พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.90K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

32) บทที่ 31 ศึกศักดิ์ศรี

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 31

ศึกศักดิ์ศรี

 

            เมื่อถึงยามสายของวันต่อมา ซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์กับทหารโฮเซ่หนึ่งร้อยคน ก็ตั้งแถวเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ พื้นที่ต่อสู้นั้นอยู่ไม่ห่างจากค่ายพวกเขาเท่าไหร่นัก เป็นทุ่งโล่งบนพื้นราบ ไม่มีหิมะ ไม่มีทราย ไม่มีพื้นที่ต่ำกว่าสูงกว่า ถือเป็นสถานที่รบอันยุติธรรม พวกเขาหนึ่งร้อยหนึ่งคนจะเข้าไปรบ ส่วนพวกที่เหลือในค่ายจะทำหน้าที่จัดการกับศพของพวกพ้องหรือคอยพยาบาลพวกที่เหลือจากการประลอง ซึ่งจะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ต้องจัดการกับศพเพียงอย่างเดียว ฝ่ายที่พ่ายแพ้

            “เกียรติและศักดิ์ศรี เป็นสิ่งที่กินไม่ได้” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ประกาศต่อกองกำลังหนึ่งร้อยคนของตน “แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่อย่างมีความหมาย สิ่งที่กินได้นั้น มันก็แค่ประทังชีวิตให้เราอยู่ต่อไป แต่เกียรติและศักดิ์ศรี ทำให้เรารู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร ตลอดเวลาที่พ่อข้า นายทัพเก่าของพวกท่าน มีชีวิตอยู่นั้น เขาดำรงชีวิตอย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี” เขาหยิบแตรเขาสัตว์ที่พกติดตัวตลอดขึ้นมา เป็นแตรสงครามแห่งเด็นร็อค “แต่พวกดาร์คเนสดีวิลก็เอามันไป ทั้งชีวิตของเขา และเกียรติยศศักดิ์ศรีของเขา พวกเราโฮเซ่ผู้มีเกียรติมีศักดิ์ศรีจะยอมได้หรือ จะปล่อยให้คนในเผ่าพันธุ์ของเราถูกกระทำเช่นนั้นโดยไม่ทำอะไรเลยหรือ พวกปีศาจทำเกินไป พวกมันต้องรับผิดชอบ”

            ทหารโฮเซ่ทั้งหนึ่งร้อยคนส่งเสียงคำรามลั่น ชูกำปั้นอย่างโกรธแค้น

            “พวกดาร์คเนสดีวิลเคยอ้างว่าตนคือกำแพง วันนี้ เราจะได้เห็นกันว่ากำแพงสีดำนั้น สามารถมอดไหม้ได้ด้วยไฟแค้นของเหล่าโฮเซ่ผู้มีศักดิ์ศรี” ท็อกซ์ฟ็อกซ์คำราม “ก่อนที่อิลิมิน่าจะตกดิน เราจะได้ยืนอยู่เหนือซากศพ ของดาร์คเนสดีวิลหนึ่งร้อยหนึ่งคน”

            แล้วเขาก็ยกแตรสงครามแห่งเด็นร็อคเป่าเสียงดังกังวาน พวกทหารโฮเซ่ส่งเสียงกู่ร้องอย่างฮึกเหิม ท็อกซ์ฟ็อกซ์เดินนำพวกเขาออกจากค่าย มุ่งหน้าตรงไปยังพื้นที่ต่อสู้ เมื่อดาร์คเนสดีวิลคนใดเข้ามาใกล้รัศมีคมขวานของเขา เขาจะฆ่าให้หมด

          ที่ค่ายพักของพวกดาร์คเนสดีวิล นักรบดาร์คเนสดีวิลหนึ่งร้อยคนก็ตั้งแถวเรียบร้อยเช่นกัน มีทั้งดีเซ็นทรีและดีวอเชอร์สลับคละกันไป กัปตันมาซูลและเซซิลก็ยืนอยู่ในแถว สวมเกราะถืออาวุธครบมือ พวกที่เหลือในค่ายจะคอยทำหน้าที่จัดการกับศพของพวกพ้อง หรือคอยพยาบาลพวกที่เหลือจากการประลอง โซลิแทร์ยืนอยู่เบื้องหน้าแถวอย่างสงบนิ่ง ร่างกายทุกส่วนปกคลุมด้วยผ้าคลุมฮู้ดสีดำ เวลาแห่งการประลองใกล้เข้ามาแล้ว

          “เรียนท่านลอร์ดมืดแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” ดีเซ็นทรีคนหนึ่งขี่ม้าเข้ามารายงาน “ทางฐานทัพรายงานมาว่า หัวหน้าวูดส์วาร์เด็นโบรริฟเวอร์เดินทางออกจากฐานทัพ มุ่งกลับกาโกคอลแล้วครับ”

          โซลิแทร์พยักหน้า ดีเซ็นทรีทำแขนกากบาทแล้วขี่ม้าออกไป

          “เกียรติและศักดิ์ศรี เป็นสิ่งสำคัญของนักรบ” โซลิแทร์กล่าวแก่กองกำลังของตน “หากปราศจากมันแล้ว เราก็ไม่อาจเรียกตัวเองว่านักรบได้ การได้มันมานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การรักษามันไว้นั้นไม่ง่ายยิ่งกว่า เดอะ โนเวลิสท์คือบุคคลตัวอย่างของอาณาจักร เป็นแรงบันดาลใจของพวกท่านทั้งหนึ่งร้อยคน เขาเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกท่าน ร่วมหลั่งเลือดกับพวกท่าน ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกท่านทุกครั้งที่รบ เขาคือเพื่อนที่ดีเสมอ” เขาหันไปมองเซซิล ที่พยักหน้าอย่างจริงจัง “เกียรติและศักดิ์ศรีของเขากำลังจะถูกทำให้หายไป โดยคนต่างเผ่าพันธุ์ที่รุกคืบมาถึงหน้าพื้นที่ของเรา เราบอกตนเองมาตลอดว่าเราคือกำแพง เราคือผู้ปกป้อง แต่เราจะเป็นผู้ปกป้องแบบไหนกัน หากยังปกป้องศักดิ์ศรีของพวกเดียวกันไม่ได้ แม้เราจะไม่เคยเป็นศัตรูกับพวกโฮเซ่ ไม่เคยทำสงครามรบกับพวกนั้นมาก่อน แต่ในการต่อสู้ครั้งนี้ พวกนั้นทั้งหนึ่งร้อยหนึ่งคนคือศัตรู ไม่ต้องปรานี ไม่ต้องลังเล นี่คือศึกสงคราม”

          เซซิล กัปตันมาซูล และเหล่านักรบดาร์คเนสดีวิลเปล่งเสียงพร้อมกันอย่างฮึกเหิมว่า “เราคือกำแพง”  ดึงกระบังหมวกเกราะลงมาปิดหน้า คาดผ้าเหล็กปิดปาก โซลิแทร์ยิงพลุสีเขียวสว่างวาบขึ้นฟ้า แล้วกองกำลังดาร์คเนสดีวิลหนึ่งร้อยคนก็เริ่มเคลื่อนพลมุ่งหน้าสู่พื้นที่ต่อสู้ โดยมีโซลิแทร์เดินนำอยู่ข้างหน้า

          ในที่สุด ทั้งสองกองกำลังก็ยืนประจันหน้ากันอยู่กลางทุ่งหญ้าโล่งๆ แสงแดดอ่อนๆ บนฟ้าทึมๆ ส่องประกายบนอาวุธและชุดเกราะของพวกเขา ท็อกซ์ฟ็อกซ์ยืนอยู่เบื้องหน้ากองกำลังโฮเซ่ จ้องมองไปยังโซลิแทร์ที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากองกำลังดาร์คเนสดีวิลด้วยความเกลียดชัง ผ้าคลุมดำโบกสะบัดให้เห็นอยู่ไกลๆ  ไม่มีอะไรต้องพูดคุยกันอีกแล้ว จากนี้ไป อาวุธคือสิ่งที่จะใช้สื่อสารกันเท่านั้น

          ท็อกซ์ฟ็อกซ์ชักขวานออกจากสายสะพายด้านหลัง มาถือในมือขวา โล่ที่ติดแขนซ้ายยกขึ้นเตรียมพร้อม มือข้างนั้นถือแตรสงครามแห่งเด็นร็อคด้วย พวกทหารโฮเซ่ก็เตรียมอาวุธในมือเช่นกัน

          โซลิแทร์ชักดาบยาวออกมาจากฝักที่เข็มขัด กัปตันมาซูลและพวกดีเซ็นทรีชักดาบคู่ออกมา เซซิลและพวกดีวอเชอร์หมุนสลักด้านหลังโล่ยาว ใบเหล็กคมๆ โผล่ออกมารอบขอบโล่

          ท็อกซ์ฟ็อกซ์เป่าแตรเสียงกึกก้อง แล้ววิ่งตรงไปข้างหน้า คล้องแตรไว้ที่เข็มขัด แขนซ้ายยกโล่กำบัง แขนขวาถือขวานตั้งท่าเตรียมสู้ ทหารโฮเซ่ทั้งหนึ่งร้อยคนของเขาส่งเสียงลั่นว่า “สู้เพื่อท็อกซ์ฟ็อกซ์” พร้อมกับบุกตามเขามา

          โซลิแทร์ยิงพลุสีน้ำเงินขึ้นสู่ฟ้า แล้วออกวิ่งตรงไปข้างหน้า มือขวาถือดาบเหยียดสุดแขนไปข้างลำตัว เอียงลงพื้นเล็กน้อย ตัวโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อยขณะวิ่ง ผ้าคลุมโบกสะบัดอยู่ข้างหลัง เป็นท่าการบุกเข้าปะทะศัตรูที่เขาคิดขึ้นมาตั้งแต่เด็กๆ มันทำให้เขาเคลื่อนไหวได้เร็วมาก ด้านหลังเขา เซซิล กัปตันมาซูล และกองกำลังดาร์คเนสดีวิลทั้งหมดก็บุกตามมา พร้อมกับเปล่งเสียงว่า “เราคือกำแพง”

          ทั้งสองกองกำลังบุกตรงเข้าหากันด้วยความเร็วเต็มฝีเท้า ท็อกซ์ฟ็อกซ์และโซลิแทร์จะปะทะกันก่อนเพราะทั้งคู่วิ่งนำอยู่หน้ากองกำลัง ท็อกซ์ฟ็อกซ์เงื้อขวานขึ้นเตรียมใช้โจมตี อีกไม่ถึงสิบเมตรก็จะปะทะกัน

          ในจังหวะห้าเมตรสุดท้าย โซลิแทร์พุ่งม้วนตัวไปข้างหนึ่งรอบ และกระโดดขึ้น หมุนตัวกลางอากาศ เหวี่ยงดาบรอบตัวเป็นวงกลมในจังหวะถึงตัวท็อกซ์ฟ็อกซ์พอดี ท็อกซ์ฟ็อกซ์ที่เงื้อขวานเตรียมโจมตีก่อน ต้องรีบยกโล่กำบังจากมุมสูง ด้านบนของโล่กับดาบปะทะกันอย่างแรงจนเกิดประกายไฟ ทำเอาท็อกซ์ฟ็อกซ์ล้มหงายไปกับพื้น เกือบจะรับมือไม่ทันเพราะคาดเดาทิศทางของอีกฝ่ายไม่ถูก โซลิแทร์รุดหน้าผ่านท็อกซ์ฟ็อกซ์ไปตามแรงส่ง แล้วจับดาบด้วยสองมือ ฟันแสกหน้าทหารโฮเซ่คนแรกที่ตามหลังท็อกซ์ฟ็อกซ์มา

          สองกองกำลังเข้าปะทะกัน เสียงโลหะกระทบกระแทกดังสนั่นหวั่นไหว ท็อกซ์ฟ็อกซ์ที่ล้มลงไปรีบคุกเข่าขึ้นมาได้ทัน โล่ยกกำบังดาบของดีเซ็นทรีคนหนึ่งเหนือศีรษะ ขวานฟันสวนเข้าที่ลำตัว กัปตันมาซูลขยับแขนสองข้างมาไขว้กันเป็นกากบาท ให้คมดาบทั้งสองเล่มอยู่ข้างลำตัว แล้ววิ่งผ่านพวกทหารโฮเซ่พร้อมกับดาบที่ตัดเฉือนไปตลอดทาง เซซิลลอยตัวบุกเข้าไป ยกโล่ยาวกำบังขวานที่ทหารโฮเซ่ขว้างใส่ และสะบัดขอบโล่ปาดคออีกฝ่ายเมื่อเข้าถึงตัว เป็นการต่อสู้ประจัญบานด้วยอาวุธระยะประชิดของสองกองกำลัง พวกโฮเซ่ใช้โล่กับขวานหรือไม่ก็ขวานด้ามยาว พวกดีเซ็นทรีใช้ดาบคู่ พวกดีวอเชอร์ใช้โล่ยาว นี่คือการต่อสู้ ไม่มีการจัดขบวน ไม่มีกลยุทธ์ใดๆ ทั้งสิ้น ต่อสู้แบบตะลุมบอนเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายเริ่มแยกต่อสู้กันเป็นคู่ๆ  คนตายก็ล้มลงไป คนที่ยังอยู่ก็สู้ต่อไป จะสู้กันอย่างนี้ จนกว่าอีกฝ่ายจะไม่เหลือแม้แต่คนเดียว

          ท็อกซ์ฟ็อกซ์ฟันขวานปาดคอดีวอเชอร์คนหนึ่ง แล้วเอาสันขวานตีใส่หน้าดีเซ็นทรีคนหนึ่ง ยกโล่กำบังดาบจากดีเซ็นทรีอีกคนหนึ่งแล้วกระแทกกลับไป ด้านล่างใบขวานของเขาที่มีส่วนเว้าลึกเข้าไปเป็นพิเศษนั้นมีประโยชน์ เมื่อดีเซ็นทรีคนหนึ่งฟันดาบใส่เขา เขาก็เอียงขวานรับดาบของอีกฝ่ายให้เข้าไปขัดอยู่กับส่วนเว้าของใบขวาน และหันข้างกดใบขวานให้คว่ำลง มันจะทำให้มือที่จับดาบของฝ่ายตรงข้ามนั้นหันบิดไปข้างหลังมากเกินไป จนต้องปล่อยดาบ จากนั้นก็เหวี่ยงขวานสวนกลับไปสังหารคู่ต่อสู้ที่ถูกปลดอาวุธอย่างง่ายดาย

          โซลิแทร์ฟันดาบปาดคอทหารโฮเซ่คนหนึ่ง แทงดาบเข้ากลางหัวใจอีกคนที่ยกโล่กำบังไม่ทัน ฟันดาบใส่คนที่สามที่ยกโล่กำบังทัน แต่ก็ถูกถีบโล่ให้เบี่ยงออกไปและถูกฟันตายอยู่ดี ทหารโฮ่เซ่คนหนึ่งสับขวานยาวใส่เขาเต็มเหนี่ยว เขาก้าวหลบไปข้างๆ อย่างเยือกเย็น ใบขวานจึงสับลึกลงไปในพื้นดินแทน โซลิแทร์กระทืบสันขวานให้ใบขวานลมลึกลงไปอีก ทหารคนนั้นจึงดึงขวานยาวออกมาไม่ได้ และถูกดาบของเขาฟันคอขาด ทหารโฮเซ่อีกคนบุกเข้าหาเขาจากด้านหลัง เขากระโดดหลบไปข้างๆ และเตะสกัดขาอีกฝ่ายล้มหน้าทิ่มไปพาดคอกับด้ามขวานยาวเล่มนั้นพอดี ขาข้างหนึ่งของเขายกพาดบนท้ายทอยทหารคนนั้น มือซ้ายงัดด้ามขวานที่อยู่ใต้คอทหารคนนั้นขึ้น กลายเป็นว่าคอของทหารคนนั้นถูกหนีบด้วยลักษณะของกรรไกร มีเสียงกระดูกหัก แล้วทหารคนนั้นก็ลงไปกองสิ้นชีวิตบนพื้นกับด้ามขวาน

          มีทหารโฮเซ่หลายคนที่ใช้ขวานด้ามยาวเป็นอาวุธ มันเป็นอาวุธสองมือที่มีความหนักหน่วงและมีรัศมีการโจมตีกว้าง ยากต่อการรับหรือกำบัง โดยเฉพาะกับดาบคู่ของพวกดีเซ็นทรี มันเป็นอาวุธที่แพ้ทางกันเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม อาวุธยาวที่มีน้ำหนักเช่นนี้ก็มีอาวุธมาแก้มันทางเช่นกัน นั่นคือโล่ยาวของพวกดีวอเชอร์ โล่ที่สามารถถือด้วยสองมือ ทำให้รับแรงกระแทกได้มากกว่าปกติ แล้วยังสามารถควบคุมองศาหน้าโล่ให้หันในทิศทางที่เบี่ยงแรงปะทะได้มากที่สุด แค่หันหน้าโล่ให้เฉียงออกข้างเล็กน้อย เมื่อขวานยาวฟันใส มันก็จะเบนออกนอกทิศทาง ผู้ใช้ขวานยาวจะเสียหลัก สามารถสวนกลับได้ในจังหวะนั้น

          เรื่องทักษะการตอบโต้อาวุธยาวต้องยกให้เซซิล ต่อสู้กับพวกโฮเซ่ที่ใช้ขวานยาวนั้นเขาถนัดมาก เขามักจะเอียงโล่รับคมขวานยาวในมุมที่รับแรงกระแทกน้อย และเป็นมุมที่ตอบโต้กลับไปได้ง่ายๆ ศพโฮเซ่ที่ใช้ขวานยาวนอนกองเต็มไปหมดเมื่อเขาผ่านไป พวกโฮเซ่ไม่เคยต่อสู้กับศัตรูที่ใช้โล่ยาวเป็นอาวุธโจมตีมาก่อน ยิ่งทำให้เขากับพวกดีวอเชอร์ได้เปรียบ ทหารโฮเซ่คนหนึ่งสับขวานยาวลงมาหวังจะแสกหน้าเขา เขาเสยขอบโล่ขึ้นไปขัดกับสวนเว้าของใต้ใบขวาน แล้วงัดขึ้นเหนือหัว กระชากขวานกระเด็นหลุดจากมือคู่ต่อสู้ แล้วเอาขอบโล่คมกริบที่ยกขึ้นสูงนั้นตอกหน้าของอีกฝ่ายศีรษะแทบแยกเป็นสองเสี่ยง จากนั้นก็ตั้งโล่เหนือหัวในมุมขนานกับพื้น ลอยตัวหมุนเป็นวงกลมตรงเข้าไปในกลุ่มทหารโฮเซ่ การที่เซซิลลอยตัวได้นั้นทำให้เขาหมุนตัวได้หลายรอบ ขอบโล่คมๆ หมุนปาดคอปาดศีรษะพวกโฮเซ่ในมุมสูงเป็นกงจักร

          กัปตันมาซูลคอยสลับเปลี่ยนการจับดาบคู่ตามสถานการณ์ บางจังหวะก็จับดาบกลับหัวเพื่อสะดวกต่อการฟันในมุมขนานกับพื้น บางจังหวะก็ควงดาบขณะฟันแทงเพื่อให้ศัตรูเดาทิศทางไม่ถูก เขาดูเป็นคนตัวเตี้ยอีกครั้งเมื่อต้องสู้กับเผ่าพันธุ์ตัวสูงใหญ่อย่างโฮเซ่ แต่นั่นก็ทำให้เขามีความคล่องตัวสูงกว่า ดาบคู่ของเขาทำพวกทหารโฮเซ่ที่ตัวสูงใหญ่กว่าล้มลงไปเป็นศพกันระนาว เขายกดาบทั้งสองเล่มรับขวานที่ฟันลงมาเหนือหัวเป็นกากบาท และงัดเสยมันหลุดมือคู่ต่อสู้ลอยข้ามหัวไป จังหวะต่อมาก็ลดดาบที่ประสานกันอยู่ให้ลงมาอยู่ที่ระดับสายตา และฟันแยกออกจากกัน ตัดหัวคู่ต่อสู้ในลักษณะคล้ายกรรไกร จากนั้นก้มหัวหลบขวานอีกเล่มจากทางขวา มือขวาจับดาบกลับหัวและแทงผ่านช่องกลางระหว่างโล่กับขวานเข้ากลางหน้าอกของอีกฝ่าย มีทหารโฮเซ่ตัวใหญ่คนหนึ่งบุกเข้าหาเขาพร้อมกับขวานกับโล่ กัปตันมาซูลอาศัยความเตี้ยของตนให้เป็นประโยชน์ ย่อตัวโจมตีจากมุมต่ำ ฟันที่ขาของอีกฝ่ายล้มลงไปแล้วแทงดาบซ้ำตายคาที่ ขนาดไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกถึงคุณภาพ นี่คือบทเรียนที่พวกคนตัวใหญ่ๆ ควรรู้จากเขา

          พวกผู้นำทัพโฮเซ่อาจร่วมต่อสู้ในสนามรบกับพวกทหาร แต่พวกผู้นำทัพดาร์คเนสดีวิลนั้นอยู่แถวหน้าสุดในศึกทุกครั้ง นั่นทำให้ทักษะการต่อสู้ของพวกเขาสูงมาก เซซิลและกัปตันมาซูลสามารถต่อสู้กับทหารศัตรูได้นับสิบนับร้อย ยิ่งการต่อสู้แบบตะลุมบอนยิ่งเป็นสิ่งที่พวกเขามีประสบการณ์ ศพโฮเซ่กองเต็มพื้นด้วยคมอาวุธของทั้งคู่ ที่พวกดาร์คเนสดีวิลประเมินไว้นั้นถูกต้องแล้ว เมื่อมีทั้งคู่อยู่ในการประลองครั้งนี้ โอกาสชนะก็มีสูง โฮเซ่ทหารทั้งหนึ่งร้อยคนของท็อกซ์ฟ็อกซ์เริ่มจะเหลืออยู่เพียงหยิบมือ

          ท็อกซ์ฟ็อกซ์ใช้ส่วนเว้าของใบขวานด้านล่างขัดดาบปลดออกจากมือดีเซ็นทรีคนหนึ่งได้อีกครั้ง และสะบัดขวานตัดคอขาด ดีเซ็นทรีอีกคนแทงดาบใส่เขา เขาใช้ขวานกับขอบโล่ประกบดาบเล่มนั้นไว้ไม่ให้ขยับไปไหน เท้าถีบดีเซ็นทรีคนนั้นไปชนดีวอเชอร์ที่อยู่ข้างหลังเซเสียหลักไปด้วยกัน แล้วฟันขวานสังหารทั้งคู่ในครั้งเดียว โล่ยกกำบังขอบโล่จากดีวอเชอร์ ขวานฟันกลับไปสังหารได้ หลบขอบโล่อีกใบและฟันสังหารได้อีกคน ดีเซ็นทรีคนหนึ่งฟันดาบใส่เขา ซึ่งเขาก็ใช้ส่วนเว้าของใบขวานด้านล่างปลดอาวุธออกจากมือคู่ต่อสู้และตอบโต้ถึงตายได้อีกครั้ง ดูเหมือนว่ากลยุทธ์นี้จะใช้ได้ดีทีเดียว

          ท็อกซ์ฟ็อกซ์จามขวานทะลุหมวกเกราะเข้ากลางกะโหลกของดีวอเชอร์คนหนึ่ง ต้องถอนขวานออกโดยใช้เท้ายันร่างไร้ชีวิตของอีกฝ่าย ห่างออกไปไม่ถึงสิบเมตร โซลิแทร์ก็ใช้เท้ายันถอนดาบออกจากกะโหลกทหารโฮเซ่คนหนึ่งเช่นกัน ทั้งคู่หันมามองกัน ชุดเกราะและหมวกเกราะของท็อกซ์ฟ็อกซ์เปรอะด้วยเลือดสีดำของพวกดาร์คเนสดีวิล ขณะที่ชุดเกราะและเสื้อนอกตัวใหม่ของโซลิแทร์ก็เปรอะด้วยเลือดสีขาวของพวกโฮเซ่ (ผ้าคลุมไม่เปื้อนเพราะมันกันน้ำและสิ่งจับเกาะ)

          “แบล็กไรดิงฮู้ด” ท็อกซ์ฟ็อกซ์คำราม บุกเข้าไปหาทันที

          “ทุกคนที่ขวางอยู่จงหลีกไป เขาเป็นของข้า” โซลิแทร์บุกเข้าหาอีกฝ่ายเช่นกัน

          ท็อกซ์ฟ็อกซ์ยกโล่กำบังตัวขณะวิ่ง ขวานเตรียมพร้อมสำหรับสวนกลับหากอีกฝ่ายโจมตีเข้ามา โซลิแทร์กระโดดเหยียบศพที่นอนทับกับอยู่บนพื้นลอยตัวขึ้น มือขวาเงื้อดาบไปข้างหลังในท่าเตรียมแทง แต่ในวินาทีก่อนจะถึงตัวท็อกซ์ฟ็อกซ์ เขาก็เปลี่ยนมาจับดาบด้วยสองมือเงื้อขึ้นเหนือศีรษะ และฟันใส่ท็อกซ์ฟ็อกซ์ในแนวตั้งฉาก ท็อกซ์ฟ็อกซ์ที่ยกโล่กำบังเตรียมรับการแทงและเงื้อขวานเตรียมสวนนั้น ต้องเซถอยหลัง เมื่อต้องเปลี่ยนมารับการฟันในมุมที่สูงกว่าเดิม แต่ก็ยังพอตั้งหลักได้ เมื่อโซลิแทร์ฟันซ้ำอีกครั้ง เขาก็ใช้โล่ปัดป้องออกและฟันขวานโต้กลับ โซลิแทร์เบี่ยงตัวหลบได้ เหวี่ยงดาบกลับมาอีกด้านในจังหวะที่สอง ท็อกซ์ฟ็อกซ์ยกขวานรับ และกระแทกใล่ใส่โซลิแทร์ถอยหลังไปเล็กน้อย โซลิแทร์แทงดาบสวนกลับมาไวมาก ท็อกซ์ฟ็อกซ์ใช้ขอบโล่กับขวานประกบใบดาบของโซลิแทร์ไว้ไม่ให้ขยับไปไหน แต่โซลิแทร์ก็งัดดาบของตนแรงๆ ในลักษณะของคานงัดแบบแนวตะแคง ทำเอาโล่กับขวานของท็อกซ์ฟ็อกซ์แยกออกจากกัน แล้วดันดาบแทงต่อไปข้างหน้า ท็อกซ์ฟ็อกซ์เบี่ยงตัวหลบแทบไม่ทัน ปลายดาบคมกริบขูดอกเสื้อเกราะของเขาเป็นรอยยาว โซลิแทร์ไม่รอช้าเหวี่ยงดาบใส่อีก ท็อกซ์ฟ็อกซ์ใช้ด้ามขวานส่วนใต้มือจับรับเอาไว้ แล้วสับขวานใส่โซลิแทร์ในมุมแสกหน้า โซลิแทร์ใช้สนับแขนซ้ายปัดป้องออกไป มือขวาจับดาบแทงใส่อีกฝ่ายในมุมต่ำ ท็อกซ์ฟ็อกซ์ใช้โล่ปัดป้องออกไปได้เช่นกัน

          ท็อกซ์ฟ็อกซ์ฟันขวานใส่โซลิแทร์เป็นมุมฉากอีกครั้ง โซลิแทร์ตะแคงดาบรับ โดยใช้มืออีกข้างรองอยู่ใต้ใบดาบส่วนปลาย เพื่อเฉลี่ยแรงกดให้สมดุลยามที่ขวานฟันใส่กลางใบดาบ ส่วนมือขวาที่จับด้ามดาบก็เอียงกระแทกเล็งไปที่กกหูซ้ายของท็อกซ์ฟ็อกซ์ทันที ท็อกซ์ฟ็อกซ์ต้องยกโล่ในมือซ้ายขึ้นมาบัง เท้าถีบโซลิแทร์หงายล้มลงไป แต่โซลิแทร์อาศัยแรงผลักม้วนตัวกลับหลังขึ้นมายืนได้ทันที แล้วเดินหน้าจับดาบด้วยสองมือ ระดมแทงใส่ท็อกซ์ฟ็อกซ์หลายจังหวะด้วยความเร็วสูง ท็อกซ์ฟ็อกซ์ยกโล่กำบังได้ทั้งหมด โซลิแทร์ถีบเข้าที่โล่เพื่อเปิดการกำบังแล้วแทงใส่อีก ท็อกซ์ฟ็อกซ์ต้องเอียงคอหลบอย่างหวุดหวิด ขวานในมือขวาฟันใส่โซลิแทร์ในแนวขนานกับพื้น ซึ่งจังหวะนั้นโซลิแทร์ยืนหันข้าง ทิศทางของขวานจึงมาจากทางด้านหลัง เป็นมุมที่ปัดป้องรับมือลำบาก แต่เขาก็ยังจับดาบด้วยสองมือ ยกข้ามศีรษะไปขนานกับหลังรับคมขวานไว้ได้ จากนั้นก็แกว่งดาบเหนือหัวเป็นวง หมุนไปทางซ้ายบ้างขวาบ้าง แกว่งใส่ท็อกซ์ฟ็อกซ์ในมุมสูง ท็อกซ์ฟ็อกซ์ใช้ทั้งโล่และขวานกำบังปัดป้องได้หมด

          แล้วในจังหวะหนึ่ง เมื่อดาบของโซลิแทร์เหวี่ยงเข้ามาหา ท็อกซ์ฟ็อกซ์ก็เอียงขวานให้คมดาบของโซลิแทร์เข้าไปขัดกับส่วนเว้าใต้ใบขวาน แล้วหันข้างกดใบขวานให้คว่ำลงเพื่อบิดข้อมืออีกฝ่ายไปข้างหลัง เป็นการปลดอาวุธเหมือนที่ใช้กับดีเซ็นทรีหลายคน แต่โซลิแทร์กลับแก้ทาง ด้วยการตีลังกากลับหลังตามข้อมือตนที่บิดไป กลายเป็นข้อมือของท็อกซ์ฟ็อกซ์เสียเองที่ถูกบิดมาข้างหน้ามากเกินไป จนต้องเอียงขวาเล็กน้อย ซึ่งดาบส่วนปลายของโซลิแทร์ก็ไปพาดคมอยู่ที่หลังไหล่ขวาของท็อกซ์ฟ็อกซ์พอดี ในจังหวะที่สอง โซลิแทร์ก็เตะขาขวาใส่โล่ที่ท็อกซ์ฟ็อกซ์ยกกำบังอยู่ข้างหน้า โล่กระแทกใส่ตัวท็อกซ์ฟ็อกซ์ ทำให้ร่างช่วงบนของเขาแอ่นไปข้างหลัง หลังไหล่ขวาถูกดันเข้าไปชิดคมดาบส่วนปลายของโซลิแทร์มากขึ้น จนมันตัดผ่านทะลุเกราะหัวไหล่ แล้วโซลิแทร์ก็กระชากดาบของตนกลับมา ดาบส่วนปลายจึงเฉือนที่หลังไหล่ด้านขวาของท็อกซ์ฟ็อกซ์ เลือดสีขาวกระเซ็นออกมาจากเกราะที่ชำรุด นั่นทำให้ท็อกซ์ฟ็อกซ์ต้องปล่อยขวานออกจากมือขวาทันที การป้องกันทางขวาของท็อกซ์ฟ็อกซ์มีช่องว่างแล้ว โซลิแทร์ได้จังหวะฟันเข้าที่ขาขวาอีกแผล ท็อกซ์ฟ็อกซ์เข่าทรุดลงกับพื้น แล้วในจังหวะสุดท้าย โซลิแทร์ก็จับดาบกลับหัว และฟันเสยขึ้นในแนวตั้งฉากกับพื้น มันเฉือนเข้าที่หน้าอกขึ้นไปถึงหน้าผากของท็อกซ์ฟ็อกซ์ ท็อกซ์ฟ็อกซ์ล้มหงายลงไปสิ้นชีวิตในทันที

          ทหารโฮเซ่ที่เหลืออยู่ไม่มากถูกสังหารไปเรื่อยๆ เซซิลอาศัยความยาวของโล่ยกเสยทหารโฮเซ่คนหนึ่งที่ปรี่เข้ามา ลอยข้ามหัวลงไปนอนกับพื้น และใช้ขอบโล่ด้านล่างสับคอขาด กัปตันมาซูลขัดคอทหารโฮเซ่คนหนึ่งด้วยด้ามดาบในมือซ้าย และใช้ดาบในมือขวาเชือดคอฉับเดียวตาย เป็นอันจบชีวิตโฮเซ่คนสุดท้าย โฮเซ่หนึ่งร้อยหนึ่งคนที่เข้าประลองไม่มีใครเหลือ ส่วนพวกดาร์คเนสดีวิลตายไปไม่ถึงครึ่ง ศพนับร้อยเกลื่อนเต็มทุ่งหญ้าที่ชโลมด้วยเลือดสีขาวและสีดำ พวกดาร์คเนสดีวิลเป็นฝ่ายที่เหลืออยู่ พวกเขาชนะการต่อสู้ครั้งนี้

          โซลิแทร์ยิงพลุสีเขียวขึ้นฟ้า เพื่อให้พวกที่อยู่ในค่ายของตนมาขนศพและคนเจ็บฝ่ายของตนกลับไป เมื่อพวกเขาไปแล้ว พวกโฮเซ่ในค่ายก็จะมาขนร่างไร้ชีวิตของทหารฝ่ายตนหนึ่งร้อยคนและร่างของท็อกซ์ฟ็อกซ์กลับไปเช่นกัน เซซิลแกะผ้าเหล็กเปื้อนเลือดสีขาวออกจากหมวกเกราะ กัปตันมาซูลเลื่อนกระบังหมวกเกราะเปื้อนเลือดสีขาวขึ้น ทั้งคู่เข้ามาสมทบกับโซลิแทร์

          “เป็นอย่างที่ประเมินไว้ ฝ่ายเราชนะ” เซซิลบอก “แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการชนะของเรา มันจะส่งผลอย่างไรต่อไป”

          “เทอร์ริน เฮนิเคมไม่อยู่เฉยแน่ เมื่อเพื่อนสนิทของเขาตาย” กัปตันมาซูลประเมิน “ไม่ช้าก็เร็ว เราจะได้เผชิญหน้ากับผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค”

          “บางสิ่ง เราก็ไม่สามารถป้องกันไม่ให้มันเกิดได้” โซลิแทร์พูดเรียบๆ “เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็คงต้องปล่อยให้มันเกิด และทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ตามแต่สถานการณ์จะพาไป”

 

****************

 

            ไมริฟเดินทางมาถึงชายป่ากาโกคอลในตอนที่ท้องฟ้ามืดและมีดาวเต็มท้องฟ้า เอเลนเซฟเวอรี่นี่บินเร็วจริงๆ  นี่ถ้าไม่นำหินผิวมังกรติดมาด้วยเธอคงผิวลอกผิวแตกหมดแน่ รู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นพื้นที่ป่าอันคุ้นเคย หลังจากเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยความลำบากและอันตรายอย่างโฟรเซ็นทิเนล เธอยิ่งคิดถึงกาโกคอล คิดถึงใบไม้ใบหญ้า คิดถึงอากาศอบอุ่นสบาย คิดถึงอาหารสดๆ รสชาติดีๆ ที่มีไม่ขาด พวกดาร์คเนสดีวิลก็ทำตัวน่าประทับใจอยู่หรอก แต่ก็คงไม่มีที่ไหนจะดีเท่าบ้านของตน พื้นที่ของตน และผู้คนที่ตนคุ้นเคย

            อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่เคยประทับใจพวกเอเลนเซฟเวอรี่ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าตัวนี้จอดส่งเธอ ยังไม่ทันที่เธอจะขนสัมภาระลงหมด มันก็ออกบินกลับทันที ทำสัมภาระที่เหลือบนรถม้าร่วงลงมาใส่เธอ ไมริฟสบถไล่หลังมันไปขณะผลักสัมภาระออกจากตัวและยันตัวลุกขึ้นยืน

            “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกไซคัสถึงสาปพวกมัน” เธอพึมพำอย่างหงุดหงิด

            เธอตามเก็บสัมภาระที่กระจายอยู่บนพื้น เอื้อมมือจะไปหยิบชิ้นที่อยู่ตรงหน้า แต่ก็มีมือขาวๆ เรียวๆ หยิบมันส่งให้เธอ

            “เที่ยวสนุกไหมสาวน้อย” แอเมน่าส่งยิ้มให้ “นึกว่าจะลืมบ้านเกิดเสียแล้ว”

            “ท่านหัวหน้าเผ่า” ไมริฟร้องอย่างดีใจ โผเข้าไปกอดแอเมน่า แอเมน่ายิ้มอย่างมีความสุข จูบกระหม่อมเธออย่างรักใคร่ แม้ไมริฟจะเป็นหัวหน้าวูดส์วาร์เด็น แต่ก็ยังเป็นเด็กสาว

            “เราทุกคนเป็นห่วงเจ้ามาก สองสามวันมานี้เรามาเฝ้าดูที่ชายป่าทุกครั้งที่ว่าง คอยให้เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย” แอเมน่าตบแก้มไมริฟเบาๆ “ยามที่เจ้าไม่อยู่ เราทุกคนตระหนักแล้วว่าเจ้ามีความสำคัญแค่ไหน”

            “เราทุกคนหรือคะ”

            อาร์ทูมิส เซ็นแวนเดอร์ และซิวาลินเดินออกมาจากป่า กางแขนต้อนรับเธอ ไม่ริฟเข้าไปกอดทุกคน ถึงกับน้ำตาซึม ไม่ใช่เพราะความคิดถึง แต่เพราะตื้นตันที่ทุกคนห่วงใยเธอถึงกับมารอเธอทุกวัน ไม่นึกว่าเธอจะสำคัญกับพวกเขามากขนาดนี้ แม้ว่าพ่อของเธอจะตายไปแล้ว แต่พวกเขาเหล่านี้ก็ทำให้เธอรู้สึกว่ายังมีครอบครัวอยู่ มีวูดส์วาร์เด็นหนุ่มสาวจำนวนมากเดินตามออกมาจากป่า ทุกคนโค้งคำนับถอนสายบัวทำความเคารพเธอ ยินดีที่หัวหน้าของพวกตนกลับมา

            “หลานสาว ป้าสวดภาวนาอยู่ทุกวันให้เจ้าปลอดภัย” อาร์ทูมิสจับแก้มไมริฟทั้งสองข้าง แนบหน้าผากตนกับหน้าผากเธอ “คนโง่ที่ไหนก็รู้ว่าฟรอสท์ไอรอนแคลดมันอันตรายสุดๆ”

            “ไหนว่าท่านเป็นแพทย์ เชื่อมั่นในชีววิทยาและหลักเหตุผลไงคะ ทำไมไปลงเอยกับการสวดภาวนาได้” ไมริฟอดหัวเราะไม่ได้

            “ก็ป้าแก่แล้ว เป็นคนรุ่นเก่าซึ่งมีความหัวโบราณฟังอยู่ในจิตใต้สำนึก ยามที่วิตกกังวลก็อดไม่ได้ที่จะทำอะไรแบบนี้” อาร์ทูมิสยิ้ม

            “การกลับมาของเจ้าทำให้ทุกคนตะลึง” เซ็นแวนเดอร์ตบศีรษะไมริฟเบาๆ “มาด้วยรถม้าโลหะที่มีปีก เทียมด้วยเอเลนเซฟเวอรี่ เจ้าทำให้พวกเราประทับใจ ยกเว้นตอนที่มันบินกลับนะ”

            “บอกตรงๆ ค่ะ ข้าไม่เคยชอบพวกมันเลย โดยเฉพาะตอนที่เจอพวกมันครั้งแรก ข้าคิดว่าตนคุ้นเคยกับสัตว์หลายประเภทแล้วนะ”

            “มีคนมักพูดว่าไลคอลี่ ซิวาลินคือตาแก่ขี้บ่น และยามที่เจ้าไม่อยู่ ตาแก่คนนี้ก็บ่นเป็นห่วงเจ้าและบ่นว่าเราไม่ควรส่งเจ้าไปเลย” ซิวาลินยิ้มอย่างอบอุ่น “ตอนนี้ทุกคนก็จะไม่ต้องทนเสียงบ่นข้าแล้ว”

            “ยังไงท่านก็เป็นตาแก่ที่น่ารักที่สุดของข้าค่ะ” ไมริฟกอดซิวาลิน แล้วหันไปหาบรรดาวูดส์วาร์เด็น “ระหว่างที่ข้าไม่อยู่นี้ พวกเจ้าทำตัวดีกันใช่ไหม ไม่ทำให้ท่านหัวหน้าเผ่าลำบากใจนะ”

            พวกวูดส์วาร์เด็นสาวๆ หัวเราะคิกคัก

            “พวกเขาเฝ้ารอฟังเรื่องผจญภัยของเจ้าล่ะ เจ้าเป็นฟอเรสเทอร์คนแรกที่ได้เข้าไปในโฟรเซ็นทิเนลหลังจากพวกดาร์คเนสดีวิลปฏิวัติอาณาจักร” แอเมน่าเข้ามาจับไหล่ไมริฟ “เจ้าทำสิ่งที่น่าประทับใจ”

            รอยยิ้มของไมริฟจางหายไป เธอก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด

            “ท่านหัวหน้าเผ่า ข้าทำให้ท่านผิดหวังค่ะ” เธอกล่าว “ข้าไม่อาจขอความร่วมมือจากพวกดาร์คเนสดีวิลได้ แล้วก็ไม่มีหวังทางพวกโฮเซ่เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายกำลังเริ่มขัดแย้งกัน และอาจบานปลายถึงขั้นเป็นศัตรูกัน พวกนั้นมีศัตรูมากเกินไป คงต้องสู้รบตลอด ไม่เหลืออะไรมาช่วยเราแน่”

            “นี่เผ่าพันธุ์อื่นๆ เป็นบ้าอะไรกันหมด” ซิวาลินพูดอย่างเหนื่อยใจ “ที่ผ่านมายังมีสงครามให้รบไม่พออีกหรือไง”

            “พวกโฮเซ่กับพวกดาร์คเนสดีวิลจะประกาศสงครามกันหรือ” แอเมน่าถาม

            “ตอนนี้ยังค่ะ แต่ค่อนข้างเป็นไปได้ในอีกไม่นาน” ไมริฟพูดอย่างอึดอัดใจ “เผ่าพันธุ์ที่มีผู้ชายมากๆ ก็เป็นกันเสียอย่างนี้ ใช้ความรุนแรงตัดสินกันตลอด”

            “เอาเถอะ ในเมื่อเราพึ่งเผ่าพันธุ์อื่นไม่ได้ เราก็ค่อยคิดหาวิธีกันเอาเอง สิ่งสำคัญก็คือเจ้าปลอดภัยกลับมา” อาร์ทูมิสว่า “บอกป้าทีว่าพวกดาร์คเนสดีวิลทำดีกับเจ้า ไม่อย่างนั้นป้าจะผสมยาพิษไปให้พวกนั้นดื่มให้หมดทั้งฐานทัพเลย”

            “ถ้าไม่นับพวกเอเลนเซฟเวอรี่แล้ว พวกท่านต้องไม่เชื่อแน่ค่ะ” ไมริฟพูดเสียงใส “พวกนั้นปฏิบัติกับข้าดีมากๆ เลย ทั้งเป็นมิตรและน่าสงสาร ถ้าต่อจากนี้มีใครพูดว่าพวกดาร์คเนสดีวิลไม่น่าคบอีกล่ะก็ ข้าจะชกให้ฟันร่วงหมดปากเลย”

            เหล่าผู้ปกครองกาโกคอลชะงักเงียบกันหมด พวกเขาเคยพูดกันทุกคน

            “ไม่ได้รวมถึงพวกท่านนะคะ” ไมริฟรีบแก้ไข “คือพวกท่านพูดได้ค่ะ ข้าไม่ชกหรอก จะพูดอีกกี่รอบก็ได้ แต่ทุกท่านคะ พวกดาร์คเนสดีวิลไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ร้ายกาจเหมือนที่ทุกคนคิด พวกเขาจะร้ายเฉพาะกับคนที่ทำไม่ดีด้วย จริงๆ แล้วพวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่น่าเห็นใจ พวกเขาจริงใจ ไม่เห็นแก่ตัว และมีความยุติธรรม พวกเขาเพียงแค่ไม่ค่อยมีทักษะเรื่องการผูกมิตรกับเผ่าพันธุ์อื่น แม้ว่าพวกเขาจะแข็งกระด้าง มีความเป็นตัวของตัวเองสูง แต่ข้ารู้ว่าลึกๆ แล้ว พวกเขาก็อยากจะให้คนอื่นมองพวกเขาในแง่ดีบ้าง”

            “ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้ใกล้ชิดกับพวกนั้นในระดับหนึ่งทีเดียว” เซ็นแวนเดอร์แปลกใจ

            “เหล่าผู้นำดาร์คเนสดีวิลไม่ถือตัวเลยสักคน พวกเขาติดดินมาก คอยดูแลข้าด้วยตัวพวกเขาเอง หรืออาจเป็นเพราะพวกเขาไม่มีคนรับใช้” ไมริฟบอก “ผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลคอยเติมเตาผิงให้ข้าทุกคืนก่อนนอน ยกเสื้อผ้าของแม่เขาให้ข้า หาอาหารให้ข้ากินทุกมื้อ แม้ว่าฝีมือการทำอาหารของเขาจะห่วยมากก็ตาม อ้อ แล้วเขาฝากคำขอบคุณสำหรับของขวัญจากท่านด้วยค่ะ ท่านหัวหน้าเผ่า”

            “เขายังอุตส่าห์พยายามทำตัวมีมารยาทนะ” แอเมน่าอดหัวเราะไม่ได้ “บอกตรงๆ มันเป็นสิ่งที่ข้าไม่คาดคิดว่าจะได้จากพวกดาร์คเนสดีวิลเลย”

            “พวกดาร์คเนสดีวิลทำอาวุธใหม่ให้ข้าเป็นการตอบแทน” เธอชักกริชทั้งสองเล่มที่สายสะพายข้างหลังออกมาอวด “ตีขึ้นโดยช่างเหล็กที่เก่งที่สุดในโฟรเซ็นทิเนล ดูสิคะ เงาวับเลย”

            พวกวูดส์วาร์เด็นสนอกสนใจกันใหญ่ เข้ามามุงรอบตัวเธอขอดูใกล้ๆ  ไมริฟยิ้มอย่างพอใจ ผู้หญิงก็มักมีนิสัยอย่างนี้ โดยเฉพาะสาวๆ อดอวดสิ่งดีๆ ที่ตนมีไม่ได้

            “ข้าไม่เก่งเรื่องเครื่องเหล็กหรอก แต่รู้ว่างานดีมากทีเดียว” ซิวาลินพิจารณา

            “นายหญิงคะ จริงหรือเปล่าที่กำแพงเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดสูงเสียดฟ้า”

            “จริง ข้าได้เห็นทั้งสามชั้น รู้ไหม ข้าได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปยืนบนกำแพงด้วยล่ะ เป็นความรู้สึกที่น่าจดจำมากๆ”

            “นายหญิงครับ ที่นั่นหนาวมากไหม”

            “หนาวจนเจ้าแทบจะอยากจุดไฟเผาตัวเองเลยล่ะ”

            “นายหญิงคะ ท่านได้ลองจับต้องพวกเอเลนเซฟเวอรี่สักตัวไหม”

            “เชื่อข้าเถอะ อยู่ห่างๆ พวกมันน่ะดีแล้ว และที่สำคัญ ถ้าจะโจมตีมันทั้งที ก็อย่าใช้แค่ลูกดอกเล็กๆ”

            “นายหญิงคะ จริงหรือเปล่าที่ผู้ชายดาร์คเนสดีวิลมีเขี้ยวกันทุกคน”

            “ข้ายังไม่เห็นเขี้ยวใครสักคน แต่พวกนั้นบอกว่ามันจะงอกออกมาตอนพวกเขาแสดงความก้าวร้าว”

            “นายหญิงคะ แล้วจริงหรือเปล่าที่ผู้ชายดาร์คเนสดีวิล มีแต่คนหล่อๆ”

            “กลัวว่าถ้าข้าบอกความจริงเจ้าไป เจ้าจะหนีจากที่นี่ไปอยู่โฟรเซ็นทิเนลตลอดกาลเลยล่ะ”

            พวกวูดส์วาร์เด็นสาวๆ หัวเราะคิกคัก

            “ในเมื่อเจ้าได้ใกล้ชิดกับผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลพอสมควร” แอเมน่าอยากรู้เต็มที่ “แบล็กไรดิงฮู้ดผู้สั่นสะเทือนอาณาจักรโมราโซมอส เขาเป็นอย่างไรบ้าง”

            “เขาอาจดูน่ากลัวและประหลาด แต่ถ้าท่านได้รู้จักเขาท่านจริงๆ จะพบว่าเขานิสัยดีมากค่ะ อย่างน้อยก็กับคนที่เขาไม่นับเป็นศัตรู” ไมริฟพูดเสียงใส “วัยของเขาใกล้เคียงกับข้านี่ล่ะ เขาฉลาดเกินวัย แม้จะออกเชิงสติเฟื่องหน่อยๆ เขาทำตัวน่ารักมาก ท่านต้องไม่เชื่อแน่ว่าเขายอมกินอาหารที่เหลือจากจานของข้า”

            “เขาหล่อด้วยใช่ไหม” อาร์ทูมิสยิ้มอย่างรู้ทัน

            “ดาร์คเนสดีวิลก็หล่อกันทุกคนไม่ใช่หรือคะ” ไมริฟยิ้มเขินๆ “ความจริงแล้วเขามีแม่เป็นฟอเรสเทอร์ด้วย”

            “จริงหรือ” เซ็นแวนเดอร์ประหลาดใจ “นี่แบล็กไรดิงฮู้ดมีเชื้อสายฟอเรสเทอร์หรือนี่ แล้วแม่เขาชื่ออะไร บางทีข้าอาจพอรู้จัก”

            “เขาไม่ได้บอกไว้ค่ะ รู้แต่เธอตายไปตั้งแต่เขายังเด็ก”

            “แล้วตกลงชื่อจริงๆ ของเขาชื่ออะไรหรือ” ซิวาลินถาม

            “โซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์มค่ะ”

            “แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม นามสกุลคุ้นๆ นะ” เซ็นแวนเดอร์พยายามนึก

            แต่อาร์ทูมิสยืนนิ่งค้าง พูดอะไรไม่ออก ทุกคนหันมามองเธอ แน่นอนว่าเธอจะต้องรู้อะไรเกี่ยวกับนามสกุลนี้แน่ๆ

            “ท่านรู้จักคนที่มีนามสกุลแบล็กโฟรเซ็นสตอร์มหรือคะ”

            “ข้ารู้จักโซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม ข้าทำคลอดเขาออกมาสู่ดาวดวงนี้เอง” อาร์ทูมิสกระซิบ ทุกคนอ้าปากค้าง “เขาเกิดที่นี่ เขาเป็นลูกชายของเฮโรซาร์ น้องสาวคนกลางของข้า ป้าอีกคนของเจ้า ไมริฟ”

            กริชสองเล่มร่วงหลุดจากมือของไมริฟ ฟอเรสเทอร์คนอื่นๆ ตะลึงนิ่งกันหมด เกือบนาทีที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

            “นี่ข้า” เซ็นแวนเดอร์พูดช้าๆ “เป็นลูกพี่ลูกน้องกับแบล็กไรดิงฮู้ดหรือนี่”

            “ถูกแล้วจ้ะลูกรัก เป็นญาติที่สายเลือดใกล้ชิดกันมากด้วย” อาร์ทูมิสตอบ

            “ใครจะไปนึก” เซ็นแวนเดอร์หัวเราะ “ไมริฟ เจ้าเองก็ด้วย เจ้าก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเขา---ไมริฟ เป็นอะไรไป ไม่สบายหรือเปล่า”

            “ข้า” ไมริฟคล้ายจะมีอาการคลื่นไส้ “รู้สึกไม่ค่อยดี ข้าขอตัวก่อนนะคะ”

            แล้วเธอก็วิ่งไป ยกมือปิดปากไว้คล้ายจะกลั้นอาเจียนไม่อยู่ พวกวูดส์วาร์เด็นรีบหลบเปิดทางให้เธอกันใหญ่ มองตามไปงงๆ

            “เธอดูไม่ค่อยสบาย” เซ็นแวนเดอร์ขมวดคิ้วอย่างเป็นห่วง “ข้าควรตามไปดูเธอ”

            “ไม่ต้องหรอก แม่รู้ว่าเธอเป็นอะไร ร่างกายเธอไม่ได้ผิดปกติ” อาร์ทูมิสคว้าแขนเซ็นแวนเดอร์ไว้ พยายามกลั้นหัวเราะ “ไม่มีอะไรร้ายแรง แค่ให้เวลาเธอสักพัก อย่างน้อยก็นานพอให้เธอได้อาเจียนจนเสร็จ”

            แอเมน่าเก็บกริชทั้งสองเล่มของไมริฟขึ้นมา ถอนหายใจ

            “เป็นอย่างที่เราคาด เราพึ่งเผ่าพันธุ์อื่นไม่ได้” เธอว่า “คงต้องหาทางกันเอาเองหากพวกเอลิลคิดจะกำจัดเราเป็นฝ่ายแรก”

            “ไม่ว่าพวกโฮเซ่กับพวกดาร์คเนสดีวิลขัดแย้งกันด้วยเรื่องอะไร ข้าคิดว่ามันงี่เง่าที่สุดที่มาขัดแย้งกันในช่วงเวลานี้” ซิวาลินบ่น “เป็นเช่นนี้ก็เท่ากับเข้าแผนของพวกเอลิล”

            “ราวหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว ข้าได้รับรายงานจากพวกเซ็นทอร์นักเดินทางว่า เห็นกองกำลังเอลิลจำนวนมากมุ่งหน้าไปทางเมืองโอมิลรอน พร้อมด้วยบันไดยาวและเสากระทุ้ง” เซ็นแวนเดอร์บอก

            “พวกนั้นจะโจมตีเมืองโอมิลรอนหรือ” แอเมน่าถาม

            “ดูเหมือนจะใช่ครับ ท่านหัวหน้าเผ่า” เซ็นแวนเดอร์พยักหน้า “คาดว่าคงเริ่มการปะทะไม่เกินสองสามวันนี้”

            “ชัดเจนแล้ว พวกเอลิลประกาศสงครามกับทุกเผ่าพันธุ์ ส่งกองกำลังไปสร้างความเสียหายให้แก่ทุกอาณาจักร เพื่อแต่ละฝ่ายจะได้เสียหายและหวาดระแวงเกินกว่าจะไปช่วยเหลือกันได้” ซิวาลินสรุป “โอมิลรอนเป็นเมืองสำคัญที่กำลังได้รับความเสียหาย เมื่อถูกโจมตีอีกครั้ง รับรองได้ว่าพวกมนุษย์ไม่กล้าส่งกองทัพออกนอกเขตโมราโซมอสแม้แต่ไมล์เดียวแน่ แล้วตอนนี้โอมิลรอนก็กำลังอ่อนแอมากๆ พวกมนุษย์จะรักษามันได้ในศึกครั้งนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ข้าไม่อยากจะพูดสิ่งที่บั่นทอนกำลังใจพวกเรานัก แต่ข้าคิดว่าพวกเอลิลคงมองเห็นชัยชนะของตนในสงครามครั้งนี้อยู่ไม่ไกลแล้ว”

            “ก็ต้องรอดูว่าพวกเอลิลจะเดินหมากต่อไปยังไง” แอเมน่าพูด “แต่ตราบที่ศัตรูทุกฝ่ายของพวกเอลิลยังคงขัดแย้งกันเองอยู่ เดินหมากยังไงก็ไม่มีทางแพ้”

 

********************

 

          ค่ำคืนที่ฟ้ามืดสนิท ไม่มีดาวบนฟ้าสักดวง เป็นคืนที่เหมาะแก่การลอบโจมตีมาก พอร์ล็อค แดโมมิกซ์ยืนอยู่บนกำแพงเมืองเด็นร็อค มองออกไปยังความมืดมิดนอกฐานทัพ เขารับหน้าที่ดูแลเมืองนี้จนกว่าซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์ผู้เป็นเจ้าเมืองจะกลับมา แต่นี่ก็ผ่านมาหลายสัปดาห์แล้ว ยังไม่ได้ข่าวคราวว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร เหล่าศัตรูจะรู้ไหมว่าการป้องกันของเมืองนี้อ่อนแอลงอีกเพราะท็อกซ์ฟ็อกซ์นำกองกำลังส่วนหนึ่งไปด้วย จะทำเรื่องขอกำลังเสริมก็ไม่ได้ เป็นเรื่องใหญ่แน่หากเทอร์รินรู้ว่าทั้งสองทำอะไรแบบนี้โดยที่ตนไม่อนุญาต ในเมื่อมีกองกำลังป้องกันเมืองไม่เพียงพอ แดโมมิกซ์ก็เข้มงวดเรื่องเวรยามมากขึ้น เขานำกองกำลังเกือบทั้งหมดมาประจำอยู่บริเวณประตูเมือง คอยรับมือกับข้าศึกทางบกตามที่ท็อกซ์ฟ็อกซ์แนะนำ ตัวเขาเองก็มาเฝ้าระวังอยู่ที่นี่เกือบทุกคืน สวมเกราะติดอาวุธพร้อมต่อสู้ทุกเมื่อ ต้องแสดงให้เห็นว่าเด็นร็อคเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ข้าศึกจะได้ไม่กล้าลอบเข้ามาโจมตี อย่างน้อยก็จนกว่าท็อกซ์ฟ็อกซ์จะกลับมา

            มีเสียงระฆังดังมาจากชายฝั่งแบร์ร็อคไกลๆ ทุกคนเริ่มหน้าตาตื่น นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าฐานทัพเรือและชายฝั่งกำลังถูกโจมตี แต่มันเป็นไปได้อย่างไร พวกเอลิลไม่มีกองเรือ พวกมนุษย์ก็ไม่ได้ส่งกองเรือออกนอกพื้นที่ในตอนนี้ แต่ไม่ว่าจะยังไง การที่ข้าศึกบุกมาทางทะเลนั้นเป็นเรื่องหายนะชัดๆ เพราะกองกำลังส่วนใหญ่ประจำการอยู่ที่นี่หมด

            “เร็วเข้า” แดโมมิกส์ตะโกนสั่ง “นำคนของเราทั้งหมดไปที่ชายฝั่งเด็นร็อค”

            พวกเขาตาลีตาเหลือกไปกัน ได้แต่หวังว่าจะทันการ หากข้าศึกบุกมาจำนวนมาก กองกำลังที่เฝ้าดูแลฐานทัพเรือและชายฝั่งนั้นคงต้านไว้ได้ไม่นานเพราะมีแค่หยิบเมือเดียว ซึ่งหากข้าศึกกระชับพื้นที่เข้ามาได้มากก่อนที่พวกเขาจะไปถึง พวกเขาจะต้านทานพวกนั้นได้ยากลำบากขึ้นอีก

            กว่าจะไปถึง ฐานทัพเรือ กำแพงริมฝั่ง และสิ่งกีดขวางริมหาดก็ลุกเป็นไฟแล้ว กองเฝ้าระวังบริเวณนี้มีน้อยเกินไป ข้าศึกจึงกระชับพื้นที่เข้ามาได้เกินส่วนของแนวป้องกัน พวกเขาไม่สามารถใช้ป้อมหรือความได้เปรียบของพื้นที่ตั้งรับข้าศึกได้แล้ว ตรงกันข้าม ข้าศึกกลับยึดแนวป้องกันและพื้นที่อันได้เปรียบมาต่อสู้กับพวกเขา ซึ่งข้าศึกก็คือพวกเอลิล พวกนั้นมากับเรือรบลำใหญ่ห้าลำ เป็นเรือรบมนุษย์ที่ถูกดัดแปลงเพิ่มเติม มันคือเรือรบที่พวกเอลิลยึดได้จากกองกำลังของอโลบัสและกัปตันเท็มเปิลที่ชายฝั่งเมืองสกัลล์ฟิลด์ พวกโฮเซ่ไม่รู้เรื่องนี้ จึงไม่คาดคิดว่าพวกเอลิลจะบุกมาทางน้ำ เรือรบบางลำกระหน่ำยิงปืนใหญ่และจรวดเข้าใส่ฐานทัพชายฝั่ง บางลำก็จอดเทียบท่าเรือน้ำลึก ลำเลียงพลขึ้นบก กำแพงริมน้ำของเมืองนี้อยู่ที่ชายฝั่งน้ำลึกและมีระดับความสูงใกล้เคียงกับเรือรบของพวกเอลิล พวกเอลิลจึงใช้ตะขอเกี่ยวยึดและพาดสะพานส่งทหารข้ามมา แดโมมิกซ์จับขวานกับโล่ต่อสู้ ต้านกองกำลังข้าศึกร่วมกับโฮเซ่คนอื่นๆ งานนี้ลำบากแน่ ข้าศึกบุกมาจากทั้งชายฝั่ง ท่าเรือน้ำลึก และข้ามกำแพงมา แล้วยังใช้อาวุธหนักบนเรือยิงปูทางเป็นช่วงๆ ด้วย เมืองนี้พอมีเรือรบอยู่บ้าง แต่กลับใช้ประโยชน์ไม่ได้สักลำเพราะมีคนไม่เพียงพอ มันจึงจอดเทียบท่าเป็นเรือเปล่าอยู่อย่างนั้น พวกเอลิลก็ควบคุมพื้นที่ส่วนนั้นไปแล้ว พวกโฮเซ่จะไปเอาเรือมาใช้ก็ไม่ได้แล้ว

            “ตะบองเพชรพินาศ! พวกเอลิลเอาเรือลำใหญ่ขนาดนี้มาจากไหนตั้งห้าลำ” แดโมมิกซ์ฟันขวานตัดคอทหารเอลิลคนหนึ่ง ยกโล่กำบังกระสุนปืนยาว

            “ดูคล้ายเรือของพวกมนุษย์ครับ” ทหารที่สู้อยู่ข้างๆ เขาตอบ

            “ข้ารู้ แต่มันมาอยู่กับพวกเอลิลตั้งห้าลำได้อย่างไร” แดโมมิกส์กัดฟัน กระแทกโล่ใส่ทหารเอลิลคนหนึ่งหน้าหงายแล้วจามขวานซ้ำ

            จะได้มาอย่างไรก็คงไม่สำคัญแล้วตอนนี้ สิ่งสำคัญก็คือ การที่พวกเอลิลได้มันมานั้น กำลังจะทำให้เมืองเด็นร็อคแตก ข้าศึกบุกมาในแบบที่พวกโฮเซ่ไม่ได้เตรียมการรับมือ กองกำลังของแดโมมิกซ์ก็มีน้อยเกินไป แล้วก็ไม่มีโอกาสได้ใช้แนวป้องกันและพื้นที่อันได้เปรียบในการต่อสู้ด้วย จึงเป็นเรื่องยากที่จะต้านทานข้าศึกได้ ตามป้อมและพื้นที่สูงมีพลปืนเอลิลขึ้นไปประจำเพื่อยิงสนับสนุน สร้างความลำบากให้แก่กองกำลังป้องกันนครยิ่งขึ้นอีก

            เมื่อต่อสู้กันไปอีกสักพัก พวกโฮเซ่ก็สุดจะต้านทานข้าศึกได้ พวกเขาถูกกระชับพื้นที่เข้ามามาก ฐานทัพเสียหาย คนก็ตายไปมาก พวกที่เหลือก็บาดเจ็บกันถ้วนหน้า แดโมมิกซ์เองก็บาดเจ็บ ฝ่ายตรงข้ามเป็นต่อขนาดนี้แล้ว คงหยุดอะไรไม่ได้

            “เด็นร็อคแตกแล้ว” เขาตะโกนสั่ง “ถอยทัพสละเมือง--”

            มีเสียงแตรดังมาจากทางทะเล แดโมมิกซ์ชะงักคำสั่งไว้อย่างนั้น เรือรบลำใหญ่หลายลำตรงเข้ามาจากทะเลด้านตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ละลำกางใบสีน้ำตาล มีตราสัญลักษณ์ตะบองเพชรโฮเดเรีย

            “เทอร์ริน” แดโมมิกซ์พูดผ่านปากที่ขาวไปด้วยเลือดของตน

            แล้วเรือรบโฮเซ่ก็เริ่มยิงใส่เรือรบเอลิลเมื่อเข้าถึงรัศมี รวมทั้งยิงใส่ชายฝั่งและบนกำแพงเพื่อสลายกลุ่มพวกเอลิลในพื้นที่ แน่นอนว่ามันเป็นการยิงใส่ฐานทัพตัวเอง ป้อม กำแพง และแนวป้องกันจะเสียหาย แต่ก็ไม่มีทางเลือกเพราะศัตรูควบคุมพื้นที่อยู่ เรือรบโฮเซ่บางลำเริ่มจอดเทียบท่าเรือน้ำลึกและจอดเทียบกำแพงชายฝั่ง ลำเลียงพลเข้ารักษาเมือง กอร์ริน เฮนิเคม รองผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค นำหน้าออกมาจากเรือลำหนึ่ง เขาต่อสู้กับพวกทหารเอลิลด้วยอาวุธประจำกายของตน ขวานที่มีใบผอมๆ ยาวๆ โค้งขึ้นเป็นเสี้ยวพระจันทร์ เขาพยักหน้าทักทายแดโมมิกซ์ที่สู้อยู่ไกลๆ ก่อนจะหันไปฟันทหารเอลิลคนหนึ่งคอขาดกระเด็น

            เทอร์ริน เฮเนิเคม ผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค ก็ก้าวลงจากเรือรบลำหนึ่ง บุกเข้าต่อสู้กับเหล่าศัตรูด้วยขวานสองหน้ากับโล่ ที่ตามหลังเขาลงมาจากเรือคือบรรดาทหารราบเกราะเบาที่เรียกว่าพลเหวี่ยง(Slinger) ดูจะเหมาะแก่สถานการณ์นี้มาก พวกนั้นใช้เชือกหนังที่มีบ่วงเล็กๆ นำลูกโลหะหนามใส่เข้าไปในบ่วงเชือก แล้วควงเหนือหัวหลายรอบ ก่อนจะเหวี่ยงให้ลูกหนามพุ่งใส่พวกเอลิล ทำเอาหมวกเกราะบุบทะลุเลยทีเดียว พวกโฮเซ่เริ่มขยับขยายเข้ากระชับพื้นที่คืน เมืองยังไม่แตก เทอร์รินนำกองหนุนมาช่วยทันเวลา สถานการณ์ของพวกโฮเซ่ค่อยๆ กลับมาดีขึ้น

            ในที่สุด พวกโฮเซ่ก็ขับไล่ข้าศึกออกไปจากเมืองได้ กองกำลังเอลิลที่เหลือถอนพลขึ้นเรือถอยกลับไป เสียเรือรบไปหนึ่งลำ พวกโฮเซ่รักษาเมืองหน้าด่านไว้ได้ แต่ก็ได้รับความเสียหายทั้งฐานทัพและกำลังพล มีคนตายคนบาดเจ็บมากมาย ป้อม กำแพง และอาคารตามชายฝั่งพังเสียหาย เรือเปล่าๆ ที่จอดเทียบท่าอยู่ก็เสียหายไปหลายลำตอนชายฝั่งถูกโจมตี เมืองนี้เป็นเมืองที่สำคัญมาก เมื่อมันได้รับความเสียหายเช่นนี้ ย่อมส่งผลไปถึงความมั่นคงทั้งอาณาจักร

            แดโมมิกซ์นั่งอยู่ที่พื้น พิงกำแพงริมฝั่งที่พังไปบางส่วน อาวุธวางข้างตัว หมวกเกราะถอดวางไว้ ทหารคนหนึ่งกำลังห้ามเลือดให้เขา กอร์รินเดินเข้าไปหา เนื้อตัวมอมแมมแต่ก็ไม่บาดเจ็บ มือขวาเก็บขวานกลับลงเข็มขัด ถอดหมวกเกราะออก ผมสีน้ำตาลคล้ายรากไทรของเขายาวลงมาปรกเกราะบ่า

            “ท่านเป็นยังไงบ้าง” เขาถาม

            “ข้ายังไหว” แดโมมิกซ์ตอบ

            “พอร์ล็อค นี่มันเกิดอะไรขึ้น แล้วซีราสหายไปไหน” กอร์รินถามเสียงเบา

            “นั่นสิ ซีราสกับกองกำลังอีกส่วนที่ควรประจำการอยู่ที่นี่หายไปไหน”

            เทอร์รินก้าวฉับๆ เข้ามา สีหน้าไม่สบอารมณ์สักนิด เขาถอดหมวกเกราะถอดโล่ออกจากแขน โยนส่งให้ทหารรับใช้ แดโมมิกซ์โบกมือให้ทหารที่ทำแผลให้ตนไปที่อื่นก่อน แล้วจึงลุกขึ้นยืน

            “โฮซอร์ เป็นความผิดของข้าเอง” แดโมมิกซ์ก้มหน้าอย่างสำนึกผิด “เราเกือบเสียเมืองหน้าด่านไป”

            “ถ้าข้ามาไม่ทันก็คงจะเสียไปแล้ว” เทอร์รินชี้มือไปรอบๆ “ท่านคงจะอธิบายให้ข้าเข้าใจได้ว่าท่านมาทำอะไรที่นี่ และซีราสไปไหน ทั้งหมดนี้มันเกิดอะไรขึ้น”

            “ซีราสฝากให้ข้าดูแลเมือง ขณะที่เขากับกองกำลังอีกส่วนเดินทางไกลไปทำธุระ” แดโมมิกซ์อธิบาย “ข้าพยายามจับตาดูเมืองอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกว่าเขาจะกลับมา แต่ข้าก็ไม่คาดคิดว่าพวกเอลิลจะบุกมาทางน้ำ เพราะก่อนหน้านี้พวกนั้นไม่มีเรือสักลำ”

            “ท่านสองคนทำสิ่งที่ไม่ได้รับมอบหมาย ทำโดยไม่ได้รับอนุญาตจากข้า อีกทั้งยังปกปิดเป็นความลับจากข้าเสียอีก” เทอร์รินเสียงแข็งขึ้นอีก “ทำเช่นนี้มันถือเป็นความผิดนะ มองไปรอบๆ สิ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำของพวกท่าน”

            “ข้ารับปากซีราสไว้ว่าจะไม่บอกท่าน แต่ท่านก็พูดถูก ข้าควรบอก” แดโมมิกซ์โค้งศีรษะ “ลูกผู้ชายทำผิดต้องยอมรับผิด ไม่ใช่ซีราสคนเดียวที่ผิด ข้าเองก็ไม่รู้จักห้ามปรามเขา โฮซอร์ ข้ายินดีรับโทษ”

            “ข้ารู้จักนิสัยซีราสมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาหุนหันพลันแล่นและหัวแข็ง เขาจะทำอะไร ท่านไม่มีทางห้ามเขาได้ เรื่องนี้ข้าพอเข้าใจ” เทอร์รินพูด “แต่เรื่องที่ท่านร่วมกับเขาทำสิ่งที่ฝ่าฝืนคำสั่งของข้า และปกปิดเป็นความลับจากข้านั้น เป็นเรื่องที่ข้าไม่เข้าใจ ท่านสองคนเป็นอะไรไป ข้าเป็นผู้นำสูงสุดของพวกท่านนะ ตำแหน่งของข้ามันไม่มีความหมายเลยหรือไง”

            แดโมมิกซ์ก้มหน้า

            “แล้วซีราสไปไหน ถึงละทิ้งหน้าที่จนเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น” เทอร์รินถามอย่างฉุนเฉียว

            “เขา--”

            “ธุระอะไรของเขา ที่ทำให้เขาทำการลับหลังข้า”

            “เขาเดินทางไปโฟรเซ็นทิเนล ไปเจรจากับพวกดาร์คเนสดีวิลเพื่อกู้ศักดิ์ศรีให้พ่อของเขาและวงศ์ตระกูลคืนมา” ท็อกซ์ฟ็อกซ์ตอบเสียงเบา “หากการเจรจาไม่เป็นผล เขาจะท้าดวลกับแบล็กไรดิงฮู้ด”

            “อะไรนะ” กอร์รินร้องลั่น

            “เขาบ้าไปแล้วหรือไง นี่จะเป็นชนวนให้เรามีศัตรูเพิ่มอีกหนึ่งนะ” เทอร์รินพูดเสียงดัง “ข้าจะไปตามเขากลับมา จะไปลากคอเขากลับมาด้วยมือของข้าเอง เขากับข้าจะต้องมีเรื่องคุยกัน”

            “เกรงว่าจะไม่ทันการแล้ว” แดโมมิกซ์เสียงเบาลงไปอีก

            “ท่านหมายความว่าอย่างไร” เทอร์รินคำราม

            “เทอร์ริน ข้า--”

            เทอร์รินดันแดโมมิกซ์ไปกระแทกกับกำแพงดังโครม สนับแขนกดที่คอเสื้อเกราะของอีกฝ่ายแน่นจนอีกฝ่ายสำลัก

            “หมายความว่าอย่างไร” เขาตะคอก

            “เทอร์ริน” กอร์รินตะโกนลั่น พยายามรั้งตัวเทอร์รินไว้

            “นี่เขาก็ไปตั้งหลายสัปดาห์แล้ว” แดโมมิกซ์พูดเสียงอู้อี้เพราะคอถูกกด “ป่านนี้การประลองคงเกิดขึ้นไปแล้ว”

            “เรียนโฮซอร์เฮนิเคม” ทหารโฮเซ่คนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงาน “กองกำลังของท่านเจ้าเมืองท็อกซ์ฟ็อกซ์เดินทางกลับมาถึงแล้วครับ พวกเขานำคนตายจำนวนมากขึ้นเกวียนมาด้วย”

            เทอร์รินปล่อยแขนถอยออกจากแดโมมิกซ์ ซึ่งทรุดตัวลงไปนั่งไอ ช่างเป็นข่าวร้ายที่มาได้จังหวะไม่เหมาะสมเอาเสียเลย แม้จะโมโหและเดือดดาล แต่สีหน้าของเขาก็บ่งบอกถึงความกังวลล้นพ้น

            “แล้วเจ้าเมืองท็อกซ์ฟ็อกซ์ล่ะ” เขาถามคำถามที่ตัวเองกลัวคำตอบที่สุด

            “ตายแล้วครับ” ทหารโฮเซ่ตอบ “แบล็กไรดิงฮู้ดฆ่าเขา”

            เทอร์รินตะลึงนิ่งเป็นหิน กอร์รินยกสองมือกุมขมับ แดโมมิกซ์ตาค้างพูดไม่ออก ทหารโฮเซ่โค้งศีรษะแล้วรีบเดินจากไป คงรู้ทันว่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นแน่

            “ซีราส” แดโมมิกซ์กระซิบอย่างเจ็บปวด “ตายแล้ว”

            “เขาตายแล้ว” เทอร์รินกำรามก้อง ต่อยกำแพงที่ส่วนที่ร้าวๆ อยู่แตกกระจาย ไม่เคยมีใครเห็นเขาโกรธมากขนาดนี้มาก่อน “พวกดาร์คเนสดีวิลฆ่าพ่อของเขา ทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีพ่อของเขาและวงศ์ตระกูลของเขา และตอนนี้ก็ยังจะฆ่าเขาด้วย”

            “โฮซอร์ ข้าผิดที่ร่วมกับเขากระทำการลับหลังท่าน เป็นเหตุให้เขาตาย” แดโมมิกซ์นั่งกอดเข่าเหมือนเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่ช้ำใจ ความจริงแล้วเขาก็อายุแค่สามสิบเจ็ด วัยแค่สิบแปดปีครึ่งเท่านั้น “โปรดลงโทษข้า”

            “แน่นอน ท่านได้รับโทษแน่” เทอร์รินหันมาหา ผมกระเซิงเต็มหน้า “พอร์ล็อค แดโมมิกซ์ ท่านถูกพักราชการ ระงับอำนาจทางการเมืองและการทหารทุกอย่างที่ท่านมี จนกว่าข้าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น”

            “โฮซอร์” กอร์รินรีบขอร้องอย่างตกใจ “พอร์ล็อค แดโมมิกซ์เป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ปกครองระดับสูงของแบร์ร็อค การถอดถอนอำนาจทั้งหมดของเขาโดยไม่มีกำหนดนั้นเป็นการลงโทษที่ร้ายแรงมาก โปรดพิจารณาอีกครั้ง”

            “คำสั่งนี้มีผลบังคับใช้ทันที” เทอร์รินพูดต่อด้วยเสียงเด็ดขาด

            แดโมมิกซ์ค่อยๆ ลุกขึ้น สีหน้าเศร้าหมอง แต่ก็ยังยืนตรงและโค้งคำนับให้เทอร์รินอย่างเข้มแข็ง

            “รับบัญชา โฮซอร์” เขาพูด

            “เทอร์ริน” กอร์รินพยายามท้วง

            เทอร์รินไม่สนใจ เดินจากไป คงจะไปรอรับศพท็อกซ์ฟ็อกซ์ กอร์รินได้แต่ถอนใจอย่างสิ้นหวัง เรื่องมันจะต้องแย่กว่านี้อีกมากแน่

 

           

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา