พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.94K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

26) บทที่ 25 ไอซ์เมส

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 25

ไอซ์เมส

 

                เรือเหาะสีเงินห้าลำ ลอยลำอยู่เหนือป่าดงดิบอันเขียวขจี ป่าดงดิบแห่งนี้เป็นเสมือนหน้าด่านให้เมืองหลวงกาโกคอล จะไปถึงเมืองหลวงจะต้องผ่านป่าแห่งนี้เสียก่อน ลือกันว่ามีเทพารักษ์คอยปกปักรักษาป่าอยู่ สร้างความเกรงกลัวแก่บรรดานักตัดไม้และนักล่าสัตว์ยิ่งนัก แต่การที่เรือเหาะทั้งห้าลำนี้บินเข้าสู่เขตป่า แสดงว่าคนบนเรือเหาะไม่เกรงกลัวเลย จะว่าไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทุกคนที่อยู่บนเรือเหาะทุกลำ ล้วนเป็นเอลิล เอลิลเป็นผีที่ไร้ความรู้สึก ไม่สามารถกลัวได้

          กัปตันโพรเฟด นายทัพเอลิลผู้มีตาเป็นกลุ่มควันสีขาวนั้น ยกกล้องส่องทางไกลตรวจดูรอบๆ เขายืนอยู่ที่หัวเรือเหาะลำแรก มองได้ไม่กว้างไกลนักเพราะท้องฟ้ามีเมฆหนา เป็นปกติของพื้นที่ที่มีต้นไม้มาก

          “เรียนกัปตันโพรเฟด” ทหารเอลิลคนหนึ่งเข้ามารายงาน “เรือเหาะลำอื่นๆ ส่งสัญญาณมาว่า ยังไม่พบเห็นสิ่งอื่น นอกจากป่าอันกว้างใหญ่ เมฆที่ปกคลุมหนาบนท้องฟ้าทำให้เรามองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ไกลๆ”

          “เดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ อย่างน้อยเราก็จะได้ทราบความกว้างใหญ่ของพื้นที่ป่า ภารกิจของเราคือสำรวจพื้นที่ และประเมินความสามารถในการปกป้องพื้นที่ของข้าศึก” กัปตันโพรเฟดสั่ง “พลสอดแนมสามคนที่เราส่งไปก่อนหน้านี้ ไม่มีใครรอดกลับมา เราจึงไม่รู้อะไรมากนัก”

          พวกเอลิลอาจไม่รู้หรืออาจรู้ว่ากำลังถูกจับตามองผ่านแมกไม้ในป่าเบื้องล่าง ไมริฟ โบรริฟเวอร์และเหล่านักรบวูดส์วาร์เด็นกำลังปีนเกาะอยู่ตามต้นไม้แต่ละต้น เกราะหนังสีเขียวลายพรางประดับด้วยกิ่งไม้ใบไม้ของพวกเขา ทำให้ดูกลมกลืนไปกับป่ายิ่งนัก ไม่มีทางจากแยกออกหากมองจากบนฟ้า

          “นายหญิงคะ” วูดส์วาร์เด็นสาวคนหนึ่งเรียกเธอจากใต้ต้นไม้ “ท่านหัวหน้าเผ่าสกายซีและท่านรองหัวหน้าเผ่าไวท์วิสเพอร์ค่ะ”

          ไมริฟลงจากต้นไม้อย่างรวดเร็วเพราะฟอเรสเทอร์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ปีนต้นไม้ได้เก่งมาก แอเมน่าและเซ็นแวนเดอร์เดินเร็วๆ มาสมทบกับเธอ ธนูเตรียมพร้อมในมือ แอเมน่าสวมเกราะหนัง แขนกุด รัดรูป เปิดเนินอก ประดับขนนกที่ไหล่ เอว และชายกระโปรงหนังตัวสั้น สวมมงกุฎขนนกหัวหน้าเผ่า เซ็นแวนเดอร์สวมเกราะหนังทั่วทั้งตัว ประดับขนนกตามเกราะที่ไหล่และสนับแขน สวมรัดเกล้าขนนกรองหัวหน้าเผ่า ทั้งสองนำกองกำลังนักรบจากในเมืองมาด้วย เกราะของนักรบเหล่านี้เป็นสีเขียวใบไม้ ไม่ได้มีลายพรางประดับกิ่งไม้ใบไม้เหมือนเกราะของพวกวูดส์วาร์เด็น

          “เราไม่ทราบว่าในเรือเหาะแต่ละลำมีทหารข้าศึกมากแค่ไหนค่ะ” ไรริฟรายงาน “พวกนั้นอยู่ในตำแหน่งสูง สังเกตยาก เหนือยอดไม้ไปก็มีแดด เป็นปัญหาต่อสายตากลางคืนของเผ่าพันธุ์เรา”

          “เรือเหาะลำไม่ใหญ่มาก มากันแค่ห้าลำ มากันเงียบๆ เชื่อว่าพวกนั้นไม่ได้มีจุดประสงค์มาสู้รบ” แอเมน่าประเมิน “คงจะมาสอดแนมเสียมากกว่า”

          “เราควรยิงสกัดไว้ดีไหมคะ” ไมริฟถาม “เผ่าพันธุ์ของเรามีพลธนูที่เก่งที่สุดในดาวดวงนี้”

          “เราอยู่ในตำแหน่งต่ำกว่า มุมยิงไม่เอื้ออำนวยนัก บอลลูนเรือเหาะก็อยู่สูงเกินไป จะยิงคนในเรือเหาะก็ต้องให้ลูกธนูโค้งลง ซึ่งโดนเป้าหมายยาก เพราะไม่อยู่ในมุมที่เราจะมองเห็น” เซ็นแวนเดอร์ชี้แจง “ลูกธนูส่วนใหญ่จะยิงติดท้องเรือ ซึ่งเป็นส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดของเรือเหาะ”

          “พวกเอลิลฉลาด อาศัยมุมสูงในการรับมือกับธนูของพวกเรา ใช้ท้องเรือเป็นโล่” แอเมน่ากล่าว “แต่เรือเหาะก็มีข้อจำกัด อย่างแรกคือ มันมีน้ำหนักมาก เคลื่อนไหวกะทันหันได้ช้า จะบินสูงกว่านี้ก็ไม่ได้ ฉะนั้น เราจะยิงธนูใส่กี่ดอกก็เข้าเป้าทุกดอก อย่างที่สองคือ ตัวเรือเหาะทำด้วยไม้ หากทำด้วยวัสดุที่แข็งแกร่งกว่านั้นมันจะหนักจนบินไม่ขึ้น ซึ่งไม้มันติดไฟได้”

          “เราจะใช้ไฟโจมตีหรือคะ”

          “ใช่แล้ว” แอเมน่าพยักหน้า “ด้วยเหตุนี้ ข้าถึงนำยางไม้เคี่ยวกับน้ำตาลและน้ำมันมาด้วย”

          กองกำลังนักรบฟอเรสเทอร์ที่แอเมน่านำมาจากเมืองหลวงนั้น บางส่วนถือหม้อใส่ของเหลวเหนียวข้นสีคล้ำมาด้วย

          “เก็บลูกธนูหัวเหล็กไว้ เราจะใช้ธนูหัวไม้พันเชื้อเพลิง” เซ็นแวนเดอร์สั่ง

          นักรบทุกคนนำกระบอกลูกธนูที่ทำด้ายไม้พันผ้าที่ปลายมาสะพาย

          “ขึ้นไปประจำที่บนต้นไม้” เซ็นแวนเดอร์สั่ง

          บรรดานักรบฟอเรสเทอร์ปีนขึ้นไปบนต้นไม้แต่ละต้น แอเมน่าปีนขึ้นมาอยู่ต้นเดียวกับเซ็นแวนเดอร์ แหวกกิ่งไม้มองขึ้นไปยังเรือเหาะทั้งห้า เฝ้ารอให้อีกฝ่ายเข้ามายังตำแหน่งที่เหมาะสม

          “ข้าจำนายทัพเอลิลคนนั้นได้” เซ็นแวนเดอร์ชี้ไปยังกัปตันโพรเฟด “ตาของเขาแตกต่างจากคนอื่น”

          “กัปตันโพรเฟด” แอเมน่าหยิบธนูดอกหนึ่งออกมาจากกระบอกสะพาย เป็นธนูไม้ที่พันด้วยเชื้อเพลิงติดไฟง่าย “อันไดอิ้ง

          ตามต้นไม้แต่ละต้นจะมีนักรบฟอเรสเทอร์ถือหม้อเชื้อเพลิงและคบไฟปีนขึ้นไป ไมริฟปีนขึ้นไปหาแอเมน่าและเซ็นแวนเดอร์พร้อมด้วยคบไฟในมือ วูดส์วาร์เด็นสองคนถือหม้อเชื้อเพลิงปีนต้นไม้อยู่ข้างๆ เธอ แอเมน่าและเซ็นแวนเดอร์หันมาจุ่มหัวธนูพันผ้าลงในหม้อเชื้อเพลิง พลธนูคนอื่นๆ ก็ทำตามด้วย

          “ไฟค่ะ ท่านหัวหน้าเผ่า” ไมริฟจุดไฟปลายธนูให้แอเมน่า

          “ธรรมชาติของไฟคือ ปลายมันจะพยายามตั้งตรงเสมอ” แอเมน่าขึ้นสายธนู ประทับเล็ง “ยิงเข้าที่ใต้ท้องเรือ แล้วเปลวไฟทุกส่วนจะสัมผัสกับเรือ มันจะลุกลามเร็วขึ้น”

          เซ็นแวนเดอร์และพลธนูคนอื่นๆ ขึ้นสายธนูติดไฟ เล็งขึ้นไปบนฟ้า รอคำสั่งจากเธอ

          “ข้าศึกซุ่มยิงอยู่ข้างล่าง” กัปตันโฟรเฟดก้มลงไปเห็นแสงเปลวๆ เล็กๆ นับร้อยๆ จากหมู่ยอดไม้เบื้องล่าง “ปืนยาว เตรียมพร้อม”

          “ยิง” แอเมน่าปล่อยธนูไฟดอกแรกออกไป

          ธนูไฟจำนวนมากพุ่งเข้าปักใต้ท้องเรือเหาะลำที่ใกล้ที่สุด เปลวไฟเริ่มลุกโชน พวกทหารเอลิลในเรือเหาะลั่นปืนยาวยิงสวนกลับ แต่ก็ไม่ถูกเป้าหมายเลยเพราะพวกฟอเรสเทอร์ซ่อนตัวอยู่ในแมกไม้มืดๆ พวกเขากระโดดเกาะกิ่งไม้โหนเถาวัลย์เปลี่ยนตำแหน่งไปมาเพื่อหลบกระสุน และยิงจู่โจมต่อไป จนเปลวไฟเริ่มลุกติดเรือเหาะและลุกลามไปเรื่อยๆ

          “ต่อไฟให้ลุกลามขึ้นไปถึงกราบเรือ” แอเมน่าย้ายตำแหน่งเพื่อหลบกระสุน จุ่มลูกธนูลงในหม้อเชื้อเพลิงและรับไฟจากไมริฟ การใช้เชื้อเพลิงเปียกๆ แบบนี้ยิ่งทำให้เป้าหมายติดไฟง่าย

          พวกพลธนูฟอเรสเทอร์เปลี่ยนเป้าหมายจากท้องเรือ ค่อยๆ ไล่ขึ้นไปทางกราบเรือ เปลวไฟลุกลามกว้างขึ้นและสูงขึ้น พวกเอลิลไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะดับได้สะดวก ที่ทำได้ก็แค่ยิงปืนยาวตอบโต้กลับไป ซึ่งก็ไม่ถูกพวกฟอเรสเทอร์เลยสักนัด แม้พวกฟอเรสเทอร์จะล้าหลัง แต่เรื่องยิงธนูนั้น พวกเขาไม่เป็นสองรองใคร สู้กันแบบซุ่มยิงจากในป่าทึบๆ เช่นนี้พวกเขาถนัดมาก

          “เดินหน้าเต็มที่” กัปตันโพรเฟดสั่ง

          “ติดตามเป้าหมาย” แอเมน่าสั่ง

          เรือเหาะทั้งห้าลำถูกเติมเชื้อเพลิงเร่งไปข้างหน้า แอเมน่าและพวกฟอเรสเทอร์ก็กระโดดเปลี่ยนต้นไม้ คอยไล่ตามยิงไปเรื่อยๆ ต้องยอมรับว่าพวกฟอเรสเทอร์ปีนป่ายได้เก่งกาจสมเป็นชาวป่า ราวกับพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกับป่า ทั้งหญิงทั้งชายกระโดดเกาะกิ่งไม้แล้วยิงธนูไฟ โหนเถาวัลย์แล้วยิงธนูไฟ ใช้ขาเกี่ยวต้นไม้แล้วยิงธนูไฟ เรือเหาะเอลิลลำที่ถูกเผาเริ่มจะควบคุมการลุกลามไม่อยู่ ไฟทำท่าจะลุกท่วมทั้งตัวเรือ

          “ยิงต่อไปฟอเรสเทอร์ สอยมันลงมาให้ได้” แอเมน่าระดมยิงธนูไฟไม่หยุด

          ภายในเวลาไม่นาน เรือเหาะลำนั้นก็ถูกเผาหนัก จนร่วงตกพังเป็นชิ้นๆ ต้นไม้บริเวณนั้นหักงอเผาไหม้ แต่ก็ล้มเสียหายไม่กี่ต้น เพราะต้นไม้ในป่าเกือบทั้งหมดนั้นต้นใหญ่แข็งแรงและเขียวสด ไฟไม่ลุกลามติดแน่นอน พวกฟอเรสเทอร์เปลี่ยนเป้าหมายไปที่เรือเหาะอีกลำ ถ้าพวกเอลิลไม่ถอยกลับไป พวกเขาก็จะสอยให้หมดทั้งห้าลำนี่ล่ะ

          กัปตันโฟรเฟดขึ้นไปยืนที่หัวเรือ ตามองกว้าง ในตอนนี้กลุ่มเรือเหาะของเขาออกมาจากบริเวณที่มีเมฆหนาแล้ว ทำให้มองเห็นข้างหน้าได้กว้างไกลขึ้น แอเมน่าและเซ็นแวนเดอร์อาศัยความแม่นยำยิงธนูใส่เขา แต่เขาก็ยกโล่กำบังด้วยแขนข้างหนึ่ง แขนอีกข้างยกกล้องส่องไปข้างหน้าอย่างมีสมาธิ ราวกับไม่มีอะไรมาขัดขวางการสำรวจของเขาได้

          แอเมน่ามองตามทิศทางการมองของเขา กำแพงเมืองกาโกคอลและปราสาทต้นไม้ปรากฏให้เห็นอยู่ไกลๆ ตำแหน่งสูงจากเรือเหาะอาจทำให้เขาเห็นมากกว่านั้น อาจเห็นทั้งฐานทัพเลยก็ว่าได้ เธอเริ่มใจไม่ดี โดยเฉพาะเมื่อเห็นกัปตันโพรเฟดเริ่มลดกล้องลง และขีดเขียนลงในสมุดบันทึกด้วยความรวดเร็ว เธออยากจะเผาเรือของกัปตันโพรเฟดให้ร่วงลงมา แต่เรือเหาะลำอื่นๆ ก็บินประกบเรือจ่าฝูงจนแทบไม่มีช่องให้ระดมยิงได้ ธนูไฟไม่กี่ดอกที่ยิงไปถึงเรือเหาะของกัปตันโพรเฟดก็ไม่ทำให้ไฟลุกลามเพียงพอ จะยิงใส่กัปตันโพรเฟดก็ถูกโล่ของเขากำบังได้หมด

          “เราต้องสอยเรือเหาะที่บังอยู่เสียก่อน จึงจะมีช่องทางระดมยิงเรือจ่าฝูงได้” แอเมน่าบอก

          เรือเหาะที่ประกบเรือจ่าฝูงอยู่จึงถูกระดมยิงด้วยธนูไฟ แต่นั่นก็ช่วยซื้อเวลาให้กัปตันโพรเฟดได้มากทีเดียว กว่าเรือเหาะลำที่บังอยู่จะลุกติดไฟจนทำท่าจะร่วง เขาก็เก็บรายระเอียดจนเพียงพอ เขาส่งสัญญาณให้เรือเหาะทุกลำตีวงกลับ เรือเหาะลำที่ถูกเผานั้นร่วงตกลงไปอีกลำ ส่วนสามลำที่เหลือก็มุ่งหน้าออกไปจากอาณาจักรกาโกคอล ถูกยิงลุกติดไฟเล็กน้อย แต่มันก็คงจะดับในเวลาไม่นาน

          พวกฟอเรสเทอร์ส่งเสียงร้องด้วยความฮึกเหิมที่พวกตนขับไล่ศัตรูออกไปได้ โดยไม่มีใครตายหรือบาดเจ็บสักคน แต่แอเมน่าดูมีสีหน้ากังวล เธอรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีจุดประสงค์มาโจมตี แต่มีจุดประสงค์มาสอดแนมและประเมินค่า ซึ่งเป็นไปได้ว่ากัปตันโพรเฟดจะเก็บข้อมูลไปได้ไม่น้อยทีเดียว

          “เรียนท่านหัวหน้าเผ่า” ไมริฟเข้ามารายงาน ขณะที่แอเมน่าลงจากต้นไม้ “เราตรวจสอบสภาพป่าบริเวณที่เรือเหาะทั้งสองลำตกลงไป ความเขียวสดและแข็งแรงของต้นไม้ทำให้ไม่ได้รับความเสียหายมากค่ะ”  

          “พบอะไรจากซากเรือเหาะทั้งสองลำไหม” แอเมน่าถามต่อ

          “พบซากศพเอลิลแค่ลำละไม่กี่คนค่ะ” ไมริฟตอบ “ไม่พบเอกสารสงครามหรือสิ่งน่าสนใจใดๆ บางทีอาจถูกเผาไปกับไฟแล้วก็ได้”

          “พวกเอลิลนำคนมาแค่นิดเดียว” เซ็นแวนเดอร์ลงจากต้นไม้มาสมทบ “ชัดเจนเลยว่า มาเพื่อสอดแนม เก็บข้อมูล และประเมินประสิทธิภาพการรบของพวกเรา”

          “และคงรู้อะไรไปไม่น้อยทีเดียว” แอเมน่าเสริม

          “ถ้าพวกนั้นจะทำสงครามกับเรา ยังไงก็ต้องรู้สักวัน” เซ็นแวนเดอร์พูด “อย่างไรก็ตาม การที่พวกนั้นรู้สภาพพื้นที่และกลยุทธ์การรับมือของเรา ก็ไม่ได้ทำให้พวกนั้นได้เปรียบอะไร ข้าไม่คิดว่าพวกนั้นจะหาทางบุกถึงเมืองหลวงของเราได้”

          “จะยังไงก็ต้องผ่านป่าดงดิบ” ไมริฟว่า “พื้นที่ไม่เอื้ออำนวยสำหรับพวกเอลิล เดินทัพเข้ามาก็จะถูกเราซุ่มยิงตายหมด ไม่มีถนนสำหรับลำเลียงอุปกรณ์สงคราม ต่อให้ใช้เรือเหาะลำเลียงทัพเข้ามา ก็จะถูกเราสอยร่วงเหมือนสักครู่นี้”

          “ป่ารอบนอกคือปราการสำคัญของเรา ฉะนั้น เราจะเน้นการป้องกันในพื้นที่ป่าเต็มที่” แอเมน่ากล่าว “ไมริฟ เจ้าและบรรดาวูดส์วาร์เด็นของเจ้าจะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง ไม่ว่าจะปัจจัย กำลังเสริม หรือสิทธิ์ที่เจ้าจะได้บัญชาการกองกำลังในเมืองหลวงบางส่วน”

          ไมริฟถอนสายบัว ยิ้มอย่างพออกพอใจ

          “หากข้าศึกพยายามจะบุกอาณาจักรของเราจริงๆ ก็ต้องลำบากเจ้าแล้ว ลูกพี่ลูกน้องของข้า” เซ็นแวนเดอร์จับไหล่เธอ “เจ้าและคนของเจ้า คือสิ่งเดียวที่ขวางระหว่างข้าศึกกับเมืองหลวงของเรา ท่าทางช่วงหลังๆ นี้ เราอาจต้องเรียกตัวเจ้าเข้าไปประชุมแผนการรบในปราสาทต้นไม้บ่อยๆ เสียแล้ว”

          “ข้าจะไม่ทำให้พวกท่านผิดหวังค่ะ” เธอให้ความมั่นใจ “ข้าและเหล่าวูดส์วาร์เด็นของข้าอาจไม่ทนทายาทเหมือนพวกดาร์คเนสดีวิลปกป้องฟรอสท์ไอรอนแคลด แต่ข้าจะแสดงให้พวกข้าศึกเห็นว่า ป่าก็แข็งแกร่งไม่แพ้กำแพงน้ำแข็งเลย”

 

*******************

 

                ซอร์โรร่าไขลานกล่องดนตรี จากนั้นก็หมุนตัวเต้นตามเพลงอย่างนุ่มนวล การกรีดกรายของเธออ่อนช้อยและเบาหวิวเหมือนสายลม สอดคล้องกับเสียงเพลงอันอ่อนโยนของกล่องดนตรี ยามนี้เธอดูเหมือนตุ๊กตายิ่งนัก ทั้งชุดที่สวม ผิวกายอันขาวเนียนเกลี้ยงเกลา และใบหน้าที่สวยหวานเหมือนตุ๊กตา การเคลื่อนไหวอันนุ่มนวลของเธอแสดงให้เห็นว่าตัวเธออ่อนมาก เด็กสาวหลับตาพริ้ม ดื่มด่ำไปกับการเต้นรำ จนกระทั่งจบเพลง เธอหมุนตัวหนึ่งรอบและกางแขนย่อเข่าถอนสายบัว เป็นท่าจบการเต้นรำ

                มีเสียงปรบมือดังขึ้นจากประตูห้อง อาร์รอส ไอวิวรี่ส่งยิ้มให้เธออย่างอบอุ่น แขนข้างหนึ่งหนีบหีบกำมะหยี่ผอมๆ ยาวๆ มาด้วย ซอร์โรร่ายิ้มอย่างดีใจ ตรงเข้าไปกอดพ่อ

                “ใครจะไปรู้ว่าลูกสาวพ่อจะเต้นรำเก่งขนาดนี้” อาร์รอสยิ้มร่า “แทบจะถอนสายตาไปทางอื่นไม่ได้”

                “คิดถึงพ่อจังเลย พ่อไม่อยู่บ้านตั้งนาน” เด็กสาวจูบแก้มพ่อ “พระราชางี่เง่าใช้งานพ่อหนักเกินไป”

                “ก็พ่อเสนอตัวทำหน้าที่นี้ พ่อก็ต้องทำ ยังไงก็ดีกว่าไปรับผิดชอบเรื่องทำสงครามกับเผ่าพันธุ์อื่น จริงไหมลูก” อาร์รอสลูบศีรษะลูกสาวอย่างรักใคร่ “หลังจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่โมราโซมอส สิ่งที่ตามมาคือความเสียหายอันใหญ่หลวง ในเมื่อพ่อรับหน้าที่ดูแลความสงบภายในอาณาจักร พ่อก็ต้องจัดการให้มันเข้าที่เข้าทาง”

                “กล่าวคือ พ่อถูกพระราชาบังคับให้ทำเละเทะ และก็ต้องเก็บกวาดสิ่งที่มันเละเทะเหมือนเป็นความผิดของพ่อเอง ตอนนี้ประชาชนมากมายมองพ่อในแง่ลบ เหมือนว่าพ่อเป็นคนต้นคิดให้สลายการชุมนุม ทั้งที่พ่อทำเพราะถูกพระราชาบังคับ” ซอร์โรร่าพูดอย่างเจ็บแค้น “นี่ยังไม่รวมที่พระราชาแทบไม่สนับสนุนปัจจัยในปฏิบัติการของพ่อเลย หน้าด้านที่สุด”

                “ก็พระองค์ไม่ค่อยโปรดปรานพ่อ” อาร์รอสหัวเราะอย่างอ่อนใจ “มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ชอบโอ้อวดและบ้ายอ ใครประจบประแจงไม่เก่งก็เจริญยาก เชื่อว่าถ้าเราสองคนไม่ได้เป็นญาติกับพระราชา ป่านนี้เราคงตกต่ำพอๆ กับข้าราชการปลายแถว”

                “บางครั้ง ข้าก็อยากจะหนีไปให้ไกลจากอาณาจักรอันน่าสมเพชนี้” ซอร์โรร่ากระซิบ “ไม่ต้องพบเจอพวกเห็นแก่ตัว พวกชอบโอ้อวด พวกชอบประจบประแจง พวกวัตถุนิยม พวกหน้าด้านหน้าทน พวกฝักใฝ่แต่ผลประโยชน์ พวกปลิ้นปล้อน พวกชอบดูถูกคนอื่น พวกชอบ---โอ้ย! ให้ข้าพูดถึงข้อเสียของมนุษย์ พูดทั้งวันก็คงไม่จบ”

                “เด็กน้อย” อาร์รอสหัวเราะชอบใจ ตบแก้มลูกสาวเบาๆ อย่างเอ็นดู “พ่อภูมิใจที่ลูกสาวของพ่อไม่มีอะไรเหล่านั้นเลย สิ่งที่ลูกมีนั้น เป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปไม่ค่อยจะมีนัก นั่นคือความจริงใจ ความจริงใจคือจุดเริ่มต้นในการสร้างมิตรภาพที่แท้จริง”

                “แล้วทำไมถึงไม่ค่อยมีมนุษย์คนไหนอยากคบข้าเลยล่ะคะ” ซอร์โรร่าถาม

                “ลูกสาว เพื่อนน่ะไม่ใช่สิ่งหายากเลย แค่มีเงินทอง มีอำนาจ มีผลประโยชน์ให้มากๆ เพื่อนก็มีเต็มไปหมดแล้ว ซึ่งเพื่อนแบบนี้มันก็ดีแค่เปลือก หาความจริงใจ ความห่วงใย ความซื่อสัตย์ แทบไม่ได้ ลูกโชคดีแล้วที่ไม่ต้องมีเพื่อนแบบนี้” อาร์รอสจับบ่าลูก “เราไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนเยอะ ขอแค่เพื่อนที่เรามี เป็นเพื่อนแท้ก็พอ เพื่อนผู้จริงใจ ห่วงใย และซื่อสัตย์ ซึ่งในเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้น หาเพื่อนที่มีคุณสมบัตินี้ได้ยากยิ่ง ฉะนั้นอย่าไปใส่ใจเลยที่มนุษย์คนอื่นไม่ค่อยอยากคบลูก ให้พวกนั้นลุ่มหลงกับคำเยินยอคำประจบประแจงไป เดี๋ยวยามตกอับก็จะรู้เองว่า เพื่อนมากมายที่ตนมีนั้น มันไร้ประโยชน์ไม่ต่างจากเครื่องประดับปลอมๆ”

                “พ่อมีเพื่อนแท้หรือเปล่าคะ” ซอร์โรร่าถาม ตาเป็นประกาย

                “เคยมี แต่ความเห็นแก่ตัวของพ่อทำลายมิตรภาพของเราไป” อาร์รอสถอนหายใจเศร้าๆ มองที่หลังมือซ้ายของตน มองเพื่ออะไรก็สุดรู้ได้ “ซีเมลิลเป็นเพื่อนที่ดี แต่พ่อกลับหักหลังเขาอย่างน่าไม่อาย สมควรแล้วที่พ่อจะอยู่อย่างรู้สึกผิดมาตลอดชีวิต”

                “เรื่องอะไรหรือคะ ที่ทำให้พ่อแตกหักกับเขา”

                “ผู้หญิง”

                “โอ้” ซอร์โรร่าอ้าปาก พยักหน้า

                “เราทุกคนล้วนมีช่วงเวลาที่เยาว์และโง่เขลา” อาร์รอสส่ายหน้า “แต่พ่อดีใจนะ ที่ลูกไม่โง่เขลาแบบพ่อ ลูกเห็นคุณค่าของคำว่าเพื่อน และลูกก็เป็นเช่นนั้นเสมอมา”

                ซอร์โรร่ายิ้มให้อาร์รอส หันไปมองที่โต๊ะวางกล่องดนตรี มีเศษผ้าสีดำผืนหนึ่งวางอยู่ นานแสนนานแล้วที่เด็กชายปีศาจตัวน้อยเคยใช้มันพันแผลให้เธอ ซึ่งเธอก็มักจะนำมันติดตัวตลอด เธอเดินไปหยิบมันมาถือไว้ หันกลับไปหาพ่อ

                “พ่อว่าป่านนี้เขาจะเป็นยังไงแล้วคะ” เด็กสาวถาม

                “อาจตายไปแล้ว หรืออยู่ที่ไหนสักแห่ง เรื่องนี้เราคงไม่มีวันได้รับรู้” อาร์รอสบอกตามตรง “แต่พ่อขอให้ลูกจำไว้ว่า ลูกคือเพื่อนคนแรก และเพื่อนที่แสนดีของเขา ลูกสำคัญต่อเขามาก ยามใดที่ลูกเริ่มข้องใจว่าทำไมตนไม่ค่อยมีใครคบ ตนไม่ดีตรงไหน ทำไมตนถึงไม่มีเพื่อนเลย ขอให้ลูกนึกถึงเขาและมิตรภาพอันดีระหว่างกัน แล้วลูกจะไม่มีวันรู้สึกว่าตนไร้ค่า”

                “นั่นคือสิ่งที่ข้าทำมาตลอดค่ะ” ซอร์โรร่ากำเศษผ้าแน่นขึ้น “มันทำให้ข้าทนอยู่ในสังคมมนุษย์อันย่ำแย่มาได้จนถึงทุกวันนี้”

                “ยังไงก็แล้วแต่ พ่อดีใจกับลูกด้วยนะ ที่พวกดาร์คเนสดีวิลต้านการบุกได้อีกครั้ง พ่อเองก็ไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยอะไรพวกนั้นมากมายหรอก แต่ก็มีความสุขที่รู้ว่าลูกมีความสุข” อาร์รอสว่า “จริงๆ เลย รับศึกหนักหลายครั้งในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ก็ยังยืนหยัดรักษาเมืองไว้ได้ ใครจะไปรู้ว่าปีศาจรุ่นปัจจุบันจะแข็งแกร่งทนทายาทถึงเพียงนี้ นี่คงเป็นเหตุให้ลูกของพ่ออารมณ์ดีจนมาซ้อมเต้นรำสินะ”

                “น่าเศร้าที่พวกเขาตายกันไปมากมาย แต่ก็ยังดีกว่าเสียเมืองและตายไปมากกว่านี้ ข้าถือว่าเป็นข่าวดีค่ะ แล้วข้าก็ดีใจมากกว่าเสียใจ”

                อาร์รอสหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ซ่อนไว้ข้างหลัง แล้วยิ้มให้ซอร์โรร่าอย่างหยอกเล่น ซอร์โรร่าเอียงคอยิ้มอย่างเล่นด้วย ตั้งแต่ซอร์โรร่ายังเป็นเด็กตัวเล็กๆ อาร์รอสมักจะทำอย่างนี้เสมอเวลาจะให้อะไรกับเธอ

                “อะไรหรือคะ” เด็กสาวยื่นหน้ามาหาพ่อ กระพริบตาปริบๆ อย่างอ้อนวอน น่ารักไม่เบา

                “ของขวัญวันเกิดของลูกไง อาจช้าไปสักหน่อย มันเลยวันที่สิบสี่เดือนสามมาสองสัปดาห์แล้ว แต่พ่อก็ไม่อยู่ตลอดทั้งสองสัปดาห์นี่” อาร์รอสกล่าว “สุขสันต์วันเกิดปีที่สามสิบสามจ้ะ แม่นางฟ้า เผลอแปบเดียวลูกก็อยู่ในวัยสิบแปดปี เป็นสาวเต็มตัวแล้วสินะ”

                “แหมพ่อคะ ไม่จำเป็นต้องให้ของขวัญข้าหรอก” เด็กสาวหัวเราะเสียงใส “พ่อก็รู้ว่าข้าไม่ใช่พวกวัตถุนิยม แล้ววันเกิดมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากมาย นอกจากจะบอกว่าข้าแก่เร็วขึ้นอีกปีหนึ่ง”

                “มันสำคัญสำหรับพ่อ เพราะมันเป็นวันที่พ่อมีความสุขมาก ลูกไม่รู้หรอกว่าการที่ลูกเกิดมา มันเปลี่ยนชีวิตแย่ๆ ของพ่อให้ดีขึ้นแค่ไหน” อาร์รอสยื่นแผ่นกระดาษที่ซ่อนอยู่ข้างหลังให้ซอร์โรร่า “ลูกสมควรได้รับของขวัญจากพ่อทุกปีจ้ะ”

                “นี่อะไรหรือคะ” ซอร์โรร่ากางแผ่นกระดาษออกอ่าน

                “ก็แค่เอกสารที่แสดงการจัดส่งเสบียงน่ะ” อาร์รอสตอบ “พืชพันธุ์ผลผลิตของเมืองเซร่าค่อนข้างเหลือกินเหลือใช้ พ่อจึงจะแบ่งปันให้กับเมืองโอมิลรอนทุกสองเดือน โดยมีข้อแม้ว่า ผลผลิตเหล่านั้นครึ่งหนึ่ง จะต้องไปเป็นอาหารของเชลยศึกดาร์คเนสดีวิลที่ถูกจองจำอยู่ในโอมิลรอน เจ้าเมืองแอนโทนิดัส แร็กซ์ริงสนิทกับพ่อ เขาจะจัดการตามที่ขออย่างราบรื่น ไม่มีหลุดไปเข้าหูพระราชา”

                “รักพ่อที่สุดเลย” ซอร์โรร่าเข้าไปกอดอาร์รอสอย่างดีอกดีใจ

                “ลูกมีเมตตากับสิ่งที่ถูกเหยียบย่ำเสมอ นั่นคือความน่ารักของลูก พ่อถึงเรียกลูกว่าแม่นางฟ้ามาตลอด” อาร์รอสจูบหน้าผากเธอ “จงเป็นตัวของตัวเองอย่างที่ลูกเป็นมาตลอด ใครจะว่าลูกไม่ดียังไงก็ช่าง สำหรับพ่อ ลูกคือเด็กหญิงที่ดีที่สุด ไม่ใช่แล้วสิ ตอนนี้ลูกเป็นหญิงสาวแล้ว เป็นหญิงสาวที่สวยมากๆ ด้วย ถามจริงๆ เถอะ ไม่คิดจะคบหาผู้ชายคนไหนเลยหรือ”

                “ก็ผู้ชายเผ่าพันธุ์เรามีแต่พวกงี่เง่า เห็นแก่ตัว และหน้าด้านนี่คะ”

                “มันก็จริงนะ อย่างน้อยก็ในสังคมที่เราเผชิญอยู่ แล้วผู้หญิงล่ะ ลูกก็ชอบผู้หญิงด้วยไม่ใช่หรือ แม่สาวซินซิสเทอร์คนสวยนั่นไปไหนแล้ว”

                “พ่อจะให้ข้าจริงจังกับซินซิสเทอร์จริงๆ หรือคะ” ซอร์โรร่าหัวเราะชอบใจ “ต่อให้พ่อพูดว่าใช่ ข้าก็พูดว่าไม่อยู่ดี ก็รู้กันอยู่ว่าพวกนั้นเป็นยังไง”

                “ก็ไม่ต้องไปจริงจังอะไรมาก อย่างน้อยเธอก็ช่วยคลายความเหงาให้ลูกได้ คือพ่อพอเข้าใจว่าคนวัยหนุ่มสาวมันก็มีความต้องการเป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตเลือดอุ่น พ่อไม่เคยมองว่ามันเป็นเรื่องไม่ควรทำอย่างที่พวกคนหัวโบราณโลกสวยชอบมอง พวกนี้ทั้งโลกแคบทั้งโง่”

                “เธอคงหายหน้าหายตาไปอีกนาน หลังจากได้สมบัติล้ำค่าจากสุสานของเจ้าชายไททอสแล้ว” ซอร์โรร่าหัวเราะคิกคัก “ข้าไม่ค่อยคิดถึงเธอเท่าไหร่หรอกค่ะ ไอ้เรื่องความต้องการนั้น ข้ามีวิธีบำบัด”

                “พ่อจะไม่ถามละนะว่าวิธีไหน” อาร์รอสพูดยิ้มๆ “แต่ขออย่างหนึ่งนะ ล้างมือให้สะอาดก่อนจะมารับประทานอาหารกับพ่อล่ะ”

                ซอร์โรร่าตีแขนอาร์รอสแล้วเข้าไปกอดเอว หัวเราะยกใหญ่ อาร์รอสกอดคอซอร์โรร่าแล้วหัวเราะด้วย เป็นภาพที่อบอุ่นน่ารัก ยากนักที่จะหาพ่อลูกที่เข้าอกเข้าใจกันแบบนี้ได้   

                “ส่วนนี่ ของขวัญอีกชิ้นจ้ะ” อาร์รอสยื่นกล่องกำมะหยี่ผอมๆ ยาวๆ ที่ตนถือมาด้วย “พ่อไม่สนับสนุนให้ลูกไปรบราฆ่าฟันใครหรอกนะ มันอันตราย แต่ลูกก็ฝึกดาบกับบิลิสมาตั้งนานแล้ว ควรมีดาบดีๆ ไว้สักเล่ม อย่างน้อยก็เอาไว้ป้องกันตัวได้”

                ซอร์โรร่าเปิดกล่องกำมะหยี่ ใบหน้าของเธอสะท้อนอยู่บนใบดาบสีแดงทองที่เงาวับ เป็นดาบขนาดสั้น เหมาะสำหรับผู้หญิง ใบดาบสลักลายปีกนางฟ้าหลายคู่ที่โยงด้วยเส้นเถาวัลย์อย่างสวยงาม กระบังดาบมีลักษณะเป็นช่อใบไม้ ด้ามดาบมีลักษณะเหมือนก้านกุหลาบ ท้ายด้ามดาบเป็นดอกกุหลาบที่มีแกนกลางเป็นอัญมณีเม็ดโตสีแดง

                “ดาบเล่มนี้มีอายุมากกว่าลูกเสียอีก ถูกทำขึ้นโดยอาเรนัส มาร์คาร์ ช่างตีเหล็กชาวดาร์คเนสดีวิลที่เก่งที่สุดในโฟรเซ็นทิเนล” อาร์รอสเล่าประวัติ “เขาเคยทำงานให้กับปู่ของลูกตอนที่โฟรเซ็นทิเนลยังเป็นอาณานิคมของเรา ปู่ของลูกได้ยินชื่อเสียงเรื่องเครื่องเหล็กของมาร์คาร์ จึงบอกให้เขาตีดาบให้สักเล่ม แน่ล่ะ มาร์คาร์เกลียดปู่ของลูก เขาจึงแก้เผ็ดด้วยการตีดาบที่ดูเป็นดาบสำหรับผู้หญิงให้ ปู่ของลูกไม่กล้าเอาดาบเล่มนี้มาทำอะไรเลย ไม่ใช่แค่ปู่ของลูก พ่อเองก็คงก็ไม่กล้านำดาบเล่มนี้มาใช้ต่อหน้าคนอื่นเช่นกัน มันเป็นดาบผู้หญิงชัดๆ เป็นเรื่องน่ายินดีที่ตอนนี้มันหาผู้ใช้ที่เหมาะสมได้แล้ว ลูกเองก็ชอบสะสมของปีศาจไม่ใช่หรือ นี่ก็เป็นของอีกชิ้นที่ทำขึ้นโดยปีศาจ ลูกพอใจไหม”

                “มันเบาจังเลยค่ะ” ซอร์โรร่าหยิบดาบออกมาถือ จ้องมองมันตาเป็นประกาย

                “แน่ล่ะ ดาบสั้นก็ต้องเบา เหมาะสมกับลูกดีนะ บิลิสก็บอกว่าลูกถนัดใช้ดาบสั้นเป็นอาวุธ” อาร์รอสว่า “ดาบสั้นเป็นอาวุธที่ว่องไว ไม่จำเป็นต้องใช้แรงมาก ไม่ยาวเกินไปและไม่สั้นเกินไป ดูจากความสูงและความยาวแขนของลูก พ่อว่าเล่มนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว”

                “ข้าชอบมันมากเลยค่ะ” ซอร์โรร่าประทับรอยจูบบนใบดาบ “ขอบคุณค่ะพ่อ”

                “ขอแค่ให้ลูกมั่นใจว่า จะมีสติในการใช้มัน” อาร์รอสเตือน “อาจารย์บิลิสคงจะสอนเรื่องนี้กับลูกแล้ว แต่พ่อขอย้ำอีกรอบเถอะ ยามใดที่ลูกรู้สึกควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ขอให้เอามือไปห่างๆ ดาบ คนมากมายต้องเสียใจกับการทำเช่นนี้มาแล้ว”

                “อย่ากังวลเลยค่ะ ต่อให้ข้าโมโหแค่ไหน ข้าก็คงไม่ทำอะไรโง่ๆ อย่างชักดาบออกมาแทงใครตายหรอก”

                “โดยเฉพาะเมื่อลูกอยู่ต่อหน้าญาติๆ ของลูก ไม่ว่าจะเป็นแม็ค แรคแทนทิน เอ็ดด์ เฟรเทล หรือแม้กระทั่งพระราชา ลูกต้องระมัดระวังให้มากทีเดียว” อาร์รอสกำชับต่อ “แต่แน่นอน แม่นางฟ้าของพ่อเป็นคนอ่อนหวานน่ารัก ลูกไม่ทำอะไรวู่วามอยู่แล้ว”

                “สองสามวันก่อน ข้าไปช่วยอาจารย์บิลิสฟื้นฟูเมืองซาโมโรว์ เห็นอโลบัส กัปตันเท็มเปิล และกองกำลังสามลำเรือเดินทางออกทะเล” ซอร์โรร่านึกขึ้นได้ “พอรู้ไหมคะว่าพวกเขาไปไหน เพราะอาจารย์บิลิสก็ยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ พวกเขามีเอกสารอนุญาตจากพระราชา”

                “เรื่องนี้มีคนสงสัยเหมือนกัน บางคนก็ทูลถามพระราชา” อาร์รอสบอก “พระองค์บอกว่าเป็นภารกิจลับของพระองค์ และดูมีท่าทีโมโหด้วยที่ถูกถามเรื่องนี้ จึงไม่มีใครซักไซ้อะไรมากนัก”

                “ถ้าเป็นภารกิจลับ แอนโทนิดัส แร็กซ์ริงก็น่าจะรู้ใช่ไหมคะ เขาเป็นพ่อมดที่ปรึกษากษัตริย์ น่าจะรู้เรื่องวงในอยู่พอตัว”

                “ปรากฏว่าแอนโทนิดัสก็ไม่รู้เหมือนกัน นับว่าแปลกมาก ภารกิจอะไรที่พระองค์ทำให้เป็นเรื่องลึกลับขนาดนั้น” อาร์รอสบอก “พ่อเองก็รู้สึกไม่ค่อยไว้ใจที่พระราชาวางแผนทำอะไรคนเดียวแบบนี้ ก็รู้กันอยู่ว่าพระองค์งี่เง่าและเจ้าอารมณ์แค่ไหน”

                “อย่างน้อย อโลบัสก็ฉลาดและเก่ง” ซอร์โรร่าพูดในแง่ดี “เชื่อว่ามันคงไม่น่าจะมีอะไรร้ายแรงค่ะ”

 

********************

 

                เรือรบลำใหญ่จำนวนห้าลำกางใบเรือสีแดงที่มีลายราชสีห์สวมมงกุฎ ลอยลำอยู่กลางทะเลอันกว้างใหญ่ ทะเลที่จะนำพาไปสู่อาณาจักรไอซ์เมส คาดว่าเข้าใกล้ชายฝั่งไอซ์เมสพอสมควรแล้วเพราะอุณหภูมิของน้ำทะเลนั้นเย็นขึ้นทุกทีและเริ่มมีแผ่นน้ำแข็งลอยอยู่ตามผิวน้ำ มีภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆ แม้สภาพอากาศจะมีละอองหิมะเบาบางและแสงแดดทึมๆ แต่ก็ยังพอเห็นทาง ทหารลูกเรือแต่ละคนสวมขนสัตว์กันหนาว ก่อไฟในกระบะที่ดาดฟ้าเรือเพื่อความอบอุ่นในห้องกัปตันเรือลำหนึ่งนั้น อโลบัส กัปตันเท็มเปิล และทหารที่ผ่านการคัดเลือกฝีมือดีอีกยี่สิบสามคน กำลังประชุมกันอยู่ ก่อนหน้านี้อโลบัสไม่ได้บอกรายละเอียดของภารกิจลับนี้แก่ใครเลย แต่เขาสัญญาจะบอกในวันนี้ ดังนั้นแต่ละคนจึงเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อว่าภารกิจลับนี่คืออะไร กัปตันเท็มเปิลและพวกทหารคัดเลือกสวมขนสัตว์ทับชุดเกราะ ขณะที่อโลบัสสวมแต่ชุดเกราะติดผ้าคลุมปกติ ไม่ได้สวมอะไรกันหนาวและดูไม่หนาวเลยสักนิด ตรงกันข้าม เขาดูจะกระฉับกระเฉงกับสภาพอากาศที่หนาวเย็น

          “ทุกท่าน เราจะจอดเทียบท่าที่ชายฝั่งเมืองสกัลล์ฟิลด์ (Skull Field)” อโลบัสขยับเรือจำลองในแผนที่“เราจะตั้งค่ายอยู่ที่นั่น ไม่ต้องห่วงเรื่องพวกเอลิล พวกนั้นไปรวมกันอยู่ที่เมืองหลวงเดธแอเรียกันหมด ดังนั้นเมืองอื่นๆ ทุกเมืองในอาณาจักรไอซ์เมสจึงว่างเปล่า”

          “ทำไมเราต้องไปที่เมืองสกัลล์ฟิลด์” กัปตันเท็มเปิลถาม

          “ที่นั่น คือที่ที่เราจะปฏิบัติภารกิจลับ” อโลบัสตอบ

          “ท่านคงจะบอกเราเสียที ว่าภารกิจลับของเราคืออะไร” กัปตันเท็มเปิลว่า

          อโลบัสหยิบหีบสี่เหลี่ยมแบนๆ ขึ้นมาเปิดออก หยิบแผ่นโลหะกลมๆ สีดำออกมา มันมีสองด้านเหมือนเหรียญ ด้านหนึ่งสลักข้อความภาษาดาร์เคนสีเงินไว้มากมาย อีกด้านสลักเป็นแผนที่อาณาจักรไอซ์เมสและมีข้อความภาษาดาร์เคนสลักรอบขอบแผ่น

          “เดี๋ยวก่อนนะ นี่มันทองคำสีดำ” กัปตันเท็มเปิลเบิกตากว้าง ทหารคัดเลือกยื่นหน้ามาดูใกล้ๆ “ทองชนิดเดียวที่จัดอยู่ในประเภทโลหะ หายากที่สุด มีราคาที่สุด และมีพลังงานแฝงอยู่ สามารถนำมาสร้างวัตถุที่เกี่ยวข้องกับคำสาปและพลังงานด้านมืดได้เป็นอย่างดี ท่านไปได้มันมาจากไหน”

          “ไม่สำคัญหรอกว่าได้มาจากไหน” อโลบัสกล่าว “สำคัญว่าจะใช้ทำอะไรต่างหาก”

          “แล้วจะใช้มันทำอะไร”

          “มันคือแผ่นคำสาปที่ลินเลนธันใช้จองจำ และปลดปล่อยดาบแดนน้ำแข็ง” อโลบัสตอบ “แผ่นนี้สำหรับดาบไอซ์แอคเซอร์”  

          “เดี๋ยวก่อนนะ” กัปตันเท็มเปิลพูดอย่างไม่อยากเชื่อ “ภารกิจลับของท่าน คือปลดปล่อยดาบแดนน้ำแข็งหรือ”

          “ใช่แล้ว ดาบไอซ์แอคเซอร์”

          “นี่มันบ้าชัดๆ”

          “อาณาจักรของเรากำลังอ่อนแอ เอลิลประกาศสงครามกับแทบทุกเผ่าพันธุ์ เราต้องการหลักประกันให้แน่ใจว่าเอลิลจะไม่ประกาศสงครามกับเราอีกหนึ่งเผ่าพันธุ์” อโลบัสอธิบาย “ดาบไอซ์แอคเซอร์มีความสำคัญต่อเผ่าพันธุ์เอลิล ได้มันมา เราจะมีข้อต่อรอง”

          “ดาบแดนน้ำแข็งเป็นวัตถุต้องคำสาป เป็นสิ่งอัปมงคลนะ” กัปตันเท็มเปิลแย้ง

          “มั่นใจว่าท่านคงไม่เชื่อเรื่องงมงายไร้สาระนี่” อโลบัสพูด “เรามีเรื่องสงครามและความมั่นคงของเผ่าพันธุ์ให้กังวลมากกว่าเรื่องเล่าปากต่อปาก”

          “ข้าว่าภารกิจนี้มันไม่ค่อยเข้าท่า รู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้เลย”

          “พระราชาอนุมัติภารกิจแล้ว” อโลบัสยื่นเอกสารให้กัปตันเท็มเปิล “และพระองค์ก็อนุมัติให้ข้าเป็นผู้นำภารกิจด้วย”

          แม้จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจเพียงใด แต่คนซื่อตรงอย่างกัปตันเท็มเปิลย่อมไม่ท้วงติง เมื่อมีคำสั่งอนุมัติจากพระราชา

          “แล้วท่านรู้หรือ ว่าดาบอยู่ที่ไหน” กัปตันเท็มเปิลถามต่อ

          “รู้” อโลบัสหันแผ่นคำสาปด้านที่สลักแผนที่ไอซ์เมสให้ดู ชี้ไปที่เครื่องหมายรูปดาบในแผนที่ “นี่คือแผนที่บอกตำแหน่งของมัน ดาบไอซ์แอคเซอร์ซ่อนอยู่ในเมืองสกัลล์ฟิลด์ ในตำแหน่งพิกัดนี้ของเมือง”

          “แล้วข้อความที่สลักรอบขอบแผ่นคำสาปล่ะ คืออะไร” กัปตันเท็มเปิลชี้วนไปตามขอบแผ่นคำสาปด้านนั้น

          “เมื่อเราพบดาบไอซ์แอคเซอร์ อ่านข้อความเหล่านี้จากแผ่นคำสาป แล้วดาบจะถูกปลดปล่อย” อโลบัสตอบ

          “ท่านรู้ภาษาดาร์เคนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

          “ข้าศึกษามาตั้งแต่เกิด”

          “มนุษย์เราไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับภาษาอันชั่วร้ายนี้ มันเป็นภาษาในการสร้างคำสาปและมนต์ดำ ธรรมชาติของเผ่าพันธุ์เราเหมาะแก่การใช้พลังงานสีขาว ไม่ใช่พลังงานสีดำ”

          “เป็นอีกครั้งที่ท่านสนใจรายละเอียดยิบย่อยมากกว่าเรื่องที่สำคัญจริงๆ” อโลบัสพูดเรียบๆ “ข้ารู้ภาษาดาร์เคน สามารถใช้มันปลดปล่อยดาบแดนน้ำแข็งได้ นั่นคือสิ่งสำคัญ”

          “แล้วข้อความอีกด้านของแผ่นคำสาปคืออะไร ข้าอ่านไม่ออก ข้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญภาษาดาร์เคนอย่างท่าน” กัปตันเท็มเปิลทำเสียงแดกดัน

          “ก็แค่รายละเอียดเกี่ยวกับการปลดปล่อยดาบ ข้อมูลที่ผู้ปลดปล่อยดาบควรรู้” อโลบัสพลิกอีกด้านของแผ่นคำสาปให้ดู “ดาบแดนน้ำแข็งจะถูกจองจำอยู่ในอุโมงค์ใต้น้ำแข็ง อุโมงค์จะจำกัดให้คนเข้าได้ครั้งละยี่สิบห้าคน นั่นคือเหตุผลที่ข้าให้ท่านคัดเลือกทหารมือดีอีกยี่สิบสามคนมาร่วมปฏิบัติการกับเรา เมื่อเข้าไปแล้วจะออกทางเก่าไม่ได้ ต้องไปออกอีกทางที่สุดอุโมงค์หลังจากปลดปล่อยดาบแล้ว การจะไปถึงดาบจะต้องผ่านด่านต่างๆ เป็นห้องๆ แต่ละห้องจะมีอะไรอยู่ก็สุดรู้ได้ แต่มั่นใจได้ว่าเป็นสิ่งอันตรายแน่ สำหรับห้องสุดท้าย จะมีผู้เฝ้าดาบ ซึ่งเคยเป็นนักรบไซคัสยอดฝีมือ แต่ทรยศต่อลินเลนธันจึงถูกสาปให้อยู่เฝ้าดาบชั่วนิรันดร์”

          “เราต้องสู้กับเขาหรือ” กัปตันเท็มเปิลเลิกคิ้ว

          “ในกรณีของดาบไอซ์แอคเซอร์ เราไม่ต้องสู้ เพราะเมื่อหลายสิบปี ก่อนเฮเวนล็อคฆ่าเขาไปเรียบร้อยแล้ว ตามเงื่อนไขคำสาปของพวกไซคัสคือ หากดาบไม่ถูกปลดปล่อยโดยสมบูรณ์ หนึ่งวันให้หลัง ด่านต่างๆ จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม” อโลบัสอธิบาย “ยกเว้นผู้เฝ้าดาบ เพราะคำสาปไม่มีพลังมากพอจะนำเขากลับมาได้ จึงนับว่าเป็นโชคดีของเรา ที่มีเฮเวนล็อคปูทางไว้บ้างแล้ว”

          “แสดงว่าเฮเวนล็อคยังไม่ได้ปลดปล่อยดาบโดยสมบูรณ์หรือ”

          “เขาปลดปล่อยดาบ แต่ยังไม่มีโอกาสถือมันนานพอสำหรับแลกเปลี่ยนพลังงานระหว่างดาบกับตัวเขาโดยสมบูรณ์ พวกดาร์คเนสดีวิลขัดขวางเขาเสียก่อน” อโลบัสบอก “แต่สำหรับเราตอนนี้ ไม่มีใครมาขัดขวางแน่”

          ความจริงแล้ว รายละเอียดในข้อความยังมีมากกว่านั้น แต่อโลบัสเลือกที่จะไม่บอกทั้งหมด เขายังไม่ได้บอกทุกคนถึงคำสาปอันไม่น่าไว้ใจของพวกไซคัส เช่น ผู้ปลดปล่อยดาบโดยสมบูรณ์เท่านั้นที่จะครอบครองดาบได้และใช้พลังของมันได้อย่างเต็มที่, หากผู้ครอบครองดาบไม่แตะต้องดาบภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงจะตายทันที, วิธีเดียวที่จะชิงดาบจากผู้ครอบครองคือฆ่าผู้ครอบครองเสีย, เนื่องจากผู้ครอบครองดาบจะได้รับคำสาปรุนแรงที่มากับดาบ ผู้ครอบครองดาบจะไม่ต้องคำสาปอื่นใดอีก, หากดาบแดนน้ำแข็งเล่มหนึ่งถูกปลดปล่อยแต่อีกเล่มยังถูกจองจำอยู่ ยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อมาดาวดวงนี้จะเสียสภาวะสมดุล ส่งผลให้อากาศทั่วดวงดาวจะเย็นขึ้นกว่าเดิมมาก รายละเอียดเหล่านี้อาจทำให้กัปตันเท็มเปิลและสมาชิกคนอื่นๆ เปลี่ยนใจไม่ปฏิบัติภารกิจ ต่อให้พวกเขายอมรับได้ ก็ยังมีรายละเอียดอีกข้อที่พวกเขาคงไม่ยอมรับแน่ นั่นคือ หลังจากผู้ปลดปล่อยดาบอ่านข้อความในแผ่นคำสาปแล้ว ผู้ร่วมเดินทางหนึ่งในยี่สิบห้าคนจะต้องถูกสังเวยชีวิต ด้วยการให้ไปแตะที่แท่นวางดาบ จึงจะปลดปล่อยดาบได้ หมายความว่าหนึ่งในยี่สิบห้าคนในห้องนี้ จะต้องมีใครสักคนตาย แล้วใครจะอยากเสียสละตัวเองเพียงเพื่อให้ดาบถูกปลดปล่อยจากคำสาปพันธนาการ

          “อย่างไรก็ตาม เรื่องการปลดปล่อยดาบนั้น ยังไม่ใช่สิ่งที่เรากังวลในตอนนี้” อโลบัสเก็บแผ่นคำสาปกลับลงหีบ และขยับมาที่แผนที่อีกครั้ง “จากที่ข้าตรวจสอบสภาพอากาศแล้ว คาดว่าอีกไม่กี่วันจะมีหมอกหิมะค่อนข้างหนาทึบ หากเราไม่เร่งเดินทางให้ไปถึงแผ่นดินไอซ์เมสเสียก่อน เราลำบากแน่”

          “ในตอนนี้กระแสน้ำและกระแสลมเข้าข้างเรา เราเดินทางได้เร็วกว่าที่คาดไว้มาก” กัปตันเท็มเปิลรายงาน “แม้ละอองหิมะและแสงแดดทึบทึมจะทำให้เรามองเห็นได้ไม่ไกลนัก แต่ก็ไกลพอที่จะมองเห็นภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำก่อนจะเข้าไปชนแน่นอน หากไม่มีอะไรผิดพลาด ข้าเชื่อว่าเราจะเข้าเทียบท่าชายฝั่งสกัลล์ฟิลด์ก่อนที่หมอกหิมะจะปกคลุมพื้นที่ชายฝั่งและพื้นที่ทะเล”

          “เมื่อไปถึงแผ่นดิน เราจะตั้งค่ายอยู่ที่ชายฝั่งใกล้ๆ กับเรือ” อโลบัสเคาะนิ้วบนแผนที่ “เมื่อเราทั้งยี่สิบห้าคนปฏิบัติภารกิจลับลุล่วงแล้ว เราจะรอจนกว่าหมอกจะจาง จึงจะเดินเรือกลับโมราโซมอส”

          “เจ้าชาย” ทหารคัดเลือกคนหนึ่งถามขึ้น “จริงหรือเปล่า ที่น่านน้ำแถบนี้ อาจมีสัตว์ร้ายใต้ทะเลที่อันตราย”

          “เป็นไปได้” อโลบัสพยักหน้า “ทะเลค่อนข้างกว้าง มีเส้นทางออกสู่มหาสมุทรในดินแดนระฟ้า สภาพแวดล้อมอันหนาวเย็นของทะเลแถบนี้ทำให้มีพืชใต้น้ำน้อย ทำให้สัตว์ทะเลแถบนี้เป็นสัตว์กินเนื้อ ความไม่อุดมสมบูรณ์ทำให้พวกมันต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อม นั่นคือมีจำนวนน้อย ไม่อยู่รวมกันเป็นฝูง ทนทาน ตัวใหญ่ และดุร้าย”

          “เช่นอะไรหรือเจ้าชาย”

          บางอย่างขนาดมหึมาโผล่ขึ้นจากน้ำ ทำทุกคนหันไปมองที่หน้าต่างหลังเรือ มันคล้ายงูยักษ์สีเทา มีลำตัวเป็นปล้องๆ  มันกางแผงคอหลากสีเหมือนหางนกยูงและส่งเสียงคำรามกึกก้องแสบแก้วหู ปากของมันเต็มไปด้วยเขี้ยวคมๆ สีขาวเท่ากันทุกซี่และกว้างพอจะกินคนตัวใหญ่ๆ ได้สบาย ตาของมันแดงก่ำเหมือนโลหิตและเรืองแสงเล็กน้อย เจ้าสัตว์ร้ายคำรามกางแผงคออยู่สักพัก แล้วพุ่งดำหายลงใต้น้ำ ทำน้ำทะเลเย็นเฉียบกระเซ็นมาถูกกระจกหน้าต่าง

          “เช่นเจ้าตัวนี้ไง” อโลบัสพูด แต่ก็ยังดูไร้อามรณ์ใดๆ “ทุกคนขึ้นไปบนดาดฟ้า”

          มีเสียงเคาะระฆังรัวๆ จากบนเสากระโดง กัปตันเท็มเปิลและคนอื่นๆ ถอดขนสัตว์กันหนาวออก และคว้าอาวุธวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ ข้างบนนี้พวกทหารลูกเรือต่างวิ่งวุ่นกันหมด แต่ละคนบรรจุกระสุนปืนยาว เตรียมธนู เตรียมปืนใหญ่หลายกระบอก เรืออีกสี่ลำก็เตรียมพร้อมเช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าสัตว์ร้ายจะโผล่ขึ้นมาเล่นงานเรือลำไหน

          “มันคือตัวอะไรหรือเจ้าชาย” กัปตันเท็มเปิลบรรจุกระสุนปืนยาว

          “ซาร์กอน” อโลบัสชักดาบออกมา “กำลังหิวโหยและดุร้าย น้ำย่อยของมันเป็นกรดเข้มข้น สามารถย่อยเกราะได้สบาย ฉะนั้น อย่าคิดว่าสวมเกราะหนาแล้วมันจะไม่กิน”

          เรือของอโลบัสถูกกระแทกอย่างแรงจนลูกเรือสองสามคนเสียหลักตกลงไปในน้ำ การที่พวกเขาไม่ได้ขึ้นมาบนผิวน้ำหมายความว่าถูกซาร์กอนเขมือบอยู่ใต้น้ำแล้ว กัปตันเท็มเปิลพยายามมองลงไปใต้น้ำ แต่ก็ไม่สามารถเห็นอะไรได้เนื่องจากมันเต็มไปด้วยฟองอากาศและเกล็ดน้ำแข็งเล็กๆ ทั่วทั้งทะเล

          “ทุกคนถอยห่างออกจากขอบเรือ” อโลบัสสั่งการ “เตรียมอาวุธระยะไกลให้พร้อม ยิงทันทีที่เห็น ปืนใหญ่รอสัญญาณจากข้า”

                เรือถูกกระแทกอีกครั้ง แต่หนนี้พวกมนุษย์หาที่ยึดไว้ได้ทุกคนจึงไม่มีใครตกเรือไปเป็นเหยื่อของซาร์กอน จะว่าดีที่ไม่มีใครถูกกินก็ใช่ แต่ในเมื่อเจ้าซาร์กอนอุตส่าห์กระแทกเรือแล้วไม่มีเหยื่อให้กินคงจะทำให้มันหงุดหงิด ในไม่ช้า มันคงโผล่ขึ้นมาจากน้ำและอาละวาดแน่

          “เตรียมไม้จุดชนวนให้พร้อม” อโลบัสแกว่งดาบทำสัญญาณ“จุดชนวนปืนใหญ่ทันทีที่--”

                เจ้าซาร์กอนโผล่ขึ้นมาจากน้ำจริงๆ  มันร้องคำรามและพ่นน้ำทะเลเย็นจัดสะบัดหัวไปมาจนคนที่ถูกน้ำทะเลแทบจะแข็งเป็นหินด้วยความเย็น ปากของมันอ้ากว้างและงับเอาลูกเรือคนหนึ่งกลืนลงคอไปเฉยๆ

          “ยิง” อโลบัสชี้ดาบไปข้างหน้า

                ปืนใหญ่ที่หันไปทางซาร์กอนถูกจุดชนวนยิงกระสุนออกไปพร้อมกัน เจ้าซาร์กอนขยับตัวยาวๆ หลบกระสุนไปมาและรับลูกกระสุนโลหะเข้าไปที่ลำตัวหนึ่งนัดเกิดบาดแผลค่อนข้างลึก มันร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดและความโกรธสะบัดหัวพ่นน้ำทะเลอย่างบ้าคลั่ง พวกทหารมนุษย์ในเรือก้าวถอยเล็กน้อยแต่ยังคงรักษาระดับการเล็งปืนไว้อย่างมั่นคง

          “เล็งที่หัว” อโลบัสชี้ดาบ“ระดมยิงเต็มที่”

                ปืนยาวทุกกระบอกลั่นไกยิงใส่เจ้าซาร์กอนถูกบ้างไม่ถูกบ้าง กระสุนปืนพุ่งเข้าใส่ลำตัวและหัวของมันหลายนัด แต่นั่นก็แค่ทำให้เกิดแผลเล็กๆ เท่านั้น เจ้าสัตว์ร้ายงอตัวพุ่งดำหายไปในทะเล พวกมนุษย์หยุดยิงปืน รีบเตรียมกระสุนนัดใหม่เป็นการใหญ่ ส่วนพวกที่อยู่บนเรืออีกสองลำต่างก็เล็งปืนและจัดวางปืนใหญ่กันจ้าละหวั่น กลัวว่ามันจะโผล่ขึ้นมาเล่นงานเรือของพวกเขาบ้าง

          “เจ้าสัตว์ประหลาดนี่หนังเหนียวเป็นบ้า” กัปตันเท็มเปิลถอนแท่งอัดกระสุนจากปากประบอกปืน“ถูกยิงด้วยปืนใหญ่ยังอาละวาดต่อได้ ท่านว่ามันจะเปลี่ยนไปเล่นงานเรือลำอื่นบ้างไหม”

          “เราทำมันบาดเจ็บ มันจะอาฆาตโจมตีแต่เรือของเรา” อโลบัสตอบ “สัตว์ร้ายที่โกรธจัดจะทวีความดุร้ายขึ้นอีกหลายเท่า”

                เจ้าซาร์กอนโผล่ขึ้นมาทางด้านซ้ายของเรือ มันยกหางที่มีปลายเหมือนหางปลากวาดเอาทหารที่ยืนตามขอบเรือและปืนใหญ่หลายกระบอกตกลงไปในทะเล อโลบัสหันฝ่ามือปล่อยกลุ่มไอน้ำแข็งเย็นจัดเข้าปะทะหางของมันเต็มแรง เกิดแผลแห้งกรังค่อนข้างใหญ่ปลายหางที่เหมือนหางปลานั้นแหว่งเล็กน้อย เจ้าสัตว์ร้ายคำรามลั่นด้วยความเจ็บปวดอีกครั้งก่อนจะอ้าปากงับทหารคนหนึ่งกินด้วยความโกรธแค้นกัปตันเท็มเปิลคว้าหอกที่กลิ้งเข้ามาชนเท้าแล้วพุ่งใส่มันสุดแรงแต่มันก็ใช้ปากงับไว้ได้เฉยๆ ขว้างดาบใส่ก็งับไว้ได้อีกอโลบัสเอียงคอ ความคิดหนึ่งเกิดในหัว

          “กัปตันเท็มเปิล ช่วยไปเอาถังบรรจุดินปืนพร้อมด้วยชนวนในห้องใต้ท้องเรือมาให้ข้าที” เขาพูดเสียงเรียบๆ อย่างไร้ความรู้สึก ดูใจเย็นมากในสถานการณ์คับขันเช่นนี้

                กัปตันเท็มเปิลวิ่งลงไปด้วยความเร่งรีบ แล้วกลับออกมาพร้อมกับของตามที่อโลบัสขอเขาวางถังไม้บรรจุดินปืนลงจากบ่าแล้ววางสายชนวนลงบนถังไม้ อโลบัสลากถังไปที่เสากระโดงเรือ แล้วเกี่ยวมันด้วยเชือกตะขอที่ห้อยยาวลงมาจากยอดเสา

          “ถ้าร่างกายภายนอกของมันแข็ง” อโลบัสใช้ดาบเจาะฝาถังให้เป็นช่อง และสอดชนวนลงไป“เราก็จะต้องทำลายมันจากภายใน”

                เขาเก็บดาบ คว้าปืนยาวกระบอกหนึ่งที่บรรจุกระสุนแล้วมาสะพาย เริ่มปีนบันไดตาข่ายขึ้นไปบนเสากระโดง

          “กัปตันเท็มเปิล ช่วยกันเจ้าตัวยาวให้พ้นจากข้าจนกว่าข้าจะปีนขึ้นไปถึงรังกาที” เขาพูดขณะปีน รักษาระดับเสียงได้ปกติมาก ราวกับไม่มีอะไรในดาวดวงนี้ที่ทำให้เขาลุกลี้ลุกลนได้

                กัปตันเท็มเปิลและพวกทหารช่วยกันยิงปืนยาวดึงความสนใจซาร์กอนไว้ อโลบัสปีนบันไดตาข่ายขึ้นไปจนกระทั่งถึงรังกาบนยอดเสากระโดงเรือ เขาสาวรอกดึงเชือกตะขอเกี่ยวถังดินปืนขึ้นมา ปล่อยปลายเชือกและตะขอกลับลงไปที่โคนเสาอีกครั้งแล้วจึงทำสัญญาณให้ทุกคนข้างล่างหยุดยิง

                อโลบัสสั่นระฆังที่แขวนอยู่เหนือหัวเจ้าสัตว์ทะเลตัวร้ายหันมาหาเขา ตำแหน่งของเขานั้นอยู่ใกล้หัวใกล้ปากมัน แน่นอนว่ามันต้องเล่นงานเขาก่อนอโลบัสปลดปืนยาวที่ตนสะพายมาด้วย ยิงชนวนปืนใหญ่ที่สอดอยู่กับถังดินปืนชนวนถูกจุดขึ้น เขาขว้างปืนยาวไร้กระสุนใส่ซาร์กอนมันอ้าปากงับไว้เหมือนเคยดังนั้นเขาจึงออกแรงยกถังดินปืนที่จุดชนวนขึ้นและทุ่มใส่มัน เจ้าสัตว์ร้ายอ้าปากงับถังนั้นไว้ทันที

                เป็นภาพที่ไม่น่าดูเลย หัวของซาร์กอนแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยแรงระเบิดของดินปืน ชิ้นส่วนของมันกระจัดกระจายไปทั่วดาดฟ้าเรืออย่างน่าสยดสยอง อโลบัสคว้าเชือกตะขอที่ตนใช้สาวรอกเอาถังดินปืนขึ้นมา โรยตัวกลับลงไปบนดาดฟ้าเรือ หลบรัศมีระเบิดอย่างสวยงาม ร่างของซาร์กอนที่เหลืออยู่ครึ่งค่อนตัวค่อยๆ จมหายลงไปในทะเลทิ้งชิ้นส่วนบางชิ้นไว้บนผิวน้ำ

          “ยอดจริงๆ เจ้าชาย” กัปตันเท็มเปิลโยนปืนยาวทิ้งไปข้างๆ “ท่านฆ่าเจ้าสัตว์ร้ายนั่นได้ ข้านึกว่าเราจะโดนกินกันหมดเสียแล้ว”

          “นิทานที่เล่าว่า อัศวินผู้กล้าสามารถใช้ดาบเล่มเดียวฆ่าสัตว์ร้ายตัวโตได้” อโลบัสปัดเศษเนื้อซาร์กอนออกจากผ้าคลุม “นั่นไม่ใช่เรื่องจริงสักนิด จะฆ่าสัตว์ร้ายขนาดมหึมาเช่นนี้ ต้องใช้ระเบิดเท่านั้น”

                พวกทหารมนุษย์ช่วยกันเก็บกวาดชิ้นส่วนซาร์กอนที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วดาดฟ้าเรือโยนทิ้งทะเลไป ตรวจสอบความเสียหายของเรือและคนเจ็บคนตาย พลสังเกตการณ์กลับขึ้นไปประจำที่บนรังกาเสากระโดงอีกครั้ง มีกระแสลมพัดมาแรงขึ้นเล็กน้อย ทำให้ละอองหิมะในอากาศเริ่มจาง พอมองเห็นได้กว้างไกลขึ้นเล็กน้อย เรือแต่ละลำกางใบรับลมเพิ่มความเร็วเคลื่อนที่

                “กระแสลมกำลังเข้าข้างเรา” กัปตันเท็มเปิลหันไปมองริ้วธง “มันพัดเอาละอองหิมะไปจากอากาศเล็กน้อย ทัศนวิสัยของเราดีขึ้น”

                “มันจะดีอย่างนี้แค่ชั่วครู่ หลังจากนี้หมอกจะเริ่มลง และจะลงหนาขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละวัน” อโลบัสเงยหน้ามองฟ้า “ไม่ต้องกังวล เราจะไปถึงชายฝั่งก่อนที่หมอกจะลงหนาเกินไป กระแสลมและกระแสน้ำเป็นใจให้เรามากกว่าที่คิด”

                “ช่วงที่เราตั้งค่ายอยู่ที่ชายฝั่งสกัลล์ฟิลด์ คือช่วงที่หมอกลงหนาหรือ” กัปตันเท็มเปิลถาม

          “ถูกแล้ว” อโลบัสพยักหน้า “ใช้เวลาราวหนึ่งถึงสองสัปดาห์ หมอกถึงจะจางเพียงพอที่จะเดินเรือกลับโมราโซมอสได้”

          “หากระหว่างนั้นเราถูกพวกเอลิลโจมตี” กัปตันเท็มเปิลถามต่อ

          “เรายังไม่รู้แน่ชัดว่าพวกนั้นนับเราเป็นศัตรูหรือไม่” อโลบัสว่า

          “ถ้าหากพวกนั้นนับล่ะ”

          “พวกนั้นมัวแต่วุ่นวายทำสงครามกับพวกดาร์คเนสดีวิล พวกโฮเซ่ และพวกฟอเรสเทอร์ที่อยู่คนละฟากกับเรา พวกนั้นไม่น่าจะสังเกตได้ว่าเรามาที่นี่ อย่าลืมว่าพวกเอลิลเพิ่งก่อร่างสร้างตัว เขตอำนาจของพวกนั้นยังคลอบคลุมได้แค่เมืองหลวงเดธแอเรียเท่านั้น ยังสอดส่องทั้งอาณาจักรได้ไม่ทั่วถึง” อโลบัสชี้แจง “เราจะได้ดาบไอซ์แอคเซอร์มาเป็นหลักประกัน และล่องเรือกลับโมราโซมอสก่อนพวกนั้นจะทันรู้ตัวเสียอีก”

          “ในกรณีที่เราทำสำเร็จนะ” กัปตันเท็มเปิลพูดอย่างไม่ไว้ใจ

          “มันจะสำเร็จ” อโลบัสให้ความมั่นใจ

          “ท่านคิดว่า” กัปตันเท็มเปิลเกาะขอบเรือ มองลงไปยังพื้นน้ำทะเลที่มีแผ่นน้ำแข็งบางๆ ลอยอยู่ประปราย “จะมีตัวอะไรโผล่มาเล่นงานเราอีกไหม”

          “โปรดอย่ากังวล” อโลบัสบอก “ข้าเชื่อว่าไม่มีสัตว์ร้ายอยู่ใกล้ๆ บริเวณนี้อีกแล้ว เพราะคงถูกเจ้าซาร์กอนตัวนั้นขับไล่ หรือกินเป็นอาหารจนหมด”

          พลสังเกตการณ์บนเสากระโดงเรือสั่นระฆังเป็นการใหญ่ ทำเอาทุกคนสะดุ้ง

          “เห็นแผ่นดินแล้ว เห็นแผ่นดินแล้ว”

          อโลบัสและกัปตันเท็มเปิลรีบไปที่หัวเรือ ยืดกล้องส่องทางไกลยกประกบตา มองเห็นแผ่นดินสีขาวอยู่ไกลลิบๆ  แผ่นดินที่ปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็ง อุณหภูมิของอากาศเริ่มเย็นลง มนุษย์ทุกคนรู้สึกได้ เริ่มหาขนสัตว์กันหนาวมาสวม ยกเว้นอโลบัสคนเดียวที่คล้ายว่าจะไม่รับรู้อุณหภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงเลย แต่การที่เขาเข้าใกล้แผ่นดินไอซ์เมสมากกว่าครั้งใดในชีวิต มันทำให้ดูเหมือนว่าเขามีพลังมีราศีมากขึ้น หรือเป็นเพราะเขาถูกชะตากับมันตั้งแต่แรกเห็น เรื่องนี้สุดจะเดาได้ เพราะคนที่มีบุคลิกเย็นชาไร้อารมณ์อย่างเขา มันคาดเดาได้ยากเย็นยิ่งนัก

          “ไอซ์เมส” อโลบัสกระซิบ “ข้ากำลังจะไปถึงแล้ว”

               

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา