พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.93K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

31) บทที่ 30 ปากกาคมกว่าดาบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 30

ปากกาคมกว่าดาบ

 

            ไมริฟเพิ่งจะแต่งตัวเสร็จ เมื่อโซลิแทร์เคาะและเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารเช้า เขาสวมเกราะ สวมผ้าคลุม และสวมหน้ากากพร้อมปฏิบัติหน้าที่ ดวงตาสีน้ำเงินของเขาเรืองแสงอยู่ใต้เงามืดหมวกฮู้ดอีกเช่นเคย ไมริฟส่งยิ้มให้เขาแล้วหันไปจัดผมต่อในกระจก แต่งตัวสวยทีเดียววันนี้ ความสวยงามกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยการดำรงชีวิตของผู้หญิงแทบทุกคน และเป็นปัจจัยที่สำคัญอันดับต้นๆ เสียด้วย โซลิแทร์วางถาดอาหารลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ ลากเตาผิงเคลื่อนที่ออกมาจากใต้เตียง และใช้มันต้มใบทูมสโตนให้เธอ

            “ท่านเป็นยังไงบ้าง” เขาถามขณะโยนใบทูมสโตนลงในกาต้มน้ำ

            “รู้สึกดีมากเลยหลังจากได้อาบน้ำอุ่นๆ ขอบใจนะที่เตรียมไว้ให้ข้า” ไมริฟหมุนตัวกับกระจก “ตั้งแต่มาที่นี่ ข้าได้อาบน้ำแค่ครั้งเดียว ตอนที่ภูตเงาเอาข้าไปใช่ในอ่างน้ำตอนที่ข้าหมดสติ”

            “จริงหรือ” โซลิแทร์หัวเราะอยู่หลังหน้ากาก

            “ปกติที่กาโกคอลข้าก็อาบทุกวัน แต่ที่นี่มันหนาวแทบแข็งตาย” ไมริฟว่า “แล้วดาร์คเนสดีวิลอาบน้ำทุกวันเลยหรือแม้จะหนาวขนาดนี้”

            “ใช่แล้ว วันละสองครั้ง”

            “ผิวไม่แตกหมดหรือ”

            “ธรรมชาติสร้างปีศาจเราให้ดำรงชีวิตอยู่กับความหนาว ร่างกายเราปรับสภาพกับความหนาวได้ดีที่สุด ถ้าไม่นับพวกเอลิล”

            “ท่านก่อไฟต้มน้ำอุ่นให้ตัวเองทุกวันเลยหรือ”

            “ต้มน้ำอุ่นมันเสียเวลา ข้าอาบมันทั้งเย็นๆ นี่ล่ะ ยอมรับว่ารู้สึกหนาวๆ อยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังดีกว่ามาเสียเวลาก่อไฟรอให้น้ำอุ่น ข้ามีหลายสิ่งต้องทำมากกว่าจะมาเสียเวลาในเรื่องนี้”

            “ท่านต้องล้อข้าเล่นแน่ๆ”

            “ตอนข้าหัดว่ายน้ำ ข้าก็ไปว่ายในทะเลสาบที่ท่านตกลงไป” โซลิแทร์เล่าต่อ “แต่ก็ไปว่ายตอนที่อากาศมันไม่เย็นขนาดนี้นะ ถ้าไปว่ายตอนนี้ก็คงว่ายไม่ได้นานนัก”

            ไมริฟถอยออกจากกระจก ขยับไปที่โต๊ะเขียนหนังสือที่โซลิแทร์วางถาดอาหารไว้ ปลาอีกแล้ว เธอเริ่มรู้สึกเบื่อ ดูเหมือนว่าปลาจะเป็นอาหารหลักของคนที่นี่ มันคงเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาจะพอหามาได้ในช่วงเวลาขาดแคลนอาหารเช่นนี้

            “หวังว่าอาหารจานนี้มันคงไม่ทำลายบรรยากาศยามเช้าของท่านนะ” โซลิแทร์พูดด้วยน้ำเสียงขอโทษขอโพย “ข้าทำอาหารไม่ได้เรื่อง แล้วในฐานทัพนี้ก็มีแต่นักรบ ไม่มีใครทำอาหารเก่งสักคน ปลาย่างคือสิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุดแล้ว ข้าอยากจะหาอะไรที่ดีกว่านี้ให้ท่านกิน แต่ช่วงเวลานี้เสบียงเรากำลังขาดแคลน”

            “อย่ากังวลเลย ข้าไม่ค่อยให้ความสำคัญเรื่องการกินอยู่แล้ว ยังไงข้าก็ต้องควบคุมน้ำหนัก” ไมริฟหยิบชิ้นปลาเข้าปาก พยายามไม่แสดงอาการเบื่ออาหาร โซลิแทร์พูดถูกเรื่องที่เขาทำอาหารไม่ค่อยได้เรื่อง อยู่แต่ในสนามรบก็คงมีนิสัยกินเพื่อแค่ประทังชีวิต แทบไม่ใส่ใจรสชาติอาหารเลย

            “ข้าลืมทุกทีเลยว่าเผ่าพันธุ์ของท่านกินอาหารสามมื้อ” โซลิแทร์พูด

            “แล้วเผ่าพันธุ์ท่านไม่หรือ”

            “เรากินกันสองมื้อ มื้อกลางวันกับมื้อกลางคืน”

            “แล้วมันเพียงพอต่อร่างกายหรือ”

            “ร่างกายของปีศาจจะแตกต่างจากเผ่าพันธุ์อื่น เราไม่ต้องกินอาหารเข้าไปมากเท่าเผ่าพันธุ์อื่นก็ให้พลังงานได้เพียงพอ เราสามารถเปลี่ยนสารอาหารบางตัวให้เป็นสารอาหารอีกชนิดหนึ่งยามที่ร่างกายขาดแคลนได้ คงเป็นวิวัฒนาการของเราที่ปรับตามสภาพความอดอยากของดินแดน” โซลิแทร์รินทูมสโตนใส่แก้วสองใบ ส่งให้เธอใบหนึ่ง “กระนั้น เราก็ยังประสบปัญหาเรื่องอาหารขาดแคลนอยู่ดี มีดาร์คเนสดีวิลมากมายที่มีกินไม่เพียงพอ โดยเฉพาะพวกนักรบ ถ้าหากอยู่ในช่วงทำศึกก็จะอดมื้อกินมื้อเป็นปกติ มีหลายสิ่งที่ต้องทำ เวลาก็มีไม่มาก อาหารก็มีไม่เพียงพอ”

            “คงลำบากน่าดู” ไมริฟเห็นใจ

            “พวกไซคัสสร้างเราไว้ในดินแดนอันแห้งแล้ง ไม่มีอะไรนอกจากแร่และอัญมณีที่เราใช้ประโยชน์ไม่ได้ ขณะที่พวกมนุษย์มีดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ ปลูกอะไรก็ขึ้น แต่กลับบูชาแร่ไร้ค่าเหล่านั้นยิ่งกว่าสิ่งใด” โซลิแทร์ถอดหน้ากากวางไว้ ดื่มทูมสโตนอีกแก้ว “ท่านว่ามันงี่เง่าไหมล่ะ”

            “ก็เพราะพวกท่านไม่ต้องการทองคำและอัญมณี พวกไซคัสถึงสร้างพวกท่านให้เฝ้ารักษามัน” ไมริฟพูด “เพื่อไม่ให้พวกท่านขุดมันขึ้นมาใช้เสียเอง”

          “ฉลาดมาก พวกเกล็ดเลื่อมลิ้นสองแฉก” โซลิแทร์ประชด “คงลืมไปว่าพวกมนุษย์นั้นต้องการทองคำและอัญมณีเป็นที่สุด นั่นทำให้พวกมนุษย์รุกรานเรา บังคับให้เราเป็นอาณานิคม”

          “คนเรามักจะดิ้นรนไขว่คว้าสิ่งที่ตนไม่มีเสมอ” ไมริฟกล่าว “พวกมนุษย์มีอาหารมีความอุดมสมบูรณ์ แต่กลับต้องการทองคำและอัญมณี ขณะที่พวกท่านมีทองคำและอัญมณี แต่กลับต้องการอาหารและความอุดมสมบูรณ์”

          “ดูเหมือนว่าจะมีเพียงเผ่าพันธุ์ของท่าน ที่พอใจในสิ่งที่ตนมี” โซลิแทร์พูด “และนั่นทำให้พวกท่านมีชีวิตที่สงบสุขกันแค่ไหน บางที อาจมีสักวันที่พวกมนุษย์ผู้ซึ่งก้าวหน้ากว่าพวกท่านหลายขุม จะมีความฉลาดในการดำรงชีวิตเทียบเท่าพวกท่านบ้าง”

          ไมริฟยิ้มอย่างพอใจ ยกแก้มทูมสโตนดื่ม ไม่บ่อยนักหรอกที่จะมีใครชมว่าเผ่าพันธุ์ของเธอฉลาด แม้กระทั่งคนในเผ่าพันธุ์เธอเอง โซลิแทร์เป็นคนที่มีมุมมองความคิดแตกต่างจากทุกคนที่เธอเคยพบเจอ เขามักจะมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมักไม่เห็นและคิดในสิ่งที่คนอื่นคิดไม่ถึงเสมอ

          “ท่านอิ่มแล้วหรือ” โซลิแทร์ถามเมื่อเห็นไมริฟหยุดกิน เธอกินปลาไปแค่ครึ่งตัว

          “ข้าพอแล้ว ขอบคุณมาก” ไมริฟดื่มทูมสโตน เธอรู้สึกเอียนกับการกินปลาติดกันทุกมื้อ และไม่ได้มีการปรุงให้มันเอร็ดอร่อยเลย

          “อย่างนั้นข้าขอตัวไปจัดเอกสารในห้องประชุมก่อนนะ” เขาเก็บจานของเธอและเหยือกเปล่าออกไป “อีกสักชั่วโมงท่านค่อยลงไปพบข้าหน้าป้อมปราการดำ มาร์คาร์คงมาถึงตอนนั้นพอดี”

          แล้วเขาก็เปิดประตูออกไปจากห้อง ไมริฟขยับไปที่หน้าต่างกระจก มองออกไปยังท้องฟ้าอันมืดทึบที่มีหิมะบางๆ โปรยปราย จิบทูมสโตนไปพลางๆ  เธอมาอยู่ที่นี่เป็นอาทิตย์แล้ว แม้ฟรอสท์ไอรอนแคลดจะไม่น่าอยู่ สภาพความเป็นอยู่จะไม่สะดวกสบาย แต่พวกดาร์คเนสดีวิลก็ดูแลเธออย่างดีเท่าที่พวกเขาจะทำได้ เธอรู้สึกซาบซึ้ง

          แม้ว่าเธอจะเริ่มคุ้นเคยกับพวกดาร์คเนสดีวิลแล้ว แต่เธอก็เริ่มคิดถึงบ้าน คิดถึงอาณาจักรกาโกคอลของเธอ แอเมน่าและคนอื่นๆ คงเป็นห่วงเธอไม่น้อย พวกวูดส์วาร์เด็นหนุ่มๆ สาวๆ คงรอหัวหน้าของพวกตนกลับไปพร้อมเรื่องเล่าผจญภัยอันน่าตื่นเต้น โซลิแทร์บอกว่าขอเวลาพิจารณาคำขอของเผ่าพันธุ์เธอ นั่นก็คงอีกไม่นานที่เขาจะให้คำตอบ และไม่ว่าคำตอบจะเป็นตกลงหรือไม่ เธอก็จะได้เดินทางกลับเสียที

          เธอเหลือบไปเห็นหน้ากากเหล็กของโซลิแทร์วางอยู่ เขาลืมมันเอาไว้ตอนถอดออกเพื่อดื่มเมื่อสักครู่ เธอพอรู้ว่าหน้ากากคือสิ่งสำคัญของโซลิแทร์ เพราะเขาสวมมันแทบจะตลอดเวลา ควรจะนำไปคืนเขา เธอคว้าหน้ากากเปิดประตูออกไปจากห้อง โซลิแทร์บอกว่าจะไปที่ห้องประชุม เธอรู้ว่ามันอยู่ตรงไหนเพราะเคยเข้าไปแล้ว และก็รู้ด้วยว่าตามทางเดินมีกลไกซ่อนอยู่บางจุด ต้องพยายามเลี่ยงไม่ให้ไปโดน ก่อนหน้านี้เธอก็เคยพลาดไปแตะถูกกลไกหลายตัว ทำเอาวุ่นวายไปหมด ป้อมปราการแห่งนี้ออกแบบสำหรับรับศึกโดยเฉพาะ ไม่แปลกใจเลยหากมันจะมีอาวุธซ่อนอยู่ทุกสามเมตร

          ไมริฟเปิดเข้าไปในห้องประชุม โซลิแทร์ยืนอยู่ที่โต๊ะยาวตัวที่สลักแผนที่ไว้บนผิวโต๊ะ เอกสารหลายแผ่นวางกระจายอยู่บนโต๊ะ มือข้างหนึ่งของเขาถือเอกสารแผ่นหนึ่งอ่าน ส่วนอีกข้างนั้นถือมีดรับประทานปลาที่ไมริฟกินเหลือ

          “ไมริฟ” เขายิ้มทักทาย “อีกหนึ่งนิสัยเสียของข้าน่ะ บางทีก็กินไปทำงานไป ข้ามักจะติดนิสัยต้องหาอะไรมาอ่านขณะกินด้วย น่าจะถือว่าเป็นมารยาทบนโต๊ะอาหารที่ไม่ค่อยดี”

          “ท่าน” ไมริฟอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะพูดอะไร “ทำอะไรอยู่หรือ”

          “ก็จัดการเอกสารนิดหน่อย พร้อมกับกินมื้อเช้า” โซลิแทร์เอามีดจิ้มชิ้นปลาเข้าปาก “จริงๆ จะเรียกว่ามื้อเช้าก็ไม่ถูกนัก นี่มันก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว อย่างที่บอกไป พวกเราที่นี่กินอาหารสองมื้อ มื้อเช้ากับมื้อกลางวันเป็นมื้อเดียวกัน”

          “ท่านกินอาหารเหลือของข้าหรือ” ไมริฟพูดเสียงเบา

          “คืออย่างนี้” โซลิแทร์วางเอกสารลง ยิ้มให้เธอ “ที่ข้าบอกว่าช่วงนี้เราขาดแคลนอาหาร ข้าไม่ได้พูดเกินจริง ความแห้งแล้งจากดวงดาวเสียความสมดุลทำให้หาอาหารยากขึ้น นักรบของเราก็มีจำนวนมากขึ้น เราต้องประหยัดกินประหยัดใช้เสบียงที่มีจำกัด อาหารที่ท่านได้กินนั้น ข้าแบ่งเอาส่วนของข้ามาให้”

          “ข้า” ไมริฟพูดอะไรไม่ออก

          “นี่ อย่าคิดมากเลย” โซลิแทร์พูดสบายๆ เฉือนปลามากินต่อ “แค่นี้ข้าไม่ถือว่าอดอยากหรอก ข้าเคยเจอหนักกว่านี้ตั้งหลายครั้ง เคยถึงขั้นต้องเอาก้างปลาตัวเล็กๆ มาต้มซุปกินด้วยซ้ำ บอกตรงๆ ว่าข้าก็ไม่รู้สึกว่ามันเป็นซุปเท่าไหร่หรอก แต่ถ้าไม่เรียกว่าซุปก็คงไม่รู้จะเรียกว่าอะไร”

          คำพูดของเขาไม่ได้ทำให้ไมริฟรู้สึกดีขึ้นเลย

          “ว่าแต่มีอะไรให้ข้าช่วยหรือ” โซลิแทร์ถาม

          “ท่านลืมหน้ากากเอาไว้” ไมริฟวางหน้ากากลงบนโต๊ะ

          “จริงด้วย ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ! ข้านี่มีปัญหากับความจำจริงๆ” โซลิแทร์ว่า “เป็นอย่างนี้ประจำ ลืมข้าวลืมของ บางทีลืมไว้ตรงไหนก็ยังจำไม่ได้”

          ไมริฟยังคงยืนมองโซลิแทร์และจานปลาของเธอ สีหน้าดูเศร้าสร้อย

          “หากท่านไม่ว่าอะไร ข้าขอจัดการเอกสารต่อนะ” โซลิแทร์ยิ้มให้เธอ เฉือนปลากินอีก

          ไมริฟเดินออกจากห้องประชุม ทั้งรู้สึกผิดและเศร้า ไม่นึกไม่ฝันว่าการดำรงชีวิตของผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลจะน่าสงสารขนาดนี้ ม้าของเธอยังได้กินดีกว่าเขาเสียอีก เมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อนหน้านี้เธอมองจานปลาด้วยความเบื่อหน่าย เบื่อกับอาหารซ้ำๆ ซากๆ เบื่อรสชาติเดิมๆ แต่ไม่เคยตระหนักเลยว่าในขณะที่ตนเบือนหน้าหนีจากอาหารตรงหน้านั้น มีดาร์คเนสดีวิลจำนวนมากมายที่ไม่มีแม้แต่อาหารให้มอง

 

********************

 

            เมื่อถึงเวลา ไมริฟก็ออกไปพบโซลิแทร์นอกป้อมปราการดำ เธอกินหินผิวมังกรเข้าไปแล้วก้อนหนึ่ง จึงแต่งตัวได้ตามสบาย ไม่ต้องสวมขนสัตว์ให้เทอะทะ กัปตันมาซูลกำลังฝึกซ้อมให้พวกนักรบจัดขบวนกันบนกำแพงชั้นที่สามเห็นอยู่ไกลๆ เสียงเกราะโลหะกระทบกันดังกระหึ่มยามที่พวกนั้นขยับตัว ส่วนเซซิลและโซลิแทร์นั้นยืนอยู่หน้าป้อมปราการดำ สวมเกราะติดอาวุธพร้อม กำลังยืนคุยกันอยู่

            “กองกำลังของท็อกซ์ฟ็อกซ์ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น” เซซิลบอก แขนข้างหนึ่งถือหมวกเกราะของตน แขนอีกข้างถือโล่ยาวทรงรีอาวุธประจำกาย ควันสีขาวพุ่งออกจากปากทุกประโยคที่พูด “พวกนั้นพักตั้งค่ายอยู่ที่นั่นเป็นอาทิตย์แล้ว”

            “ท่านรู้ไหม การตั้งค่ายพักไว้นานๆ มันมักจะหมายถึงอะไร” โซลิแทร์พูด ควันสีขาวพุ่งทะลุออกมาจากหน้ากากใต้หมวกฮู้ด “พักกองกำลังให้หายเหนื่อยจากการเดินทาง ให้กองกำลังได้ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย เพื่อให้มีความพร้อมสำหรับสู้รบเต็มที่”

            “ข้าก็พอสังเกตเห็นว่าพวกทหารในค่ายของท็อกซ์ฟ็อกซ์นั้นฝึกซ้อมต่อสู้ทุกวัน” เซซิลว่าต่อ “กองกำลังทั้งหมดของท็อกซ์ฟ็อกซ์ล้วนเป็นทหารติดอาวุธ ไม่ว่าเขาจะเดินทางไกลมาตั้งค่ายแถวนี้ด้วยจุดประสงค์อะไร เขาต้องเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้แน่”

            “แต่เขานำคนมาน้อยเกินไป แค่สามร้อยคน เป็นทหารราบเกราะหนักแทบทั้งหมด นำม้ามาเพียงเพื่อขนข้าวของ” โซลิแทร์ตั้งข้อสงสัย “ถ้าเขาจะต่อสู้ เขาจะเอากองกำลังแค่นั้นไปต่อสู้กับอะไร”

          “แถวนี้ข้าไม่คิดว่าจะมีอะไรให้เขาต่อสู้หรอก” เซซิลกล่าว “นอกจากพวกเรา”

          โซลิแทร์นิ่งเงียบไปอย่างครุ่นคิด

          “ในเมื่อเขาพักกองกำลังให้ปรับตัวมาเป็นอาทิตย์แล้ว ตอนนี้ก็คงจะพร้อมทำการ” เขาประเมิน “ข้าเชื่อว่าในอีกวันสองวันนี้ กองกำลังที่ว่านั่นจะต้องเริ่มเคลื่อนไหวและทำอะไรสักอย่างแน่”

          เซซิลพยักหน้า

          “พวกเอลิลได้แสดงความเคลื่อนไหวอะไรบ้างไหม” โซลิแทร์ถามต่อ

          “เท่าที่ข้าพอทราบนั้น พวกเอลิลเงียบมาก เป็นไปได้หลายกรณี” เซซิลสันนิษฐาน “ทุ่มเทให้กับการผลิตกองทัพ หรืออาจมีแผนเคลื่อนไหวไปทางอาณาจักรโมราโซมอสกับแบร์ร็อค เรื่องนี้ข้าไม่อาจด่วนสรุป แต่สำหรับด้านฝั่งทางเรานั้น พวกเอลิลไม่แสดงการเคลื่อนไหวใดๆ เลย”

          “ราวกับพวกนั้นจงใจไม่ขัดขวางอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นระหว่างเรากับท็อกซ์ฟ็อกซ์” โซลิแทร์ตั้งข้อสังเกต

          “เป็นไปได้” เซซิลพยักหน้า “ฉะนั้น เราควรรอจนทราบว่าท็อกซ์ฟ็อกซ์มีธุระอะไรกับเรา”

          “ท็อกซ์ฟ็อกซ์ไม่ชอบเผ่าพันธุ์เรา” โซลิแทร์ว่า “เป็นใครก็เดาออกว่าไม่ใช่ธุระที่ดีแน่”

          “อีกเรื่องนะท่านลอร์ด” เซซิลหันด้านหลังโล่ให้ดู มันมีหลอดทดลองและขวดเล็กๆ ใส่สารเคมีสีแปลกๆ เต็มไปหมด “ในฐานะที่ข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเคมี ข้าได้ทำการทดสอบน้ำเชื่อมที่พวกฟอเรสเทอร์นำมาเป็นของขวัญให้เราแล้ว จะตรวจสอบว่ามันปลอดภัยที่จะกินหรือเปล่า” เขาหยิบหลอดใส่ของเหลวใสๆ ออกมา มันคือน้ำเชื่อมเกสรดอกไม้ “และข้าตรวจสอบพบว่ามันกินได้”

          “มันกินได้อยู่แล้ว พวกฟอเรสเทอร์กินกันทั้งกาโกคอล ยังไม่มีใครตายสักคน” โซลิแทร์พูด

          “บางอย่างที่พวกนั้นกินได้ เราก็กินไม่ได้ ร่างกายของเราไม่เหมือนกับพวกนั้น” เซซิลส่ายนิ้ว “ร่างกายของฟอเรสเทอร์นั้นมีความต้านทานต่อพิษในป่าเขาสูงมาก พวกนั้นกินเห็ดพิษได้ ไม่ค่อยมีผลต่อการถูกแมลงกัดต่อย ปลอดภัยแม้แต่กับพิษงูบางชนิด ข้าต้องทำให้แน่ใจว่าน้ำเชื่อมชนิดนี้ไม่เป็นพิษต่อร่างกายปีศาจเรา”

          “ก็ถ้ามันเป็นพิษ ป่านนี้ข้าคงตายไปแล้ว” โซลิแทร์บอก “เพราะข้าก็เพิ่งนำมันไปผสมกับทูมสโตนดื่ม รสชาติมันดีมากเลยนะ ท่านน่าจะลองดื่มดู”

          “แล้วไม่บอกข้าก่อนล่ะว่าท่านกินมันเข้าไปแล้ว” เซซิลพูดเซ็งๆ “ให้ข้าเสียเวลาตรวจสอบไปทำไม แล้วท่านไม่มีอาการผิดปกติใช่ไหมหลังจากกินเข้าไป”

          “ข้าก็ยังคงไม่ปกติเป็นปกตินั่นล่ะ” โซลิแทร์ตอบ

          “อย่างไรก็ตาม ข้าได้ค้นพบว่าน้ำเชื่อมนี้สามารถประยุกต์เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่น่าสนใจได้” เซซิลว่าต่อ

          “อะไรหรือ”

          เซซิลถอดสนับแขนโลหะออกมาข้างหนึ่ง ใช้มันตักหิมะสะอาดๆ ขึ้นมา แล้วเทน้ำเชื่อมในขวดราดลงบนหิมะ

          “อร่อยชื่นใจดีนะ” เขานำมีดพกตักหิมะราดน้ำเชื่อมเข้าปาก

          “จริงด้วย” โซลิแทร์ถอดหน้ากากออก ชักกริชออกมาตักกินบ้าง

          “อุ๊ย!” ไมริฟสะดุดกระสอบหนังที่หน้าประตูป้อมปราการ เป็นกระสอบใส่เกล็ดมังกรดำที่เธอนำมามอบให้โซลิแทร์

          “ไวลด์แฟง” โซลิแทร์หันไปมอง เข้าไปช่วยพยุงเธอขึ้นมา “ขอโทษที ข้าวางของไม่เป็นที่เอง”

          “ข้าบอกแล้วไงว่าต้องมีใครสักคนสะดุด ถ้าท่านวางมันไว้อย่างนั้น” เซซิลกลอกตาพึมพำ “ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ! ข้าคิดถูกหรือคิดผิด ที่ให้เจ้าปัญญาอ่อนนี่เป็นผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนล”

          “ท่านกินหินผิวมังกรเข้าไปแล้วใช่ไหม” โซลิแทร์ช่วยปัดหิมะออกจากชุดไมริฟ

          “กินแล้ว ข้าสบายมากเลยตอนนี้” ไมริฟสะบัดเกล็ดหิมะออกจากผมอย่างอารมณ์ดี “นี่ เวลามีท่านอยู่ข้างๆ ข้ารู้สึกว่าตัวเองเตี้ยเป็นบ้าเลย” เธอขยับไปยืนเทียบเขา “เด็กผู้ชายปีศาจสมัยนี้กินอะไรเข้าไปถึงสูงได้สูงดี แล้วนี่ก็คงจะสูงขึ้นได้อีก”

          “ท่านไม่ได้เตี้ยสักหน่อย ดาร์คเนสดีวิลเพศชายก็ตัวสูงกันทั้งนั้น” โซลิแทร์หัวเราะ สวมหน้ากากกลับคืน “อาจมีแค่บางคนที่มีพันธุกรรมแปลกๆ ตัวเตี้ยกว่าทั่วไปบ้าง”

          “ท่านว่าข้ามีพันธุกรรมแปลกๆ หรือ”

          ดาร์คเนสดีวิลตัวล่ำสันคนหนึ่งเดินเข้ามาหาโซลิแทร์พร้อมกับยิ้มให้ เขาสูงพอๆ กับกัปตันมาซูล เทียบตามมาตรฐานชายดาร์คเนสดีวิลทั่วไปถือว่าเตี้ยกว่าปกติ แต่ก็ยังสูงกว่าไมริฟอยู่ดี ผิวของเขาคล้ำกว่าดาร์คเนสดีวิลทั่วไปเล็กน้อย น่าจะเป็นผลจากการยืนอยู่หน้าเตาไฟมานาน แต่ก็ยังถือว่าผิวขาวกว่าเผ่าพันธุ์อื่น ผมสีเงินโลหะของเขาตัดสั้นแค่บ่าและรวบเอาไว้ให้ดูทะมัดทะแมง ลักษณะบ่งบอกถึงความเป็นช่างตีเหล็กชัดเจน แขนข้างหนึ่งของเขาถือห่อผ้าสี่เหลี่ยมอันใหญ่ มีเสียงโลหะกระทบกันอยู่ในนั้น

          “อาร์เรนัส มาร์คาร์ มาถึงเสียที” โซลิแทร์พูดอย่างดีใจ ทำแขนกากบาททักทาย มาร์คาร์ทำตอบกลับเท่าที่จะทำได้เพราะถือของชิ้นใหญ่อยู่ สร้อยโลหะที่มีจี้เป็นรูปนกพิราบแกว่งไกวอยู่ที่คอ

          “นานๆ จะได้มายังเมืองนี้ที ฟรอสท์ไอรอนแคลด เมืองหลวงแบบไม่เป็นทางการของอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล เต็มไปด้วยพวกที่ถืออาวุธหุ้มเกราะทั้งตัวและพวกเพี้ยนๆ ทั้งหลาย” มาร์คาร์ทิ้งห่อผ้าลงพื้น เสียงโลหะกระทบกันดังโครม ทำแขนกากบาททักทายเซซิล “อาจารย์เซซิล”

          “เมืองฟรอสท์ดีวิลเป็นอย่างไรบ้าง” เซซิลทำแขนกากบาทตอบกลับ พยายามไม่ทำหิมะราดน้ำเชื่อมเกสรดอกไม้หก

          “ก็เหมือนกับครั้งสุดท้ายที่พวกท่านไปเยือน” มาร์คาร์ตอบ “เมืองนั้นก็ทำหน้าที่ผลิตอาวุธ ชุดเกราะ เครื่องกลสงคราม และฝึกนักรบส่งมาที่นี่”

          “ไมริฟ นี่คืออาร์เรนัส มาร์คาร์ ช่างตีเหล็กที่เก่งที่สุดของเรา โลหะทุกชิ้นที่ข้าสวมหรือพกพาอยู่ ล้วนเป็นฝีมือของเขา” โซลิแทร์แนะนำ “มาร์คาร์ นี่คือไมริฟ โบรริฟเวอร์ หัวหน้าวูดส์วาร์เด็น”

          “ใช่แล้ว ท่านคือไวลด์แฟง” มาร์คาร์จับมือกับไมริฟ “ดีใจที่วันนี้ข้ามีธุระที่นี่ จึงมีโอกาสได้พบท่าน รู้ไหมครั้งหนึ่งข้าต้องไปทำงานบนเรือของพวกมนุษย์ ข้าภาวนาอยู่ทุกวันให้เรือของพวกมันทุกลำถูกปลวกแทะหรือไม่ก็ถูกเพรียงเกาะจนใช้งานไม่ได้ ข้าจึงยินดีมาก ที่ท่านกับคนของท่านทำให้พวกมนุษย์หาไม้ไปสร้างเรือได้ลำบากขึ้น”

          “ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้นค่ะ” ไมริฟถอนสายบัว

          “ท่านกินอะไรน่ะเดอะ เจสเทอร์” มาร์คาร์หันไปหาเซซิล

          “อร่อย ลองกินดูสิ” เซซิลยื่นน้ำแข็งใสราดน้ำเชื่อมเกสรดอกไม้ให้ชิม

          “อร่อยจริงด้วย” มาร์คาร์พยักหน้าหลังจากลองชิม “ท่านเป็นนักประดิษฐ์ที่สร้างสรรค์มาตั้งแต่ยังเด็กแล้วเซซิล ส่วนใหญ่ท่านจะประดิษฐ์แต่สิ่งอันตราย นานๆ จะเห็นท่านประดิษฐ์สิ่งที่ใช้ฆ่าคนไม่ได้บ้าง”

          “ดูสิว่าใครเป็นคนพูด” เซซิลหัวเราะ “เหล็กแต่ละชิ้นที่ท่านตีขึ้นมามันฆ่าคนไม่ได้เลยนะ”

          “ทินฝากสิ่งนี้มาให้ท่าน” โซลิแทร์ยื่นกำไลข้อมือเหล็กรูปงูให้มาร์คาร์

          “ท่านจะบอกว่างานฝีมือดีขนาดนี้ เป็นผลงานของเด็กอายุสิบแปดปีวัยเก้าขวบอย่างนั้นหรือ” มาร์คาร์รับกำไลไปพิจารณา

          “ถูกต้อง”

          “อีกสักปีสองปีส่งเขามาฝึกงานกับข้า” มาร์คาร์มองกำไลอย่างพอใจ “กำลังต้องการคนมีฝีมืออยู่พอดี เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ! เด็กสมัยนี้เก่งกว่าสมัยของข้าเยอะเลย”

          “นั่นสินะ” โซลิแทร์เห็นด้วย “ข้าพอเล็งเห็นทิศทางว่าในอนาคตคนรุ่นหลังที่มาแทนเราจะเก่งกว่าเรามากขึ้นอีก”

          “ท่านเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขา” มาร์คาร์จับบ่าโซลิแทร์ “ท่านยกเท้าพวกมนุษย์ออกไปจากหัวพวกเขา ทำให้พวกเขามีอิสระทางความคิดและการกระทำ มีความเชื่อมั่นในพลังของตน พวกเขาจึงดึงเอาศักยภาพของตนออกมาใช้อย่างเต็มที่ คนเราจะมีพลังมหาศาลยามได้ทำสิ่งที่ตนถนัด”

          “แต่ข้าและพวกนักรบคงยกเท้าพวกมนุษย์ออกไปไม่สำเร็จ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากท่านและเหล่าช่างตีเหล็กของท่าน” โซลิแทร์โค้งศีรษะ “พวกเราคงจะกลายเป็นเพียงปีศาจไร้กรงเล็บ ไร้ปีก ไร้เขา ไร้หาง ไร้เขี้ยว หากไม่มีพวกท่าน”

          “นั่นล่ะ ย้อนกลับมายังประเด็นที่ข้าต้องเหนื่อยกับการซ่อมชุดเกราะให้ท่านบ่อยๆ” มาร์คาร์เริ่มเอาเรื่อง “ท่านนี่มันเหลือเกินจริงๆ เกราะกี่ชิ้นก็ไม่พอ โดยเฉพาะส่วนที่สำคัญที่สุดอย่างเสื้อเกราะ ข้าทำไว้ให้ท่านตั้งหลายตัว ท่านก็ยังทำมันชำรุดได้ทุกตัว ระยะหลังๆ นี่ขาดชำรุดเต็มไปหมดอย่างกับท่านยื่นตัวไปให้ข้าศึกฟันเล่น”

          “ไม่ได้แก้ตัวนะ แต่เซ็ทซาร์ดเดลิลวาสฝีมือเหนือกว่าข้านี่ เขารู้ว่าทำยังไงถึงจะเอาดาบมาโดนตัวข้าบ่อยๆ ได้” โซลิแทร์งึมงำ “ยังไงก็แล้วแต่ ท่านบอกว่าจะทำเสื้อเกราะพิเศษให้ข้าไม่ใช่หรือ เสื้อเกราะที่จะมีความทนทานกว่าเกราะตัวใดที่ท่านเคยทำ แต่น้ำหนักเบากว่าตัวที่ข้าสวมอยู่ตอนนี้เสียอีก”

          “ก็ในเมื่อท่านสั่งให้ข้าผลิตเกราะเอเลนเซฟเวอรี่และอาวุธสงครามของกองทัพก่อน เสื้อเกราะของท่านจึงยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเสียที” มาร์คาร์ว่า “นี่ยังไม่รวมโครงการรถม้าศึกอากาศอีก ข้าว่าต้องหาเวลาว่างๆ ทำเสื้อเกราะท่านแล้ว ไม่อย่างนั้นท่านอาจตายก่อนได้สวม”

          “ไหนๆ พวกฟอเรสเทอร์ก็มอบสิ่งนี้เป็นของขวัญแก่ข้า” โซลิแทร์ยื่นกระสอบเกล็ดมังกรดำให้มาร์คาร์ “คิดว่ามันจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้ไหม”

          “น่าสนใจมากทีเดียว ของดีเลยนะนี่ ท่านได้มาจำนวนมากเสียด้วย” มาร์คาร์มองเข้าไปในกระสอบ “เกล็ดมังกรดำคือสิ่งที่แข็งแกร่งมาก ถ้าข้าเอาไปประยุกต์กับเสื้อเกราะตัวใหม่ของท่านมันก็คงจะดีไม่น้อย”

          “ต้องขอบคุณน้ำใจของพวกฟอเรสเทอร์” โซลิแทร์เอื้อมมือไปแตะไหล่ไมริฟ “ฉะนั้น ข้าคิดว่าเราควรให้อะไรตอบแทนพวกเขาบ้าง มันคงจะดีหากเราจะทำอาวุธสักชิ้นให้หัวหน้าวูดส์วาร์เด็นของพวกเขา”

          “เข้าท่า” มาร์คาร์ปรบมือชอบใจ “ต่อไปนี้ไวลด์แฟงจะขับไล่พวกมนุษย์จอมตัดไม้ด้วยอาวุธที่ข้าทำขึ้น เท่ากับว่าข้ามีส่วนในการก่อกวนการผลิตเรือของพวกมนุษย์ด้วย”

          ไมริฟยิ้มอย่างตื่นเต้น เธอเคยใช้แต่อาวุธที่ทำด้วยหิน ในวันนี้เธอจะได้อาวุธที่เป็นโลหะแล้ว และคงเป็นโลหะอย่างดีที่หาไม่ได้ในอาณาจักรของเธอ

          “ก่อนที่ข้าจะไปจัดการเรื่องอาวุธของเธอ ข้ามีของมาให้ท่าน” มาร์คาร์แกะห่อผ้าที่ทิ้งลงพื้น

          ในนั้นมีเสื้อนอกแขนกุดสีดำที่ทำด้วยโลหะแข็งๆ บางเฉียบ ลักษณะเหมือนเสื้อนอกตัวที่โซลิแทร์สมทับเสื้อเกราะอยู่ตอนนี้ นั่นคือมีรูปร่างคล้ายปีกเอเลนเซฟเวอรี่มาหุบประสานกันและมีกระเป๋าลับสำหรับเก็บซ่อนอาวุธลับอยู่ตามลายปีก เพียงแต่มันทำด้วยโลหะ มีหลายตัวซ้อนกันอยู่ในห่อผ้า มาร์คาร์หยิบขึ้นมาตัวหนึ่ง

          “เสื้อนอกตัวใหม่ของท่าน ลักษณะเหมือนเดิม แต่มันทำด้วยโลหะ ย่อมแข็งแกร่งกว่าหนังสังเคราะห์ที่ท่านสวมอยู่” มาร์คาร์ยกเสื้อนอกโลหะขึ้นมาเทียบตัวโซลิแทร์ “แน่ล่ะ มันบางเฉียบขนาดนี้จึงไม่ทานทนต่อคมอาวุธนัก แต่ก็ยังทนกว่าหนังอยู่ดี ยังไงมันก็เป็นเสื้อนอก ไม่ได้มีไว้ป้องกันอาวุธ เสื้อเกราะที่ท่านสวมอยู่ใต้มันต่างหากที่ป้องกันคมอาวุธ แต่การที่มีเสื้อนอกเป็นโลหะก็ถือว่าช่วยลดทอนได้อีกชั้นหนึ่งแม้จะไม่มาก อย่างน้อยคนที่จะต่อยลำตัวท่านก็คงเจ็บมือแย่”

          โซลิแทร์รีบถอดหน้ากากกับผ้าคลุมออก เซซิลช่วยถอดเกราะไหล่ทั้งสองข้างและเสื้อนอกตัวเก่า มาร์คาร์สวมเสื้อนอกตัวใหม่ทับเสื้อเกราะให้โซลิแทร์ ลักษณะของมันเหมือนกับตัวเก่าที่ทำด้วยหนังสังเคราะห์ของโซลิแทร์ แต่ดูออกว่าเป็นโลหะ

          “มีช่องเก็บอาวุธลับและช่องใส่ของเหมือนเดิม” มาร์คาร์หยิบเอาใบจักรสองสามใบจากเสื้อนอกตัวเก่ามาใส่ให้ตัวใหม่ “คราวนี้ไม่ต้องกังวลว่าความคมของอาวุธลับจะทำมันฉีกขาดอีกแล้ว แม้เสื้อนอกตัวนี้จะทำด้วยโลหะแข็ง แต่มันก็ออกแบบให้มีความยืดหยุ่นค่อนข้างสูง ลองบิดตัวงอตัวดูสิท่านลอร์ด ไม่ติดขัดอะไรสักนิด ข้ารู้ว่าเครื่องแต่งกายที่ท่านชอบคือชุดที่ทำด้วยโลหะ ซึ่งข้าก็ทำให้ท่านมีโลหะหุ้มตัวเพิ่มอีกหนึ่งแล้ว”

          “มันเบาอย่างกับไม่ใช่โลหะเลย” โซลิแทร์พออกพอใจ เซซิลสวมเกราะไหล่ทับเสื้อนอกกับคืนให้เขา “ข้าสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วว่องไวไม่ต่างจากเดิม”

          “ก็ต้องเบาอยู่แล้ว มันบางแค่นั้นเอง” มาร์คาร์ชี้ไปยังอีกหลายตัวในห่อผ้า “รู้ว่าท่านคงทำมันชำรุดอย่างรวดเร็ว จึงทำมาเผื่อไว้หลายตัว หวังว่าจะหมุนเวียนซ่อมทันนะ”

          “ข้าซาบซึ้งที่ท่านยังอุตส่าห์เจียดเวลามาทำเสื้อนอกให้ข้าได้ ทั้งที่งานล้นมือ” โซลิแทร์โค้งศีรษะให้ ขณะสวมผ้าคลุม ฮู้ด และหน้ากากกลับคืนเหมือนเดิม “ข้าควรจะตระหนักว่าท่านห่วงใยข้าแค่ไหน”

          “เปล่า ข้าห่วงเสื้อเกราะของท่าน ขี้เกียจซ่อมจะตายอยู่แล้ว จึงหวังว่าเสื้อนอกที่ทำด้วยโลหะจะช่วยบรรเทาการชำรุดของมันได้บ้าง”

          มาร์คาร์พูดไปอย่างนั้น ซึ่งความจริงใครก็รู้ว่าเขาไม่สนใจเกราะที่โซลิแทร์ทำพังสักนิด สิ่งเดียวที่เขาห่วงคือความปลอดภัยของโซลิแทร์ ไมริฟอดยิ้มไม่ได้ พวกดาร์คเนสดีวิลก็อย่างนี้ ภายนอกดูแข็งกร้าว มีนิสัยไม่นุ่มนวล หุ้มด้วยเกราะเหล็กกันทั้งตัว แต่จริงๆ แล้วพวกเขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความจริงใจ มีความห่วงใย มีความปรารถนาดีต่อกันไม่ต่างจากเผ่าพันธุ์อื่นๆ

          “ระหว่างที่ข้าตีอาวุธให้ไวลด์แฟง พวกท่านไปทดสอบตัวอย่างเครื่องกลสงครามชนิดใหม่ที่ข้านำมาสิ” มาร์คาร์บอกโซลิแทร์กับเซซิล “ถ้าพวกท่านอนุมัติ ข้าจะได้สั่งให้ผลิตเพิ่มแล้วส่งมาอีก”

          “ตกลง” โซลิแทร์หอบเอาตั้งเสื้อนอกโลหะในห่อผ้าขึ้นมา

          “ไปกันเถอะ” มาร์คาร์ออกเดินนำ

          พวกเขาเดินอ้อมป้อมปราการดำไปสู่พื้นที่ด้านหลัง เป็นพื้นที่กว้างใหญ่ มีที่พักของพวกนักรบดาร์คเนสดีวิลเต็มไปหมด มีเตาหลอมอยู่หลายแห่ง ไกลๆ ออกไปทางขวาเป็นสุสานของบรรดานักรบในอดีตที่พวกดาร์คเนสดีวิลปลูกต้นทูมสโตนไว้ มองเห็นถนน ทะเลสาบกว้างใหญ่ หอสังเกตการณ์บนเนินเขาใกล้ๆ  เครื่องกลที่มาร์คาร์ว่านั้น ตั้งอยู่ในบริเวณที่ใช้ซ้อมยิงหน้าไม้ มันคือเครื่องยิงหอกติดล้อเลื่อน มีรูปลักษณ์เหมือนเอเลนเซฟเวอรี่กางปีก มีสามหัวอ้าปากสำหรับให้บรรจุสิ่งที่จะยิงเข้าไป ซึ่งก็คือหอกสามง่ามที่พวกดีเซ็นทรีใช้กันอยู่

          “เครื่องยิงหอก หรือจะเรียกว่าหน้าไม้ยักษ์ก็แล้วแต่ เอาไว้ต่อสู้กับหน่วยรบข้าศึกทางอากาศ บรรจุได้ทีละสาม ใช้หอกสามง่ามของพวกดีเซ็นทรีเป็นกระสุน ถูกใจพวกท่านดีไหม ใช้ของสิ่งเดียวให้เกิดประโยชน์ได้มากกว่าหนึ่ง สามารถยิงได้พร้อมกันหรือยิงทีละนัดก็ได้” มาร์คาร์อธิบาย “ไม่ต้องมองหาสายของมันหรอกท่านโบรริฟเวอร์ หน้าไม้มีสายมันโบราณเกินไปสำหรับดาร์คเนสดีวิล เราจะใช้สปริงกลเป็นตัวยิง อัตราความแรงและจึงใกล้เคียงกับกระสุนทีเดียว หน้าไม้ยักษ์นี่ก็ไม่ต่างกัน อาจจะพุ่งช้ากว่าหน้าไม้อันเล็กหน่อยเพราะกระสุนมันใหญ่กว่าเยอะ แต่ด้วยความใหญ่ของมันทำให้สามารถเจาะทะลุเกราะของพวกฟาร์ดาราสรวมทั้งโล่ใบใหญ่ๆ หนาๆ ของพวกเอลิลได้สบาย เจาะกำแพงติดล้อทะลุเสียด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าข้าศึกต่อโล่กันตั้งกำแพง เราก็แค่ใช้มันยิงใส่ สลายกลุ่มได้แน่นอน”

          “นี่ล่ะที่ข้าต้องการ” โซลิแทร์ขยับเข้าไปหาเครื่องยิงหอกอย่างพอใจ วางตั้งเสื้อนอกโลหะลง

          “ข้าก็แค่สร้างมันขึ้นมาตามแบบร่าง” มาร์คาร์พูด “ส่วนคนที่ร่างแบบคิดค้นมันขึ้นมาคืออาจารย์เซซิลของท่าน เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัย ความสามารถด้านกลไกและเคมีของเขาน่ายกย่อง”

          “แต่ท่านก็สร้างสิ่งที่ข้าออกแบบมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ” เซซิลชม วนไปรอบๆ เครื่องยิงหอกเพื่อสำรวจมันอย่างละเอียด

          “ท่านคิดแบบ ข้าสร้างมัน เราทำงานร่วมกันเหมือนวันเก่าๆ เพื่อนยาก” มาร์คาร์จับแขนเซซิล

          “อยากทดสอบมันแล้ว” เซซิลท่าทางเหมือนเด็กได้ของเล่น

          “รออะไรอยู่ล่ะ” มาร์คาร์ตบบ่าเซซิลกับโซลิแทร์ “ท่านโบรริฟเวอร์ มาทางนี้ดีกว่า ปล่อยให้พวกเด็กผู้ชายได้เล่นของเล่นชิ้นใหม่กัน”

          เขาพาเธอมาที่เตาหลอมเตาหนึ่ง มีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมทุกอย่าง ก้อนแร่เชื้อเพลิงในเตาหลอมลุกโชนด้วยเปลวไฟสีเขียว

          “ท่านถนัดอาวุธอะไรหรือ” เขาถามเธอ

          “กริชคู่ค่ะ ความยาวประมาณศอกหนึ่งของข้าได้”

          “มีลักษณะโค้งหรือตรง”

          “โค้งค่ะ”

          “ท่านเป็นพวกเลือดพิเศษใช่ไหม”

          “ใช่ค่ะ ธาตุไฟ”

          “มีความสามารถพิเศษอะไรหรือ”

          “ข้าสามารถหลั่งกรดธรรมชาติเข้มข้นออกมาจากร่างกายได้ค่ะ”

          “กรดธรรมชาติอย่างนั้นหรือ”

          “ใช่ค่ะ คล้ายๆ กับกรดของพืชกินแมลงบางชนิด ส่งกลิ่นคล้ายดอกไม้ มันไม่ค่อยมีผลต่อของแข็งๆ แต่มีประสิทธิภาพในการย่อยสลายเนื้อหนังและกระดูกสูงมาก ไม่เป็นมลพิษเพราะเป็นกรดธรรมชาติ บางครั้งข้าก็ใช้มันย่อยสลายซากพืชและซากสัตว์ให้เป็นปุ๋ยเร็วขึ้น”

          “ว้าว ท่านทำให้ข้านึกถึงดอกไม้พิษบางชนิดเลยนะนี่ ดูสวยงามเป็นมิตร แต่อันตรายไม่น้อย”

          “ขอบคุณค่ะ”

          มาร์คาร์หยิบชิ้นโลหะชนิดหนึ่งมาโยนลงในเบ้าหลอมสองสามชิ้น เหยียบเครื่องเป่าลมเร่งไฟในเตา หยิบเอาแม่พิมพ์ออกมาจากชั้นวางข้างเตาหลอม นี่ขนาดเป็นเตาหลอมเล็กๆ ยังมีแม่พิมพ์ตั้งหลากลายชนิด ซึ่งแม่พิมพ์แต่ละอันก็ดูค่อนข้างละเอียด แค่เทโลหะคงไปก็คงกลายเป็นอาวุธได้โดยที่ไม่ต้องตีอะไรมาก

          ไฟสีเขียวที่ร้อนแรงเป็นพิเศษทำให้โลหะละลายเร็ว เมื่อมันเริ่มละลาย มาร์คาร์ก็หยิบซองผงจากชั้นวางมาโปรยลงไปในเบ้าหลอม โลหะเหลวมีประกายและส่งเสียงฟู่ฟ่าเล็กน้อย

          “อาวุธของพวกเลือดพิเศษจะแตกต่างจากอาวุธของคนทั่วไป จะมีพลังงานเชื่อมมันกับผู้ใช้ ทำให้มันมีความคมและแข็งแกร่งกว่าอาวุธทั่วไป บางคนก็สามารถขับเคลื่อนความสามารถพิเศษของตนผ่านอาวุธได้” มาร์คาร์อธิบาย “ฉะนั้น ท่านคงทราบใช่ไหมว่า อาวุธจะต้องมีอะไรก็ตามที่มาจากร่างกายท่านเป็นส่วนประกอบ เส้นผม เลือด เศษเนื้อเศษหนัง น้ำลาย--”

          “เส้นผมนี่ล่ะค่ะ” ไมริฟถอนผมเส้นหนึ่งใส่ลงในเบ้าหลอม ทำให้มันลุกติดไฟขึ้นมาชั่วขณะ โลหะเหลวเปลี่ยนเป็นสีเงินอมเขียว

          “ท่านยังดีที่ไม่เล่นตลกเหมือนท่านลอร์ดแบล็กโฟรเซ็นสตอร์มนะ” มาร์คาร์เร่งไฟ “ตอนที่ข้าหล่อดาบให้เขา เขาสะบัดประกายสายฟ้าเล็กๆ ลงไป ทำเอาเบ้าหลอมข้าแทบระเบิด ข้าโวยวายลั่น เกือบจะเอาค้อนตีเหล็กในมือตีหัวเขาด้วยซ้ำ ส่วนเขาก็หัวเราะแทบเป็นแทบตาย สมเป็นลูกศิษย์เดอะ เจสเทอร์จริงๆ”

          ไมริฟปิดปากหัวเราะ ไม่ไกลออกไปนัก โซลิแทร์กับเซซิลกำลังปรับองศาเครื่องยิงหอก ใช้งานง่ายมาก มันสามารถยิงในแนวต่ำและแนวสูงได้ ทั้งคู่ช่วยกันหมุนเฟืองเพื่อขึ้นสปริง ปีกเอเลนเซฟเวอรี่ที่กางออกของมันค่อยๆ หุบลง บรรจุหอกลงไปในปากเอเลนเซฟเวอรี่ทั้งสาม กลไกการทำงานของมันคล้ายกับเครื่องยิงระเบิดเพลิงปีศาจ ฉะนั้นไม่ต้องเสียเวลาเรียนรู้มาก

          “มีฟอเรสเทอร์ไม่กี่คนหรอกนะ ที่จะมีความสามารถเรื่องการใช้อาวุธระยะประชิด” มาร์คาร์เทโลหะเหลวลงไปในแม่พิมพ์สองอัน ปิดฝา และนำไปซุกในหิมะ หิมะบางส่วนละลายและมีควันโชยออกมาเมื่อสัมผัสความร้อน “ท่านเป็นคนพิเศษมาก ท่านโบรริฟเวอร์”

          “แต่ข้าก็ไม่ได้สู้เก่งอะไรหรอกค่ะหากมาเทียบกับคนเผ่าพันธุ์อื่นที่เชี่ยวชาญอาวุธระยะประชิดจริงๆ” ไมริฟกล่าว “ข้าก็แค่เก่งเฉพาะกับฟอเรสเทอร์ด้วยกันเท่านั้น เพราะฟอเรสเทอร์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความสามารถเรื่องการต่อสู้ระยะประชิด”

          “นั่นยิ่งทำให้ท่านมีความสำคัญ” มาร์คาร์ว่า “ธนูอาจโจมตีข้าศึกได้จากระยะไกล แต่หากถูกประชิดตัว ก็ไร้ทางสู้ไปครึ่งหนึ่ง มีเพียงคนอย่างท่านเท่านั้น ที่จะปกป้องพวกพลธนูจากดาบของข้าศึก”

          “โซลิแทร์พูดถูกค่ะ ฟอเรสเทอร์เรามีหน่วยรบระยะประชิดน้อยเกินไป” ไมริฟหันไปมองโซลิแทร์ “ธนูมันอยู่ในสายเลือดของพวกเรา ทุกคนจึงอยากเป็นนักธนูกันทั้งนั้นเพราะเราเรียนรู้ได้เร็ว ฝึกไม่นานก็เก่ง มีเพียงพวกประหลาดอย่างข้าที่ไม่แตะธนู แต่หันมาจับหอกจับมีดแทน”

          “ท่านรู้ไหม ทำไมท่านลอร์ดมืดแบล็กโฟรเซ็นสตอร์มถึงได้เป็นผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนล” มาร์คาร์ถาม

          “เพราะเขาเป็นดาร์คเนสดีวิลที่พิเศษ” ไมริฟหันไปมองอีกรอบ

          “เพราะเขาประหลาด เหมือนกับท่านนี่ล่ะท่านโบรริฟเวอร์” มาร์คาร์บอก “ดาร์คเนสดีวิลเราเหลือทนกับการถูกมนุษย์กดขี่ข่มเหง เราเบื่อที่จะเป็นคนขี้แพ้ซ้ำๆ ซากๆ เราไม่อยากเป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอและหาจุดยืนของตนไม่ได้อีกแล้ว เราต้องการความเปลี่ยนแปลง เรามีคนเก่งมากมายแต่ก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะคนเก่งไม่ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไร แต่คนที่กล้าจะทำอะไรให้มันแปลกประหลาดแตกต่างไปจากเดิม นั่นต่างหากที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง”

          ไมริฟยิ้มให้มาร์คาร์ โซลิแทร์ที่อยู่ห่างออกไปนั้นดึงคันโยกเครื่องยิงหอก หอกสามง่ามสามเล่มถูกยิงออกไปในมุมสูง มันยิงได้สูงมาก พุ่งไปเร็วมาก และแทบไม่เบนออกนอกทิศทางเลยแม้จะปะทะกับกระแสลม อย่างนี้คำนวณการเล็งและจุดตกไม่ยาก

          “ยอดเยี่ยม” โซลิแทร์ชม “ข้าคิดว่าเราควรมีเครื่องยิงหอกแบบนี้ติดตั้งบนกำแพง สลับกับเครื่องยิงระเบิดเพลิง ตำแหน่งมันเหมาะแก่การตอบโต้ทัพอากาศของศัตรูมาก”

          “และควรมีแบบที่เคลื่อนที่ได้ ไว้สำหรับประจำการด้านหลังกำแพง” เซซิลเสนอ “จะได้ตอบโต้หน่วยรบทางอากาศของข้าศึกที่บินข้ามมาจู่โจมกองกำลังด้านหลังกำแพงของเราด้วย”

          “เข้าท่า” โซลิแทร์สนับสนุน “แม้จะยิงไม่ถูกพวกหน่วยรบทางอากาศ หอกมันก็ลอยข้ามไปโดนพวกข้าศึกหน้ากำแพงอยู่ดี มาร์คาร์ ข้าขออนุมัติโครงการนี้ ผลิตเพิ่มได้เลย แค่ปรับปรุงเครื่องที่จะเอาขึ้นไปบนกำแพงให้มีความเหมาะสมต่อการติดตั้งและยิงได้ไกลกว่าเครื่องปกติ นับจากนี้ กำแพงติดล้อไม่ใช่ปัญหาของเราอีกแล้ว”

           “เด็กผู้ชายกับของเล่นน่ะ อย่าไปใส่ใจเลย” มาร์คาร์หัวเราะ หยิบแม่พิมพ์ทั้งสองออกมาจากหิมะแล้วเปิดออก

          ไมริฟรู้สึกทึ่งที่โลหะเริ่มจับตัวกันเร็วขนาดนี้ ความพิเศษคงจะอยู่ที่แม่พิมพ์ มาร์คาร์ใช้คีมแกะโลหะออกจากแม่พิมพ์ เขากะเวลาได้พอดีมาก มันดูเป็นกริชแล้ว แต่ยังร้อนแดงพร้อมสำหรับการตีให้เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เขาหยิบค้อนเหล็กด้ามสั้นมาตีอาวุธ มือที่ใช้ค้อนของเขาคล่องแคล่วว่องไวเหลือเชื่อ ลักษณะการตีของเขาไม่เหมือนกับช่างตีเหล็กคนไหนเลยบางจุดก็ตีเบา บางจุดก็ตีแรง องศาการจับค้อนก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา บางครั้งเขาก็หยิบสิ่วมาแกะสลักให้เป็นรายละเอียด บางครั้งก็เปลี่ยนไปใช้ค้อนด้ามอื่นที่มีลักษณะแตกต่างจากเดิม บางครั้งก็ใช้อุปกรณ์แปลกๆ ที่ไมริฟไม่เคยเห็นมาก่อน อย่างลูกกลิ้งหรือคีมบีบอัด เขาตีอาวุธขึ้นมาพร้อมกันสองเล่ม สลับตีไปมาอยู่อย่างนั้น

          “แล้วท่านชอบโฟรเซ็นทิเนลไหม” มาร์คาร์ชวนคุยขณะทำงานไปเรื่อยๆ “จริงๆ ก็ไม่น่าถามนะ ที่นี่มีอะไรให้ชอบล่ะ แค่อยู่ก็ลำบากแล้ว”

          “เป็นความจริงค่ะ ที่นี่ทั้งหนาวเย็น แห้งแล้ง อันตราย ไม่สะดวกสบาย แล้วก็พวกเอเลนเซฟเวอรี่” ไมริฟพูด “แต่ข้าซาบซึ้งน้ำใจของดาร์คเนสดีวิลที่นี่มาก พวกเขาดูแลข้าอย่างดีที่สุดเท่าที่จะพอทำได้ ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่า มีแต่คนพูดว่าปีศาจเป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่เป็นมิตรกับใครทั้งสิ้น โดยเฉพาะพวกนักรบ”

          “ไม่อยากให้ท่านผิดหวังหรอกนะ แต่ความจริงแล้วพวกเราก็ไม่ได้เป็นเผ่าพันธุ์ที่ใจดีมีเมตตานัก” มาร์คาร์ไม่ปิดบัง “ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะได้รับการต้อนรับ ก่อนหน้านี้พวกคนแคระจากโอมิลรอนเข้ามาที่นี่ก็ถูกฆ่าเรียบ แล้วเราก็ไม่ยินดีที่จะต้อนรับคนต่างเผ่ามากนัก เราคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจำเป็น”

          “แต่พวกท่านก็ดีกับข้านี่คะ”

          “นั่นเพราะท่านทำตัวน่านับถือ” มาร์คาร์หัวเราะ “เสี่ยงอันตรายเดินทางมายังดินแดนที่ตนไม่คุ้ยเคยเพียงลำพัง ตรงเข้ามาอย่างเปิดเผย เกือบจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่เสียด้วยซ้ำ เราชื่นชมความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของท่าน อีกอย่าง--” เขาลดเสียงลง “รู้แล้วอย่าเอาไปเล่าให้ใครฟังนะ มันอาจกลายเป็นจุดอ่อนของเรา คือท่านคงทราบว่าดาร์คเนสดีวิลเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีเพศชายมากกว่าเพศหญิงถึงสี่เท่า ท่านเป็นผู้หญิงอาจไม่ค่อยเข้าใจ แต่เชื่อข้าเถอะว่า สำหรับเผ่าพันธุ์ที่มีผู้ชายเยอะๆ นั้น ขาดแคลนอะไรมันไม่รู้สึกแย่เท่าขาดแคลนผู้หญิง ฉะนั้นสำหรับเรา ผู้หญิงจึงถือเป็นสิ่งสูงค่าหายาก โดยเฉพาะผู้หญิงสวย ไม่ว่าจะยังไง เราไม่ปล่อยให้ตายหรือลำบากแน่”

          “หมายความว่าข้าสวยหรือคะ” ไมริฟยิ้มเขินๆ

          “ผู้หญิงฟอเรสเทอร์มีคนไหนบ้างที่ไม่สวย” มาร์คาร์ตีเหล็กไปเรื่อยๆ

          “ก็เหมือนกับผู้ชายดาร์คเนสดีวิลล่ะค่ะ ตั้งแต่มาที่นี่ข้ายังไม่เห็นใครที่ไม่หล่อเลย” ไมริฟมองไปรอบๆ “สาวๆ จากเผ่าพันธุ์ของข้าคงแทบจะกลับไปยิงผู้ชายฟอเรสเทอร์ทิ้งหมดถ้าได้มาที่นี่”

          “หลายสิบปีมาแล้วที่เราเคยมีความสัมพันธ์อันดีกับฟอเรสเทอร์” มาร์คาร์เล่า เปลี่ยนมาใช้ค้อนหน้ากว้างๆ เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า “มีฟอเรสเทอร์มากมายแวะเวียนมาที่นี่บ่อยๆ ในบรรดาพวกนั้นก็มีทั้งแม่ของท่านลอร์ดแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม ทั้งอดีตคนรักของอาจารย์เซซิล บ้างก็ตั้งรกรากสร้างครอบครัวที่นี่ บ้างก็แค่แวะเวียนมาเฉยๆ บ้างก็แค่ผ่านมาเพื่อมุ่งหน้าไปยังโมราโซมอส พลเมืองของเราบางพวกจึงมีเชื้อสายฟอเรสเทอร์อยู่บ้าง แต่ในปัจจุบันนี้ข้าแทบมองไม่เห็นความเป็นฟอเรสเทอร์หลงเหลืออยู่ในอาณาจักรนี้อีกแล้ว ฟอเรสเทอร์แท้ๆ นั้น ปัจจุบันคงไม่มีอยู่ในอาณาจักรนี้แล้ว หรือหากมีก็คงมีน้อยมากจนไม่มีใครสังเกตเห็น”

          “น่าเสียดายที่ความสัมพันธ์ของเราทั้งสองเผ่าพันธุ์ไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว” ไมริฟว่า

          “ตั้งแต่เราปฏิวัติเผ่าพันธุ์และอาณาจักร เราก็เก็บตัวเงียบ ไม่ข้องเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ใด นอกจากพวกมนุษย์ในเรื่องสงครามแน่ล่ะ” มาร์คาร์พูดไปตีเหล็กไป “เราทำทุกอย่างให้ตัวเองเข้มแข็ง เราแข็งกร้าวต่อทุกสิ่งเพื่อสร้างเกราะคุ้มกันตนเองไม่ให้ใครเข้ามาคุกคามเราได้อีก แต่เกราะที่ว่านั่นก็ปิดกั้นเราจากมิตรไมตรีที่จะเข้ามาด้วย ยามที่เราอ่อนแอ เราก็ถูกรังเกียจดูถูกเหยียดหยาม ยามที่เราแข็งแกร่ง เราก็ถูกหวาดกลัว นั่นคือสัจธรรมของการเป็นปีศาจ นิทานไม่ได้มาจากเรื่องแต่งเสมอไป ไม่ว่ายังไงผู้อ่านก็จะรู้สึกว่าปีศาจคือฝ่ายตรงข้ามของตนเสมอ”

          ไมริฟนิ่งเงียบอย่างเห็นใจ ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะมันคือความจริง

          “อีกอย่าง ที่ท่านพูดว่าผู้ชายเผ่าพันธุ์ของเราหล่อ นั่นเป็นเพราะท่านยังไม่เห็นตอนพวกเขาเขี้ยวงอกออกมาขณะจับดาบฟันคอศัตรู” มาร์คาร์บอก ไมริฟหัวเราะ

          มาร์คาร์ตีกริชทั้งสองเล่มจนเสร็จซึ่งใช้เวลาเร็วมาก เขาเอาคีมคีบมันจุ่มลงไปในถังน้ำแช่น้ำแข็งเย็นจัด เปลวไฟลุกติดขึ้นมาบนผิวน้ำพร้อมกับไอน้ำโชยขึ้นมา เมื่อนำขึ้นมาจากน้ำ มันก็กลายเป็นกริชโค้งสีเงินอมเขียวสองเล่มที่สวยงามมาก เหมือนกันทั้งสองเล่มจนแยกไม่ออก ความยาวหนึ่งศอกของไมริฟ ใบกริชมีลักษณะคล้ายใบไม้โค้งๆ เรียวยาว กระบังกริชเป็นช่อใบเลี้ยงเล็กๆ และด้ามจับเป็นก้านใบ

          “เผ่าพันธุ์อื่นจะลับอาวุธด้วยการเอาหินไปขูดลดจำนวนมวลของใบอาวุธ นั่นจะทำให้อาวุธเหลือมวลน้อยลงเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ลับ นำไปสู่ความไม่แข็งแรงและการแตกหักในอนาคต” มาร์คาร์เช็ดกริชทั้งสองเล่มให้แห้ง “แต่สำหรับเผ่าพันธุ์เรา จะใช้ความร้อนและรีดขอบอาวุธให้มีความคม ท่านคงจะเห็นว่าทำไมข้าถึงใช้ลูกกลิ้งตอนตีเหล็กด้วย วิธีนี้จะไม่ลดมวลของใบอาวุธ อาวุธจะแข็งแกร่งทนทานและเสียคมยาก” เขาควงกริชทั้งสองขึ้นมาถือ ส่งให้ไมริฟ “เผ่าพันธุ์อื่นมักจะทำด้ามอาวุธแยกกับใบอาวุธ และนำมาประกอบกันทีหลัง นั่นคืออีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้อาวุธไม่ค่อยจะมีความแข็งแรงและขาดความสมดุล จะให้ดี ทุกส่วนของอาวุธควรจะเป็นหนึ่งเดียวกัน แน่ล่ะ มันทำขึ้นมาค่อนข้างยาก จึงไม่ค่อยมีใครทำ แต่ดาร์คเนสดีวิลเราให้ความใส่ใจกับอาวุธของเรา เพราะมันคือสิ่งที่ปกป้องชีวิตเราจากภัยคุกคาม เราจึงใส่ใจทุกรายละเอียดในการสร้างมันขึ้นมา”

          ไมริฟรับกริชมาถือ สัมผัสได้ถึงความเย็นของโลหะ น้ำหนักของมันเบากว่ากริชหินเล่มเก่าของเธอ 

          “ข้าไม่เคยมีอาวุธที่สวยงามเช่นนี้มาก่อนเลยค่ะ” เธอกระซิบ ไล่สายตาไปตามรายละเอียดของมัน “ลักษณะของมันและสีของมันถูกใจข้ามาก ให้ความรู้สึกเหมือนใบไม้เลย”

          “อาวุธเปรียบเสมือนอวัยวะอีกชิ้นของนักรบ มันควรจะมีรูปลักษณ์ที่เหมาะสมกับผู้ใช้ อย่างน้อยยามที่ใช้จะได้รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับมัน” มาร์คาร์กล่าว “ท่านคือไวลด์แฟง คมเขี้ยวของป่า กริชคู่นี้ก็เสมือนเป็นเขี้ยวของท่าน อาวุธที่มีความเป็นหญิง สวยงาม ละเอียดลออ แต่คมกริบและแฝงไปด้วยพลัง”

          ไมริฟควงกริชทดสอบ ขยับตัวหมุนตัวใช้มันฟันแทงอากาศ รู้สึกถนัดมือมาก

          “ว้าว! ท่านไวเหมือนกันนะนี่” มาร์คาร์ชม

          “มันเป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ค่ะ แล้วท่านก็ใช้เวลาสร้างมันแค่นิดเดียว” ไมริฟชอบใจใหญ่ “สมแล้วที่ท่านคือช่างตีเหล็กที่เก่งที่สุด”

          “ขอบคุณๆ” มาร์คาร์หัวเราะ

          “ได้อาวุธใหม่แล้วสินะ ชอบหรือเปล่า” โซลิแทร์เดินเข้ามาทักทาย หลังจากทดสอบเครื่องยิงหอกไปหลายรอบ “วันนี้มีแต่คนชอบผลงานของท่านนะมาร์คาร์ สำหรับเรื่องเครื่องยิงหอก ข้าขออนุมัติโครงการ เชิญท่านดำเนินการผลิตมาเพิ่มอีก และหากว่าท่านต้องการการขนส่งที่เร่งด่วน ข้าจะส่งพวกเอเลนเซฟเวอรี่ไปช่วยเหลือ บอกมาเลยว่าต้องการกี่ตัว”

          “หยุดเลยท่านลอร์ด” มาร์คาร์ชี้หน้า “ครั้งสุดท้ายที่พวกมันขนแร่ดิบไปที่โรงงานข้า พวกมันทิ้งใส่ตรงที่ข้ายืนอยู่พอดี ถ้าข้าไม่หลบป่านนี้ก็คงเป็นศพไปแล้ว ไม่เอาอีกแล้วเอเลนเซฟเวอรี่กับงานขนส่ง ใช้รถม้าเหมือนเดิมนี่แหละ ข้าไม่ได้รีบร้อนขนาดนั้น”

          “ข้าเห็นด้วยกับเขานะ” ไมริฟสนับสนุน “เอเลนเซฟเวอรี่ไม่เหมาะแก่การขนส่ง พวกมันหยาบคายและแข็งกร้าวเกินไป”

          “แต่เรามีพวกมันเป็นสิ่งเดียวที่บินเร็วและแข็งแรงพอจะขนของหนักๆ ได้” โซลิแทร์แก้ตัว “เราก็แค่ทำบรรจุภัณฑ์ให้แข็งแกร่ง ส่วนเรื่องที่พวกมันทิ้งของลงแรงเกินไปนั้น เราก็แค่หลบให้ดีๆ--”

          “มีแต่พวกนักรบเท่านั้นแหละที่เข้ากับพวกเอเลนเซฟเวอรี่ได้ดี ส่วนข้าไม่เอาด้วยแน่” มาร์คาร์เดินไปที่เกวียนเล่นหนึ่ง หยิบของออกมาจากท้ายเกวียน “เกือบลืมไป ข้าปรับปรุงพวกมันเรียบร้อยแล้ว คิดว่าเอามันมาไว้กับท่านที่นี่จะดีกว่า”

          เขาหยิบอาวุธหลายชิ้นมาวางไว้บนโต๊ะข้างๆ ทั่งตีเหล็ก เสียงกระแทกดังๆ บอกให้รู้ว่ามีน้ำหนักไม่น้อย หอกสามง่ามสีดำที่มีใบหอกสีเงิน โล่กลมใบใหญ่สีดำ กลางโล่มีตราสัญลักษณ์รูปดาบสีเงินกับดาบสีบรอนซ์เอียงปลายชนกันเป็นรูปตัว /\ขอบโล่ด้านหนึ่งมีดาบสั้นด้ามสีดำเล่มหนึ่งเก็บอยู่เสมือนใช้โล่เป็นฝักดาบ และคันธนูขนาดสั้นติดโล่กลมใบเล็กๆ มีตราสัญลักษณ์แบบเดียวกันที่กลางโล่

          “โล่ขอบคมและดาบสั้น อาวุธประจำกายของค็อปเปอร์ เมแมคเซอร์” มาร์คาร์ลูบมือบนโล่ใบใหญ่ “หากชักดาบออกมา จะมีใบเหล็กคมกริบโผล่ออกมารอบขอบโล่ ใช้เป็นอาวุธทำร้ายได้ดีพอๆ กับดาบ ข้าปรับปรุงให้มันสามารถหมุนเป็นกงจักรได้ด้วย”

          “ข้าไม่เคยเห็นใครใช้ดาบสั้นกับโล่ได้น่ากลัวเท่าเขามาก่อนเลย” เซซิลพูด “ค็อปเปอร์เป็นคนที่ถนัดมือสองข้างเท่าๆ กัน เขียนหนังสือได้ทั้งสองมือ เวลาต่อสู้เขามักจะสลับมือเปลี่ยนข้างอาวุธไปมา”

          “หอกสามง่ามของซิลเวอร์ และคันธนูของเขา ข้าปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ติดโล่เล็กๆ ให้ มีแกน ให้เขาปรับสายธนูเพื่อเพิ่มหรือลดระยะได้”

          “ซิลเวอร์เป็นคนที่มือไวมาก ท่านไม่มีทางรู้เลยหากเขาจะล้วงกระเป๋าท่านหรือจะโกงท่านเวลาสับไพ่” เซซิลพูด “เขาเปลี่ยนอาวุธได้เร็วมาก ถือหอกอยู่ดีๆ พริบตาเดียวก็เปลี่ยนมาถือธนู สลับไปมาอยู่อย่างนั้นได้เป็นร้อยเป็นพันครั้ง ธนูที่เขาใช้เป็นธนูแบบที่เรียกว่าธนูประจัญบาน คันธนูจะไม่ยาว ระยะยิงไม่ไกลมาก หวังผลระยะใกล้ เน้นที่ความเร็วและความต่อเนื่องในการยิง ใช้ยิงต่อสู้ในจังหวะตะลุมบอนหรือตอนอยู่บนพาหนะ ซิลเวอร์ยิงธนูต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงมาก ว่ากันว่าเขาเคยแกะสลักน้ำแข็งด้วยการยิงธนูทีละดอก”

          “ฟังดูแล้ว แม้แต่ฟอเรสเทอร์อย่างข้ายังรู้สึกทึ่งเลยค่ะ” ไมริฟตาโต

          “พวกเขาคือสุดยอด เก่งที่สุดที่พวกเรามี” มาร์คาร์ถอนหายใจ “แล้วพวกเขาก็เป็นเพื่อนที่ดีด้วย อย่างน้อยก็กับข้า ข้าคิดถึงพวกเขา”

          “ข้าไร้ความสามารถ” โซลิแทร์พูดเสียงเบา “ข้าบอกจะพาพวกเขากลับมา แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว”

          “อย่าโทษตัวเองเลยนะ ท่านพยายามเต็มที่แล้ว” มาร์คาร์จับไหล่โซลิแทร์ “ใครจะไปรู้ว่าเหตุการณ์แบบนั้นจะเกิดขึ้น สิ่งไม่ดีมักจะเกิดกับปีศาจเราเสมอ แล้วเราก็ต้องกระเสือกกระสนมากขึ้น แต่เราก็ยังโชคดีที่มีท่าน ท่านทำให้เราทุกคนเชื่อว่าปีศาจเรามีพลังมหาศาลหากมีความตั้งใจ โชคชะตาจะเลวร้ายแค่ไหน เราก็สู้กับมันได้”

          “ก็ได้แต่หวังว่า” โซลิแทร์ถอนหายใจ “โชคชะตามันจะไม่เลวร้ายไปมากกว่านี้--”

          “ท่านลอร์ด” กัปตันมาซูลขี่ม้าปีศาจมารายงานเร็วๆ “ท็อกซ์ฟ็อกซ์ส่งสัญญาณขอเจรจา ต้องการพบท่านบริเวณตะเข็บชายแดน”

          ทุกคนนิ่งเงียบ ยังพูดเรื่องโชคร้ายไม่ทันขาดคำ

          “ถึงเวลาแล้วสินะ” โซลิแทร์เอ่ยขึ้น “อาจารย์เซซิล กัปตันมาซูล เราไปกันเถอะ มาร์คาร์ ข้าถือโอกาสบอกลาท่านตรงนี้ แล้วพบกันใหม่”

          เอเลนเซฟเวอรี่สีดำพาหนะของโซลิแทร์บินลงมาจอดข้างหน้า มาร์คาร์ทำแขนกากบาทให้โซลิแทร์ สีหน้าเป็นกังวล โซลิแทร์ทำแขนตอบกลับแล้วปีนขึ้นหลังพาหนะ บินหายขึ้นไปบนฟ้า เซซิลตรงไปหารถม้าของตน แล้วขับตามกัปตันมาซูลออกไปทันที

          “รู้สึกใจไม่ดียังไงก็ไม่รู้” มาร์คาร์พูดกับไมริฟ “ทุกครั้งที่ข้าทำเกราะหรืออาวุธใหม่ให้เขา ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ มันจะต้องเปื้อนเลือดศัตรูหรือไม่ก็เลือดเขา”

 

**************

 

            โซลิแทร์ เซซิล กัปตันมาซูล และกองกำลังทหารม้าปีศาจและรถม้าศึกปีศาจจำนวนหนึ่ง มุ่งตรงมาถึงจุดนัดพบ ซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์และกองกำลังโฮเซ่จำนวนสามร้อยคนยืนคอยท่าอยู่แล้ว ทั้งหมดสวมเกราะติดอาวุธครบชุด สามารถทำการต่อสู้ได้เลยทีเดียวหากจำเป็น สีหน้าแต่ละคนแสดงความไม่เป็นมิตร โซลิแทร์บังคับพาหนะร่อนลงจอดบนพื้น กองกำลังของตนเคลื่อนพลมาหยุดอยู่ข้างหลัง ตอนนี้พวกเขาอยู่บริเวณตะเข็บชายแดนเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลด อากาศอบอุ่นขึ้นและมีหิมะบนพื้นน้อยลง มีแสงแดดมากกว่าในเขตฟรอสท์ไอรอนแคลนเล็กน้อย รถม้าศึกของพวกดาร์คเนสดีวิลต้องถอดเปลี่ยนล้อจากล้อเลื่อนหิมะมาเป็นล้อวงธรรมดา ทั้งสองกองกำลังหยุดนิ่งประจันหน้ากัน โซลิแทร์ลงจากพาหนะ ก้าวเข้าไปหาท็อกซ์ฟ็อกซ์ที่ยืนอยู่พื้นที่ตรงกลางระหว่างสองกองกำลัง มือข้างซ้ายของท็อกซ์ฟ็อกซ์ถือโล่ใบกลมมีตราสัญลักษณ์ตีนหมีติดหนาม มืออีกข้างถือแฟ้มเอกสารสีแดง ขวานลายไฟที่ด้านล่างของใบขวานโค้งงอนนั้นสะพายอยู่ที่หลัง

            ท็อกซ์ฟ็อกซ์หนีบแฟ้มเอกสารไว้ด้วยแขนซ้าย มือขวายกชูกางออก ทำสัญลักษณ์กระดาษขอเจรจา โซลิแทร์ทำตอบกลับ เป็นอันตอบรับการเจรจา

            “ซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์ เจ้าเมืองเด็นร็อค สมาชิกคณะปกครองสูงสุดแห่งแบร์ร็อค” ท็อกซ์ฟ็อกซ์แนะนำตัว

            “โซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม ผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนล” โซลิแทร์แนะนำตัวเช่นกัน

            “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูดด้วยน้ำเสียงแข็งๆ “เจ้าคือหลานของเดอะ โนเวลิสท์ คนที่ฆ่าพ่อข้า เจ้าปีศาจสารเลวจอมเนรคุณนั่น”

            “คำพูดของเจ้าก่อให้เกิดความไม่พอใจ” โซลิแทร์พูดเสียงเย็น ด้านหลังของเขา กองกำลังดาร์คเนสดีวิลหลายคนก็เริ่มแสดงอาการไม่พอใจเช่นกัน โดยเฉพาะเซซิลผู้ซึ่งเป็นเพื่อนรักของเอโมลิล “เดอะ โนเวลิสท์ถือเป็นวีรบุรุษคนหนึ่งของเผ่าพันธุ์เรา เขาเป็นนักรบที่ได้รับการนับหน้าถือตา และงานเขียนของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้ดาร์คเนสดีวิลจำนวนมากมาย นักรบครึ่งหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังข้าเคยร่วมรบกับเขามาก่อน ฉะนั้น พวกเขาย่อมระคายต่อคำพูดของเจ้าแน่”

            “ครึ่งหนึ่งของทหารที่ข้านำมาด้วยก็เคยร่วมรบกับพ่อข้าเช่นกัน” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ชี้ไปข้างหลัง “พวกเขารู้ดีว่าพ่อของข้าเป็นคนดี มีความสามารถ มีน้ำใจ แม้แต่กับปีศาจอย่างพวกเจ้าก็ตาม แต่สิ่งที่เขาได้รับจากความเมตตา กลับกลายเป็นหอกของอาเจ้าพุ่งเสียบทะลุร่าง และถูกทำลายชื่อเสียงป่นปี้”

            “หอกของอาข้าพุ่งไป เพราะขวานของพ่อเจ้าพุ่งใส่เขาก่อน” โซลิแทร์สวน

            “ซึ่งก็พุ่งไปเพราะช่วยชีวิตเขา ไม่ใช่ทำร้ายเขา” ท็อกซ์ฟ็อกซ์คำรามก้อง “พ่อของข้าควรจะปล่อยให้พวกเฟลมฟอร์สฆ่าอาของเจ้าทิ้งเสีย ถ้ารู้ว่าคนที่เขาช่วยจะฆ่าเขาภายหลัง แต่ใครจะไปรู้ว่าปีศาจคนนั้นจะไม่รู้จักสังเกตไตร่ตรองสักนิด เห็นคนช่วยเป็นศัตรู ฆ่าคนที่ช่วยชีวิตตน เป็นการกระทำที่น่าอายยิ่งนัก”

            โซลิแทร์ยืนนิ่ง สรุปแล้วอาของเขาฆ่าคนที่ช่วยชีวิตตนหรือนี่

            “สิ่งที่น่าประณามยิ่งกว่านั้น นอกจากเดอะ โนเวลิสท์จะฆ่าคนที่ช่วยชีวิตเขาแล้ว เขายังทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีของคนคนนั้นป่นปี้” ท็อกซ์ฟ็อกซ์โยนแฟ้มเอกสารให้โซลิแทร์

โซลิแทร์รับไว้ รีบเปิดอ่าน มันคือรายงานที่เอโมลิลเขียนส่งพวกมนุษย์ ยืนยันว่าพ่อของท็อกซ์ฟ็อกซ์บุกเข้าจู่โจมเขา มีเจตนาขัดขวางภารกิจที่พวกมนุษย์ส่งเขาไปทำ

            “พวกมนุษย์ใช้รายงานฉบับนี้เป็นหลักฐานในการหาข้ออ้างประกาศสงครามกับเราโฮเซ่” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ตะคอก “พวกมันใช้การกล่าวอ้างของเดอะ โนเวลลิสท์เป็นชนวนสงคราม ข้อความที่เจ้าปีศาจคนนั้นกล้าเขียนขึ้น ทั้งที่ยังไม่มั่นใจในมูลความจริง ชื่อเสียงของพ่อข้าและวงศ์ตระกูลเป็นอันจบสิ้น เพียงเพราะข้อความสั่วๆ จากปลายปากกาชั่วๆ ของอาเจ้า พ่อของข้าถูกตราหน้าว่าเป็นผู้จุดชนวนสงครามระหว่างเรากับพวกมนุษย์ ทั้งที่อาของเจ้าต่างหากที่เป็นคนจุดชนวนตัวจริง แล้วตอนนี้เขาก็ได้รับการสรรเสริญจากนักรบปีศาจรุ่นหลังเยี่ยงวีรบุรุษ ขณะที่พ่อข้าได้รับแต่คำสบประมาทจากพวกเดียวกันว่ากระทำการไม่เข้าท่า นำความเดือดร้อนมาสู่พวกพ้อง นั่นมันยุติธรรมแล้วหรือแบล็กไรดิงฮู้ด”

            ยังดีที่โซลิแทร์สวมหน้ากากสวมฮู้ด จึงไม่มีใครเห็นว่าสีหน้าเขาแย่แค่ไหน เขาหลับตา พยายามรวบรวมสติ แล้วก้าวถอยหลังไปปรึกษาเซซิล เซซิลเองก็ปกปิดสีหน้าไม่สู้ดีด้วยหมวกเกราะและผ้าเหล็กคาดปากเช่นกัน เอโมลิลเป็นเพื่อนรักของเขา และเขาก็เพิ่งรับรู้ว่าความไม่รอบคอบของเอโมลิลทั้งเรื่องการใช้ปากกาและใช้หอก นำไปสู่ความเสียหายใหญ่หลวงของผู้อื่น น่าละอายยิ่งนัก

            “ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้” เขากระซิบ

            “ท็อกซ์ฟ็อกซ์ได้แฟ้มมาจากไหน” เซซิลกระซิบถาม

            “ได้มาได้อย่างไรไม่สำคัญ แต่เอกสารฉบับนี้เขียนโดยเอโมลิลจริงๆ” โซลิแทร์ตรวจสอบเอกสาร “ตราประทับของเขา ลายมือของเขา และการลงนามรับทราบจากเจ้าหน้าที่มนุษย์”

            “ดูสิว่าบุคคลตัวอย่างของพวกเจ้า ผู้ซึ่งพวกเจ้าหลายคนเทิดทูนหนักหนา แท้จริงแล้วเขาทำอะไรลงไป” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ชี้แฟ้มเอกสาร “ปากกาที่เขาใช้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่พวกเจ้า มันทำลายสิ่งใดในเผ่าพันธุ์ข้าไปบ้าง”

            “สิ่งที่เขาทำ” โซลิแทร์พูดเสียงเย็น “มันไม่ใช่สิ่งที่เขาตั้งใจ”

            “แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งสุดวิสัย” ท็อกซ์ฟ็อกซ์โต้กลับ “มันเป็นสิ่งที่กระทำโดยปราศจากความรอบคอบ ปราศจากการให้ความสำคัญใส่ใจเพียงพอ เจตนาที่แตกต่างไม่ได้ทำให้ความเสียหายที่เกิดขึ้นเบาลง”

            เป็นอีกครั้งที่โซลิแทร์ไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร ในเมื่ออีกสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นเป็นความจริงทุกประการ

            “เดอะ โนเวลิสท์ก็ตายไปแล้ว เจ้าต้องการอะไร” โซลิแทร์ถามเสียงเย็น

            “กู้เกียรติและศักดิ์ศรีของพ่อข้าและวงศ์ตระกูลกลับคืนมา” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ตอบ “ข้าต้องการหนังสือยืนยันจากผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนล กล่าวอ้างถึงเหตุการณ์นี้ตามความเป็นจริง ยืนยันว่าพ่อของข้าคือผู้โชคร้าย และผู้ที่ควรถูกตำหนิคือเอโมลิล แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม มันจะเป็นหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอ กอบกู้เกียรติของพ่อข้ากลับคืนมาได้”

            “เจ้าต้องการให้ข้า ในฐานะผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนล กล่าวร้ายต่อบุคคลสำคัญของเผ่าพันธุ์อย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังเป็นญาติสนิทของข้า” โซลิแทร์พูดอย่างไม่อยากเชื่อ “ทั้งกองทัพจะมองข้าอย่างไร ศักดิ์ศรีของข้าจะไปอยู่ที่ไหน นักรบจำนวนมากเคยร่วมรบกับเดอะ โนเวลิสท์มาก่อน หากข้าทำลายความศรัทธาต่อวีรบุรุษของพวกเขา พวกเขาไม่วางอาวุธเลิกต่อสู้กันหมดหรือ”

            “แล้วพ่อของข้าล่ะ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์คำราม “สิ่งที่พ่อข้าได้รับมันยุติธรรมแล้วหรือ สิ่งที่ข้าให้เจ้าทำนั้นก็เพียงแค่ให้เจ้าทำตัวเป็นลูกผู้ชาย แสดงความรับผิดชอบยอมรับความจริง”

            “แม้มันจะทำให้ขวัญ กำลังใจ ความเชื่อมั่น และความศรัทธาของกองทัพข้าสั่นคลอนอย่างนั้นหรือ” โซลิแทร์เสียงเย็น

            “แล้วความสั่นคลอนของกองทัพเผ่าพันธุ์ข้าที่เกิดขึ้นเพราะอาของเจ้าล่ะ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ตะคอก “เจ้าเคยตระหนักไหมว่าปากกางี่เง่าในมือของเขา มันสร้างความเสียหายแค่ไหน”

            “ถ้าข้ายอมตามเขา ความเข้มแข็งในจิตใจของกองทัพเราถูกบั่นทอนแน่” โซลิแทร์กระซิบกับเซซิล “บุคคลตัวอย่างของเราจะถูกนำเสนอในด้านที่ด่างพร้อย และผู้ที่ยืนยันว่าเป็นความจริงก็คือผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนล ผู้ซึ่งเป็นหลานชายของเขา คิดดูสิว่ามันจะเสื่อมเสียแค่ไหน”

            “บรรดาคนที่ศรัทธาเลื่อมใสในตัวเอโมลิลจะเกิดความผิดหวังในตัวเขา” เซซิลกระซิบตอบ “อาจถึงขั้นวางอาวุธไม่รบต่อ”

            “ผู้คนที่อ่านหนังสือของเขา มีเขาเป็นแรงบันดาลใจ ยึดเขาเป็นบุคคลตัวอย่าง” โซลิแทร์พูดอย่างเจ็บปวด “จะมีมุมมองต่อเขาที่เปลี่ยนไป รวมทั้งมุมมองต่อข้า ซึ่งเป็นผู้แฉเขาด้วย”

            “เรื่องนี้ท่านควรตัดสินใจให้รอบคอบ” เซซิลเตือน “ซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเทอร์ริน เฮนิเคม ผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค การขัดแย้งกับเขาอาจนำไปสู่การขัดแย้งกับเฮนิเคมด้วย หากมันลุกลามบานปลาย อาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์”

            “ข้าเป็นคนส่งเอโมลิลลงหลุม” โซลิแทร์หันไปมองหน้าเซซิล กัดฟันพูด “ท็อกซ์ฟ็อกซ์ยังจะให้ข้าขุดเขาขึ้นมาประจานอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร”

            เซซิลเงียบ

            “ข้ารอคำตอบอยู่นะ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์กดดัน

          โซลิแทร์เดินกลับไปหาท็อกซ์ฟ็อกส์ด้วยท่าทางเยือกเย็น

          “ว่าไง” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ถาม

          “สิ่งที่เจ้าเรียกร้อง” โซลิแทร์พูดเรียบๆ “ข้าไม่อาจสนองมันได้”

          “นี่เจ้าหน้าด้านหน้าทนขนาดนี้เลยหรือ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ชี้หน้า

          “ซึ่งเจ้าก็น่าจะรู้ถึงความจำเป็นของข้า” โซลิแทร์ตอบกลับเสียงเย็น

          “แล้วความจำเป็นของข้าล่ะ” ท็อกซ์ฟ็อกซ์คำรามกึกก้อง “เจ้าไม่มีความละอายบ้างหรือไง”

          “ข้าไม่สามารถให้สิ่งที่เจ้าเรียกร้องได้” โซลิแทร์ยืนกราน

          “เจ้าปีศาจสารเลว เจ้ามันก็ชั่วช้าไม่ต่างจากอาของเจ้า ความเป็นลูกผู้ชายของเจ้าอยู่ที่ไหน เจ้ามีความละอายใจอยู่บ้างไหม” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ด่าว่า “เจ้ามันไม่คู่ควรที่จะเป็นเพื่อนกับบราวน์บีเซล เขามองพวกเจ้าในแง่ดีเกินไป ความจริงแล้วพวกเจ้ามันเห็นแก่ตัวและโฉดชั่ว ที่กล่าวกันว่าดาร์คเนสดีวิลเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำและไม่ควรแก่การคบหาเกี่ยวข้องที่สุดนั้น มันไม่เกินจริงเลยสักนิด”

          “ข้ายินดีรับคำสบประมาทจากเจ้า” โซลิแทร์พูดเรียบๆ แต่น้ำเสียงฟังดูก็รู้ว่ากำลังอดกลั้น “แต่ข้าก็ขอยืนยัน ข้าไม่อาจให้สิ่งที่เจ้าเรียกร้องได้”

          “ข้าจะถามเป็นครั้งสุดท้าย แบล็กไรดิงฮู้ด” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ตะโกนด้วยความกราดเกรี้ยว “จะทำหรือไม่ทำ”

          “ไม่” โซลิแทร์ตอบทันที

          การตอบทันทีนั้นแสดงถึงความมั่นใจเต็มที่ว่าจะไม่ทำจริงๆ นั่นยิ่งกระตุ้นโทสะของท็อกซ์ฟ็อกซ์มากขึ้นอีก มือขวาของท็อกซ์ฟ็อกซ์ชักขวานออกมาจากสายสะพายหลัง แต่ก็ต้องยกโล่กำบังตัวในวินาทีต่อมา เมื่อดาบยาวของโซลิแทร์ถูกชักออกมาไวกว่าและฟาดลงที่โล่

          ทั้งสองกองกำลังชักอาวุธตั้งท่าพร้อมสู้ทันที ท็อกซ์ฟ็อกซ์กับโซลิแทร์ยังมีสติเล็งเห็นถึงความวุ่นวาย รีบยกมือห้ามคนของตนไว้ ขณะที่ตนก็ก้าวขาถอยออกจากอีกฝ่ายอย่างดูเชิง อาวุธยังกำแน่นอยู่ในมือ

          “ในเมื่อพูดจากันดีๆ ไม่ได้” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ชูกำปั้นหันเฉียงไปหาโซลิแทร์ “ข้าขอท้าประลองกับเจ้า พรุ่งนี้ตอนเที่ยงตรง ข้า กับคนของข้าหนึ่งร้อยคน หนึ่งร้อยคนที่เคยร่วมรบกับพ่อข้าและศรัทธาในตัวเขา สู้กับเจ้า และคนของเจ้าหนึ่งร้อยคน หนึ่งร้อยคนที่เคยร่วมรบกับอาของเจ้าและศรัทธาในตัวเขา สู้กันในดินแดนร้าง ห่างจากที่นี่ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือราวหนึ่งไมล์ ในพื้นที่ที่ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ ต่อสู้กันด้วยอาวุธระยะประชิด ไม่มีการใช้ความสามารถพิเศษ ไม่ต้องใช้กลยุทธ์จัดทัพใดๆ ทั้งนั้น สู้กันให้ถึงที่สุด จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะไม่เหลือสักคน”

          “รับคำท้า” โซลิแทร์ชูกำปั้นตอบกลับ

          ท็อกซ์ฟ็อกซ์หันไปทำสัญญาณให้คนของตน แล้วกองกำลังโฮเซ่ทั้งหมดก็ถอยออกจากพื้นที่ เคลื่อนพลตรงกลับค่าย พวกดาร์คเนสดีวิลยังยืนอยู่กับที่ ตาจ้องมองอีกฝ่ายเหมือนจ้องมองศัตรู โฮเซ่กับดาร์คเนสดีวิลไม่เคยทำสงครามต่อสู้กันมาก่อน แต่ดูเหมือนว่า มันจะเริ่มขึ้นพรุ่งนี้แล้ว

 

*****************

 

            ใบทูมสโตนถูกดาบสีดำฟันตัดขั้วร่วงลงมาทีละใบ ร่วงลงไปในถังที่รองอยู่ข้างล่าง โซลิแทร์ตวัดฟันใบทูมสโตนทีละใบด้วยดาบยาวของตน นับว่ามีความแม่นยำในการควบคุมทิศทางดาบและมีสมาธิสูงจริงๆ ใบทูมสโตนแต่ละใบถูกตัดเข้าที่ขั้วเล็กๆ ไม่มีใบไหนฉีกขาดเสียหาย เมื่อมันร่วงลงมา โซลิแทร์ก็ใช้เท้าเขี่ยถังไปรองรับไว้ได้พอดี เป็นอีกหนึ่งการฝึกซ้อมใช้อาวุธที่เขาคิดขึ้นมาเอง มันจะช่วยเสริมทักษะการควบคุมทิศทางดาบ การประสานงานกันระหว่างร่างกายท่อนบนกับท่อนล่าง การขยับดาบในวงแคบ ต้นทูมสโตนที่เขาใช้ฝึกซ้อมนั้นเป็นต้นที่อยู่บนหลุมศพของเอโมลิล แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม ต้นที่เขาชอบมานั่งเขียนหนังสือบ่อยๆ หรือมานั่งก่อไฟรับประทานอาหาร หรือมานั่งเล่นขบคิดไปเรื่อยเปื่อย สารพัดอย่างที่ทำให้เขารู้สึกผูกพันกับมัน แม้แต่ทูมสโตนที่เขาดื่มอยู่ทุกวัน ส่วนใหญ่ก็มาจากต้นนี้

            ไมริฟเดินเข้ามาหาจากข้างหลัง โซลิแทร์ฝึกซ้อมต่อไปไม่หันไปมอง รับรู้ว่าเป็นเธอเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าจมลึกลงในหิมะ เธอเป็นคนเดียวในฐานทัพนี้ที่ไม่ใช่ดาร์คเนสดีวิล จึงเดินบนผิวหิมะไม่ได้

            “มาร์คาร์กลับไปแล้วหรือ” โซลิแทร์ถามเสียงทึบๆ ผ่านหน้ากาก สองมือจัดดาบกวัดแกว่งไปเรื่อยๆ

            “ใช่” ไมริฟพยักหน้า “เขาเป็นห่วงท่าน”

            “เขาดีต่อข้าเสมอ แม้จะชอบพูดว่าข้าน่ารำคาญก็ตาม” โซลิแทร์ปักดาบลงพื้นหิมะ พ่นลมหายใจสีขาวทะลุผ่านหน้ากากออกมา

            “พรุ่งนี้ตอนเที่ยง ท่านจะไปดวลกับซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์” ไมริฟถาม

            “มันจะเป็นเช่นนั้น” โซลิแทร์พยักหน้า

            “ไม่มีวิธีไหนที่จะประนีประนอมกันได้เลยหรือ”

            “ถ้าประนีประนอมได้ก็คงไม่ต้องดวลกัน”

            “แล้วผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร” ไมริฟถามต่อ “ไม่ว่าฝ่ายไหนจะแพ้หรือชนะ มันก็จะนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างสองเผ่าพันธุ์ นี่คือสิ่งที่พวกเอลิลต้องการ ให้ศัตรูแต่ละฝ่ายสู้กันเอง ท่านรู้ไหมว่ากำลังเดินตามเกมของเซ็ทซาร์ดเดลิลวาสอยู่”

            “แล้วจะให้ข้าทำยังไง” โซลิแทร์หันมาหาไมริฟ “ทั้งข้าและท็อกซ์ฟ็อกซ์ตกลงที่จะสู้กันแล้ว มันจะต้องดำเนินต่อไป เขาต้องการปกป้องเกียรติของพ่อเขาและตัวเขา ข้าก็ต้องปกป้องเกียรติอาของข้าและตัวข้า ท่านรู้ไหมว่าตอนที่แม่ข้าเอาข้ามาโยนให้พ่อนั้น ข้ายังไม่หย่านมเสียด้วยซ้ำ และชายที่นอนอยู่ในหลุมนี้ล่ะ ที่ไปหาน้ำนมหมาป่ามาให้ข้ากินวันแล้ววันเล่า” โซลิแทร์ชี้ไปที่ใต้เท้าของตน “เขาดีกับข้าจนวินาทีที่เขาสิ้นใจ จะให้ข้าตอบแทนเขาด้วยการถ่มน้ำลายรดหลุมศพเขาอย่างนั้นหรือ”

            “ผู้ชายก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะอยู่ในหลุมหรือนอกหลุมก็บ้าคลั่งเกียรติและศักดิ์ศรีจนไม่ลืมหูลืมตา ไม่สนใจว่ามันจะนำไปสู่หายนะใดบ้าง” ไมริฟพูดเสียงดัง “เพราะอย่างนี้ พวกเอลิลถึงกล้าประกาศสงครามกับพวกเราทุกเผ่าพันธุ์ พวกนั้นรู้ว่าศัตรูแต่ละฝ่ายมีแต่จะขัดแย้งกันเอง พวกนั้นไม่ต้องออกแรง ศัตรูเหล่านั้นก็ฆ่ากันเองอยู่แล้ว”

            โซลิแทร์หันกลับไปมองต้นทูมสโตนของเอโมลิล ยืนเงียบ

            “หลังจากการประลองในพรุ่งนี้ โฮเซ่กับดาร์คเนสดีวิลก็คงจะกลายเป็นศัตรูกัน อาจร้ายแรงถึงขั้นทำสงครามกันในอนาคต” ไมริฟพูดเสียงเบา “พวกท่านมีศัตรูเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง คงคิดแต่เรื่องต่อสู้กัน ต้องเก็บกองกำลังไว้ต่อสู้ ทั้งท่านและพวกโฮเซ่คงไม่เหลือกำลังพลมาช่วยเหลืออะไรเราแม้แต่คนเดียว สิ่งที่ข้าร้องขอจากท่าน คงสรุปได้แล้วว่าคำตอบคือไม่ และก็คงจะได้รับคำตอบเดียวกัน เมื่อข้าไปขอจากพวกโฮเซ่”

            “ไมริฟ ข้าเสียใจ” โซลิแทร์กระซิบ

            “งั้นข้าคงไม่ขออยู่ต่ออีกแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางกลับกาโกคอล ไปตายเอาดาบหน้ากับพวกพ้องของข้า อย่างน้อย พวกเราก็ไม่ใช้การต่อสู้ตัดสินทุกปัญหา” ไมริฟสะบัดหน้าเดินจากไป สวนกับเซซิลพอดีจึงถอนสายบัวให้แข็งๆ แล้วเดินต่อ “สวัสดีค่ะอาจารย์เซซิล”

            เซซิลเดินเข้ามาหาโซลิแทร์ ผู้ซึ่งยังยืนนิ่ง จ้องมองต้นไม้ของเอโมลิล

            “หลังจากการประลองพรุ่งนี้ ที่นี่ก็คงจะเริ่มวุ่นวาย” โซลิแทร์เอ่ยขึ้น “เห็นด้วยที่เธอจะกลับกาโกคอลไปก่อน มันปลอดภัยกว่า”

            “ข้าเตรียมนักรบสำหรับพรุ่งนี้แล้ว เป็นดีเซ็นทรีร้อยละเจ็ดสิบ เป็นดีวอเชอร์ร้อยละสามสิบ” เซซิลรายงาน “ทุกคนเคยร่วมรบกับเอโมลิลมาก่อน ล้วนเชื่อมั่นศรัทธาและมีเขาเป็นแรงบันดาลใจ พร้อมที่จะสู้ตายเพื่อปกป้องเกียรติของเขา ความจริงแล้วมีมากกว่านี้ แต่ข้าคัดมาเฉพาะที่ต้องการ”

            “ข้าไม่นึกเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้” โซลิแทร์ถอนหายใจ มองชื่อสลักของเอโมลิลที่โคนต้นไม้ “ข้ารู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุและความสะเพร่าของเขา แต่ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูดถูก เจตนาที่แตกต่างไม่อาจทำให้ความเสียหายที่เกิดขึ้นลดลงได้ เขาทำเรื่องที่น่าอับอาย และข้าก็ต้องมาตามล้างตามเช็ดให้เขา”

            “ไม่ว่าจะยังไง ข้าขอยืนยัน อาของท่านเป็นคนที่ดีที่สุดที่ข้าเคยรู้จัก” เซซิลพูดอย่างเด็ดเดี่ยว “เขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกับทุกสรรพสิ่งในดาวดวงนี้ ย่อมทำผิดพลาดได้”

            “แต่ความผิดแค่ครั้งเดียว ก็มักจะลบเลือนวีรกรรมอันดีที่ทำมาหลายครั้งได้เสมอ” โซลิแทร์พูด

            “ก็ขึ้นอยู่กับคนมอง หากคนมองไม่โง่เง่า รู้จักแยกแยะ รู้จักคิดอย่างยุติธรรม เขาก็จะรู้ว่าความผิดก็ส่วนความผิด วีรกรรมก็ส่วนวีรกรรม และทั้งสองอย่างนี้มันเอามาลบล้างกันไม่ได้” เซซิลกล่าว

            “แล้วท่านคิดว่า ดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ จะมีมุมมองแบบไหน” โซลิแทร์ถาม

            “บอกตรงๆ ข้าไม่อาจสรุปให้ชัดเจนได้” เซซิลส่ายหน้า “ต่างคนต่างความคิด ยิ่งหลายคนยิ่งหลายความคิด ความขัดแย้งจึงเป็นสิ่งที่ไม่มีวันหมดไปจากดาวดวงนี้”

            “แล้วท่านเห็นด้วยหรือไม่ กับสิ่งที่ข้าทำ” โซลิแทร์ถามต่อ

            “ปกติแล้ว คนที่เห็นดีกับท่านทุกเรื่องคือสโนว์ฟ็อกซ์ ไม่ว่าท่านตัดสินใจเรื่องอะไร มีแผนเรื่องอะไร เขานี่ล่ะที่เห็นด้วยกับท่านเสียทุกเรื่อง ท่านทำให้เขารับรู้ถึงคุณค่าของตน เขาจึงภัคดีต่อท่านยิ่งกว่าใคร ไม่ว่าท่านว่าอะไร เขาก็ว่าตาม” เซซิลเอื้อมมือไปเด็ดใบทูมสโตนมาใบหนึ่ง “แต่ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เขา ข้าเองก็ขอพูดเหมือนกันว่า ท่านว่าอะไร ข้าก็ว่าตาม เพราะข้าเองก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าไม่อยากมีปัญหากับพวกโฮเซ่ในช่วงเวลาที่เรามีศัตรูเต็มไปหมด แต่ข้าก็ไม่อยากให้ความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับเพื่อนรักข้าในใจของดาร์คเนสดีวิลหลายคนต้องกลับกลายเป็นอีกอย่าง ฉะนั้นไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าก็พร้อมสนับสนุนเต็มที่ทุกเรื่อง”

            “เมื่อการท้าสู้ได้รับการตอบรับ มันก็ควรดำเนินต่อไป” โซลิแทร์กล่าว

            “ถูกต้อง” เซซิลพยักหน้า “ซึ่งข้ากับสโนว์ฟ็อกซ์ก็จะร่วมต่อสู้กับท่านด้วยพรุ่งนี้”

            “นั่นคือเหตุผลที่ข้ามั่นใจว่า ในวันพรุ่งนี้ ฝ่ายเราจะชนะ” โซลิแทร์พูด

            “พรุ่งนี้เราชนะ” เซซิลพยักหน้า “แต่ก็ไม่รู้ว่าชัยชนะของเราครั้งนี้ มันจะส่งผลอย่างไรต่อไป”

            โซลิแทร์ถอนดาบขึ้นจากพื้นแล้วฟันตัดขั้วใบทูมสโตนอีกใบหนึ่ง มันปลิวร่วงลงมาอย่างช้าๆ เขาหันไปมองชื่อเอโมลิลที่สลักอยู่ที่โคนต้น แล้วหันกลับมาตวัดดาบใส่ใบทูมสโตนกลางอากาศ มันขาดครึ่งและหล่นลงไปในถังที่รองรับอยู่ข้างล่าง

 

*****************

 

            ในตอนดึกของวันนั้น ไมริฟนั่งขดตัวกอดเข่าอยู่บนเตียง ผ้าห่มคลุมร่างกายที่เปลือยเปล่า เธออยู่อย่างนั้นมานานแล้ว เหมือนกำลังเฝ้ารอด้วยความอดทน ชะโงกลงไปดูเตาผิงใต้เตียง มันใกล้จะมอดดับเต็มทีเพราะไม่มีการเติมเชื้อเพลิงมานาน ในตอนนี้ทุกอย่างดูเงียบกริบมาก ราวกับมีเธอคนเดียวอยู่ในป้อมปราการดำ จนกระทั่งไฟในเตาผิงดับสนิทเธอก็ยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น รับรู้ว่าห้องหนาวขึ้น แต่ความเย็นของอากาศไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เธอกระวนกระวาย การรอคอยอันยาวนานต่างหากที่ทำให้กรสับกระส่าย เธอรออยู่อย่างนี้เป็นชั่วโมงแล้ว

            ในที่สุดเธอก็หมดความอดทน ลุกออกจากเตียง หยิบชุดนอนตัวบางที่ถอดกองไว้บนพื้นขึ้นมาสวม หยิบขนสัตว์กันหนาวมาสวมทับ แล้วเปิดประตูออกจากห้อง ชะโงกหน้าออกไปที่ระเบียง พบว่ากัปตันมาซูลเดินมาตามทางเดินพอดี เขาสวมเกราะครบชุด หิ้วถังแร่เชื้อเพลิงมาด้วย

            “สวัสดีตอนดึก ท่านหัวหน้าวูดส์วาร์เด็น” เขาทักทาย “อภัยให้ด้วยกับความล่าช้าของข้า ข้ามัวแต่จัดเตรียมเรื่องการต่อสู้พรุ่งนี้ จนลืมไปว่าเตาผิงในห้องท่านคงจะดับแล้ว นี่ ข้านึกได้จึงรีบมาเติมให้”

            “โซลิแทร์ไปไหนหรือคะ” ไมริฟถาม

            “ล่วงหน้าออกไปตั้งค่ายบริเวณตะเข็บชายแดน จะได้มีที่มั่นอยู่ไม่ไกลจากพื้นที่ประลอง” กัปตันมาซูลตอบ “เขาฝากแสดงความเสียใจมาว่าพรุ่งนี้คงอยู่ส่งท่านไม่ได้ และคงไม่สามารถจะลาท่านอย่างเป็นทางการได้ ข้าเองเมื่อเสร็จจากตรงนี้แล้วก็จะต้องตามไปสมทบที่ค่าย อภัยให้ด้วยที่ข้าก็คงอยู่ส่งท่านไม่ได้เช่นกัน แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องการเดินทางของท่าน พรุ่งนี้เมื่อท่านพร้อม จะมีเอเลนเซฟเวอรี่เทียมรถม้าอากาศคอยอยู่ที่หน้าป้อมปราการดำ ท่านแค่ก้าวขึ้นรถม้าไป มันก็จะพาบินตรงไปส่งถึงชายป่ากาโกคอลอย่างรวดเร็ว แต่อย่าลืมกินหินผิวมังกรก่อนขึ้นรถม้าล่ะ บนท้องฟ้าในเขตโฟรเซ็นทิเนลมันหนาวมาก อีกทั้งบินด้วยความเร็วเอเลนเซฟเวอรี่ด้วย และอย่าลืมจับขอบรถม้าให้แน่น พื้นที่มันแคบ ร่วงตกง่าย ข้าแนะนำว่าท่านหาอะไรมาผูกตัวกับรถม้าเลยดีกว่า เพราะท่านยังไม่ชินกับการเดินทางแบบนี้ เอเลนเซฟเวอรี่มันไม่คอยรับท่านแน่หากท่านพลัดตกกลางอากาศ ที่สำคัญ อย่าไปแตะต้องอะไรมันเชียว ข้าไม่รู้ว่าสัตว์ประเภทนั้นจะตอบสนองอย่างไร เมื่อผูกสัมผัสโดยคนต่างเผ่าพันธุ์”

            “ข้าขอบคุณจริงๆ ค่ะ ที่ผ่านมาพวกท่านดูแลข้าอย่างดี ข้าซาบซึ้งมาก” ไมริฟถอนสายบัว “ข้าหวังว่าคงมีสักวันที่จะได้ดูแลพวกท่านที่กาโกคอลบ้าง”

            “นั่นคงเป็นไปได้ยาก หลังจากนี้จะมีความขัดแย้งพุ่งมาหาเราจากทุกทิศทุกทาง เราคงจะไปไหนไม่ได้นอกจากอยู่ปกป้องพื้นที่ของตนที่นี่” กัปตันมาซูลหัวเราะ “แต่ข้าก็หวังจริงๆ ว่าเราจะได้พบกันอีก รู้ไหม แม้ว่าท่านลอร์ดจะไม่มีความผูกพันกับแม่ของเขาสักเท่าไหร่ แต่การที่เขาได้พบคนจากเผ่าพันธุ์ของแม่นั้น มีความหมายต่อเขามาก อย่างน้อยเขาก็ได้รู้เสียทีว่าส่วนเล็กๆ ที่หมุนเวียนอยู่ในเลือดของเขานั้นมีลักษณะอย่างไร ข้าเองก็ต้องขอบคุณท่านที่ทำให้เขารู้จักการมีปฏิสัมพันธ์กับเผ่าพันธุ์อื่นมากขึ้น โดยเฉพาะเพศตรงข้าม ซึ่งเขาแทบไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดเลยสักคน มิตรภาพเป็นสิ่งสำคัญ มันช่วยให้เขามีโอกาสเรียนรู้ที่จะอ่อนโยนบ้าง เพราะดาบมันแก้ปัญหาไม่ได้ทุกอย่าง”

            “เขาจะกลับมาที่นี่อีกไหมคะ” ไมริฟถาม

            “กลับมาแน่นอนหลังจากเสร็จสิ้นการประลองแล้ว” กัปตันมาซูลพูดอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องกังวล ฝ่ายเราไม่เคยประมาทข้าศึก ไม่เคยพูดจาลำพอง แต่เราก็รู้จักประเมินข้าศึก และบางครั้งอย่างเช่นครั้งนี้ มันก็ชัดเจนพอที่เราจะประเมินได้ว่าผลมันน่าจะออกมาอย่างไร”

            “ข้าหมายถึง” ไมริฟแก้ไข “คืนนี้เขาจะกลับมาอีกไหมคะ”

            “ไม่แล้วล่ะ เขาประจำการอยู่ที่ค่ายกับอาจารย์เซซิล” กัปตันมาซูลยกถังใส่ก้อนแร่เชื้อเพลิงขึ้นมา “ข้าจึงมาทำหน้าที่เติมเตาผิงให้ท่านแทนเขา เดี๋ยวรอข้าเติมสักครู่นะ ท่านคงจะหนาวแล้ว”

            “อย่าลำบากเลยค่ะ ข้าจัดการเองได้” ไมริฟรีบพูด “ข้าใช้เตาผิงเป็นแล้ว อย่าให้ข้าทำให้ท่านเสียเวลาเลยนะคะ ท่านมีหลายอย่างที่ต้องทำอีกมาก”

            “แน่ใจหรือ” กัปตันมาซูลทำหน้างง

            “ค่ะ” ไมริฟพยักหน้า “ท่านมีสิ่งสำคัญต้องทำอีกมาก โปรดอย่าให้ข้ารบกวนเลยนะคะ”

            “ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไปสมทบที่ค่ายเร็วหน่อย มีเวลาเตรียมการมากขึ้น” กัปตันมาซูลส่งถังแร่เชื้อเพลิงให้ไมริฟ “ราตรีสวัสดิ์ ท่านหัวหน้าวูดส์วาร์เด็นโบรริฟเวอร์”

            “โปรดเรียกข้าว่าไมริฟนะคะ”

            “ราตรีสวัสดิ์ ท่านหัวหน้าวูดส์วาร์เด็นไมริฟ ข้าขอตัวนะ”

            แล้วกัปตันมาซูลก็เดินจากไป ไมริฟกลับเข้าไปในห้อง ปิดประตู วางถังแร่เชื้อเพลิงไว้ข้างเตาผิงที่เธอยังคงใช้ไม่เป็น ทิ้งตัวลงบนเตียงทั้งชุดคลุม ถอนหายใจอย่างผิดหวัง

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา