พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.92K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

27) บทที่ 26 แฝดผู้พี่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 26

แฝดผู้พี่

 

            ท่ามกลางเปลวไฟลุกโชนเป็นหย่อมๆ และศพทหารสอดแนมเอลิลนอนเกลื่อนกลาด ซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์เก็บขวาน หลังจากใช้มันปลิดชีพศัตรูไปหลายคน เขาและกองกำลังของเขาเข้าจู่โจมค่ายสอดแนมเล็กๆ ของพวกเอลิล และกำจัดได้หมด เอลิลกลุ่มนี้คงถูกส่งมาเข้ามาสอดแนมในเมืองเด็นร็อคเมื่อดูจากอุปกรณ์และเอกสารสงครามต่างๆ ที่ยึดได้ รู้กันอยู่ว่าเดลิลวาสคือผู้บัญชาการกองทัพเอลิลในตอนนี้ เขาย่อมดำเนินกลยุทธ์ตามแบบฉบับของเฟลมฟอร์ส นั่นคือเริ่มจากประเมินความสามารถทางการรบของศัตรู ในเมื่อพวกเอลิลเพิ่งเสียหายจากศึกที่ฟรอสท์ไอรอนแคลด พวกนั้นย่อมต้องลดความสิ้นเปลืองในการใช้กองกำลัง การส่งคนจำนวนน้อยๆ มาสอดแนมดูจะเป็นวิธีที่เข้าท่า อาณาจักรแบร์ร็อคไม่ได้แข็งแกร่งมิดชิดเหมือนโฟรเซ็นทิเนล การสอดแนมสืบหาข้อมูลจึงไม่ใช่เรื่องยากนัก หากแต่โชคร้ายที่หลบไม่พ้นจากสายตาอันเฉียบคมของท็อกซ์ฟ็อกซ์ เขาเติบโตมากับเมืองเด็นร็อคแห่งนี้ คุ้นเคยกับพื้นที่เป็นอย่างดี พวกเอลิลจะไปรู้อะไรเกี่ยวกับทะเลทราย จะรู้อะไรเกี่ยวกับเมืองนี้มากไปกว่าเขา

            “เรียนโฮซอร์” ทหารโฮเซ่คนหนึ่งรายงาน “เราได้รวบรวมอุปกรณ์และเอกสารสงครามที่ยึดได้ ไปไว้ในกระโจมบังแดดเรียบร้อยแล้วครับ รอให้ท่านไปตรวจสอบ”

            “ได้ยินว่าเจ้าเมืองพอร์ล็อก แดโมมิกซ์เดินทางมาสมทบกับเรา” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ถาม

            “เขารออยู่ในกระโจมบังแดดครับ” ทหารรายงานต่อ

            “หาอะไรให้เขาดื่มหรือยัง”

            “เรียบร้อยแล้วครับ”

            “ดี”

            ท็อกซ์ฟ็อกส์สะพายโล่ไว้ข้างหลังและถอดหมวกเกราะออก เดินตรงไปยังกระโจมบังแดดที่พวกทหารจัดไว้ให้อย่างดี ชนชั้นสูงก็ยังเป็นชนชั้นสูง แม้ยามสู้รบก็ยังมีบริวารคอยเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี พอร์ล็อก แดโมมิกซ์ในชุดเกราะสีน้ำเงินรออยู่ใต้กระโจม กำลังตรวจสอบสิ่งที่ยึดมาได้จากพวกเอลิล เมื่อท็อกซ์ฟ็อกซ์ไปถึงก็รินเหล้าแก้วหนึ่งส่งให้ แล้วจึงรินให้ตัวเองอีกแก้วหนึ่ง

            “ผ่านมาแถวนี้หรือเพื่อนฝูง” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ทักทาย รับแก้วเหล้ามาดื่ม

            “ได้ยินว่าท่านปะทะกับหน่วยสอดแนมเอลิล จึงรีบรุดมาช่วย” แดโมมิกซ์จิบเหล้า “แต่พวกท่านก็จัดการเรียบร้อยแล้ว”

            “ข้าล้อมกรอบพวกนั้น จัดการไม่ให้เหลือรอดนำข้อมูลกลับไปได้แม้แต่คนเดียว” ท็อกซ์ฟ็อกส์พูดอย่างคึกคัก “ข้าเติบโตมาในเมืองนี้ คุ้นเคยกับพื้นที่มากกว่าพวกเอลิล คิดหรือว่ามาเก็บข้อมูลในถิ่นของข้าแล้วจะรอดไปได้ เด็นร็อคมันเมืองของข้า”

            “เมืองหน้าด่านที่ค่อนข้างกันดาร เต็มไปด้วยความไม่สะดวกสบาย กลับมีเจ้าเมืองที่มีตระกูลกำเนิดสูงส่งยิ่งนัก” แดโมมิกซ์ชูแก้วเหล้าอย่างให้เกียรติ

            “ทำอย่างไรได้ ตอนเด็กๆ ข้าต้องหนีภัยทางการเมืองมาอยู่ที่นี่ กว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง ข้าก็คุ้นเคยและมีเส้นสายกับเมืองนี้เสียแล้ว” ท็อกซ์ฟ็อกซ์กระดกเหล้ารวดเดียวหมด แล้วรินเติมอีก “เทอร์รินเคยเสนอตำแหน่งรองผู้นำสูงสุดให้ข้า พร้อมด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จ ไม่ได้มีแค่ตำแหน่งลอยๆ เหมือนที่เขามอบให้กอร์ริน แต่หากข้ารับ คงไม่มีใครมีความสามารถพอจะปกครองเมืองหน้าด่านได้เหมือนข้าอีกแล้ว ซึ่งหากเมืองหน้าด่านกลายเป็นจุดอ่อน นั่นหมายถึงอำนาจการปกครองของเทอร์รินจะสั่นคลอนทั้งระบบ ข้าไม่ยอมให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น เพียงเพื่อแลกกับความก้าวหน้าของตนแน่”

            “ท่านเป็นเพื่อนที่ดีและซื่อสัตย์ที่สุดของเทอร์รินเสมอ” แดโมมิกซ์ยกย่อง “ในบรรดาพวกเราทั้งกลุ่ม ท่านเป็นเพื่อนที่เขาสนิทมากที่สุดแล้ว”

            “ท่านก็เป็นเพื่อนที่ดี พอร์ล็อก”

            “ขอบคุณ”

            “ท่านตรวจสอบอุปกรณ์และเอกสารของพวกเอลิลไปบ้างแล้วใช่ไหม” ท็อกซ์ฟ็อกซ์หันไปคุ้ยกองเอกสารที่ยึดได้จากพวกเอลิลสอดแนม

            “จากอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะกล้องส่องทางไกล แผนที่ วงเวียน การทำเครื่องหมาย ตลอดจนเอกสารบันทึกข้อมูล แน่นอน เอลิลกลุ่มนี้เข้ามาสอดแนม” แดโมมิกซ์สรุป “พวกนี้คงต้องการเก็บข้อมูลพื้นที่และประเมินประสิทธิภาพการป้องกันอาณาจักรเรา”

            “พวกเอลิลกลุ่มนี้ไม่ได้สวมชุดเกราะหรือนำอาวุธติดตัวมามากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นอุปกรณ์พรางกายและอาวุธป้องกันตัว” ท็อกซ์ฟ็อกซ์เสริม ตรวจดูเอกสารไปเรื่อยๆ “แน่นอน มีจุดประสงค์สอดแนมอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ไม่ต้องห่วง พวกนั้นไม่ได้อะไรไปแน่ ข้าจัดการเรียบ ไม่เหลือหลุดรอดออกไปสักคน”

            แล้วสายตาของท็อกซ์ฟ็อกซ์ก็ไปสะดุดกับแฟ้มเอกสารเก่าๆ สีแดง มีตราประทับเป็นสัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาเปิดอ่าน แผ่นเอกสารในแฟ้มเก่าเสียจนเป็นสีเหลือง แต่ตัวหนังสือก็ยังพออ่านชัดเจนทุกตัว

            “นั่นแฟ้มเอกสารเก่าๆ ของพวกมนุษย์” แดโมมิกซ์ขมวดคิ้ว “มาอยู่กับพวกเอลิลได้ยังไง”

            ท็อกซ์ฟ็อกซ์อ่านเอกสาร ยิ่งอ่านไปมากเท่าไหร่ สีหน้าก็บ่งบอกถึงความโกรธที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อเขาอ่านจบ ความโกรธของเขาก็พร้อมจะระเบิดได้

            “เป็นอะไรไป” แดโมมิกซ์เอียงคอ

            “ท่านอ่านนี่สิ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์คำราม ส่งแฟ้มเอกสารให้เพื่อนอ่าน “รายงานการลาดตระเวนที่พวกดาร์คเนสดีวิลส่งให้พวกมนุษย์ เมื่อหลายสิบปีก่อน เขียนโดยเอโมลิล แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม เดอะ โนเวลิสท์ ไอ้ปีศาจที่มันฆ่าพ่อข้า เพราะพ่อข้าช่วยชีวิตมัน”

            แดโมมิกซ์อ่านเอกสาร สีหน้ากังวล ขณะที่ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูดถึงเนื้อความในเอกสารด้วยความโกรธแค้น แก้วเหล้าไม้ในมือถูกบีบจนแตก

            “หลังจากเสร็จสิ้นการต่อสู้ครั้งนั้น ไอ้สารเลวนั่นก็ส่งรายงานฉบับนี้ถึงพวกมนุษย์ ยืนยันว่าพ่อของข้า ผู้ซึ่งเป็นรองผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อคในตอนนั้น ลอบเข้าจู่โจมมัน พยายามขัดขวางภารกิจที่พวกมนุษย์ส่งมันไปทำ ทั้งที่พ่อของข้าช่วยชีวิตมัน” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ตะโกน ทหารที่เดินผ่านไปผ่านมาเริ่มหันมามอง “นี่คือจุดเริ่มต้นสงครามระหว่างเรากับพวกมนุษย์ นี่คือสิ่งที่พวกมนุษย์ใช้เป็นข้ออ้างในการก่อสงครามกับเรา นี่คือสาเหตุว่าทำไมคนมากมายถึงกล่าวโทษพ่อข้า ว่าเป็นชนวนสงคราม และทำให้ชื่อเสียงตระกูลข้าด่างพร้อย ข้าเพิ่งมารับรู้ทั้งหมดวันนี้นี่เอง”

            “ซีราส ท่านก็รู้ว่าพวกมนุษย์ต้องการจะก่อสงครามกับเราอยู่แล้ว” แดโมมิกซ์พูดอย่างระมัดระวัง

            “ซึ่งท่านก็รู้ว่าการก่อสงคราม มันนำมาซึ่งความเสียหาย ความยากลำบาก และความไม่พอใจของประชาชน ฉะนั้น มันจะต้องมีข้ออ้างในการก่อ แม้แต่พวกมนุษย์ก็ยังต้องหาข้ออ้าง และข้ออ้างในการก่อสงครามก็ไม่ได้หาง่ายๆ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์สวนกลับ “แต่พวกมนุษย์ก็หาเจอจนได้ นั่นคือรองผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค ผู้ซึ่งเป็นพ่อของข้า ลงมือขัดขวางภารกิจสำคัญของพวกมันด้วยตัวเอง โดยใช้เอกสารของไอ้ปีศาจคนนี้เป็นหลักฐาน”

            แดโมมิกซ์นิ่งเงียบ

            “ทุกวันนี้ ข้ายังได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากประชาชนจำนวนมาก ผู้ซึ่งได้รับความเสียหายจากสงครามระหว่างเรากับพวกมนุษย์ พวกนั้นพูดถึงพ่อข้า นามสกุลของข้า มีคนจำนวนมากมายในแบร์ร็อคที่เข้าใจว่าพ่อของข้าเป็นต้นเหตุของสงคราม” ท็อกซ์ฟ็อกซ์กัดฟันพูด “ราร์ร็อค เฮนิเคม พ่อของเทอร์ริน เป็นเพื่อนรักของพ่อข้า เขาได้ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุด ดำรงตำแหน่งอย่างมั่นคงแม้จะมีศัตรูทางการเมืองเต็มไปหมด ทั้งนี้เพราะได้รับการสนับสนุนจากพ่อข้า หลังจากที่พ่อข้าตายและเราต้องทำสงครามกับพวกมนุษย์ เหล่าศัตรูทางการเมืองก็ฉวยโอกาสโทษว่าพ่อข้าเป็นตัวชนวนสงคราม สร้างความด่างพร้อยให้กับวงศ์ตระกูลของข้า เมื่อไม่มีพ่อข้าคอยสนับสนุน อำนาจของพ่อเทอร์รินก็สั่นคลอน ท่านคงพอจำได้ว่าตอนนั้นบ้านเมืองวุ่นวายแค่ไหน แทบจะเรียกว่าสงครามกลางเมืองเลยทีเดียว ส่วนข้าต้องระหกระเหินมาอยู่ที่เมืองหน้าด่านตั้งแต่ยังเล็กๆ เป็นสถานที่หลบภัยทางการเมืองที่ดี เพราะพวกเฟลมฟอร์สโจมตีเมืองนี้บ่อยกว่าเมืองอื่น ที่นี่จึงไม่มีใครสนใจเรื่องการเมืองนัก สนใจแต่เรื่องความเป็นความตายเสียมากกว่า ฉะนั้น คงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าชีวิตในสถานที่เช่นนี้มันยากลำบากแค่ไหน ความวุ่นวาย ความเสียหาย และโศกนาถกรรมทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นเพียงเพราะน้ำใจอันดีงามของพ่อข้า ที่เข้าไปช่วยชีวิตปีศาจผู้ชั่วช้าคนนั้น”

            “ซีราส ข้าเสียใจด้วย” แดโมมิกซ์พูดเสียงเบา “แต่มันไม่สมเหตุสมผลเลย ที่แฟ้มเอกสารราชการเก่าๆ ของพวกมนุษย์ จะมาอยู่ที่กองสอดแนมเอลิลกลุ่มนี้ มันอาจเป็นแผนของพวกเอลิล”

            “พวกเอลิลจะมีแผนอะไร แฟ้มเอกสารมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ตะคอก “แต่ที่เราปฏิเสธไม่ได้คือ เอกสารที่ว่านี้เป็นของจริง พวกเอลิลไม่ได้ปลอมแปลงขึ้นมา เดอะ โนเวลิสท์เป็นคนเขียนมัน และพวกมนุษย์ก็ใช้มันเป็นข้ออ้างในการก่อสงครามกับเรา ความด่างพร้อยของตระกูลข้า เกิดจากปลายปากกาของไอ้ปีศาจเนรคุณคนหนึ่ง”

            ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูดถูกเรื่องที่เอกสารนี้เป็นของจริง มันมีองค์ประกอบครบถ้วน มีตราประทับ มีทั้งการลงนามรับทราบจากข้าราชการมนุษย์ระดับสูง มีเศษริ้วธงรองผู้นำสูงสุดที่คาดว่าน่าจะได้จากหลังเสื้อเกราะของพ่อท็อกซ์ฟ็อกซ์แนบมาเป็นหลักฐานยืนยัน และมีการประทับตราสัญลักษณ์ประจำตัวของเอโมลิล รูปปากกาขนนกที่มีปลายปากกาเป็นสามง่าม สำหรับเหล่าผู้นำแห่งโฟรเซ็นทิเนล พวกเขาจะลงนามด้วยการประทับตราสัญลักษณ์ประจำตัว ไม่ใช่ตราที่จะเลียนแบบกันได้ เพราะการประทับตรานั้นไม่ได้ใช้ขี้ผึ้งและแม่พิมพ์ แต่ผู้ประทับจะวางนิ้วลงบนแผ่นกระดาษ แล้วตราจะปรากฏขึ้นบนแผ่นกระดาษเหมือนกับถูกวาดขึ้น ยากต่อการปลอมแปลงยิ่งกว่าการลงชื่อเสียอีก

            “ฟังนะ เพื่อนยาก” แดโมมิกซ์พยายามปราม “ข้ารู้ว่าท่านแค้นใจ แต่ถึงอย่างไรก็อย่าเพิ่งบุ่มบ่าม ท่านเป็นคนใจร้อน ท่านต้องตั้งสติดีๆ ก่อน”

            “เป็นท่านจะใจเย็นอยู่ได้หรือ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์โต้กลับ “พ่อของข้าช่วยชีวิตไอ้ปีศาจนั่น แต่มันกลับตอบแทนด้วยการฆ่าเขาและทำลายชื่อเสียงของเขาและวงศ์ตระกูลของเขาเสียป่นปี้”

            “แล้วท่านจะทำอะไร เดอะ โนเวลิสท์ก็ตายไปนานแล้ว”

            “พ่อของข้าเป็นคนดี มีเกียรติมีศักดิ์ศรี เขาไม่ควรต้องมาเจอชะตากรรมอะไรแบบนี้” ท็อกซ์ฟ็อกซ์คำรามลั่น “ข้าจะกู้เกียรติกู้ศักดิ์ศรีของเขากลับคืนมา”

            “ด้วยวิธีไหนหรือ”

            ท็อกซ์ฟ็อกซ์ไม่พูดอะไร นอกจากเดินถือแฟ้มเอกสารฉบับนั้นออกไปจากกระโจมบังแดด แดโมมิกซ์มองตามไปอย่างกังวล รับรู้ถึงสิ่งไม่ดีที่กำลังจะเข้ามาหาในอีกไม่นาน

 

****************

 

            เนื่องจากอาณาจักรไอซ์เมสเป็นพื้นที่หนาวเย็น ปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็ง จึงเป็นอาณาจักรที่มีต้นไม้ไม่มากนัก บางเมืองก็ไม่มีต้นไม้สักต้น แต่ก็มีอยู่บางเมืองที่มีป่าแดนหนาวในบางพื้นที่ หนึ่งในนั้นคือเมืองสกัลล์ฟิลด์ ซึ่งมีป่าสนหนาทึบอยู่บริเวณด้านตะวันตกของเมือง มันไม่ค่อยถูกยุ่งเกี่ยวมากนักเพราะไม้ไม่ใช่ทรัพยากรจำเป็นของพวกเอลิลนัก พวกเขาใช้เชื้อเพลิงจากแร่ใต้ดินเช่นเดียวกับพวกดาร์คเนสดีวิล อาคารก็สร้างด้วยหินหรือน้ำแข็ง อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ส่วนใหญ่ก็สร้างขึ้นด้วยโลหะ จะมีได้ใช้ไม้จริงๆ จังๆ บ้างก็แค่ตอนที่สร้างเรือรบหรือเรือเหาะ ซึ่งตอนนี้ก็แทบจะไม่ได้สร้างเลย จึงไม่แปลกใจที่พวกเอลิลไม่ค่อยมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องป่าไม้เท่าไรนัก

            แต่วันนี้กลับมีบางสิ่งที่แปลกไป บริเวณชายป่าสนที่เมืองสกัลล์ฟิลด์ เดลิลวาสกำลังวุ่นวายกับอะไรสักอย่างที่ดูคล้ายแท่นน้ำพุขนาดใหญ่เท่ารถม้าคันโตๆ ที่ฐานของมันติดล้อเลื่อนสำหรับให้เคลื่อนย้ายโดยสะดวก แท่นน้ำพุแห้งสนิทไม่มีน้ำสักหยด แต่มีอักษรภาษาดาร์เคนจารึกอยู่ตามขอบบ่อ ในมือข้างหนึ่งของเดลิลวาสถือรูปปั้นทรงสูง ที่เป็นรูปปีกนกสยายและมีวงแหวนอยู่ข้างบน ปีกนกและวงแหวนคือตราสัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์ไซคัส

            “เรียกพบข้าหรือ ท่านผู้บัญชาการรักษาการณ์” กัปตันโพรเฟดเข้ามาทำความเคารพ

            “พวกมนุษย์ตั้งค่ายอยู่ที่ชายฝั่งเมืองนี้มาหลายวันแล้ว คาดว่าวันนี้ ในช่วงเวลาใกล้เที่ยง ซึ่งเป็นช่วงที่หมอกเริ่มจางลงเล็กน้อย พวกนั้นจะเริ่มดำเนินภารกิจลับ” เดลิลวาสยังคงไม่ถอนสายตาจากแท่นน้ำพุ “ท่านส่งคนไปประจำที่แล้วใช่ไหม”

            “ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้แล้ว ท่านผู้บัญชาการ” กัปตันโพรเฟดตอบ “แม้ที่ผ่านมา กำลังพลของเราจะถูกใช้สอยไปอย่างหนัก แต่ก็ยังมีเหลือเพียงพอสำหรับปฏิบัติการนี้”

            “ข้าเคยได้ยินว่าเอลิลเป็นเผ่าพันธุ์ที่ไร้ความรู้สึก” เดลิลวาสหัวเราะ “แต่ไม่นึกว่าเอลิลจะพูดจาแดกดันได้”

            “บางครั้ง การพูดจาแดกดันก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้สึก ท่านผู้บัญชาการรักษาการณ์” กัปตันโพรเฟดโค้งศีรษะ

            “ท่านไม่พอใจการใช้สอยกองทัพของข้า” เดลิลวาสพูดสบายๆ

            “อย่างที่ท่านกล่าวไป เอลิลเป็นเผ่าพันธุ์ไร้ความรู้สึก ไม่สามารถรู้สึกไม่พอใจได้” กัปตันโพรเฟดพูดต่อ “แต่เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความคิดความอ่านค่อนข้างสูง นั่นทำให้เราสามารถเกิดความรู้สึกไม่เห็นด้วย ยามที่มีสิ่งชวนให้คิดตะขิดตะขวง”

            “แน่นอน ท่านไม่เห็นด้วยที่ข้าส่งกองสอดแนมกลุ่มนั้นไปตายที่เด็นร็อค” เดลิลวาสว่า

            “แม้เอลิลแต่ละคนจะไม่ได้กำเนิดขึ้นด้วยวิธีธรรมชาติ แต่เอลิลทุกชีวิตก็ล้วนมีความสำคัญ แต่ละคนล้วนมีประโยชน์และมีคุณค่า” กัปตันโพรเฟดพูดอย่างไร้ความรู้สึก “ทุกคนที่เราสร้างขึ้นมา ล้วนทำประโยชน์ต่อเราได้ทั้งนั้น จึงเป็นการสิ้นเปลืองอย่างน่าเศร้าหากพวกเขาต้องตายเปล่า”

            “แน่นอน พวกเขาตาย” เดลิลวาสพูดเรื่อยๆ ยังไม่ถอยสายตาจากแท่นน้ำพุ “แต่ห่างไกลจากคำว่าตายเปล่ายิ่งนัก ตรงกันข้าม การตายของพวกเขามันแสนคุ้มค่าเสียยิ่งกว่าคุ้ม”

            “ท่านผู้บัญชาการโปรดขยายความให้กระจ่างด้วย”

            “ระหว่างคนของท่านตายไปสักสิบคนในภารกิจที่ข้าส่งไป กับตายไปสักร้อยสักพันคนในการสู้ศึก ที่ข้าสามารถจัดการไม่ให้เกิดได้ ท่านจะเลือกอะไร” เดลิลวาสถาม

            “ท่านก็คงทราบอยู่แล้ว ว่าตายน้อยดีกว่าตายมาก ข้าย่อมเลือกอย่างแรก”

            “ซึ่งสิ่งที่ข้าทำอยู่นี้ คือทำให้มันเป็นไปตามอย่างแรก” เดลิลวาสบอก “เราทำสงครามกับทั้งพวกโฮเซ่และพวกดาร์คเนสดีวิล กัปตันโพรเฟด และการสู้กับพวกนี้ ทางฝ่ายเราจะต้องเสียเลือดเสียเนื้อมหาศาล จะเป็นการฉลาดกว่าไหม ถ้าเราจะทำให้พวกมันต่อสู้กันเอง”

            “ท่านทำให้มันเป็นอย่างนั้นได้หรือ”

            “รู้ไหมกัปตันโพรเฟด คนจำนวนมากเชื่อว่าเผ่าพันธุ์เอลิลได้เปรียบเฟลมฟอร์ส ตรงที่เอลิลไม่มีโทสะ” เดลิลวาสพูด “แต่ข้าไม่เคยมองว่าเป็นความได้เปรียบเลย เมื่อเอลิลไม่มีโทสะ ก็เป็นเรื่องยากที่เอลิลจะเข้าใจอารมณ์โกรธ การเข้าอกเข้าใจธรรมชาติของความโกรธแค้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เพราะบรรดาศัตรูของเราก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่โกรธเป็น เมื่อเราประเมินพฤติกรรมยามโกรธของศัตรูได้ เราก็สามารถหาวิธีใช้ความโกรธของศัตรูให้เป็นประโยชน์ได้เช่นกัน”

            “ด้วยวิธีใดหรือ ท่านผู้บัญชาการ”

            “เอโมลิล แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม เดอะ โนเวลิสท์ เคยกล่าวไว้ว่า ปากกาคมกว่าดาบ นั่นเป็นเรื่องจริงทีเดียว” เดลิลวาสพูด “แต่เขาคงลืมนึกไปว่า สิ่งมีคม ไม่ว่าจะดาบหรือปากกา หากใช้ไม่ระวัง นอกจากจะบาดศัตรูแล้ว มันอาจย้อนกลับมาบาดตนเองได้ ซึ่งเขาก็กำลังจะได้ชดใช้ความผิดพลาดในการใช้ปากกา ด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว ท่านจะรู้สึกทึ่งในพลังของปากกาทีเดียวกัปตันโพรเฟด ว่าข้อความเพียงเล็กน้อยในกระดาษแผ่นเดียว กลายเป็นชนวนจุดไฟสงครามขึ้นมา”

            “ไม่ว่าท่านมีแผนอันใด หน้าที่ของข้าคือเห็นด้วยกับมัน” กัปตันโพรเฟดโค้งศีรษะ

            “แน่นอน ความรับผิดชอบต่อหน้าที่เป็นคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมของท่าน” เดลิลวาสพูดอย่างพอใจ “คราวนี้ หลังจากที่เราได้เก็บข้อมูลและทำการประเมินศัตรูทั้งสามเผ่าพันธุ์แล้ว ท่านคงอยากทราบผลสรุปจากข้า”

            “ท่านกล่าวถูกต้อง ท่านผู้บัญชาการ”

            “จากการวิเคราะห์ของข้า ในตอนนี้บรรดาศัตรูทั้งสามของเรา พวกดาร์คเนสดีวิลแข็งแกร่งที่สุด แม้จะได้รับความเสียหายจากสงครามมากกว่าเผ่าพันธุ์ใด รองลงมาคือพวกโฮเซ่ ที่แม้จะแทบไม่ได้รับความเสียหายจากเรา แต่ก็เสียหายจากสงครามต่อเนื่องกับพวกมนุษย์ อ่อนแอที่สุดคือพวกฟอเรสเทอร์ ที่แม้จะไม่ได้รับความเสียหายใดๆ จากสงครามเลย แต่ชีวิตอันสงบสบายก็ทำให้พวกนั้นมีทักษะสงครามน้อยกว่าเผ่าพันธุ์อื่น มีความก้าวหน้าทางการทหารต่ำ มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ล้าหลัง” เดลิลวาสแจกแจง “ในอดีตนั้น เราเฟลมฟอร์สโจมตีกาโกคอลน้อยที่สุด เพราะเส้นทางเดินทัพไม่เอื้ออำนวย อีกนั้นพวกนั้นก็ไม่ค่อยแข็งแกร่ง จึงไม่ค่อยเป็นปัญหาต่อแผนสงครามของเรา พวกเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งต่างหากที่เราต้องคอยยกทัพไปสร้างความเสียหายเรื่อยๆ ให้อ่อนแอลง ไม่อย่างนั้นจะปราบลำบากในภายหน้า ทำไมเราจะต้องไปเสียเวลาหักดาบไม้ทื่อๆ ของพวกฟอเรสเทอร์ โดยเป็นการซื้อเวลาให้ศัตรูอื่นๆ ที่แข็งแกร่งกว่าได้พัฒนาดาบเหล็กคมๆ ในมือเป็นหอก เป็นขวาน เป็นปืน นี่คือเหตุผลว่าทำไมในอดีตเรา จึงตั้งเป้าไปที่ศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดก่อน”

            “หมายความว่า สงครามครั้งนี้ ท่านจะกำจัดศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดก่อนหรือ” กัปตันโพรเฟดถาม

            “แล้วท่านคิดว่าตามหลักตำราพิชัยสงครามที่ถูกต้อง ควรจะเป็นแบบไหนล่ะ” เดลิลวาสถามหยั่งเชิง

            “ข้าคิดว่าสงครามเป็นเรื่องของความฉลาดและความสร้างสรรค์” กัปตันโพรเฟดตอบ “คนฉลาด จะไม่จำเป็นต้องทำตามตำรา หรือมีหลักการตายตัว”

            “ถูกต้อง ท่านแสดงให้ข้าเห็นแล้วว่าเอลิลเป็นเผ่าพันธุ์ที่ฉลาด” เดลิลวาสชม “ท่านกล่าวถูกแล้ว คนฉลาดจะไม่วางแผนโดยยึดหลักอะไรตายตัว พวกที่พึ่งตำราพิชัยสงครามคือพวกอ่อนหัดทั้งนั้น หากอยากเป็นฝ่ายชนะสงคราม ก็ควรรู้จักคิดแผนการที่เหล่าศัตรูเดาทางไม่ออก จนรับมือได้ไม่ทันการ”

            “เรื่องความสามารถทางสงคราม เผ่าพันธุ์ของท่านไม่เป็นสองรองใคร” กัปตันโพรเฟดว่า

            “ในอดีต เส้นทางเดินทัพของเราเฟลมฟอร์สค่อนข้างจำกัด เราจึงต้องกำจัดศัตรูที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อน แต่ตอนนี้เรามีฐานทัพที่ไอซ์เมส ซึ่งอยู่ตรงกลางเหล่าศัตรูทั้งหมด สามารถเลือกเดินทัพไปกำจัดใครก่อนก็ได้ ในสงครามครั้งที่แล้วเราเริ่มจากกำจัดศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดก่อน แต่ครั้งนี้เราจะเลือกกำจัดศัตรูที่อ่อนแอที่สุดก่อน เป็นการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์เดิมๆ  แล้วมันก็ทำให้เราได้ประโยชน์จากภูมิศาสตร์ด้วย” เดลิลวาสสะบัดมือ มีเปลวไฟกระจายออกมาเป็นรูปแผนที่ดวงดาวขนาดใหญ่ มีอาณาจักรทุกอาณาจักร “แม้เราจะมีศัตรูถึงสามฝ่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องลำบากที่จะกำจัด ตราบที่พวกนั้นยังไม่มารวมกัน สิ่งที่เราจะทำคือแยกพวกนั้นออกจากกัน โดยใช้จุดยุทธศาสตร์เป็นข้อบังคับ แบร์ร็อคกับโฟรเซ็นทิเนลอยู่คนละซีกของแผนที่ เมื่อเรากำราบพวกฟอเรสเทอร์และเข้าควบคุมอาณาจักรกาโกคอลได้ แบร์ร็อคและโฟรเซ็นทิเนลก็จะถูกตัดขาดจากกันอย่างเบ็ดเสร็จ เขาลากเส้นตรงจากอาณาจักรโมราโซมอสที่อยู่มุมซ้ายบนของแผนที่ ตัดผ่านอาณาจักรไอซ์เมสที่อยู่กึ่งกลางแผ่นที่ จนไปถึงอาณาจักรกาโกคอลที่อยู่มุมขวาล่างของแผนที่ เป็นเส้นกั้นระหว่างอาณาจักรแบร์ร็อคที่อยู่มุมขวาบนของแผนที่ กับอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลที่อยู่มุมซ้ายล่างของแผนที่”

            “นี่คือเหตุผลที่ท่านรักษาอาณาจักรโมราโซมอสไว้” กัปตันโพรเฟดมองแผนที่ไฟ “ท่านต้องการให้พวกมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของเส้นกั้น และเป็นส่วนที่ค่อนข้างยาวเสียด้วย”  

          “ศัตรูของศัตรูคือสิ่งที่มีประโยชน์” เดลิลวาสกล่าว “เมื่อเราทำให้เส้นกันสมบูรณ์แล้ว เราก็กำจัดแบร์ร็อคหรือโฟรเซ็นทิเนลไปทีละอาณาจักร จากนั้นก็ค่อยกำจัดโมราโซมอสเป็นที่สุดท้าย ศัตรูของเราแข็งแกร่งกัปตันโฟรเฟด แต่ถ้าเราแยกกำจัดพวกมันทีละฝ่าย เราปราบได้หมดแน่”

          “เป็นกลยุทธ์ที่ล้ำเลิศ” กัปตันโพรเฟดโค้งศีรษะ “แต่ท่านควรทราบว่า แม้พวกฟอเรสเทอร์จะอ่อนแอที่สุด แต่ก็ใช่จะปราบได้ง่ายๆ อย่างน้อยก็ต้องใช้กองทัพจำนวนมาก ซึ่งท่านก็คงทราบดีว่า กองทัพที่เราเหลืออยู่ตอนนี้ มันมีไม่มากนัก”

          “อย่างที่ข้าเคยบอกไป กัปตันโพรเฟด ในอีกไม่นานนี้ จะมีสิ่งทำให้กองทัพเอลิลเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็ว เราจะมีกองทัพเพียงพอ” เดลิลวาสให้ความมั่นใจ “ข้าอ่านรายงานการสำรวจของท่านแล้ว เมืองหลวงกาโกคอลมีแค่กำแพงไม้สองชั้นและปราสาทต้นไม้ เมืองก็อยู่ริมอาณาจักร ไม่มีเมืองใดเป็นหน้าด่าน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะบุกตีให้แตก พิชิตเมืองหลวงได้ก็พิชิตได้ทั้งอาณาจักร”

          “แต่การจะไปถึงเมืองหลวงได้นั้น จะต้องผ่านป่านอกเมือง นั่นคือหน้าด่านแท้จริงที่พวกฟอเรสเทอร์ใช้ป้องกันเมืองหลวง” กัปตันโพรเฟดชี้แจง “ป่านอกเมืองคือปัญหาใหญ่สำหรับเรา พวกฟอเรสเทอร์ชำนาญพื้นที่แบบนั้นยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์ใด อีกทั้งยังมีกองกำลังวูดส์วาร์เด็นกระจายอยู่ทั่วป่า หากเคลื่อนพลบุกเข้าไป จะเป็นการบังคับให้เราต้องต่อสู้ในวิธีที่พวกฟอเรสเทอร์ถนัด นั่นคือซุ่มยิงจากในมุมมืด ในตำแหน่งที่ยากต่อการตอบโต้ เราเสียเปรียบอย่างมหันต์แน่ ยิ่งกองทัพใหญ่ยิ่งลำบาก พื้นที่ไม่กว้างพอให้จัดขบวนทัพ หรือขนย้ายอาวุธหนักและอุปกรณ์สงคราม แม้แต่ทัพอากาศบินข้ามป่าไป ก็ยังจะถูกสอยร่วงหมดอย่างที่กองเรือเหาะของข้าเพิ่งโดนไป พวกนั้นอาจเป็นคนป่าล้าหลัง แต่ฝีมือยิงธนูนั้นเหนือชั้น ไม่มีเผ่าพันธุ์ใดเทียบได้”

          “แน่นอน ป่านอกเมืองคือปัญหาของเรา” เดลิลวาสพูดอย่างไม่กังวลนัก “วิธีแก้ปัญหา ก็คือถางป่าบางส่วนเพื่อสร้างถนน เปิดทางให้กองทัพของเราได้เคลื่อนผ่านไปถึงเมืองหลวงกาโกคอลได้”

          “นั่น ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ” กัปตันโพรเฟดพูดทันที “ท่านคิดว่าเราจะถือขวานเข้าไปตัดต้นไม้จำนวนมาก โดยไม่ถูกธนูของพวกฟอเรสเทอร์ปักเข้าที่ร่างอย่างนั้นหรือ จะใช้วิธีเผาป่าก็ทำได้ยาก ต้นไม้ในป่านั้นทั้งแข็งแรงและเขียวสด ดินก็ชื้น ทำให้ไฟยากที่จะลุกลาม ต่อให้เราเผาป่าได้จริงๆ ผลที่ได้ก็แค่เปลี่ยนจากป่าให้เป็นซากป่าไหม้ๆ ไม่ได้เปิดทางให้เราอยู่ดี”

          “กัปตันโพรเฟด ท่านเคยรบกับพวกไซคัส คงพอทราบใช่ไหมว่าพวกนั้นมีความสามารถอย่างหนึ่งที่เผ่าพันธุ์อื่นๆ ไม่มีทางเทียบได้” เดลิลวาสเอ่ยถามขึ้น ฟังดูไม่เกี่ยวกับหัวข้อที่สนทนาเลย

          “พวกไซคัสมีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับการสร้างและปรับแต่งธรรมชาติ” กัปตันโพรเฟดตอบ “นับเป็นความสามารถที่มหัศจรรย์มาก”

          “พวกนั้นสร้างและปรับแต่งป่า รวมทั้งรื้อถอนป่า ย้ายต้นไม้จากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง” เดลิลวาสว่าต่อ “การถอนต้นไม้ขนาดใหญ่จำนวนมากมายไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ ต้องใช้แรงงานมหาศาล ยิ่งต้นไม้ใหญ่ที่มีรากลึกๆ ยิ่งเป็นไปได้ยาก แต่พวกไซคัสก็สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ง่ายๆ ด้วยความรอบรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ พวกนั้นได้สร้างวัตถุวิเศษขึ้นมาสำหรับจัดการเรื่องนี้”

          เดลิลวาสชี้ไปยังแท่นน้ำพุที่อยู่ข้างหลัง มืออีกข้างชูรูปปั้นที่ถืออยู่ให้ดูชัดๆ กัปตันโพรเฟดมองรูปปั้น แล้วเลื่อนสายตาไปยังแท่นน้ำพุ

          “นี่คือวัตถุวิเศษของพวกไซคัส ที่ท่านกล่าวถึงหรือ”

          “เฉพาะรูปปั้นเท่านั้น พลังมหัศจรรย์มันอยู่ที่รูปปั้น” เดลิลวาสกล่าว “แท่นน้ำพุไม่ใช่สิ่งสำคัญมาก มันก็แค่เครื่องช่วยขยายพลังงานของรูปปั้น พี่น้องเซ็ทซาร์ดคนอื่นๆ ของข้าใช้ความฉลาดช่วยกันสร้างขึ้นมาเอง แต่ด้วยพลังของรูปปั้นนี้ จะทำให้แท่นน้ำพุมีความพิเศษ”

          เดลิลวาสเอื้อมมือไปวางรูปปั้นบนยอดแท่นน้ำพุ ทันใดนั้น ตัวอักษรภาษาดาร์เคนที่สลักอยู่ตามขอบบ่อก็เรืองแสงขึ้นมา แล้วแท่นน้ำพุที่แห้งสนิทก็มีน้ำไหลออกมาเอง เดลิลวาสตักน้ำจากแท่นน้ำพุเพียงหนึ่งถ้วย สาดใส่โคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

          มีเสียงสั่นสะเทือนจากใต้พื้น ต้นไม้ต้นนี้เอนล้มลงเสียเฉยๆ กัปตันโพรเฟดมองอย่างสนใจ นี่เป็นต้นไม้ใหญ่ รากที่ถอนออกมาจากใต้พื้นนั้นหนาและยาวมาก แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถยึดอยู่ที่พื้นได้ ปลายรากที่ขาดกลายเป็นสีเทา ดินที่เคยอยู่ใต้รากก็ดูร่วนๆ และมีความหนาแน่นน้อยลงอย่างมาก

          “แค่น้ำถ้วยเดียวก็สามารถโค่นต้นไม้ได้ทั้งต้น” เดลิลวาสกล่าว “อย่างที่ข้าเคยบอกไป กัปตันโพรเฟด ในขณะที่ข้าทำหน้าที่ผู้บัญชาการรักษาการณ์เอลิล พี่น้องที่เหลืออีกเจ็ดคนของข้าก็ไม่ได้เงียบหายไปเฉยๆ พวกเขาทำงานกันตลอดเวลา การค้นหารูปปั้นนี้ก็เป็นหนึ่งในภารกิจของพวกเขา และตอนนี้พวกเขาก็กำลังค้นหาวัตถุอันทรงพลังอีกชิ้น ที่จะทำให้เราชนะสงคราม มันไม่ใช่สิ่งที่จะค้นหาได้ง่ายๆ แต่ด้วยความสามารถอันสูงส่ง ความรอบรู้อันกว้างขวาง และการเตรียมการมาตลอดกว่าสิบปีของพวกเราเซ็ทซาร์ด ทำให้ตอนนี้ พวกเขาใกล้จะพบมันแล้ว และเมื่อพวกเขาพบมัน เราก็เข้าใกล้ชัยชนะมากเต็มที”

          “กล่าวกันว่า ในบรรดาคนเก่งที่สุดในดาวดวงนี้ พวกเซ็ทซาร์ดอยู่ในอันดับต้นๆ” กัปตันโพรเฟดโค้งศีรษะอย่างให้เกียรติ

          “นั่นคือความจริง” เดลิลวาสแสยะยิ้ม “เอาล่ะกัปตันโพรเฟด ในตอนนี้หมอกตามชายฝั่งเมืองสกัลล์ฟิลด์เริ่มจางลงเล็กน้อย อโลบัสคงจะออกเดินทางไปปฏิบัติภารกิจลับในอีกไม่นาน ท่านควรจะไปซุ่มประจำตำแหน่งร่วมกับกองกำลังของท่านได้แล้ว”

          “รับทราบ ท่านผู้บัญชาการ” กัปตันโพรเฟดโค้งคำนับ แล้วหันหลังเดินจากไป

 

****************

 

          อโลบัสสวมชุดเกราะติดผ้าคลุมเรียบร้อย ดาบประจำกายคาดอยู่ที่เข็มขัดแผ่นคำสาปสำหรับปลดปล่อยดาบไอซ์แอคเซอร์อยู่ในหีบไม้สีน้ำตาลบนโต๊ะ เขาพร้อมสำหรับปฏิบัติภารกิจลับในวันนี้แล้ว แม้วันนี้บริเวณชายฝั่งจะมีหมอกค่อนข้างหนา แต่พื้นที่ที่เขาจะไปนั้นจะมีหมอกบางลงกว่านี้ หลังจากตั้งค่ายอยู่ที่ชายฝั่งรอให้หมอกจางลงอยู่หลายวัน วันนี้ก็ถึงเวลาเริ่มภารกิจเสียที เขาคว้าหีบไม้และเดินออกจากกระโจมของตนอย่างสง่างาม ผมสีบลอนด์อ่อนยาวตรงของเขาปลิวไสวไปข้างหลังพร้อมกับผ้าคลุม อาจเป็นเพราะแสงหรือเงาที่ทำให้มันดูใกล้เคียงกับสีขาวมากขึ้นทุกวันตั้งแต่มาอยู่ที่ไอซ์เมส น่าประหลาดใจที่แม้จะเจอแต่อากาศหนาวและแห้ง แต่มันก็ยังเรียบลื่นเงางามและไม่มีหิมะจับเกาะสักนิด อโลบัสย่ำรองเท้าบู๊ตสงครามลงไปบนพื้นหิมะ กวาดตามองไปรอบๆ มีกระโจมทหารอีกจำนวนมากตั้งล้อมรอบกระโจมของเขาอยู่ พวกนั้นก่อไฟอยู่หน้ากระโจมเพื่อต้มน้ำทำอาหารกลางวันและเอาไว้ผิงแก้หนาว บางคนยืนขึ้นทักทายอโลบัส

          “ไม่ต้องมากพิธี ตามสบายเถิดทุกท่าน” อโลบัสยกมือห้าม

          “ท่านสวมแต่ชุดเกราะเหมือนตอนอยู่ที่โมราโซมอส ไม่สวมขนสัตว์สักชิ้น ไม่หนาวแย่หรือครับ”

          “อย่าห่วงข้าเลย พวกท่านทำตัวให้อบอุ่นเข้าไว้ เตรียมอาหารต่อไปเถิดนะ”

          กัปตันเท็มเปิลสวมเกราะครบชุด เดินออกมาจากกระโจมใกล้ๆ เขาปรับสภาพกับความหนาวได้ไม่ดีเท่าอโลบัส จึงต้องสวมขนสัตว์ทับชุดเกราะ มือขวาถือหอก มือซ้ายถือโล่ ดาบคาดอยู่ที่เข็มขัด หลังสะพายคันธนูและกระบอกใส่ลูกธนู อโลบัสพยักหน้าทักทาย

          “ไม่เคยเห็นท่านพกอาวุธเยอะขนาดนี้” เขาทัก

          “ควรนำอาวุธติดตัวไปให้มากที่สุด” กัปตันเท็มเปิลว่า “วันนี้ เราแค่ยี่สิบห้าคนจะต้องไปเจอกับอะไรหลายๆ อย่างที่อันตรายแน่”

          “เฮเวนล็อคช่วยปูทางให้เราไปเยอะแล้ว มันจะง่ายขึ้น” อโลบัสให้ความมั่นใจ“ทหารพิเศษทั้งยี่สิบสามคนของเราพร้อมหรือยัง”

          “พวกเขาอยู่นั่น” กัปตันเท็มเปิลชี้มือไปด้านหลังอโลบัส

            พวกทหารมือดีทั้งยี่สิบสามคนยืนตั้งแถวกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนสวมชุดเกราะสีแดงทองทั้งตัว คลุมทับด้วยขนสัตว์กันหนาวมีอาวุธ ทั้งหอก โล่ ดาบ และธนูเช่นเดียวกับกัปตันเท็มเปิล พวกเขาเป็นทหารที่มีฝีมือเก่งกาจ ผ่านการคัดเลือกโดยกัปตันเท็มเปิล มีประสบการณ์รบโชกโชน ผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง

          “พวกเขากับท่านรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยหรือยัง” อโลบัสถามกัปตันเท็มเปิล

          “เรียบร้อยแล้ว”

          “เมื่อคืนพักผ่อนได้เต็มที่ใช่ไหม”

          “เรียบร้อยแล้ว”

          “ดี”อโลบัสกล่าวแก่ทหารพิเศษทั้งยี่สิบสามคน “ทุกท่าน หากภารกิจนี้ลุล่วง พวกท่านจะได้เลื่อนยศเป็นนายทหารระดับสูง ได้รับเงินบำเหน็จพร้อมที่ดิน และมีกองกำลังใต้บังคับบัญชา”

          ทหารทั้งยี่สิบสามคนยืนตรงทำความเคารพ แม้ทุกคนจะวางมาดนิ่ง แต่ในใจก็คาดหวังกับรางวัลที่รออยู่ บางคนซ่อนสีหน้าละโมบไม่อยู่

          “ท่านพร้อมนะ กัปตันเท็มเปิล” อโลบัสหันมาถาม

          “แน่นอน ข้าพร้อม” กัปตันเท็มเปิลพยักหน้า “แต่ท่านแน่ใจนะว่าท่านพร้อม เจ้าชาย เมื่อคืนข้าเห็นท่านไม่ได้นอน ท่านยืนอยู่เฉยๆ ทำไมกัน ตั้งแต่มาที่นี่ข้าก็ไม่เคยเห็นท่านกินข้าวกินน้ำ ไม่เคยหลับไม่เคยนอน แต่ทำไมท่านยังดูปกติดีไม่อ่อนเพลียหรือทรุดโทรมลงสักนิด”

          “ในเมื่อท่านพร้อมก็ดีแล้ว” อโลบัสตัดบท หยิบแตรสงครามโลหะสีทองมาเป่า พวกทหารมนุษย์ทุกคนหยุดการกระทำทุกอย่างและหันมาฟัง

          “ทุกคน” อโลบัสประกาศคำสั่ง“เราทั้งยี่สิบห้าคนจะไปปฏิบัติภารกิจลับ พวกเจ้าทุกคนจงอยู่ดูแลค่าย ทำตัวเป็นปกติ รออยู่ที่นี่จนกว่าพวกเราจะกลับมาคำสั่งทั้งหมดมีเท่านี้”

            พวกทหารมนุษย์ทุกคนพูดพร้อมกันว่า “รับทราบ”  และหันกลับไปผิงไฟ พูดคุย และทำอาหารกันต่อ อโลบัสหันกลับไปหากัปตันเท็มเปิลและพวกทหารพิเศษอีกครั้ง

          “ไปกันเถอะ”  เขาเปิดหีบหยิบแผ่นคำสาปออกมาดูแผนที่ แล้วเริ่มก้าวเดินออกนำทุกคน กัปตันเท็มเปิลและทหารพิเศษทั้งยี่สิบสามคนเรียงแถวเดินตามไป ยกตะเกียงส่องทางไปด้วยเพราะหมอกค่อนข้างหนา พวกเขาตัดอ้อมแนวเนินน้ำแข็งไปตามทาง ห่างไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแสงตะเกียงลับสายตาไป พวกทหารมนุษย์ในค่ายที่ทำอาหารกันเสร็จแล้วเริ่มรับประทานอาหารกันอย่างมีความสุข ในเมื่อวันนี้ไม่มีภารกิจหน้าที่ใดๆ ก็หมายถึงพวกเขาสามารถพักได้ ยิ่งอากาศหนาวๆ อย่างนี้ยิ่งไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น แต่ละคนนั่งรับประทานอาหารกันและพูดคุยเรื่อยเปื่อย

            แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่ากำลังถูกจับตามองอยู่ห่างๆ โดยกัปตันโพรเฟดและกองทหารม้าเอลิลจำนวนมาก อาศัยขอบเนินหิมะและหมอกที่ปกคลุมในบริเวณนี้ช่วยอำพราง อาณาจักรไอซ์เมสเป็นถิ่นของเอลิล เอลิลย่อมชำนาญพื้นที่มากกว่ามนุษย์ ทหารม้าผีทั้งกองยังคงเฝ้าสังเกตการณ์อย่างสงบนิ่ง ไม่มีใครขยับเขยื้อน จนกระทั่งเวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง

          “กระจายกำลังล้อมไว้” กัปตันโพรเฟดนำด้ามดาบกับฝักดาบของตนมาประกอบเป็นง้าว“รอจนกว่ากองกำลังใต้น้ำจะทำงานสำเร็จ”

          ทหารม้าเอลิลเริ่มขยับขยายกันออกไปอย่างเงียบเชียบ ประกอบดาบเป็นง้าว ม้าผีพาหนะของพวกเขาสามารถเดินได้บนผิวหิมะ ทำให้แทบไม่มีเสียงฝีเท้าเลย

            เรือของพวกมนุษย์ทั้งห้าลำทอดสมอจอดอยู่ในทะเล มองเห็นรางๆ อยู่ในสายหมอกต้องจอดห่างจากชายฝั่งพอควรเพราะเป็นเรือลำใหญ่ ในตอนนี้มียามเฝ้าประจำเรือลำละไม่กี่คน เพราะทหารมนุษย์ส่วนใหญ่ขึ้นฝั่งไปอยู่ที่ค่ายกันหมดแล้ว

          ในขณะที่เรือทั้งห้าลำจอดอย่างสงบท่ามกลางสายหมอก ทหารเอลิลสวมชุดที่ทำจากหนังแมวน้ำก็ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากน้ำด้านข้างเรือทุกลำ คงจะดำน้ำรวดเดียวมาโผล่ข้างเรือเลยเพราะพวกเอลิลไม่มีการหายใจจะดำน้ำได้นานแค่ไหนก็ได้ อีกทั้งอุณหภูมิน้ำทะเลที่ต่ำมากจนแทบจะจับแข็งนั้นไม่มีผลต่อเผ่าพันธุ์ที่ไร้ความรู้สึกอย่างพวกเอลิล เชือกตะขอหลายตัวถูกโยนขึ้นไปเกี่ยวกับขอบเรือ แล้วพวกทหารเอลิลก็ทยอยไต่ขึ้นไปบนเรือ ทำทุกอย่างได้เงียบเชียบ ระมัดระวังไม่ให้ดาบไปกระทบกับเรือขณะปีน เพื่อไม่ให้เกิดเสียงไปเข้าหูพวกยามเฝ้าเรือ ทหารเอลิลบางส่วนปีนขึ้นไปบนเรือทั้งห้าลำเรียบร้อยแล้ว ชุดที่พวกเขาสวมทำให้เกิดเสียงน้อยมากขณะเคลื่อนไหว พวกเขาค่อยๆ ย่องไปด้านหลังพวกยามเฝ้าเรือที่นั่งผิงไฟหรือคุยโน่นคุยนี่กันเรื่อยเปื่อยบนดาดฟ้าเรือ มือข้างหนึ่งปิดปากพวกมนุษย์ไม่ให้ส่งเสียง มืออีกข้างใช้ดาบเชือดคอทันทีทันใดชนิดที่ว่าพวกมนุษย์แทบไม่มีเวลาตกใจทหารยามมนุษย์บนดาดฟ้าเรือแต่ละลำถูกจัดการอย่างเงียบเชียบ พวกมนุษย์ที่ตั้งค่ายอยู่บนฝั่งไม่มีใครสังเกตเห็น ดาดฟ้าเรือทั้งห้าลำโล่งแล้ว พวกเอลิลที่เหลืออยู่ในน้ำก็ปีนขึ้นมาบนเรือจนหมด ส่วนพวกที่ปีนขึ้นมาแล้วก็ชักดาบออกและเปิดประตูเรือลงไปตรวจหาพวกทหารมนุษย์ที่หลงเหลืออยู่ในเรือ กำจัดทิ้งไม่ให้เหลือ

          ไม่นานต่อมา เรือทั้งห้าลำก็ปราศจากมนุษย์ พวกเอลิลช่วยกันถอนสมอเรือ กางใบเรือทุกใบ แล่นเรือออกให้ห่างจากฝั่ง พวกมนุษย์ที่อยู่ริมชายฝั่งเริ่มหันไปดูเรือแม้ชายฝั่งทะเลจะมีหมอก แต่ก็พอสังเกตได้ว่าเรือทั้งห้าลำกางใบเต็มที่ และกำลังแล่นออกไป

          “นั่นมันอะไรกัน” ทหารมนุษย์คนหนึ่งร้องลั่น

          “เฮ้! ทางเรือ เกิดอะไรขึ้น”  ทหารอีกคนยกมือป้องปากตะโกน

            ไม่มีเสียงตอบกลับมาแม้แต่น้อย พวกทหารมนุษย์ทั้งค่ายเริ่มแตกตื่น เรือของพวกเขากำลังจะแล่นไปไหน

          “เฮ้!”  ทหารคนเดิมตะโกน “นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น”

            แล้วเรือทั้งห้าลำก็สั่นระฆังบนเรือ ทำเพื่ออะไรก็สุดรู้ได้ พวกมนุษย์ได้แต่ทำหน้างง

          “สัญญาณมาแล้ว” กัปตันโพรเฟดเลื่อนกระบังหมวกเกราะลงมาปิดหน้า แล้วสะบัดบังเหียนควบม้าผีบุกตรงเข้าไป มือที่ถือง้าวชูขึ้น “เดินหน้าบุก”

          พวกมนุษย์ตกใจกันสุดขีดเป็นครั้งที่สอง เมื่อกองทหารม้าเอลิลพังรั้วบุกเข้ามาโจมตีค่ายจากหลายทิศหลายทาง ทหารมนุษย์แต่ละคนควานหาอาวุธชุดเกราะกันจ้าละหวั่น ไม่คาดคิดว่าจะถูกจู่โจมกะทันหันเช่นนี้ เหล่าทหารม้าผีเดินหน้ากระหน่ำโจมตี ไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัวได้ ทหารมนุษย์ล้มตายเป็นว่าเล่น กระโจมถูกพังล้มหรือถูกเผายับเยิน แทบจะไม่มีปัญญาตอบโต้เลย ทหารมนุษย์ส่วนหนึ่งไม่ได้สวมเกราะ อีกส่วนหนึ่งก็ไม่ได้ถืออาวุธ ไม่มีใครทันได้เตรียมการต่อสู้ใดๆ การต่อสู้ครั้งนี้จึงกลายเป็นการสังหารหมู่

            พวกมนุษย์ไม่มีทางหนี ด้านหน้าคือกองทหารม้าเอลิลที่กระจายกำลังปิดล้อมเป็นครึ่งวงกลม ด้านหลังคือทะเลจะหนีไปไหนก็ไม่ได้เพราะเรือใหญ่ทั้งห้าลำถูกยึดหมดแล้ว ดังนั้น ภายในเวลาไม่นาน ทหารมนุษย์ทั้งหมดก็ถูกกำจัดไม่เหลือแม้แต่คนเดียว กัปตันโพรเฟดเลื่อนกระบังหมวกเกราะขึ้น กวาดสายตาไปรอบๆ มีแต่ศพมนุษย์ เลือดแดงฉานบนพื้นหิมะ และเศษซากกระโจมพังๆ

            “ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีใครรอดชีวิต” เขาชูง้าวเปื้อนเลือดมนุษย์สั่งการ “รื้อซากกระโจมออกให้หมด เก็บกวาดสถานที่ให้เรียบร้อย”

           

***************

 

            อโลบัส กัปตันเท็มเปิล และเหล่าทหารพิเศษทั้งยี่สิบสามคนเดินทางมาถึงเนินเขาน้ำแข็งโล่งๆ ที่ดูธรรมดา ไม่มีอะไรชวนให้สังเกต อโลบัสยกมือให้ทุกคนหยุด ดูแผ่นคำสาปตรวจสอบพิกัดตำแหน่งในแผนที่อีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่ามาถูกที่ พวกเขาเดินทางออกมาห่างจากค่ายมาก ไกลเกินกว่าจะรับรู้สิ่งที่เกิดในค่าย ไม่มีใครรู้ว่าค่ายถูกตีแตกย่อยยับ ไม่มีใครรู้ว่าเรือทั้งห้าลำถูกยึด ต่อให้พวกเขาปฏิบัติภารกิจลับสำเร็จ พวกเขาก็ต้องติดอยู่ที่ไอซ์เมส ไม่สามารถกลับโมราโซมอสได้

          “ทางเข้าอุโมงค์จองจำดาบอยู่ไหนหรือเจ้าชาย” กัปตันเท็มเปิลมองไปรอบๆ

          “การเปิดประตูอุโมงค์นั้น จะต้องอ่านอักษรที่สลักอยู่รอบๆ ขอบแผ่นคำสาปครึ่งหนึ่ง” อโลบัสแปลเงื่อนไขในแผ่นคำสาปให้กัปตันเท็มเปิลฟัง

            เขาจ้องแผ่นคำสาปอย่างแน่วแน่เริ่มอ่านตัวอักษรดาร์เคนเหล่านั้นออกเสียงอย่างชัดถ้อยชัดคำ มันเป็นภาษาที่ออกเสียงประหลาดที่สุดที่ทุกคนเคยฟังมา เสียงของอโลบัสไม่ต่างจากเสียงกระซิบในลำคอ ไม่ได้ขยับลิ้นเลย น้ำเสียงเยือกเย็น ลากยาว และเป็นโทนเสียงระดับเดียวกันตลอด มีอำนาจซ่อนเร้นอยู่ในภาษามืดนี้ ขนหลังคอของทุกคนตั้งชันราวกับมันไปลดอุณหภูมิในอากาศรอบตัวลง เขาพูดเสียงค่อนข้างเบาแต่ทุกคนก็ยังได้ยินเสียงเขาอย่างชัดเจน กัปตันเท็มเปิลเริ่มความรู้สึกไม่ชอบภาษานี้ขึ้นมาแล้ว

            เมื่ออโลบัสอ่านข้อความจารึกจนจบ พื้นน้ำแข็งเบื้องหน้าเขาก็ค่อยๆ เลื่อนเปิดออกเป็นช่องหกเหลี่ยม มีบันไดวนที่ทำด้วยน้ำแข็งแกะสลักสวยงามทอดยาวลึกลงไปข้างล่าง อโลบัสยื่นหน้าลงไปดูมันทอดลึกลงไปมาก บันไดบางส่วนดูแตกหักเสียหายแต่ก็ยังใช้การได้ ผนังบางส่วนก็ดูเสียหายเช่นกัน ที่น่าอัศจรรย์คือข้างในอุโมงค์เบื้องล่างนั้น แม้จะไม่มีตะเกียงหรือคบเพลิงที่ให้แสงสว่างแต่มันก็สว่างไสวอยู่ตลอดเวลา สว่างกว่าข้างบนนี้ที่มีแต่หมอกและแสงแดดทึมๆ เสียอีก ตะเกียงที่พวกเขานำมาด้วยถูกทิ้งไปอย่างไร้ประโยชน์

          “ทางเข้าอุโมงค์” อโลบัสออกเดินนำลงบันไดวน “ไปกันเถอะ”

          “ทำไมบันไดและผนังบางส่วนถึงดูเสียหาย” กัปตันเท็มเปิลกวาดตามองรอบๆ ขณะลงบันไดตามไป ไม่ค่อยไว้ใจสถานที่นัก

          “เฮเลนล็อคและพวกดาร์คเนสดีวิลเคยต่อสู้กันที่นี่ พวกปีศาจคงไล่ตามเข้ามาในอุโมงค์ได้ส่วนหนึ่ง” อโลบัสตอบ “เฮเวนล็อคและคนของเขาที่เหลือจะต้องรีบฝ่าแนวป้องกันไปข้างหน้าเพื่อไปให้ถึงดาบขณะที่พวกปีศาจไล่จี้ตามหลังมา คงมีการหันไปโต้ตอบเป็นระยะๆ ทำให้บันไดและผนังมีร่องรอยเสียหาย”

            ทั้งหมดเดินลงบันไดวน เรียงแถวไปทีละคน อโลบัสเดินนำหน้าอยู่คนแรก ในมือถือแผ่นคำสาป พวกทหารพิเศษเดินตามลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงคนสุดท้าย

          โดยไม่มีใครคาดฝัน ช่องหกเหลี่ยมด้านบนก็เลื่อนปิดอย่างรวดเร็วจนหนีบทหารคนสุดท้ายขาดครึ่งในทันที เป็นภาพที่น่าสยดสยอง

          “เจ้าชาย นี่มันเกิดอะไรขึ้น” กัปตันเท็มเปิลที่เดินตามหลังอโลบัสตะโกนลั่น พวกทหารพิเศษจ้องมองครึ่งท่อนล่างของเพื่อนอย่างตกใจสุดขีดบางคนถูกเลือดกระเซ็นมาใส่เต็มตัว

          “ข้าไม่รู้” อโลบัสแปลกใจเหมือนกันอ่านเงื่อนไขในแผ่นคำสาปอีกครั้ง “มันให้คนผ่านลงมาได้ไม่เกินยี่สิบห้าคน เราก็มีกันยี่สิบห้าคนนี่ แล้วทำไมมันถึงให้เราลงมาได้แค่ยี่สิบสี่คนล่ะ”

          “ข้าว่ามันเริ่มจะไม่เข้าท่าแล้ว” กัปตันเท็มเปิลพูดเสียงเข้ม “กลับออกไปกันดีกว่า”

          “ทางมันปิดไปแล้ว ข้าเปิดใหม่ไม่ได้” อโลบัสพูด “จะออกจากที่นี่ได้ จะต้องใช้ทางออกอีกฝั่งหนึ่งของอุโมงค์ หลังจากปลดปล่อยดาบแดนน้ำแข็งแล้ว”

            ดังนั้น พวกเขาจำเป็นต้องเดินหน้าต่อ ยังไม่ทันจะเริ่มต้นก็เสียทหารไปคนหนึ่งแล้ว ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย พวกเขาเดินลงบันไดต่อไปเงียบๆ พยายามทำจิตใจให้สงบ บันไดก็ช่างยาวเหลือเกิน ลงไปไม่ถึงเสียทีไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรรออยู่ข้างล่าง มองจากตรงนี้มันเห็นได้ไม่กว้างขวางนัก

          ในที่สุด ทุกคนก็ลงมาถึงอุโมงค์ รอบๆ ตัวพวกเขาไม่มีอะไรเลยนอกจากผนังน้ำแข็งเปล่าๆ เบื้องหน้าคือช่องขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะเกิดจากการระเบิดหรือการพังเข้าไปมันจะพาพวกเขาทะลุไปอีกด้านหนึ่งที่เต็มไปด้วยหมอกควันสีขาวอันหนาทึบจนมองอะไรไม่เห็น อโลบัสดูในแผ่นคำสาปอีกครั้ง

          “นี่มันช่องอะไร” กัปตันเท็มเปิลถาม

          “เดิมมันเป็นผนังวิเศษที่เราต้องทำให้มันเลื่อนเปิดทางให้เรา” อโลบัสอธิบาย “แต่คิดว่าเฮเวนล็อคคงจะระเบิดมันไปเลยเพราะเขาและคนของเขาต้องรีบไปให้ถึงดาบก่อนที่พวกดาร์คเนสดีวิลจะไล่ทัน อย่างที่ข้าเคยพูดไว้กัปตันเท็มเปิล เฮเวนล็อคช่วยปูทางให้เราสะดวกขึ้น”

          เขาชักดาบออกมาและก้าวผ่านช่องผนังเข้าไปในหมอกควันสีขาวกัปตันเท็มเปิลและทหารอีกยี่สิบสองคนก้าวตามไป เมื่อทุกคนก้าวผ่านช่องมากันหมดแล้ว หมอกควันหนาทึบที่อยู่ในอากาศก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่เป็นน้ำแข็งส่องประกายแวววาวราวกับเพชรและสัตว์สี่เท้ายี่สิบตัวเดินวนเวียนอยู่อีกด้านของห้อง มีช่องผนังถูกระเบิดทะลุแบบเดียวกันอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม สัตว์ทั้งยี่สิบตัวที่ว่านี้ดูคล้ายหมาป่าตัวใหญ่ที่มีขนสีขาวปุยเหมือนหิมะดวงตาสีเขียวดุร้าย พวกมันขู่คำรามแยกเขี้ยวขาวสะอาดเป็นประกายวับและเริ่มย่างสามขุมเข้ามาเตรียมพุ่งเข้าจู่โจม

          “เรียงแถวหน้ากระดาน” อโลบัสสั่งเสียงกระซิบ“หอกกับโล่อยู่ในท่าเตรียมพร้อม”

            พวกทหารมนุษย์เรียงแถวกันเป็นหน้ากระดานยกโล่เรียงต่อกันและพาดหอกไว้กับขอบโล่ด้านบน กัปตันเท็มเปิลยืนอยู่หลังแถว ปักหอกลงที่พื้น ขึ้นสายธนูเล็งพาดไหล่ทหารคนหนึ่งไปข้างหน้า อโลบัสยืนอยู่ข้างๆ กัปตันเท็มเปิล ยกดาบยาวเตรียมพร้อมในมือขวา

          “หมาป่าอะไรตัวใหญ่ขนาดนี้” กัปตันเท็มเปิลพึมพำ

          “หมาป่าหิมะ” อโลบัสพูด“อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ออกล่าเป็นกลุ่ม”

            หมาป่าหิมะตัวหนึ่งย่อขาลงและกระโจนใส่พวกเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ลูกธนูที่กัปตันเท็มเปิลขึ้นสายไว้เต็มเหนี่ยวถูกปล่อยพุ่งออกไปเสียบเข้าที่คอของมันร่างของมันกระเด็นกลับไปและไถลไปบนพื้นหิมะตายสนิท หมาป่าหิมะตัวอื่นๆ เริ่มขู่คำรามหนักเข้าไปอีก

          “ทุกคนฟังนะ” อโลบัสเอ่ยขึ้น สายตายังจ้องมองกลุ่มสัตว์ร้ายอย่างระมัดระวัง กัปตันเท็มเปิลหยิบลูกธนูออกมาขึ้นสายใหม่ “ตามเงื่อนไขแล้ว เราต้องฆ่าสัตว์ร้ายพวกนี้ให้หมดเสียก่อน ผนังอีกด้านหนึ่งจึงจะเปิดทางให้เราไปต่อ แต่เฮเวนล็อคได้เปิดทางให้เราแล้ว” เขาชี้มือไปยังช่องผนังฝั่งตรงข้ามที่เฮเวนล็อคระเบิดเปิดทางไว้ “จึงไม่จำเป็นต้องฆ่าหมด แต่ถ้าฆ่าหมดได้ก็ฆ่า เพราะเราไม่รู้ว่าการเหลือสัตว์ร้ายไว้สักตัวสองตัว มันจะเป็นปัญหาภายหลังหรือไม่”

            กัปตันเท็มเปิลเห็นจังหวะเหมาะ ยิงธนูอีกดอกใส่หมาป่าหิมะตัวหนึ่ง แต่เจ้าตัวนี้ไวมาก กระโจนหลบได้ วินาทีต่อมาหมาป่าหิมะทั้งหมดก็กระโจนใส่พวกเขาพร้อมๆ กัน พวกทหารมนุษย์ถูกดันไถลไปข้างหลังเล็กน้อยเมื่อกรงเล็บทั้งหมดของพวกมันตะปบลงบนโล่เหล็ก พละกำลังของเจ้าสัตว์ร้ายพวกนี้มีมากจริงๆ พวกมันพยายามจะตะกายข้ามโล่มา จึงถูกหอกที่พาดขอบโล่แทงตายไปหลายตัวพวกที่เหลือจึงถอยไปตั้งหลัก และเริ่มตีวงล้อมพวกเขาเป็นวงกลมเดินวนเวียนไปมาเหมือนหมาป่าล่าเหยื่อ พวกมนุษย์ต้องหันหลังชนกัน อาวุธเตรียมพร้อมอยู่ในมือ หมาป่าหิมะตัวหนึ่งกระโจนเข้าใส่อโลบัสซึ่งก็ถูกดาบตัดคอขาดกระเด็น อีกตัวหนึ่งกระโจนเข้าใส่กัปตันเท็มเปิลก็ถูกหอกแทงตายกลางอากาศ

            พวกหมาป่าหิมะทั้งหมดกระโจนเข้าใส่พวกเขาพร้อมๆ กัน ครั้งนี้พวกมนุษย์ที่ยืนรวมกลุ่มกันอยู่ต้องกระจัดกระจายกันออกไป แม้พวกทหารมนุษย์จะจัดท่าถือโล่ถือหอกอย่างมั่นคง แต่ก็มีบางคนเสียหลักล้มและถูกขย้ำเพราะต้านทานแรงหมาป่าหิมะหลายตัวไม่ไหว พวกมันเป็นสัตว์ที่แข็งแรงมาก กัปตันเท็มเปิลทิ้งหอกและชักดาบขยับโล่ที่สะพายหลังมาถือไว้ คอยเบี่ยงตัวหรือก้มหลบพวกหมาป่าหิมะที่กระโจนไปกระโจนมา อโลบัสยังคงตั้งสติยืนนิ่งอยู่กับที่ฟันแทงหมาป่าหิมะหลายๆ ตัวที่กระโจนมาทางเขาอย่างใจเย็น พวกทหารมนุษย์หลายคนช่วยกันใช้โล่ดันหมาป่าหิมะกดลงพื้นและใช้หอกแทงตาย แต่บางคนก็ถูกหมาป่าหิมะกระโจนเข้าใส่ล้มลงและถูกรุมขย้ำตายเช่นกัน หมาป่าหิมะตัวหนึ่งตะปบกรงเล็บเข้าที่หน้าอกชุดเกราะของอโลบัส มันตะปบไม่เข้าเพราะเกราะทำด้วยเหล็ก จึงถูกอโลบัสแทงสวนกลับ พวกหมาป่าหิมะถูกฆ่าไปเรื่อยจนเหลืออยู่สองสามตัวสุดท้ายซึ่งก็ถูกพวกทหารมนุษย์ใช้โล่ล้อมไว้และรุมแทงหอกจนตาย

          “ด่านแรกก็เริ่มโหดแล้ว” กัปตันเท็มเปิลเก็บดาบไว้ที่เข็มขัด สะพายโล่ไว้ข้างหลัง หยิบหอกของตนขึ้นมา “พวกเราตายไปกี่คนเจ้าชาย”

          “สี่” อโลบัสใช้ผ้าคลุมเช็ดเลือดออกจากดาบ เกราะบางส่วนเลอะเลือดหมาป่าหิมะ“เราต้องไปต่อ”

            พวกเขาก้าวผ่านช่องผนังที่เฮเวนล็อคระเบิดเปิดทางไว้ไปยังอีกห้องหนึ่งที่ถูกปกคลุมด้วยกลุ่มหมอกควันสีขาว เมื่อทุกคนก้าวเข้ามาในห้องครบหมดแล้ว หมอกควันก็จางหายไป ห้องนี้มีขนาดใหญ่พอๆ กับห้องที่แล้ว ที่ผนังฝั่งตรงข้ามก็ถูกระเบิดเปิดทางด้วยฝีมือของเฮเวนล็อคเช่นกัน มีรูปปั้นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่กว่าตัวคนปกติเล็กน้อย ดูคล้ายค้างคาว มีปีก มีหู และขาเหมือนค้างคาว รูปปั้นแต่ละตัวเกาะอยู่ข้างเสาค้ำห้องสิบเสา ทั้งหมดมีสิบตัว พวกทหารทำท่าจะเดินข้ามห้องไปเพราะเห็นว่าเป็นรูปปั้น ไม่น่าจะมีพิษมีภัยอะไรแต่อโลบัสกลับยกมือห้ามไว้

          “นั่นไม่ใช่รูปปั้น” เขาพูดเสียงเบา “นั่นมันพวกการ์กอยล์

          ผิวรูปปั้นแต่ละตัวเริ่มร้าวและแตกกระจายออก รูปปั้นเหล่านั้นกลายเป็นสิ่งมีชีวิต ดวงตาเรืองแสงสีเหลืองทั้งสิบคู่หันมาจ้องพวกเขา พวกมันส่งเสียงคำราม ปีกกว้างๆ กางออก แล้วก็โฉบดิ่งลงมาที่พวกเขาเหมือนค้างคาวล่าเหยื่อกรงเล็บหินคมกริบกางออกเตรียมพิฆาต

          “กระจายกันออกไป” อโลบัสสั่งเรียบๆ ยังใจเย็นทุกสถานการณ์ “รวมกลุ่มเราเสียเปรียบ”

            การ์กอยล์สองตัวโฉบใส่อโลบัสผู้ซึ่งหมอบหลบลงพื้นได้อย่างหวุดหวิดแต่ก็ถูกกรงเล็บหินอันคมกริบตวัดถากๆ หลังไป ผ้าคลุมและชุดเกราะชำรุดเกิดแผลเป็นรอยข่วน กัปตันเท็มเปิลยกหอกขึ้นเตรียมจะแทงการ์กอยล์ตัวหนึ่งจึงถูกการ์กอยล์อีกตัวโฉบกรงเล็บใส่หอกหักสองท่อนไปง่ายๆ เพราะเป็นด้ามไม้ พวกทหารมนุษย์หลายคนยกโล่ขึ้นรับกรงเล็บที่โฉบมาใส่เต็มแรงแต่ก็ต้องเซหงายเพราะขืนแรงปะทะไม่ไหว การ์กอยล์บางตัวถูกหอกแทงตาย บางตัวก็ถูกธนูยิงแต่ไม่ตายเพราะหนังเหนียว อโลบัสอาศัยจังหวะที่การ์กอยล์ตัวหนึ่งโฉบมาใส่จากด้านบนนั้นเอนตัวหงายหลังลงไปกับพื้นหิมะและอาศัยความยาวของดาบแทงขึ้นไปเสียบปลายคางของมันตายสนิท เขาผลักศพการ์กอยล์ออกไปและเบี่ยงตัวหลบอีกตัวที่โฉบลงมาในแนวระนาบกับพื้น มือขวาสะบัดดาบไปฟันคอมันขาดในทันที กัปตันเท็มเปิลยิงธนูใส่ปีกการ์กอยล์ตัวหนึ่งให้มันบินเสียหลัก และถูกทหารมนุษย์ใช้หอกแทงตาย ทหารคนหนึ่งถูกกรงเล็บหินตวัดสังหารจากข้างหลัง อีกคนถูกจับยกขึ้นไปสูงๆ และปล่อยลงมาตาย

            กรงเล็บหินข้างหนึ่งตะปบเข้าที่ไหล่ของกัปตันเท็มเปิลเพื่อที่จะยกเขาขึ้นไปข้างบน มันจิกทะลุเกราะเข้าไปในไหล่ซ้าย เขาถูกยกลอยขึ้นไปเล็กน้อย ก่อนที่อโลบัสจะคว้าดาบจากศพทหารคนหนึ่งขว้างไปเสียบกลางหน้าอกการ์กอยล์ตัวนั้นกัปตันเท็มเปิลถูกปล่อยตัวลงยังไม่ทันจะทำอะไร ก็มีอีกกรงเล็บหนึ่งตะปบที่ไหล่ขวาของอโลบัสและกำลังจะยกขึ้นแต่กัปตันเท็มเปิลก็รีบยิงธนูช่วย สังหารการ์กอยล์ตัวนั้นได้ทัน ตอนนี้ที่ไหล่ของทั้งคู่มีบาดแผลเจาะลึกลงไปเหมือนกัน เลือดซึมเล็กน้อยสำหรับกัปตันเท็มเปิล แต่ของอโลบัสกลับไม่มีเลือดไหลออกมาสักหยด

          “ขอบคุณมากกัปตันเท็มเปิล” อโลบัสพยักหน้าให้ ดูไม่เจ็บไม่ปวดแผลสักนิด

          “เช่นกันเจ้าชาย” กัปตันเท็มเปิลใช้มือซ้ายกดแผล

            ตอนนี้เหลือการ์กอยล์อยู่สองตัวซึ่งตัวหนึ่งมีลูกธนูปักอยู่ที่ปีกขวาทำให้มันบินเซไปมาเล็กน้อย อโลบัสร่อนโล่ของทหารมนุษย์เข้าใส่เต็มเหนี่ยว ทำให้มันต้องบินหลบไปทางขวา การที่ปีกขวาของมันบาดเจ็บอยู่จึงเสียศูนย์บินไปชนผนังถ้ำ กัปตันเท็มเปิลจึงถือโอกาสยิงธนูไปสังหารมันได้ การ์กอยล์ที่เหลืออยู่ตัวเดียวโฉบกรงเล็บลงมาพิฆาตทหารคนหนึ่งตายและโฉบต่อเข้าหาอโลบัส อโลบัสกระโดดหลบไปข้างๆ  ใช้ดาบฟันปีกซ้ายของมันขาดทำให้มันไถลกลิ้งไปกับพื้น ทหารที่อยู่ใกล้ที่สุดวิ่งเข้าไปเอาหอกแทงมันตาย

          “ยังดีที่พวกมันมีอยู่แค่สิบตัว” อโลบัสใช้ดาบตัดผ้าคลุมส่วนที่ขาดห้อยร่องแร่งออก “พวกเราเหลืออยู่กี่คน”

          “สิบห้าคน เจ้าชาย” กัปตันเท็มเปิลนับดู

          “เราถอยไม่ได้” อโลบัสบอก“ทุกคน พักให้หายเหนื่อย แล้วเดินหน้ากันต่อเถิดนะ”

          เมื่อแต่ละคนพักจนหายเหนื่อยแล้ว อโลบัสก็หยิบแผ่นคำสาปขึ้นมา กระชับดาบในมือขวา และก้าวผ่านช่องผนังอีกฝั่งหนึ่งไปโดยมีกัปตันเท็มเปิลและพวกทหารเดินตามหลังไปช้าๆ  เมื่อทุกคนเข้ามาในห้องใหม่กันหมดแล้ว หมอกควันสีขาวแบบเดิมที่ปกคลุมอยู่ทั่วห้องก็เริ่มจางหายไป ห้องที่พวกเขายืนอยู่นี้มีขนาดใหญ่และกว้างมาก มันไม่มีอะไรเลยนอกจากเงาสีดำขนาดมหึมาของสัตว์ปีกขนาดใหญ่ทาบอยู่บนพื้นน้ำแข็ง อโลบัสแหงนหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเงาที่กำลังขยับปีกบินอยู่บนอากาศ

          “มังกรดำ” กัปตันเท็มเปิลตะโกนสุดเสียง “ทุกคน กลับไปที่ห้องเก่า”

            พวกเขารีบพากันโกยอ้าวเผ่นหนีกลับไปอย่างเร็วที่สุด เปลวไฟสีน้ำเงินอุณหภูมิสูงจัดพุ่งลงมาเผาทหารคนหนึ่งที่หนีไม่ทันไหม้เกรียมทั้งชุดเกราะ และทำให้พื้นน้ำแข็งบางส่วนละลายเป็นแอ่งน้ำอโลบัสรีบส่งคนอื่นๆ ให้กลับไปที่ห้องเก่า แล้วตนตามเข้าไปเป็นคนสุดท้าย เบี่ยงตัวหลบเปลวไฟสีน้ำเงินที่พุ่งผ่านช่องตามเข้ามาอย่างหวุดหวิด เสียงคำรามอันเกรี้ยวกราวราวกับฟ้าผ่าของเจ้าสัตว์ร้ายสีดำก้องสะท้อนไปทั่ว

          “ในบรรดาสัตว์ร้ายทั้งหมดทั้งปวง ทำไมเราต้องเจอมันด้วย” กัปตันเท็มเปิลโวยไอควันสีขาวพุ่งออกจากปากทุกครั้งที่หอบหายใจ“ยังดีที่มันไม่ตามเรามาถึงห้องนี้”

          “มันตามแน่ถ้าหาทางเข้ามาได้” อโลบัสเอามือตบผ้าคลุมส่วนที่มีควันขึ้น“หากเฮเวนล็อคไม่ระเบิดช่องกำแพงนี้ไว้เราคงถอยกลับมาที่ห้องนี้ไม่ได้”

          “เออ” กัปตันเท็มเปิลถูรอยไหม้ที่ชุดเกราะ “ขอบคุณเฮเวนล็อค”

          “ฟังนะ เราสามารถผ่านด่านมังกรดำได้โดยไม่ต้องฆ่ามันเพราะเฮเวนล็อคได้ทำช่องให้เราผ่านแล้ว” อโลบัสพูด “ข้าอยากให้พวกท่านวิ่งผ่านมันไปยังอีกห้องเลย กระจายกันออกไป อย่ารวมกลุ่มกัน มันจะได้สับสน อย่าวิ่งเป็นเส้นตรง ให้วิ่งเฉียงไปมา มันจะกะจังหวะพ่นไฟดักหน้าเราไม่ถูก ข้าจะไปเป็นคนแรกเอง แล้วเจอกันอีกห้องหนึ่ง ขอให้รอดไปได้ทุกคน”

            เขาเดินไปหยิบโล่จากศพทหารที่ถูกการ์กอยล์ฆ่ามาถือไว้เก็บดาบลงฝักเพราะยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร ตอนนี้ต้องการแค่โล่สำหรับกำบังรัศมีเปลวไฟ มืออีกข้างถือแผ่นคำสาปแนบอก

          “พร้อมนะ” อโลบัสถาม เมื่อทุกคนพากันไปอออยู่ที่ช่องผนัง “ไป”

            ทุกคนกระจายกัน วิ่งเต็มที่ไปยังช่องผนังฝั่งตรงข้ามสุดฝีเท้า อโลบัสต้องพุ่งตัวหลบไปข้างๆ พร้อมกับยกโล่กำบังร่างไว้เมื่อเปลวไฟพุ่งเป็นสายมาทางเขาและเฉียดไปชายผ้าคลุมลุกติดไฟเล็กน้อย ทหารสองสามคนไม่ว่องไวเท่าเขาจึงถูกเผาเมื่อเจ้ามังกรเปลี่ยนเป้าหมาย มันเริ่มบินสูงขึ้นอีกเพื่อจะได้มองเห็นเป้าหมายกว้างๆ ทุกคนวิ่งเฉียงไปมาตามที่อโลบัสบอก และยกโล่กำบังเปลวไฟที่เฉียดไปเฉียดมาอย่างน่าหวาดเสียว พื้นน้ำแข็งบางจุดถูกเผาละลายเป็นแอ่งน้ำทำให้ทหารบางคนลื่นสะดุดและถูกเผาตาย น้ำที่ถูกเผาด้วยไฟร้อนจัดก็ระเหยเป็นไอ อโลบัสทั้งตีลังกาม้วนตัวและต้องกลิ้งหลายตลบกว่าจะผ่านช่องผนังไปอีกห้องหนึ่งได้ หมอกควันในห้องใหม่บดบังสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขาหมดสิ้น เขาหันกลับไปและเห็นกัปตันเท็มเปิลวิ่งหลบเปลวไฟมาหน้าตั้ง แล้วพุ่งตัวผ่านช่องผนังมาอยู่ข้างๆ เขา หอบแฮ่กๆ อยู่กับพื้นหิมะตามร่างกายมีรอยไหม้หลายแห่ง พู่สีแดงบนยอดหมวกเกราะถูกเผาไม่มีเหลือ ทหารอีกหลายคนวิ่งมาสมทบกับพวกเขาและมีอีกหลายคนยังคงผจญอยู่กับมหันตภัยเปลวไฟอย่างเฉียดเป็นเฉียดตาย หมอกควันในห้องใหม่ยังคงไม่จางหายไปเพราะทุกคนยังผ่านเข้ามาไม่หมด อโลบัสดึงทหารที่วิ่งเข้ามาหาผ่านช่องผนังเข้ามาทีละคนสองคนและก็ต้องเบี่ยงตัวหลบรัศมีเปลวไฟที่มักจะพุ่งเข้ามาด้วย ในที่สุดก็เหลือทหารที่วิ่งหลบเปลวไฟในห้องมังกรดำเพียงคนเดียวเท่านั้น เขาพยายามวิ่งหนีเต็มที่จนล้มลุกคลุกคลาน

          “เร็วเข้าเกือบถึงแล้ว” กัปตันเท็มเปิลตะโกน“ทางนี้--”

            แต่ทหารคนนั้นก็ถูกเปลวไฟเผาเข้าไปเต็มๆ จนแทบจะเหลือแต่กระดูก กัปตันเท็มเปิลที่ยังพูดไม่จบ ต้องอ้าปากค้างไว้อย่างนั้น เมื่อไม่มีบุคคลที่มีชีวิตอยู่ในห้องมังกรดำแล้ว หมอกควันในห้องใหม่ก็เริ่มจางหายไปจนหมด ทุกคนต่างขยับแขนขาเตรียมอาวุธต่อสู้โดยอัตโนมัติทุกครั้งที่หมอกในห้องใหม่จางหายไป พวกเขาก็ต้องพบกับสิ่งไม่พึงประสงค์ทุกที

          แต่หนนี้ห้องนี้กลับว่างเปล่าและค่อนข้างแคบ มีเพียงแอ่งน้ำเล็กๆ บนพื้นน้ำแข็งจำนวนยี่สิบแอ่งเท่านั้น ที่ผนังน้ำแข็งฝั่งตรงข้าม มีช่องที่เฮเวนล็อคเจาะไว้ตามที่คิด เมื่อเจ้ามังกรดำในห้องข้างๆ หยุดคำรามแล้ว ห้องนี้ก็เงียบกริบราวกับป่าช้า

          “ทำไมไม่มีตัวอะไรโผล่มาเล่นงานเราอีกล่ะ” กัปตันเท็มเปิลกระซิบ

          “บางที” อโลบัสวางโล่กับแผ่นคำสาปลง ชักดาบยาวออกมา “แอ่งน้ำพวกนี้ อาจไม่ใช่แอ่งน้ำธรรมดา”

            เขาพูดถูก เมื่อเท้าของเขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว น้ำในแอ่งทั้งยี่สิบแอ่งก็ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างคล้ายร่างคน พวกมันเลื่อนตัวไปที่กองหิมะด้านหลังโกยหิมะออกหยิบดาบที่ทำด้วยน้ำแข็งคมกริบมาตนละเล่ม กัปตันเท็มเปิลรีบดึงลูกธนูออกมาขึ้นสายเล็งทันที

          “นั่นตัวอะไรอีกล่ะ” เขากัดฟันถาม

          “พวกพรายน้ำ” อโลบัสกระซิบ“มันมีปฏิกิริยาต่อการเคลื่อนไหวของเรา หากเราวิ่งหนี มันจะวิ่งไล่ หากเราบุกเข้าไป มันก็จะเข้าปะทะทันที”

            กัปตันเท็มเปิลยิงธนูใส่พรายน้ำตนหนึ่ง ลูกธนูทะลุผ่านไปเฉยๆ เลยเพราะเป้าหมายเป็นน้ำ อโลบัสตั้งสมาธิปล่อยไอน้ำแข็งออกจากปลายดาบเข้าใส่พรายน้ำอีกตนหนึ่งมันกลายเป็นน้ำแข็งอยู่กับที่และแตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆ  แม้พรายน้ำตนนั้นจะถูกกำจัดไปแต่อีกสิบเก้าตนก็ขยับเลื่อนไหลตรงเข้ามาเรื่อยๆ  กัปตันเท็มเปิลและพวกทหารทั้งหมดต้องถอยหลังไปอย่างหมดท่า อาวุธในมือของพวกเขาดูจะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย

          “ทุกคน” อโลบัสพูดช้าๆ “ถอยกลับไปห้องมังกรดำ”

          “ท่านจะให้เรากลับไปถูกย่างหรือไง” กัปตันเท็มเปิลไม่อยากจะเชื่อหู

          “จะเสี่ยงตายเพราะไฟ หรือจะตายกันหมดเพราะน้ำ” อโลบัสพูด “ข้าใช้ความสามารถพิเศษจัดการกับพวกมันทั้งสิบเก้าตนไม่ไหว แต่มังกรดำตัวนั้นทำไหว”

            ทหารทั้งหลายจึงพากันเก็บดาบและยกโล่มาคนละใบด้วยสีหน้าไม่สู้ดี กัปตันเท็มเปิลส่งโล่และแผ่นคำสาปให้อโลบัสที่ค่อยๆ เดินถอยหลังมาสมทบกับทุกคนช้าๆ พวกพรายน้ำเริ่มขยับแขนที่ถือดาบและตรงเข้ามาเร็วขึ้นกว่าเดิม

          “เมื่อข้าบอกให้วิ่ง จงวิ่งให้เต็มที่” อโลบัสพูดเสียงเบา“ทุกคน วิ่ง”

            พวกเขากรูกันผ่านช่องผนังกลับไปยังห้องมังกรดำอีกรอบ พรายน้ำทั้งสิบเก้าตนออกวิ่งตามมาทันที เสียงคำรามของมังกรดำเริ่มดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเปลวไฟบรรลัยกัลป์ที่แผดเผาไปทั่วทิศทั่วทาง มนุษย์ทุกคนยกโล่ปิดหัวและกระจายกันวิ่งวุ่นไปหมดขณะที่พวกพรายน้ำก็ถือดาบไล่ตามพวกเขาไปโดยไม่สนใจอย่างอื่นจนกระทั่งถูกเปลวไฟเผาระเหยหายไปหมดทั้งร่าง พวกมันจึงเริ่มกระจัดกระจายวนไปมา ถึงอย่างไรพวกมันก็เป็นแค่น้ำที่เคลื่อนไหวได้ ไม่ได้มีสมองอะไรมากนัก

          “ทุกคน กลับไปที่ห้องพรายน้ำ” อโลบัสสั่ง วิ่งกลับไปที่ห้องพรายน้ำโดยมีกัปตันเท็มเปิลวิ่งตามไปติดๆ พวกทหารหลายคนวิ่งตามมาสมทบกับพวกเขา อีกหลายๆ คนก็ถูกมังกรดำเล่นงานจนเอาตัวไม่รอด พวกทหารทยอยกันมาทีละคนสองคนแต่ละคนมีแผลถูกไฟลวกทั้งนั้น มีพรายน้ำสองสามตนพยายามจะวิ่งหนีเข้ามาในห้องเดียวกับพวกเขาแต่อโลบัสก็ปล่อยไอน้ำแข็งออกไปกำจัดพวกมันได้ก่อนในครั้งเดียว พรายน้ำอีกหลายตนทำท่าจะหนีตามเข้ามา ไม่รู้ว่าอโลบัสจะสกัดไหวหรือไม่

          “ตั้งกำแพงปิดช่องทางไว้ อย่าให้พวกพรายน้ำผ่านเข้ามาได้” กัปตันเท็มเปิลรีบสั่งการ “จนกว่าพวกมันจะถูกมังกรดำกำจัดหมด”

          “แล้วพวกทหารที่ยังเหลืออยู่ในห้องนั้นอีกสองสามคนล่ะ” อโลบัสถาม“ท่านจะฆ่าพวกเดียวกันไม่ได้นะ”

          “มนุษย์ก็ฆ่าพวกเดียวกันมาตลอด และกลายมาเป็นอาณาจักรโมราโซมอสอันยิ่งใหญ่” กัปตันเท็มเปิลตะคอก “นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาเถียงกัน เราจำเป็นต้องเสียสละพวกเขาเพื่อทำให้พวกเราส่วนใหญ่รอด ทหารทุกคน ปฏิบัติ”  

            แม้อโลบัสจะเป็นเจ้าชาย และเป็นผู้นำภารกิจนี้ แต่สุดท้ายพวกทหารก็เชื่อฟังคำสั่งกัปตันเท็มเปิลมากกว่า เพราะกัปตันเท็มเปิลได้รับอำนาจทางการทหารและการสนับสนุนจากพระราชามากกว่า เป็นอย่างนี้กันทั้งกองทัพ และเป็นอย่างนี้มาตลอด ดังนั้นเมื่อกัปตันเท็มเปิลสั่ง พวกทหารที่เหลือก็เชื่อฟัง ยกโล่ต่อกันปิดช่องผนังไว้สองแถว แถวที่หนึ่งย่อตัวลงต่อโล่กันป้องกันไม่ให้พวกพรายน้ำลอดเข้ามาแถวที่สองยืนขึ้นและต่อโล่ขึ้นไปอีกชั้นให้สูงขึ้นป้องกันไม่ให้พวกพรายน้ำกระโดดข้ามมา อโลบัสและกัปตันเท็มเปิลก้าวเข้าไปยืนมองผ่านช่องระหว่างโล่ที่ต่อกันไม่สนิท สีหน้าของอโลบัสไร้ความรู้สึก แต่มั่นใจว่าเขาคงไม่เห็นด้วยกับการกระทำของกัปตันเท็มเปิล ไม่ว่าจะเรื่องปล่อยให้พวกเดียวกันตาย หรือเรื่องที่วางอำนาจใส่โดยไม่เกรงใจเลยว่าใครเป็นผู้นำภารกิจ แล้วยังพวกทหารที่เชื่อฟังกัปตันเท็มเปิลมากกว่าตน

            มีพรายน้ำหลายตนพยายามจะหนีเข้ามา แต่เมื่อถูกกำแพงโล่ขวางไว้อย่างแน่นหนา พวกมันก็วนไปวนมาเช่นเดิมอย่างไร้สมอง กัปตันเท็มเปิลเบือนหน้าหนีอย่างรู้สึกผิดเมื่อเห็นทหารของตนในห้องมังกรดำถูกไฟเผาตายอย่างหมดทางช่วย แต่ความรู้สึกผิดมันไม่ได้คืนชีวิตให้แก่คนที่ตายไป ส่วนอโลบัสนั้นยืนมองด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ในที่สุดเขาก็เอ่ยด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “ทุกอย่างในห้องนั้นถูกมังกรดำเผาหมดแล้ว ทุกคนสลายแถวได้”  พวกทหารจึงกระจายแถวกันออกไปจากช่องผนังถ้ำ พากันไปนั่งพักเหนื่อยที่กลางห้อง โล่ของพวกเขามีควันโชยด้วยความร้อน ผิวโล่บางใบละลายไปเล็กน้อย อโลบัสเก็บดาบลงฝัก ตามกัปตันเท็มเปิลไปนั่งพักรวมกับพวกทหารทุกคนหายใจหนัก ดื่มน้ำในถุงกันอึกใหญ่ แต่อโลบัสกลับปฏิเสธน้ำ หายใจไม่หนักทั้งที่เพิ่งออกแรงไปมาก ดูเหมือนไม่หายใจอยู่ด้วยซ้ำ

          “พวกเราเหลือกันกี่คนแล้วตอนนี้” เขาถาม

          “เจ็ดคนเท่านั้น” กัปตันเท็มเปิลพึมพำตอบ

          “ถ้าเฮเวนล็อคไม่เจาะช่องผนังไว้ พวกเราก็คงผ่านทั้งด่านมังกรดำและพรายน้ำพวกนี้ไม่ไหว” อโลบัสพูด “เรายังโชคดี”

            กัปตันเท็มเปิลก็อยากจะพูดว่าโชคดีเช่นกันแต่ความรู้สึกของเขามันฟ้องว่าพวกเขาโชคร้ายสุดๆ ที่ต้องมาผจญภัยอันตรายอยู่ในอุโมงค์ต้องคำสาปนี้ แต่ละคนทั้งบาดเจ็บทั้งเหนื่อยและยังวิตกกังวลว่าสิ่งอันตรายที่รออยู่ข้างหน้าจะเป็นอะไร

            เมื่อทุกคนนั่งพักกันจนหายเหนื่อยแล้ว อโลบัสก็ลุกขึ้นยืน กระชับแผ่นคำสาปในมือ ผมสีบลอนด์จางๆ ของเขายุ่งเหยิงและมีรอยไหม้ ทุกคนค่อยๆ ยืนตามเขาหยิบอาวุธทั้งหมดขึ้นมาเตรียมไว้รอรับคำสั่ง แม้ในใจจะไม่ค่อยอยากไปต่อ แต่ก็ไม่มีทางเลือก จะถอยก็ถอยไม่ได้ จะออกจากที่นี่ได้ต้องไปให้สุดทางเท่านั้น

          “ทุกคน” อโลบัสพยักหน้า“ไปกันต่อเถอะ”

            เขานำหน้าไปยังช่องผนังฝั่งตรงข้าม ทุกคนตามไปเงียบๆ และยืนออกันอยู่หน้าห้อง อโลบัสก้าวเดินผ่านช่องเข้าไปในห้องใหม่เป็นคนแรกโดยมีกัปตันเท็มเปิลเดินตามไปเป็นคนที่สองเช่นเดิม พวกเขาทยอยกันเข้าไปในห้องจนกระทั่งคนสุดท้าย หมอกควันสีขาวที่บดบังการมองเห็นของทุกคนเริ่มจางหายไปเกิดความรู้สึกแปลกๆ ว่าพื้นที่พวกเขาเหยียบอยู่นั้นมันแข็งๆ และมีเสียงก็อบแก็บพิกลๆ

            เมื่อหมอกควันสีขาวจางหายไปหมด พวกเขาก็มองเห็นว่าพื้นหิมะที่มีเสียงก็อบแก็บเวลาเหยียบลงไปนั้น แท้จริงแล้วคือมันปะปนไปด้วยโครงกระดูกคนและดาบเหล็กเกลื่อนพื้น ทุกคนสะดุ้งโหยงไปตามๆ กัน นี่มันอะไร ในห้องนี้มีสัตว์ประหลาดตัวมหึมาที่เขมือบคนจำนวนมากจนมีโครงกระดูกเกลื่อนขนาดนี้เลยหรือ แล้วมันอยู่ไหน

          “เตรียมอาวุธพร้อมทำการต่อสู้” อโลบัสพูดเสียงเบา “อาจมีอะไรโผล่มาโจมตีเรา ค่อยๆ ขยับไปที่ช่องผนังฝั่งตรงข้าม ช้าๆ”

            โดยไม่ทันตั้งตัว พวกเขาทั้งหมดก็ต้องหน้าทิ่มหรือหงายหลังล้ม เมื่อโครงกระดูกทั้งหมดที่พวกเขาเดินเหยียบอยู่นั้น เกิดมีชีวิตลุกยืนขึ้นมา พร้อมกับคว้าดาบตนละเล่ม ทหารคนหนึ่งตั้งตัวไม่ทันเพราะเสียหลักล้ม จึงถูกพวกโครงกระดูกที่อยู่รอบตัวรุมแทงตาย อโลบัสและพวกที่เหลือรีบลุกขึ้นยืน ฟันดาบจัดการโครงกระดูกหลายตนที่ถือดาบดาหน้าเข้ามาหา โครงกระดูกทั้งหมดในห้องนี้เริ่มมีชีวิต คว้าดาบ และลุกขึ้นมาตีวงล้อมพวกเขา จำนวนของพวกมันมีมากกว่าหลายเท่า แต่ละตนก็มีอาวุธในมือ

          “หันหลังชนกันไว้” อโลบัสแทงคอหอยโครงกระดูกสองตนล้มลงไป

            มนุษย์ทั้งหกคนต่อสู้ฝ่ามารวมกลุ่มกันและหันหลังชนกันตั้งรับโครงกระดูกที่บุกเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง หอกยาวๆ ถูกโยนทิ้งขณะที่ดาบถูกชักออกมาทำหน้าที่ พวกโครงกระดูกมีจำนวนมากเกินไปและอยู่ในระยะใกล้เกินไปสำหรับการใช้ธนู อาวุธที่เหมาะสมกับสถานการณ์นี้ที่สุดคือดาบกับโล่

          “พยายามอย่าแตกกลุ่มจากกัน” กัปตันเท็มเปิลยกโล่รับคมดาบโครงกระดูกสองตน และฟันดาบสวนกลับไป “รักษารูปแถวไว้”

            อโลบัสปล่อยไอน้ำแข็งออกไปสลายร่างพวกโครงกระดูกได้จำนวนมากเพราะพวกมันยืนอยู่ใกล้กัน เขาเอี้ยวตัวหลบดาบเล่มหนึ่งอย่างฉิวเฉียดและเสียบดาบสวนกลับไปเข้าที่กลางอกของอีกฝ่าย กัปตันเท็มเปิลฟาดโล่เข้าเต็มหน้าโครงกระดูกตัวหนึ่งหัวหลุดออกไป และใช้ดาบตัดคออีกตัวที่ปรี่เข้ามา พวกทหารมนุษย์ต่อสู้อย่างเต็มความสามารถ แม้จำนวนของพวกเขาจะน้อยกว่าแต่อีกฝ่ายก็เป็นแค่โครงกระดูกต้องอาคมพวกมันไม่ได้สวมเกราะ ไม่มีเนื้อหนังยึดกระดูก จึงค่อนข้างเปราะบางร่างโครงกระดูกจำนวนมากล้มลงไปกองเกลื่อนแทบเท้าพวกมนุษย์เป็นวงกลม ดาบของพวกมนุษย์แต่ละเล่มตวัดไปมาเพิ่มจำนวนโครงกระดูกไร้ชีวิตบนพื้นดินไม่หยุดไม่หย่อน

            แต่เนื่องจากจำนวนที่เป็นต่ออย่างมากของพวกโครงกระดูก มนุษย์ทั้งหกที่ถูกรุกเข้ามาอย่างหนักจึงเริ่มจะถูกจับแยกแตกกลุ่ม หนนี้ตัวใครตัวมัน พวกเขาถูกล้อมหน้าล้อมหลังจนต้องหมุนไปหมุนกลับเพื่อต่อสู้ อโลบัสทั้งฟัน แทง เตะ ต่อย คู่ต่อสู้ที่อยู่รอบด้านดาบเล่มหนึ่งเหวี่ยงมาทางคอของเขา ซึ่งแม้เขาจะเอียงหัวหลบได้แต่ก็ถูกปลายดาบเฉือนข้างแก้ม เกิดบาดแผลแต่กลับไม่มีเลือดซักหยด แผลของเขาก็ไม่ได้เป็นสีแดงเสียด้วย กลับเป็นสีใสๆ เขาแทงดาบสวนกลับไปและหมุนตัวฟันคอโครงกระดูกที่ล้อมรอบอยู่ล้มหงายเรียบ อย่างไรก็ตาม โครงกระดูกกลุ่มใหม่ก็เข้ามาล้อมเล่นงานเขาอีก

            กัปตันเท็มเปิลถูกฟันถากไปถากมาขณะต่อสู้ เขาได้รับบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ เต็มตัว ชุดเกราะชำรุดหลายจุด บาดแผลมีเลือดไหล กระนั้นก็ยังต่อสู้กับพวกผีต่อไป อาจอ่อนกำลังจากความเหนื่อยล้าและการบาดเจ็บลงบ้าง แต่ประสิทธิภาพในการต่อสู้ก็ยังดีเหมือนเดิม ทหารมนุษย์ที่เหลือก็เช่นกัน ทางเดียวที่จะมีชีวิตรอด คือต้องเอาชนะกำจัดศัตรูทั้งหมดให้ได้ มันไม่มีการถอยทัพหรือยอมแพ้เหมือนในศึกสงคราม

            ในที่สุด โครงกระดูกทั้งหมดก็ถูกกำจัดเรียบชิ้นส่วนกระดูกแตกๆ พังๆ กระจัดกระจายเกลื่อนพื้นหิมะ ทุกคนนั่งหอบหายใจอย่างอ่อนล้า ดื่มน้ำในถุง ทำแผลพยาบาลตัวเอง ผ้าคลุมของอโลบัสตอนนี้ขาดวิ่นจนดูไม่ได้ ชุดเกราะมีรอยชำรุดเต็มไปหมด บาดแผลมีเยอะ แต่ไม่มีสักแผลที่เลือดไหลออกมา แน่นอนว่าไม่มีใครสังเกต เพราะแต่ละคนต่างก็เหน็ดเหนื่อยและบาดเจ็บ ตอนนี้พวกเขาเหลือกันอยู่แค่สี่คน อโลบัส กัปตันเท็มเปิล และทหารอีกสองคน และยังไม่รู้ว่าข้างหน้าจะมีอะไรต่อ ทหารมนุษย์สองคนที่เหลือนั้นเริ่มรู้สึกผิดที่ตนกระหายอำนาจลาภยศจนต้องมาเผชิญกับอะไรเช่นนี้ แต่จะถอยจะล้มเลิกก็ไม่ได้ ทางเดียวที่จะรอดออกไป คือไปต่อให้สุดทาง

          “เราต้องผ่านอีกกี่ด่าน เจ้าชาย” กัปตันเท็มเปิลถามอย่างเหนื่อยปนท้อแท้

          “เราผ่านมาหลายด่าน คงใกล้ถึงปลายอุโมงค์แล้ว” อโลบัสพูด

            ทุกคนนั่งพักเหนื่อยกันเงียบๆ รอจนเรี่ยวแรงพอกลับมาบ้างแล้วจึงพยักหน้าให้กันลุกขึ้นยืนพร้อมที่จะลุยต่อไป อโลบัสคว้าแผ่นคำสาป เดินนำหน้าทุกคนไปที่ช่องผนัง พวกเขาก้าวผ่านเข้าไปในห้องใหม่ทีละคนๆ จนครบ หมอกควันสีขาวในห้องจางหายไปจนหมดอย่างรวดเร็ว

            ในห้องนี้มีรากไม้สีน้ำตาลแก่ๆ ระโยงระยางเต็มไปหมด พื้นห้องที่ถูกปกคลุมหนาด้วยหิมะก็มีรากไม้ปะปนอยู่เช่นกันกลางห้องมีสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง เป็นรากไม้ที่เกี่ยวพันกันจนเป็นรูปร่างเหมือนตัวคนจำนวนแปดร่าง แต่ละร่างมีไม้กระบองหนามอยู่ในมือขวาและมีแส้ที่เป็นรากไม้หนามแหลมคมในมือซ้าย บนหลังของพวกมันมีสายรากไม้งอกออกมาตนละหกสาย รากไม้เหล่านั้นขยับไปมาได้เหมือนงูและยืดได้หดได้ แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคือเขาที่ตำแหน่งหูทั้งสองข้างมันคล้ายคลึงกับเขาหน่อตะบองเพชรของพวกโฮเซ่

          “พวกนี้มีเชื้อสายโฮเซ่หรือเจ้าชาย” กัปตันเท็มเปิลถามเบาๆ

          “ใช่” อโลบัสพยักหน้า“เป็นเผ่าพันธุ์ที่กำเนิดมาจากพืชเหมือนกัน แต่เป็นเพียงเชื้อสายห่างๆ ชั้นต่ำและไม่ฉลาดเท่าพวกโฮเซ่พวกมันคือพรายรากไม้มักอาศัยอยู่ตามรากต้นตะบองเพชร แต่ดูเหมือนว่าพวกไซคัสจะทำให้พรายรากไม้กลุ่มนี้อันตรายเป็นพิเศษ”

            ทหารคนหนึ่งยิงธนูใส่พรายรากไม้ตนหนึ่งแต่พรายรากไม้ก็ใช้รากเส้นหนึ่งบนหลังหวดลูกธนูออกไปเฉยๆ วินาทีต่อมารากไม้ใต้พื้นหิมะเส้นหนึ่งก็ตวัดรัดขาทหารคนนั้นอย่างแน่นหนาและกระชากเขาล้มลง อโลบัสรีบตัดรากไม้เส้นนั้นด้วยดาบก่อนที่มันจะลากทหารคนนั้นเข้าไปหาไม้กระบองของฝ่ายตรงข้าม พรายรากไม้ทั้งแปดขยับเท้าที่เหมือนรากต้นไม้ก้าวฉับๆ ตรงเข้ามา พร้อมกับกระบองและแส้หนาม อโลบัสปล่อยไอน้ำแข็งพุ่งออกไปโจมตีพรายรากไม้ตนหนึ่ง แต่มันก็หมอบลงกับพื้นได้อย่างรู้ทัน พรายรากไม้ตนที่อยู่ใกล้ที่สุดตวัดรากบนหลังรัดข้อมือที่สวมสนับแขนของเขาและใช้รากอีกเส้นตวัดรัดคอเขาไว้ อโลบัสฟันดาบครั้งเดียวตัดรากเหล่านี้ขาดกระจายด้วยท่าทีเยือกเย็นไม่สำลักหรือหายใจติดขัดสักนิดแม้จะถูกรัดคอ กัปตันเท็มเปิลยกโล่กำบังแส้หนามที่พรายรากไม้ตนหนึ่งหวดใส่เต็มแรง เขาพยายามฟันดาบสวน แต่พรายรากไม้ก็ใช้กระบองหนามรับไว้ได้ รากบนหลังทั้งหกเส้นของพวกพรายรากไม้นั้นสร้างความลำบากให้กับพวกเขาไม่น้อย มันคอยตวัดมารัดแขนรัดคอพวกเขาอยู่เรื่อย รากไม้ที่อยู่ใต้พื้นหิมะก็คอยเลื้อยรัดแข้งรัดขาเช่นกัน

          “ระวังรากไม้ที่พื้นด้วย” อโลบัสยกดาบรับกระบองหนามจากพรายรากไม้คู่ต่อสู้ “มันสามารถขยับได้เหมือนกัน”

            เขาอาศัยจังหวะตอนที่พรายรากไม้ถลำตัวหวดแส้หนามพลาดจากเขาไปนั้น มุดตัวหลบไปด้านข้าง แล้วหันกลับไปฟันตัดหัวพรายรากไม้ตนนั้นฉับเดียวขาด ร่างที่ไร้หัวของมันเอนล้มตึงไปกับพื้นแน่นิ่งไป

          รากไม้บนพื้นสองเส้นตวัดรัดรอบข้อเท้าสองข้างของทหารคนหนึ่งอย่างแน่นหนาทำให้เขาเคลื่อนที่ไม่ได้ แส้หนามเส้นหนึ่งหวดใส่เขาเต็มแรงเขายกโล่ป้องกันได้อย่างเฉียดฉิว แต่ก็มีแส้หนามอีกเส้นหวดเข้าที่หลังเสื้อเกราะอย่างจังเสื้อเกราะชำรุดเป็นรูหนามหลายรูและเกิดบาดแผลฉกรรจ์หลายแผล ทหารคนนั้นลดดาบกับโล่ลงด้วยความเจ็บปวดจึงถูกพรายรากไม้ตนที่อยู่ใกล้ที่สุดฟาดกระบองใส่ตายคาที่ลูกธนูดอกหนึ่งของกัปตันเท็มเปิลพุ่งไปปักกลางหลังพรายรากไม้ตนนั้นมันเซไปข้างหน้าเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่ตายอีกทั้งยังหันมาหวดแส้หนามลงกับพื้นดังเปรี้ยงอย่างขู่ขวัญ

          “ยิงที่หัวของมัน” อโลบัสใช้เท้าเตะด้ามกระบองของพรายรากไม้ตนหนึ่งย้อนกลับไปฟาดหัวมันเองล้มลงไปและใช้ดาบแทงซ้ำ

            ลูกธนูอีกดอกของกัปตันเท็มเปิลพุ่งไปเสียบขมับพรายรากไม้ตนที่อยู่ห่างๆ และยังไม่ทันตั้งตัวตายคาที่ แล้วกัปตันเท็มเปิลก็ถูกรากไม้บนพื้นดึงข้อเท้าให้เสียหลักเปิดโอกาสให้พรายรากไม้ตนที่อยู่ใกล้เขาที่สุดหวดแส้หนามเข้าใส่เสื้อเกราะด้านหลังเต็มเหนี่ยว เขาเสียหลักล้มลง พรายรากไม้อีกสองตนจะเข้ามาเล่นงานซ้ำให้ตาย แต่กลุ่มไอน้ำแข็งของอโลบัสก็พุ่งเข้าจัดการพวกมันทั้งสองแตกละเอียดเป็นน้ำแข็งป่น กัปตันเท็มเปิลใช้ดาบตัดรากไม้ที่รัดรอบข้อเท้าออก และลุกขึ้นพยักหน้าให้อโลบัสอย่างขอบคุณ บาดแผลใหม่หลายแผลที่เกิดจากแส้หนามนั้นเริ่มหลั่งเลือดออกมาอยู่ใต้ชุดเกราะ

            ทหารมนุษย์ที่เหลืออีกคนหนึ่งสามารถฆ่าพรายรากไม้ตนหนึ่งได้ ทำให้เหลือพรายรากไม้อยู่สามตน แต่เขาก็ถูกด้ามกระบองของพรายรากไม้อีกตนกระแทกล้มลงไปกันพื้น ก่อนที่พรายรากไม้ตนนั้นจะทันฟาดกระบองใส่ทหารคนนั้นอีก ดาบของกัปตันเท็มเปิลก็ผ่าหัวมันเป็นสองซีกตายสนิท เขาดึงทหารคนนั้นให้ลุกขึ้นยืนแต่ก็ต้องหมอบหลบกับพื้นเมื่อแส้หนามเส้นหนึ่งตวัดขวับมาหา ทหารคนนั้นหลบไม่ทันถูกแส้หนามหวดเข้าเต็มซอกคอสิ้นใจไปในทันที กัปตันเท็มเปิลลุกขึ้นกระชับดาบกับโล่ในมือเข้าไปต่อสู้กับพรายรากไม้ตนนั้นขณะที่อโลบัสขยับเข้าไปต่อสู้กับพรายรากไม้อีกตนหนึ่ง มันเป็นพรายรากไม้ตนที่ถูกกัปตันเท็มเปิลยิงธนูใส่หลัง ลูกธนูดอกนั้นยังคงปักอยู่บนหลังของมัน

            อโลบัสหมุนตัวหลบแส้หนามที่หวดพลาดลงพื้นจนหิมะกระจาย เขายกดาบขึ้นรับกระบองหนามที่ฟาดลงมา และพุ่งม้วนตัวลอดใต้แขนพรายรากไม้ไปอยู่ข้างหลังมัน ด้วยความรวดเร็ว เขาถอนลูกธนูออกจากหลังมันด้วยมือซ้าย มือขวาใช้ดาบฟันรากไม้บนหลังของมันสองเส้นที่ทำท่าจะตวัดมารัดเขาแล้วปักลูกธนูเข้าที่ท้ายทอยของมันปลิดชีวิตเจ้าพรายรากไม้ตนนั้นทันที แต่เมื่อเขาหันไปจะดูว่ากัปตันเท็มเปิลเป็นอย่างไร พรายรากไม้ที่สู้อยู่กับกัปตันเท็มเปิลก็หันมาหวดแส้เข้าใส่กลางหน้าอกเขาเต็มแรง โชคดีที่ชุดเกราะของเขาแข็งแกร่ง จึงช่วยบรรเทาอันตรายไปได้มาก กัปตันเท็มเปิลถือโอกาสตอนที่เจ้าพรายรากไม้โจมตีอโลบัสนั้นแทงดาบใส่หัวของมัน พรายรากไม้ทั้งแปดตนถูกกำจัดหมดในที่สุด พวกเขาเหลือกันอยู่แค่สองคน บาดเจ็บกันทั้งคู่ด้วย

          “ท่านไปต่อไหวไหมเจ้าชาย” กัปตันเท็มเปิลถาม นั่งพักลงกับพื้นหิมะเย็นๆหาผ้ามารัดแผลที่ขา ถอดหมวดเกราะออก

          “ข้าไม่เป็นไร” อโลบัสพูดเรียบๆ อย่างไร้อารมณ์ เขาไม่นั่งพักเหนื่อยเหมือนกัปตันเท็มเปิล ยืนเฉยอยู่อย่างนั้น และไม่มีทีท่าเจ็บปวดกับแผลของตนแม้แต่น้อย ราวกับเขาไม่มีความรู้สึกใดๆ เลย

            “เหลือกันแค่สองคน” กัปตันเท็มเปิลถอนหายใจ “ท่านว่าเราจะทำสำเร็จไหม”

            “เราถอยหลังไม่ได้ตั้งแต่เข้ามาในอุโมงค์นี้แล้ว” อโลบัสกล่าว “หากเราทำไม่สำเร็จ อย่างน้อยเราก็ถือว่ามาได้ไกลมาก ไกลกว่าที่หลายๆ คนจะฝันถึง”

            เมื่อพักจนหายเหนื่อยแล้ว อโลบัสก็ประคองแขนกัปตันเท็มเปิลให้ลุกขึ้น มืออีกข้างถือแผ่นคำสาปอย่างมั่นคง ก้าวเดินนำผ่านช่องผนังเข้าไปในห้องใหม่ กัปตันเท็มเปิลเดินตามหลังมาทันทีที่พื้นรองเท้าของทั้งสองสัมผัสกับพื้นห้อง หมอกควันสีขาวในห้องก็จางหายไปจนหมดทำให้พวกเขามองเห็นสิ่งรอบตัว

          ห้องนี้เป็นห้องที่ใหญ่โตที่สุดในบรรดาห้องที่พวกเขาพิชิตมาทุกห้อง แต่สภาพห้องกลับเสียหายดูไม่ได้ ผนังห้องที่เป็นน้ำแข็งมีร่องรอยถล่มลงมากับพื้น เพดานด้านบนก็เช่นกัน เสาบางต้นล้ม แต่เดิมคงจะเป็นห้องที่โอ่อ่าสวยงามงาม แต่ตอนนี้มันแทบไม่เหลือเค้าเดิมเลย มีร่องรอยจากการต่อสู้เต็มไปหมด มีซากโครงกระดูกสวมชุดเกราะดำหลายร่างนอนอยู่ที่พื้น เศษอาวุธแตกๆ พังๆ กระจัดกระจาย

            “พวกดาร์คเนสดีวิล” กัปตันเท็มเปิลสำรวจซากร่างใกล้ๆ “คงจะตายมาหลายสิบปีแล้ว”

            “พวกที่ตามมาหยุดยั้งเฮเวนล็อค” อโลบัสเดินสำรวจแต่ละร่าง บางร่างนั้นทั้งชุดเกราะและร่างถูกทำลายเป็นเถ้าถ่านครึ่งตัว

            “ไม่เห็นมีร่างนักรบของฝ่ายเฮเวนล็อคบ้าง” กัปตันเท็มเปิลตั้งข้อสังเกต

            “พวกนั้นไม่ทิ้งซากร่างไว้ ยามตายก็สลายไป” อโลบัสตอบ กวาดตามองไปเรื่อยๆ ห้องนี้กว้างและยาว อีกฟากของห้องไม่มีช่องผนังทะลุ ไม่มีทางให้ไปต่อ ดูเหมือนว่าพวกเขามาถึงสุดอุโมงค์แล้ว มีซากศพร่างสุดท้ายนอนอยู่เกือบจะสุดอุโมงค์ อโลบัสคุกเข่าลงไปดูใกล้ๆ ร่างเหลือแต่โครงกระดูก สวมเกราะเก่าๆ ที่มีร่องรอยเสียหายหนัก ที่คอสวมสร้อยล็อกเก็ตทองแดง มันเป็นสิ่งเดียวที่ยังไม่สึกกร่อนบุบสลายจากการเวลา คงผสมสารที่ช่วยให้คงทนเป็นพิเศษไว้ในโลหะ

            “ซีเมลิล แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” อโลบัสถอดสร้อยออกมาดูใกล้ๆ ล็อกเกตสามารถเปิดได้ เขาจึงลองเปิดดู มีกระดาษเก่าๆ แผ่นเล็กๆ พับอยู่ข้างใน เขาเอาออกมากางอ่าน

            “เขียนว่าอะไรหรือ” กัปตันเท็มเปิลเดินมาใกล้ๆ

            “ก็แค่เป็นบันทึกเตือนความจำผู้สวมนิดๆ หน่อยๆ ไม่มีอะไรสำคัญสำหรับเรา” อโลบัสพับกระดาบเก็บไว้ในล็อกเกตตามเดิม

            “เจ้าชาย ดูนั่นสิ” กัปตันเท็มเปิลมองไปที่สุดอุโมงค์

          อโลบัสมองตามไปมีแท่นสี่เหลี่ยมสีเทาสลักข้อความภาษาดาร์เคนเต็มไปหมด มันถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแข็ง ซึ่งสิ่งที่วางอยู่บนแท่นนั้น คือแท่งกางเขนยาวๆ สีเงินเรียบๆ  ปลายแหลมคม ดูไม่ต่างจากแท่งเหล็กไร้พิษสง แต่ทั้งคู่รู้ว่ามันคืออะไร

          “นี่หรือ ดาบไอซ์แอคเซอร์ ดาบแดนน้ำแข็งแฝดผู้พี่” กัปตันเท็มเปิลกระซิบ บางอย่างในดวงตาของเขาบ่งบอกถึงความกลัวและความไม่ไว้วางใจ

          “ใช่แล้ว” อโลบัสกระซิบตอบ “เราทำสำเร็จแล้วกัปตันเท็มเปิล ตามจริงเราต้องสู้กับผู้เฝ้าดาบเป็นด่านสุดท้าย แต่เฮเวนล็อคช่วยกำจัดให้เราไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ ดาบมันก็อยู่ตรงหน้าเรานี่เอง”

          “เจ้าชาย ข้ารู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับดาบแดนน้ำแข็งเลย” กัปตันเท็มเปิลว่า “ทันทีที่ข้าเห็นมัน ข้ารู้สึกว่ามันเป็นวัตถุที่ต้องคำสาปและเป็นภัย เราต้องหารือกันให้ดีก่อนจะทำอะไรกับมันต่อไป”

          อโลบัสไม่ใส่ใจ เขายกแผ่นคำสาปขึ้นมาในระดับสายตาเริ่มอ่านข้อความภาษาดาร์เคนที่สลักอยู่รอบขอบแผ่นคำสาปอย่างช้าๆ ครั้งนี้เสียงที่ออกจากปากของเขานั้นฟังดูเย็นยะเยือก น่ากลัวชวนให้ขนลุกยิ่งกว่าครั้งไหนๆกัปตันเท็มเปิลจ้องมองเขาราวกับไม่เคยรู้จักมาก่อน ทันทีที่เขาอ่านจนครบ ข้อความที่จารึกอยู่บนแท่นวางดาบก็เปล่งแสงขึ้นมาแผ่นคำสาปในมือของอโลบัสถูกดึงตกลงไปบนพื้นราวกับมีมือล่องหนดึงลงไป

          อโลบัสทำท่าจะก้าวไปใกล้แท่น แต่กัปตันเท็มเปิลหยุดเขาไว้

          “เดี๋ยว”

          อโลบัสหันมามองกัปตันเท็มเปิล อาจจะด้วยเป็นเพราะแสงหรือเงา เบ้าตาของอโลบัสดูเหมือนจะมีเงามืดมาบังจนมองไม่เห็นดวงตา

          “ข้ารู้สึกถึงบางสิ่ง ระหว่างดาบเล่มนี้กับตัวท่าน ซึ่งมันเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่ดีแน่” กัปตันเท็มเปิลพูดเสียงหนัก “เราไม่ควรแตะต้องดาบเล่มนี้”

          “ภารกิจของเราคือปลดปล่อยมัน กัปตันเท็มเปิล” อโลบัสพูดเรียบๆ “พระราชาสั่งไว้ชัดเจน”

          “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้” กัปตันเท็มเปิลสวนกลับ “เขาอนุมัติภารกิจ เพราะถูกท่านกดดัน”

          “แล้วท่านจะปฏิบัติภารกิจมาจนถึงตอนนี้ทำไม ถ้าไม่เห็นด้วยแต่แรก”

          “ในตอนแรก ข้าคิดว่าเป็นหน้าที่ แม้พระราชาจะอนุมัติโดยไม่เต็มใจ แต่พระองค์ก็อนุมัติไปแล้ว ข้าก็ควรปฏิบัติตาม” กัปตันเท็มเปิลพูด “แต่พระองค์ไม่ได้เห็นในสิ่งที่ข้าเห็นตอนนี้ เชื่อว่าพระองค์ต้องไม่อยากให้ท่านเข้าใกล้ดาบเล่มนี้แน่ ท่านจะต้องไม่แตะต้องมัน เจ้าชายอโลบัส นี่คือคำสั่ง”

          “เกรงว่าท่านจะไม่มีอำนาจสั่งการ ข้าเป็นผู้นำภารกิจนี้” อโลบัสพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึกดังเดิม

          “แต่ข้าเป็นผู้บัญชาการกองทัพมนุษย์ และหากข้าทูลพระราชา พระองค์จะฟังข้ามากกว่าฟังท่าน” กัปตันเท็มเปิลเสียงดัง “ดาบเล่มนี้เป็นวัตถุต้องคำสาป มันมีบางสิ่งที่อันตรายมาก เมื่อใดที่มันถูกนำไปที่อาณาจักรโมราโซมอส มันจะนำภัยสู่มนุษยชาติแน่”

          “หนทางของข้า ควรถูกกำหนดด้วยตัวข้าเอง สิ่งที่ข้าทำ ควรเป็นสิ่งที่ข้าเลือกเอง” อโลบัสกล่าว ก้าวขยับเข้าไปใกล้แท่นอีกก้าวหนึ่ง “สิ่งที่ถูกปิดกั้นจองจำมานาน ควรได้รับการปลดปล่อย”

          “หยุด”

          ดาบของกัปตันเท็มเปิลชักออกมาจ่อคออโลบัส ถือเป็นการกระทำที่รุนแรงมาก อโลบัสเป็นถึงเจ้าชาย เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ การกระทำเช่นนี้แสดงถึงความไม่เกรงใจ ไม่ให้เกียรติ ไม่เคารพ และยกตนเหนือกว่า อย่างไรก็ตาม อโลบัสก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมา จริงๆ แล้วเขาไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาด้วยซ้ำ เขาแค่หยุดเดิน หันกลับมาหา โดยยังมีดาบจ่ออยู่ที่คอ

          “ถอยออกมา เจ้าชาย” กัปตันเท็มเปิลขู่

          “ตลอดเวลาที่เรารู้จักกันมา ข้าดำเนินชีวิตภายใต้คำสั่งของท่าน ท่านชื่นชอบการบังคับควบคุมเสมอ แม้ข้าจะเป็นถึงเจ้าชาย ก็ยังต้องทำตามท่านเสมือนผู้ใต้บังคับบัญชา ท่านเป็นมนุษย์ กัปตันเท็มเปิล มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ชอบการบังคับควบคุมผู้อื่น ได้เป็นผู้สั่ง ได้กำหนดการกระทำของผู้อื่น” อโลบัสพูดเรื่อยๆ เหมือนชวนคุย “เป็นเคราะห์กรรมสำหรับผู้ที่ถูกควบคุม การถูกจำกัดอิสระ การถูกควบคุมการกระทำ มันทำให้คนเราเป็นตัวของตัวเองได้ยากยิ่งนัก และการมีชีวิตอยู่โดยไม่เป็นตัวของตัวเอง มันก็ไม่ต่างจากซากศพไร้ชีวิตที่นอนอยู่ทั่วพื้นห้องนี้”

          “ข้าบอกให้ถอยออกมา อโลบัส”

          “การควบคุมด้วยการบีบบังคับและกดขี่ข่มเหง เป็นการกระทำที่รุนแรง” อโลบัสพูดต่อ “เมื่อแรงกดนั้นรุนแรง แรงต้านก็จะรุนแรงเช่นกัน”   

          “ข้าจะไม่พูดอีกรอบแล้วนะ” กัปตันเท็มเปิลตะคอก เสียงสะท้อนไปทั่วอุโมงค์ “ถอยออกมา”

          “หากนั่นคือสิ่งที่ท่านยืนยัน” อโลบัสกล่าว

          ด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ สองมือของอโลบัสคว้าข้อมือข้างที่ถือดาบของกัปตันเท็มเปิลและบิดในท่าปลดอาวุธ ขาข้างหนึ่งเตะเข้าที่ท้องเสื้อเกราะของกัปตันเท็มเปิล กัปตัมเท็มเปิลงอตัวและปล่อยดาบหลุดจากมือ จากนั้นศอกของอโลบัสก็กระแทกใส่ท้ายทอยกัปตันเท็มเปิล กัปตันเท็มเปิลเซล้มไปชนกับแท่นวางดาบ

          ทันใดนั้น ร่างกายของกัปตันเท็มเปิลส่วนที่สัมผัสกับแท่นก็กลายเป็นน้ำแข็ง แล้วลามไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว เขาร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เสียงก้องกังวานไปทั่วอุโมงค์

          “การจะปลดปล่อยดาบแดนน้ำแข็ง จะต้องสังเวยชีวิตหนึ่งชีวิต ด้วยการให้เจ้าของชีวิตนั้นไปสัมผัสแท่นวางดาบ” อโลบัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก “กัปตันเท็มเปิล การบังคับควบคุมของท่าน คงจะสิ้นสุดตรงนี้”

          เสียงของกัปตันเท็มเปิลหยุดลง เมื่อร่างทั้งร่างของเขาเปลี่ยนสภาพเป็นน้ำแข็ง แล้วมันก็แตกเป็นเสี่ยงๆ

          น้ำแข็งที่ห่อหุ้มดาบและแท่นวางดาบก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ เช่นกัน ข้อความภาษาดาร์เคนบนแท่นหยุดเปล่งแสง แล้วค่อยๆ ลบเลือนหายไป จนเหลือแต่แท่นเกลี้ยงๆ

          อโลบัสก้าวไปยังแท่นวางดาบ หยิบดาบขึ้นมาถือ มันหนัก เย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง ดูเป็นแค่แท่งกางเขนธรรมดาที่ไม่มีอะไรพิเศษ แทบจะไม่เรียกว่าดาบด้วยซ้ำ

          จนกระทั่งผ่านไปราวหนึ่งนาที รูปร่างของดาบก็เริ่มเปลี่ยนไปช้าๆ น้ำหนักของมันเบาลงจนเหมือนไม่ได้ทำด้วยโลหะ ความยาวของมันถูกปรับให้เหมาะสมกับความถนัดของอโลบัส เป็นดาบยาวสำหรับใช้ด้วยสองมือ สีของมันเปลี่ยนเป็นสีเงินเงาวับ รูปร่างของมันเริ่มเปลี่ยนให้มีลักษณะของดาบมากขึ้น และมีรายละเอียดปรากฏขึ้นมาทีละอย่าง ท้ายด้ามดาบเป็นรูปมือโครงกระดูกถือหัวกะโหลก ด้ามดาบสลักลายโครงกระดูก กระบังดาบเป็นรูปหัวกะโหลกติดโครงกระดูกปีกนก ซิลเวอร์เดธ ตราสัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์เอลิล ใบดาบนั้นเรียบและคมกริบ ปลายดาบแคบและแหลมเฉียบ มีไอน้ำแข็งโชยออกมา บ่งบอกว่าเป็นใบดาบที่เย็นจัด การที่ดาบอยู่ในมือของอโลบัส ทำให้มีเกล็ดน้ำแข็งปรากฏขึ้นเป็นรายละเอียดเพิ่มเติมบนดาบ มันปรากฏเป็นตาของหัวกะโหลกแต่ละหัว ปรากฏเป็นลวดลายบนใบดาบรูปสายละอองหิมะ ประดับด้วยดาวเกล็ดหิมะ และตัวอักษรดาร์เคนที่สลักจากโคนดาบเรียงลงไปทีละตัวจนถึงกลางดาบ มันสลักเป็นชื่อของดาบเล่มนี้ ไอซ์แอคเซอร์ อโลบัสพลิกดูอีกด้านของดาบ มันเหมือนกันทั้งสองด้าน เขาลองขยับดาบ กวัดแกว่งไปมา ควง และโยนขึ้นรับกลางอากาศ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนัก รูปร่าง หรือรูปลักษณ์ มันเหมาะสมกับเขาที่สุดแล้ว เขาไม่เคยได้สัมผัสอาวุธที่ถนัดมือที่สุดเท่านี้มาก่อนเลย

          แผ่นคำสาปที่ตกอยู่บนพื้นค่อยๆ หลอมละลาย กลายเป็นฝักดาบสีเงิน แกะสลักไปด้วยลายโครงกระดูก มือโครงกระดูก และหัวกะโหลกผสมกันไปอย่างสวยงามและน่าเกรงขาม

          บาดแผลที่อโลบัสได้รับมาจากด่านต่างๆ นั้นผสานกันสนิท ผมที่ยุ่งกระเซิงและมีรอยไหม้นั้นกลับมายาวเรียบตรงอีกครั้ง สิ่งที่เขารู้สึกได้คือดาบกับตัวเขาเชื่อมโยงกันแล้ว ทั้งเขาและดาบต่างถ่ายทอดความเป็นตัวเองให้แก่กัน ถ่ายทอดพลังให้แก่กัน กลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน

          แล้วแท่นวางดาบก็แปรสภาพเป็นน้ำแข็ง และแปรสภาพเป็นบันไดวนทอดยาวขึ้นไปจนสุดเพดาน เพดานเปิดออกเป็นช่องหกเหลี่ยม มีแสงส่องผ่านลงมาอย่างจงใจ มันคือทางออกจากอุโมงค์นั่นเอง อโลบัสเงยหน้ามอง แม้แสงจะส่องลงมาที่ใบหน้า แต่เงามืดก็บดบังดวงตาของเขามิดชิด ราวกับมันเป็นสิ่งที่แสงส่องผ่านไม่ได้

          “การค้นพบตนเอง คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่แท้จริง ความสำเร็จที่ได้มาตอนที่เราเป็นตัวของตัวเองเพียงหนึ่งครั้ง มีค่ามากกว่าความสำเร็จนับพันครั้ง ที่ได้มาตอนที่เราไม่เป็นตัวของตัวเอง”

          เป็นเสียงที่นุ่มนวล เบาหวิวกว่าสายลม เย็นเยียบกว่าน้ำแข็ง สงบนิ่งราบเรียบราวกับผิวน้ำทะเลสาบ และคุ้นหูอโลบัสมาก

          “ท่านเข้ามาในนี้ได้อย่างไร ราซานเซล” อโลบัสถาม แต่ยังดูสงบนิ่งเหมือนเดิม ไม่ตกใจ ไม่วอกแวก ราวกับไม่มีอะไรในดาวดวงนี้สั่นคลอนสติของเขาได้

          “แม้ข้าเป็นเพียงธาตุอากาศ ไม่มีใครสังเกตเห็น แต่ก็ยังมีสมองเป็นสิ่งยืนยันว่าข้าเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง” ราซานเซลตอบ “อุโมงค์แห่งนี้จำกัดให้สิ่งมีชีวิตชั้นสูงเข้ามาได้ยี่สิบห้าชีวิต เมื่อข้าตามหลังท่านเข้ามา มันก็นับข้าเป็นหนึ่งชีวิตด้วย”

            นี่คือเหตุผลว่าทำไมทหารมนุษย์คนที่ยี่สิบห้าถึงถูกทางเข้าอุโมงค์ปิดหนีบ การที่ราซานเซลแฝงเข้ามาก่อน ถือว่ามีคนเข้ามาในอุโมงค์ครบยี่สิบห้าคนพอดี

            “ขอแสดงความยินดี” ราซานเซลพูดต่อ “ดูเหมือนว่าท่านจะค้นพบตนเองสำเร็จแล้ว ข้อข้องใจต่างๆ ที่ท่านสงสัยมาตลอดชีวิต ท่านได้รับคำตอบหมดทุกข้อ ท่านรู้แล้วใช่ไหมว่าแท้จริงแล้ว ท่านคือใคร”

            “ข้าคิดว่าข้ารู้” อโลบัสกระซิบ “แต่เพื่อยืนยันความคิดของข้า โปรดทำให้มันกระจ่างด้วย”

            “หลังจากที่ลินเลนธันเอาชนะไอซ์ครีเอเทอร์ เขาก็ทำลายร่างของไอซ์ครีเอเทอร์จนเหลือแต่ขี้เถ้าใส่โกฏิเก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐานแก่คนรุ่นหลังว่าเขาเป็นผู้กำจัดไอซ์ครีเอเทอร์ แต่เขาหารู้ไม่ขี้เถ้านั่นยังมีพลังงานแฝงอยู่มากมายเมื่อพวกเฟลมฟอร์สเอาชนะพวกไซคัส โกฏิใส่ขี้เถ้าใบนั้นก็หายสาบสูญไป สุดท้าย มันก็ไปตกอยู่กับมนุษย์ครอบครัวหนึ่ง” ราซานเซลเล่า “ครอบครัวนี้มีลูกสาวที่ชื่อว่าไดรแอด มีแววฉลาดและทะเยอทะยานตั้งแต่ยังเล็ก เธอใฝ่ฝันอยากจะเป็นใหญ่เป็นโต เป็นผู้ที่มีคนให้ความเคารพ ร่ำรวยด้วยเงินทอง รายล้อมไปด้วยบริวาร มีชีวิตที่หรูหรา กลายเป็นคนสำคัญที่ผู้คนรู้จักกันทั่ว ต่างจากชีวิตที่เธอเป็นอยู่ทุกวัน แน่ล่ะ มนุษย์ผู้หญิงเกือบทุกคนก็ใฝ่ฝันเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องน่าสมเพชยิ่งนัก ผู้หญิงมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่กระหายความหรูหรามากที่สุด และมันมักจะทำให้พวกเธอกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้สมองที่สุดเสมอ”

            อโลบัสยืนเงียบ ฟังอย่างตั้งใจ

            “อย่างไรก็ตาม ไดรแอดดูมีสติปัญญาดี มีพรสวรรค์และความสนใจเรื่องเคมีมาแต่เล็ก ข้าจึงสื่อสารกับเธอ ยื่นข้อเสนอให้เธอ เธอจะได้ทุกอย่างที่เธอต้องการ ความมั่งคั่ง อำนาจ บริวาร ชื่อเสียง หากว่าเธอให้ความช่วยเหลือแก่ข้า” ราซานเซลเล่าต่อ “เธอตอบตกลง นับแต่นั้น ข้าก็ใช้อำนาจการสื่อสารที่มี คอยถ่ายทอดวิชาความรู้เรื่องเคมีบางส่วนให้เธอ เธอเป็นคนหัวดีและมีความสนอกสนใจเรื่องเคมี ประกอบกับความสามารถในการสอนของข้า เธอจึงเติบโตกลายเป็นนักเคมีที่มีชื่อเสียง ยาหลายตัวที่เธอปรุงขึ้นมานั้นได้รับการยกย่อง พระราชาแห่งโมราโซมอสก็ใช้ยาของเธออยู่บ่อยๆ และนั่น คือจุดเริ่มต้นสำหรับการไขว่คว้าสิ่งที่เธอต้องการ”

            อโลบัสพยักหน้า ให้อีกฝ่ายเล่าต่อ

            “ข้าได้ให้เธอผสมสารพิษชนิดหนึ่งขึ้น นำไปผสมกับยาที่พระราชาชอบให้คนมาซื้อจากเธอบ่อยๆ นั่นทำให้พระราชาล้มป่วยลงโดยไม่มีใครทราบสาเหตุ ไม่ว่าหมอมนุษย์ที่เก่งกาจแค่ไหนก็ไม่อาจวินิจฉัยได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์” ราซานเซลพูด “แล้วโอกาสของไดรแอดก็มาถึง เธออาสาเข้ารักษาพระราชา เตรียมยาถอนพิษให้เขา จากนั้นก็รักษาพระองค์จนหาย พระองค์เข้าใจว่าได้เธอช่วยชีวิตไว้ จึงประกาศให้รางวัลเธอ จะให้เธอทุกอย่าง ไม่ว่าเธอจะขออะไร คงทราบใช่ไหมว่าเธอจะขออะไร”

            “เธอขอเป็นราชินี” อโลบัสตอบ

            “ใช่แล้ว เธอขอแต่งงานกับพระราชา ชายวัยคราวพ่อ แต่มีอำนาจและความมั่งคั่งที่สุดในโมราโซมอส การเป็นราชินีคือสิ่งที่หญิงมนุษย์เกือบทั้งอาณาจักรใฝ่ฝัน เป็นสตรีที่มีอำนาจที่สุด ร่ำรวยที่สุด มีผู้คนให้ความเคารพมากที่สุด อนิจจา มนุษย์เพศหญิงช่างมีภูมิต้านทานต่อวัตถุนิยมต่ำนัก” ราซาเซลกล่าว “พระราชาย่อมไม่อยากแต่งงานกันเธอ รู้กันทั่วในหมู่คนวงในว่าที่พระองค์ดำรงความโสดมาจนแก่ก็เพราะพระองค์เป็นพวกรักร่วมเพศ แต่ในเมื่อพระองค์ให้คำสัญญาไปแล้ว ประกอบกับถูกกดดันในเรื่องการหาทายาทสืบทอดบัลลังก์ คำครหาเรื่องรสนิยมชอบชายหนุ่มของพระองค์ที่นับวันยิ่งแพร่กระจาย พระองค์จึงไม่มีทางเลือก นอกจากยอมแต่งงานกับเธอ แต่งตั้งเธอเป็นราชินี ไดรแอดได้ทุกสิ่งที่เธอต้องการ ขณะที่พระราชาเกลียดชังเธอยิ่งนัก พระองค์ไม่เคยแตะต้องหรือเข้าใกล้เธอเลย พระองค์อยากจะฆ่าเธอเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ทำไม่ได้”

            อโลบัสพยักหน้า

            “เมื่อราชินีไดรแอดได้สิ่งที่เธอต้องการ ก็ถึงเวลาที่เธอจะต้องตอบแทนข้า ข้าให้เธอนำเถ้ากระดูกของไอซ์ครีเอเทอร์ ซึ่งตกทอดจากครอบครัวของเธอมาถึงเธอ นำไปปรุงกับสารเคมีที่ข้าบอกให้เธอผสม ทำให้มันเป็นสารเคมีที่มีพลังงานมหาศาล แล้วให้เธอดื่มมันเข้าไป สิ่งที่เธอดื่มมันเข้าไปนั้นเปลี่ยนเป็นทารกในครรภ์ของเธอ เธอกำลังจะให้กำเนิดบุตร นั่นยิ่งช่วยเสริมฐานะราชินีของเธอให้มั่นคงขึ้นอีก” ราซานเซลพูด “คนในราชสำนักต่างโล่งใจที่จะมีผู้สืบราชบัลลังก์ ยกเว้นพระราชาที่ยิ่งทรงแค้นเคืองเธอมากขึ้นอีก พระองค์รู้ดีว่านั่นไม่ใช่ลูกของพระองค์ เพราะพระองค์ไม่เคยแตะต้องเธอเลย แต่เพื่อรักษาหน้า เพื่อไม่ให้เกิดความปั่นป่วน และเพื่อให้มีผู้สืบราชบัลลังก์ พระองค์จำต้องยอมรับว่านั่นคือลูกของพระองค์”

            อโลบัสพยักหน้าอีกครั้ง

            “เมื่อถึงกำหนดคลอด พระราชินีก็ให้กำเนิดเจ้าชาย เธอตั้งชื่อเขาว่าอโลบัส ภาษาดาร์เคนแปลว่าเศษขี้เถ้าจากน้ำแข็ง” ราซานเซลพูด “แต่ใครจะไปรู้ว่า ความเกลียดชังจากพระราชาที่มีต่อเธอมันมากมายนัก พระองค์มีโอกาสกำจัดเธอแล้ว พระองค์แสร้งทำเป็นไปเยี่ยมเธอ จนกระทั่งเมื่อพระองค์อยู่กับเธอตามลำพัง พระองค์ก็รัดคอเธอจนตาย แล้วโกหกทุกคนว่าเธอตายตอนคลอดลูก พระองค์ห้ามแพทย์คนใดตรวจสอบศพเพื่ออำพรางความผิดของตน โดยอ้างว่าเป็นการไม่เคารพต่อศพของราชินี ดังนั้นจึงมีเพียงข้าที่รู้ว่าเธอตายด้วยน้ำมือของพระองค์ มนุษย์หนอมนุษย์ ช่างเป็นเผ่าพันธุ์ที่ควบคุมสัญชาตญาณอันต่ำช้าได้ยากเสมอ”

            อโลบัสยังคงยืนเฉย ไม่พูดอะไร

            “นั่นคือสาเหตุที่ทำให้พระราชากับท่านมีความสัมพันธ์ที่ห่างเหินกันมาก ส่วนท่านก็เป็นเจ้าชายที่ประหลาดในสายตาของคนอื่น” ราซานเซลว่าต่อ “ยามที่ท่านลืมตาดูโลก ท่านไม่ร้องไห้ ยามเป็นทารกก็ไม่เคยกินนม ยามเด็กก็ไม่ดื้อไม่ซน ชอบเก็บตัวเงียบๆ อาหารก็แทบไม่กินให้ใครเห็น ไม่เข้าสังคมกับเด็กคนไหน แต่สติปัญญาของท่านล้ำเลิศมาก ท่านเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้รวดเร็วอย่างที่ไม่มีมนุษย์คนใดทำได้ ท่านอาจดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา แต่ร่างกายของท่านก็แข็งแรงสมบูรณ์ ไม่เคยป่วยมาทั้งชีวิต ท่านมีพละพลังมากกว่ามนุษย์ทั่วไป ท่านเป็นมิตรกับความหนาวเย็น ท่านสามารถเดินบนผิวหิมะได้เหมือนเผ่าพันธุ์แดนหนาว ท่านไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดสักครั้งในชีวิต ท่านไม่มีเลือด ท่านไม่ต้องหายใจ ท่านเรียนรู้ภาษาดาร์เคนอย่างแตกฉานและใช้มันได้อย่างชำนาญ ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ ท่านพักผ่อนด้วยการยืนอยู่เฉยๆ แทนการนอนหลับ ท่านโกรธ รัก โลภ เศร้า หรือกลัวไม่เป็น ท่านเยือกเย็นไร้อารมณ์ตลอดเวลาท่านรู้แล้วใช่ไหมว่าทั้งหมดนี้ เป็นเพราะอะไร”

            “เป็นเพราะ--” อโลบัสเอ่ยอย่างไร้ความรู้สึก “เป็นเพราะแท้จริงแล้ว ข้ากำเนิดเป็นเอลิล”

            “ท่านกำเนิดจากขี้เถ้าของไอซ์ครีเอเทอร์ ท่านเป็นส่วนหนึ่งของเขา เช่นเดียวกับข้า กัปตันโพรเฟด และผู้มองไกล เขาคือผู้ให้กำเนิดพวกเราโดยตรง” ราซานเซลพูด “มองที่ดาบไอซ์แอคเซอร์ในมือของท่าน อโลบัส ดาบเล่มนี้เสมือนเป็นกระจกสะท้อนตัวตนของผู้ถือดาบ ผู้ถือดาบจะถ่ายทอดความเป็นตัวเองให้แก่ดาบ” น้ำเสียงเย็นเยียบของเขาหนักแน่น อโลบัสมองดาบไอซ์แอคเซอร์ในมือขวา “ในวันนี้ สิ่งที่ถูกปลดปล่อยไม่ได้มีเพียงแค่ดาบ แต่รวมถึงตัวท่าน ที่ถูกจองจำในความเป็นมนุษย์มาช้านาน” แม้เสียงของราซานเซลจะเบาและอ่อน แต่มันฟังดูมีพลังมหาศาล “สิ่งสำคัญคือ ท่านมีสิทธิ์เลือก ไม่ว่าท่านจะเกิดมาเป็นเอลิลหรือเป็นมนุษย์ มันไม่ได้ชี้วัดอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่ชี้วัด คือท่านเลือกที่จะเป็นอะไร ผู้ที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา คือตัวเราเท่านั้น ผู้กำหนดชีวิตของเรา ก็มีเพียงเราอีกเช่นกัน ไม่ว่าเราจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพียงใด มันก็ไม่มีวันยิ่งใหญ่ไปกว่าการที่เราเป็นตัวของตัวเองได้ ฉะนั้น ท่านคนเดียวเท่านั้นที่จะบอกข้าได้ว่าท่านคือใคร อโลบัส ท่าน คือ ใคร”

            อโลบัสยกดาบไอซ์แอคเซอร์ในมือขวาขึ้นมาในระดับสายตา ไอควันเย็นเฉียบโชยออกมาจากใบดาบ ดวงตาของเขาถูกบดบังด้วยเงามืดสนิท ช่วงเวลานี้เขาดูเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างล้นเหลือ ยามใดก็ตามที่เราได้คนพบตัวเองอย่างแท้จริง ยามนั้น คือยามที่เรามีพลังมากที่สุด

            “ข้า คือน้ำแข็ง” อโลบัสกระซิบ แต่ช่างเป็นเสียงกระซิบที่เปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาล “ข้า คือเอลิล”  

            “สิ่งที่เราเลือกจะเป็น” ราซานเซลกล่าว “นั่นคือสิ่งที่เป็นเรา”

            แล้วอโลบัสก็คว้าฝักดาบที่แปรสภาพจากแผ่นคำสาปขึ้นจากพื้น เก็บดาบไอซ์แอคเซอร์ลงฝัก ประกอบฝักดาบไว้กับเข็มขัด แล้วก้าวเดินขึ้นบันไดทางออกอย่างสง่างาม แสงจากด้านบนส่องลงมากระทบกับเส้นผมและชุดเกราะของเขาเป็นประกายวับ เขาไม่ใช่เจ้าชายมนุษย์อีกต่อไป เขาคือเอลิล นี่คือตัวตนที่แท้จริงของเขา เขาได้ค้นพบมันจนเจอในที่สุด ตัวตนที่แท้จริงนั้นอยู่ในตัวเราเสมอและรอคอยให้เราค้นพบ บางคนทำสำเร็จ บางคนก็ทำไม่สำเร็จ แต่สำหรับอโลบัส เขาทำสำเร็จแล้ว

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา