจะต้องสู้กับเผ่าพันธุ์ผีแดนหนาวที่มียุทโธปกรณ์ก้าวหน้ากว่า หากจะต่อสู้กับพวกนั้น ก็ควรปรับปรุงประสิทธิภาพในการรบที่ล้าหลังของตนได้แล้ว

                “พวกนั้นสวมเกราะเหล็กทั้งตัว หาช่องว่างแทบไม่มี” เซ็นแวนเดอร์รายงาน ขณะที่เขาและแอเมน่ากำลังเดินตรวจความเรียบร้อยของกำแพงและพื้นที่ในฐานทัพ อาร์ทูมิสเดินตามทั้งสองไปติดๆ “คมอาวุธหินของเราไม่สามารถเจาะผ่านได้ หากจะเจาะโลหะ ก็ต้องใช้อาวุธที่ทำด้วยโลหะ”

                “อาณาจักรเราไม่มีแร่มากเหมือนโฟรเซ็นทิเนล โลหะไม่ใช่สิ่งที่หาได้ง่าย และเราก็ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่เก่งเรื่องเครื่องโลหะ” แอเมน่าบอก “แต่ถ้าเราจะปกป้องตัวเอง เราก็ต้องเริ่มพัฒนา เราจะเปลี่ยนหัวลูกธนูทุกดอกให้เป็นโลหะ รวมทั้งปลายอาวุธชนิดอื่นๆ”

                “เลือดของพวกเอลิลเป็นธาตุอากาศ พิษที่เราใช้เคลือบหัวลูกธนูไม่มีผลต่อพวกเอลิลแน่นอน” อาร์ทูมิสพูด “หากจะปลิดชีพเอลิล ก็ต้องยิงให้ถูกจุดสำคัญ จะหวังพึ่งพิษไม่ได้แล้ว”

                “ลูกดอกอาบยาพิษดูจะไม่ค่อยมีประโยชน์ในสถานการณ์นี้แล้ว” แอเมน่าพูด

                “นอกจากว่าจะเป่าให้ปักเข้าที่ศีรษะหรือกลางหัวใจ” เซ็นแวนเดอร์เสริม “แต่ลืมเรื่องกลางหัวใจไปได้เลย ลูกดอกอันเล็กๆ ไม่มีทางเจาะผ่านเสื้อเกราะเหล็กได้ ต่อให้ลูกดอกจะเป็นเหล็กก็ตาม”

                “พวกเอลิลมีปืนไฟเป็นอาวุธระยะไกล ยิงได้ไกลกว่าธนูของเรา และมีความรุนแรงสูงกว่า กระสุนหัวคม” แอเมน่าพูด “อย่างน้อยเรื่องกระสุนก็ไม่ได้ทำให้เกิดความแตกต่างมากนัก กระสุนจะเป็นแบบไหนก็ยิงพวกเราตายเหมือนกัน เกราะที่เราสวมมันทำด้วยหนัง”

                “ซึ่งหมายความว่ามันจะทำให้เราคล่องแคล่วมากกว่า โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าของเรา เราซุ่มโจมตีได้อย่างเงียบเชียบ ไม่มีเสียงโลหะกระทนกัน ปีนขึ้นไปยิงบนต้นไม้ก็สะดวก” เซ็นแวนเดอร์เสริม “ปืนไฟของพวกเอลิลเสียเวลาบรรจุกระสุนค่อนข้างนาน ธนูของเราได้เปรียบในเรื่องความคล่องตัวแน่นอน สำหรับเรื่องความแม่นยำนั้น ฟอเรสเทอร์เราไม่เคยเป็นสองรองใคร เราเก่งเรื่องการใช้อาวุธซุ่มโจมตีระยะไกล หากให้ข้าประเมินขีดความสามารถบรรดานักแม่นธนูของเรา ข้ากล้าพูดได้ว่าไม่เสียเปรียบพลปืนของพวกเอลิลอย่างแน่นอน”

                “เรื่องเกี่ยวกับธนูเจ้ารู้ดีที่สุด” แอเมน่าจับไหล่เซ็นแวนเดอร์ “คราวนี้มาพูดเรื่องอาวุธหนัก”

                “เรื่องนี้ล่ะครับที่ข้ากังวล” เซ็นแวนเดอร์เน้นเสียง “อาวุธหนักของเราเป็นแค่เครื่องโยนหิน ขณะที่ของอีกฝ่ายเป็นจรวดระเบิด”

                “ที่มันเป็นเช่นนี้ ก็เพราะเผ่าพันธุ์ของเราแทบไม่มีความรู้เรื่องดินปืนและวัตถุไวไฟเลย” แอเมน่าพูด “สารเคมีและสิ่งสังเคราะห์มันไม่ใช่ธรรมชาติของเผ่าพันธุ์เรา ไม่ใช่พรสวรรค์ที่เผ่าพันธุ์เราจะมี”  

                “อีกเรื่องที่น่ากังวลคือกองทัพอากาศ” เซ็นแวนเดอร์พูดต่อ “พวกเอลิลมีฟาร์ดาราสเป็นทัพอากาศ มีมากน้อยเพียงใดเราไม่ทราบ แต่ถ้ามีมาก เราก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้ ทัพอากาศเป็นทัพที่รับมือยากที่สุด”

                “เรามีไวเวิร์นเป็นพาหนะอากาศ นักแม่นธนูของเราจะขี่พวกมันยิงต่อสู้” แอเมน่าตอบ “ก็ได้แต่หวังว่าทัพอากาศของฝ่ายตรงข้ามจะมีไม่มาก เพราะของฝ่ายเราก็มีไม่มาก”

                “หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะให้คนของเราฝึกยิงต่อสู้กับศัตรูทางอากาศ” เซ็นแวนเดอร์เสนอ “ถึงอย่างไรข้าก็เชื่อมั่นในฝีมือของพวกนักรบ ธนูมันอยู่ในสายเลือดฟอเรสเทอร์ทุกคน ไม่มีเผ่าพันธุ์ใดจะเก่งเรื่องธนูมากไปกว่าเผ่าพันธุ์เราอีกแล้ว ยุทโธปกรณ์เราอาจด้อยกว่า แต่การยิงของเราไม่เป็นรองใครแน่นอน”

                “พูดได้ดี” แอเมน่าชม “แม้ว่าศัตรูจะมียุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่าเพียงใด แต่ความจริงก็คือ พวกนั้นจะต้องผ่านป่าดงดิบรอบนอก มันไม่สะดวกต่อการเดินทัพหรือลำเลียงเครื่องกลสงครามแน่นอน จะถูกเราที่ซุ่มอยู่ตามป่ายิงตายหมด ต่อให้เป็นทัพอากาศ เราก็จะยิงจู่โจมจากยอดไม้ พวกนั้นจะกลายเป็นเป้าที่ไม่มีอะไรกำบัง ขณะที่เราสามารถพรางตัวกับป่าได้ สู้ในพื้นที่ป่า พื้นที่ที่เราถนัด ยังไงเราก็ได้เปรียบ”

                “หวังจริงๆ ว่าเราจะไม่ต้องใช้กำแพงรับศึก” เซ็นแวนเดอร์หันไปมองที่กำแพงทั้งสองชั้น “เราไม่ใช่พวกดาร์คเนสดีวิล ไม่ได้สันทัดการตั้งรับแบบนี้ เราถนัดซุ่มยิงอยู่ตามป่า”

                “ข้าศึกต้องผ่านป่าให้ได้ก่อนจะมาถึงกำแพง พวกนั้นผ่านไม่ได้แน่” แอเมน่าให้ความมั่นใจ “ข้าเชื่อในความสามารถของพวกวูดส์วาร์เด็น พูดถึงก็มาแล้วคนหนึ่ง”

                ไมริฟ โบรริฟเวอร์ หัวหน้าวูดส์วาร์เด็น ขี่ม้าป่าตรงมาหาทั้งสอง เธอลงจากหลังม้า สะบัดผมดำสลวยให้อยู่ทรง จัดรัดเกล้าขนนกบนศีรษะ ถอนสายบัวให้พวกเขา

                “เรียนท่านหัวหน้าเผ่า ได้ข้อมูลจากพวกเซ็นทอร์นักเดินทางแล้วค่ะ ที่พวกโฮเซ่กับพวกดาร์คเนสดีวิลล้มเหลวนั้น เป็นเพราะมีพวกเอลิลไปแทรกแซง”

                “ทำเช่นนี้หมายถึงประกาศสงคราม” แอเมน่าเบิกตากว้าง

                “หมายความว่า พวกเอลิลประกาศตัวเป็นปรปักษ์กับพวกโฮเซ่ พวกดาร์คเนสดีวิล แล้วก็พวกเราอย่างนั้นหรือครับ” เซ็นแวนเดอร์เอียงคอ “ทำแบบนี้มันบ้าชัดๆ เก่งแค่ไหนก็ไม่ควรมีศัตรูสามฝ่ายพร้อมกัน ได้ยินว่าเอลิลเป็นเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดรอบคอบไม่ใช่หรือ”

                “หรือจะถูกชักใยคะ” ไมริฟถาม

                “ประกาศศึกกับทุกฝ่าย และพยายามกันไม่ให้ศัตรูแต่ละฝ่ายมารวมกันได้ มันเป็นกลยุทธ์ของเฟลมฟอร์ส” แอเมน่าพูด “แต่ไม่ว่ายังไง พวกเอลิลไม่สร้างศัตรูมากมายแน่ ถ้าไม่มั่นใจว่ารับมือไหว นั่นหมายความว่าพวกนั้นแข็งแกร่งมาก”

                “เราควรเจรจากับศัตรูคนอื่นๆ ของพวกเอลิลไหมคะ” ไมริฟถาม

                “ครั้งสุดท้ายที่ข้าส่งคนไปอาณาจักรอื่น พวกเขาถูกไล่กวดออกมาแทบเอาชีวิตไม่รอด” แอเมน่าชี้ไปยังบาดแผลที่พันผ้าของเซ็นแวนเดอร์ “เผ่าพันธุ์ของเราอาจมีความเป็นมิตรกับผู้อื่นสูง แต่ข้าไม่ไว้ใจเผ่าพันธุ์อื่นอีกแล้ว เราไม่รู้ว่าพวกนั้นคิดอะไร มีแผนอะไร มีเจตนาอะไร”

                “เราเคยมีความสัมพันธ์อันดีกับพวกดาร์คเนสดีวิลไม่ใช่หรือคะ” ไมริฟท้วง “ท่านหมอผีคะ น้องสาวของท่าน ป้าอีกคนของข้า เธอก็เคยรักกับดาร์คเนสดีวิลไม่ใช่หรือคะ”

                “ดาร์คเนสดีวิลคนนั้นเป็นหนึ่งในคนรักของเธอ และเธอมีลูกกับเขาโดยบังเอิญ แต่พวกเขาไม่ได้แต่งงานกัน หรือใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอย่างลึกซึ้ง น้องสาวคนนี้ของป้าเจ้าชู้ยิ่งนัก” อาร์ทูมิสแก้ไข “และอย่าถามว่าลูกพี่ลูกน้องเชื้อสายปีศาจคนนั้นของหลานไปไหน ป้าไม่รู้ ป่านนี้อาจตายไปแล้วก็ได้”

                “มันนานมากแล้ว ไอ้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพวกดาร์คเนสดีวิล” แอเมน่าบอก “ปีศาจรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบันนี้ไม่หัวอ่อนเหมือนรุ่นที่ผ่านมา จากความรุนแรงต่างๆ ที่พวกมนุษย์ได้รับ แสดงให้เห็นว่าพวกนี้แข็งกร้าว ดุร้าย และอันตราย พวกนี้เก็บตัว หวงพื้นที่ และไม่ต้อนรับเผ่าพันธุ์อื่น”

                “พวกนั้นมีกองทัพเอเลนเซฟเวอรี่ด้วย” เซ็นแวนเดอร์เสริม

                “ข้าไม่อยากให้คนของเราถูกตะเพิดออกมา โดยมีอะไรยิงไล่หลังอีก” แอเมน่าพูด “แล้วข้าก็ยังหาเหตุผลไม่ได้เลยว่าปีศาจพวกนี้น่าคบตรงไหน พวกนั้นไม่น่าไว้ใจและไม่ไว้ใจใคร โดยพื้นฐานแล้วพวกนั้นก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่นุ่มนวล ก็แน่ล่ะ มีผู้ชายเป็นประชากรส่วนใหญ่ และผู้ชายเกือบทุกคนก็มีอาวุธพกติดตัว ชุดที่นิยมสวมใส่อยู่ทั่วไปก็คือเกราะเหล็ก แทบจะเป็นชุดประจำชาติของพวกนั้นเลยก็ว่าได้”

                “พวกนั้นก้าวร้าว ดุร้าย เหลี่ยมจัด มันเป็นเพราะพวกนั้นถูกพวกมนุษย์กดขี่มาตลอด อีกทั้งต้องเผชิญกับสงครามที่หนักหนากว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆ ไม่ใช่หรือคะ” ไมริฟท้วง

                “จะด้วยเหตุผลอะไร ตอนนี้พวกเขาก็ก้าวร้าว ดุร้าย เหลี่ยมจัด ไม่ควรแก่การยุ่งเกี่ยวด้วย” แอเมน่าส่ายหน้า “แม่หนู ข้าไม่ได้พูดเกินจริง เราหาความอ่อนโยนจากหัวใจปีศาจได้ยากยิ่งนัก อย่างน้อยเรื่องนี้พวกมนุษย์ก็รู้ดี แค่เจ้าไปสวมฮู้ดสีดำเดินเข้าไปในอาณาจักรโมราโซมอส พวกมนุษย์ก็คงแทบจะเหยียบกันตายเพื่อเผ่นหนี”

               

***************

 

                “วันนี้หมอกค่อนข้างหนา จึงขอให้ทุกคนเพิ่มความละเอียดในการตรวจตรามากขึ้นเพื่อไม่ให้พลาดอะไรไป ตระเวนพื้นที่รอบนอกกำแพงให้ทั่ว หากบริเวณใดเสี่ยงต่อการเป็นจุดอ่อน ให้บันทึกไว้ เตรียมความพร้อมสำหรับสงครามเต็มที่ จะมีกองทัพข้าศึกบุกมาประชิดกำแพงแน่นอน หากเซ็ทซาร์ดเป็นผู้บัญชาการกองทัพเอลิล มั่นใจได้เลยว่า เราจะถูกบุกหนักที่สุด”

                โซลิแทร์สั่งการ ขณะที่เขาและพวกนักรบแยกย้ายกันตระเวนสำรวจพื้นที่รอบนอกกำแพงเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลด มันจะต้องพร้อมรับศึกเมื่อมีอะไรบุกมา ตอนที่พวกเขารบกับพวกเฟลมฟอร์สนั้น พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกกระหน่ำหนักที่สุด แล้วนี่เฟลมฟอร์สชักใยเอลิลอยู่ เป็นไปได้สูงว่าจะโดนแบบเดิม อย่างไรก็ตาม กำจัดปีศาจมันไม่ง่ายขนาดนั้น ดาร์คเนสดีวิลไม่อ่อนแอเหมือนรุ่นที่ผ่านมาอีกแล้ว

                “บอกข้าที” กัปตันมาซูลถามขณะควบม้า มีโซลิแทร์ซ้อนอยู่ข้างหลัง “ทำไมท่านต้องมาซ้อนท้ายข้าบ่อยๆ ด้วย หาม้าปีศาจอีกตัวขี่ก็ได้ ข้าไม่ชอบให้ผู้ชายมาอยู่ข้างหลังข้าในระยะใกล้ขนาดนี้”

                “แต่ท่านก็ให้ข้าซ้อนท้ายมาตั้งหลายครั้งแล้วนี่” โซลิแทร์ท้วง

                “ซึ่งข้าก็บ่นอย่างนี้ทุกครั้ง เมื่อสิบแปดปีก่อนไม่น่าดึงท่านขึ้นมาซ้อนท้ายเลย ท่าทางมันจะทำให้ท่านติดนิสัยมาจนบัดนี้”

                “ถ้าเวลานั้นท่านไม่ทำ ข้าก็คงตายไปแล้ว ท่านกล้าหาญมาก”

                “อย่ามาพูดจาชื่นชมข้าเวลาที่ท่านซ้อนอยู่ข้างหลัง ข้าพูดจริงๆ นะ ท่านอาจเป็นผู้นำสูงสุด แต่ข้าจะศอกใส่ท่านหน้าหงายตกหลังม้าแน่นอน”

                “ท่านก็รู้ว่าข้าขี่ม้าไม่ได้เรื่อง ข้าถนัดแต่พาหนะอากาศ ข้าไม่ชอบความรู้สึกเหมือนถูกเขย่าตลอดเวลา” โซลิแทร์มองมือทั้งสองที่สวมถุงมือเหล็กของตน “อาจเป็นเพราะข้ามีความทรงจำไม่ดีเกี่ยวกับม้าตอนข้ายังเด็กมากๆ”

                “จะยังไงก็เถอะ ห้ามเกาะเอวข้าเป็นอันขาด แม้ข้าจะสวมเกราะแบบนี้ก็ตาม อันนี้ข้าจริงจังมาก” กัปตันมาซูลกำชับ “ข้าไม่พูดเล่นนะ เรื่องจะตีศอกใส่ท่าน”

                “ใจเย็นๆ สหาย ข้าอาจขี่ม้าไม่ได้เรื่อง แต่ข้าก็ทรงตัวเก่ง และข้าก็ทำใจเกาะเอวใครไม่ได้แน่ โดยเฉพาะผู้ชาย” โซลิแทร์หัวเราะอยู่หลังหน้ากาก ผ้าคลุมโบกปลิวอยู่ข้างหลัง

                “ท่านคิดว่ามันจะเหมือนช่วงเวลาเดิมๆ ไหม” กัปตันมาซูลถามขึ้น “ที่เผ่าพันธุ์ของเราจะต้องรับศึกไม่หยุดไม่หย่อน จนไม่ได้ลืมตาอ้าปาก”

                “มีคนของเฟลมฟอร์สเป็นผู้บัญชาการ แน่นอนว่าเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว” โซลิแทร์ว่า “โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าเราแข็งแกร่งขนาดนี้ ศัตรูจะกระหน่ำสร้างความเสียหายแก่เรา เพื่อชะลอไม่ให้เราแข็งแกร่งมากขึ้นอีก”

                “เชื่อว่าพวกเซ็ทซาร์ดคงมีอดีตที่ไม่น่าพิสมัยกับเผ่าพันธุ์ของเราด้วย” กัปตันมาซูลพูด “เผ่าพันธุ์ของเราทำให้เฟลมฟอร์สเสื่อมอำนาจ ทำให้พวกนั้นแพ้สงคราม พวกเซ็ทซาร์ดต้องระหกระเหินไปซ่อนตัวอย่างไร้หวังเป็นเวลาสิบกว่าปี พวกนั้นต้องเกิดความแค้นเล็กๆ น้อยๆ แน่ ท่านก็รู้ใช่ไหมว่า พวกเซ็ทซาร์ดเจ้าคิดเจ้าแค้นมาก”

                “เคยได้ยินเกี่ยวกับอาถรรพ์ที่เป็นตำนาน” โซลิแทร์กล่าว “ไม่มีใครเคยฆ่าเซ็ทซาร์ดได้มากกว่าหนึ่งคน และทุกคนที่ฆ่าเซ็ทซาร์ด ล้วนต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของเซ็ทซาร์ดอีกคน ไม่มีใครเคยรอดพ้น ทั้งนี้เพราะสิ่งที่พวกเซ็ทซาร์ดเกลียดที่สุด คือการมีใครไปฆ่าพี่น้องของตน พวกนั้นจะไล่ล่าคนผู้นั้นจนกว่าจะตาย และก็ทำสำเร็จมาทุกครั้ง”

                “เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ท่านยังอยากจะฆ่าเซ็ทซาร์ดเดลิลวาสอยู่อีกไหม” กัปตันมาซูลหันไปถามยิ้มๆ

                “คงเป็นไปได้ยากที่ข้าจะตายเพราะฆ่าเดลิลวาส เป็นไปได้สูงกว่าที่ข้าจะตายเพราะเดลิลวาสฆ่าข้า” โซลิแทร์พูด “ฝีมือต่อสู้ของข้ายังสู้เขาไม่ได้ ฉะนั้น สิ่งที่ข้าควรกังวลคือหาหนทางฆ่าเขาให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยกังวลเรื่องว่าเมื่อฆ่าแล้วจะต้องรับมือกับพี่น้องที่เหลือของเขา”

                มีเสียงปืนดังขึ้นไกลๆ  กัปตันมาซูลหยุดม้า ทหารม้าปีศาจที่ลาดตระเวนอยู่แถวนั้นก็เช่นกัน แต่ละคนหันไปมองตามทิศทางของเสียง มันดังมาจากตีนภูเขาเขาลูกหนึ่งที่เห็นอยู่ไกลๆ เป็นตีนภูเขาที่พวกคนแคระเคยมาขุดเหมืองที่นั่นและถูกสำเร็จโทษตายกันหมด วันนี้หมอกค่อนข้างหนา อาจมองเห็นได้ไม่กว้างขวางนัก โซลิแทร์ยิงพลุสีเหลืองขึ้นฟ้า พวกทหารม้าปีศาจที่อยู่ในบริเวณรีบควบตรงเข้ามาจัดขบวนอยู่ด้านหลังของเขา แต่ละคนมีอาวุธครบ หอกสามง่ามอยู่ในมือเตรียมพร้อม

                “พวกท่านได้ยินเสียงปืนไหม” เซซิลขับรถม้าตรงเข้ามาหา มือข้างหนึ่งถือโล่ยาว อาวุธประจำกาย

                “คุ้นกับเสียงมันด้วย” โซลิแทร์ตอบเสียงเย็น “เป็นเสียงปืนไฟของพวกมนุษย์”

                แล้วทหารม้าปีศาจคนหนึ่งก็ขี่ม้าตรงมาหาพวกเขา เกราะที่ข้อศอกชำรุดและมีเลือดสีดำไหล นักรบคนนั้นจะทำแขนกากบาทแสดงความเคารพโซลิแทร์ แต่ก็ทำไม่ไหวเพราะแขนเจ็บอยู่

                “เรียนท่านลอร์ดมืดแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” เขารายงาน “ข้าไปลาดตระเวนอยู่ทางนั้น แล้วพบมนุษย์คนแคระกลุ่มใหญ่กำลังขุดเหมืองอยู่ เมื่อพวกนั้นเห็นข้า ก็มีคนหนึ่งยิงปืนใส่ทันที” เขายกข้อศอกให้ดู “บาดแผลไม่หนักหนา กระสุนแค่ถาก”

                “กลับไปทำแผลในฐานทัพ” โซลิแทร์สั่ง นักรบคนนั้นขี่ม้าตรงกลับฐานทัพทันที

                “ไอ้ตีนเขาตรงนั้นมันดึงดูดคนแคระจริงๆ” กัปตันมาซูลกลอกตา เลื่อนกระบังหมวกเกราะลง

                “ข้าคิดว่าคนแคระตายหมดแล้วไม่ใช่หรือ” เซซิลคาดผ้าเหล็กปิดปาก “เราฆ่ากลุ่มสุดท้ายไปแล้ว”

                “อาจมีสักกลุ่มที่พวกมนุษย์ขับไล่ออกมาก่อนหน้านี้ เร่ร่อนไปเรื่อย จนมาจบที่ตรงนี้อีก” โซลิแทร์บอก แล้วหันไปสั่งการกองทหารม้าปีศาจที่จัดกลุ่มแถวอยู่ข้างหลัง “บุกเข้าไปล้อมพวกนั้นไว้ ปลดอาวุธและควบคุมตัวให้หมด”

                ทุกคนออกม้าตรงไปยังตีนเขาลูกนั้น พวกดีเซ็นทรีเลื่อนกระบังหมวกลงมาปิดหน้า พวกดีวอเชอร์ที่ขับรถม้าศึกก็คาดผ้าเหล็กปิดปาก กัปตันมาซูลควบม้าปีศาจนำหน้าทั้งกองกำลัง มีโซลิแทร์ซ้อนท้าย และมีเซซิลขับรถม้าศึกตามมาติดๆ  แล้วกองทหารม้าดาร์คเนสดีวิลทั้งกลุ่มก็ขี่ม้าหายเข้าไปในสายหมอก มันไม่เป็นอุปสรรคต่อพวกเขาเท่าไรนัก พวกดาร์คเนสดีวิลคุ้นเคยกับหมอกหิมะพอๆ กับที่พวกโฮเซ่คุ้นเคยกับฝุ่นทราย แต่ผู้ล่วงล้ำจากต่างแดนจะต้องลำบากแน่ เมื่อต้องต่อสู้กับพวกเขาในสภาพอากาศแบบนี้

                “หัวหน้า คราวนี้พวกปีศาจแห่กันมาเป็นโขยงแล้ว ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าม้า”

                คนแคระคนหนึ่งเงี่ยหูฟัง แม้ม้าปีศาจของพวกดาร์คเนสดีวิลจะมีฝีเท้าค่อนข้างเบาเพราะพวกมันวิ่งอยู่บนผิวหิมะ แต่คนแคระคนนี้ก็หูดีเป็นพิเศษ

                คนแคระคนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณเริ่มแตกตื่น หยิบฉวยอาวุธกันใหญ่ แร่ทองที่ขุดมาได้นั้นวางกองอยู่หน้าเหมือง รู้ดีว่าหนียังไงก็หนีไม่ทัน ขาสั้นๆ ของพวกเขาจะลุยหิมะหนีไปไหนได้ในตอนนี้ หมอกรอบตัวก็ค่อนข้างหนา แม้จะรู้ว่าพวกดาร์คเนสดีวิลบุกมา ก็ไม่รู้ว่าบุกมาทางไหน

                “พวกปีศาจจะจริงจังไปถึงไหน แค่ปืนมันลั่นเท่านั้นเอง” คนแคระผมยาวรุงรังเคราแดงที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มคำราม เขาสวมชุดเกราะหมวกเกราะสีแดงทองอย่างดี แต่บริเวณที่เป็นตำแหน่งตราสัญลักษณ์นั้น ดูจะถูกกะเทาะออกไปอย่างจงใจ เขาชักดาบเล่มหนาและสั้นเหมาะสมกับความสูงออกมาถือด้วยสองมือ เป็นดาบทองแดงที่ออกแบบมาอย่างสวยงามทีเดียว

                เงาร่างดำๆ ของพวกนักรบขี่ม้าปรากฏให้เห็นท่ามกลางสายหมอก พวกนั้นตีวงล้อมพวกคนแคระอย่างรวดเร็ว อาศัยความคุ้นเคยกับหมอกหิมะในการเพิ่มความได้เปรียบ พวกคนแคระมองเห็นอีกฝ่ายแค่เป็นร่างเงาดำๆ เท่านั้น เงาร่างดำที่ขี่ม้าวนรอบพวกตนเป็นวงกลม มีเพียงดวงตาสีแดงและเปลวไฟสีเขียวตามกีบเท้าพวกม้าปีศาจที่พอสังเกตได้บ้างในสายหมอก 

                “พวกนั้นอยู่ตรงไหนกันบ้าง” หัวหน้าคนแคระมองซ้ายมองขวา เห็นแต่หมอกกับกลุ่มเงาร่างดำๆ ที่ขี่ม้าไปมา

                “รอบตัวเลยครับ” คนแคระที่หูดีตอบ

                พวกคนแคระที่มีปืนยาวเริ่มเสียขวัญเหนี่ยวไกยิงปืนยาวออกไป ไม่แปลกที่ไม่ถูกเป้าหมายสักนัด แค่ตำแหน่งเป้าหมายก็แทบจะมองไม่เห็นแล้ว และในขณะที่พวกนั้นกำลังบรรจุกระสุนนัดใหม่ ลูกศรสามง่ามหลายดอกและวงแหวนสีขาวหลายวงก็พุ่งผ่านหมอกมาปลิดชีพพวกเขา พวกคนแคระที่มีโล่รีบยกโล่กำบังกันใหญ่ สู้ในหมอกแบบนี้เสียเปรียบเจ้าถิ่นเห็นๆ  ปืนไฟของพวกคนแคระเมื่อยิงก็มีแสงออกจากปากกระบอกปืน เป็นการเปิดเผยตำแหน่งโดยปริยาย ขณะที่พวกดาร์คเนสดีวิลขี่ม้าย้ายตำแหน่งไปเรื่อยๆ อาวุธของพวกเขาก็ไม่มีแสงเพราะไม่ได้ใช้ดินปืน เดายากมากว่าลูกศรสามง่ามจะพุ่งมาจากทางไหน

                “พวกนั้นอยู่รอบตัวเรา” หัวหน้าคนแคระตะโกน “พยายามรวมกลุ่มกันไว้ อย่าให้--”

                ช้าไปแล้ว เซซิลขับรถม้าศึกนำกองทหารม้าปีศาจและกองรถม้าศึกส่วนหนึ่งตัดผ่านกลางกองกำลังคนแคระ บีบให้พวกคนแคระแยกกันเป็นสองกลุ่ม ความได้เปรียบในการต่อสู้ครั้งนี้ทำให้พวกดาร์คเนสดีวิลเลือกที่จะปลดอาวุธพวกคนแคระและจับเป็นได้ คนแคระแต่ละคนจึงยังโชคดีที่ไม่ต้องรับอาวุธด้านคม แต่ก็ต้องรับด้ามหอก ด้ามดาบ ฝักดาบ โล่ ตลอดจนมือและเท้าของพวกปีศาจ

                หัวหน้าคนแคระมองเห็นเงาผ้าคลุมของโซลิแทร์ เขาคว้าขวานบนพื้นขึ้นมาขว้างใส่ทันที โซลิแทร์หลบด้วยการตีลังกาลงจากหลังม้าของกัปตันมาซูล ข้ามศีรษะหัวหน้าคนแคระไปยืนอยู่ข้างหลังอย่างง่ายดายเพราะอีกฝ่ายตัวเตี้ย หัวหน้าคนแคระรีบหันไปฟันดาบใส่ โซลิแทร์ก้าวถอยหลังหลบให้สุดปลายดาบของอีกฝ่าย แล้วอาศัยดาบของตนที่ยาวกว่าฟันสวนกลับไป มันตัดหนวดของหัวหน้าคนแคระไปปอยหนึ่ง หัวหน้าคนแคระคำราม บุกเข้าประดาบกับโซลิแทร์อย่างดุเดือด จากฝีมือของเขาบอกให้รู้ว่าเคยเป็นทหารมาก่อนแน่ วิธีการต่อสู้ก็คล้ายกับพวกทหารในสังกัดโมราโซมอส แต่นับว่าเป็นโชคร้ายที่โซลิแทร์ค่อนข้างเชี่ยวชาญเรื่องการรับมือกับพวกทหารมนุษย์ แขนขาก็ยาวกว่ามาก ความเร็วก็เทียบกันไม่ได้เลยเมื่อสู้กันบนพื้นหิมะเช่นนี้ สุดท้ายแล้ว หัวหน้าคนแคระก็ต้องเสียหลักล้มลงไปคลุกหิมะจนเคราและผมแทบจะเป็นสีขาว ลุกขึ้นมาตั้งตัวได้ไม่ถึงวินาที ดาบสีดำของโซลิแทร์ก็ฟันดิ่งลงมาราวหวังจะผ่าศีรษะให้แยกเป็นสองซีก หัวหน้าคนแคระรีบยกดาบรับไว้แทบไม่ทัน ถึงอย่างไรคนแคระก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแรง มีพลังไม่ด้อยกว่าพวกดาร์คเนสดีวิลแน่นอน ทั้งสองออกแรงงัดดาบกัน พยายามดันดาบของอีกฝ่ายให้ออกห่างตัว เป็นการปะทะกันด้วยกำลัง

                “จะฆ่าข้าหรือ เจ้าปีศาจร้าย” หัวหน้าคนแคระกัดฟันคำราม “ดาร์คเนสดีวิลป่าเถื่อนอย่างที่เล่าลือกันมาจริงๆ พวกหัวรุนแรง”

                “แล้วที่โยนขวานใส่ข้า มนุษย์อย่างเจ้าเรียกว่าสมบัติผู้ดีหรือไง” โซลิแทร์พูดเสียงเย็นผ่านหน้ากาก แม้จะออกแรงกับดาบอยู่ แต่ก็ยังรักษาระดับเสียงให้ราบเรียบมั่นคงได้อย่างน่าทึ่ง

          หัวหน้าคนแคระพยายามออกแรงงัดดาบโซลิแทร์ให้ออกห่างๆ ตัว อีกทั้งพยายามเตะถีบ แต่ปัญหาคือขาหนาๆ ของเขาสั้นเกินไปจะถีบยังไงก็ไม่ถึง โซลิแทร์ที่ขายาวกว่ามากจึงยกรองเท้าโลหะถีบสวนเข้าเต็มหน้าอกชุดเกราะของอีกฝ่าย หัวหน้าคนแคระถึงกับกระเด็นลอยถอยหลังไปกระแทกกับปากเหมืองที่อยู่ใกล้ๆ และหน้าคว่ำลงไปบนพื้นหิมะ เขารีบใช้สองมือยันตัวโงหัวขึ้นมาจะสู้ต่อ แต่ก็ยังไวไม่พอ โซลิแทร์ขยับมาอยู่ข้างๆ ตอนไหนไม่รู้ รองเท้าเหล็กข้างเดิมเตะเสยเข้าที่ด้านข้างหมวกเกราะ แม้จะเตะปาดๆ แต่ก็ไม่ได้เบาๆ เลย เสียงโลหะกระทบกันดังลั่น หมวกเกราะของหัวหน้าคนแคระกระเด็นหลุดออกจากศีรษะ หัวหน้าคนแคระนอนหงายแผ่อยู่บนพื้นหิมะ ท่าทางมึนงง ดาบหลุดจากมือ ผมรุงรังสีแดงมีหิมะจับเกาะเต็ม หิมะจากคานเหมืองร่วงลงมาใส่หน้าอีก คนแคระคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ รีบเล็งปืนใส่โซลิแทร์ แต่บังเอิญอยู่ใกล้เกินไป โซลิแทร์อาศัยแขนยาวๆ และดาบยาวๆ ของตนตวัดปลายดาบเสยที่ปากกระบอกปืนในจังหวะที่อีกฝ่ายเหนี่ยวไก กระสุนจึงลั่นข้ามหัวเขาไป แรงดีดของปืนที่ถูกเสย ส่งผลให้คนแคระคนนั้นเซถอยหลังไปชนกับเพื่อนอีกคนข้างหลัง และก่อนที่ทั้งคู่จะทำอะไรต่อนั้น มือของกัปตันมาซูลก็จับหลังเสื้อขนสัตว์ของทั้งคู่ แล้วเอาหัวมาโขกกัน คนแคระทั้งสองล้มหงายลงไปกับพื้น กัปตันมาซูลชักดาบคู่ออกมาจ่อคอหอยคนแคระทั้งสองคนละเล่ม

          โซลิแทร์หันกลับไป เอาจ่อดาบคอหัวหน้าคนแคระที่นอนอยู่บนพื้น เท้าเขี่ยดาบออกห่างจากมือของอีกฝ่ายที่เกือบจะเอื้อมถึง

                รอบๆ ตัวพวกเขา พวกคนแคระทั้งหมดถูกควบคุมตัวไว้หมดแล้ว บางคนอยู่ในสภาพคุกเข่ายกมือขึ้น มีหน้าไม้เล็งจ่ออยู่ บางคนก็นอนอยู่บนหิมะ มีเท้าปีศาจเหยียบให้อยู่นิ่งๆ หรือไม่ก็มีอาวุธจ่อคอ บางคนก็ถูกบังเหียนม้ารัดคอไว้ให้สงบ

                “นำพวกมันมารวมไว้ด้วยกัน” เซซิลสั่ง

                พวกคนแคระถูกนำตัวไปรวมอยู่ด้วยกันเพื่อความสะดวกในการควบคุม อาวุธของพวกนั้นก็ถูกนำมากองไว้ด้วยกัน มีเพียงหัวหน้าคนแคระที่ยังนอนอยู่บนพื้นหิมะ มีดาบของโซลิแทร์จ่อคออยู่ หัวหน้าคนแคระพยายามส่งยิ้มอย่างประนีประนอม แต่เห็นชัดว่าไม่มีประโยชน์

                “ใจเย็นๆ มิตรต่างเผ่า พวกเรายอมแล้ว ค่อยพูดค่อยจากันดีกว่า” เขาชูสองนิ้วทำสัญลักษณ์กรรไกร

                “ก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าพวกเจ้าไม่ยอม พวกเจ้าจะสู้ต่อยังไง” โซลิแทร์พูดเสียงเย็นผ่านหน้ากาก

                “ข้าชื่อทรารุค สเคมโนส” คนแคระแนะนำตัวพร้อมกับยิ้มแหยๆ

                “อะไรทำให้เจ้าคิดว่าข้าอยากรู้จักชื่อเจ้า”

                “ท่านสวมหน้ากากเหล็กสีดำ สวมผ้าคลุมฮู้ดสีดำ คงจะเป็นแบล็กไรดิงฮู้ด กิติศัพท์ความน่ากลัวของท่านโด่งดังไปทั่วโมราโซมอสและพื้นที่ใกล้เคียง”

                “เช่นนั้นแล้ว มนุษย์อย่างเจ้าก็ควรตระหนักว่า การล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ของแบล็กไรดิงฮู้ด สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่ของเขา” โซลิแทร์ชี้ไปที่เหมือง “มาพร้อมด้วยอาวุธและกำลังทหาร” เขาชี้ไปที่กลุ่มคนแคระคนอื่นๆ ที่ถูกควบคุมตัว และกองอาวุธของพวกคนแคระบนพื้น “มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำที่สุด”

                “หากจะว่ากันตามจริง ข้าและพวกพ้องของข้ากลุ่มนี้อาจไม่นับว่าเป็นมนุษย์แล้ว” สเคมโนสพยายามแก้ตัว “ก่อนหน้านี้พระราชาเนรเทศข้าออกจากโมราโซมอส และตัดสิทธิ์สัญชาติความเป็นมนุษย์ทุกอย่าง ผู้คนที่ติดตามข้าเหล่านี้ก็โดนด้วยเช่นกัน”

                “นั่นคือเหตุผลที่เรายังไม่ฆ่าพวกเจ้าในตอนนี้” โซลิแทร์เชยคางอีกฝ่ายด้วยปลาบดาบ “แต่ก็คงอีกไม่นานล่ะ พวกเจ้าเข้ามาก่อกวนได้ผิดที่ผิดเวลาที่สุด เราเพิ่งแพ้ศึกกลับมา ภารกิจที่เราวางแผนกันมาอย่างยากเย็นนั้นกลับล้มเหลว แน่นอนว่าเราไม่อยู่ในอารมณ์ที่เบิกบาน เราพร้อมจะฆ่าใครสักคนได้ง่ายๆ โดยเฉพาะมนุษย์”

                “เกราะที่เจ้าสวมมันเกราะมนุษย์” เซซิลชี้มาที่ชุดเกราะของสเคมโนส “คิดหรือว่าแค่กะเทาะตราสัญลักษณ์มนุษย์ออกแล้ว เราจะดูไม่ออก ปีศาจเราไม่ได้โง่ เราต่อสู้กับพวกมนุษย์มาแล้วเป็นร้อยๆ พันๆ”

                “เดอะ เจสเทอร์” สเคมโนสพูดอย่างดีใจ ทำท่าจะลุกขึ้นมา แต่โซลิแทร์ก็เอาดาบขวางคอไว้ “ท่านต้องเป็นเดอะ เจสเทอร์แน่ๆ แม้ว่าท่านจะสวมหมวกเกราะและคาดผ้าเหล็กน่าเกลียดๆ นั่น แต่ข้าก็เดาได้ว่าเป็นท่าน ข้าเห็นว่าด้านหลังโล่ของท่านมีหลอดและขวดสารเคมีอยู่เต็มไปหมด ความจริงแล้วแค่หมวกเกราะของท่านก็แสดงตัวว่าเป็นท่านแล้ว มันมีหมวกตัวตลกเล็กๆ อยู่ตรงนั้น”

                “ท่านรู้จักกับเจ้ามนุษย์คนนี้หรือ” โซลิแทร์หันไปถามเซซิล

                “ข้าจะไปรู้จักกับเขาได้อย่างไร” เซซิลขมวดคิ้ว

                “ท่านคงไม่รู้จักข้าหรอก แต่ข้าคุ้นเคยกับสิ่งประดิษฐ์และความสามารถทางเคมีของท่าน” สเคมโนสรีบพูด “ข้าเคยเป็นสหายกับแพทย์หลวงโกลด์แมน เขาเองก็ชื่นชมความสามารถของท่าน มีมนุษย์ไม่กี่คนหรอกที่รู้จักเดอะ เจสเทอร์และผลงานของเขา”

                “เหตุผลที่มีมนุษย์ไม่กี่คนรู้จักข้าและผลงานของข้า ก็เพราะข้าปิดมันเป็นความลับจากพวกมนุษย์” เซซิลพูดชัดถ้อยชัดคำ “ข้าไม่เคยญาติดีกับแพทย์หลวงมนุษย์นั่น แล้วก็ไม่ค่อยชอบหน้าเขาด้วย ข้ารู้ว่าไอ้โครงการตรวจรักษาปีศาจของเขา มันมีจุดประสงค์คือใช้ปีศาจเป็นหนูทดลองยา”

                “ไอ้เรื่องที่เจ้ารู้จักเดอะ เจสเทอร์ มันไม่ใช่ประเด็นที่น่าสนใจนัก ที่ข้าสนใจก็คือ ชุดเกราะของเจ้า” โซลิแทร์ใช้มือซ้ายกระชากเสื้อกันหนาวขนสัตว์ของสเคมโนสให้ลุกขึ้นยืน “มันชุดเกราะนักรบมนุษย์ และเป็นชุดเกราะอย่างดีพิเศษ อาจเป็นชุดเกราะของตำแหน่งทหารชั้นสูงๆ เลยก็ว่าได้ แม้ว่ามันจะมีริ้วมีรอยเต็มไปหมดและถูกกะเทาะตราสัญลักษณ์ออก แต่ข้าก็ดูออกว่ามันเป็นเกราะมนุษย์ มีอะไรจะแก้ตัว ก่อนที่ข้าจะสรุปว่าพวกมนุษย์ส่งเจ้ามาที่นี่”

          “ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งด่วนสรุป สหายปีศาจ” สเคมโนสรีบอธิบาย ต้องแหงนหน้ามองเพราะสูงไม่ถึงอกของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ “ข้าขอสารภาพ ข้าเคยรับราชการในสังกัดโมราโซมอสมาก่อน แต่มันก็นานแสนนานแล้ว ในตอนนี้ข้าอยู่ในฐานะผู้ถูกขับไล่ เร่ร่อนไปเรื่อย ไม่มีสังกัดเผ่าพันธุ์ใด ใครรบกับใคร ใครบาดหมางกับใคร เราไม่ขอเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งนั้น”

          “ทำไมพระราชาถึงขับไล่ข้าราชการชั้นสูงอย่างเจ้า” กัปตันมาซูลถามผ่านกระบังหมวกเกราะหน้าจิ้งจอกแยกเขี้ยว

          “พระองค์ไม่ถูกใจใครก็ลงโทษได้ทุกคน ท่านก็รู้” สเคมโนสตอบ “เชื่อข้าเถอะ ถ้าพวกมนุษย์ส่งข้ามาสอดแนมหรือมาทำอะไรสักอย่างที่เป็นภัยต่อพวกท่าน ข้าคงไม่โง่สวมชุดเกราะมนุษย์เข้ามาหรอก”

          “แล้วที่เจ้าสวมชุดเกราะมนุษย์เข้ามาที่นี่ คิดว่าฉลาดแล้วหรือ”

          “ข้าไม่เคยคิดว่าตัวเองฉลาดหรอก แต่ข้าก็คงไม่โง่ถึงขนาดเข้ามาในถิ่นของพวกดาร์คเนสดีวิลโดยไม่สวมชุดเกราะ แล้วข้าก็มีชุดเกราะอยู่แค่ชุดเดียว” สเคมโนสพูด “นี่ ข้าไม่ใช่หน่วยสอดแนมของพวกมนุษย์นะ ข้าสาบานได้”

          “แน่ล่ะ เจ้าไม่ใช่ แม้แต่หน่วยสอดแนมที่แย่ที่สุดก็ยังทำเรื่องวุ่นวายขนาดเจ้าไม่ได้” โซลิแทร์ตวัดดาบจ่อคอสเคมโนส คนแคระสะดุ้งเฮือก “แต่ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร อยู่ในสังกัดมนุษย์หรือไม่ เจ้าก็บุกรุกเข้ามาสร้างความวุ่นวายในอาณาจักรของเรา สร้างความเสียหายแก่พื้นที่ด้วยการขุดเหมืองที่เราเพิ่งกลบไปไม่นานนี้ ที่สำคัญ ยังทำร้ายนักรบคนหนึ่งของเราอีก มันมีเหตุผลเพียงพอที่จะสำเร็จโทษพวกเจ้าทุกคนทีเดียว”

          “เราไม่ตั้งใจทำร้ายดีเซ็นทรีคนนั้น เข้าใจหน่อยว่าพลปืนของข้าค่อนข้างขวัญอ่อน เห็นคนของเจ้าขี่ไอ้สิ่งที่เราพยายามมองว่าเป็นม้านั่นโผล่มาจากหมอก เขาก็ตกใจจนลั่นปืนออกไป มันเป็นอุบัติเหตุ” สเคมโนสรีบชี้แจง “ปีศาจคนนั้นไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม”  

          “ก็ถ้าเขาตายหรือบาดเจ็บสาหัส เจ้าคงไม่ได้มายืนพูดอยู่ตรงนี้หรอก” โซลิแทร์บอก

          “ฟังนะ เราไม่อยากมีเรื่องมีราว--”

          “พวกเจ้าบุกรุกเข้ามาในถิ่นของเรา โจมตีคนของเรา จากนั้นก็ต่อสู้กับพวกเราอย่างเอาเป็นเอาตาย ฟังดูค่อนข้างห่างไกลจากคำว่าไม่อยากมีเรื่องมีราวนะ

          “อย่างน้อย ตอนนี้เราก็ไม่อยากมีแล้ว” สเคมโนสพูดรัวเร็ว “เราแค่ต้องการค้นหาพวกพ้องที่เหลือของเรา แล้วเราก็แค่พยายามหาทองเล็กๆ น้อยๆ ไปซื้อเรือลำใหม่ แล้วเราจะไปให้ไกลจากที่นี่”

          “พวกพ้องที่เหลือของเจ้ามาเกี่ยวอะไรกับที่นี่”

          “ข้าถูกพระราชาขับไล่ออกจากโมราโซมอสมานานหลายปีแล้ว แต่ยังมีพวกพ้องคนแคระอีกส่วนหนึ่งที่ยังอยู่ในเมืองโอมิลรอน” สเคมโนสบอก “เร็วๆ นี้ข้าได้ยินว่าพวกเขาถูกพระราชาขับไล่ออกมาเหมือนกัน ทางเดียวที่จะกลับไปได้ คือต้องนำทองจำนวนมากไปจ่ายให้กับพระราชา ที่เดียวที่พวกเขาจะขุดหาได้ คือต้องขุดเอาจากที่นี่ ข้าได้ยินข่าว ข้าจึงรีบเดินทางมาเพื่อจะรับพวกเขาไปอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าจะช้าไปหรือเปล่า แต่ข้าก็พยายามเดินทางให้เร็วที่สุดแล้ว รู้ไหมว่ามันต้องใช้ความกล้าแค่ไหนที่จะเหยียบเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ ในที่สุดเราก็ตัดสินใจเข้ามาในวันนี้ วันที่หมอกลงหนาและไม่มีหน่วยลาดตระเวนเอเลนเซฟเวอรี่”

          “ที่วันนี้ไม่มีหน่วยลาดตระเวนเอเลนเซฟเวอรี่ ก็เพราะข้าส่งพวกมันไปสวมชุดเกราะที่เมืองฟรอสท์ดีวิล ฟรอสท์ไอรอนแคลดแห่งนี้กำลังจะรับสงครามใหญ่ เอเลนเซฟเวอรี่ทุกตัวจะต้องมีเกราะสวม” โซลิแทร์พูด “แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความสามารถในการตรวจการณ์ลดลงนัก เรามีทหารม้า เราคุ้นเคยกับพื้นที่ เจ้าคิดหรือว่าหมอกหิมะจะช่วยให้พวกเจ้าปลอดภัย พวกเจ้าคิดว่าใครจะชำนาญเรื่องหมอกหิมะมากกว่ากัน ระหว่างมนุษย์ที่อยู่ในดินแดนที่ราบอุดมสมบูรณ์แบบพวกเจ้า กับเผ่าพันธุ์แดนหนาวอย่างเรา”

                “เหมืองแห่งนี้ เดาว่าพวกพ้องของข้าเป็นคนขุดใช่ไหม” สเคมโนสชี้ไปที่เหมือง “แม้มันจะถล่มลงมาบางส่วน แต่ก็พอดูออกว่าคนแคระเป็นคนขุด”

                “ใช่” โซลิแทร์พยักหน้า “คนของเจ้าทำเหมือนกับเจ้า บุกรุกเข้ามาสร้างความเสียหายแก่พื้นที่ของเรา ไล่แล้วก็ไม่ยอมไป”

                “ตอนนี้” สเคมโนสถามเสียงสั่น ดูจะหวาดกลัวกับคำตอบ “พอรู้ไหม ว่าพวกเขาไปไหนแล้ว”

                “ตายหมดแล้ว”

                “อะไรนะ” คนแคระเคราเหลืองคนหนึ่งร้องลั่น “ตายหมดแล้ว ตายยังไง”

                “ถูกประหารชีวิต” โซลิแทร์ตอบเรียบๆ

                “พวกเจ้าฆ่าเขา”

                “เราให้โอกาสพวกนั้นออกไปแต่โดยดีแล้ว แต่ก็ไม่ยอมไป” โซลิแทร์พูดเสียงเย็น “มนุษย์ก็เหมือนกันหมด จะมนุษย์แท้หรือมนุษย์คนแคระ ก็ห่วงทองมากกว่าชีวิตตน”

                “พวกเจ้าฆ่าพวกพ้องของเรา พวกเจ้ามันฆาตกร พวกปีศาจหยาบช้า”

                คนแคระหลายคนเริ่มขาดสติพยายามจะบุกเข้าหาโซลิแทร์อย่างโกรธแค้นแต่เมื่อมีคนหนึ่งถูกลูกศรสามง่ามพุ่งเฉียดหน้าไปพวกเขาจึงค่อยๆ ถอยกลับอย่างสงบเสงี่ยม กัปตันมาซูลหันไปมองรอบๆ และขึ้นสายหน้าไม้อีกครั้ง

                “สรุปว่าพวกเจ้าบุกรุกเข้ามาที่นี่ เพื่อสืบหาร่องรอยของพวกพ้อง ทำร้ายนักรบของเรา ด่าทอพวกเราด้วยประโยคระคายหู และขุดเหมืองสร้างความเสียหายแก่พื้นที่ของเรา” โซลิแทร์พูดเสียงเย็น “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะให้ความสำคัญกับเรื่องขุดเหมือง มากกว่าตามหาพวกพ้องเสียอีก”

                “เราไม่ได้โลภนะ” สเคมโนสแย้ง “เราแค่ต้องการเอาไปซื้อเรือและของใช้จำเป็น เพื่อจะได้เดินทางไปที่อื่นได้ ก็อย่างที่ท่านบอก สงครามหนักกำลังจะเกิด ข้ากับพวกพ้องที่เหลือไม่ขออยู่แถวนี้แน่ คนแคระใกล้สูญพันธุ์เต็มที แล้วก็เพิ่มประชากรไม่ได้ด้วย”

                “มันไม่มากไปหน่อยหรือ” โซลิแทร์ชี้ไปที่แร่ทองคำดิบที่กองอยู่หน้าปากเหมือง

                “เราเป็นคนแคระนะ สารภาพว่าอดใจไม่ไหวที่จะขุดต่อ ในเมื่อยิ่งขุดก็ยิ่งเจอทอง” สเคมโนสพูดเสียงเล็กนิดเดียว “แต่เราจะไม่ขุดอะไรอีกแล้ว ขอทองกองนี้ให้เรา แล้วเราจะไปให้ไกล ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นอีกเลย จะไม่อาฆาตที่พวกท่านฆ่าคนของเราด้วย ข้าเองก็พอเดาได้ก่อนแล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้ พระราชาเจตนาขับไล่พวกเขาให้มาเผชิญกับพวกท่าน ยังไงพวกเขาก็ไม่รอด สิ่งสำคัญตอนนี้คือ ข้าจะขอรักษาคนแคระที่เหลือกลุ่มสุดท้ายนี้ไว้”

                “หลังจากที่พวกเจ้าเข้ามาสร้างความวุ่นวายในช่วงเวลาสงครามเช่นนี้ ถ้าข้าปล่อยพวกเจ้า มันจะสร้างความคลางแคลงใจต่อบรรดาคนของข้าแน่” โซลิแทร์กวาดดาบไปยังกองกำลังดาร์คเนสดีวิลของตนที่ยืนคุมเชิงพวกคนแคระอยู่ “ข้าให้โอกาสคนแคระกลุ่มแรกไปแล้ว แต่พวกนั้นกลับโยนมันทิ้งไปเพียงเพราะนำทองกลับไปด้วยไม่ได้ พอกันทีสำหรับการมีคนแคระมาสร้างความวุ่นวายในพื้นที่ของเรา ในตอนนี้เรามีทั้งพวกมนุษย์และพวกเอลิลเป็นศัตรู เราจะไม่ปล่อยให้มีปัญหามาเพิ่มอีก”

                เซซิล กัปตันมาซูล และนักรบดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ ขยับอาวุธของตนเตรียมพร้อม พวกคนแคระเริ่มแตกตื่น หวาดกลัว หน้าซีด

                “เดี๋ยวก่อน ฟังข้าก่อน” สเคมโนสละล่ำละลัก “อย่าฆ่าพวกเราเลย คนแคระไม่ได้สืบพันธุ์ได้เหมือนสิ่งมีชีวิตทั่วไป เราถูกสร้างขึ้นมาอย่างมีจำนวนจำกัด เหมือนพวกเซ็ทซาร์ด--”

                “ไอ้ประโยคนี้คนแคระกลุ่มที่แล้วได้พูดไปแล้ว ข้าไม่ได้อยากฟัง”

                “ทุกวันนี้เราได้แต่ลดจำนวนลงเรื่อยๆ เพราะไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ คาดว่าเราน่าจะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เหลืออยู่ในดาวดวงนี้--”

                “ไอ้ประโยคนี้ก็เหมือนกัน”

                “ฆ่าเรา ก็เท่ากับล้างเผ่าคนแคระ ทำให้พวกเราสูญพันธุ์ไป ท่านทำได้ลงคอหรือ--”

                “พวกคนแคระท่องจำคำพูดนี้เป็นบทสวดมนต์เลยหรือไง ถึงพูดประโยคนี้กันทุกคน เอาล่ะ เราเสียเวลากับพวกเจ้ามามากแล้ว”

                “ข้ามีหนทางช่วยหัวหน้าของพวกเจ้าออกจากที่คุมขังนะ ข้ามีวิธีช่วยเดอะ ทวินเฮดออกมา”

                “ทุกคนหยุดก่อน” โซลิแทร์ยกมือห้าม

                นักรบดาร์คเนสดีวิลแต่ละคนชักงักอาวุธอยู่อย่างนั้น แล้วค่อยๆ ลดอาวุธลง พวกคนแคระขวัญหนีดีฝ่อกันใหญ่ บางคนถอนหายใจตัวสั่น

                “เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับที่คุมขังเดอะ ทวินเฮดอย่างนั้นหรือ” โซลิแทร์กระชากคอเสื้อเกราะของสเคมโนส ยื่นหน้ากากลงไปใกล้ๆ ดวงตาสีน้ำเงินเรืองแสงอย่างน่าสะพรึงกลัว สเคมโนสได้แต่แหงนหน้ามองอีกฝ่ายด้วยท่าทางตื่นๆ

                “สถานกักกันที่เมืองไดมอนด์เคจ ถูกสร้างขึ้นโดยแรงงานคนแคระ ข้าเองก็ต้องไปช่วยคุมการก่อสร้าง ข้าจำพิมพ์เขียวของคุกได้ รู้ว่าตรงไหนเป็นจุดอ่อนจุดแข็ง” สเคมโนสงึมงำ “ข้ายินดีวาดมันให้ท่าน ขอแค่ปล่อยพวกเราไป และมอบทองกองนั้นให้เป็นค่าเรือและค่าเสบียงเครื่องใช้จำเป็น เพื่อเราจะได้ไปให้ไกลจากที่นี่ ไม่มาสร้างความวุ่นวายอีกเลย”

                โซลิแทร์ปล่อยคอเสื้อเกราะสเคมโนส หันไปมองกัปตันมาซูล เซซิล และนักรบดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ  แม้แต่ละคนจะมีเกราะปิดหน้าปิดตา แต่ก็เดาได้ว่ามีสีหน้าตื่นเต้น หากนี่เป็นเรื่องจริง พวกเขาก็ยังมีความหวังที่จะปลดปล่อยฝาแฝดเมแมคเซอร์และพวกพ้องคนอื่นๆ ออกจากกรงของพวกมนุษย์ หลังจากที่เพิ่งล้มเหลวไม่เป็นท่า และยังมองหาหนทางแก้ตัวไม่ได้

                “แน่ใจแล้วหรือ ว่าจะทรยศเผ่าพันธุ์ของตน” โซลิแทร์หันไปถามสเคมโนส

                “อย่างที่บอกไป ข้าไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์อีกแล้ว อย่างน้อยคำพูดนี้ก็ออกจากปากพระราชา แล้วการกระทำเช่นนี้ข้าก็ไม่คิดว่าเป็นการทรยศด้วย” สเคมโนสพูดอย่างหดหู่ “ข้าเองก็ไม่ค่อยชอบพอกับเจ้าเมืองไดมอนด์เคจ และข้าก็ไม่คิดว่าการที่มนุษย์เสียเชลยศึกไป มันจะสร้างความเสียหายมากมายนัก เมื่อเทียบกับเรื่องทุจริตฉาบฉวยต่างๆ นาๆ ของพวกขุนนางมนุษย์ ขุนนางอย่างเจ้าเมืองไดมอนด์เคจ ข้ายอมตกลงกับปีศาจ หากมันทำให้ข้าและพวกพ้องอยู่รอดต่อไปได้”

                โซลิแทร์จ้องมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา ยังไม่บอกว่าจะตัดสินใจอย่างไร

                “เอาอย่างนี้ไหม เพื่อให้พวกท่านมองว่ายุติธรรม เรามาเสี่ยงดวงกันเลย” สเคมโนสหยิบเหรียญออกมาจากกระเป๋า “ท่านคงคุ้นเคยกับเหรียญเงินมนุษย์อยู่บ้าง มันมีสองหน้า หัวคือตราสัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือที่เป็นรูปราชสีห์สวมมงกุฎ ก้อยคือรูปปราสาทพระราชวังแห่งโมราโซมอส ถ้าออกหัว พวกท่านจะฆ่าเราทุกคนอย่างที่ตั้งใจในตอนแรก เราก็ยินดี แต่หากออกก้อย ข้าจะวาดแผนที่คุกไดมอนด์เคจให้ รวมทั้งจุดอ่อนจุดแข็งของมัน พวกท่านมอบทองกองนั้นให้เรา แล้วปล่อยพวกเราไป ไม่ว่าจะยังไงพวกท่านก็ได้ประโยชน์ ยุติธรรมดีไหม”

                โซลิแทร์หันไปมองดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ ราวกับถามความเห็นประกอบการตัดสินใจ แล้วจึงหันกลับมาหาสเคมโนสแล้วเอ่ยว่า “ตกลง”

                สเคมโนสโยนเหรียญแล้วคว้าไว้ แบมือที่ถือเหรียญให้โซลิแทร์ดู เป็นรูปพระราชวังโมราโซมอส

                “ก้อย” สเคมโนสพูด

                “ข้าเป็นคนยึดมั่นในคำสัญญา” โซลิแทร์พยักหน้า “พวกเจ้ามีเวลาหนึ่งชั่วโมงในการร่างแผนที่ และปิดปากเหมือง เก็บกวาดสถานที่ให้เหมือนกับว่าพวกเจ้าไม่เคยมาที่นี่เลย แล้วตอนที่เดินทางออกจากอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล ห้ามให้ใครเห็นเด็ดขาดว่าพวกเจ้ารอดออกไป มันจะดูเหมือนว่าเราหละหลวมเรื่องการลาดตระเวน ที่สำคัญที่สุด อย่างเล่นลูกไม้กับเราเรื่องแผนที่คุกไดมอนด์เคจเด็ดขาด เราอาจไม่คุ้นเคยกับที่นั่น แต่เราก็ไม่โง่ เราพิจารณาได้ว่าแผนที่ตรงกับความจริงหรือไม่”

                “ได้ยินแล้วนี่ทุกคน” สเคมโนสพูดอย่างดีใจ “รีบเก็บกวาดสถานที่กัน แบ่งทองใส่กระสอบ แล้วใครมีปากกากับกระดาษแผ่นใหญ่ๆ บ้าง ข้าจะร่างแผนที่ แล้วเอาหมึกไปลนไฟด้วย อากาศเย็นทำให้มันแข็งหมดแล้ว”

                พวกดาร์คเนสดีวิลสลายวงล้อม หลีกทางให้พวกคนแคระไปจัดการเรื่องของตน แต่ก็ยังคุมเชิงที่กองอาวุธของอีกฝ่ายที่ยึดมาได้ ให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นก่อน พวกเขาจึงจะไว้ใจคืนอาวุธให้ เซซิลเข้ามาสมทบกับโซลิแทร์ ผู้ซึ่งเก็บดาบลงฝักและยืนกอดอกอยู่ใต้ผ้าคลุม ทำให้ผ้าคลุมปกปิดร่างมิดชิด

                “ไม่อยากเชื่อเลยว่า ชะตาชีวิตของเดอะ ทวินเฮดและเชลยศึกคนอื่นๆ จะขึ้นอยู่กับคนแคระเพี้ยนๆ คนนี้” เซซิลพึมพำ

                “อย่างน้อย มันก็ทำให้เราและคนของเรามีหวังขึ้นมาบ้าง” โซลิแทร์กระซิบตอบ

                “รู้ไหม ต่อให้แผนที่นั่นมีประโยชน์จริง เราก็ยังเข้าไปช่วยพวกเขาไม่ได้อยู่ดี” เซซิลว่า “สงครามระหว่างเรากับพวกเอลิลคือภารกิจหลัก เราต้องปกป้องเมือง คงช่วยพวกเขาไม่ได้อีกยาว”

                “ข้ารู้” โซลิแทร์ถอนใจอยู่หลังหน้ากาก ไอควันสีขาวโชยผ่านหน้ากากออกมา “แต่เราก็ไม่มีหนทางอื่นแล้ว เราต้องอดทนต่อไป และจัดการกับปัญหาที่สำคัญกว่า แต่ข้าขอยืนยัน สักวันเราจะช่วยพวกเขาออกมา ข้าให้สัญญาไปแล้วอาจารย์เซซิลว่า หากไม่ตายเสียก่อน จะหาทางช่วยพวกเขาออกมาให้ได้ ทุกคำมั่นสัญญาที่ข้ากล่าวออกมา ข้าไม่เคยผิดสัญญา และจะไม่มีวันผิด”   

 

***************

 

                ซิลเวอร์ แมแมคเซอร์ และค็อปเปอร์ เมแมคเซอร์ หรือแฝดตัวติด ฉายาทวินเฮดนั้น กำลังวิดพื้นด้วยแขนคนละข้าง แขนข้างที่อยู่ติดกันเอาไขว้หลังไว้ การจะออกกำลังกายแบบนี้ได้ต้องอาศัยความแข็งแรง ความสามัคคี และสมาธิอันแน่วแน่ เพราะผู้คุมห้องขังกำลังพูดจาเยาะเย้ยถากถางทั้งคู่อยู่ ดวงตาสีแดงของพวกเขาฉายแววดุร้าย เขี้ยวเงาวับงอกอยู่ในปาก หูก็ทนฟังเสียงจากปากเสียๆ ของผู้คุมมนุษย์

                “--ม้วนหางปลายลูกศรเผ่นหนีกลับโฟรเซ็นทิเนลกันแทบไม่ทัน ทิ้งให้คนสำคัญของพวกมันมาติดแหงกอยู่ในกรงนี้ต่อ” ผู้คุมมนุษย์หัวเราะเยาะเย้ย “ทวินเฮด พวกลิ้วล้อของพวกเจ้าทิ้งพวกเจ้าไปแล้ว พวกมันคงไม่กล้ามาเหยียบโมราโซมอสอีกยาวล่ะ ทำไมถึงมาออกกำลังกายเตรียมพร้อมตนเองอย่างนี้ล่ะ ถ้าข้าเป็นพวกเจ้า ข้าผูกคอตายไปนานแล้ว ไอ้ความหวังที่พวกเจ้าจะได้ออกจากที่นี่มันไม่มีแล้ว”

                ฝาแฝดยังคงก้มหน้าก้มตาออกกำลังกายต่อไป พยายามไม่สนใจ

                “แบล็กไรดิงฮู้ดไม่ได้แน่อย่างที่คิด สุดท้ายก็โดนตะเพิดกลับไป เอาหน้ากากเอาฮู้ดหนีไปซุกหิมะแทบไม่ทัน” ผู้คุมพูดต่อ “รู้สึกยังไงที่เกือบจะเป็นอิสระ รู้สึกยังไงที่มีความหวังลมๆ แล้งๆ โผล่มา แล้วก็หายวับไปกับตาเสียดื้อๆ”

                ฝาแฝดหยุดออกกำลังกาย แหงนหน้ามองผู้คุมผ่านม่านผมกระเซอะกระเซิงสีเงินด้วยดวงตาสีแดงน่ากลัว ท่าทางเหมือนกันจนแยกไม่ออก

                “นับเป็นโชคดีของเจ้า ที่เราไม่ได้รับอิสระ” ค็อปเปอร์พูด “พยายามอย่าให้เราหลุดออกไปได้ล่ะ”

                “เพราะทันทีที่เราเป็นอิสระ” ซิลเวอร์พูด “มนุษย์คนแรกที่เราจะเอาชีวิต คือเจ้า”

                “ท่าทางเจ้าตัวประหลาดตัวติดนี่อยากได้สิ่งช่วยปิดปาก” ผู้คุมหันไปคว้าพลองยาวที่วางพิงผนัง ฝาแฝดยิ้มเยาะราวกับท้าทายว่า ถ้ามีปัญญาใช้พลองนั่นทำอะไรพวกเขาได้ ก็เข้ามาเลย

                แล้วผู้คุมอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเร็วๆ ป้องปากกระซิบเพื่อน มือข้างหนึ่งถือห่อกระดาษมาด้วย

                “เธอมาอีกแล้วหรือ” ผู้คุมที่ถือพลองขมวดคิ้ว

                “มาพร้อมกับสินบนเหมือนเดิม” เพื่อนผู้คุมแกะห่อกระดาษออก มีเหรียญทองอยู่ในนั้นเต็มไปหมด “นี่ครึ่งหนึ่งของเจ้า”

                “ให้เธอรีบๆ มา เราสองคนไปดูต้นทางกัน อย่าลืมว่าถ้าเจ้าเมืองไดมอนด์เคจรู้เรื่องนี้ เราตายแน่” ผู้คุมวางพลองลง แล้วเดินไปกับเพื่อนทันที

                แฝดตัวติดเมแมคเซอร์ลุกขึ้นยืนตรง จ้องมองไปข้างหน้า มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหา สวมชุดกระโปรงยาวแบบสาวชาวบ้าน และสวมหมวกฟางปีกกว้างปิดบังหน้าตา เธอเข้ามาใกล้กับประตูกรงของฝาแฝดที่เรืองแสงสีแดงตลอดเวลา ถอดหมวกออก

                “ข้านำอาหารมาให้ค่ะ” ซอร์โรร่ายื่นห่อกระดาษให้ทั้งคู่คนละห่อ “มันไม่ใช่อาหารดีเลิศอะไร แต่ก็ยังดีกว่าอาหารนักโทษที่พวกท่านกินอยู่ทุกวัน”

                ซิลเวอร์กับค็อปเปอร์รับห่อกระดาษไปแกะออก เป็นแซนด์วิชขนาดใหญ่กันคนละคู่ ทั้งคู่สูดดมอย่างไม่ไว้ใจ ราวกับจะตรวจสอบดูว่ามียาพิษไหม

                “ท่านทั้งสอง ได้โปรด” ซอร์โรร่าพูดอย่างน้อยใจ “ข้าก็นำอาหารมาให้พวกท่านตั้งหลายครั้ง มันไม่มียาพิษเลยสักครั้ง แล้วข้าก็ไม่รู้ว่าจะวางยาพวกท่านทำไม”

                “เราไม่อาจแน่ใจได้ว่าท่านพยายามทำดีต่อเราจริงๆ หรือแสร้งทำดี หรือมีแผนการอะไรไม่ชอบมาพากล” ซิลเวอร์กัดแซนด์วิชคำใหญ่เมื่อแน่ใจว่าไม่มียาพิษ “เราอยู่ในถิ่นมนุษย์ ห้อมล้อมด้วยมนุษย์ เราไม่อาจไว้ใจใครได้”

                “ข้าเข้าใจค่ะ” ซอร์โรร่าพยักหน้า “มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไว้ใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์ที่เป็นศัตรูกัน แต่ข้าอยากให้พวกท่านให้โอกาสข้าบ้าง พวกท่านเป็นดาร์คเนสดีวิลพวกเดียวที่ข้าพอมีหนทางจะพูดคุยด้วยได้ แม้จะแค่ช่วงเวลาสั้นๆ และนานๆ ครั้ง มันก็คุ้มค่า”

                “ท่านต้องการอะไรจากเรากันแน่ นางฟ้าปีศาจ” ค็อปเปอร์ขมวดคิ้ว กัดแซนด์วิช “จะให้เราเชื่อว่าท่านเสียสติชื่นชอบพวกปีศาจ อยากพูดคุยกับปีศาจ อยากผูกมิตรกับปีศาจอย่างนั้นหรือ”

                “มันคงจะแปลกประหลาดสำหรับพวกท่าน หากรู้ว่ามีมนุษย์บางคนที่สงสารและเห็นอกเห็นใจพวกดาร์คเนสดีวิล” ซอร์โรร่ากล่าว “ข้ารู้ว่ามันไม่น่าเชื่อ แต่โปรดรับรู้ว่ามันเป็นความจริง”

                “รู้อะไรไหม” ซิลเวอร์เอียงคอ “แต่ละครั้งที่ท่านลอบเข้ามาหาเราที่นี่ ท่านจะต้องติดสินบนมาตั้งแต่ยามเฝ้าสถานที่กักกัน จนมาถึงผู้คุมหน้าห้องขังเรา ท่านไม่มีปัญญาจ่ายมากขนาดนั้นหรอกหากท่านไม่ใช่ลูกขุนนาง ผิวพรรณของท่าน การพูดจาของท่าน บุคลิกการวางตัวของท่าน เราดูออกว่าท่านเป็นผู้หญิงสูงศักดิ์ เราไม่ได้โง่”

                “พ่อของข้าเป็นขุนนางก็จริงค่ะ แต่เขาไม่ได้เกลียดชังปีศาจเหมือนขุนนางคนอื่นๆ” ซอร์โรร่ายืนยัน “เขาเป็นคนดีจริงๆ นะคะ”

                “สำหรับเรา มนุษย์มีดีหรือไม่ดีเราไม่รู้ แต่ที่เรารู้คือ มนุษย์ที่เป็นขุนนาง มันไม่มีคนดี” ค็อปเปอร์ว่า

                “แต่--”

                “งั้นบอกมาทีสาวน้อย พ่อของท่านเป็นใคร เราพอรู้จักไหม” ซิลเวอร์ถาม

                “ข้าไม่ควรบอกจริงๆ ค่ะ เหตุผลเดียวกับที่ข้าไม่สามารถบอกชื่อจริงๆ ของตนแก่พวกท่านได้ มันไม่ปลอดภัยที่จะพูดออกไป” ซอร์โรร่าพูดเสียงเบา

                ซิลเวอร์กับค็อปเปอร์พ่นลมออกจากจมูก แล้วยิ้มอย่างไม่สบอารมณ์นัก กินแซนด์วิชในมือจนหมดด้วยความรวดเร็ว

                “หากท่านมีธุระอะไรกับเราก็ควรรีบทำเวลา” ซิลเวอร์พูด “อย่าลืมว่าทุกครั้งที่ท่านลอบเข้ามานั้น เวลามีจำกัด ถ้าถูกจับได้ ท่านอาจถูกลงโทษด้วยข้อหากบฏ”

                “ข้าแค่ต้องการแน่ใจว่ากำลังใจของพวกท่านจะไม่เสื่อมถอย พวกท่านจะต้องรู้ว่าพวกพ้องของพวกท่านไม่ได้ทอดทิ้งพวกท่าน” ซอร์โรร่าเอ่ยขึ้น “พวกเขาพยายามอย่างที่สุดแล้ว ที่จะช่วยพวกท่านออกไป โปรดอย่าผิดหวังในตัวพวกเขา”

                “แน่นอนอยู่แล้ว พวกเขาไม่ได้ทอดทิ้งพวกเรา” ค็อปเปอร์พูดอย่างหงุดหงิด แต่สายตาไม่ได้บ่งบอกว่ามั่นใจนัก “และเราก็ไม่ได้ผิดหวังด้วย แค่เราสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น พวกมนุษย์ถูกปั่นหัวเสียหมดรูปด้วยแผนซ้อนแผนของแบล็กไรดิงฮู้ด แต่ทำไมพวกนั้นกลับพลิกผันมาเอาชนะได้”

                “พวกเอลิลเคลื่อนพลมาสกัดพวกเขาระหว่างทางค่ะ” ซอร์โรร่าตอบ

                “เอลิล ท่านต้องพูดเล่นแน่” ค็อปเปอร์พูดเสียงดัง

                “ท่านจะบอกว่าเผ่าพันธุ์ที่ถูกกวาดล้างมานานแสนนาน บัดนี้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นใหม่ และประกาศสงครามกับเผ่าพันธุ์ของเราอย่างนั้นหรือ” ซิลเวอร์พูดอย่างไม่อยากเชื่อ

                “ไม่ใช่แค่พวกดาร์คเนสดีวิลค่ะ พวกนั้นก็ดูจะประกาศตัวเป็นศัตรูกับพวกโฮเซ่ด้วย” ซอร์โรร่าว่าต่อ “ระหว่างที่เกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ ข้าถูกพระราชาลงโทษให้ไปทำภารกิจที่ไอซ์เมส ข้าเห็นฐานทัพเอลิล พอรู้ว่าพวกนั้นมีทุกอย่างพร้อมสำหรับทำสงคราม”

                “โผล่มาประกาศตัวกับศัตรูหลายฝ่าย โดยรักษาศัตรูของศัตรูไว้ให้เป็นกันชน มันเป็นกลยุทธ์ของพวกเฟลมฟอร์ส” ค็อปเปอร์พึมพำ “จะต้องมีคนของเฟลมฟอร์สอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่ๆ”

                “หลังจากที่จอมพิชิตถูกทำลายร่าง นักรบเฟลมฟอร์สทุกคนที่เขาสร้างขึ้นก็สลายหายไป” ซิลเวอร์กล่าว “ยกเว้นบางคนที่ไม่ได้ถูกสร้างจากพลังของเขาเพียงอย่างเดียว บางคนที่เขาใช้ส่วนผสมอื่นในการสร้างขึ้นมา นั่นคือโพรไพแท็กซ์ นายทหารมือซ้ายของเขา และพวกเซ็ทซาร์ด ซึ่งมีฟอลมิไนท์ หัวหน้าเซ็ทซาร์ด เป็นนายทหารมือขวา”

                “พวกเซ็ทซาร์ดต้องเป็นผู้ชักใยพวกเอลิลแน่ พวกนี้จอมวางแผนและเหลี่ยมจัด อีกทั้งไม่ค่อยละอายที่จะทำงานสกปรก ตราบที่มันส่งผลดีต่อเฟลมฟอร์ส” ค็อปเปอร์มั่นใจ “พวกเซ็ทซาร์ดมีนิสัยเหี้ยมโหดและอาฆาต ดาร์คเนสดีวิลทำให้เฟลมฟอร์สเสื่อมอำนาจ ทำให้ผู้นำของพวกมันหายไป ทำให้พวกมันตกที่นั่งลำบาก พวกมันไม่เบามือกับโฟรเซ็นทิเนลในศึกครั้งนี้แน่”

                “สหายพวกพ้องของเรากำลังลำบาก พวกเขาต้องรับศึกถึงสองฝ่าย ทั้งเอลิลและมนุษย์” ซิลเวอร์กุมศีรษะ “พวกเขาเพิ่งจะตั้งตัวได้ไม่ทันไร ต้องกระเสือกกระสนรับสงครามหนักอีกรอบ”

                “ข้าไม่คิดว่ามนุษย์จะยกพลไปรุกรานใครได้ในเร็วๆ นี้ค่ะ มนุษย์กำลังเสียหาย” ซอร์โรร่าพูดให้สบายใจ

                “มนุษย์ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เอลิลที่บัญชาการโดยเฟลมฟอร์สต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่ของเผ่าพันธุ์ข้า” ซิลเวอร์พูดเสียงเครียด “พวกเซ็ทซาร์ดอาจมีแผนให้พวกเอลิลเสียหายจากสงครามนี้ด้วย จึงเปิดศึกกะทันหันแบบนี้ แต่พวกนี้ไม่เสี่ยงเปิดศึกแน่ ถ้าไม่มั่นใจว่าพวกเอลิลสู้ศัตรูทั้งหมดไหว เผ่าพันธุ์ของข้ากำลังเผชิญกับศัตรูที่น่ากลัวกว่าพวกมนุษย์มาก”

                “ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวงนี้ แบล็กไรดิงฮู้ดคงเลื่อนแผนการปลดปล่อยเราไปอีกยาว” ค็อปเปอร์พูดเสียงเบา “เขามีความจำเป็นต้องรักษาดินแดนให้ได้ก่อน”

                “ข้าเสียใจค่ะ ที่มันเป็นแบบนั้น” ซอร์โรร่าพูดเศร้าๆ

                “ช่างพวกเราเถอะ เราไม่เป็นอะไร” ค็อปเปอร์ว่า “แต่พวกพ้องของเราที่โฟรเซ็นทิเนลจะต้องลำบากลำบนต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดที่สุดในดาวดวงนี้ โดยที่เราติดแหงกอยู่ที่นี่ ช่วยอะไรไม่ได้เลย”

                “หากมีอะไรที่ข้าพอจะช่วยได้ ข้ายินดีนะคะ” ซอร์โรร่าเสนอ

                “ช่วยเราออกไปจากที่นี่ได้หรือเปล่าล่ะ”

                “ข้าเสียใจค่ะ นั่นเกินความสามารถของข้าจริงๆ”

                “งั้นก็ไม่มีอะไรที่ท่านจะช่วยเราได้แล้ว”

                “อย่างน้อย ให้ข้าได้คอยแจ้งข่าวสารเกี่ยวกับพวกพ้องของพวกท่านให้พวกท่านทราบก็ยังดีค่ะ”

                “รู้ไหม ท่านจะเดือดร้อนเข้าสักวันถ้าไม่เลิกทำแบบนี้” ค็อปเปอร์เตือน “โดนจับได้ขึ้นมา โทษมันหนักใช่เล่นนะ ท่านอาจเป็นลูกขุนนาง แต่นั่นก็แทบช่วยอะไรท่านไม่ได้จากเรื่องนี้”

                “ข้ายินดีเสี่ยงค่ะ” ซอร์โรร่ายิ้มอย่างเชื่อมั่น “ถ้ามันสร้างความคุ้นเคยระหว่างเราได้มากขึ้น แม้จะสักเล็กน้อยข้าก็ยอม ขอเพียงสักวัน ข้าได้เป็นเพื่อนกับพวกท่าน ข้าจะไม่เสียใจเลย แม้จะถูกจับข้อหากบฏ”

                “เห็นชัดเลยว่าท่านเลือกเพื่อนผิด” ซิลเวอร์หัวเราะ

                “มันเป็นสิทธิของข้าค่ะ ที่จะเลือกใครเป็นเพื่อน” ซอร์โรร่ายืนยัน “อย่างน้อยเป็นเพื่อนกับเผ่าพันธุ์ศัตรู และเสี่ยงต่อการถูกลงโทษหนัก ก็ยังดีกว่าเป็นเพื่อนกับพวกมนุษย์ผู้ชาย โดยเฉพาะพวกที่อยู่ในแวดวงขุนนางและคนรวย”

                “ชอบประโยคหลังของท่าน” ค็อปเปอร์หัวเราะชอบใจ “แต่บอกตรงๆ นะ เรายังไม่อยู่ในสถานะที่จะไว้วางใจท่านได้ ฉะนั้นเรายังเป็นเพื่อนกับท่านไม่ได้ และคงเป็นอย่างนี้ไปอีกนาน”

                “ไม่เป็นไรค่ะ ข้าจะรอ--”

                “หมดเวลาแล้ว รีบๆ ไป” ผู้คุมที่ดูต้นทางอยู่หน้าประตูหันมาเรียกด้วยเสียงที่เบาที่สุด “เร็วเข้า”

                “ข้าไปนะคะ” ซอร์โรร่ารีบสวมหมวก อ้อยอิ่งไม่ได้แน่ “จะหาทางมาเยี่ยมพวกท่านอีกให้ได้”

                “พูดเหมือนจะมาได้บ่อยๆ เลยนะ” ซิลเวอร์หัวเราะ “ครั้งหน้าที่พบกัน ท่านคงสูงกว่าเดิมอีกเป็นคืบ”

                “แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงเราก็ไม่ได้ไปไหนอยู่แล้ว” ค็อปเปอร์ส่ายหน้า

                ซอร์โรร่าเดินขึ้นบันไดเร็วๆ ออกจากประตูคุกใต้ดิน ผู้คุมสองคนที่ดูต้นทางอยู่หน้าประตูแอบมองลอดใต้กระโปรงเธอและยิ้มให้กัน ฝาแฝดเมแมคเซอร์หันไปออกกำลังกายต่อ คราวนี้พวกเขาโหนลูกกรงเพดานดึงข้อ

 

********************

 

                นับเป็นเรื่องแปลกที่เจ้าชายอโลบัสขอเข้าเฝ้าพระราชาเป็นการส่วนตัว รู้กันอยู่ว่าสองพ่อลูกคู่นี้ห่างเหินกันมาก เฉลี่ยแล้วปีหนึ่งพูดคุยกันไม่ถึงสามคำเสียด้วยซ้ำ ไม่เคยมีกิจกรรมร่วมกัน ไม่เคยมีการแสดงออกว่ามีความรักความห่วงใยต่อกัน การประชุมแต่ละครั้งในท้องพระโรง เจ้าชายอโลบัสก็ไม่เคยเข้าร่วมเลย จึงนับว่าน่าแปลกมากสำหรับการพบปะครั้งนี้ เนื่องจากอโลบัสทูลขอให้เป็นการพบปะส่วนตัว ทั้งคู่จึงมาเดินคุยกันในอุทยานของพระราชวังโมราโซมอส พยายามให้บรรยากาศสบายๆ ช่วยลดความตึงเครียดระหว่างกัน วันนี้อากาศเย็นแต่แดดสดใส มีเสียงนกร้อง มีปลาสวยงามในสระริมทางเดิน บรรยากาศดีมากทีเดียว หากแต่อโลบัสก็ยังคงมีท่าทีไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึกดังเช่นทุกครั้ง

                “นานๆ จะเห็นเจ้าเข้ามาในเมืองหลวงนะ” พระราชาพูด อโลบัสที่เดินอยู่ข้างๆ สูงกว่าเขามาก

                “หน้าที่ของหม่อมฉันคือการสงครามพะยะค่ะ เมืองหลวงแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ห่างไกลจากสงคราม หม่อมฉันจึงไม่จำเป็นต้องมาบ่อยๆ” อโลบัสตอบเรียบ

                “สักวันเจ้าจะเป็นพระราชา และเจ้าต้องอยู่ที่นี่” พระราชาบอก “ควรทำตัวให้ชินกับการเมืองหลวงเสียบ้าง และหาคนอื่นไปทำหน้าที่เรื่องสงครามแทน”

                “หม่อมฉันเกรงว่าการเมืองในโมราโซมอสนั้น จะไม่ใช่สิ่งที่หม่อมฉันถนัดนัก” อโลบัสกล่าว “เชื่อว่าวางแผนการรบและจับอาวุธสู้ในสงคราม จะเป็นสิ่งที่ซับซ้อนน้อยกว่า อาจอันตรายน้อยกว่าด้วยซ้ำ”

                “เจ้าเป็นอัจฉริยะ ทุกคนรู้ดี ความสามารถของเจ้ามากมายนัก เรียนรู้ได้ทุกอย่าง มีทักษะอย่างรวดเร็ว” พระราชาพูด แต่เป็นน้ำเสียงที่บอกเล่าความจริง ไม่มีความภาคภูมิใจในน้ำเสียงสักนิด “กับแค่เรื่องนี้ มันจะยากเย็นสำหรับเจ้าแค่ไหนกันเชียว”

                “บางสิ่งบางอย่าง มันก็เกินความสามารถของหม่อมฉันที่จะเรียนรู้” อโลบัสพูดอย่างไร้ความรู้สึก “หม่อมฉันไม่มีทักษะเรื่องการประจบประแจง การฉาบฉวยผลประโยชน์ การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีเกินจริงแก่ตนเอง การอุ้มชูสมัครพรรคพวก การด้านทนต่อความรู้สึกละอาย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นที่จะใช้เล่นการเมืองในโมราโซมอส และเป็นสิ่งที่หม่อมฉันอ่อนด้อยยิ่งนัก”

                พระราชาหันมามองหน้าด้วยความฉุนโกรธ คงอยากจะตะโกนใส่แรงๆ สักคำ แต่ก็ไม่อยากให้เสียบรรยากาศ จึงพยายามทำใจให้เย็น และหันหน้าเดินต่อไป

                “ว่าแต่วันนี้ทำไมเจ้าถึงอยากพบข้าเป็นการส่วนตัว” พระราชาถาม

                “หม่อมฉันต้องการขออนุญาตจากพระองค์พะยะค่ะ” อโลบัสตอบ “หม่อมฉันต้องการให้พระองค์อนุมัติให้หม่อมฉันทำภารกิจลับ ภารกิจนี้ไม่ควรให้ใครได้รับรู้มาก หม่อมฉันจึงมาขอพบพระองค์เป็นการส่วนตัว”

                “ภารกิจอะไร”

                “หม่อมฉันต้องการเดินทางไปอาณาจักรไอซ์เมสพะยะค่ะ”

                “อะไรนะ จะไปทำไม”

                “หม่อมฉันจะเดินทางไปปลดปล่อยดาบแดนน้ำแข็งที่ชื่อว่าไอซ์แอคเซอร์พะยะค่ะ”

                “นี่มันบ้าอะไรกัน” พระราชาร้องลั่น “มีความจำเป็นอะไร ที่เจ้าจะต้องไปยุ่งกับดาบต้องคำสาปนั่น”

                “เพื่อความมั่นคงของเผ่าพันธุ์เราพะยะค่ะ” อโลบัสกล่าว “อาณาจักรของเรากำลังอยู่ในสภาวะอ่อนแอ จากเหตุการณ์ที่ผ่านมานี้แสดงให้เห็นว่าศัตรูของเราแข็งแกร่งและมีหลายฝ่าย หากไม่ใช่เพราะพวกเอลิล ป่านนี้เราอาจได้แต่นั่งรอความพ่ายแพ้ นับว่าโชคดีที่พวกเอลิลแข็งแกร่งมาก และเป็นศัตรูกับศัตรูทั้งหมดของเรา อาณาจักรของเราจะปลอดภัยจากพวกโฮเซ่และพวกดาร์คเนสดีวิล ตราบที่พวกนั้นยังทำสงครามกับพวกเอลิลอยู่”

                “เรายังไม่รู้ว่าพวกเอลิลคิดยังไงกับเรา” พระราชาพูดเสียงดัง “พวกนั้นอาจหันมาประกาศสงครามกับเราอีกเผ่าพันธุ์ก็ได้”

                “ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องการหลักประกัน” อโลบัสว่าต่อ “ดาบแดนน้ำแข็งเป็นอาวุธประจำกายของไอซ์ครีเอเทอร์ มันมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเผ่าพันธุ์เอลิล ได้มันมาสักเล่ม ก็เท่ากับมีไพ่อยู่ในมือ เราสามารถใช้มันในการต่อรองหรือกดดันพวกเอลิลได้ อย่างน้อยที่สุด เมื่อฝ่ายเราได้ดาบมา พวกเอลิลย่อมไม่กล้าประกาศสงครามกับเราแน่”

                “ดาบนั่นมันต้องคำสาป เจ้าอยากจะต้องคำสาปไปกับมันหรือไง” พระราชาคำราม

                “หม่อมฉันเชื่อว่าผู้มีปัญญาอย่างพระองค์ คงไม่หลงเชื่อเรื่องงมงายนั่น” อโลบัสพูดปด ความจริงแล้วเรื่องคำสาปที่ว่านั่น เขาเองก็รู้ว่าเป็นเรื่องจริง พระราชาจะไปรู้อะไร พระองค์ไม่ได้ศึกษาเรื่องดาบแดนน้ำแข็งอย่างถี่ถ้วนเหมือนเขา “ดาบแดนน้ำแข็งทั้งสองเล่มก็แค่เหล็กสองแท่ง อาจมีความคม ความทนทาน และพลังงานแฝงอยู่มากกว่าดาบทั่วไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายพวกมันก็เป็นแค่ดาบ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ความสำคัญของมันคือ มันเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความรุ่งเรืองของเผ่าพันธุ์เอลิลในอดีต มันสำคัญต่อเอลิล เราจึงใช้ประโยชน์จากมันได้”

                “แล้วเจ้าคิดว่าจะปลดปล่อยดาบสำเร็จหรือไง” พระราชาถามต่อ “เมื่อยี่สิบเก้าปีก่อน เฮเวนล็อคยังทำไม่สำเร็จ แถมเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่นอีก”

                “ที่เขาทำไม่สำเร็จ ก็เพราะความฉลาดของมนุษย์เรา ที่ส่งพวกดาร์คเนสดีวิลฝีมือดีไปหยุดยั้งเขา” อโลบัสหว่านล้อม “ครั้งนี้หม่อมฉันจะไปโดยไม่มีใครขัดขวาง เฮเวนล็อคก็ช่วยปูทางไปมากแล้ว คาดว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมมาก ศัตรูทั้งหมดของเรากำลังวุ่นวายเกินกว่าจะมายุ่งกับเรา พวกเอลิลก็ยังขยายพื้นที่ปกครองไม่ทั่วถึง เราสามารถเข้าไปในอาณาจักรไอซ์เมสได้ โดยไม่ถูกตรวจพบหรือขัดขวาง”

                “แล้วเจ้าแน่ใจหรือ ว่าจะมีปัญญาปลดปล่อยดาบสำเร็จ” พระราชาทำเสียงดูถูก “แม้จะไม่มีศัตรูมาขัดขวาง แต่การปลดปล่อยดาบก็ไม่ได้ทำโดยง่าย อะไรก็ตามที่เป็นด่านขวางระหว่างเจ้ากับดาบ มันย่อมไม่ใช่สิ่งที่จะฝ่าไปง่ายๆ”

                “หม่อมฉันเชื่อมั่นในความสามารถตนเอง อย่างที่พระองค์บอก หม่อมฉันเป็นคนที่มีความสามารถสูง” อโลบัสกล่าว “อีกทั้งหม่อมฉันศึกษาเรื่องนี้มาอย่างถี่ถ้วน หม่อมฉันกล้าพูดได้ว่าตนรอบรู้เรื่องดาบแดนน้ำแข็งมากกว่ามนุษย์คนใดในโมราโซมอส ไม่มีใครจะเหมาะสมกับภารกิจนี้มากไปกว่าหม่อมฉันอีกแล้ว”

          “แล้วเจ้าต้องการกองกำลังติดตามไปด้วยเท่าไหร่”

                “หม่อมฉันขอแค่เรือลำเดียวสำหรับเดินทาง พร้อมด้วยลูกเรือเท่าที่จำเป็น และทหารฝีมือดีสักยี่สิบสามคนพะยะค่ะ”

                “เอาไปน้อยขนาดนั้น อยากตายกันหมดหรือไง” พระราชาโวยวาย

                “หม่อมฉันเดินทางไปปลดปล่อยดาบ ไม่ได้ไปทำสงครามพะยะค่ะ คนมากเกินจำเป็นจะทำให้เชื่องช้า สังเกตง่าย และอาจทำให้พวกเอลิลออกมาป้องกันตัว เพราะเข้าใจว่าเราจะยกพลเข้าไปต่อสู้”

                “ภารกิจบ้าๆ นี่ข้าว่ามันมีกลิ่นแปลกๆ”

                “ทุกภารกิจลับล้วนมีหลายสิ่งที่ชวนให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจพะยะค่ะ แต่มันก็เป็นภารกิจเพื่อความมั่นคงของอาณาจักรทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้มันถึงต้องเป็นภารกิจลับ ไม่ควรจะล่วงรู้ไปถึงพวกขุนนางคนอื่นๆ ไม่อย่างนั้นอาจทำให้ภารกิจเสียหายได้”

                “ข้าไม่อนุมัติภารกิจนี้” พระราชาปฏิเสธ “มันดูงี่เง่าพิกล”

                “โปรดไตร่ตรองให้รอบคอบเถิดพะยะค่ะ” อโลบัสขอร้อง

                “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนไม่รอบคอบรึไง”

                “หม่อมฉันเชื่อว่าพระองค์เป็นคนรอบคอบ และเชื่อว่าพระองค์จะเห็นถึงความจำเป็นของภารกิจลับนี้ เพราะพระองค์ห่วงใยความมั่นคงของมนุษยชาติ”

                “ข้าบอกว่าไม่ก็คือไม่” พระราชายื่นคำขาด “ข้าไม่อนุมัติอะไรทั้งนั้น เมื่อเจ้าไม่มีเอกสารอนุมัติจากข้า เจ้าก็ไม่สามารถทำภารกิจลับนี้โดยพละการได้ เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีก”

                อโลบัสนิ่งเงียบ ความเรียบเฉยของเขา มันทำให้ไม่อาจดูออกว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไร

                “หากเป็นเช่นนั้น หม่อมฉันก็ไม่มีทางเลือก” อโลบัสกล่าวเรียบๆ “นอกจากต้องกดดันพระองค์”

                “เจ้าว่าอะไรนะ”

                “หากพระองค์ไม่อนุมัติภารกิจนี้ หม่อมฉันก็จำต้องเปิดโปงพระองค์” อโลบัสพูดเสียงราบเรียบ “ไม่ว่าจะเรื่องงบประมาณแผ่นดินที่พระองค์ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยเกินจำเป็นในช่วงที่ประชาชนกำลังอดอยาก เรื่องการอนุมัติโครงการต่างๆ ที่นำมาซึ่งผลเสียแก่ประชาชนมากกว่าผลดี ความล้มเหลวในเรื่องการปกครองและการจัดกลยุทธ์ศึกสงคราม การปล่อยปะละเลยให้เหล่าขุนนางฉ้อฉลมีโอกาสโกงกินได้มากมาย รวมทั้งเรื่องที่พระองค์เป็นพวกรักร่วมเพศด้วยพะยะค่ะ”

                “บังอาจนัก” พระราชาตะโกน หน้าซีดขาวด้วยความโกรธสุดขีด “เจ้าขู่ข้าอย่างนั้นหรือ”

                “หม่อมฉันทำด้วยความจำเป็น” อโลบัสโค้งศีรษะอย่างขออภัย

                “ไอ้สิ่งที่เจ้าจะนำมาขู่เปิดโปงข้า ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องจริงสักเรื่อง” พระราชาเน้นเสียงหนัก “ไม่มีใครเชื่อเจ้าหรอก ข้าคือพระราชาแห่งโมราโซมอสผู้ยิ่งใหญ่นะ”

                “ในบางเรื่อง หม่อมฉันก็มีหลักฐานมีเอกสารที่น่าเชื่อถือ” อโลบัสว่า “ไม่ว่าจะยังไง คำพูดของหม่อมฉันย่อมมีน้ำหนักแน่ เพราะมันเป็นคำพูดของรัชทายาทอันดับหนึ่งของพระองค์ คำพูดจากคนที่ประชาชนเชื่อว่าเป็นคนใกล้ชิดของพระองค์”

                “ข้าควรจะประหารเจ้าเสีย เจ้าคนชั่ว”

                “หากหม่อมฉันเป็นเพียงพลเมืองธรรมดา พระองค์ก็คงประหารหม่อมฉันโดยง่าย แต่หม่อมฉันเป็นเจ้าชาย เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ของพระองค์ มันจึงไม่ง่าย” อโลบัสบอก “ประหารหม่อมฉัน พระองค์จะไม่มีผู้สืบทอดบัลลังก์ ปล่อยให้หลานชายทั้งสองของพระองค์ แม็ค แรคแทนทิน และอาร์รอส ไอวิวรี่ ช่วงชิงกันเอง อาจนำไปสู่สงครามกลางเมืองที่ทำให้อาณาจักรนี้แตกเป็นเสี่ยงๆ อีกทั้งประชาชนย่อมข้องใจแน่ว่าพระองค์มีเหตุผลอันใดในการประหารรัชทายาทอันดับหนึ่งของตน ไม่ว่าพระองค์จะยกข้อหาใดมาใส่ร้าย มันก็ไม่มีทางแนบเนียน”

                “ที่ผ่านมาเราอาจห่างเหินกันจนแทบจะเหมือนคนไม่รู้จักกัน แต่ก็ไม่เคยเป็นอริกัน” พระราชากัดฟันพูด “ไม่นึกว่าเจ้าจะเลวทรามถึงเพียงนี้”

                “หม่อมฉันไม่ต้องการจะบาดหมางกับพระองค์ และไม่มีความต้องการจะทำแบบนี้แม้แต่น้อย” อโลบัสพูด “หากแต่จำเป็นต้องทำแบบนี้ เพื่อความมั่นคงของเผ่าพันธุ์ โปรดทำให้เรื่องมันง่ายเถิดพะยะค่ะ เพียงแค่อนุมัติภารกิจลับให้หม่อมฉัน มันไม่ได้ทำให้พระองค์เสียหายอะไร แล้วถ้าหากภารกิจมันส่งผลดีต่ออาณาจักรของเรา หม่อมฉันก็จะยกความดีความชอบว่าเป็นความคิดของพระองค์ ประชาชนจะสรรเสริญชื่นชมพระองค์ สมกับที่เป็นประมุขของพวกเขา”

                “ก็ได้ ข้าจะให้เอกสารอนุมัติไอ้ภารกิจลับนี่แก่เจ้า” พระราชาตะคอก

                “ขอบพระทัยพะยะค่ะ”

                “แต่ข้าจะส่งกองกำลังห้าลำเรือไปกับเจ้า รวมทั้งกัปตันเท็มเปิลด้วย”

                “นั่นดูจะเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นพะยะค่ะ”

                “กัปตันเท็มเปิลจะควบคุมดูแลความประพฤติและการกระทำของเจ้า ไม่ให้ทำอะไรเหลวไหล” พระราชาชี้หน้า

                “หากนั่นเป็นสิ่งที่พระองค์ต้องการ หม่อมฉันก็น้อมรับ” อโลบัสโค้งศีรษะ “แต่ในภารกิจนี้ หม่อมฉันรู้เรื่องเกี่ยวกับดาบแดนน้ำแข็งและการเดินทางมากที่สุด หม่อมฉันจะต้องเป็นผู้นำภารกิจโดยปริยาย”

                “แต่แน่นอนว่ากัปตันเท็มเปิลก็มีอำนาจถ่วงดุลเจ้าได้เหมือนกัน”

                “นั่นเป็นเรื่องที่หม่อมฉันยอมรับได้พะยะค่ะ”  

                “ทีนี้ไปให้พ้นหน้าพ้นตาข้าได้แล้ว” พระราชาไล่

                อโลบัสโค้งศีรษะแล้วเดินจากไป

                “ข้าจะบอกกัปตันเท็มเปิลว่า” พระราชาพูดไล่หลัง “หากเกิดเหตุผิดพลาด ภารกิจตกอยู่ในอันตราย ให้เขาและกองกำลังทั้งหมดสามารถตัดสินใจถอยกลับโมราโซมอสได้ แต่สำหรับเจ้า” พระองค์ชี้อโลบัส “ถ้าไม่ได้ดาบเล่มนั้น ก็อย่าเสนอหน้ามาให้ข้าเห็นอีก”

                อโลบัสหันกลับมาโค้งคำนับให้พระองค์พร้อมทั้งยิ้มให้ เป็นยิ้มที่ไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึกอย่างสิ้นเชิง น่าประหลาดใจว่ามนุษย์สักคนสามารถยิ้มอย่างนี้ได้ด้วย

                “โปรดวางใจฝ่าบาท ครั้งต่อไปที่เราพบกัน พระองค์จะได้เห็นดาบไอซ์แอคเซอร์ในมือของหม่อมฉันอย่างแน่นอน”

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา