พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.94K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

25) บทที่ 24 ผีและปีศาจ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 24

ผีและปีศาจ

 

                ในยามสาย แสงแดดส่องสว่างสะท้อนเกล็ดหิมะบนพื้น รองเท้าเหล็กของกองทัพเอลิลเดินย่ำตรงเข้าสู่เมืองฟรอสท์ไอรอนแคลด เมืองหน้าด่านอันแข็งแกร่งของอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล พวกเอลิลและพาหนะสามารถเดินบนผิวหิมะได้โดยไม่จมลงไป เพราะเป็นเผ่าพันธุ์แดนหนาว หิมะที่จับหนาอยู่บนพื้นจึงไม่ใช่อุปสรรค ทหารทุกคนสวมชุดเกราะหนาสีเงินเป็นประกายทั่วทั้งตัวแทบไม่มีช่องว่าง ม้าผีพาหนะของพวกทหารม้าก็สวมเกราะมิดชิดเช่นกัน ฐานยิงจรวด เกวียนบรรทุกจรวด กำแพงติดล้อ และอุปกรณ์สงครามอื่นๆ ถูกลำเลียงมาด้วย จังหวะการก้าวเท้าของพวกเอลิลนั้นพร้อมเพรียงกันโดยไม่ต้องใช้เสียงกลอง แต่ละหมวดแต่ละกองเว้นระยะห่างเท่ากันราวกับใช้ไม้บรรทัดวัด แม้แต่พวกฟาร์ดาราสที่บินอยู่บนฟ้าก็แปรขบวนกันอย่างมีระเบียบ พวกมันมีจำนวนมากทีเดียว แต่ก็ยังไม่มีสักตัวที่สวมเกราะ

                พวกดาร์คเนสดีวิลจัดขบวนเตรียมพร้อมอยู่บนกำแพงเมืองชั้นแรกและชั้นที่สอง แต่ละคนยืนนิ่งสนิท เว้นช่องห่างกันพอดีราวกับใช้ไม้บรรทัดวัดเช่นเดียวกับพวกเอลิล พวกดีวอเชอร์ถือโล่ยาวอยู่แถวหน้าสุด พวกดีเซ็นทรียืนอยู่แถวที่สอง อีกหลายแถวถัดไปก็เป็นนักรบทั้งสองชนิดนี้คละกันไป มีถังใส่ลูกศรสามง่ามวางอยู่แทบเท้าพวกดีเซ็นทรีเป็นระยะเพื่อจะได้มีลูกศรใช้เพียงพอแม้ว่าโล่สะพายหลังของทุกคนจะบรรจุลูกศรอยู่เต็มก็ตามโซลิแทร์ยืนอย่างสงบนิ่งอยู่แถวหน้าสุด มีเซซิลและกัปตันมาซูลยืนขนาบซ้ายขวา ตาจ้องมองกองทัพเอลิลเคลื่อนพลใกล้เข้ามาเรื่อยๆ  เซ็ทซาร์ดเดลิลวาสขับรถม้าศึกเทียมด้วยม้าผีสองตัวนำอยู่หน้ากองทัพ แตรสงครามแห่งไอซ์เมสคล้องอยู่ที่ฝักดาบข้างขวา

                แล้วเดลิลวาสก็ทำสัญญาณมือให้กองทัพหยุดเคลื่อนพล ทหารเอลิลทุกคนหยุดนิ่งทันที พวกฟาร์ดาราสร่อนลงจอดบนพื้น ตั้งแถวอย่างเป็นระเบียบ แล้วทั้งกองทัพก็นิ่งสนิทราวกับถูกสาปให้เป็นหิน บริเวณที่กองทัพเอลิลหยุดนั้นอยู่นอกขอบเขตของเกราะมนต์ดำเล็กน้อย และอยู่นอกระยะเครื่องยิงของพวกดาร์คเนสดีวิลอย่างพอดิบพอดี เห็นชัดเจนว่าเดลิลวาสรู้ระยะยิงที่ไกลที่สุดของเครื่องยิงศัตรู

                “เขามองผ่านเกราะมนต์ดำได้” กัปตันมาซูลว่า “แต่ทำได้อย่างไร”

                “เปลวไฟบนไหล่ซ้ายของเขา” เซซิลสังเกตท่าทางของเดลิลวาสที่หันไหล่ซ้ายมาข้างหน้า เพื่อจะได้มองผ่านเปลวไฟ “เขามองทะลุเกราะมนต์ดำได้โดยมองผ่านเปลวไฟบนไหล่ซ้าย”

                “งั้นก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเปิดเกราะมนต์ดำระหว่างสู้กับพวกเอลิลแล้ว” โซลิแทร์ย่อตัวลงกับพื้นกำแพง “ข้าจะปิดมัน”

                เขาวางมือที่สวมถุงมือเหล็กลงบนพื้นกำแพงชั้นแรก พึมพำภาษาดาร์เคนอันเยือกเย็นชวนชนลุกผ่านหน้ากาก อากาศบริเวณที่เป็นเกราะมนต์ดำกระเพื่อมเล็กน้อย แล้วกลับมาสงบนิ่ง กระมนต์ดำถูกปิดชั่วคราว เพื่อยามกระสุนเครื่องยิงพุ่งผ่านจะได้ไม่ต้องเห็นภาพอากาศกระเพื่อม คำนวณจุดตกของกระสุนได้ง่ายขึ้น

          เดลิลวาสขับรถม้าเข้าไปหยุดอยู่ตรงกลางระหว่างกองทัพเอลิลกับกำแพงเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลด ฝ่ามือเหล็กยกกางขึ้น หันไปหาพวกดาร์คเนสดีวิล มันคือสัญลักษณ์กระดาษ สัญลักษณ์ขอเจรจา

          เซซิลหันมามองโซลิแทร์ที่กำลังลุกขึ้นยืน โซลิแทร์จ้องมองเดลิลวาสอย่างสงบนิ่ง ยากที่จะเดาได้ว่าคิดอะไรอยู่เพราะใบหน้ามีหน้ากากเหล็กปกปิดมิดชิด เขายืนจ้องอีกฝ่ายอยู่นานทีเดียว เดลิลวาสก็ดูไม่รีบไม่ร้อน ยังคงยกมือค้างไว้อย่างนั้น รอว่าโซลิแทร์จะตอบรับอย่างไร

          แล้วโซลิแทร์ก็ยกฝ่ามือ แสดงสัญลักษณ์กระดาษตอบกลับ เป็นอันตอบรับเจรจา

          เอเลนเซฟเวอรี่สีดำพาหนะของเขา บินข้ามหัวเขาไป แล้วลดระดับลงต่ำข้างหน้ากำแพง โซลิแทร์จับขอบกำแพงเชิงเทิน ยันตัวกระโดดข้ามกำแพงเชิงเทินลงไป ตกลงไปนั่งบนอานที่หลังพาหนะพอดิบพอดี กัปตันมาซูลและเซซิลชินกับการขึ้นพาหนะเสี่ยงๆ แบบนี้ของผู้นำสูงสุดตน จนถือเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว

          โซลิแทร์ขี่พาหนะบินไปลงจอดข้างหน้าเดลิลวาส เซ็ทซาร์ดแสยะยิ้มเล็กน้อยแล้วก้าวลงจากรถม้า โซลิแทร์ก็ลงจากหลังเอเลนเซฟเวอรี่สีดำเช่นกัน ทั้งคู่ก้าวเข้ามาเผชิญหน้ากัน ยืนดูเชิงกันนานเกือบนาที

          “แบล็กไรดิงฮู้ด” เดลิลวาสเอ่ยขึ้น น้ำเสียงฟังดูเยาะเย้ย “นั่นคือฉายาที่ทุกคนเรียกเจ้าอย่างนั้นหรือ”

          “ข้าไม่ใช่คนตั้ง” โซลิแทร์พูดเสียงเย็น

          “พวกมนุษย์ทั้งอาณาจักรต่างหวาดกลัวยำเกรงเจ้า บ้างก็ว่าเจ้าคือปีศาจที่น่ากลัวที่สุดที่มวลมนุษย์พบเจอมา ความลึกลับของเจ้าทำให้ไม่มีใครรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเจ้าคือใคร ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ” เดลิลวาสพูด “แต่เราเซ็ทซาร์ดรู้ว่าเจ้าเป็นใคร ใต้หมวกฮู้ดอันลึกลับ ใต้หน้ากากอันน่าเกรงขาม เจ้าก็เป็นแค่ปีศาจธรรมดาคนหนึ่งที่ชื่อโซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม ผู้ซึ่งเข้าใจว่าตัวเองเก่งไร้เทียมทานที่เอาชนะพวกมนุษย์มาได้ตลอด รู้เท่าไม่ถึงการณ์ยิ่งนัก เจ้ายังไม่รู้หรอกว่า การสู้กับคนที่เก่งจริงๆ มันเป็นอย่างไร”

          “ตลอดชีวิตของข้า ข้าไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่งไร้เทียมทาน ข้าไม่เคยลำพองใจ และไม่เคยดูถูกศัตรู อย่างที่เจ้ากำลังทำอยู่ ข้าไม่เคยลืมว่าข้ายังคงเป็นแค่ปีศาจธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่านั้น แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ข้าละทิ้งความมุ่งมั่นและความพยายามแม้แต่น้อย ข้าอาจไม่ใช่คนเก่ง แต่ข้าก็ไม่เคยท้อถอยเมื่อต้องสู้กับคนเก่ง” โซลิแทร์ตอบกลับ “แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าจะรู้ว่าข้าคือใคร เพราะเมื่อหลายสิบปีก่อน เจ้าก็เป็นหนึ่งในคนที่ไล่ล่าข้าและแม่ของข้า ไล่ล่าผู้หญิงและเด็กทารก นั่นคือสิ่งที่เซ็ทซาร์ด กลุ่มนักรบที่เก่งที่สุดของเฟลมฟอร์สทำ”

          “สิ่งที่เราไล่ตามนั้น ไม่ใช่ทั้งเจ้าและแม่ของเจ้า พวกเจ้าแค่อยู่ผิดที่ผิดเวลา” เดลิลวาสพูด “เราบอกให้เธอหยุดและมอบสิ่งที่เราต้องการมา เพื่อเราจะได้ไม่ต้องทำอันตรายเธอหรือเด็กทารกของเธอ แต่นางฟอเรสเทอร์หน้าโง่นั่นก็ขี่ม้าหนีไม่ยอมหยุด จนเธอหนีเข้าเขตโฟรเซ็นทิเนล ฟอลมิไนท์หัวหน้าของเราจำต้องใช้ลูกดอกพิษสกัดเธอไว้ก่อนที่พวกดาร์คเนสดีวิลจะโผล่มาขัดขวางการไล่ล่าของเรา แต่นั่นก็ยังช้าไป พวกนั้นยกกองกำลังโผล่มาขัดขวางจริงๆ เราจึงต้องถอยกลับไป นอกจากทำภารกิจไม่สำเร็จแล้ว เราก็ยังถูกตราหน้าว่าทำร้ายผู้หญิงและเด็กไม่มีทางสู้ นั่นคือสิ่งที่เราต้องแบกรับเพราะความโง่เง่าของแม่เจ้า แต่เอาเถิด เราชินแล้วกับการถูกครหาว่าเป็นพวกโหดเหี้ยมและทำงานสกปรก กว่าครึ่งดาวดวงนี้ก็มีแต่คนโหดเหี้ยมและทำงานสกปรกทั้งนั้น แต่มีเพียงพวกเราเท่านั้นที่ยืดอกยอมรับว่าทำ ขณะที่คนอื่นๆ เอาแต่สร้างภาพสร้างหน้ากากปกปิดอีกด้านที่ดำมืดของตน เราเซ็ทซาร์ดกล้าทำกล้ารับ เราไม่เคยสนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเรา เพราะสิ่งที่พวกเราทำ พวกเราทำเพื่อความมั่นคงของเผ่าพันธุ์เฟลมฟอร์ส”

          “สิ่งที่เจ้ากับพี่น้องของเจ้าทำ คือทำให้ข้าตกอยู่ในสภาพนี้” โซลิแทร์พูดเสียงเย็นอย่างกราดเกรี้ยว

          “ใช่แล้ว เจ้ากลายเป็นตัวประหลาด มีผมไม่เหมือนปีศาจทั่วไป มีมือเหมือนไม่ใช่มือ ตาเรืองแสงในที่มืดเหมือนสัตว์ใต้ทะเลลึกบางชนิด ยามร้องไห้ก็มีน้ำตาเป็นเลือด ติดนิสัยสวมฮู้ด สวมหน้ากาก แต่งตัวมิดชิด เพราะพยายามปกปิดความแปลกแยกของตนมาตลอด เติบโตมาด้วยชีวิตที่ยากลำบากเพราะไม่มีใครเลี้ยงดู นั่นคือสิ่งที่เจ้าโอดคราญเหมือนเด็กๆ” เดลิลวาสพูดอย่างเบื่อหน่าย “เจ้าคงลืมไปว่า มันทำให้เจ้าได้อำนาจพิเศษ ปลดปล่อยเมฆฝนออกมาควบคุมได้ และคงลืมไปอีกว่า อำนาจพิเศษที่ว่านี้ ถึงกับทำให้เผ่าพันธุ์ของข้าเสื่อมอำนาจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต่อสู้ฝ่าฟันมาด้วยความยากลำบากเป็นอันพังทลาย เพราะสายฟ้าเล็กๆ เส้นเดียว ข้าและพี่น้องเซ็ทซาร์ดที่เหลือต้องหนีหัวซุกหัวซุน และใช้เวลาตลอดหลายต่อหลายปีมานี้ในการพยายามฟื้นฟูเผ่าพันธุ์คืนมาเท่าที่เราจะทำได้ เจ้าไม่มีวันรู้หรอกว่า การทำงานแบบนี้โดยมีกันแค่ไม่กี่คน มันยากลำบากแค่ไหน ฉะนั้น อย่ามาโอดครวญว่าเจ้าต้องเสียอะไรไปบ้าง”

          “ที่พวกเจ้าเสื่อมอำนาจ ก็เพราะพวกเจ้าพยายามจะกำจัดเรา” โซลิแทร์เสียงเย็นขึ้น “เราดาร์คเนสดีวิลต่อสู้เพียงแค่พยายามจะอยู่รอดจากพวกเจ้า”

          “เราพยายามกำจัดพวกเจ้าและเผ่าพันธุ์อื่นๆ ก็เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์เราเช่นกัน มังกรกำลังจะสูญพันธุ์ก็เพราะพวกไซคัสสร้างเผ่าพันธุ์อย่างพวกเจ้าขึ้นมา” เดลิลวาสคำราม “เหมือนที่เราไล่ตามเจ้าและแม่ของเจ้าก็เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มังกรเช่นกัน จะว่าเราเซ็ทซาร์ดโหดเหี้ยมไร้ศักดิ์ศรีหรืออะไรก็ตามใจ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำไป ก็เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ตน เหมือนที่เจ้าทำเพื่อเผ่าพันธุ์ของเจ้า”

          ใครผิดใครถูกเรื่องสงคราม ใครรุกรานใครก่อน ใครสมควรถูกกำจัด เถียงกันเป็นปีก็คงไม่จบ เพราะทุกเผ่าพันธุ์ก็ทำเพื่อความอยู่รอดทั้งสิ้น สิ่งดี สิ่งเลว สิ่งผิด สิ่งถูก ล้วนแตกต่างกันออกไปตามมุมมองของแต่ละคน เพราะมันคือสิ่งที่สมมุติขึ้นมาทั้งนั้น เป็นสิ่งไร้ตัวตนยิ่งกว่านิทานหลอกเด็กเสียอีก

          “เจ้าต้องการเจรจาอะไร” โซลิแทร์เข้าเรื่อง

          “เสนอให้พวกเจ้ายกธงขาวยอมแพ้” เดลิลวาสตอบ “ชัยชนะที่ดีที่สุด คือชนะโดยไม่ต้องรบ”

          “มันก็ต้องดีที่สุดอยู่แล้ว ชนะโดยที่ไม่ต้องสูญเสียอะไรเลย แม้แต่ธนูสักดอก ขณะที่ฝ่ายแพ้ก็ได้แต่ยอมจำนน และสูญเสียเกือบทุกอย่าง” โซลิแทร์พูดเสียงเย็น “เจ้าก็รู้อยู่แล้วว่าข้อเสนอนี้จะถูกปฏิเสธ”

          “แน่นอน ข้ารู้” เดลิลวาสแสยะยิ้ม “ก็แค่เสนอขึ้นมาพอเป็นพิธี มันก็ไม่ได้เสียเวลามาก”

          “งั้นจริงๆ แล้ว เจ้าต้องการจะเจรจาอะไรกันแน่”

          “ในฐานะที่ข้าเป็นเผ่าพันธุ์นักรบ ข้าต้องแจ้งให้เจ้าทราบว่า ศึกครั้งนี้ ข้าได้รับคำสั่งเคร่งครัดจากฟอลมิไนท์หัวหน้าของข้า ไม่ให้ข้าอยู่แนวหน้าตอนเข้าปะทะ และไม่ให้ร่วมบุกขึ้นไปโจมตีกำแพง พวกเราเซ็ทซาร์ดกำลังมีงานล้นมือ และเราก็มีคนไม่เพียงพอ จึงต้องลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับข้า” เดลิลวาสพูด “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้ายินดีนัก ปกติแล้วเราต้องเป็นผู้นำหน้ากองทัพบุกเข้าหาข้าศึก แต่ในเมื่อข้าเป็นเฟลมฟอร์ส เป็นเผ่าพันธุ์ทหาร ข้าจะต้องมีวินัย ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ฉะนั้น ข้าต้องการให้เจ้าทราบถึงความจำเป็นของข้า และเข้าใจว่าข้าไม่ได้ขี้ขลาด”

          “สิ่งที่ข้าเข้าใจ คือผู้บัญชาการที่หลบอยู่หลังทหาร มักจะพยายามหาข้ออ้างว่าตนไม่ใช่คนขี้ขลาด” โซลิแทร์พูดเสียงเย็น

          “นึกแล้วว่าเจ้าต้องพูดอย่างนี้” เดลิลวาสยิ้มเยาะ “ฉะนั้น เพื่อไขข้อข้องใจ เรามาสู้กันตัวต่อตัว” เซ็ทซาร์ดชูกำปั้นเฉียงขึ้น หันไปทางโซลิแทร์ “ถ้าข้าแพ้ กองทัพเอลิลจะถอนกำลังกลับไป ถ้าเจ้าแพ้ ดาร์คเนสดีวิลจะต้องลงนามยอมแพ้แก่เรา ตัดสินกันอย่างนี้เลยดีไหม ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อกันมากมาย จะมีคนตายแค่คนเดียวเท่านั้นในศึกนี้”

          โซลิแทร์นิ่งเงียบ ครั้งสุดท้ายที่สู้กันไป เดลิลวาสชนะเขา ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน เซ็ทซาร์ดคนนี้ฝีมือเหนือกว่าเขามาก ถ้าเขายกกำปั้นรับคำท้า คงได้เสียเมืองแน่

          “ดูเหมือนว่าคนขี้ขลาด คงไม่ใช่ข้าเสียแล้ว” เดลิลวาสลดกำปั้นลง ท่าทางดูถูก “งั้นศึกก็จะดำเนินต่อไป เราไม่ต้องมาเสียเวลาพูดกันอีกแล้ว”

          “ข้าอาจสู้เจ้าไม่ได้ แต่เจ้ากับกองทัพของเจ้าก็จะพิชิตเราไม่ได้เช่นกัน” โซลิแทร์พูดเสียงเย็น

          “ครั้งนี้อาจพิชิตไม่ได้ แต่หากเราโจมตีอย่างนี้ไปอีกหลายๆ ครั้ง” เดลิลวาสมั่นใจ “ไม่นานเกินรอ พวกเจ้าถูกพิชิตแน่ อย่างที่เคยเป็นในอดีต”

          “ปีศาจเราไม่อ่อนแอเหมือนในอดีตอีกแล้ว” โซลิแทร์พูดเสียงเย็นแต่หนักแน่น

          “กองทัพที่โจมตีปีศาจก็มีแสนยานุภาพกว่าในอดีตเช่นกัน” เดลิลวาสคำราม “อย่างที่ข้าเคยพูดไป หากพวกเจ้าคิดว่าตนเก่งที่ต่อต้านพวกมนุษย์ได้ พวกเจ้าคิดผิด เมื่อพวกเจ้าได้ต่อสู้กับฝ่ายที่เก่งจริงๆ พวกเจ้าจะตระหนักว่า ตนไม่ได้เก่งอะไรเลย”

          โซลิแทร์หันหลัง เดินตรงกลับไปยังพาหนะ ซ่อนความเจ็บแค้นไว้ในใจ เดลิลวาสยังคงพูดไล่หลังด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยถากถาง

          “พวกโฮเซ่คงเข็ดหลาบที่จะร่วมงานกับพวกเจ้าอีกต่อไป สุดท้ายดาร์คเนสดีวิลก็กลับมาอยู่กับสิ่งที่คุ้นเคยมาตลอด ความโดดเดี่ยว ต่อสู้โดยโดดเดี่ยว ถูกทิ้งให้ตายอย่างโดดเดี่ยว จะว่าไปโซลิแทร์ ก็เป็นชื่อที่เหมาะสมกับเผ่าพันธุ์เจ้านะ”

          โซลิแทร์ขึ้นพาหนะ บินกลับไปยังกำแพง เดลิลวาสถอยไปขึ้นรถม้า ขับกลับไปหากองทัพ เมื่อเอเลนเซฟเวอรี่สีดำบินอยู่เหนือกำแพงชั้นแรก โซลิแทร์ก็กระโดดลงจากหลังมัน กลับไปยืนอยู่ตำแหน่งเดิม

          “จุดประสงค์ที่เซ็ทซาร์ดเรียกท่านไปเจรจา เพราะต้องการประเมินท่าน ว่าสามารถจัดการกับการยั่วยุและความกดดันได้มากเพียงใด” เซซิลบอก “ซึ่งท่านทำได้ดี ท่านลอร์ด”

          “หวังว่าข้าจะทำได้ดีกว่าในการต่อสู้” โซลิแทร์ยิงพลุสีเหลืองขึ้นฟ้า เป็นสัญญาณให้เตรียมพร้อมรับมือการบุกของข้าศึก พวกดีเซ็นทรีเลื่อนกระบังหมวกเกราะหน้าปีศาจแยกเขี้ยวลงมาปิดหน้า พวกดีวอเชอร์คาดผ้าเหล็กลายปากปีศาจแยกเขี้ยวปิดปาก

          เดลิลวาสเป่าแตรสงครามแห่งไอซ์เมส ไอน้ำแข็งสีขาวพวยพุ่งออกจากปากแตร ก่อตัวเป็นกลุ่มควันสีขาวเล็กๆ บนท้องฟ้า และเปลี่ยนสภาพเป็นหิมะบางๆ โปรยลงมา รอบตัวเขาและรถม้าของเขามีเกล็ดหิมะพัดหมุนรอบตัวเป็นวงกลม กองทัพเอลิลที่ยืนนิ่งอยู่นานเริ่มเคลื่อนทัพ ทหารม้าอยู่กองหลัง ทหารราบอยู่กองหน้า กำแพงติดล้อจำนวนมากถูกเลื่อนมาไว้แนวหน้า เตรียมพร้อมกำบังอะไรก็ตามที่จะยิงเข้ามา

          “ข้าศึกเข้ามาในระยะเครื่องยิงระดับแรก” กัปตันมาซูลรายงานผ่านกระบังหมวกเกราะสุนัขจิ้งจอกปีศาจแยกเขี้ยว

          “เครื่องยิงบนกำแพง” โซลิแทร์ชักดาบออกมา “เปิดฉากสงคราม”

          เครื่องยิงค้างคาวปีศาจทุกเครื่องบนกำแพงดีดกระสุนระเบิดเพลิงลอยโค้งเข้าไประเบิดใส่แนวหน้ากองทัพเอลิล กำแพงติดล้อบางตัวพังแหลกเป็นชิ้นๆ มันมีไว้ใช้ป้องกันลูกธนู กระสุน หรืออาวุธที่เบากว่านี้ แต่พวกเอลิลก็ยังเคลื่อนพลต่อไปอย่างเป็นจังหวะ ไม่แตกขบวน ไม่ชะงัก ไม่ชะลอ เผ่าพันธุ์ผีเป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่มีความรู้สึกและมีสมาธิค่อนข้างสูง เรื่องการจัดขบวนการรักษารูปแถวนั้นไม่เป็นสองรองใคร

          “ระดมยิงต่อเนื่อง” โซลิแทร์สั่งด้วยเสียงปกติ ไม่มีการตะโกนเช่นเคย แต่ได้ยินกันทั้งกองทัพด้วยอำนาจภาษาดาร์เคน

          ครั้งนี้ เครื่องยิงบนกำแพงเริ่มยิงสลับจังหวะกันเพื่อทำการโจมตีแบบต่อเนื่อง พวกเอลิลเคลื่อนพลเร็วขึ้นเล็กน้อย กระนั้นทหารเอลิลทุกคนก็ยังเรียงแถวเป็นระเบียบทุกกระเบียดนิ้วและก้าวเท้าเป็นจังหวะพร้อมๆ กันราวกับเป็นคนเดียวกัน แม้ว่าจะถูกระเบิดเพลิงโจมตีจนขบวนแถวเว้าแหว่ง พวกที่อยู่ด้านหลังก็ยังคอยขึ้นมาเติมส่วนที่เว้าแหว่งอยู่เรื่อยๆ ใช้กลยุทธ์เดียวกับการจัดทัพบนกำแพงของพวกดาร์คเนสดีวิล

          “ข้าศึกเข้ามาในระยะเครื่องยิงระดับสอง” เซซิลรายงานผ่าผ้าเหล็กปิดปาก

          “ระดมยิงแบบปูพรม” โซลิแทร์ชูดาบตะแคงทำสัญญาณ

          แนวเครื่องยิงบนกำแพงถูกแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่อยู่ทางซ้ายหันหน้าไปทางขวาสี่สิบห้าองศา ส่วนที่อยู่ทางขวาหันหน้าไปทางซ้ายสี่สิบห้าองศา และเมื่อเครื่องยิงทั้งหมดเริ่มยิง ทิศทางการยิงก็พุ่งตัดกันไปมาเป็นรูปตาข่าย มันทำให้ระยะยิงสั้นลง แต่ก็สร้างความเสียหายภายในพื้นที่ได้ทั่วถึงขึ้น กองทัพเอลิลที่แต่ละหน่วยกองจะจัดขบวนเป็นสี่เหลี่ยมแน่นหนาจึงได้รับความเสียหายล้มตายกันไปมาก อย่างไรก็ตาม พวกเอลิลก็ยังเดินหน้าเข้ามาเรื่อยๆ รักษาขบวนแถวไว้ได้ตลอด กำแพงติดล้อเลื่อนแต่ละแผ่นนั้นกระจายกันออกไป เพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเป้าของเครื่องยิงในจุดเดียว

          เมื่อพวกเอลิลเข้ามาจนถึงระยะที่เหมาะสม ฐานปล่อยจรวดจำนวนมากก็ถูกเข็นออกมาจากด้านหลังกำแพงติดล้อ นำมาตั้งแถวเรียงกันเล็งไปยังยอดกำแพง ชนวนจรวดแต่ละลำบนฐานยิงถูกจุดขึ้น

          “เราสั่งให้แถวถอยหลังหลบมันเหมือนกระสุนปืนใหญ่ของพวกมนุษย์ไม่ได้ หลบอย่างนั้นหลบไม่พ้น” เซซิลพูด “กระสุนของพวกมนุษย์เป็นแค่ลูกโลหะ แต่จรวดของพวกเอลิลมันระเบิดได้ และรัศมีของมันไม่แคบแน่”

          “แนวหน้าหาที่กำบัง แนวหลังถอยหลังสามก้าว” โซลิแทร์สั่ง

          จรวดจำนวนมากพุ่งเข้าระเบิดใส่ยอดกำแพง ทำเอานักรบดาร์คเนสดีวิลแนวหน้าหลายกลุ่มหลายคนกระจัดกระจายตายกันไป แม้จะมีกำแพงเชิงเทินอันแข็งแกร่งช่วยขวาง แต่มันก็ป้องกันรัศมีระเบิดไม่ได้ทั้งหมด โซลิแทร์ เซซิล และกัปตันมาซูลย่อตัวลงข้างหลังกำแพงเชิงเทิน รู้สึกถึงความร้อนจากเปลวไฟและกลิ่นไหม้อยู่เหนือหัวเมื่อจรวดเข้าปะทะกำแพงเชิงเทินข้างหน้าพวกตน กำแพงแข็งแกร่งมาก ไม่ได้รับความเสียหายอะไร แต่คนที่อยู่บนกำแพงก็ตายกันไปไม่น้อย จรวดของพวกเอลิลยิงได้แม่นยำกว่าปืนใหญ่ของพวกมนุษย์ มันยิงขึ้นมุมสูงตลอด ไม่มีต่ำกว่ากำแพงเชิงเทินเลย

          “ระดมยิงตอบโต้กลับไป” โซลิแทร์ลุกขึ้นยืน ชี้ดาบไปข้างหน้า “เราอยู่ที่สูงกว่า เรามีที่กำบัง เราได้เปรียบในสถานการณ์นี้”

          เครื่องยิงค้างคาวปีศาจบนกำแพง ระดมยิงระเบิดเพลิงต่อสู้กับจรวดของพวกเอลิล พวกนักรบที่ประจำอยู่ตามเครื่องยิงแต่ละเครื่องต่างทำงานกันเป็นจังหวะอย่างลงตัว ทั้งง้างสปริง บรรจุกระสุน และดึงคันโยกยิง เสียงระเบิดจากทั้งสองฝ่ายดังกึกก้องทั่วพื้นที่สงคราม จรวดและลูกระเบิดเพลิงพุ่งสวนกันไปมา พวกทหารนักรบก็กระเด็นกระดอนกระจัดกระจายตายกันทั้งสองฝ่าย การจัดขบวนรูปแถวของทั้งสองฝ่ายยังคงเหมือนกันตรงที่เมื่อแถวแนวหน้าเกิดการเว้าแหว่ง พวกที่อยู่แนวหลังก็จะขึ้นมาเติมช่องว่างเรื่อยๆ  พวกดาร์คเนสดีวิลยังได้เปรียบเพราะอยู่สูงกว่าและมีกำแพงกำบัง เครื่องยิงบนกำแพงแต่ละเครื่องก็มีแฉกกำแพงกั้นอยู่ข้างหน้า มันจึงไม่ได้รับความเสียหาย มีเพียงนักรบประจำเครื่องยิงที่ถูกรัศมีระเบิดตายไปบางคน ขณะที่การยิงของพวกเอลิลเกิดการติดขัดมากกว่า จรวดบางลำที่ยังไม่ได้จุดชนวนถูกระเบิดเพลิงตกลงไประเบิดใส่ ผลที่ได้คือ เกิดการระเบิดและการกระจายไฟที่รุนแรงมากขึ้นเป็นเท่าตัว เอาชีวิตทหารเอลิลในรัศมีไปมากมาย มีบางจุดที่เสียหายกว่านั้น คือลูกระเบิดเพลิงตกลงไประเบิดใส่เกวียนที่บรรทุกจรวดอยู่เต็มคัน ทำเอากองกำลังเอลิลหายไปเป็นวงกว้างทีเดียว การที่กองทัพเอลิลเคลื่อนพลเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เครื่องยิงค้างคาวปีศาจยิงไปได้ถึงแนวหลัง กองกำลังเอลิลที่อยู่แนวหลังจึงถูกระเบิดถูกเผาตายไปหลายกลุ่มเช่นกัน มีระเบิดเพลิงลูกหนึ่งลอยโค้งพุ่งตรงเข้าหาเดลิลวาส เซ็ทซาร์ดโยนลูกไฟไประเบิดสกัดมันได้กลางอากาศ ของเหลวในลูกระเบิดติดไฟสีเขียวกระจายออกมาเหมือนพลุ และตกลงมาบนพื้นหิมะเป็นจุดแคบๆ ไม่ถูกตัวเขาหรือทหารเอลิลคนใดเลย

          แม้สถานการณ์ตอนนี้ พวกเอลิลจะเสียเปรียบเรื่องการยิงอาวุธหนัก แต่มันก็ช่วยรบกวนการยิงสกัดของพวกดาร์คเนสดีวิลได้ในระดับหนึ่ง ทัพหน้าเคลื่อนพลเข้ามาจนอยู่ในระยะที่เครื่องยิงค้างคาวปีศาจไม่สามารถยิงได้เพราะใกล้เกินไป

          “อีกไม่นาน จะเป็นการต่อสู้ด้วยอาวุธเบาระยะไกล” โซลิแทร์ว่า “ขอพื้นที่ให้ข้าด้วย”

          ทุกคนขยับออกให้โซลิแทร์พอมีพื้นที่กางแขน โซลิแทร์เก็บดาบลงฝัก กางแขนออก หงายฝ่ามือขึ้น ปล่อยไอโปร่งใสขึ้นไปก่อตัวเป็นเมฆฝนบนฟ้า แว่วเสียงฟ้าคำรามและสายฟ้าแลบ แล้วฝนก็เริ่มเทลงมา ขอบเขตของฝนสิ้นสุดที่กำแพงพอดี ราวกับเมฆหลั่งน้ำฝนแบบเว้าๆ แหว่งๆ  มันตกใส่ในพื้นที่ของกองทัพเอลิล ไม่ตกในพื้นที่ของกองทัพดาร์คเนสดีวิล น้ำฝนเริ่มจับแข็งเมื่อตกลงมาถูกตัวพวกเอลิล แต่พวกเอลิลก็ไม่เดือดร้อนในเรื่องนี้ เพราะเป็นเผ่าพันธุ์ไร้ความรู้สึก อาจเคลื่อนพลได้ช้าลงเล็กน้อยเพราะพื้นที่เดินอยู่นั้นลื่นขึ้น ส่วนเรื่องปืนยาวนั้น พวกเอลิลเตรียมพร้อมมาระดับหนึ่ง พวกเขาพันผ้าที่ช่องรังเพลิงเพื่อไม่ให้น้ำเข้า ฉะนั้นมั่นใจได้ว่า กระสุนนัดแรกจะไม่มีด้าน

          “ข้าศึกจะเข้ามาถึงระยะหน้าไม้” กัปตันมาซูลรายงาน “อีกสิบห้าวินาทีโดยประมาณ”

          “หน้าไม้เตรียมพร้อม” โซลิแทร์ชักดาบออกมาอีกครั้ง “ขยับขึ้นแถวหน้าสุด”

          พวกดีเซ็นทรีขยับขึ้นไปอยู่แถวหน้าสุดบนกำแพง มีกัปตันมาซูลรวมอยู่ด้วย ทุกคนขึ้นสายหน้าไม้กลไก เล็งไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียง โซลิแทร์กับเซซิลยังคงยืนอยู่แถวหน้าสุดไม่ถอยไปไหน เหล่าผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลจะต้องอยู่แถวหน้าสุดของของทัพ คอยจับตามองเหตุการณ์ในสงครามอย่างใกล้ชิด

          “รอฟังคำสั่งจากข้า” กัปตันมาซูลสั่ง ตามองผ่านศูนย์เล็งหน้าไม้

          กำแพงติดล้อของพวกเอลิลเริ่มถูกดันเข้ามาใกล้กันเมื่อปลอดภัยจากเครื่องยิงแล้ว พวกทหารเอลิลแนวหน้าเริ่มเตรียมปืนยาวรูปฟาร์ดาราส แม้ว่าปืนของพวกเอลิลจะยิงได้ไกลกว่าหน้าไม้ของพวกดาร์คเนสดีวิล แต่ด้วยตำแหน่งยืนของพวกดาร์คเนสดีวิลที่อยู่สูงกว่ามาก ทำให้ระยะยิงของพวกเอลิลสั้นกว่า

          “ข้าศึกเข้ามาในระยะยิง” กัปตันมาซูลเหนี่ยวไกหน้าไม้ “ยิง”

          หน้าไม้กลไกติดสปริงของพวกดาร์คเนสดีวิล ส่งฝูงลูกศรสามง่ามสีดำตรงเข้าใส่พวกทหารเอลิลแนวหน้า กำแพงติดล้อช่วยกำบังให้ทหารเอลิลส่วนหนึ่งได้ ส่วนพวกที่ไม่มีกำแพงติดล้อกำบังก็รับลูกศรเข้าไปตายสนิท อาจมีบางคนยกโล่กำบังไว้ได้ พวกเอลิลเริ่มขยับกำแพงติดล้อแต่ละแผ่นมาเรียงชิดกันเป็นแถวหน้ากระดานยาว มีพวกพลปืนเอลิลเดินย่อตัวตามมาข้างหลัง อาศัยแนวกำแพงติดล้อเป็นเครื่องกำบังให้พวกตนเข้าใกล้กำแพง

          เมื่อถึงระยะเหมาะสม พวกพลปืนยาวเอลิลก็แกะผ้ากันน้ำออกจากช่องรังเพลิงปืน เปิดช่องที่กำแพงติดล้อเหมือนเปิดหน้าต่าง แล้วเล็งปืนผ่านช่องยิงตอบโต้ทันที ดีเซ็นทรีหลายคนถูกยิงตาย บางคนกระเด็นถอยหลังไปไกลด้วยแรงปืน บางคนตายตกกำแพง ขณะเดียวกัน ลูกศรสามง่ามบางดอกก็พุ่งผ่านช่องกำแพงติดล้อไปสังหารพลปืนเอลิลได้เช่นกัน

          “ดีวอเชอร์ขยับขึ้นมาแถวแรก ดีเซ็นทรีถอยลงแถวสอง” โซลิแทร์สั่งการ ยกสนับแขนกำบังกระสุนนัดหนึ่งที่พุ่งมาทางตน “จัดแถวสำหรับยิงต่อสู้”

          เซซิลและพวกดีวอเชอร์ขยับขึ้นมาอยู่แถวหน้าสุด ยกโล่ยาวกำบังเรียงต่อกันเป็นกำแพงโล่แน่นหนา กัปตันมาซูลและพวกดีเซ็นทรีถอยไปอยู่แถวที่สอง เล็งหน้าไม้พาดบ่าพวกดีวอเชอร์ กระสุนที่พวกเอลิลยิงมาถูกสกัดกำบังด้วยโล่ของพวกดีวอเชอร์

          “โจมตี” เซซิลตะโกนสั่ง

          เขาและพวกดีวอเชอร์แถวแรกหันโล่สี่สิบห้าองศาเปิดเป็นช่อง แล้วมืออีกข้างก็ปล่อยวงแหวนร้อนจัดเข้าจู่โจมพวกเอลิลเบื้องล่าง พร้อมกันนั้นกัปตันมาซูลและพวกดีเซ็นทรีก็เหนี่ยวไกหน้าไม้ที่เล็งพาดบ่าพวกดีวอเชอร์ผ่านช่องโล่ออกไป ฝูงวงแหวนและฝูงลูกศรกระหน่ำเข้าใส่พวกเอลิลเบื้องล่างล้มตายเป็นเบือ พวกพลปืนที่อยู่หลังแนวกำแพงติดล้อก็ถูกยิงผ่านช่องที่ตนใช้เล็งปืน

          “กำบัง” เซซิลตะโกนสั่ง

          เขาและพวกดีวอเชอร์แถวแรกขยับโล่มาปิดกำบังมิดชิดเหมือนเดิม ตรงกับจังหวะที่พวกเอลิลยิงตอบโต้พอดี กระสุนจากฝ่ายตรงข้ามจึงถูกกำบังไว้ได้หมด ในจังหวะเดียวกันนั้น กัปตันมาซูลและพวกดีเซ็นทรีแถวสองก็รีบขึ้นสายหน้าไม้ บรรจุลูกศรดอกใหม่

          กลศึกนี้เคยใช้ได้ดีกับพวกมนุษย์ และตอนนี้ก็ใช้ได้ดีกับพวกเอลิล เซซิลคอยกำหนดจังหวะการเปิดโล่โจมตีและปิดโล่ป้องกันได้อย่างดีเยี่ยม ในการระดมยิงใส่กันหนักหน่วงเช่นนี้ อาจมีนักรบดาร์คเนสดีวิลบางคนถูกยิงตายทำให้แถวเว้าแหว่ง พวกแถวหลังๆ ก็จะขึ้นมาแทนที่ได้ทันท่วงทีเสมอ พวกเอลิลที่ยิงต่อสู้อยู่เบื้องล่างก็เช่นกัน เมื่อพวกแนวหน้าถูกยิงตาย พวกแนวหลังก็จะขึ้นมาเติมเรื่อยๆ ในตอนนี้พวกดาร์คเนสดีวิลอยู่ตำแหน่งสูงกว่า มีกำแพงเชิงเทินเป็นเครื่องกำบัง ประสานด้วยแถวโล่ยาวของพวกดีวอเชอร์ ถือว่าสถานการณ์ยังได้เปรียบอยู่มาก อีกทั้งสายฝนที่โปรยปรายลงมาก็เป็นอุปสรรคต่อการเล็งของพวกเอลิล และเมื่อพวกเอลิลแกะผ้ากันน้ำออกจากช่องรังเพลิงเพื่อใช้งานปืนแล้ว ปืนยาวบางกระบอกจึงเริ่มยิงไม่ออก เพราะน้ำฝนไหลเข้าไปจับแข็งในช่องรังเพลิง

          ขบวนแถวดาร์คเนสดีวิลบนกำแพงบางจุด ต้องกระเด็นกระดอนกระจัดกระจาย เมื่อจรวดพุ่งเข้ามาระเบิดใส่ ตอนนี้บรรดาฐานยิงจรวดของพวกเอลิลถูกนำเข้ามาใกล้มากขึ้นแล้ว พวกเอลิลจึงทำการสลายแถวศัตรูโดยใช้อาวุธหนัก โล่ของพวกดีวอเชอร์อาจกำบังกระสุนปืนยาวได้ แต่มันป้องกันระเบิดไม่ได้แน่ เมื่อแถวโล่เกิดการเว้าแหว่ง พวกพลปืนเอลิลก็สามารถยิงสังหารพวกดาร์คเนสดีวิลได้ง่ายขึ้น

          “ทัพข้าศึกเคลื่อนพลเข้ามาใกล้กำแพงในระดับที่พวกนั้นยิงตอบโต้ได้เต็มประสิทธิภาพ” กัปตันมาซูลขึ้นสายหน้าไม้ และเล็งพาดบ่าเซซิล

          “เครื่องยิงหลังกำแพง” โซลิแทร์สั่งเรียบๆ แต่ได้ยินกันอย่างทั่วถึง “ระดมยิงสนับสนุน”

          เครื่องยิงติดล้อเลื่อนที่เรียงแถวอยู่ด้านหลังกำแพงชั้นแรก ดีดกระสุนโค้งข้ามกำแพงไประเบิดใส่พวกเอลิลเบื้องหน้ากำแพง อานุภาพของระเบิดและเปลวไฟอาจไม่รุนแรงเท่าเครื่องยิงบนกำแพงเพราะกระสุนมีขนาดเล็กกว่า แต่ก็มากพอจะสลายแถวและเอาชีวิตพวกเอลิลแนวหน้าไปได้มากมาย กำแพงติดล้อไม่แข็งแกร่งพอจะต้านทานระเบิด พลปืนเอลิลหลายกลุ่มกระจัดกระจายถูกไฟเผาตาย บางคนก็แหลกเป็นชิ้นๆ ด้วยแรงระเบิด เครื่องยิงบนกำแพงก็ยังคงระดมยิงต่อสู้กับจรวดของพวกเอลิลต่อไป ฐานยิงจรวดอีกหลายฐานถูกระเบิดเพลิงทำลายราบ การยิงต่อสู้กันนั้น พื้นที่สูงกว่าย่อมได้เปรียบ

          เดลิลวาสเป่าแตรสงครามส่งสัญญาณอีกครั้ง ในมุมมองของข้าศึกนั้น สัญญาณนี้มันก็เป็นไอควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นฟ้าและสลายตัวเป็นเกล็ดหิมะเหมือนเดิม แต่สำหรับเผ่าพันธุ์เอลิล พวกเขารับรู้ว่ามันเป็นสัญญาณที่แตกต่างออกไป

          “ข้าศึกส่งทัพอากาศเข้ามาแล้ว” เซซิลรายงาน ยกโล่กำบังกระสุนปืนยาว

          ฝูงฟาร์ดาราสปรากฏให้เห็นบนฟ้า ท่ามกลางเมฆสีเข้มและสายฝน สีเงินเงาของพวกมันตัดกับเมฆฝนอันมืดครึ้มแสงจากสายฟ้าแลบส่องผ่านปีกโปร่งใสขนาดใหญ่ของพวกมันเป็นประกายหักเห พวกมันบินฝ่าพายุฝนมาอย่างแข็งแกร่ง ดวงตาสีเงินว่างเปล่าส่องแสงสว่างเป็นคู่ๆ อย่างไร้ชีวิตจิตใจ แต่เปี่ยมไปด้วยพลัง

          โซลิแทร์ยิงพลุสีน้ำเงินขึ้นฟ้า แล้วฝูงเอเลนเซฟเวอรี่ก็ทะยานบินจากด้านหลังกำแพงชั้นที่สาม ข้ามกำแพงชั้นที่สอง และชั้นแรก ออกไปสู่สมรภูมิรบ ฝนหยุดตกทันทีเมื่อพวกมันบินเข้าไปในพื้นที่ แต่เมฆสีเข้มยังคงอยู่พร้อมด้วยเสียงฟ้าคำรามและประกายสายฟ้า กองกำลังสัตว์ปีกทั้งสองชนิดโฉบบินเข้าหากัน พ่นน้ำแข็งแห้งอาบสารฟรีออนและดาวตกอาบไฟกรดเข้าโจมตีกัน แล้วเข้าปะทะกันกลางอากาศท่ามกลางเสียงฟ้าร้องและสายฟ้าแลบ ร่างที่ตายแล้วของสัตว์ร้ายทั้งสองชนิดเริ่มร่วงลงมาจากฟ้า พวกเอเลนเซฟเวอรี่เจอคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อแล้ว แม้เอเลนเซฟเวอรี่ทุกตัวสวมเกราะหนาตั้งแต่หัวจดหาง แต่มันก็ไม่แข็งแกร่งพอจะต้านทานอานุภาพของน้ำแข็งฟรีออนได้อย่างสมบูรณ์ ทำได้แค่บรรเทาความรุนแรงลงบางส่วนเท่านั้น

          ในครั้งนี้พวกเอเลนเซฟเวอรี่อาจได้เปรียบที่มีเกราะสวม พวกเอลิลเพิ่งก่อร่างสร้างตัว จึงยังไม่มีเวลาผลิตเกราะให้พวกฟาร์ดาราส แต่เมื่อใดก็ตามที่ผีบินพวกนี้มีเกราะเหล็กหุ้มเหมือนกัน มันคงจะเป็นการต่อสู้ที่สูสีและรุนแรงมากแน่

          ขบวนแถวดาร์คเนสดีวิลบนกำแพงชั้นแรกเริ่มถูกจู่โจมจากทางอากาศ ทั้งก้อนน้ำแข็งแห้งที่พุ่งเข้ามา และกรงเล็บโลหะสีเงินที่โฉบผ่านไปมา โล่ของพวกดีวอเชอร์ป้องกันน้ำแข็งฟรีออนไม่ไหว พวกเขาทำได้แค่หลบหลีกเท่านั้น พวกนักรบดาร์คเนสดีวิลแนวหลังบนกำแพงพยายามยิงตอบโต้พวกฟาร์ดาราส ทั้งหน้าไม้ของพวกดีเซ็นทรีและวงแหวนของพวกดีวอเชอร์ แต่สัตว์ปีกขนาดใหญ่เช่นนี้ย่อมมีร่างกายแข็งแกร่งแม้ยังไม่สวมเกราะ หากยิงไม่ถูกจุดสำคัญก็ทำให้พวกมันแค่บาดเจ็บเท่านั้น

          “พยายามเล็งที่หัว คอหอย และใต้คาง” โซลิแทร์ถอยจากแถวหน้าสุดไปช่วยพวกแนวหลังต่อสู้กับทัพอากาศ เขากระโดดเหยียบโล่ของดีวอเชอร์คนหนึ่ง ถีบตัวขึ้นสูง ฟันดาบเหนือหัวในจังหวะที่ฟาร์ดาราสตัวหนึ่งโฉบลงต่ำ มันเชือดคอปลิดชีวิตเจ้าสัตว์ร้ายทันที

          กองทัพบกเอลิลก็ถูกจู่โจมจากพวกเอเลนเซฟเวอรี่เช่นกัน ใครมีปืนยาวก็ยิงตอบโต้ ซึ่งทำได้ค่อนข้างยาก เพราะเกราะของเอเลนเซฟเวอรี่แต่ละตัวหนาพอสำหรับต้านทานกระสุนปืนยาวได้ และคงยากที่จะยิงผ่านช่องเกราะระหว่างที่พวกมันบินโฉบไปโฉบมาอยู่บนฟ้า

          “พยายามเล็งที่หัว คอหอย และใต้คาง มันเป็นส่วนที่เกราะไม่หนา” เดลิลวาสสั่งการ ตอนนี้เขาเข้ามาบัญชาการรบใกล้กับแนวหน้ากองทัพ คอยหลบลูกศรและวงแหวนอย่างชำนาญ

          เอเลนเซฟเวอรี่ตัวหนึ่งโฉบมาลงใส่เขา และอ้าปากทั้งสามพ่นดาวตกใส่ทั้งสามลูก เดลิลวาสกระโดดหลบไปง่ายๆ พร้อมกับตีลังกาโหกสูงขึ้นไปยืนอยู่บนหลังคาเกวียนบรรทุกจรวดเล่มหนึ่งที่ถูกใช้จรวดไปจนหมดแล้ว ในจังหวะนั้นเอเลนเซฟเวอรี่โฉบลงมาใส่เขาพอดี เขาชักดาบคู่ออกมาหมุนตัวและตวัดดาบสองสามครั้ง เอเลนเซฟเวอรี่ตัวนั้นตกลงไปไถลกับพื้นหิมะ พร้อมด้วยหัวที่ขาดทั้งสามหัว ดูเหมือนว่าดาบทั้งสองเล่มของเดลิลวาสจะคมพอสำหรับตัดผ่านเกราะอันแข็งแกร่งได้สบาย

          โซลิแทร์คว้าหน้าไม้จากศพดีเซ็นทรีมาเล็งยิงใส่ฟาร์ดาราสตัวหนึ่งบนฟ้า มันพลาดเป้าอย่างไม่มีหวังเลย

          “ยังยิงหน้าไม้ได้ห่วยไม่เปลี่ยนแปลงนะ” กัปตันมาซูลถอยมาเก็บลูกศรจากศพพวกแนวหลัง เอาเท้าตวัดหอกสามง่ามบนพื้นส่งให้

          โซลิแทร์คว้าหอกไว้ได้แล้วพุ่งออกไป มันเสียบเข้าที่คอฟาร์ดาราสตัวหนึ่งร่วงตกลงไปตาย

          “ค่อยยังชั่ว ต่อสู้ด้วยวิธีที่ตนถนัดแต่แรกก็หมดเรื่องแล้ว” กัปตันมาซูลหัวเราะ กลับขึ้นไปอยู่แถวหน้าสุดอีกครั้ง

          พวกเอลิลหยุดยิงจรวดเมื่อกองทัพของตนบุกเข้าประชิดโคนกำแพงแล้ว เดลิลวาสก็เข้าไปชิดกำแพงเช่นกัน คอยสั่งการจากตรงนั้น ตำแหน่งนี้พวกดาร์คเนสดีวิลบนกำแพงสูงๆ จะยิงหน้าไม้หรือวงแหวนใส่ไม่ถนัดเพราะอยู่ต่ำลงไปเป็นมุมตั้งฉาก แต่มันเหมาะมากที่จะทิ้งอะไรลงไปใส่ พวกดาร์คเนสดีวิลจึงเริ่มหยิบเอาก้อนน้ำแข็งทิ้งลงไปข้างล่าง พวกทหารเอลิลที่ยืนชิดกำแพงต่างหมวกเกราะบุบกะโหลกยุบไปตามๆ กัน โซลิแทร์ขยับจากแนวหลังกลับขึ้นไปแถวหน้าสุด และเริ่มช่วยพวกนักรบทิ้งก้อนน้ำแข็ง เขาทิ้งก้อนหนึ่งลงไปใส่เดลิลวาส ผู้ซึ่งหยิบโล่จากศพเอลิลบนพื้นมากำบังเหนือหัวไว้ได้อย่างรู้ทัน

          “กำบังโล่เหนือศีรษะ” เดลิลวาสตะโกนสั่ง

          พวกทหารเอลิลแถวแรกๆ ที่ยืนชิดกำแพง ต่างยกโล่กำบังเหนือศีรษะ ขยับเข้ามาประกอบกันเป็นหลังคาโล่มิดชิด มันป้องกันก้อนน้ำแข็งที่พวกดาร์คเนสดีวิลทิ้งลงมาได้

          “ประกอบบันได” เดลิลวาสสั่ง

          บันไดสั้นๆ หนาๆ ที่พวกเอลิลนำมาด้วยนั้น ถูกนำมาประกอบกันอย่างรวดเร็ว กลายเป็นบันไดที่ยาวพอสำหรับความสูงกำแพง และกว้างพอที่จะปีนขึ้นมาได้พร้อมกันสองสามคน ไม่มีจุดอ่อนตามข้อต่อเพราะมันถูกออกแบบมาสำหรับการประกอบโดยเฉพาะ เป็นบันไดที่แข็งแกร่งและมีน้ำหนักไม่เบา อย่างน้อย หากพวกเอลิลวางพาดมันกับกำแพง พวกดาร์คเนสดีวิลไม่มีปัญญาผลักมันล้มแน่

          “น้ำมัน” โซลิแทร์สั่ง

          พวกนักรบดาร์คเนสดีวิลแถวหลังๆ ช่วยกันยกหม้อน้ำมันขนาดใหญ่มาตั้งไว้ตามริมกำแพง จากนั้นก็เทน้ำมันราดลงไปยังพวกเอลิลที่ตั้งแถวหลังคาโล่อยู่เบื้องล่าง

          โซลิแทร์ตั้งสมาธิ สายฟ้าจากก้อนเมฆผ่าฟาดลงมากลางแถวเอลิลที่ยกโล่กำบัง ทหารเอลิลที่อยู่ในรัศมีสายฟ้ากระเด็นกระดอนกันไปคนละทาง พร้อมกันนั้น เปลวไฟก็ลุกเผาแนวโล่ของพวกเอลิลทันที ทหารเอลิลจำนวนมากถูกไฟครอกตาย แถวโล่เริ่มกระจัดกระจาย เดลิลวาสทิ้งโล่ที่ลุกติดไฟและตบไฟที่สนับแขนให้ดับ เมื่อแถวโล่ของพวกเอลิลถูกสลาย พวกดาร์คเนสดีวิลก็ทิ้งก้อนน้ำแข็งลงไปถูกเป้าหมายได้

          อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนทหารที่มีมากมาย แม้จะไม่มีโล่ช่วยกำบัง บันไดยาวแต่ละตัวก็ถูกประกอบเสร็จจนได้ ที่น่าสงสัยคือบันไดทั้งยาว ทั้งกว้าง ทั้งหนักขนาดนี้ จะยกมาพาดกับกำแพงอย่างไร

          “พาดบันได” เดลิลวาสสั่ง

          ที่ฐานบันไดแต่ละตัวถูกออกแบบเหมือนมีแม่แรงอยู่ที่ฐาน พวกทหารเอลิลตอกลิ่มยึดส่วนที่เป็นแม่แรงไว้กับพื้น จากนั้นก็ช่วยกันหมุนเกลียวให้แม่แรงค่อยๆ ดันบันไดเอียงตั้งขึ้น เมื่อมันตั้งขึ้นเกินเก้าสิบองศา มันก็ล้มเอนไปข้างหน้าและพาดกับกำแพง เสียงดังสนั่นเมื่อบันไดแต่ละลำกระแทกกับกำแพง บอกให้รู้ว่ามันทำด้วยโลหะ ทั้งหนักและแข็งแกร่ง พวกดาร์คเนสดีวิลไม่สามารถทำลายมันได้ง่ายๆ เหมือนบันไดของพวกมนุษย์

          “ศึกครั้งนี้เราไม่ต้องรับมือกับหอลำเลียงทหาร” เซซิลยกโล่กำบังกระสุนนัดหนึ่ง “แต่เราก็เจอกับอะไรที่เกือบๆ จะร้ายเท่าแล้วล่ะ”

          พวกเอลิลเก็บดาบลงฝัก สะพายโล่สะพายปืนไว้ข้างหลัง แล้วเริ่มปีนบันไดขึ้นมา ปกติแล้วฝ่ายรุกจะเรียงแถวปีนขึ้นมาได้ทีละคน เพราะบันไดยาวทั่วไปจะมีความแคบ แต่สำหรับบันไดอันกว้างชนิดนี้ พวกเอลิลสามารถปีนขึ้นมาพร้อมกันได้ทีละสามคนทีเดียว พวกดาร์คเนสดีวิลก็พยายามสกัดเต็มที่ ทิ้งก้อนน้ำแข็ง พุ่งหอกใส่ เอเลนเซฟเวอรี่บางตัวพ่นดาวตกและโฉบใส่ ทำทุกอย่างเพื่อสกัดการบุกของฝ่ายตรงข้าม พวกทหารเอลิลถูกสกัดตายตกบันไดไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังมีจำนวนมากมายเกินกว่าจะสกัดไหว พวกฟาร์ดาราสก็คอยรบกวนไม่ให้พวกนักรบดาร์คเนสดีวิลสกัดได้สะดวก

          “เตรียมรับศึกบนกำแพง” โซลิแทร์ชักดาบออกมา “ถอยห่างจากกำแพงเชิงเทินหนึ่งก้าว”

          ทุกคนทำตามที่เขาบอก เริ่มจัดขบวนแถว พวกดีวอเชอร์ถือโล่ยาวกำบังอยู่แถวหน้าสุด พวกดีเซ็นทรีพาดหอกข้ามขอบโล่มาจากแถวสอง ส่วนแถวถัดๆ ไปอีกหลายแถว ก็ให้นักรบทั้งสองประเภทนี้กระจายคละกันไป ที่พวกดาร์คเนสดีวิลสามารถจัดขบวนทัพอยู่บนกำแพงได้ก็เพราะพื้นที่บนกำแพงกว้างมาก โซลิแทร์ยืนอยู่เบื้องหน้าขบวนแถวอย่างสงบนิ่ง มือขวากำด้ามดาบแน่น

          “นักรบกล้าแห่งฟรอสท์ไอรอนแคลดบัดนี้ความแข็งแกร่งของเราเป็นที่โจษจันไปทั้งดวงดาว” เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงปกติ แต่ได้ยินกันอย่างทั่วถึงด้วยอำนาจภาษาดาร์เคน “ไม่ว่าศัตรูหน้าไหนจะบุกเข้ามา จงแสดงให้พวกเขาเห็นว่า ชื่อเสียงเหล่านั้นมันไม่เกินจริงเลยสักนิด กระชับอาวุธให้มั่นและต่อสู้ด้วยความกล้า พี่น้องของข้า เรา คือ กำแพง

          “เราคือกำแพง” นักรบดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ ตะโกนพร้อมกัน

          พวกทหารเอลิลเริ่มไต่บันไดขึ้นมาบนกำแพง ขึ้นมาพร้อมกันสองสามคนต่อหนึ่งบันได แต่ก็ถูกแถวหอกของพวกดีเซ็นทรีแทงสกัดตกลงไปตาย โซลิแทร์จับดาบด้วยสองมือ และกวาดฟันทหารเอลิลสามคนบนบันไดข้างหน้าตนร่วงตกลงไปตาย พวกเอลิลอาจสร้างบันไดที่ส่งทหารขึ้นมาได้มากกว่าปกติสามเท่า แต่พวกดาร์คเนสดีวิลก็จัดกลยุทธ์ตั้งรับได้อย่างแข็งแกร่ง เชิงเทินมีพื้นที่กว้างขวาง สามารถจัดขบวนแถวได้ใกล้เคียงกับบนพื้นราบ พวกทหารเอลิลที่ปีนบันไดขึ้นมาย่อมต้องเก็บอาวุธทำมือให้ว่างขณะปีน อย่างมากก็ถือได้แค่ดาบเล่มเดียว ซึ่งเมื่อปีนขึ้นมาจนสุดบันได ก็มีหอกสามง่ามที่ยาวกว่าดักรออยู่ในตำแหน่งที่ยากต่อการป้องกัน ช่องทางตอบโต้ก็แทบไม่มีเพราะมีแถวโล่ของพวกดีวอเชอร์กั้นอารักขาแถวหอกของพวกดีเซ็นทรีไว้ ทหารเอลิลคนแล้วคนเล่าจึงไต่บันไดขึ้นมา และถูกหอกแทงตกลงไปตายเรื่อยๆ

          อย่างไรก็ตาม พวกเอลิลก็แก้หมากโดยอาศัยกองทัพอากาศ แม้ว่าในตอนนี้พวกฟาร์ดาราสดูจะเสียเปรียบพวกเอเลนเซฟเวอรี่ แต่พื้นที่ในอากาศก็กว้างขวาง พวกฟาร์ดาราสก็ใช่ว่าจะมีอะไรมาสกัดได้ง่ายๆ พวกมันบางส่วนจึงสามารถบินมาพ่นน้ำแข็งสลายขบวนแถวดาร์คเนสดีวิลบนกำแพง ก่อกวนการตั้งรับของพวกเขาได้มากมายทีเดียว เมื่อขบวนแถวเสียรูป พวกทหารเอลิลที่ไต่บันไดขึ้นมาก็ถูกสกัดน้อยลง หลายคนขึ้นมาตั้งหลักได้ก็ถือดาบถือโล่เข้าต่อสู้กับพวกดาร์คเนสดีวิล บางคนเอาปืนยาวมายิงใส่ในระยะเผาขนเลยทีเดียว

          “เริ่มใช้แพอากาศได้” เดลิลวาสสั่งการ

          พวกเอลิลนำอุปกรณ์สงครามที่ดูคล้ายแพสี่เหลี่ยมจัตุรัสธรรมดา มีโซ่โยงอยู่ที่มุมทั้งสี่ มาวางเรียงกัน ทหารเอลิลจำนวนหนึ่งขึ้นไปยืนจัดแถวเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสอยู่บนแพแต่ละตัว ยกโล่กำบังล้อมเป็นกรอบรอบด้าน รวมทั้งด้านบน จากนั้นก็มีฟาร์ดาราสสองตัวบินมาใช้กรงเล็บเกี่ยวโซ่ ยกแพขึ้นไปบนอากาศ กลุ่มทหารเอลิลที่อยู่บนแพนั้นยืนนิ่งมาก ทำให้แพไม่เสียการทรงตัว โล่ที่ล้อมอยู่ทุกทิศทุกด้านช่วยกำบังลูกศรสามง่ามและวงแหวนที่พุ่งเข้าใส่ ฟาร์ดาราสแต่ละคู่ยกแพแต่ละตัวบินสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งแพลอยขึ้นไปถึงยอดกำแพง ทหารเอลิลทุกคนที่อยู่บนแพก็กระโดดลงมาบนเชิงเทินกำแพง เข้าต่อสู้กับพวกดาร์คเนสดีวิลทันที แพอากาศอีกหลายตัวถูกยกตามขึ้นมา พวกเอลิลเริ่มส่งทหารขึ้นมาบนกำแพงได้มากขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อบนกำแพงมีทหารเอลิลมากขึ้น พวกทหารเอลิลปีนบันไดก็สามารถไต่ขึ้นมาได้สะดวกขึ้น การที่ข้าศึกเริ่มขึ้นมาบนกำแพงได้จำนวนมาก ทำให้การจัดขบวนตั้งรับด้วยโล่กับหอกของพวกดาร์คเนสดีวิลดูจะไม่เหมาะสม

          “ต่อสู้แบบประจัญบาน” โซลิแทร์ฟันดาบตัดคอทหารเอลิลคนหนึ่ง “รักษาแนวป้องกันไว้”

          กัปตันมาซูลและพวกดีเซ็นทรีทิ้งหอกสามง่ามและชักดาบคู่ออกมาก เซซิลและพวกดีวอเชอร์หมุนสลักที่หลังโล่ เอาใบเหล็กคมๆ ออกมาจากรอบขอบโล่ ทั้งสองกองกำลังต่อสู้กันแบบประชิดตัวบนกำแพงชั้นแรก กองทัพดาร์คเนสดีวิลด้านหลังกำแพงคอยส่งนักรบขึ้นไปเสริมเมื่อกองกำลังที่ต่อสู้อยู่บนกำแพงเริ่มลดจำนวนลง ขณะที่กองทัพเอลิลก็คอยส่งทหารปีนบันไดและขึ้นแพอากาศไปต่อสู้บนกำแพงเรื่อยๆ เดลิลวาสดูอึดอัดเหมือนอยากขึ้นไปสู้ด้วย แต่คำสั่งจากหัวหน้าของเขาห้ามเขาไม่ให้ทำแบบนั้น พวกดาร์คเนสดีวิลพยายามยิงพวกฟาร์ดาราสแต่ละคู่ที่ยกแพอากาศ  เพราะเมื่อยิงตายสักตัวจะทำให้แพเอียงคว่ำ ทหารเอลิลที่อยู่บนแพจะตกลงไปตายกันหมด แต่การจะสังหารได้สักตัวนั้นก็ต้องระดมยิงอยู่นาน เพราะพวกมันค่อนข้างหนังเหนียว อีกทั้งการมีทหารเอลิลขึ้นมาบนกำแพงได้จำนวนมากยิ่งทำให้หาจังหวะยิงลำบาก

          โซลิแทร์แทงดาบทะลุหมวกเกราะทหารเอลิลคนหนึ่ง ถอนดาบออกมา แล้วใช้ด้านแบนของดาบตีแสกหน้าทหารเอลิลอีกคนที่กำลังปีนบันไดขึ้นมาร่วงตกลงไป ก้มหัวหลบง้าวเล่มหนึ่ง แล้วเสยกรงเล็บเหล็กที่สนับหลังมือเข้าซอกคอเอลิลเจ้าของง้าว ทหารเอลิลคนหนึ่งฟันใส่เขาจากทางขวา เขายกสนับแขนขวากำบัง อาศัยน้ำหนักของดาบยาวที่แขนข้างนั้นถืออยู่เหวี่ยงเป็นแรงต้าน ทำให้ดาบของทหารเอลิลกระเด็นออกเมื่อกระแทกกับสนับแขน โซลิแทร์กระแทกศอกขวาสวนกลับในจังหวะที่สอง และเหยียดแขนจับดาบปาดคอทหารคนนั้นในจังหวะที่สาม จากนั้นก็คว้าหอกสามง่ามบนพื้นเชิงเทิน กระโดดขึ้นไปยืนทรงตัวบนขอบกำแพงเชิงเทิน เตะปลายคางทหารเอลิลที่กำลังไต่บันไดขึ้นมาหงายตกลงไป แล้วพุ่งหอกออกไปเต็มเหนี่ยว มันเสียบเข้ากลางหัวใจฟาร์ดาราสตัวหนึ่งที่กำลังบินยกแพอากาศ เพอากาศจึงเอียงคว่ำ ทหารเอลิลบนแพร่วงตกลงไปตายกันหมด โซลิแทร์กระโดดกลับมายืนที่เดิมอย่างนุ่มนวล ฟันดาบตัดคอทหารเอลิลพร้อมกันสองคนเมื่อลงถึงพื้น

          การที่พวกฟาร์ดาราสส่วนหนึ่งไปยกแพอากาศ ทำให้ทัพอากาศเอลิลยิ่งเสียเปรียบเรื่องจำนวน แต่มันก็คุ้มค่าสำหรับการส่งทหารเอลิลขึ้นไปบนกำแพงได้จำนวนมากขนาดนี้ อย่างน้อยก็เป็นการขัดขวางเครื่องยิงบนกำแพงไม่ให้ยิงได้ แพอากาศที่ส่งทหารขึ้นมาบนกำแพงได้เรียบร้อยแล้ว ก็จะกลับลงไปรับทหารชุดใหม่เรื่อยๆ ดังนั้น พวกดาร์คเนวดีวิลจะต้องพยายามฆ่าพวกฟาร์ดาราสที่ยกแพเพื่อเป็นการหยุดยั้ง พวกเอเลนเซฟเวอรี่เป็นหน่วยรบที่กำจัดพวกฟาร์ดาราสได้เร็วที่สุด พวกมันจึงคอยหาช่องทางโจมตีพวกฟาร์ดาราสที่ยกแพ รวมทั้งพวกทหารเอลิลบนแพ ซึ่งทำได้ไม่ยากนักเพราะค่อนข้างเป็นเป้านิ่ง

          พวกเอลิลระดมส่งคนบุกขึ้นไปบนกำแพงเรื่อยๆ พวกดาร์คเนสดีวิลก็คอยสกัดและต่อสู้ตั้งรับอย่างเหนียวแน่น บนกำแพงเกลื่อนกลาดไปด้วยศพของทั้งสองฝ่าย เบื้องหน้ากำแพงก็เต็มไปด้วยศพของพวกเอลิลที่ถูกสกัดตกลงไป บางครั้งก็มีศพฟาร์ดาราสและศพเอเลนเซฟเวอรี่ร่วงตกลงจากฟ้าสร้างความวุ่นวายบ้าง ทัพอากาศของทั้งสองฝ่ายไม่สามารถโจมตีใส่บนกำแพงได้มากนัก เพราะมีทั้งนักรบฝ่ายของตนและฝ่ายตรงข้ามตะลุมบอนต่อสู้กันอยู่ อาจเสี่ยงไปถูกพวกเดียวกันเอง ทั้งสองเผ่าพันธุ์ต่อสู้กันเช่นนี้อยู่นาน คนตายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่คนเป็นก็ลดลงเรื่อยๆ  ในตอนนี้ทัพอากาศเอลิลเริ่มบางตาแล้ว พวกฟาร์ดาราสถูกกำจัดไปมากมาย พวกเอเลนเซฟเวอรี่จึงเริ่มเข้าโจมตีทัพบกเอลิลที่อยู่หน้ากำแพง โดยเน้นไปที่พวกทหารถือหอกยาว เดลิลวาสสั่งให้ขนย้ายกำแพงติดล้อมารวมไว้ด้วยกัน และถอนเอาลูกศรที่ปักอยู่ออกให้หมด เพื่ออะไรก็สุดรู้ได้ กำแพงติดล้อเหล่านี้ไม่ได้ใช้ประโยชน์ตั้งแต่มีเอลิลจำนวนมากบุกขึ้นไปบนกำแพงแล้ว

          “ทัพอากาศข้าศึกเหลือน้อย พลหอกยาวของข้าศึกก็กำลังจะถูกกำจัดหมด” โซลิแทร์ฟันดาบสังหารพวกทหารเอลิลในขณะที่พูดแต่ละประโยค ชุดเกราะชำรุดสองสามจุดและมีแผลเล็กน้อย เขาหันไปหาเซซิลและกัปตันมาซูลที่ต่อสู้อยู่ข้างหลัง “ข้าคิดว่าท่านสองคนไปประจำที่ได้แล้ว”

          ทั้งเซซิลและกัปตันมาซูลจัดการสังหารทหารเอลิลที่ตนต่อสู้อยู่ แล้วทำแขนกากบาทให้โซลิแทร์ ถอยออกจากแนวหน้าลงจากกำแพงไป ชุดเกราะชำรุดและมีบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ กันทั้งคู่ โซลิแทร์ฟันดาบปาดคอทหารเอลิลสองคนพร้อมกัน ความยาวของดาบเล่มนี้ทำให้รัศมีการฟันกว้างมาก เขาร่อนใบจักรเสียบหมวกเกราะทหารเอลิลคนหนึ่งตายคาบันได กระโดดเหยียบขอบกำแพงเชิงเทิน ถีบตัวหันไปฟันใส่อีกคนจากมุมสูง ยกสนับแขนกำบังเมื่อทหารเอลิลคนหนึ่งเล็งปืนยาวใส่ แต่ความจริงไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น ปืนกระบอกนั้นยิงไม่ออกเพราะก่อนหน้านี้เปียกฝน น้ำฝนเข้าไปจับแข็งขัดลำกล้อง ทหารคนนั้นละสายตาจากปืนที่ยิงไม่ออกกลับไปหาโซลิแทร์ ปรากฏว่าหายไปไหนแล้วไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกดาบสีดำของโซลิแทร์ตวัดมาจากทางขวาตัดคอขาดกระเด็น

          เอเลนเซฟเวอรี่สีดำบินมารอข้างหน้ากำแพงเชิงเทินที่โซลิแทร์ต่อสู้อยู่ โซลิแทร์กระโดดเหยียบขอบกำแพงเชิงเทิน ข้ามไปนั่งบนหลังมันอย่างพอดิบพอดี อานของมันมีช่องใส่ใบจักรและติดอาวุธระยะไกล ทั้งหอกอากาศ บูมเมอแรง และดาบสำหรับขว้าง เขาดึงสายบังเหียนบังคับให้มันบินสูงขึ้น จากนั้นก็เพ่งสายตาและสมาธิไปที่กำแพงชั้นแรก กำแพงชั้นแรกสองส่วนค่อยๆ จมหายลงไปในพื้นหิมะเป็นการเปิดช่องกำแพงใหญ่ๆ สองช่องบันไดยาวที่วางพาดกำแพงทั้งสองส่วนนั้นเกิดการสั่นสะเทือนและค่อยๆ เอนลงมาตามกำแพงที่ลดต่ำลง ทหารเอลิลที่ปีนบันไดบางคนเสียหลักร่วงตกลงมาตาย

          เดลิลวาสรีบเป่าแตรน้ำแข็งส่งสัญญาณถึงพวกทหารที่อออยู่หน้ากำแพง ให้ถอยออกมาตั้งหลักทันทีเขารู้ว่าพวกดาร์คเนสดีวิลจะส่งกองทหารม้าและยานเกราะออกมาประกบโจมตี

          “ประกอบง้าวเข้ากับกำแพงติดล้อ” เขาคำรามสั่ง

          ทหารเอลิลจำนวนหนึ่งนำดาบมาประกอบกับฝักให้เป็นง้าว และนำง้าวไปประกอบกับยอดกำแพงติดล้อที่เอนเป็นแนวเฉียง กำแพงสองส่วนที่โซลิแทร์ควบคุมนั้นจมหายไปในพื้นจนหมด พวกนักรบดาร์คเนสดีวิลที่ลงถึงพื้นพร้อมกับกำแพงนั้น รีบขยับให้พ้นจากช่อง เผยให้เห็นเซซิลกับกองรถม้าศึกปีศาจที่ช่องกำแพงด้านซ้าย และกัปตันมาซูลทหารกับกองทหารม้าปีศาจที่ช่องกำแพงด้านขวา

          พลุสีน้ำเงินพุ่งออกจากมือของโซลิแทร์สว่างวาบบนท้องฟ้า เซซิลและกัปตันมาซูลเปล่งเสียงว่า “เราคือกำแพง” แล้วบังคับพาหนะนำหน้ากองกำลังของตน บุกเข้าโอบโจมตีประกบกองทัพเอลิลจากสองด้าน โซลิแทร์และกองกำลังเอเลนเซฟเวอรี่จัดขบวนกลางอากาศ แล้วบุกเข้าหากองทัพเอลิลจากข้างหน้า เป็นกลยุทธ์เดียวกันกับที่ใช้กับพวกมนุษย์ กองทหารม้าและกองรถม้าศึกเข้าประกบโจมตีซ้ายขวา กองกำลังอากาศบุกโจมตีข้างหน้าเจาะเข้าแกนกลาง พวกเอลิลเตรียมพร้อมรับมือเต็มที่ หยุดส่งคนขึ้นกำแพง จัดแถวตั้งรับอย่างเป็นระเบียบ

          พวกฟาร์ดาราสที่เหลืออยู่พยายามเข้าสกัดกองกำลังเอเลนเซฟเวอรี่ไม่ให้บุกเข้าถึงกองทัพบก ทำได้ดีทีเดียว โซลิแทร์กับพวกเอเลนเซฟเวอรี่ต้องชะงักการบุก และต่อสู้กับพวกฟาร์ดาราสกลางอากาศ

          อย่างไรก็ตาม ยังมีกองกำลังดาร์คเนสดีวิลอีกสองส่วนที่พวกเอลิลไม่เหลืออะไรมาสกัดได้ พวกพลหอกยาวเอลิลถูกพวกเอเลนเซฟเวอรี่กำจัดเกือบหมดไปก่อนหน้านี้แล้ว ไม่มีเพียงพอจะรับมือกับกองทหารม้าและยานเกราะที่บุกเข้ามาจากทั้งสองด้านอย่างแน่นอน

          “กำบังโล่ทั้งสองด้าน จัดวางตำแหน่งกำแพงติดล้อ” เดลิลวาสตะโกนสั่ง ดูพออกพอใจที่กำลังจะได้ต่อสู้ เขาได้รับคำสั่งไม่ให้ขึ้นไปรบบนกำแพง แต่นี่เป็นการรบนอกกำแพง เขาสามารถต่อสู้ได้เต็มที่โดยไม่ขัดคำสั่ง

          พวกทหารเอลิลยืนเรียงแถวกำบังโล่ต่อกันเป็นกรอบขนาบข้างกองทัพ เตรียมรับมือกับกองกำลังข้าศึกที่บุกเข้ามาทั้งทางซ้ายและทางขวา มีกำแพงติดล้อเรียงแถวอยู่ข้างหลังแนวโล่ทั้งสองด้าน ดูๆ แล้วทั้งโล่และกำแพงติดล้อไม่น่าจะรับมือกับกองทหารม้าหรือยานเกราะไหว หอกยาวต่างหากที่เหมาะสมกับสถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งก็แทบไม่มีเหลือแล้ว กัปตันมาซูลกับเซซิลเร่งความเร็วเต็มที่ พร้อมที่จะนำกองกำลังของตนเข้าบดขยี้ศัตรูทุกคนในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า

          “กลับด้านกำแพงติดล้อ” เดลิลวาสตะโกนสั่ง

          ในช่วงเวลาไม่กี่วินาที ก่อนที่กองกำลังของเซซิลและกัปตันมาซูลจะเข้าปะทะด้านข้างกองทัพเอลิล พวกทหารเอลิลที่ถือโล่เป็นกรอบขนาบกองทัพทั้งสองด้าน ก็ถอยไปอยู่หลังแนวกำแพงติดล้อ แล้วช่วยกันหันด้านหลังกำแพงติดล้อทั้งหมดเข้าหาฝ่ายตรงข้าม แผ่นกำแพงที่มีง้าวหลายเล่มติดอยู่ที่ยอดนั้น จึงอยู่ในลักษณะหันเอียงใส่พวกดาร์คเนสดีวิลในระดับคนขี่ม้าพอดี กลายเป็นแนวเครื่องกีดขวางต่อต้านทหารม้า

          กัปตันมาซูลกระชากสายบังเหียนหยุดม้าแทบไม่ทัน ปลายง้าวเล่มหนึ่งบาดทะลุเกราะที่คอของเขา หยุดช้ากว่านี้ไปนิดเดียวคอคงทะลุไปแล้ว พวกดีเซ็นทรีกลุ่มแรกๆ ที่ขี่ม้าตามมาหยุดไม่ทันเหมือนเขา ต้องสังเวยชีวิตให้แก่แนวกำแพงง้าว บางคนร่างเสียบติดอยู่ที่ยอดกำแพง บางคนก็ถูกเสียบร่างทะลุทั้งคนทั้งม้า อีกด้านของกองทัพ เซซิลและกองรถม้าศึกปีศาจก็เผชิญกับปัญหาเดียวกัน รถม้าศึกหยุดกะทันหันได้ยากกว่าทหารม้า ดีวอเชอร์หลายคนทำรถม้าคว่ำ อีกหลายคนหยุดไม่ทันเข้าไปชนกับกำแพงติดง้าวร่างทะลุ บางคนกระเด็นออกจากรถม้าเข้าไปเสียบร่างกับแนวง้าว เซซิลก็เป็นหนึ่งในคนที่กระเด็นจากรถม้าเข้าไปหากำแพง แต่ยังโชคดีที่ใช้โล่ยาวกำบังร่างไว้กลางอากาศ ร่างของเขาจึงพุ่งเข้าใส่แนวง้าวโดยมีโล่เหล็กขวาง แรงกระแทกทำให้เขากระเด็นถอยกลิ้งไปกับพื้น แล้วก็ต้องกลิ้งต่ออีกยาวเพื่อหลบรถม้าศึกของฝ่ายเดียวกันที่แล่นเข้ามาอย่างหยุดไม่อยู่ กองทหารม้าปีศาจและกองรถม้าศึกปีศาจถูกทำให้หยุดชะงัก ไม่สามารถบุกเข้าใส่กองทัพเอลิลได้ตามแผน

          “ทหารม้า ไปได้” เดลิลวาสตะโกนสั่ง

          ทหารม้าเอลิลทั้งหมดที่จัดขบวนเป็นแกนกลางกองทัพนั้น ประกอบด้ามดาบกับฝักดาบให้เป็นง้าว แล้วเคลื่อนพลออกไปทางด้านหลังกองทัพ ซึ่งเป็นด้านที่ไม่ได้ถูกประกบ ก่อนจะแยกกองกำลังออกเป็นสองส่วนไปทางซ้ายและทางขวา โอบตลบหลังกองทหารม้าปีศาจและกองรถม้าศึกปีศาจเป็นรูปหัวใจ กลับกลายเป็นว่าพวกดาร์คเนสดีวิลเป็นฝ่ายถูกประกบเสียเอง ทัพอากาศดาร์คเนสดีวิลก็ยังติดพันการต่อสู้อยู่กับพวกฟาร์ดาราส เข้าไปเสริมไม่ทันการแน่

          ต้องส่งทัพหนุนออกมาปะทะข้าศึกจากข้างหน้า โซลิแทร์นึกขณะฟันคอฟาร์ดาราสตัวหนึ่งที่โฉบมาหา

          เขาใช้สายตาเลื่อนกำแพงกลับขึ้นมาปิดช่องทั้งสอง ขณะเดียวกันก็ลดกำแพงอีกส่วนหนึ่ง เปิดช่องกำแพงข้างหน้ากองทัพเอลิลบริเวณแกนกลาง พลุสีน้ำเงินสว่างวาบขึ้นบนฟ้าอีกครั้ง แล้วกองกำลังดาร์คเนสดีวิลอีกจำนวนมากก็บุกตรงออกมาจากช่องกำแพงนั้น เข้าปะทะด้านหน้ากองทัพเอลิล มีทั้งทหารราบ ทหารม้า และรถม้าศึก พวกเอลิลอาจใช้กลยุทธ์ซ้อนแผนตลบหลังพวกเขา แต่พวกเขาก็มีกองทัพมากพอที่จะแก้หมากได้

          เดลิลวาสชักดาบคู่ออกมาฟันแทงพวกดาร์คเนสดีวิลอย่างคล่องแคล่ว เกราะหนาๆ ที่สวมอยู่ทั่วตัวไม่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวสักนิด ปลายดาบเล่มหนึ่งชี้ไปข้างหน้าและปล่อยลูกไฟไประเบิดเผานักรบดาร์คเนสดีวิลที่รวมอยู่เป็นกลุ่ม ก้มหัวหลบวงแหวนสองวง หลบหอกสามง่ามจากทหารม้าปีศาจ แล้วฟันดาบตอบโต้ตัดร่างอีกฝ่ายขาดสองท่อน เอเลนเซฟเวอรี่ตัวหนึ่งโฉบมาพ่นดาวตกใส่เขา เขากระโดดหลบและปล่อยลูกไฟระเบิดร่างของมันเป็นชิ้นๆ กลางอากาศ ในตอนนี้เบื้องหน้ากำแพงเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดกลายเป็นสนามรบ บนกำแพงชั้นแรกก็ยังมีพวกทหารเอลิลต่อสู้หลงเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง ส่วนใหญ่จะลงจากกำแพงไปสมทบข้างล่าง เมฆสีเข้มยังคงปกคลุมอยู่เหนือสมรภูมิ เสียงฟ้าคำรามและแสงฟ้าแลบยังคงปรากฏขึ้นเป็นระยะๆ โซลิแทร์คอยควบคุมก้อนเมฆให้ทำฟ้าผ่าในบางจังหวะ ซึ่งตอนนี้มันไม่ง่ายนัก คนของเขาต่อสู้ตะลุมบอนกับข้าศึกเบื้องล่าง รัศมีสายฟ้ามันกว้างกว่าที่คิด อาจพลาดไปถูกพวกเดียวกัน อีกทั้งเขาต่อสู้มานานแล้ว ทั้งบาดเจ็บ ทั้งเสียแรงไปมาก หากใช้แรงกับการทำฟ้าผ่าบ่อยๆ เขาเดือดร้อนแน่

          กัปตันมาซูลเสียบด้ามหอกไว้ที่ด้านข้างอานม้า และชักดาบคู่ออกมาต่อสู้ เขาฟันดาบในมือขวาตัดคอทหารม้าเอลิลทางขวา และใช้ดาบในมือซ้ายตัดคอทหารม้าเอลิลอีกคนทางซ้าย ก่อนจะกระชากบังเหียนให้ม้าปีศาจของตนยกสองขาหน้าพ่นเปลวไฟสีเขียวเผาทหารเอลิลกลุ่มหนึ่งที่ถือดาบกับโล่ดาหน้าเข้ามาหา สองมือควงดาบหนึ่งรอบและฟันแทงสู้ต่อไป แล้วในจังหวะหนึ่ง ดาบเล่มหนึ่งก็ตวัดฟันเข้าบริเวณใต้รักแร้ของเขา เกือบจะเข้าช่องเกราะอย่างหวุดหวิด ชุดเกราะชำรุดเป็นรอยถูกฟันและเกิดบาดแผล เนื่องจากแผลยังชาอยู่กัปตันมาซูลจึงยังไม่เจ็บปวดอะไรมาก แต่ก็รู้สึกถึงเลือดที่ไหลย้อยเปรอะเสื้ออยู่หลังชุดเกราะ นี่ถ้าหากไม่มีชุดเกราะป่านนี้เขาคงถูกฟันซี่โครงขาดและอาจจะตายไปแล้วก็ได้ เขาบังคับม้าให้เตะทหารเอลิลผู้ฟันให้ล้มลงไป และขับม้าเหยียบให้ตาย

          ทหารม้าปีศาจหลายคนก็เริ่มบังคับให้ม้าของตนพ่นไฟเผาพวกทหารเอลิลที่รวมเป็นกลุ่มเช่นกัน ม้าผีบางตัวถูกเผาไปพร้อมๆ กับคนขี่ บางครั้งจะมีดาวตกที่มีไฟลุกโชนสีเขียวและมีก้อนน้ำแข็งที่มีไอควันสีขาวจากบนฟ้าพุ่งลงมาผสมโรงเป็นช่วงๆ เซซิลต้องต่อสู้บนพื้นดินเพราะรถม้าพลิกคว่ำตอนถูกสกัดด้วยกำแพงง้าว แต่นั่นก็ไม่ได้ลดประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาเลย เขาใช้ขอบโล่ฟันต่อสู้กับพวกทหารราบเอลิลอย่างคล่องแคล่ว มืออีกข้างปล่อยวงแหวนโจมตีระยะไกลในบางจังหวะ ทหารม้าเอลิลควบม้าเข้ามาแทงง้าวใส่ก็ถูกปัดป้องด้วยโล่และสวนด้วยขอบโล่คอขาด ไม่รู้เสียแล้วว่าเขาสัดทันการตอบโต้อาวุธยาว ฟาร์ดาราสตัวหนึ่งโฉบมาทางเขา ทำท่าจะพ่นน้ำแข็งใส่ แต่ก็มีหอกอากาศเล่มหนึ่งพุ่งเสียบหน้าผากมันร่วงตกลงมาตายแทบเท้า เซซิลถอนหอกออกจากศพฟาร์ดาราสและโยนส่งคืนให้โซลิแทร์ที่ขี่พาหนะบินโฉบมารับไปและพุ่งใส่ฟาร์ดาราสอีกตัวทันที

          บนกำแพงชั้นแรกเริ่มจะไม่มีพวกเอลิลเหลืออยู่แล้ว พวกนักรบดาร์คเนสดีวิลบนกำแพงจึงเริ่มยิงสนับสนุนพวกข้างล่างด้วยอาวุธระยะไกล ทั้งหน้าไม้และวงแหวน แต่ก็ยังหาจังหวะยิงได้ยาก เพราะต้องระวังไม่ให้พลาดไปถูกพวกเดียวกัน ศพแล้วศพเล่านอนตายเกลื่อนอยู่หน้ากำแพง คนที่ยังมีชีวิตต่อสู้อยู่ก็บาดเจ็บเหนื่อยล้ากันถ้วนหน้า มีเพียงคนเดียวในสนามรบที่ยังไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเลยตั้งแต่เริ่มศึกมา นั่นคือเดลิลวาส และก็ยังคงต่อสู้ไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ไม่ว่าเขาจะย้ายไปต่อสู้ตำแหน่งไหน ตำแหน่งนั้นจะมีศพดาร์คเนสดีวิลกองอยู่เต็มพื้นเสมอ สองดาบและชุดเกราะของเขาสะอาดเอี่ยมตลอดเวลา เพราะเลือดและฝุ่นละอองจับเกาะไม่ได้

          กัปตันมาซูลเร่งม้าบุกเข้าหาเดลิลวาส ถือหอกสามง่ามในมือขวาขนานกับพื้น เตรียมแทงใส่ เดลิลวาสยืนรออย่างใจเย็น และเมื่อกัปตันมาซูลบุกเข้ามาถึงและแทงหอกใส่ เขาก็ประสานดาบสองเล่มเป็นกากบาทคว่ำ กดปลายหอกของกัปตันมาซูลให้ปักเฉียงลงพื้น เป็นกลยุทธ์ที่เคยใช้ปราบโซลิแทร์ ส่งผลให้กัปตันมาซูลถูกด้ามหอกยกกระเด็นออกจากหลังม้า ไปหล่นใส่เซซิลที่ต่อสู้อยู่ไม่ไกลและล้มกลิ้งไปด้วยกัน เดลิลวาสเก็บดาบเล่มหนึ่งลงฝัก ถอนหอกของกัปตันมาซูลออกจากพื้น แล้วหันไปทางขวา พุ่งออกไปเต็มเหนี่ยว มันพุ่งใส่โซลิแทร์ที่กำลังบังคับพาหนะบินโฉบต่ำเพื่อตัดหัวทหารเอลิลคนหนึ่งพอดี หอกพุ่งผ่านช่องระหว่างคอสองคอของเอเลนเซฟเวอรี่สีดำ ตรงเข้าหาตำแหน่งหัวใจกลางหน้าอกของโซลิแทร์ด้วยความเร็วสูง เป็นอีกครั้งที่โซลิแทร์ถูกเดลิลวาสโจมตีด้วยการพุ่งหอก และก็เป็นอีกครั้งที่เขาไม่มีมุมหลบ ต้องยกสนับแขนสองข้างกำบังไขว้กันเป็นกากบาท ผลที่ได้ก็เป็นเหมือนเดิม หอกปะทะสนับแขนอย่างแรงจนเกิดประกายไฟ โซลิแทร์กระเด็นหงายตกพาหนะ แต่ครั้งนี้เขาตกสูงกว่าเดิมเล็กน้อย แรงกระแทกทำให้ดาบกระเด็นหลุดจากมือ ไปปักอยู่บนพื้นหิมะห่างตัว

          ยังไม่ทันจะหายมึน ทหารเอลิลคนหนึ่งก็แทงดาบลงมาใส่เขา โซลิแทร์ขยับหัวหลบแทบไม่ทัน ดาบจึงปักลงบนพื้นข้างๆ ศีรษะของเขา เขาคว้าแขนข้างที่จับดาบของทหารเอลิลคนนั้นแล้วดึงมาหาตัว อาศัยขายาวๆ ของตนตวัดรัดคอและแขนคู่ต่อสู้ มีเสียงกระดูกหัก แล้วเขาก็เหวี่ยงร่างทหารเอลิลคอหักออกไปข้างๆ  ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันจะตั้งตัวดี ทหารเอลิลอีกคนก็แทงง้าวใส่ เขาปัดป้องด้วยสนับแขนซ้าย มือขวาคว้าคอทหารเอลิลคนนั้น เอาท้ายทอยมากระแทกกับสนับเข่าคอหักตายไปอีกคน มีทหารเอลิลสองสามคนเล็งปืนยาวใส่เขา เขากระโดดม้วนตัวหลบไปข้างๆ ในจังหวะที่ปืนเหนี่ยวไก แต่กลับกลายเป็นว่ามีแค่เสียงลั่นไก ยิงไม่ออกกันสักกระบอก ฝนที่ตกลงมาก่อนหน้านี้คงเข้าไปจับแข็งขัดลำกล้อง และทำให้ดินปืนเป็นน้ำแข็ง

          โซลิแทร์หันไปเห็นดาบของตนปักอยู่บนพื้น เขารีบพุ่งม้วนตัวอีกรอบแล้วลุกขึ้นยืน ก้มหลบง้าวสองเล่ม ถูกอีกเล่มหนึ่งถากเข้าที่ไหล่ ทำเอาเกราะและผ้าคลุมชำรุด แล้วตีลังกาล้อเกวียนเข้าไปหาดาบของตน ทหารเอลิลคนหนึ่งพุ่งเข้ามาขวางก็ถูกขายาวๆ ของเขาเกี่ยวล้มลงไป ก่อนจะถูกขาข้างนั้นเตะเข้าด้านข้างหมวกเกราะเอาคอไปชนกับคมดาบที่ปักอยู่ข้างๆ ตายสนิท โซลิแทร์ถอนดาบของตนขึ้นมา แล้วมองไปรอบๆ พบว่าตนเองกำลังต่อสู้อยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางวงล้อมของพวกเอลิล เห็นฐานยิงจรวดบางเครื่องและเกวียนบรรทุกจรวดบางเล่มอยู่ไม่ไกลออกไปนัก แต่ไม่เห็นนักรบดาร์คเนสดีวิลคนไหนเข้ามาต่อสู้ในบริเวณนี้เลย พวกทหารเอลิลที่ล้อมกรอบเขาอยู่เริ่มยกอาวุธตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้ โล่หลายใบยกขึ้นกำบังตัว ปืนยาวหลายกระบอกพาดเล็งมาที่เป้าหมายเดียวกัน

          โซลิแทร์ทิ้งตัวหมอบราบลงกับพื้นหิมะและกลิ้งตัวหลบได้ทันก่อนที่กระสุนหลายนัดจะพุ่งมาจากหลายทิศทาง คงจะมีมากกว่านี้อีกหลายนัดหากปืนของพวกเอลิลเกือบทุกกระบอกไม่ด้าน ทหารเอลิลที่ถือดาบกับโล่ก้าวเท้าดาหน้ามาทันที โซลิแทร์ลุกขึ้นยืนและฟันดาบตัดคอทหารเอลิลคนหนึ่งขาดกระเด็น ยกสนับแขนรับคมดาบของทหารเอลิลอีกคน แทงสวนกลับไป หมุนตัวฟันดาบสังหารทหารเอลิลได้อีกสามคนพร้อมๆ กัน อย่างน้อยต่อสู้ตัวคนเดียวท่ามกลางศัตรูก็ทำให้สามารถเหวี่ยงแขนเหวี่ยงดาบได้เต็มที่โดยไม่ต้องห่วงว่าจะพลาดถูกพวกเดียวกันเอง การที่เขาตะลุมบอนอยู่ท่ามกลางพวกทหารเอลิลที่ใช้ดาบกับโล่ทำให้พวกที่มีปืนยาวไม่สามารถยิงใส่เขาได้เต็มที่นักสายฟ้าเส้นหนาผ่าลงมากลางกลุ่มทหารเอลิลที่เบียดเสียดล้อมโจมตีโซลิแทร์กระจัดกระจายตายไปคนละทิศละทาง เขาพยายามรักษาจังหวะหายใจให้ปกติ เริ่มรู้สึกอ่อนแรงจากการต่อสู้มานาน การมีบาดแผล และการทำฟ้าผ่าหลายครั้ง แต่ก็ยังขยับเท้าเดินหน้าถอยหลัง ฟันดาบและยกสนับแขนป้องกันคมอาวุธของศัตรูได้อย่างรวดเร็วไม่ต่างจากเดิม

          ทหารเอลิลคนหนึ่งเล็งปืนยาวใส่เขาแต่เขาก็ขว้างจักรไปเก็บอีกฝ่ายได้ก่อนที่ปืนจะถูกเหนี่ยวไกมือขวากวาดดาบยาวฟันคอทหารเอลิลอีกสองคน ฟันแสกหน้าอีกคนหนึ่ง และแทงอีกคนหนึ่งทะลุกลางหัวใจ ทหารเอลิลคนหนึ่งพุ่งง้าวเข้าใส่เขาก็ย่อตัวหลบให้มันข้ามไปเสียบทหารเอลิลอีกคนข้างหลัง ยืดตัวขึ้นและฟันดาบต่อสู้กับพวกทหารเอลิลต่อไป หนนี้ทหารเอลิลคนหนึ่งยกโล่รับคมดาบของเขาได้อีกคนแทงง้าวใส่บังคับให้เขาต้องรีบยกสนับแขนอีกข้างขึ้นมากำบังไว้พร้อมกันนั้นยังมีอีกคนถือดาบกับโล่บุกเข้ามา ทำให้เขาต้องใช้เท้าถีบโล่ผลักทหารเอลิลคนนั้นให้ล้มลงไปเปิดช่องทางให้ทหารเอลิลคนที่สี่แทงง้าวเข้าที่ท้องของเขา เนื่องจากเสื้อเกราะที่เขาสวมอยู่นั้นมีความแข็งแกร่งพอตัวง้าวจึงแทงทะลุเกราะได้แค่ปลายๆ เท่านั้น แต่แผลที่ได้ก็ไม่ใช่แผลเล็กๆโซลิแทร์ใช้มือซ้ายชักกริชออกมาแทงสวนกลับไปและสะบัดดาบยาวในมือขวาสังหารทหารเอลิลข้างหน้าตายสามคน ในตอนนี้แผลใหม่ยังชาๆ อยู่ แต่ก็รู้สึกว่ามีเลือดไหลอยู่ใต้ชุดเกราะ ไม่มีเวลามาสนใจนักเพราะต้องต่อสู้ไปเรื่อยๆ เพื่อเอาตัวรอดหยุดอยู่กับที่ไม่ได้เพราะรอบตัวคือข้าศึกที่หมายชีวิตจะสู้แบบนี้ได้อีกนานแค่ไหนหนอ ยิ่งนานก็ยิ่งอ่อนล้า พละกำลังและความว่องไวลดลงกว่าที่เคยเป็น แผลเก่าบางแผลยังมีเลือดไหล เลือดสีดำหยดจากชุดเกราะลงไปบนพื้นหิมะเป็นทาง

          กระสุนปืนยาวสองนัดพุ่งตีคู่กัน เฉียดหน้ากากทั้งสองด้านของโซลิแทร์ไปอย่างหวุดหวิด ทำเอาสองด้านข้างหมวกฮู้ดเป็นรู โซลิแทร์ใช้มือซ้ายดึงใบจักรสองใบออกมาจากกระเป๋าเสื้อนอก ร่อนทั้งสองใบออกไปสังหารพลปืนเอลิลสองคนตายไปพร้อมกัน เขาล้วงมือเพื่อจะเอาใบจักรออกมาอีกแต่ก็พบว่ามันหมดแล้ว พวกเอลิลเริ่มดาหน้าเข้าหาหนักยิ่งกว่าเก่าถึงขนาดที่พวกทหารที่ประจำอยู่ตามฐานยิงจรวดและเกวียนบรรทุกจรวดไม่ห่างออกไปนั้นก็คว้าอาวุธและบุกเข้ามากันหมด เขาชี้ปลายดาบไปข้างหน้าปล่อยสายฟ้าออกไปสังหารทหารเอลิลตายไปกลุ่มใหญ่ แต่ทหารเอลิลอีกจำนวนมากก็ยังตีวงล้อมโจมตีเขาอยู่ดีเขาใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ฟันดาบต่อสู้กับข้าศึกทุกคนที่บุกเข้ามาอย่างใจสู้ สู้ให้ถึงที่สุดคือสิ่งที่เขาทำมาตลอด เขาไม่ใช่คนพิเศษ ไม่ใช่พระเอกในนิยาย ไม่ใช่ผู้ถูกเลือกที่มีคำพยากรณ์กล่าวไว้ ไม่ใช่คนที่เกิดมาเพื่อยิ่งใหญ่ แต่เขามีสิ่งพิเศษ นั่นคือความมุ่งมั่นอดทนที่จะยืนหยัดต่อสู้ฝ่าฟันทุกสิ่งทุกอย่าง การเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็จะไม่ใช่เรื่องง่ายที่ศัตรูผู้แข็งแกร่งจะเอาชนะเขาเช่นกัน

          ปลายดาบเล่มหนึ่งฟันถากเข้าที่หลังต้นขาของเขา ทำเอาทรุดไปข้างหน้า ต้องปักดาบกับพื้นเพื่อพยุงตัวไม่ให้เสียหลัก ชายเสื้อเกราะ กางเกงเกราะ และผ้าคลุมขาดเป็นริ้ว เลือดสีดำหยดลงบนพื้นหิมะ ทหารเอลิลคนหนึ่งบุกเข้ามาแทงดาบใส่เขา เขาก้าวขาหลบ ขัดขาให้อีกฝ่ายเซเสียหลักก้มตัวมาใกล้เข่าของเขา กระแทกสนับเข่าใส่โล่ของอีกฝ่ายให้กระเด้งไปกระแทกหน้าเซหงายไปข้างหลัง แล้วจึงถอนดาบออกจากพื้น ฟันปาดคอสวนกลับในลักษณะคล้ายการชักดาบ กลุ่มทหารเอลิลข้างหน้าเขาตั้งแถวยกโล่กำบังแล้วก้าวฉับๆ ตรงเข้ามา เขาปล่อยสายฟ้าออกจากมือซ้ายสลายกลุ่มพวกนั้นตายไปคนละทาง การใช้ความสามารถพิเศษจะต้องแลกด้วยกำลังกาย เข่าข้างหนึ่งทำท่าจะทรุดลง เขาพยายามทรงตัวยืนให้อยู่

          เดลิลวาสจัดการกับดีเซ็นทรีคนหนึ่งด้วยวิธีเดียวกับที่เคยใช้กำราบโซลิแทร์ นั่นคือเมื่ออีกฝ่ายแทงดาบใส่ สองดาบของเขาก็จะไขว้กันเป็นกากบาท คว่ำกดปลายดาบของคู่ต่อสู้ให้เฉียงลงพื้น จากนั้นก็ยกขาข้างหนึ่งเตะเข้าที่กกหูให้อีกฝ่ายมึนงง แล้วกวาดดาบทั้งสองเล่มเฉียงขึ้นมากระจายออกจากกันในลักษณะของกรรไกร ดีเซ็นทรีคนนี้ไม่โชคดีเหมือนโซลิแทร์ เขายืนอยู่ในระยะห่างที่พอดีกับรัศมีดาบของเดลิลวาส จึงถูกดาบสองเล่มเฉือนเข้าที่หน้าอกเป็นกากบาท ลึกพอที่จะตายในทันที เดลิลวาสหันมามองโซลิแทร์ที่อยู่ในวงล้อมพวกทหารเอลิล ปากมังกรทู่ๆ ยิ้มเยาะ

          “มองไปรอบๆ สิ ข้าพูดผิดหรือไง สุดท้าย สิ่งเดียวที่เจ้าเหลืออยู่ คือความโดดเดี่ยว”

          โซลิแทร์สุดหายใจลึกๆ คงไม่มีอะไรในดาวดวงนี้ที่เขาจะเกลียดชังไปกว่าเซ็ทซาร์ดอีกแล้ว

          “หมดปัญญาดิ้นรนแล้วหรือ แบล็กไรดิงฮู้ด” เดลิลวาสถาม

          ไม่ว่าวันนี้จะเป็นหรือตาย โซลิแทร์ก็จะขอไว้ลายให้ศัตรูตัวฉกาจผู้นี้ได้เห็นบ้าง เขาใช้ปลายดาบขีดกากบาทที่พื้น ทุกครั้งที่เขาทำเช่นนี้ มันเป็นการบอกตัวเองว่า แม้จะสู้ไม่ได้ แต่ก็จะสู้จนตาย

          “ยังเหลือปัญญาอยู่นิดหน่อยเซ็ทซาร์ด” โซลิแทร์กัดฟันพูดเสียงเย็น ชี้ดาบไปข้างหน้า ปล่อยสายฟ้าออกจากปลายดาบอีกครั้ง

          หนนี้มันไม่ได้พุ่งเข้าใส่กลุ่มพวกทหารเอลิลเหมือนครั้งก่อน แต่มันกลับพุ่งเข้าใส่เกวียนบรรทุกจรวดของพวกเอลิลที่อยู่ใกล้ที่สุด

          เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงจนพวกเอลิลที่อยู่ในรัศมีต้องกระเด็นกระดอนไปคนละทางแบบชิ้นส่วนในร่างกายแยกออกจากกันหมด ซ้ำร้ายรัศมีระเบิดยังทำให้ฐานยิงจรวดที่อยู่ใกล้ที่สุดล้มคว่ำและจุดชนวนจรวดขึ้น จรวดลำนั้นพุ่งราบไปกับพื้นชนพวกทหารเอลิลในแนวตรงตายไปหลายคนและระเบิดออกมาปลิดชิพทหารเอลิลอีกจำนวนมาก เดลิลวาสต้องยกแขนกำบังชิ้นส่วนไหม้ไฟของอะไรก็ตามที่กระเด็นมากับแรงระเบิด โซลิแทร์รีบฉวยโอกาสใช้ดาบยาวในมือฟันแทงตีฝ่าออกไปในช่วงที่พวกเอลิลบริเวณนี้กำลังแตกขบวน กระสุนปืนยาวหลายนัดพุ่งเข้าใส่จากทางซ้ายเขาพุ่งม้วนตัวกับพื้นหลบได้ทุกนัดทำให้พวกทหารเอลิลที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งต้องรับกระสุนแทน สายฟ้าจากก้อนเมฆฟาดลงมาดับชีวิตทหารเอลิลกลุ่มใหญ่ที่ขวางหน้าตายเรียบในครั้งเดียว

          โซลิแทร์วิ่งหลบหลีกอาวุธศัตรูไปมาไม่หยุดในขณะที่มือทั้งสองข้างก็ขยับอาวุธสังหารศัตรูที่ขวางทาง ทหารเอลิลห้าคนถือดาบกับโล่มาตั้งกำแพงขวางหน้าไว้อย่างแน่นหนาแต่เขาก็หมุนตัวสะบัดผ้าคลุมใส่หน้าพวกนั้นและกวาดดาบปาดคอทั้งห้าคนภายในครั้งเดียว เขาวิ่งต่อไปเรื่อยๆ หลบคมดาบและแทงสวนกลับไป หลบกระสุนปืน พุ่งตัวหลบปลายง้าวทั้งหลายที่แทงเฉียดไปมาอย่างน่าหวาดเสียว และเมื่อเขาฟันดาบกำจัดทหารเอลิลอีกสองสามคนไปให้พ้นทางแล้ว สายตาของเขาก็มองเห็นดาร์คเนสดีวิลคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างพวกทหารเอลิลกับพวกนักรบดาร์คเนสดีวิลอันดุเดือด เซซิลนั่นเอง เขามีบาดแผลใหม่ที่ลำคอโดยเลือดสีดำยังไหลอยู่สดๆ เสื้อคลุมแผ่นโลหะและชุดเกราะก็ชำรุดหลายจุด มีบาดแผล เมื่อเขาเห็นโซลิแทร์ เขาก็หันฝ่ามือขวาเข้าหาทันที

          “ท่านลอร์ด” เขาตะโกน “หมอบลง”

                ไม่ต้องให้บอกซ้ำสอง โซลิแทร์รีบหมอบราบลงพื้น วงแหวนร้อนจัดสีขาวเส้นผ่านศูนย์กลางราวหนึ่งเมตรพุ่งข้ามร่างเขาไประเบิดกระจายไฟใส่พวกเอลิลด้านหลัง ชิ้นส่วนไหม้ๆ ของพวกทหารเอลิลจำนวนมากกระเด็นกระดอนขึ้นไปในอากาศ และตกลงมาบนพื้นหิมะทำหิมะละลายไปบางส่วน โซลิแทร์คว้าดาบของทหารเอลิลบนพื้นขึ้นมาเล่มหนึ่งและลุกขึ้นขว้างมันข้ามไหล่เซซิลไปเสียบกลางหน้าอกทหารเอลิลคนหนึ่งที่จะเข้ามาแทงง้าวใส่จากข้างหลัง จากนั้นก็ลุกขึ้นวิ่งต่อไป ใช้ดาบยาวฟันทหารเอลิลตายไปหนึ่งคนแล้วเข้าไปสมทบกับเซซิล กัปตันมาซูลฟันดาบคู่ต่อสู้อยู่ห่างออกไป ทั้งกัปตันมาซูลและเซซิลต่างก็มีบาดแผลเพิ่ม แต่ก็ยังไม่มีใครสารรูปดูแย่เท่าโซลิแทร์

          “ท่านไหวไหม” เซซิลถาม “หลายแผลเหมือนกันนะนี่”

          “ข้ายังไหว” โซลิแทร์หายใจหนัก“แล้วพวกเราทั้งหมดล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง”

          “ทัพอากาศของข้าศึกถูกกำราบแล้ว กองทัพบกของข้าศึกก็กำลังจะแตกพ่ายเช่นกัน” เซซิลพูดอย่างอ่อนแรง แต่ก็มีกำลังใจ“ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณท่านที่บังเอิญไปสร้างความวุ่นวายบริเวณแกนกลางกองทัพข้าศึกเมื่อสักครู่นี้ แม้จะเป็นอุบัติเหตุ แต่ก็ส่งผลดีไม่น้อย ตอนแรกข้าเห็นท่านสู้อยู่คนเดียว ข้าพยายามเข้าไปช่วย” เขาชี้ไปที่บาดแผลบริเวณลำคอของตน เลือดสีดำไหลโทรมทีเดียว “จึงได้บาดแผลนี้มา ข้าฝ่าไปไม่ไหว พวกเอลิลหนาแน่นเกินไป”

          “ข้าไม่เป็นไร และเรากำลังจะชนะ” โซลิแทร์ยิ้มเหนื่อยๆ อยู่หลังหน้ากาก“เราทุกคนทำได้ดี”

          ในที่สุด เดลิลวาสก็เป่าแตรสงครามแห่งไอซ์เมสส่งสัญญาณอีกครั้ง ไอควันสีขาวม้วนตัวขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดครึ้มด้วยเมฆสีเข้มมันคงเป็นสัญญาณถอยทัพ เพราะกองทัพเอลิลที่เหลือพากันถอยทัพเมื่อได้รับสัญญาณ จากกองทัพขนาดมหึมา ตอนนี้เหลืออยู่ไม่มาก โซลิแทร์มองตามหลังพวกเอลิลไป เห็นเดลิลวาสปรบมือให้อยู่ไกลๆ และทำท่าทางคล้ายบอกว่า รักษาเมืองให้ได้แบบนี้ทุกครั้งก็แล้วกัน เมื่อพวกเอลิลถอยห่างออกไป พวกดาร์คเนสดีวิลก็เริ่มเก็บอาวุธในมือและพักเหนื่อย สนามรบและบนกำแพงชั้นแรกเต็มไปด้วยศพจำนวนมหาศาล ศึกใหญ่นำมาซึ่งความเสียหายและความสูญเสียมากมาย แต่อย่างน้อยมันก็พิสูจน์ความแข็งแกร่งของเมืองฟรอส์ไอรอนแคลดและพวกดาร์คเนสดีวิลผู้รักษาเมือง ที่นี่รับศึกสามครั้งในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน และต่อสู้กับกองทัพที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ  แต่ยังคงยืนหยัดได้อย่างเหนียวแน่น บางทีตอนนี้ เมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดอาจถือเป็นปราการที่แข็งแกร่งที่สุดที่ดาวดวงนี้เคยมีมาในประวัติศาสตร์

          โซลิแทร์ดูดเมฆกลับเข้ามาในมือ ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ดาวหลายดวงส่องประกายระยิบระยับ และคงจะมีมาเพิ่มอีกหลายดวงเมื่อถึงยามค่ำกว่านี้ เขาปักดาบยาวกับพื้นหิมะและทรุดตัวนั่งลง เอนหลังพิงด้านแบนของดาบ ถอนหายใจผ่านหน้ากากอย่างเหน็ดเหนื่อย เซซิลและกัปตันมาซูลเข้ามาสมทบ ถอดหมวกเกราะออกพร้อมกัน ใบหน้าและเส้นผมเปื้อนเลือดสีดำกันทั้งคู่

          “พวกท่านรู้ไหม การสู้ศึกกับพวกเอลิลที่มีเฟลมฟอร์สบัญชาการกองทัพ มันทำให้พวกมนุษย์ดูกระจอกไปเลย” โซลิแทร์พึมพำเหนื่อยๆ “หวังว่าเราคงไม่ต้องสู้แบบนี้บ่อยๆ นะ”

          “ฝ่ายเราได้รับความเสียหายไม่น้อย” กัปตันมาซูลรายงาน “แต่ก็เสียหายน้อยกว่าพวกเอลิลหลายเท่า ถึงอย่างไรเราก็เป็นฝ่ายรับ มีพื้นที่ที่ดีกว่าและมีความได้เปรียบอื่นๆ อีกมากมาย นั่นทำให้ศึกครั้งนี้ เอลิลที่ตาย มีมากกว่าดาร์คเนสดีวิลที่ตาย ในอัตราส่วนค่อนข้างสูง”  

          “พวกเอลิลเพิ่งเสียคนไปจำนวนมาก เชื่อว่าคงใช้เวลานานกว่าจะสร้างกองทัพใหม่ได้” เซซิลบอก

          “ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น เราแข็งแกร่งก็จริง แต่ถ้าต้องรับศึกแบบนี้หลายๆ ครั้ง สักวันเราจะต้านทานไม่ไหว” โซลิแทร์กล่าว ในใจนึกไปถึงคำพูดของเดลิลวาสที่กล่าวว่า “ครั้งนี้อาจพิชิตไม่ได้ แต่หากเราโจมตีอย่างนี้ไปอีกหลายๆ ครั้ง ไม่นานเกินรอ พวกเจ้าถูกพิชิตแน่ อย่างที่เคยเป็นในอดีต”

          กัปตันมาซูลหยิบขวดเหล็กออกมาจากส้นรองเท้า โซลิแทร์หันไปมองแล้วกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย

          “เป็นครั้งที่สองแล้วนะ ที่ท่านนำมาดื่มขณะทำงาน” โซลิแทร์บ่น

          “ก็เราอุตส่าห์ทำงานใหญ่สำเร็จ ฉลองนิดๆ หน่อยๆ น่า ข้ากำลังคอแห้ง แล้วก็เริ่มปวดๆ แสบๆ ที่บาดแผล” กัปตันมาซูลกระดกเหล้าหนึ่งอึก ส่งต่อให้โซลิแทร์ “มันช่วยคลายหนาวได้ด้วยนะ ลืมไปแล้วหรือว่าเลือดไหลออกจากตัวท่านมากแค่ไหน”

          “ข้าบอกแล้วไง ว่าจะปฏิเสธมันทุกครั้งที่ท่านยื่นให้” โซลิแทร์โบกไม้โบกมือ “ท่านก็รู้ว่าข้าเกลียดที่จะเอาแอลกอฮอล์เข้าปากแค่ไหน กลิ่นมันอย่างกับยาล้างแผล แล้วมันก็ทำให้ข้ามึนๆ เวียนๆ หัวด้วย”

          “ลูกผู้ชายต้องรักษาคำพูด ข้าเคยบอกไปว่า จะยื่นขวดเหล้าให้ท่านทุกครั้งที่เราชนะศึกใหญ่และรอดตาย นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องทำตาม” กัปตันมาซูลยิ้มร่า หันไปส่งขวดให้เซซิลแทน เซซิลไม่ปฏิเสธ คว้าไปกระดกหนึ่งอึก “บางที มันอาจมีสักวันที่ท่านเผลอคว้าไปดื่ม แล้วข้าก็คงหัวเราะแทบตาย”

          “เอาเถอะ แค่ทนรำคาญให้ท่านยื่นขวดเหล้าให้ข้า แลกกับที่เราได้รับชัยชนะในศึกใหญ่ ยังไงข้าก็ทนได้” โซลิแทร์หายใจลึกๆ ยิ้มอยู่หลังหน้ากาก หันไปทำแขนกากบาทให้ทั้งคู่ “วันนี้พวกท่านสู้ได้ดีมาก อยากให้รู้ว่าพวกท่านสำคัญต่อเผ่าพันธุ์ของเรา และสำคัญต่อข้าแค่ไหน โปรดรับความเคารพจากข้า ไม่มีวันใดที่ข้าไม่มีความสุขที่ได้ร่วมงานกับพวกท่าน แม้จะเป็นวันอันแสนยากลำบากเช่นวันนี้ก็ตาม”

          “ท่านก็เช่นกัน” เซซิลและกัปตันมาซูลทำแขนกากบาท พูดพร้อมกัน

          ดวงดาวสวยงามเริ่มปรากฏขึ้นมาเต็มท้องฟ้า อย่างน้อย ท่ามกลางกองศพเกลื่อนกลาด อุปกรณ์สงครามพังๆ ธงหักๆ กลิ่นดินปืนไหม้ๆ กลิ่นเลือด ควันไฟ มันก็ยังพอมีสิ่งที่น่าดูอยู่บ้าง

          “เดี๋ยวก่อนนะ” เซซิลนึกได้ “วันนี้มันวันที่สิบเจ็ดเดือนสาม”

          “จริงด้วย” กัปตันมาซูลเบิกตากว้าง

          “วันที่สิบเจ็ดเดือนสามมันสำคัญยังไงหรือ” โซลิแทร์ถามงงๆ

          “ก็วันเกิดท่านยังไงล่ะท่านลอร์ด” เซซิลตอบ “สุขสันต์วันเกิด”

          โซลิแทร์กระพริบตาปริบๆ เพิ่งนึกได้ว่าตนเกิดวันที่สิบเจ็ดเดือนสาม

          “สุขสันต์วันเกิดปีที่สามสิบสาม ท่านลอร์ด สิ่งที่ท่านทำในวันเกิดปีนี้ คือฆ่าคนไปนับไม่ถ้วน” กัปตันมาซูลพูด “ท่านอยู่ในวัยสิบหกปีครึ่งแล้วใช่ไหม ทำไมข้ารู้สึกว่าท่านโตกว่านั้นนะ แต่เอาเถอะ อยากได้ของขวัญไหม”

          “ถามอย่างกับว่าจะหาให้ข้าได้” โซลิแทร์พูดอย่างเบื่อหน่าย “ขอทีท่านทั้งสอง ก็รู้กันอยู่ว่าปีศาจเราไม่ใช่พวกวัตถุนิยม ของขวัญวันเกิดมันคือธรรมเนียมสิ้นเปลืองของพวกมนุษย์ และวันเกิด มันก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งที่บอกให้รู้ว่าเราแก่เร็วขึ้นอีกปี ไม่เห็นจะน่าพิสมัยสักนิด”

          “นั่นคือเหตุผลที่ท่านลืมวันเกิดตัวเองมาตั้งหลายครั้งหรือ” กัปตันมาซูลหัวเราะ

          “พวกท่านก็รู้ว่าข้าความจำไม่ค่อยดี กว่าจะจำได้ว่าเป็นวันเกิด ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว” โซลิแทร์พูด “ก็มันไม่ใช่วันสำคัญอะไร ไม่เคยมีอะไรพิเศษเกิดขึ้นกับข้าเลย ฉะนั้นท่านทั้งสอง ไม่ต้องอวยพรวันเกิดข้าทุกปีหรอก การปฏิบัติธรรมเนียมที่พวกมนุษย์ชอบทำ มันทำให้ข้ารู้สึกระคาย”

          “เอาเถอะ อย่างน้อยวันเกิดท่านปีนี้ก็มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นบ้าง” เซซิลดื่มเหล้าอีกอึกแล้วส่งขวดคืนให้กัปตันมาซูล

          “เรื่องดีๆ อะไรหรือ”

          “ท่านไม่ตาย”

          “ก็เป็นเรื่องที่ดีนะ เกิดแล้วตายในวันเดียวกัน มันคงงี่เง่าชอบกล เหมือนศาสดาบางนิกาย”

          “แต่เห็นจากที่ท่านสู้เมื่อสักครู่แล้ว หวังจริงๆ ว่าปีนี้ จะไม่ใช่วันเกิดปีสุดท้ายของท่าน”

 

 

 

 

 

 

               

 

               

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา