พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.90K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

36) บทที่ 35 สามเผ่าพันธุ์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 35

สามเผ่าพันธุ์

 

            โซลิแทร์เดินทางมาถึงอาณาจักรกาโกคอลพร้อมกับกองกำลังดาร์คเนสดีวิลจำนวนหนึ่ง ที่นำมาด้วยก็เพื่อนักรบดาร์คเนสดีวิลบางส่วนจะได้มีความคุ้นเคยกับพวกฟอเรสเทอร์และพื้นที่ในอาณาจักรกาโกคอลบ้าง หากต้องร่วมงานจะได้ง่ายขึ้น พวกเขามาประชุมตามที่สัญญากับเซ็นแวนเดอร์ แลเห็นความเสียหายของป่านอกเมืองขณะเดินทางผ่านส่วนหนึ่งของมันถูกถางเปิดทางเป็นแนวยาว ต้นไม้ล้มระเนระนาดอยู่ตลอดสองข้างทาง เกือบจะทะลุไปถึงตัวเมืองหลวง หากถางส่วนที่เหลืออยู่ออกก็จะกลายเป็นถนนตัดผ่านป่าโดยสมบูรณ์ ความจริงแล้วมันก็ทำให้เดินทางง่ายสำหรับเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่ฟอเรสเทอร์ ทหารม้า รถม้าศึก หรือกองเกวียนจะสามารถเดินทางผ่านไปถึงตัวเมืองหลวงได้สบาย แต่ก็เช่นเดียวกับศัตรูที่สามารถใช้ถนนสายนี้เดินทัพเข้าโจมตีเมืองหลวงกาโกคอลด้วยเช่นกัน

            แม้ป่าบางส่วนจะได้รับความเสียหาย แต่พวกดาร์คเนสดีวิลก็ยังทึ่งกับความอุดมสมบูรณ์ของอาณาจักรนี้ มันชุ่มชื้น เขียวขจี มีความหลากหลายทางธรรมชาติโซลิแทร์ไม่ค่อยคุ้นกับเสียงนกบินกลับรังในยามอิลิมิน่าตกดินเพราะอาณาจักรของเขามักจะมีแต่เสียงลมเกรี้ยวกราดในยามเย็นแทบทุกวันเมื่อทะลุออกมาจากพื้นที่ป่าก็เข้าสู่พื้นที่โล่งส่วนที่เป็นเมืองหลวง ไม่นึกว่ามันจะสวยงามขนาดนี้ ทั้งภูเขา แม่น้ำ ทะเลสาบ มองไปทางไหนก็เขียวชอุ่มไปหมด ยิ่งยามที่ดาวบนฟ้าเริ่มปรากฏยิ่งสวยงามจับตา นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกฟอเรสเทอร์ถึงไม่ต้องการพัฒนาอาณาจักรของตน ถ้าพัฒนาแล้วสิ่งเหล่านี้คงไม่มีเหลือ จะดิ้นรนสร้างความเจริญที่นำมาซึ่งความวุ่นวายและความเสื่อมโทรมไปเพื่ออะไร ทั้งที่เป็นอยู่มันก็ดีอยู่แล้ว

            ที่เห็นอยู่ไกลๆ คือส่วนที่เป็นตัวเมือง แลเห็นเป็นกำแพงเมืองที่ทำด้วยไม้ เมื่อเข้าไปใกล้ๆ ก็พบว่ามันดูแข็งแรงกว่าที่คิด และไมริฟก็พูดถูก แม้มันจะถูกสร้างด้วยไม้แต่ก็ไม่ใช่ไม้ธรรมดา เนื้อไม้ดูแข็งแกร่งและเหนียวแน่น สามารถรับแรงกระแทกหนักๆ ได้ ไม่น่าจะติดไฟง่ายด้วย ถึงกระนั้นไม้ก็คือไม้ จะเป็นไม้พิเศษแค่ไหนก็ย่อมไม่แข็งแรงเท่าวัสดุอื่นๆ  เทียบกับกำแพงเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดแล้วกำแพงนี้ไม่ต่างจากของเล่น ทั้งความสูงและความกว้างนั้นเทียบกันไม่ได้เลย พวกฟอเรสเทอร์เปิดประตูกำแพงให้พวกเขาผ่านเข้าไป กำแพงมีสองชั้น ชั้นที่สองไม่แข็งแกร่งเท่าชั้นแรก พื้นที่ที่อยู่ระหว่างกำแพงชั้นแรกและชั้นที่สองมีต้นไม้ประหลาดสีครามอยู่สองต้น ชาวเมืองฟอเรสเทอร์รวมทั้งพวกนักรบต่างมาเฝ้าดูพวกดาร์คเนสดีวิลด้วยความตื่นเต้น พวกดาร์คเนสดีวิลไม่มีอะไรเหมือนกับพวกตนเลย ทั้งเกราะเหล็กลักษณะประหลาดที่สวมเต็มตัว ม้าปีศาจที่เท้าติดไฟ พวกดีวอเชอร์ที่ลอยได้ รถม้าศึกของเซซิลที่ติดสิ่งมีคมไว้รอบคัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอเลนเซฟเวอรี่สีดำพาหนะของโซลิแทร์ มันได้รับการจับตามองมากเป็นพิเศษ

            ผ่านกำแพงชั้นที่สองไปก็เห็นต้นไม้ขนาดมหึมาอยู่ตรงหน้า เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่สุดที่พวกเขาเคยเห็นมา มีประตูอยู่ที่โคนต้นไม้ นี่คงเป็นปราสาทต้นไม้ที่พวกฟอเรสเทอร์เรียกกัน เซ็นแวนเดอร์ยืนอยู่หน้าปราสาทต้นไม้ คอยต้อนรับผู้มาเยือน โซลิแทร์ลงจากพาหนะ เข้าไปทักทาย

            “ดีใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ท่านกลับมายังดินแดนที่ท่านเกิดอีกครั้ง” เซ็นแวนเดอร์ยิ้มอย่างมีความสุข “พอมีอะไรคุ้นบ้างไหม ต้นไม้ ใบหญ้า บรรยากาศ”

            “ไม่คุ้นเลยสักอย่าง จำอะไรไม่ได้สักนิด” โซลิแทร์ส่ายหน้า “หวังว่าเราคงไม่ได้มาช้าเกินไป ข้าเองก็ไม่ใช่คนรักษาเวลานัก”

            “อย่ากังวลเลย ช้าเพียงเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร พวกท่านมีหลายอย่างต้องเตรียมการมาก” เซ็นแวนเดอร์ไม่ถือสา “พวกโฮเซ่มาถึงก่อนพวกท่าน ตอนนี้พวกเขาพักผ่อนกันอยู่ คนของท่านก็คงจะเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางแล้ว พวกพ้องของข้าจะดูแลเรื่องอาหาร ที่พัก และพาหนะแก่พวกเขาเอง”

            โซลิแทร์หันไปพยักให้ให้กองกำลังของตน เซซิล กัปตันมาซูล และดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ ทำแขนกากบาทแล้วแยกย้ายไปตามการนำของพวกฟอเรสเทอร์

            “เหล่านักรบของท่านจะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษแน่ ไม่บ่อยนักหรอกที่คนของข้าจะได้ใกล้ชิดกับดาร์คเนสดีวิล” เซ็นแวนเดอร์ยิ้มอย่างใจดี “พวกเขาได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพวกท่านมามากมาย”

            “หวังจริงๆ ว่าจะไม่ได้ยินมากเกินไป” โซลิแทร์ว่า “เพราะส่วนใหญ่มีแต่เรื่องไม่ดี”

            “หวังว่าท่านจะเตือนพวกเขาแล้วนะ ว่าผู้หญิงเผ่าพันธุ์เราจะนิยมทักทายด้วยการกอด” เซ็นแวนเดอร์พูด “พวกเขาจะได้ไม่ตกใจ”

            “งั้นพวกเขาคงตกใจแน่นอน เพราะข้าลืมสนิทเลย” โซลิแทร์งึมงำอยู่หลังหน้ากาก “อภัยให้กับความสามารถเรื่องความจำของข้าด้วย”

            “นักรบของพวกท่านมีแต่วัยเยาว์ทั้งนั้น” เซ็นแวนเดอร์ตั้งข้อสังเกต “ส่วนใหญ่ดูอ่อนวัยกว่าท่าน มีบางคนที่รุ่นราวคราวเดียวกับท่าน ส่วนที่สูงวัยกว่าท่าน นอกจากผู้นำดาร์คเนสดีวิลอีกสองคนแล้วข้ายังไม่เห็นคนอื่นเลย”

            “นักรบรุ่นเก่าๆ ตายในสงครามกันเกือบหมด ส่วนที่เหลืออยู่--” โซลิแทร์ตอบด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “--พวกเขาลาออกจากการเป็นนักรบ เพราะผิดหวังในบุคคลที่พวกเขายึดเป็นแรงบันดาลใจ ทั้งเดอะ โนเวลิสท์ และตัวข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาผิดหวังในตัวข้า”

            “ข้าเสียใจด้วย” เซ็นแวนเดอร์พูดเสียงเบา

            “ตอนที่ข้าผ่านป่านอกเมืองของพวกท่านเข้ามา ข้าไม่เห็นวูดส์วาร์เด็นเลยสักคน” โซลิแทร์ถาม “ปกติแล้วพวกนั้นควรจะประจำการอยู่ในป่าส่วนนั้นไม่ใช่หรือ”

            “สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วตั้งแต่ป่าถูกถางเปิดทาง” เซ็นแวนเดอร์ตอบ “ป่ามีช่องว่างอันเป็นจุดอ่อนใหญ่โต ไม่มีประโยชน์ที่จะให้พวกวูดส์วาร์เด็นประจำการอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป ข้าจึงเรียกกลับมาประจำการในเมืองทั้งหมด ท่านจะสังเกตเห็นว่ามีนักรบในเมืองบางส่วนสวมเกราะที่มีลายพรางและมีกิ่งไม้ใบไม้ตามชุดเกราะ นั่นคือพวกวูดส์วาร์เด็นล่ะ”

            “ในตัวเมืองหลวงค่อนข้างเปิดโล่ง” โซลิแทร์เงยหน้ามองท้องฟ้าที่ระยิบระยับด้วยแสงดาวนับล้าน “ในยามกลางวันพวกท่านไม่ต้องรับแสงเต็มที่หรอกหรือ”

            “ตอนที่ท่านผ่านกำแพงเข้ามาท่านคงเห็นต้นไม้สีครามสองต้น” เซ็นแวนเดอร์อธิบาย “ต้นไม้สองต้นนั้นจะคอยสร้างเมฆปกคลุมเมืองทั้งเมือง มองตอนกลางคืนอย่างนี้อาจไม่เห็นเพราะแสงดาวจะส่องผ่านมันได้เต็มที่ แต่ในยามกลางวัน มันจะช่วยลดแสงแดดให้เราได้เกือบทั้งหมด บรรยากาศจะใกล้เคียงกับตอนกลางคืนเลยทีเดียว”

            “มหัศจรรย์มาก” โซลิแทร์รู้สึกทึ่ง “อย่าถือสาข้าเลยนะ นิสัยดาร์คเนสดีวิล ชอบถามเรื่องระบบการป้องกันภายในพื้นที่ คือพวกเราเป็นเผ่าพันธุ์ผู้พิทักษ์ ท่านก็รู้”

            “ไมริฟพูดถูก ไม่มีความเป็นฟอเรสเทอร์ปรากฏออกมาจากตัวท่านเลย” เซ็นแวนเดอร์หัวเราะ

            “ว่าแต่เธออยู่ไหนหรือ”

            “เธอคอยอยู่ดูแลหัวหน้าเผ่าของเราระหว่างที่แม่ข้าไปเก็บสมุนไพรเพิ่ม” เซ็นแวนเดอร์ตอบ “เธอจงรักภัคดีต่อท่านหัวหน้าเผ่าอย่างมากเพราะท่านหัวหน้าเผ่าให้โอกาสที่ดีกับเธอ ดูแลเธออย่างดีด้วยความรักและความจริงใจ เธอคงทำให้ท่านหัวหน้าเผ่านึกถึงลูกสาว ผู้ปกครองฟอเรสเทอร์คนอื่นๆ ก็รักท่านหัวหน้าเผ่า เธอปฏิบัติตัวกับเรามากกว่าผู้บังคับบัญชา เธอทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวของเธอ”

            “อาการของเธอเป็นอย่างไรบ้าง” โซลิแทร์ถาม

            “ค่อนข้างหนัก ยังลุกยืนไม่ได้ วันหนึ่งจะได้สติแค่ไม่กี่ชั่วโมง” เซ็นแวนเดอร์ตอบ “กระนั้น เธอก็อยากพบท่านมาก”

            “นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการเช่นกัน” โซลิแทร์พยักหน้า

            ประตูหน้าปราสาทต้นไม้เปิดออก ไมริฟส่งยิ้มให้ทุกคน

            “มาแล้วหรือ” เธอร้องอย่างดีใจ

            “ดีใจที่ได้พบท่านอีก” โซลิแทร์ทักทาย

            ไมริฟเข้ามาแสดงการทักทายตามธรรมเนียมด้วยการกอด โซลิแทร์ต้องระมัดระวังไม่ให้สนับแขนคมๆ ไปบาดเธอเอา

            “ลูกพี่ลูกน้อง” เธอเงยหน้ายิ้มให้เขา

            “เพื่อน” โซลิแทร์ยิ้มตอบอยู่หลังหน้ากาก

            “อภัยให้ด้วยที่ข้าจะต้องขอตัวไปสะสางธุระต่อ ช่วงนี้ท่านหัวหน้าเผ่าบาดเจ็บ ข้าจึงมีเรื่องให้ต้องทำมากมาย” เซ็นแวนเดอร์กล่าว “ไมริฟจะเป็นคนพาท่านไปพบหัวหน้าเผ่าของเราเอง จากนั้นเธอจะพาท่านไปยังที่พัก ไมริฟมานี่สิ ข้ามีเรื่องบอกกล่าวนิดหน่อย”

            “พร้อมรับคำสั่งค่ะ ท่านรองหัวหน้าเผ่า” ไมริฟเดินเข้าไปหา

             “ไรมิน บุฟโฮปต่างเคยพบกับทั้งเทอร์รินและโซลิแทร์ ซึ่งเขาก็ไม่อยากให้ทั้งคู่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่” เซ็นแวนเดอร์กระซิบ “คงเบื่อที่จะถูกชักชวนให้เข้าร่วมอะไรต่อมิอะไรอีก ฉะนั้นไม่ต้องบอกโซลิแทร์นะว่าตอนนี้บุฟโฮปและกัปตันวอร์ดิวก็อยู่ที่นี่”

            “ค่ะ ท่านรองหัวหน้าเผ่า” ไมริฟพยักหน้า “ตอนนี้ข้าให้แฮนดรัสทั้งสองพักอยู่ในปราสาทต้นไม้เพื่อจะได้ไม่ต้องเสี่ยงพบเจอกับพวกโฮเซ่และพวกดาร์คเนสดีวิล”

            เซ็นแวนเดอร์เดินจากไป ไมริฟพาโซลิแทร์เข้าไปในปราสาทต้นไม้ ทันทีที่ปิดประตู ข้างในนี้ก็มืดสนิทจนมองอะไรไม่เห็น มีเพียงดวงตาสีน้ำเงินของโซลิแทร์ที่เรืองแสงอยู่ในความมืด

            “ปกติแล้วเผ่าพันธุ์ของข้าจะมองเห็นในที่มืด เราเลยไม่สร้างอะไรที่เป็นแสงในปราสาทนี้” เสียงของไมริฟเอ่ยขึ้นข้างๆ “เดี๋ยวข้าจุดตะเกียงให้ท่านนะ”

            “ไม่เป็นไรไมริฟ ข้าสร้างแสงได้”

            เปลวไฟสีน้ำเงินซีดๆ ลุกขึ้นบนฝ่ามือซ้ายของโซลิแทร์ ให้ความสว่างขึ้นมาทันที เขาขยายเปลวไฟให้ดวงใหญ่ขึ้นเพื่อจะได้มองเห็นได้กว้างขึ้น

            “เสียใจด้วยนะที่เผ่าพันธุ์อื่นจะมองเห็นลำบากหน่อยในปราสาทแห่งนี้” ไมริฟยกมือบังแสงจากตาเล็กน้อย “เผ่าพันธุ์ข้าต้องอาศัยความมืดในการมอง”

            “ข้าเองก็เสียใจ” โซลิแทร์มองไปรอบๆ “ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนกว่านี้”

            เป็นห้องโถงปราสาทที่สวยงามจับตา ตามเพดานและผนังมีเถาดอกไม้และพืชสีสันสวยงามยาวระย้าเสมือนเครื่องประดับธรรมชาติเมื่อมันได้รับแสงจากเปลวไฟในมือของโซลิแทร์ มันก็คลี่ดอกออกมาเรืองแสงด้วยเช่นกัน ทั้งสีเขียว สีแดง สีส้ม สีฟ้า หลากสีไปหมด พื้นปราสาทก็เป็นหญ้ามอสที่นุ่มและสะอาดสามารถลงไปนอนได้สบาย กลิ่นไม้หอมฟุ้งอยู่ในอากาศให้ความรู้สึกสดชื่นผนังด้านหนึ่งของห้องโถงมีน้ำตกไหลลงมาจากเพดานสูงลิ่ว มีเสียงนกร้องขับกล่อมตามเสียงน้ำไหลอยู่ตลอดเวลา

          “ดื่มน้ำพุสิโซลิแทร์” ไมริฟชี้ไปที่บ่อน้ำพุหินอ่อนกลางห้องโถง“เป็นธรรมเนียมของเรา ใครก็ตามที่จะเข้ามาในปราสาทต้นไม้อย่างมิตร จะต้องดื่มน้ำพุบ่อนี้เป็นอย่างแรก”

          “ดีเลย กำลังคอแห้ง” โซลิแทร์ถอดหน้ากากออก ก้าวไปหาบ่อน้ำพุ เอาเปลือกหอยอันใหญ่ที่วางอยู่ข้างบ่อน้ำพุตักน้ำขึ้นมาดื่ม รู้สึกชื่นใจอย่างมาก มันคงเป็นน้ำที่ไหลผ่านแร่ธาตุดีๆ

          “นี่ อย่าเพิ่งสวมมันเลยนะ” ไมริฟคว้าแขนโซลิแทร์ก่อนที่เขาจะสวมหน้ากากกลับคืน “คงจะดีถ้าหัวหน้าเผ่าของข้าได้คุยกับท่านโดยเห็นใบหน้าจริงๆ”

          “งั้นก็ได้” โซลิแทร์เก็บหน้ากาก ไม่สวม ตามที่เธอขอ

          “ทางนี้” ไมริฟเดินนำต่อ

          ทั้งสองขึ้นบันไดวนที่อยู่สุดห้องโถงขึ้นไปชั้นบน ปราสาทต้นไม้หลังนี้มีหลายชั้น แต่ละชั้นก็มีทางแยกออกไปอีกหลายห้อง นับว่ากว้างขวางมากทีเดียว มันไม่มีอะไรเหมือนป้อมปราการดำที่ฟรอสท์ไอรอนแคลดสักนิด อย่างน้อยก็ไม่มีอาวุธและกับดักกลไกทุกสามสี่เมตร ที่นี่เรียบง่ายแต่สวยงามจับตาด้วยการตกแต่งแบบธรรมชาติ  ให้ความรู้สึกเป็นมิตรอย่างมาก

          “ใครจะไปนึกล่ะว่าเราเป็นญาติกัน” โซลิแทร์พูดอย่างแช่มชื่น “สารภาพเลยว่าข้ารู้สึกดีใจมากตอนที่รู้ เราเป็นเพื่อนกัน แล้วเราก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน”

          “ใช่ ข้าก็ดีใจเหมือนกันตอนที่รู้” ไมริฟพึมพำ พยายามซ่อนความรู้สึกอับอายเมื่อนึกถึงความทรงจำ

          “ท่านคงได้เคยพบกับแม่ข้าบ้าง”

          “แน่นอน ข้าอายุร้อยกว่าปีแล้ว ต้องเคยพบเธอสักครั้ง” ไมริฟพยักหน้า “ใครจะไปรู้ว่าในเวลาต่อมา ข้าจะเอาเสื้อผ้าของเธอมาใส่ตอนที่อยู่ฟรอสท์ไอรอนแคลด”

          “แล้วท่านคิดว่าเธอเป็นยังไงบ้าง”

          “หากพูดจริงๆ นิสัยเธอก็เป็นอย่างที่ท่านบอกนั่นแหละ” ไมริฟว่า “แต่เธอก็รักท่านนะโซลิแทร์”

          “คงรักไม่มากพอที่จะเลี้ยงดูข้าได้”

          “ยอมรับว่าความรับผิดชอบของเธอต่ำมาก มีหลายเรื่องที่เธอสำควรถูกตำหนิ แต่เธอก็ตายไปแล้ว มันไม่สำคัญแล้วใช่ไหม” ไมริฟหันมามองเขา

          “ไม่เคยสำคัญ สำหรับข้า” โซลิแทร์พูดเรียบๆ

          “แต่ก็ยังมีคนอื่นๆ ที่รักท่านเหมือนกันนะ ข้า เซ็นแวนเดอร์ และป้าอาร์ทูมิส” ไมริฟชี้แจง

          “ข้าแทบไม่ได้ใกล้ชิดกับญาติคนอื่นๆ จะรู้ได้ยังไงว่าพวกเขารักข้า” โซลิแทร์ย้อนถาม

          “เรื่องนี้ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบาย” ไมริฟตอบ “ท่านสัมผัสจากพวกเขาเองได้”

          ไมริฟเปิดเข้าไปในห้องอันกว้างขวาง มีลักษณะเป็นครึ่งวงกลม อยู่ในตำแหน่งดีมาก ด้านที่เป็นส่วนโค้งนั้นมีหน้าต่างบานใหญ่เต็มไปหมด มองเห็นดาวได้ชัดเจนยิ่งนัก มีระเบียงออกไปให้ดูวิวทิวทัศน์ ห้องนี้อยู่สูงมาก มองจากบนนี้แทบจะเห็นทุกอย่าง ทั้งพื้นที่บริเวณกำแพงเมืองทั้งสองชั้นไปจนถึงชายป่านอกเมือง โซลิแทร์ดับไฟในมือเพราะแสงดาวจากภายนอกส่องสว่างเข้ามาเพียงพอ จากการตกแต่งห้องที่สวยงามเป็นพิเศษ มีเครื่องมือและเอกสารสำคัญต่างๆ  รวมทั้งมีที่แขวนมงกุฎขนนกของหัวหน้าเผ่า บ่งบอกให้รู้ว่านี่คงเป็นห้องพักของหัวหน้าเผ่าฟอเรสเทอร์

          และที่นอนซมอยู่ริมหน้าต่างบานยักษ์ บนเตียงหวายปูด้วยขนสัตว์ คือหญิงสาวฟอเรสเทอร์ผมสีน้ำตาลดำยาวผู้กำลังบาดเจ็บ ใบหน้าซีดเซียว ขอบตาคล้ำ ร่างกายอ่อนแอ เธอคงจะเป็นผู้หญิงที่สวยมากทีเดียวยามที่เป็นปกติ แต่ตอนนี้สภาพของเธอไม่สู้ดีนัก

          เธอยิ้มให้โซลิแทร์ ยื่นมือมาหาเขา

          “เชิญท่าน” ไมริฟดันหลังโซลิแทร์เล็กน้อย รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยรู้มารยาท

          โซลิแทร์เข้าไปหาแอเมน่า คุกเข่าลงข้างๆ เตียงให้เธอเห็นหน้าชัดๆ  ประคองมือที่เธอยื่นมาหาอย่างนุ่มนวล พยายามไม่ให้ส่วนคมของสนับหลังมือไปบาดเธอ รู้สึกได้ว่าหัวหน้าเผ่าคนนี้เป็นมิตรและจริงใจต่อเขา เขาจึงส่งยิ้มอย่างจริงใจให้เธอได้ไม่ยาก

          “ข้าไม่รู้จะขอบคุณอย่างไร ที่ท่านอุตส่าห์ทำสิ่งที่ผิดวิสัยดาร์คเนสดีวิล เดินทางออกนอกอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลมาที่นี่ตามที่เราร้องขอ ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก” แอเมน่าพูดเสียงเบาอย่างอ่อนแรง “อภัยให้ด้วยที่ข้าไม่สามารถกอดท่านได้ตามธรรมเนียม ร่างกายข้ามันไม่สู้ดีนัก”

          “ศัตรูแข็งแกร่งเกินไป เราแต่ละฝ่ายไม่อาจสู้คนเดียวได้” โซลิแทร์พูด “สิ่งเดียวที่พอมีหวัง คือเราจะต้องร่วมแรงร่วมใจกัน”

          “ความหวัง คือสิ่งที่ทำให้เราทุกคนยังมีชีวิตอยู่ ทำให้คนใกล้ตายอย่างข้าต่อสู้ที่จะหายใจต่อไป” แอเมน่ากระซิบ “ยามที่ข้าได้เห็นท่านเฮนิเคม ได้เห็นท่าน ข้าก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมา ทั้งข้าและพวกพ้องข้าไม่ได้ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว เรายังมีเพื่อน ใช่ไหม”

          “ท่านเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยวมาก ท่านเสียสละตนเองเพื่อปกป้องเหล่าผู้ติดตาม ทำสิ่งที่พวกนายทัพมนุษย์แทบทั้งอาณาจักรยังทำไม่ได้” โซลิแทร์นับถือ “ผู้นำที่ดีอย่างท่านคงหาไม่ได้อีกแล้ว ท่านคือยอดหญิงโดยแท้”

          “ท่านมีครอบครัวไหม ท่านลอร์ดมืด” แอเมน่าถาม

          “ไม่มีและไม่เคย” โซลิแทร์ตอบ

          “ข้าเคยแต่งงานมีสามีสองครั้งและมีลูกๆ ทุกครั้ง ข้ารักพวกเขา” แอเมน่าเล่า “แต่ด้วยความแตกต่างของเผ่าพันธุ์ ข้าเฝ้าดูพวกเขาสิ้นอายุขัยไปทีละคน หรือไม่ก็แยกตัวออกไปมีครอบครัวของตน จนกระทั่งเหลือข้าเพียงคนเดียว สองครั้งที่ข้ามีครอบครัว สองครั้งที่ทั้งครอบครัวเหลือแต่ข้า มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก บางครั้งการมีอายุที่ยืนยาวก็เหมือนเป็นคำสาป ทุกครั้งที่ข้ามีครอบครัว ข้าจะกลายเป็นคนสุดท้ายที่เหลืออยู่เสมอ” เธอถอนหายใจ “ข้าจึงตัดสินใจที่จะใช้เวลาที่เหลือในการอยู่อย่างโดดเดี่ยว ปลีกตัวไปอยู่อย่างสันโดษ ความรู้ความสามารถที่ข้ามีก็ถูกเก็บเอาไว้อย่างนั้นโดยเปล่าประโยชน์ เป็นการอยู่อย่างไร้แก่นการไปวันๆ”

          “น่าเสียดายยิ่งนัก” โซลิแทร์พูด

          “จนกระทั่งหัวหน้าเผ่ามัฟฟาซิลมาขอให้ข้าลงสมัครเลือกตั้งเป็นผู้นำสูงสุดแห่งกาโกคอล เขารู้ว่าข้ามีความสามารถมีประสบการณ์ ในเมื่อชีวิตข้ามันก็ไร้แก่นสารไปวันๆ อยู่แล้ว ข้าจึงจะลองทำดู ดูสิว่าความสามารถของข้ามันจะถูกใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ไหม” แอเมน่าพูดต่อ “ตอนที่ข้าเข้ารับตำแหน่งผู้นำสูงสุด ข้าก็ไม่คาดคิดหรอกว่าจะผูกพันกับคนอื่นๆ ได้มากขนาดนี้ แต่เมื่อข้าได้ใช้ชีวิตร่วมกับทุกคน ข้าก็รับรู้อย่างลึกซึ้งว่าฟอเรสเทอร์เราเป็นเผ่าพันธุ์ที่ยอดเยี่ยม เราอยู่กันอย่างเป็นกันเอง เสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน เราผูกพันกัน เอื้อเฟื้อ จริงใจ ชอบผูกมิตร รักสันติ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่โลภหลง ช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ทุกโอกาส แม้เผ่าพันธุ์อื่นจะว่าเราล้าหลัง แต่ข้าคิดว่าเราคือเผ่าพันธุ์ที่เยี่ยมที่สุดแล้ว” เธอเลื่อนสายตาไปทางไมริฟที่ยืนอยู่ห่างๆ  ดูจะกำลังน้ำตาคลอ “มันทำให้ข้าได้ค้นพบว่านี่คือครอบครัวของข้า และเป็นครอบครัวที่จะไม่มีวันจากข้าไปไหนอีก”

          “ฟอเรสเทอร์ช่างเป็นเผ่าพันธุ์ที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก” โซลิแทร์พยักหน้า

          “ซึ่งกำลังจะถูกพวกเอลิลกำจัด” แอเมน่าพูดต่อ “ข้าขอร้องล่ะ ถือว่าเป็นคำอ้อนวอนของหญิงแก่ๆ ที่กำลังจะตาย โปรดช่วยเผ่าพันธุ์ของข้าด้วย”

          “ข้า” โซลิแทร์อึกอัก “หลังจากที่เราทั้งสามเผ่าพันธุ์ได้ทำการประชุมกันแล้ว ข้าถึงจะยืนยันได้”

          “พูดเหมือนเทอร์ริน เฮนิเคมเลย พูดให้ดูกลางๆ เอาไว้ก่อน” แอเมน่ายิ้มอย่างอิดโรย “พวกท่านยังเด็กกันอยู่มาก แต่ฉลาดเฉลียวไม่แพ้ผู้ใหญ่ และฉลาดกว่าข้าแน่นอนอยู่แล้ว”

          “อาการของท่านค่อนข้างหนัก ท่านควรได้รับการพักผ่อน” โซลิแทร์ดึงผ้าห่มขนสัตว์ขยับมาคลุมอกเธอให้มากขึ้น

          “โอกาสรอดของข้าตอนนี้มีมากพอๆ กับโอกาสตาย” แอเมน่าพูด “ที่ข้ามีลมหายใจอยู่ตอนนี้ก็ด้วยพลังใจเท่านั้น เพราะข้ายังรู้สึกมีความหวังอยู่ หวังที่จะเห็นเผ่าพันธุ์อยู่รอด แต่มันก็เลือนรางลงเรื่อยๆ”

          “รู้ไหม ข้าก็เคยรู้สึกเหมือนกับท่าน ตอนที่ถือดาบตัวสั่นเทาอยู่กับพวกพ้องกลุ่มสุดท้าย เบื้องหน้าคือกองทัพเฟลมฟอร์สที่นำมาโดยจอมพิชิต” โซลิแทร์กล่าว “เราไม่มีอะไรจะไปต่อกรด้วยได้ จะสู้ยังไงก็แพ้ พวกเราเป็นแค่ดาร์คเนสดีวิลที่หมดสภาพ ขณะที่อีกฝ่ายคือกองทัพที่เก่งที่สุดในดาวดวงนี้”

          “แต่พวกท่านก็ยังยืนหยัดสู้” แอเมน่าว่าต่อ “เพราะอะไรหรือ”

          “สายฟ้า” โซลิแทร์ตอบ “ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมัว มันสาดแสงสว่างจ้าโดยเฉียบพลัน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพียงเสี้ยววินาที แต่มันก็ทำให้ผู้ที่เสาะหาแสงสว่างมีโอกาสมองเห็นและเกิดความหวังขึ้นมา เรารู้อยู่แล้วว่าสู้ยังไงก็ไม่ชนะ แต่เราสู้เพื่อสร้างประกายความหวังของเรา ให้เป็นมันสายฟ้าที่ส่องสว่างนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะการอยู่อย่างมีความหวังเพียงเสี้ยววินาที มันมีความหมายกว่าการอยู่อย่างสิ้นหวังสักร้อยปีพันปี”

          แอเมน่ายิ้ม เอื้อมมือไปจับหน้าโซลิแทร์อย่างแผ่วเบา โซลิแทร์ยิ้มตอบ

          “รู้ไหม ข้าไม่เคยเห็นใครมีดวงตางดงามเท่าท่านมาก่อนเลย” เธอกระซิบ “คงเป็นเพราะดวงตาของท่าน มันมีประกายสายฟ้าแห่งความหวังสะท้อนอยู่เรื่อยมา”

          “ข้าเองก็หวังว่าจะมีประกายสายฟ้าแห่งความหวัง สะท้อนอยู่ในดวงตาท่านบ้างเช่นกัน” โซลิแทร์กระซิบตอบ

          แอเมน่าดูจะเริ่มอ่อนแรง เธอค่อยๆ หลับตาลง บาดเจ็บขนาดนี้ร่างกายต้องการพักผ่อนอย่างมาก โซลิแทร์จัดผมที่ปรกหน้าให้เธออย่างแผ่วเบาด้วยปลายถุงมือเหล็กแล้วค่อยๆ ลุกถอยออกไป พยายามไม่ให้เกิดเสียงเกราะกระทบกัน ไมริฟพาเขาออกไปนอกห้อง ปิดประตูตามหลังอย่างแผ่วเบา

          “ขอบคุณที่มาพบเธอนะ มันมีความหมายกับเธอมาก” ไมริฟพูดอย่างซาบซึ้ง

          “มีความหมายกับข้าด้วยเช่นกัน” โซลิแทร์กล่าว “ท่านพูดถูกไมริฟ เรื่องความรักและมิตรภาพ ไม่ต้องอาศัยอะไรมาอธิบาย ข้าสามารถสัมผัสได้เอง”

          “มาเถอะ ข้าจะพาท่านไปยังที่พัก และมีอีกคนที่อยากพบท่าน” ไมริฟพยักหน้า

          ทั้งคู่ออกจากปราสาทต้นไม้ มุ่งสู่พื้นที่ด้านหลัง ซึ่งเป็นป่าโปร่งๆ  เป็นที่อยู่อาศัยของพวกชาวเมือง โซลิแทร์มองเห็นทุ่งหญ้า ภูเขา แม่น้ำลำธาร ช่างสวยงามยิ่งนักยามที่มันอยู่ใต้ท้องฟ้าอันระยิบระยับด้วยแสงดาว ที่อยู่อาศัยของพวกฟอเรสเทอร์คือบ้านที่สร้างบนต้นไม้ มีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามแต่เจ้าของบ้านจะออกแบบ แต่ละหลังจะมีพื้นที่สำหรับปลูกผักสวนครัว ปลูกดอกไม้ และเลี้ยงสัตว์ เป็นบ้านหลังเล็กๆ น่ารักที่คงจะอยู่สบาย โซลิแทร์มองเห็นกองไฟนับไม่ถ้วนเพราะคืนนี้พวกฟอเรสเทอร์จับกลุ่มกันทำกิจกรรมหน้ากองไฟใต้บ้านต้นไม้แต่ละหลัง ไม่ใช่มีแต่พวกฟอเรสเทอร์ พวกโฮเซ่และพวกดาร์คเนสดีวิลที่เดินทางมาก็ร่วมวงด้วย พวกเขาพูดคุยกัน ร่วมทานร่วมดื่มด้วยกัน ยิ้มและหัวเราะไปด้วยกัน แม้จะมาจากต่างแดนต่างเผ่าพันธุ์พวกเขาก็ยังผูกมิตรกันได้ โซลิแทร์เดินผ่านกองไฟกองหนึ่ง ดีเซ็นทรีหนุ่มกำลังรับจานใบไม้จากฟอเรสเทอร์สาว

          “ข้าไม่รู้จะขอบคุณอย่างไร พวกท่านช่างดีกับเรามาก ตอนอยู่ที่โฟรเซ็นทิเนลข้าไม่เคยได้กินอาหารดีๆ อย่างนี้มาก่อนเลย” ดีเซ็นทรีมองอาหารในจานใบไม้อย่างซาบซึ้ง

          “ล้อเล่นหรือเปล่า ไข่ดาวกับเบคอนมันเป็นอาหารที่ธรรมดามากนะ ข้าทานทุกหัวค่ำตอนตื่นนอนเริ่มวันใหม่” ฟอเรสเทอร์สาวทำหน้างง “พวกท่านน่าสงสารจัง คงจะอดอยากกันมาก รู้ไหม เราไม่เคยอดอยากเลย อย่างแย่ที่สุดก็กินใบเล็ทเทรดประทังชีวิต”

          “มันคืออะไรหรือ”

          “พืชที่มีใบอุดมไปด้วยสารอาหาร มีไว้กินกันตาย แค่ใบเดียวก็อยู่ได้ทั้งมือแล้ว สารอาหารครบถ้วน”

          “น่าทึ่งที่สุด น่าจะมีพืชแบบนี้ในโฟรเซ็นทิเนลบ้าง เราจะได้ไม่ต้องอดอยากกัน”

          “เชื่อข้าเถอะ ท่านไม่อยากกินใบเล็ทเทรดหรอก มันเป็นอาหารที่รสชาติแย่ที่สุด ขนาดสัตว์ยังไม่กิน แค่นึกถึงมันก็ข้าคลื่นไส้แล้ว และนั่นท่านไม่ใช้มือกินหรือ ชักมีดออกมาทำไม”

          “ไม่ชอบให้มือเปื้อนน่ะ บางทีมือก็ไม่สะอาดด้วย เผ่าพันธุ์ของข้านิยมการใช้มีดกินอาหาร”

          ที่กองไฟถัดไป ทหารโฮเซ่กำลังเสียบไม้ย่างมาชเมลโล่ ดาร์คเนสดีวิลและฟอเรสเทอร์ที่ร่วมกองไฟจ้องมองอย่างสนอกสนใจ

          “มันกินได้จริงๆ หรือ ดูเหมือนนุ่นเลย”

          “มันไม่ใช่นุ่น มันทำมาจากแป้งและไข่ขาว เดี๋ยวพวกท่านลองกินดู พวกท่านต้องชอบแน่”

          ห่างออกไปสองสามกองไฟ สมาชิกรอบกองไฟแต่ละคนกำลังแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันอยู่

          “ทำอย่างนี้หรือ” ฟอเรสเทอร์ทำแขนกากบาท

          “ใช่แล้ว นั่นคือสิ่งที่ดาร์คเนสดีวิลแสดงความเคารพต่อกัน” ดาร์คเนสดีวิลพยักหน้า แล้วหันไปหาโฮเซ่ที่นั่งอยู่ข้างๆ “แล้วพวกโฮเซ่ล่ะ ทักทายแสดงความเคารพกันอย่างไร”

          “นี่เลย ยื่นมือของท่านมาจับกับข้า อย่างนั้นแหละ แล้วดึงแขนของอีกฝ่ายเข้ามา เอาไหล่ชนกัน”

          บรรยากาศชวนให้ผูกมิตรมาก มีฟอเรสเทอร์หลายคนนำพิณ ขลุ่ย เชลโล่ เครื่องดนตรีต่างๆ มาบรรเลงให้พวกดาร์คเนสดีวิลฟัง มันไพเราะและชวนให้ผ่อนคลายยิ่งนัก

          “พวกเขาบรรเลงเพลงให้เราฟังเลยหรือนี่” โซลิแทร์รู้สึกทึ่ง “รู้ไหม ไม่เคยมีใครทำอะไรแบบนี้เพื่อเรามาก่อนเลย”

          “รองหัวหน้าเผ่าของข้าบอกแล้วไง คนของท่านจะได้รับการดูแลอย่างดีแน่ ฟอเรสเทอร์เราไม่ค่อยได้พบเจอกับดาร์คเนสดีวิลนัก จึงอยากผูกมิตรด้วย” ไมริฟพูด

          โซลิแทร์กวาดสายตามองไปรอบๆ  นึกถึงตัวเองตอนที่ใช้เวลากับกอร์รินยามเห็นนักรบของตนกับพวกโฮเซ่ และนึกถึงตัวเองตอนที่ใช้เวลากับไมริฟยามเห็นนักรบของตนกับพวกฟอเรสเทอร์ มิตรภาพระหว่างพวกเขากำลังถักทอก่อเกิด ทั้งสามเผ่าพันธุ์พูดคุยแลกเปลี่ยนวิถีชีวิตของตน ร่วมดื่มชนแก้วกัน หัวเราะด้วยกัน เล่นไพ่กัน เล่านิทานท้องถิ่นให้กันฟัง สำหรับพวกโฮเซ่กับพวกดาร์คเนสดีวิลนั้น สิ่งที่พวกเขาเห็นอกเห็นใจกันมากที่สุดคือการที่ต่างฝ่ายต่างได้รับความทุกข์ยากจากพวกมนุษย์ พวกโฮเซ่ด่าทอพวกมนุษย์อย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อได้ฟังว่าพวกมนุษย์ทำอะไรไม่ดีกับพวกดาร์คเนสดีวิลไว้บ้าง นั่นทำให้พวกดาร์คเนสดีวิลแอบซาบซึ้งอยู่ในใจ ไม่บ่อยนักหรอกที่จะมีใครเห็นอกเห็นใจพวกเขา

          กัปตันมาซูลร่วมวงดื่มกับแดโมมิกซ์ โฟเดเซียร์ และแอนดรอส ดูเหมือนว่านายทัพดาร์คเนสดีวิลคนเก่งจะเจอเหล่าเพื่อนดื่มที่คอแข็งกว่าเสียแล้ว

          “ข้าต้องหยุดแล้วล่ะ พรุ่งนี้ตอนเที่ยงเรามีประชุมไม่ใช่หรือ” กัปตันมาซูลเอามือปิดแก้วตัวเอง

          “เถอะน่า ท่านจิ้งจอกผู้เกรียงไกร ที่ดื่มเข้าไปมันแค่ล้างคอนิดหน่อยเอง” โฟเดเซียร์คะยั้นคะยอ ส่วนแอนดรอสก็พยายามรินเติมให้

          “ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ! เด็กหนุ่มโฮเซ่สมัยนี้มีคอที่ทำด้วยเหล็กหรือไง พวกท่านยังไม่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวก็ดื่มกันเก่งขนาดนี้แล้ว”

          พวกเด็กๆ ฟอเรสเทอร์นั้นให้ความสนใจเซซิลมาก แน่ล่ะ เคลื่อนที่โดยการลอยไปมาโดยมีแสงที่เท้าย่อมเป็นอะไรที่แปลกสำหรับพวกเด็กๆ

          “--ก๊าซฮีเลี่ยมที่ว่านี่ล่ะ คือสิ่งที่ทำให้ดีวอเชอร์อย่างเราลอยได้ จุดไฟได้” เขาหงายมือสร้างวงแหวนไฟขึ้นมา พวกเด็กๆ ร้องโอ้โหกันใหญ่ “ไม่ใช่เวทมนตร์อะไรหรอกสหายตัวน้อยๆ ของข้า พลังงานคือสิ่งที่ว่าด้วยวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์คือศาสตร์ที่วิเคราะห์สิ่งต่างๆ ด้วยเหตุผล ฉะนั้นจำไว้นะเด็กๆ จะพูดอะไรทำอะไรต้องมีเหตุผล แล้วพวกเจ้าจะเติบโตเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุด”

          “มีคนบอกว่าท่านเป็นนักเคมีที่เก่งกาจมากค่ะ”

          “เคมีและกลไก คือสิ่งที่ข้าสนใจและมีความสามารถ”

          “แล้วท่านสามารถผสมสารเคมีที่ติดไฟได้เองเมื่อสัมผัสอากาศจริงหรือครับ”

          “พ่อหนุ่ม นั่นมันง่ายที่สุดสำหรับข้าเลย ข้าทำอย่างนั้นได้ตอนที่ข้าอ่อนวัยกว่าเจ้าเสียอีก”

          “ฉายาของท่านคือเดอะ เจสเทอร์ใช่ไหมคะ ข้าได้ยินแม่พูดกับเพื่อนของเธอเกี่ยวกันท่านด้วย”

          “หวังว่าจะเป็นการพูดถึงในแง่ดีนะ”

          “เธอบอกว่าเมื่อหลายสิบปีก่อนเธอหลงใหลท่านมาก ไม่เคยพบเจอใครที่รูปหล่อและมีอารมณ์ขันเท่าท่านมาก่อนเลย แต่น่าเสียดาย คนที่สอยท่านไปกลับเป็นนางร่านไซเอด้า นางร่านนี่แปลว่าอะไรหรือคะ แล้วที่เธอสอยท่าน เธอทำยังไงหรือคะ ข้าไม่เข้าใจ”

          “แม่หนู” เซซิลกระพริบตาปริบๆ “เจ้าควรบอกแม่ว่า เวลาจะพูดจะคุยอะไรช่วยระมัดระวังหน่อยว่ามีเด็กได้ยินหรือเปล่า เด็กมักจะจำอะไรที่ก่อให้เกิดความรู้สึกสงสัยเสียด้วย ว่าแต่นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเจ้าน่าจะไปนอนกันได้แล้วนะ”

          “เราเพิ่งจะตื่นมาไม่นานเองนี่ค่ะ เด็กๆ เผ่าพันธุ์ของท่านนอนตอนกลางคืนหรอกหรือ แปลกจัง”

          “ขอโทษที ข้าลืมไป”

          “ข้าไม่นึกมาก่อนเลยว่าสามเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกันแทบทุกเรื่อง จะเข้ากันได้ดีขนาดนี้” ไมริฟยิ้มอย่างมีความสุข “มิตรภาพมันคือสิ่งที่ทำให้เราก้าวข้ามความแตกต่างทั้งปวงได้”

          เทอร์รินเดินคุยกับกอร์รินสวนทางมาพอดี กอร์รินโบกมือทักทายโซลิแทร์อย่างดีใจ ขณะที่เทอร์รินจ้องมองโซลิแทร์ด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็เดินแยกไปอีกทาง แสดงอาการไม่อยากเห็นหน้าอย่างชัดเจน

          “ก็ไม่ใช่กับทุกคนหรอก” โซลิแทร์บอกไมริฟ

          “แบล็กไรดิงฮู้ด” กอร์รินเดินเข้ามาหา

          “บราวน์บีเซล” โซลิแทร์พยักหน้าให้

          “อย่าถือสาพี่ชายข้าเลยนะ” กอร์รินมองตามหลังเทอร์รินไป “เขาถูกเลี้ยงมาอย่างชนชั้นสูง ตามรอยพ่อผู้มีทิฐิสูง เขาลดลงมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเกินคาดแล้ว”

          “มันไม่ใช่ความผิดของเขาหรอก การที่เขายังมีทิฐิกับข้ามันเป็นเพราะก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่ยอมลดละทิฐิของตนเช่นกัน” โซลิแทร์พูด “พี่ชายของท่านคือคนที่ลดมันได้ก่อนข้า”

          กอร์รินพับหนามที่เกราะหัวไหล่ลง แล้วทักทายกับโซลิแทร์ตามธรรมเนียมของโฮเซ่คือจับมือ ดึงแขนอีกฝ่ายเข้ามาเอาไหล่ชนกัน เกราะของทั้งคู่กระทบกันเสียงดัง

          “ดีใจที่เจอท่านอีกเพื่อนยาก” โซลิแทร์ว่า

          “เช่นกัน” กอร์รินพยักหน้า “ข้ายังนึกถึงตอนที่เราพากันวิ่งหนีมังกรดำและตอนที่พวกเราร่วมมือกันเตะก้นพวกมนุษย์”

          “หวังจริงๆ ว่าจะมีโอกาสทำอย่างนั้นอีก” โซลิแทร์พูด “เดี๋ยวข้าต้องขอตัวก่อนนะ ลูกพี่ลูกน้องของข้าจะพาข้าไปพบใครสักคน”

          “เจอกันพรุ่งนี้ในที่ประชุม” กอร์รินตบไหล่โซลิแทร์แล้วเดินจากไป

          ไมริฟพาโซลิแทร์เดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงพื้นที่ที่มีบ้านต้นไม้ไม่มากนัก ค่อนข้างเงียบสงบและสันโดษ บริเวณนี้มีบ้านต้นไม้เพียงหลังเดียวอยู่ริมลำธาร ไม่มีแปลงผักหรือสวนดอกไม้ ดูจะถูกปล่อยปะละเลยมานาน คงไม่มีใครอาศัยมาหลายสิบปีแล้ว แต่จากลักษณะของมันเหมือนกับว่ามันเพิ่งถูกทำความสะอาดและบำรุงรักษาในวันสองวันนี้ เตรียมพร้อมสำหรับให้คนเข้าไปอยู่

          มีหญิงสาวฟอเรสเทอร์คนหนึ่งกำลังเก็บสมุนไพรอยู่ที่ริมลำธาร ช่างเป็นผู้หญิงที่งดงามยิ่งนัก ผมสีน้ำตาลดำยาวสลวยถึงเอว ผิวขาวนวลผ่องรับกับแสงดาวยามค่ำคืน เธอสวมสร้อยข้อมือที่ทำด้วยกระดูก มีเครื่องรางแปลกๆ คล้องอยู่ที่คอ โซลิแทร์จำอะไรเกี่ยวกับแม่ของตนไม่ได้มากนัก แต่ก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ชวนให้เขานึกถึงแม่

          “เข้าไปหาเธอสิ” ไมริฟดันหลังโซลิแทร์ “บ้านต้นไม้แห่งนี้คือที่พักของท่าน นอนหลับให้สบายนะ ข้าขอตัวก่อน”

          แล้วไมริฟก็เดินจากไป โซลิแทร์ก้าวเดินตรงไปข้างหน้าช้าๆ

          ผู้หญิงนั้นหันมาแล้วส่งยิ้มให้ เป็นยิ้มที่อบอุ่นและมีเมตตายิ่งนัก นั่นทำให้ความรู้สึกของโซลิแทร์เปลี่ยนทันที ผู้หญิงคนนี้แตกต่างจากแม่ของเขาอย่างสิ้นเชิง แม่ของเขาไม่มีทางจะอ่อนโยนได้มากขนาดนี้ แสดงความจริงใจได้มากขนาดนี้ หรือแสดงความห่วงใยต่อเขาได้มากขนาดนี้

          “ตลอดหลายวันมานี้ สิ่งที่ข้าเฝ้ารอมากที่สุดคือการได้พบกับเจ้า” อาร์ทูมิสวางตะกร้าสมุนไพรลง ก้าวมาหาโซลิแทร์ “ดีใจเหลือเกินที่เห็นเจ้ายังมีชีวิตอยู่และเติบโต”

          “ท่านคือหมอผีประจำเผ่า” โซลิแทร์กล่าว “ท่านเป็นแม่ของเซ็นแวนเดอร์”

          “ถูกแล้ว ข้าคือป้าของเจ้าและไมริฟ และข้าก็คือคนที่ทำคลอดเจ้าออกมาสู่ดาวดวงนี้ ในบ้านหลังนี้ บ้านของแม่เจ้า” เธอชี้ไปที่บ้านต้นไม้ริมลำธาร “แน่ล่ะ หลายคนพากันตื่นกลัวเจ้า กระทั่งแม่ของเจ้า ก็เจ้ามีเขาสีดำอยู่บนหัว ผิวหนังก็เป็นสีดำ พวกเขาไม่เคยเห็นทารกดาร์คเนสดีวิลมาก่อน ไม่รู้ว่าอีกไม่กี่วันผิวหนังสีดำจะหลุดลอกออกไปกลายเป็นสีขาว ไม่รู้ว่าเขาที่อยู่บนหัวจะร่วงลงไปเองเมื่อฟันน้ำนมเริ่มขึ้น แล้วเจ้าก็เป็นเด็กที่แปลกกว่าคนอื่น ตั้งแต่คลอดออกมาเจ้าไม่เคยร้องไห้ ไม่เคยหัวเราะ ไม่เคยส่งเสียงดัง เอาแต่นอนนิ่งเหมือนตุ๊กตา ลืมตาอยู่เฉยๆ ยามตื่น หลับตายามนอน เอาอะไรให้กินก็กิน แต่ยามหิวก็ไม่ร้องขอ เจ้าเป็นเด็กที่เงียบและอยู่เฉยมากเลยรู้ไหม”

          “นั่นคงเป็นครั้งแรกในล้านๆ ครั้งที่ทุกคนกลัวข้าสินะ” โซลิแทร์กล่าว

          “แต่สำหรับข้านั้น แม้เจ้าจะแตกต่างจากเด็กๆ ฟอเรสเทอร์ที่ข้าเคยพบเจอ แต่ข้าก็คิดว่าเจ้าเป็นเด็กที่น่ารักมากๆ ดวงตาสีน้ำเงินดวงโตที่เจ้ามองข้ายามอยู่ในอ้อมแขนข้ายังตราตรึงใจข้า” เธอเอื้อมมือมาลูบหน้าโซลิแทร์ มือของเธอช่างนุ่มนวลและอ่อนโยน “แล้วตอนนี้เจ้าก็เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงสมบูรณ์ ช่างมีใบหน้างดงามยิ่งนัก และดวงตาของเจ้า ช่างหวานซึ้งและแสนเศร้าเหลือเกิน ข้าไม่เคยเห็นดวงตาของใครจะน่ามองเท่านี้มากก่อนเลย เจ้าตัวสูงมากนะ ไม่อยากเชื่อเลยว่าข้าเคยอุ้มเจ้าไว้ในอ้อมแขน”

          โซลิแทร์รู้สึกเหมือนว่าความอบอุ่นของเธอถ่ายทอดมายังตัวเขา รู้สึกว่าน้ำแข็งเย็นเฉียบที่เกาะกุมหัวใจของเขาค่อยๆ ละลายลง ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้สึกว่าตนมีแม่หรือต้องการแม่ แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกโหยหา รู้สึกต้องการความรักจากป้าคนนี้ ราวกับเพิ่งนึกได้ว่าตนก็เป็นเด็กขาดความอบอุ่นคนหนึ่ง

          “ป้าภูมิใจในตัวเจ้านะ เจ้ามาได้ไกลอย่างที่ใจฝัน ความมุ่งมั่นของเจ้าทำให้เจ้ายิ่งใหญ่” อาร์ทูมิสโอบกอดโซลิแทร์แน่น ศีรษะซบอยู่ที่อกเสื้อเกราะของเขา เธอสูงแค่ไหล่เขาเท่านั้น “แต่ไม่ว่าเจ้าจะกลายเป็นอะไร สำหรับป้า เจ้าก็คือหลานชายตัวน้อยน่ารัก ผู้ซึ่งป้าเคยโอบกอดไว้ในอ้อมแขน”

          “ข้าไม่เคยนึกเลยว่าครอบครัวข้าจะยังเหลืออยู่” โซลิแทร์กระซิบ

          “ชื่อของเจ้าอาจออกเสียงคล้ายกับคำว่าโดดเดี่ยว แต่ขอให้รู้ไว้ว่าเจ้าไม่เคยโดดเดี่ยว” อาร์ทูมิสพูด “แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้อยู่ในกาโกคอล มีเลือดฟอเรสเทอร์อยู่ในตัวน้อยมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีฟอเรสเทอร์ที่รักและห่วงใยเจ้านะ”

          “แม่ของข้าไม่รักข้า” โซลิแทร์พูดเสียงเบา “เธอนำข้าไปทิ้งไว้ท่ามกลางสงครามและความตาย เพียงเพื่อให้ข้าอยู่ห่างๆ เธอ”

          “ถูกแล้ว เธอคือแม่ที่แย่มาก นั่นจึงทำให้เธอตัดสินใจที่จะนำเจ้าไปให้คนอื่นที่ดูแลเจ้าได้ดีกว่า เธอรู้ว่าชีวิตของเจ้าจะเจอแต่ความยากลำบากและความทุกข์มากกว่านี้หากเจ้าเติบโตด้วยการเลี้ยงดูจากแม่ห่วยๆ อย่างเธอ” อาร์ทูมิสอธิบาย “เจ้าอาจเกิดที่กาโกคอล แต่เจ้าเกิดมาเพื่อเป็นคนของโฟรเซ็นทิเนล โซลิแทร์ แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม เจ้าไม่ค่อยมีความสุขยามอยู่ที่กาโกคอล แต่เมื่อเจ้าได้สัมผัสหิมะและความหนาวเย็นของโฟรเซ็นทิเนล ได้ถูกโอบอุ้มด้วยแขนที่หุ้มด้วยเกราะเหล็กของพ่อเจ้าและพวกพ้องดาร์คเนสดีวิล นั่นคือครั้งแรกที่ข้าเห็นเจ้ายิ้ม ที่แม่เจ้ามักจะอยู่ห่างๆ เจ้านั้นไม่ใช่เพราะเธอเกลียดเจ้า แต่เพราะเธอเกลียดตัวเองจนรู้สึกว่าไม่คู่ควรจะมาเป็นแม่เจ้า เธออาจเป็นผู้หญิงที่ไร้ความรับผิดชอบ แต่เธอก็รักเจ้าอย่างที่ผู้หญิงที่ไร้ความรับผิดชอบคนหนึ่งจะพอทำได้”

          โซลิแทร์ยืนนิ่ง ไม่พูดอะไร

          “ในวาระสุดท้ายในชีวิตของเธอ เธอรักเจ้าจริงๆ นะ” อาร์ทูมิสปล่อยโซลิแทร์ออกจากอ้อมแขน จับไหล่เขาทั้งสองข้างแทน “ข้าอาจไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ได้ฟังเฉพาะการบอกเล่าจากคนอื่น แต่ข้าก็รู้นิสัยน้องสาวของข้าดี ตอนที่เธอถูกพวกเซ็ทซาร์ดไล่ล่า หัวหน้าเซ็ทซาร์ดบอกให้เธอหยุดเพื่อเจรจา เธอย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าเฟลมฟอร์สเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีเกียรติ หากเธอยอมหยุดแต่โดยดีเธอจะไม่เป็นอันตรายแน่ แต่เธอกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า แม้จะไม่แน่ใจว่าพวกเซ็ทซาร์ดตามล่าเจ้าหรือเปล่า แต่สัญชาตญาณของคนเป็นแม่จะปกป้องลูกไว้ก่อน เธอจึงไม่ยอมหยุด จนกระทั่งถูกสกัดด้วยลูกดอกพิษตกม้าตายไป ฉะนั้นยกโทษให้เธอด้วย ความรักที่เธอมีให้เจ้าอาจไม่มากเท่าที่แม่ควรมีให้ลูก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่รักเจ้า”

          “ข้าอาจไม่ผูกพันกับเธอนัก แต่ก็ไม่เคยเกลียดหรือโกรธเคืองอะไรเธอเลย บางทีการที่เธอไม่รักข้าอย่างที่ควรก็อาจไม่ใช่ความผิดของเธอ ความรักคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นเองควบคุมไม่ได้ เราไม่อาจกำหนดให้ใครมารักมาชอบเราได้” โซลิแทร์กล่าว “เรื่องนี้ดาร์คเนสดีวิลอย่างเรารู้ดี เราไม่เคยเป็นที่ชื่นชอบของเผ่าพันธุ์ไหน จะว่าไป หากมองในอีกแง่มุมหนึ่ง ปีศาจเราก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ชวนให้เกี่ยวดองนัก”

          “เดิมทีข้าก็เคยคิดเช่นเจ้า ข้าก็เป็นอีกคนที่ไม่ค่อยมองดาร์คเนสดีวิลในแง่ดีนัก ทั้งด้วยความแปลกประหลาด ความน่ากลัว ความแข็งกระด้าง” อาร์ทูมิสพยักหน้า “แต่ ณ วันนี้ ข้าตระหนักได้ว่าข้าคิดผิด ไม่ว่าดาร์คเนสดีวิลจะเป็นเช่นไร มิตรภาพและความรักก็ไม่เคยแบ่งแยกความแตกต่าง กองไฟแต่ละกองที่เจ้าเดินผ่านมาเมื่อสักครู่นี้คือกองไฟที่ฟอเรสเทอร์ โฮเซ่ และดาร์คเนสดีวิลนั่งอยู่ด้วยกัน พวกเขาทุกคนแตกต่าง แต่พวกเขาทุกคนก็เป็นหนึ่งเดียวกัน มิตรภาพเกิดขึ้นได้เสมอหากเราทุกคนพร้อมที่จะเปิดใจ มันคือสิ่งมหัศจรรย์โซลิแทร์”

          “ความจริงแล้ว ข้าก็ไม่นึกเหมือนกันว่าการที่เรามาที่นี่ จะมีคนจากเผ่าพันธุ์อื่นมาปฏิบัติดีกับเราเช่นนี้” โซลิแทร์พูดเสียงเบา “ไม่บ่อยนักหรอกที่จะมีใครมาทำอะไรดีๆ กับเผ่าพันธุ์เรา”

          “และมันก็จะเป็นเช่นนั้นต่อไป” อาร์ทูมิสจับหน้าโซลิแทร์อีกครั้ง “พักผ่อนเสียนะหลานชาย พรุ่งนี้ตอนเที่ยงเราสองคนจะต้องเข้าร่วมประชุม ข้าจะไปตรวจอาการท่านหัวหน้าเผ่าเสียหน่อย”

          เธอเก็บตะกร้าสมุนไพรขึ้นมาแล้วเดินไป โซลิแทร์มองบ้านต้นไม้ บ้านหลังที่ตนเกิดมา เขาจำอะไรเกี่ยวกับมันไม่ได้เลย ไม่แม้แต่นิดเดียว

          “ท่านป้าครับ” เขาถามไล่หลังเธอ “ตอนที่ข้าเกิด แม่ของข้าได้อุ้มได้กอดข้าหรือเปล่า”

          “ป้าได้อุ้มได้กอดเจ้า มันสำคัญที่ตรงนี้จ้ะ” อาร์ทูมิสตอบกลับมา

 

*******************

 

            ในยามเที่ยงตรงของวันต่อมา เหล่าผู้ปกครองอาณาจักรกาโกคอลสี่คน เหล่าผู้ปกครองอาณาจักรแบร์ร็อคห้าคน และเหล่าผู้นำอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลสามคน ต่างก็นั่งอยู่ในห้องประชุมบนเก้าอี้ที่จัดไว้รอบห้องเป็นวงกลม มีแท่นอ่างน้ำเล็กๆ ที่ทำด้วยหยกอยู่กึ่งกลางห้อง ห้องนี้เป็นห้องทรงกลมที่อยู่บนยอดสูงสุดของปราสาทต้นไม้ ผนังรอบด้านเป็นกิ่งไม้ใบไม้ พวกฟอเรสเทอร์เปิดช่องหน้าต่างรับแสงหลายช่องเพราะเผ่าพันธุ์อื่นๆ ไม่มีสายตากลางคืนแบบพวกตน มุมมืดในห้องก็มีการนำพืชเรืองแสงมาวาง กลายเป็นห้องที่มีสีสันสวมงามยิ่งนัก ส่วนเครื่องตกแต่งอื่นๆ ก็เป็นกระถางดอกไม้หรือไม่ก็เป็นตะกร้าผลไม้ เอกลักษณ์ของการตกแต่งแบบฟอเรสเทอร์คือให้ความรู้สึกสบายและเป็นธรรมชาติ

          อย่างไรก็ตาม บรรยากาศในห้องประชุมค่อนข้างตึงเครียด เนื่องด้วยประเด็นที่พวกเขาจะมาหารือกันในวันนี้คือปัญหาใหญ่ที่ยังไม่มีใครคิดหาทางออกได้ เซ็นแวนเดอร์นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานที่ปูด้วยขนสัตว์แทนแอเมน่า เขากับซิวาลินสวมชุดผ้าไหมสีเขียว คาดรัดเกล้าขนนกประจำตำแหน่งบนศีรษะ ขณะที่ไมริฟกับอาร์ทูมิสสวมชุดผ้าแพรตัวบางและสั้น คาดรัดขนนกบนศีรษะเช่นกัน ส่วนพวกโฮเซ่กับพวกดาร์คเนสดีวิลนั้นสวมชุดเกราะเต็มยศ หมวกเกราะและอาวุธถอดวางไว้ โซลิแทร์แม้จะยังมีฮู้ดคลุมศีรษะแต่ก็ถอดหน้ากากออกเพื่อแสดงความจริงใจในการพูดคุย ผมสีทองคำที่โผล่ออกมานอกหมวกฮู้ดส่องประกายเงาวับ

            “ทุกท่าน” เซ็นแวนเดอร์กล่าว “พวกเอลิล ซึ่งถูกชักใยโดยเซ็ทซาร์ด พยายามจะกำจัดเราทั้งสามเผ่าพันธุ์ ในตอนนี้พวกนั้นแข็งแกร่งมาก สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงก็ส่งผลให้พวกนั้นผลิตทหารได้อย่างรวดเร็ว คาดว่าบัดนี้คงมีจำนวนมหาศาล มากมายจนสามารถจัดการกับกองทัพที่เรามีเหลือในตอนนี้”

            “ฟอเรสเทอร์เราเสียกำลังพลมากมายไปกับศึกครั้งล่าสุด รวมทั้งหัวหน้าเผ่าของเราก็บาดเจ็บสาหัส” ซิวาลินรายงานความเสียหาย “ป่านอกเมืองแนวป้องกันที่ดีที่สุดของเรา ก็ถูกถางเปิดทาง เราใช้มันซุ่มยิงข้าศึกไม่ได้อีกแล้ว”

            “โฮเซ่เราถูกพวกเอลิลซ้อนแผนโจมตีทางทะเล” แดโมมิกซ์รายงาน “เราสูญเสียกำลังพลไปมากมาย และเมืองหน้าด่านเด็นร็อคซึ่งเป็นเมืองสำคัญของเรา ก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก”

            “ดาร์คเนสดีวิลเราสูญเสียทัพอากาศไปทั้งหมด ซึ่งเป็นหน่วยรบที่ดีที่สุดที่เรามี” เซซิลรายงาน “เซ็ทซาร์ดเดลิลวาสใช้อัญมณีขาวสะกดพวกเอเลนเซฟเวอรี่ให้บินไปถูกจองจำในฐานทัพเมืองเดธแอเรียทุกตัว ไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียว”

            “ยามที่เราทั้งสามฝ่ายกำลังเสียหายเช่นนี้ ถือเป็นเวลาเหมาะสมที่ข้าศึกจะโจมตี สงครามใหญ่กำลังจะเกิด และมันจะเริ่มต้นที่กาโกคอล ฟอเรสเทอร์กำลังจะรับศึกหนัก” เซ็นแวนเดอร์กล่าว แท่นอ่างน้ำหยกที่อยู่กลางห้องฉายแสงขึ้นมา กลายเป็นภาพจำลองแผนที่อาณาจักรทั้งห้าลอยอยู่ในอากาศ แต่ละอาณาจักรจะมีสีประจำเผ่าพันธุ์ของตน ไอซ์เมสสีเงิน โมราโซมอสสีแดง แบร์ร็อคสีน้ำตาล กาโกคอลสีเขียว โฟรเซ็นทิเนลสีดำ “พวกเอลิลจะกำจัดฟอเรสเทอร์เป็นฝ่ายแรก เนื่องด้วยอ่อนแอที่สุด อีกทั้งพวกนั้นก็จะใช้กลยุทธ์แบ่งแยกศัตรูที่เหลือออกจากกัน หากพวกนั้นยึดกาโกคอลได้--”  อาณาจักรกาโกคอลในภาพจำลองเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเงิน “--แบร์ร็อคและโฟรเซ็นทิเนลก็จะถูกตัดขาดออกจากันโดยสมบูรณ์”  มีเส้นตรงลากเชื่อมต่ออาณาจักรโมราโซมอส อาณาจักรไอซ์เมส และอาณาจักรกาโกคอล กลายเป็นเส้นกั้นระหว่างอาณาจักรแบร์ร็อคและโฟรเซ็นทิเนล “เมื่อดาร์คเนสดีวิลและโฮเซ่ถูกตัดขาดออกจากกัน ไม่สามารถสนับสนุนกันได้แม้แต่ทางเดียว การจะกำจัดทีละเผ่าพันธุ์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก”

            “เมืองหลวงกาโกคอลแห่งนี้คือศูนย์กลางของทั้งอาณาจักร หากมันถูกตีแตกก็พินาศทั้งอาณาจักร” อาร์ทูมิสเสริม “ซึ่งตอนนี้พวกเอลิลก็มีเส้นทางเดินทัพตัดตรงมาถึงเมืองหลวงของเราแล้ว”

            “เช่นนั้น เราต้องปกป้องทุกวิถีทาง เมืองหลวงกาโกคอลจะถูกตีแตกไม่ได้ เราจะทำให้พวกเอลิลขีดเส้นกั้นโดยสมบูรณ์ไม่ได้” เทอร์รินพูด

            “ท่านมีอะไรจะเสนอหรือ” เซ็นแวนเดอร์ถาม

            “แบ่งกำลังพลจากแบร์ร็อคและโฟรเซ็นทิเนลมาช่วยปกป้องกาโกคอล” เทอร์รินตอบ

            “เกรงว่านั่นจะไม่ได้ช่วยอะไรนัก” โซลิแทร์แย้ง

            เทอร์รินหันมามองโซลิแทร์ หน้าบึ้ง ไม่ชอบหน้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

            “โปรดชี้แจงด้วย” เซ็นแวนเดอร์ผายมือไปที่โซลิแทร์

            “แนวป้องกันของกาโกคอลที่เหลืออยู่ตอนนี้คือกำแพงสองชั้นและฐานทัพในเมืองหลวง ซึ่งมันไม่รองรับคนจำนวนมากขนาดนั้นไม่ว่าจะเป็นพื้นที่บนกำแพงหรือพื้นที่ในฐานทัพ แม้เราจะมีคนจำนวนมากก็ใช้ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ มีแต่จะกีดขวางกันเองเสียมากกว่า” โซลิแทร์อธิบาย “เราจะใช้ประโยชน์จากคนที่เป็นส่วนเกินแทบไม่ได้เลย นอกจากเอามาให้พวกเอลิลฆ่าเฉยๆ”

            “หรือเราควรนำทัพทั้งหมดออกมาต่อสู้ในที่โล่ง” แอนดรอสเสนอ

            “การต่อสู้กับทัพศัตรูที่มีจำนวนมากกว่าในที่โล่งนั้น ไม่ใช่ความคิดที่เข้าท่านัก” กัปตันมาซูลแย้ง “มันจะยิ่งช่วยให้ศัตรูพิชิตเราง่ายขึ้น”

            “หมายความว่ากองทัพศัตรูมีจำนวนมากขนาดนั้นเลยหรือ” แอนดรอสเบิกตากว้าง

            “กองกำลังล่าสุดที่พวกเอลิลส่งมาถางป่าที่กาโกคอลนั้น มีจุดประสงค์เพื่อสร้างเส้นทางให้แก่กองทัพใหญ่ที่จะยกมาภายหลัง” เซซิลประเมิน “ลงทุนถางป่าสร้างถนนขนาดนี้หมายความว่ากองทัพต่อไปที่จะยกมานั้นจะต้องมีกองเกวียน อาวุธหนัก และเครื่องกลสงครามจำนวนมากมาย กองทัพที่มีสิ่งเหล่านี้จะต้องเป็นกองทัพใหญ่ มีจำนวนมากมายเป็นพิเศษ”

            “ท่านประเมินไว้ประมาณไหน” ซิวาลินถาม ดูจะกลัวคำตอบ

            “เรื่องจำนวนข้าไม่อาจประเมินได้แน่ชัดนัก” เซซิลตอบ “แต่ข้าพอจะประเมินได้ว่ามันมีจำนวนมากถึงขั้นสามารถสร้างความเสียหายแก่กาโกคอล จนกาโกคอลไม่สามารถป้องกันตัวเองได้อีกต่อไป หรือไม่ก็อาจมีจำนวนมากกว่านั้น ถึงขนาดสามารถพิชิตกาโกคอลได้ภายในครั้งเดียวที่ยกมา”

            “มากขนาดนั้นเลยหรือ” ไมริฟร้อง

            “นั่นแค่กองทัพที่จะยกมาโจมตีกาโกคอล แต่ไม่ใช่ทั้งหมดที่พวกเอลิลมี” เซซิลเสริม

            “ท่านหมายความว่าอย่างไร”

            “ในตอนนี้เผ่าพันธุ์เอลิลถูกควบคุมโดยเซ็ทซาร์ด ซึ่งเป็นคนของเฟลมฟอร์ส กลยุทธ์การรบจึงเป็นไปตามรูปแบบของเฟลมฟอร์ส จากการที่ดาร์คเนสดีวิลเรารบกับเฟลมฟอร์สมายาวนานทำให้เราทราบว่าเฟลมฟอร์สมักจะใช้กลยุทธ์โจมตีอย่างเด็ดขาด แบบที่อีกฝ่ายจะหาทางหยุดยั้งหรือสกัดทัพใหญ่ไม่ได้” โซลิแทร์อธิบาย “ข้ามั่นใจว่ากองทัพใหญ่จะไม่ใช่กองทัพเดียวที่เดลิลวาสส่งออกมา จะต้องมีอีกอย่างน้อยสองกองทัพเล็กๆ ถูกส่งออกมาก่อน ซึ่งกองทัพเล็กทั้งสองนี้จะแยกกันไปโจมตีแบร์ร็อคและโฟรเซ็นทิเนล”  ภาพจำลองกลางห้องเปลี่ยนตามการอธิบายของเขา มีธงสัญลักษณ์อันหนึ่งของเอลิลมุ่งหน้าเฉียงขึ้นไปทางอาณาจักรแบร์ร็อค และธงอีกอันหนึ่งมุ่งหน้าเฉียงลงไปทางอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล “ทำเช่นนี้ก็เพื่อบีบให้โฮเซ่และดาร์คเนสดีวิลต้องถนอมกองกำลังไว้ป้องกันพื้นที่ของตน ไม่สามารถส่งไปก่อกวนกองทัพใหญ่กลางทางหรือส่งไปสนับสนุนกาโกคอลได้ หากจะส่งไปก็ส่งไปได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น ทุกท่าน เราไม่ได้กำลังเผชิญกับกองทัพใหญ่เอลิลเพียงกองทัพเดียว เราต้องเผชิญกับกองทัพเล็กอีกสองกองทัพ ซึ่งการที่ข้าใช้คำว่าเล็กนั้นคือมันเล็กเมื่อเทียบกับกองทัพใหญ่เอลิล แต่มันไม่เล็กแน่เมื่อเทียบกับกองทัพที่เรามี เดิมทีพวกเฟลมฟอร์สใช้กลยุทธ์นี้ไม่ได้เพราะจุดยุทธศาสตร์และเส้นทางเดินทัพไม่เอื้ออำนวย แต่ตอนนี้พวกนั้นควบคุมพวกเอลิลและมีฐานทัพในอาณาจักรไอซ์เมสซึ่งอยู่ระหว่างกลางทุกอาณาจักร ฉะนั้นจึงมีเส้นทางเดินทัพที่เปิดกว้างมาก”

            “รวมๆ ทั้งหมดแล้ว พวกเอลิลน่าจะมีกำลังพลมากกว่าหนึ่งแสน” โฟเดเซียกุมหน้าผาก

            “และยังมากกว่านั้นอีก” เซซิลเสริม “กลยุทธ์ของเฟลมฟอร์สค่อนข้างรอบคอบ ยามที่พวกนั้นส่งกองทัพออกไปโจมตีศัตรู พวกนั้นไม่เคยปล่อยให้ฐานที่มั่นขาดการป้องกัน ฉะนั้นแม้กองทัพทั้งสามจะเคลื่อนพลออกนอกฐานทัพแล้ว ก็จะยังมีอีกกองทัพหนึ่งที่อยู่ป้องกันฐานทัพ หากให้ข้าเดา คาดว่าน่าจะมีจำนวนไม่ต่ำกว่าสี่หมื่น เตรียมพร้อมสำหรับแผนสำรอง”

            “แผนสำรองอย่างนั้นหรือ” แดโมมิกซ์ถาม

            “หากเกิดปาฏิหาริย์ว่าเราสามารถต้านสามทัพที่พวกเอลิลส่งมาได้ พวกเอลิลที่เหลืออยู่ในฐานทัพก็จะตั้งตัวกันใหม่ อาศัยสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงผลิตกองทัพขึ้นมาใหม่ในเวลาอันรวดเร็ว” โซลิแทร์อธิบาย “ซึ่งในตอนนั้นเราทั้งสามฝ่ายก็คงเสียหายหนักจากการสู้ศึกระลอกแรกไปแล้ว คราวนี้เพียงแค่เอลิลส่งกองทัพเล็กๆ มาอีกสักกองก็สามารถกวาดพวกเราทั้งสามฝ่ายเรียบได้ในครั้งเดียว”

            ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด มองไม่เห็นหนทางที่จะพ้นวิกฤตนี้ไปได้เลย ศัตรูของพวกเขาใช้กลยุทธ์ที่พวกเขาไม่อาจหยุดยั้งได้ไม่ว่าจะทางใด นี่คงเป็นความหมายของคำว่ามืดแปดด้าน

            “พวกท่านคิดว่ายังไง” เซ็นแวนเดอร์เอ่ยขึ้นช้าๆ “หากเราจะไปขอความช่วยเหลือจากพวกมนุษย์ พวกนั้นก็ถูกพวกเอลิลโจมตีเมืองโอมิลรอนเหมือนกัน”

            พวกโฮเซ่กับพวกดาร์คเนสดีวิลพร้อมใจกันห้าม

            “พวกมนุษย์ไม่ช่วยเราแน่นอน” เทอร์รินรีบห้าม “แม้ว่าพวกนั้นกับพวกเอลิลจะไม่ได้ญาติดีกัน แต่พวกนั้นเกลียดพวกเรายิ่งกว่าเกลียดพวกเอลิลร้อยเท่า”

            “พวกเอลิลกำลังทำสิ่งที่พวกมนุษย์ต้องการ นั่นคือช่วยกำจัดพวกเรา” กัปตันมาซูลพูด “หากพวกมนุษย์จะเข้าร่วมกับใคร พวกนั้นคงเลือกเข้าร่วมกับพวกเอลิลมากกว่าพวกเรา”

            “ครั้งสุดท้ายที่ดาร์คเนสดีวิลจับมือกับมนุษย์ เราต้องตกเป็นอาณานิคมของมนุษย์ในระยะเวลายาวนาน” โซลิแทร์พูด “เชื่อว่าพวกท่านคงไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับตน”

            “เข้าใจแล้ว” เซ็นแวนเดอร์พยักหน้า “งั้นตัดเรื่องพวกมนุษย์ไปได้เลย”

            “ทุกท่านคะ” อาร์ทูมิสเอ่ยขึ้น “ที่พวกเอลิลเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็วก็เพราะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ในกรณีนี้ ถ้าหากเราสามารถทำให้สภาพอากาศกลับมาเป็นเหมือนเดิม ก็จะลดข้อได้เปรียบของศัตรูได้ในระดับหนึ่ง”

            “จะให้สภาพอากาศกลับมาเป็นเหมือนเดิม เราก็ต้องทำให้ดาวดวงนี้กลับมาอยู่ในสภาพสมดุล และการจะทำให้ดาวดวงนี้กลับมาอยู่ในสภาพสมดุลนั้น เราก็ต้องปลดปล่อยดาบแดนน้ำแข็งอีกเล่มที่ยังถูกจองจำอยู่” เทอร์รินกล่าวเป็นขั้นเป็นตอน “แล้วเราจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับดาบแดนน้ำแข็งเลย”

            “ทุกท่าน” โซลิแทร์เอ่ยขึ้น “ข้ามีแผ่นคำสาปสำหรับปลดปล่อยดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์”  

          ทุกคนหันมามองเขาเป็นตาเดียวกัน

          “ท่านมีหรือ” เซ็นแวนเดอร์เบิกตากว้าง

          “ข้ามี” โซลิแทร์พยักหน้า “แผ่นคำสาปนี้มีรายละเอียดทุกอย่างที่ผู้ปลดปล่อยต้องการ ทั้งพิกัดตำแหน่งดาบ รหัสข้อความปลดปล่อยดาบ เงื่อนไขการปลดปล่อยดาบ หากพวกท่านสักคนต้องการเดินทางไปปลดปล่อยดาบ ข้าก็ยินดีมอบแผ่นคำสาปให้”

          ทั้งห้องเงียบกริบ ไม่มีใครส่งเสียงแม้แต่น้อย ชัดเจนเลยว่าไม่มีใครอยากจะไปปลดปล่อยดาบ มันเป็นการหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ  ต้องทนหนาวเดินทางไปยังอาณาจักรไอซ์เมส เสี่ยงชีวิตกับด่านต่างๆ ที่รักษาดาบอยู่ โอกาสสำเร็จมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แม้จะเกิดปาฏิหาริย์ว่าทำสำเร็จก็ยังต้องคำสาปไปกับดาบตราบชั่วชีวิต ทั้งหมดนี้เพียงเพื่อได้ดาบดีๆ มาเล่มหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ได้ดีกว่าดาบธรรมดามากมายนัก

          “จะปลดปล่อยดาบได้จะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาดาร์เคนใช่ไหม” เทอร์รินถาม

          “ใช่” โซลิแทร์พยักหน้า

          “ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด ทุกคนในห้องนี้ มีเพียงท่านที่มีความสามารถนั้น” เทอร์รินถามต่อ

          “ใช่” โซลิแทร์พยักหน้า

          “และถ้าข้าเข้าใจไม่ผิดอีก ท่านก็คงจะไม่อาสา” เทอร์รินถามต่อ

          “ใช่” โซลิแทร์ยอมรับ

          “นึกแล้ว” เทอร์รินทำเสียงดูถูก

          “แล้วถ้าท่านมีความสามารถเรื่องภาษาดาร์เคนเหมือนกัน ท่านจะอาสาหรือไง” กัปตันมาซูลย้อนถามอย่างเหลืออด

          เทอร์รินเงียบ

          “ทุกท่าน ต่อให้เราคืนความสมดุลแก่ดาวดวงนี้ได้ มันก็ยังไม่ได้แก้ปัญหาให้เรา ถึงอย่างไรเราก็ยังสู้พวกเอลิลไม่ได้อยู่ดี” กอร์รินดึงเรื่องกลับ “สามกองทัพที่พวกเอลิลส่งออกมา เรายังมองไม่เห็นหนทางจะจัดการกับมันได้ ไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นอย่างไร พวกนั้นก็กำลังจะชนะเรา”

          นั่นคือความจริง พวกเขาก็ยังหาทางออกไม่ได้อยู่ดี

          “ข้า” ซิวาลินเอ่ยขึ้นช้าๆ “ขอเสนอหนทางหนึ่ง”

          “เชิญ” คนอื่นๆ ถึงกับพูดพร้อมกัน พวกเขาต่างอยากได้ยินหนทางแก้ปัญหา เพราะในตอนนี้ไม่มีใครคิดออกเลย ซิวาลินอาจเป็นคนเดียวที่คิดออก

          “รอให้พวกเอลิลส่งกองทัพทั้งสามออกมาจนหมด แล้วจึงส่งกองทัพไปโจมตีฐานทัพของพวกนั้น” ซิวาลินพูดสั้นๆ

          ไม่แปลกใจเลยว่าแต่ละคนจะมองหน้าเขาเหมือนเห็นคนเสียสติ

          “ทำเช่นนั้นมันได้อะไรขึ้นมาหรือ” กอร์รินข้องใจ

          “หากฐานที่มั่นของพวกเอลิลได้รับความเสียหาย ปฏิบัติการทุกอย่างของพวกเอลิลก็จะช้าลง” ซิวาลินตอบ “อย่างน้อยก็เรื่องการผลิตประชากรเพิ่ม มันจะต้องหยุดไปสักพักหากฐานทัพเอลิลถูกโจมตี”

          “ข้าได้ชี้แจงไปแล้วว่า แม้พวกเอลิลจะส่งสามกองทัพออกมาแล้ว แต่ในฐานทัพก็ยังเหลือกองทัพอีกราวสี่หมื่น” เซซิลเตือนความจำ “พวกนั้นมีกำแพงและอาวุธหนักป้องกันเมืองนะ จะพิชิตได้จะต้องใช้กำลังพลมากกว่านั้นไม่รู้กี่เท่า ซึ่งเราก็ไม่มี”  

          “เราไม่ได้บุกไปเพื่อพิชิต” ซิวาลินแก้ไข “เราบุกไปเพียงสร้างความเสียหาย เพื่อชะลอพวกเอลิล”

          “กระนั้นก็ต้องใช้กำลังพลจำนวนมากอยู่ดีจึงจะสร้างความระคายแก่ฐานทัพเดธแอเรียได้” เซซิลพูด “หากยกไปน้อยเกินก็เท่ากับส่งไปตายเปล่า โดยที่พวกเอลิลแทบไม่เสียหายอะไรเลย”

          “เดี๋ยวก่อนนะ ข้ายังไม่เข้าใจ” กอร์รินยังไม่หายข้องใจ “การส่งทัพไปสร้างความเสียหายแก่ฐานทัพเอลิลมันช่วยให้เราต้านสามกองทัพของพวกเอลิลยังไง ถ้าท่านคิดว่าทั้งสามทัพนั้นจะชะลอการโจมตีเมื่อฐานที่มั่นของตนถูกโจมตี ท่านคิดผิดแล้ว พวกนั้นก็จะยังเดินหน้าโจมตีเราต่อไปเพราะไม่มีอะไรต้องกังวล กองทัพเอลิลสี่หมื่นคนยังคงอยู่รักษาฐานทัพ มันไม่ถูกตีแตกแน่

          “ถูกแล้ว” ซิวาลินพยักหน้า “สามกองทัพที่พวกเอลิลส่งออกมานั้น เราไม่สามารถหยุดยั้งได้หรือชะลอได้ อย่างเก่งก็แค่เอาชนะสองกองทัพเล็กที่ยกไปยังแบร์ร็อคและโฟรเซ็นทิเนลได้ แต่ไม่มีทางจะเอาชนะหรือหยุดยั้งทัพใหญ่ที่ยกมายังกาโกคอลได้”

          “เช่นนั้นวิธีการของท่านมีประโยชน์อะไร” กอร์รินถามต่อ

          “ความหวัง” ซิวาลินตอบ “อย่างน้อยก็ยังทำให้พวกที่เหลืออยู่มีความหวังที่จะสู้ต่อแม้กาโกคอลจะได้รับความเสียหายหนัก หรือแม้กระทั่งแตกพ่าย”

          “ท่านหมายความว่ากาโกคอลมีแนวโน้มจะแตกจริงๆ หรือคะ” ไมริฟร้อง

          “มีแนวโน้มแน่นอน และมีไม่น้อยด้วย ศัตรูทั้งแข็งแกร่งและมีจำนวนมาก” ซิวาลินพูดเศร้าๆ  “เราจะอพยพคนที่ไม่ใช่นักรบไปยังแบร์ร็อค ส่วนพวกที่รบได้จะอยู่สู้กับพวกเอลิลที่นี่ ตัดกำลังสร้างความเสียหายแก่ทัพใหญ่เอลิลให้ถึงที่สุด หากถึงขั้นต้านไม่ไหว เราก็จะถอนกำลังพลที่เหลือไปสมทบกับคนอื่นๆ ที่แบร์ร็อค วิธีนี้แม้เราจะเสียอาณาจักรกาโกคอล แต่กองทัพใหญ่ของพวกเอลิลก็ต้องได้รับความเสียหายพอสมควร ประกอบกับที่ฐานทัพเอลิลที่ไอซ์เมสได้รับความเสียหายด้วย นั่นจะชะลอพวกเอลิลได้นานพอสมควร เพิ่มเวลาและความหวังแก่พวกเราที่เหลือสำหรับการสู้ต่อไป”

          “ฟังดู มันก็แค่เป็นการยืดเวลาให้ตายช้าลง” กัปตันมาซูลออกความเห็น

          “มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เราทำได้ไม่ใช่หรือ” ซิวาลินบอก

          “แล้วมันมีประโยชน์อะไร ไอ้การตายช้าลงนี่” แดโมมิกซ์ถามต่อ

          “อย่างน้อย การที่เรามีเวลามากขึ้น ก็ทำให้เรามีความหวังมากขึ้น” ซิวาลินตอบ

          “หวังลมๆ แล้งๆ น่ะสิ” แอนดรอสหัวเราะฝืดๆ “ท่านคิดว่าถ้าเรายืดเวลาตายไปเรื่อยๆ มันจะมีกองทัพจากฟ้าโผล่มาช่วยเราหรือ”

          “กรุณาพูดจาดีๆ หน่อย” ไมริฟเริ่มฉุนเฉียว “เขาเป็นคนตำแหน่งสำคัญของเผ่าพันธุ์ข้านะ”

          “ไมริฟ” เซ็นแวนเดอร์ปรามอย่างสงบ “ใจเย็นๆ ก่อน”

          “สมมุติว่าเราทำตามแผนของท่านซิวาลิน ข้าจะบอกว่าผู้ที่อยู่รับศึกที่กาโกคอลนั้น ไม่ใช่ผู้ที่เผชิญสถานการณ์สาหัสที่สุด ผู้ที่ต้องพบเจอกับความสาหัสจริงๆ คือผู้ที่ต้องยกทัพไปโจมตีฐานทัพพวกเอลิลต่างหาก” กอร์รินเอ่ยขึ้น “กองทัพที่ยกไปต้องเผชิญกับความหนาวเย็น ความอดอยาก สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย สภาพภูมิประเทศที่เสี่ยงอันตราย แต่นั่นเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย นรกจะเริ่มบังเกิดเมื่อพวกท่านเคลื่อนพลเข้าหากำแพงฐานทัพเดธแอเรีย พวกเอลิลมีแนวป้องกันแข็งแกร่ง มีอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างดี มีกองทหารม้า มีพวกฟาร์ดาราสเป็นทัพอากาศ การบุกเข้าไปหาเท่ากับเป็นการขุดหลุมรอฝังตัวเอง พวกที่อยู่ต้านทัพใหญ่ที่กาโกคอลยังสู้อยู่ในพื้นที่คุ้นเลย อยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบ หากพ่ายแพ้ก็สามารถถอยทัพหนีไปยังแบร์ร็อคได้ แต่พวกที่บุกโจมตีฐานทัพเอลิลจะตรงข้ามกัน อาจมีแค่ขาไปไม่มีขากลับ ไม่รู้ว่าจะทำให้ศัตรูเสียหายมากแค่ไหน แต่มั่นใจได้เลยว่าฝ่ายตนจะเสียหายอย่างหนักแน่ อาจหนักถึงขั้นไม่อยู่ในสภาพจะถอยทัพกลับไหว ซึ่งหากกลับไม่ไหว ก็คงรู้ใช่ไหมว่ามันหมายความว่า ทุกคนที่ยกทัพไปจะตายกันหมด ไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว”

          “ท่านต้องการจะสื่อว่าอะไร” เซ็นแวนเดอร์ถาม

          “ข้าต้องการจะถามว่า” กอร์รินเน้นเสียง “ใคร จะยอมเป็นผู้ยกทัพไปโจมตีฐานทัพพวกเอลิล”

          เป็นอีกครั้งที่ทุกคนเงียบกริบไม่ส่งเสียงแม้แต่นิดเดียว คราวนี้เงียบกันนานเป็นนาที

          “นั่นไง” กอร์รินยิ้มด้วยสีหน้าสมเพช “คิดแผนกันมาอย่างดี แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครอยากเป็นผู้เสียสละ แต่ละฝ่ายต่างก็นึกถึงแค่ตนเองทั้งนั้น”

          “พูดเหมือนฝ่ายของท่านไม่นึกถึงเลยนะ” ไมริฟสวน

          กอร์รินเงียบ

          “ฟอเรสเทอร์ต้องอยู่ป้องกันกาโกคอล เรารับศึกหนักที่สุด อย่างดีที่สุดเราจะเสียหายหนักจนปกป้องตัวเองไม่ได้อีกในครั้งต่อๆ ไป อย่างร้ายที่สุดเราจะเสียทั้งเมืองในศึกครั้งนี้” ไมริฟพูดต่อ

          “เช่นนั้นเราโฮเซ่ยินดีมารับศึกแทนพวกท่าน” โฟเดเซียร์ตอกกลับ “ส่วนพวกท่านยกทัพไปโจมตีฐานทัพเอลิล เอาอย่างนี้ไหมล่ะ”

          ไมริฟเงียบ

          “โฮเซ่เป็นเผ่าพันธุ์เขตร้อน หากยกทัพไปไอซ์เมสความหนาวเย็นจะฆ่าเราตายก่อนทันได้ทำสงคราม” แดโมมิกซ์พูด

          “แล้วหากข้าสามารถหาหินผิวมังกรจำนวนมากที่ช่วยปรับสภาพร่างกายของพวกท่านให้ชินกับความหนาวเย็นได้ พวกท่านจะยกทัพไปไหม” อาร์ทูมิสถาม

          “พวกท่านจะหาจำนวนมากขนาดนั้นมาจากไหน” แดโมมิกซ์เลี่ยงประเด็น

          “ข้ารู้ว่าไมโนลล์ที่เกาะแฮนดรัสมีหินผิวมังกรกองโตเป็นภูเขา มากพอสำหรับคนทั้งกองทัพ” ไมริฟตอบ “ฉะนั้นเรื่องความหนาวเย็นตัดไปได้ และเมื่อไม่มีปัญหาเรื่องความหนาวเย็นแล้ว โฮเซ่จะอาสายกทัพไปไหม”

          แดโมมิกซ์เงียบ

          “ทำไมเราไม่ให้ฝ่ายที่เหลือกำลังพลมากที่สุดและคุ้นเคยกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นมากที่สุด เป็นผู้ยกทัพไปล่ะ” เทอร์รินปรายตาไปทางดาร์คเนสดีวิลทั้งสามคน

          พวกดาร์คเนสดีวิลที่อุตส่าห์เงียบอยู่เฉยๆ เพื่อหลบเลี่ยง เริ่มแสดงปฏิกิริยาไม่พอใจ

          “ไม่แปลกใจเลยที่พวกเอลิลเพียงเผ่าพันธุ์เดียวกำลังจะเอาชนะพวกเราทั้งสามเผ่าพันธุ์ได้” ซิวาลินลุกขึ้นยืนอย่างเหลืออดเหลือทน “ก็เพราะแต่ละเผ่าพันธุ์เอาแต่นึกถึงแค่ตัวเอง เกี่ยงกันไปถากถางกันมาแบบนี้ อย่างนี้เราจะหวังอะไรได้อีกล่ะ”

          หนนี้โฮเซ่ทุกคนลุกขึ้นยืนตามเขา

          “พอเสียทีกับไอ้เรื่องความหวังแบบไร้เหตุผลของท่าน” แดโมมิกซ์เสียงดัง “ท่านเอาแต่พูดเรื่องหวังโน่นหวังนี่ แต่สุดท้ายก็ต้องมีใครสักคนที่ไม่ใช่ฝ่ายของท่านมาเสียสละเพื่อหวังของท่านอยู่ดี”

          “โฮเซ่จะไปรู้อะไรเกี่ยวกับคำว่าเสียสละ” ไมริฟลุกขึ้นยืนตาม “ข้าไม่เห็นว่าโฮเซ่จะนึกถึงอะไรเลยนอกจากตนเอง”

          “ไมริฟ” อาร์ทูมิสปราม

          “แล้วฟอเรสเทอร์ไม่ได้เป็นเหมือนกันหรือไง” กอร์รินสวนกลับ

          “กอร์ริน” เทอร์รินปราม

          “แผนของท่านมันไม่ได้เกิดประโยชน์อันใดนอกจากแค่ทำให้ตายช้าลงเล็กน้อย” แอนดรอสว่า

          “หากท่านมีแผนที่ดีกว่านี้ก็เสนอมาเสียสิ” ซิวาลินชี้หน้า

          “ข้ารู้แต่ว่าในตอนที่เราต่างก็อยู่ในสภาพอ่อนแอ มันไม่เข้าท่าเลยที่จะยกทัพไปโจมตีใคร” เทอร์รินคำราม “สุดท้ายเราจะไม่เหลืออะไรเลย”

          “แต่ถ้าเราอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย เราก็จะไม่เหลืออะไรเลยเช่นกัน” ซิวาลินเถียงเทอร์ริน

          “ถ้าอย่างนั้นฟอเรสเทอร์ก็ยกทัพไปเสียเองเลยสิ” กอร์รินหมดความอดทน “ไม่ใช่ดีแต่พูดแบบนี้”

          “ทุกท่าน” เซ็นแวนเดอร์พูดอย่างเหนื่อยใจ “ทุกท่าน โปรดสงบสติอารมณ์กันก่อน”

          แต่ทุกคนก็ยังเถียงกันต่อไป เริ่มเสียงดังและมีอารมณ์มาเกี่ยวข้อง การที่พวกเขามาเถียงกันอย่างนี้ยิ่งจะเข้าแผนของเดลิลวาส เดลิลวาสต้องการให้แต่ละเผ่าพันธุ์แตกความสามัคคีกัน ท่าทางมันจะได้ผล โซลิแทร์ได้แต่นั่งอยู่บนเก้าอี้เงียบๆ  กัปตันมาซูลและเซซิลก็เช่นกัน รู้สึกว่าพวกตนไม่น่ามายุ่งเกี่ยวกับอะไรแบบนี้เลย ยิ่งนั่งมองพวกนี้เถียงกันยิ่งรู้สึกอ่อนใจ การประชุมครั้งนี้มีประโยชน์อะไร สุดท้ายแล้วก็ไม่มีเผ่าพันธุ์ใดอยากเป็นฝ่ายเสียสละมากที่สุด ไม่มีใครอยากนำกองทัพจำนวนมากไปตายโดยที่ฝ่ายของตนไม่ได้อะไรเลย

          หรือว่าดาร์คเนสดีวิลควรจะหลบเลี่ยงเรื่องปวดหัวที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้เสีย โฟรเซ็นทิเนลยังคงแข็งแกร่งที่สุดในสามอาณาจักร พวกเขามีกำแพงเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดถึงสามชั้น มีป้อมปราการ มีจุดยุทธศาสตร์รับศึกที่ดีที่สุด อย่างน้อยก็คงต้านศึกได้หลายครั้งอยู่ ถึงอย่างไรครั้งนี้ศัตรูก็ไม่ได้โจมตีฝ่ายที่แข็งแกร่งที่สุดก่อน กาโกคอลจะโดนก่อน ตามด้วยแบร์ร็อค โฟรเซ็นทิเนลจะอยู่รอดได้นานพอดู

          บางที สิ่งที่พวกเขาควรทำก็คือหันหลังกลับอาณาจักร ใช้ความแข็งแกร่งของตนปกป้องตัวเองตามลำพัง ปล่อยให้พวกโฮเซ่และพวกฟอเรสเทอร์จัดการปัญหากันเอง ดาร์คเนสดีวิลอาจแพ้สงครามพวกเอลิลสักวัน แต่อย่างน้อยก็ยังดำรงเผ่าพันธุ์ได้นานกว่าเผ่าพันธุ์อื่น ใครจะไปรู้ ขณะที่เผ่าพันธุ์อื่นถูกกำจัดไปทีละเผ่าพันธุ์ พวกเขาอาจมีเวลาสร้างความแข็งแกร่งเพิ่มให้ตนจนรักษาเผ่าพันธุ์ไว้ไปได้อีกนานแสนนาน

          ในขณะที่ในสมองของโซลิแทร์มีแต่ความงุนงง สิ้นหวัง และสับสน ความทรงจำในอดีตที่ผ่านมานานแสนนานก็ย้อนกลับเข้ามา คำพูดต่างๆ ปรากฏขึ้นในหัวอย่างแจ่มชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

          “อาจารย์ไพรม์ดีวอเชอร์ครับ ข้าได้ยินมาว่าเผ่าพันธุ์ดาร์คเนสดีวิลนั้นโดดเดี่ยว ไม่มีใครอยากคบหายุ่งเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ของเรา จริงหรือเปล่าครับ”

          “อาจารย์ไม่ขอปิดบังเจ้า ใช่แล้วมันคือความจริง เราเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำที่สุดในดาวดวงนี้ มีภาพลักษณ์ที่น่ากลัว แข็งกระด้าง ดุร้าย เย็นชา โลกส่วนตัวสูง หวงพื้นที่ และธรรมชาติของเราก็มีนิสัยไม่ค่อยผูกมิตรกับเผ่าพันธุ์อื่นนัก ใครจะอยากมาเป็นมิตรกับเรา จริงไหม”

          “ในเมื่อไม่มีใครอยากเป็นมิตรกับเรา ปีศาจเราก็อยู่ของเรา ไม่ต้องสนใจคนอื่น ดีไหมครับ เราทำตัวให้เข้มแข็ง ให้ยืนหยัดด้วยตัวของเราเอง ไม่ต้องพึ่งพาใคร ไม่ต้องห่วงใยใคร ไม่ต้องใส่ใจว่าใครจะคิดยังไงกับเรา ความจริงแล้วถ้าเราเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก เราก็คงไม่ต้องตกเป็นอาณานิคมของพวกมนุษย์”

          “โซลิแทร์หนุ่มน้อย ไม่ว่าปีศาจเราจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่สุดท้ายแล้วเราก็ไม่อาจอยู่เพียงลำพังได้ เราไม่ใช่พวกเอลิลหรือเฟลมฟอร์ส ปีศาจยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อ มีความรู้สึก มีหัวใจ เราไม่อาจหลอกตัวเองได้ว่าลึกๆ แล้วสิ่งมีชีวิตที่แข็งกระด้างอย่างเราก็อยากเป็นที่ยอมรับ อยากเป็นที่ไว้วางใจ อยากเป็นมิตรสำหรับใครสักคนบ้าง เราอาจแข็งแกร่งค้ำฟ้า ยืนหยัดอยู่ต่อไปได้นานแสนนาน แต่เมื่อใดก็ตามที่สิ่งรอบๆ ตัวเราเริ่มตายไปทีละอย่าง จนกระทั่งเหลือเพียงเรา เราจะพบว่าความแข็งแกร่งของเรามันไร้ความหมาย การเป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่มันคือเรื่องที่น่าเศร้าที่สุด การได้อยู่ร่วมกับใครสักคนที่พร้อมจะหยิบยื่นมิตรภาพและความจริงใจให้เราต่างหากคือการอยู่อย่างแข็งแกร่งโดยแท้จริง แม้จะได้อยู่ด้วยกันเพียงช่วงเวลาสั้นๆ  ก็ยังดีกว่าอยู่อย่างโดดเดี่ยวชั่วนิรันดร์ ฉะนั้นอย่าได้โกรธเคืองเซ็นเทอริอัส แบล็กโฟรเซ็นสตอร์มบรรพบุรุษของเจ้าที่หลงกลไปจับมือกับพวกมนุษย์เลย เขาทำเพราะมีความหวังในคำว่ามิตรภาพ มันมีค่าที่สุดยิ่งกว่าสิ่งใดๆ  และเป็นสิ่งที่เผ่าพันธุ์อย่างเราหาได้ยากยิ่ง ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไร มันคุ้มค่าทั้งนั้น”

          “มิตรภาพ มันมีค่ามากขนาดนั้นเลยหรือครับ”

          “สักวัน เมื่อเจ้าได้สัมผัสมัน เจ้าจะเข้าใจ ว่าสิ่งเล็กน้อยอย่างมิตรภาพและความรัก คือความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”

          ในขณะที่โซลิแทร์กำลังคิด สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นถาดผลไม้ที่วางประดับอยู่ที่โต๊ะริมห้องประชุม มีแอปเปิลผลหนึ่งวางอยู่ในถาด แล้วอีกหนึ่งความทรงจำก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวของเขา เด็กหญิงมนุษย์คนหนึ่งกัดแอปเปิลแล้วยื่นให้เขา พร้อมด้วยรอยยิ้มอันบริสุทธิ์และจริงใจ

          “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เข้มแข็งเข้าไว้นะ เจ้าเป็นเพื่อนของข้า สำหรับข้าแล้วเจ้าคือยอดปีศาจเสมอ”  

          มาร์กอลลอส จอมพิชิต นักรบที่เก่งกาจและทรงพลังที่สุดในดาวดวงนี้ ร่วงตกลงไปในหลุมพลังมืดด้วยสายฟ้าของเด็กชายปีศาจที่แสนจะธรรมดา ผู้ซึ่งนอนบาดเจ็บอยู่บนพื้นหิมะเย็นเฉียบ พยายามต่อสู้ด้วยหัวใจอันเข้มแข็งดั่งยอดปีศาจ แอปเปิลที่มีรอยกัดรูปสายฟ้าลูกนั้นวางอยู่ข้างกาย

          เบื้องหน้าโซลิแทร์นั้น คนอื่นๆ ก็ยังคงเถียงกันอยู่

          “ยอมรับความจริงเถิด วิธีของท่านมันไม่เข้าท่า” เทอร์รินคำราม

          “ท่านก็เอาแต่บอกว่าวิธีของข้ามันไม่เข้าท่า แต่ไม่เห็นท่านจะเสนอวิธีที่เข้าท่ากว่าออกมาให้เห็นเลย” ซิวาลินพูดเสียงดังลั่น

          “แล้วถ้าหากใช้วิธีของท่าน ท่านคิดว่ายกทัพไปแล้วจะทำอะไรพวกเอลิลได้ จะสร้างความเสียหายให้พวกนั้นได้มากแค่ไหนเราก็ไม่รู้” กอร์รินขึ้นเสียง “แต่ที่รู้แน่ชัดคือกองทัพที่ส่งไปนั้นจะตายกันเกือบหมด หรืออาจถึงขั้นตายหมด ใครจะเป็นฝ่ายเสียสละยกทัพไปบุกมิทราบ หรือจะเป็นท่านกับฟอเรสเทอร์ของท่าน ตอบข้ามาสิ”

          “ข้าและดาร์คเนสดีวิลจะยกทัพไปที่นั่นเอง” โซลิแทร์พูดเสียงเบา

            สิ้นเสียงของเขา ทุกคนที่กำลังเถียงกันอยู่นั้นกลับกลายมีอันเป็นใบ้ไปเลย เซ็นแวนเดอร์ที่กำลังอ้าปากพูดนั้นพูดต่อไม่ออก เทอร์รินยกมือค้างอยู่อย่างนั้น เซซิลและกัปตันมาซูลหันไปมองหน้าโซลิแทร์

“ข้าเป็นคนที่มีแผ่นคำสาปและรู้วิธีใช้มัน ข้าจะเดินทางไปปลดปล่อยดาบฟรอสท์ฟอร์เมอร์เพื่อให้สภาพอากาศกลับมาเป็นเหมือนเดิม พวกเอลิลจะไม่เพิ่มจำนวนรวดเร็วเหมือนเก่า” โซลิแทร์ลุกขึ้นยืน “ส่วนเรื่องฐานทัพเอลิล ข้าเองก็ไม่รู้ว่ากองทัพของเราจะสร้างความเสียหายได้มากน้อยแค่ไหน แต่เราจะพยายามอย่างสุดความสามารถ หวังว่ามันจะเสียหายเพียงพอ”

            ต้องใช้เวลาราวๆ หนึ่งถึงสองนาทีกว่าคำพูดนี้จะซึมเข้าสู่สมองของทุกคน

          “ต--แต่” เซ็นแวนเดอร์ติดอ่าง

          “โซลิแทร์” อาร์ทูมิสกระซิบ

          “การปลดปล่อยดาบแดนน้ำแข็งเป็นเรื่องอันตราย หลายคนเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น เฮเวนล็อค พ่อของท่าน อาของท่าน” โฟเดเซียร์พูด “ท่านอาจเป็นหนึ่งในนั้นด้วย”

          “ข้ารู้” โซลิแทร์พยักหน้า

          “ต่อให้ปลดปล่อยดาบสำเร็จ ท่านก็จะต้องคำสาปไปกับมันตลอดชีวิต” แดโมมิกซ์เสริม

          “ข้ารู้” โซลิแทร์พยักหน้า

          “เผ่าพันธุ์ดาร์คเนสดีวิลไม่สันทัดเรื่องการโจมตีเมือง” แอนดรอสบอก “แล้วพวกท่านก็กำลังจะไปโจมตีเมืองของพวกเอลิลที่แม้แต่เผ่าพันธุ์ที่เก่งเรื่องโจมตียังไม่กล้า”  

          “ข้ารู้” โซลิแทร์พยักหน้า

          “พวกท่านไม่มีกองทัพอากาศ ขณะที่พวกเอลิลมีกองทัพอากาศหุ้มเกราะ” ซิวาลินพูดเสียงเบา “พวกท่านจะสู้ศึกด้วยความยากลำบากอย่างสาหัส”

          “ข้ารู้” โซลิแทร์พยักหน้า

          “ต้องใช้กองทัพเกือบทั้งหมดที่พวกท่านมี จึงจะสร้างความเสียหายให้แก่ฐานทัพเอลิลได้เพียงพอ” ไมริฟพูดเสียงสั่นน้อยๆ “หากพวกท่านยกออกไป โฟรเซ็นทิเนลจะไม่เหลือกองกำลังไว้ป้องกัน เป็นไปได้สูงมากว่าทัพเอลิลขนาดเล็กที่ยกพลไปบุกโฟรเซ็นทิเนลนั้น จะเข้าตีให้แตกได้ไม่ยาก”

          “ข้ารู้” โซลิแทร์พยักหน้า มีความเจ็บปวดในน้ำเสียง

          “กองทัพที่พวกท่านยกไปจะตายกันมากมาย” กอร์รินพูดช้าๆ “และอาจตายกันทั้งหมด ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว”

          “ข้ารู้”

          “เพื่อนยาก ทุกเผ่าพันธุ์ล้วนต้องการที่จะอยู่รอด พวกท่านดิ้นรนต่อสู้อย่างยากลำบากมาตลอดเพื่อให้ดาร์คเนสดีวิลดำรงอยู่ต่อไปอย่างเข้มแข็ง” กอร์รินพูดอย่างหดหู่ “พวกท่านมีกำแพง มีป้อมปราการ มีกองทัพเหลืออยู่ พวกท่านมีสิทธิ์ที่จะเก็บความแข็งแกร่งของตนไว้ปกป้องตนเอง พวกท่านไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้”

          “ปีศาจเราอาจแข็งกระด้าง เย็นชา ดุร้าย ไม่เป็นมิตร แต่ไม่ว่าจะยังไงเราก็ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อ มีความรู้สึก มีหัวใจ สุดท้ายแล้วเราก็ไม่อาจอยู่เพียงลำพังได้” โซลิแทร์ยืนขึ้น พูดเสียงเบา “ที่ผ่านมานี้ เราพยายามทำทุกสิ่งให้ตนแข็งแกร่ง พยายามรักษาเผ่าพันธุ์ให้ดำรงอยู่ได้นานที่สุด แต่เราไม่เคยตระหนักเลยว่า ต่อให้ดาร์คเนสดีวิลแข็งแกร่งค้ำฟ้า อยู่ต่อไปได้ชั่วกาลปาวสาน มันก็ไม่มีความหมายอะไรเมื่อต้องกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่  ความเข้มแข็งที่แท้จริงไม่ใช่การมีกำแพงน้ำแข็งสามชั้น มีป้อมปราการอันแข็งแกร่ง หรือมีกองทัพอันเกรียงไกร แต่คือการมีสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่มีพลังมหาศาลที่ทุกคนมักจะมองข้ามไป มิตรภาพ” เขาหันไปมองที่ถาดผลไม้ริมห้อง มองไปที่ผลแอปเปิล “ปีศาจเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่น่าคบนัก เรื่องนี้ข้ายอมรับ ก็เราทั้งน่ากลัว แข็งกร้าว ดุร้าย ชั้นต่ำ และไม่ค่อยเป็นมิตรกับใคร ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะไม่มีใครอยากมาเป็นมิตรกับเรา แต่ข้ายังจำได้ ตอนอยู่ที่ฟรอสท์ไอรอนแคลด กอร์รินแสดงให้ข้าเห็นว่าเด็กหนุ่มจากตระกูลสูงศักดิ์อย่างเขาก็เข้าอกเข้าใจกันกับเด็กหนุ่มผู้ไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างข้าได้ ไมริฟทำให้ข้ารู้ว่าการมีปฏิสัมพันธ์กันคนต่างเผ่าพันธุ์นั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นอย่างที่ข้าคิดมาตลอด และเมื่อข้ากับพวกพ้องมาถึงที่นี่ พวกฟอเรสเทอร์ก็เอาอาหารมาให้เรากิน เล่นดนตรีให้เราฟัง พูดคุยกับเรา ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเราด้วยความห่วงใย พวกโฮเซ่เล่นไพ่กับเรา เล่านิทานทะเลทรายให้เราฟัง ร่วมดื่มกับเรา สาปแช่งด่าทอพวกมนุษย์ที่เคยทำไม่ดีต่อเรา เราไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นมิตรเช่นนี้มาก่อน จริงอยู่ เรื่องพวกนี้มันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยทั่วๆ ไปสำหรับการผูกสัมพันธ์ แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าพวกท่านต้องการจะเป็นมิตรด้วย มิตรภาพคือสิ่งที่หาได้ยากยิ่งสำหรับปีศาจอย่างเรา พวกท่านดีต่อเรา แม้จะเล็กน้อยเพียงใดมันก็มีความหมาย มันทำให้เรารู้สึกว่า เราไม่ได้โดดเดี่ยว” เขาส่งยิ้มให้ทุกคน เป็นยิ้มที่แสนเศร้า “ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรเพื่อรักษามันไว้ มันก็คุ้มค่าทั้งนั้น”

          แล้วเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้อย่างสงบเสงี่ยม ก้มหน้าลงซึมๆ  เซซิลและกัปตันมาซูลแตะไหล่เขาคนละข้าง พยักหน้าให้ด้วยความนับถือ ทั้งสองเห็นดีกับเขาและพร้อมจะตามเขาไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ซิวาลินกับเซ็นแวนเดอร์ก้มหน้ามองพื้น แดโมมิกซ์ แอนดรอส และโฟเดียร์มองหน้ากัน แล้วค่อยๆ ก้มหน้าตาม อาร์ทูมิสน้ำตาไหล ไมริฟยกมือปาดน้ำตา กอร์รินยืนมองดาร์คเนสดีวิลทั้งสามอย่างสะเทือนใจ ไม่สามารถเอ่ยคำพูดอะไรออกมาจากปากได้

          เทอร์รินก้าวเข้าไปหาโซลิแทร์ช้าๆ  คุกเข่าย่อตัวลงข้างๆ เก้าอี้โซลิแทร์เพื่อจะได้พูดคุยด้วยอย่างใกล้ชิด โซลิแทร์หันมามองหน้าเขาเศร้าๆ

          “ข้าไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรให้เหมาะสม” เทอร์รินพูดช้าๆ  “ตลอดชีวิตของข้า ข้าทำสิ่งผิดๆ มามากมาย น่าอายที่ความผิดหลายๆ เรื่องข้าก็ไม่ยอมรับว่าเป็นความผิดของข้า แต่ไม่ว่าจะเรื่องใด ข้าก็ไม่เคยรับรู้ว่าตนผิดเท่านี้มาก่อนเลย ข้าแย่มากที่รังเกียจท่านเพราะความมีทิฐิของข้า ข้ามีอคติต่อท่านเพราะไม่รู้จักท่านดีพอ ความจริงแล้ว ท่านนั้นมีค่ามากกว่าข้าร้อยคนรวมกันเสียอีก ไม่มีใครจะคู่ควรกับการเรียกว่าเพื่อนมากไปกว่าท่านอีกแล้ว โปรดอภัยให้กับความโง่เขลาของข้าด้วย น้องชาย” เขาจับแขนโซลิแทร์พร้อมกับยิ้มอย่างจริงใจ “อาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลเป็นพื้นที่ของเจ้า ข้าทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้มันถูกตีแตก ข้าไม่ยอม” เขาเคาะอกเสื้อเกราะตนเองเสียงดัง ท่าทางเด็ดเดี่ยว “แม้มันจะไม่มีนักรบดาร์คเนสดีวิลเหลืออยู่ดูแล แต่ข้าและเหล่าทหารโฮเซ่ของข้าจะขอปกป้องมันด้วยชีวิต ข้าจะนำกองกำลังไปดักสกัดทัพเอลิลที่จะบุกโฟรเซ็นทิเนล เราจะปกป้องบ้านเพื่อนของเรา เหมือนกับบ้านของเราเอง”

          “ถ้าพวกท่านยกพลออกมาปกป้องบ้านของพวกเรา” โซลิแทร์ถามเสียงเบา “แล้วใครจะปกป้องบ้านของพวกท่าน”

          “เราจะอยู่ปกป้องบ้านของเราเอง” เสียงคำรามทุ้มๆ ดังขึ้น

            ทุกคนหันไปมองตามเสียงด้วยความตกใจ ไรมิน บุฟโฮปเดินถือตะเกียงขึ้นบันไดมาบนห้องประชุม โดยมีกัปตันวอร์ดิวตามหลังมา ฟอเรสเทอร์สองคนที่ทำหน้าที่เฝ้าบันไดนั้นถูกกัปตันวอร์ดิวอุ้มขึ้นมาด้วยอย่างง่ายดายราวกับตุ๊กตา

            “ไรมิน” เทอร์รินอ้าปากค้าง

          “อภัยให้ด้วยครับ ท่านรองหัวหน้าเผ่าไวท์วิสเพอร์” ฟอเรสเทอร์เฝ้ายามคนหนึ่งพูดหวาดๆ อยู่ในอ้อมแขนใหญ่โตของกัปตันวอร์ดิว “แต่ท่านบุฟโฮปยืนกรานที่จะบุกขึ้นมาบนห้องประชุมให้ได้”

          “อภัยให้ด้วยที่ข้าแอบฟังการประชุมของพวกท่าน” ไรมินคำราม “แต่ข้า ไรมิน บุฟโฮป หัวหน้าเหล่าแฮนดรัส จะขอเข้าร่วมในสงครามนี้ด้วย พวกเราแฮนดรัสเป็นกองกำลังกลุ่มเดียวที่พวกเอลิลไม่รู้ว่ามีตัวตน จึงไม่ได้วางแผนไว้รับมือกับพวกเรา ในเมื่อพวกดาร์คเนสดีวิลยอมต่อสู้ในศึกที่โหดเหี้ยมเพียงเพื่อรักษาความหวังให้เผ่าพันธุ์อื่นๆ  พวกเราแฮนดรัสจะทนอยู่กับตัวเองได้อย่างไรหากไม่ทำอะไรสักอย่าง แบร์ร็อคเคยเป็นบ้านของพวกเรา และก็ยังคงเป็นอยู่ในหัวใจพวกเราตลอดมา โฮเซ่คือเผ่าพันธุ์ของเรา และก็ยังเป็นเสมอมา ราร์ร็อค เฮนิเคมอาจร้ายกาจแต่ลูกชายของเขานั้นแตกต่าง เทอร์ริน เฮนิเคมมีความเป็นลูกผู้ชาย  ยอมรับความผิดพลาดของตนและพยายามแก้ไขให้ถูก เขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคู่ควรที่เราแฮนดรัสจะเรียกว่าโฮซอร์ จากนี้ไปแฮนดรัสพร้อมที่จะเดินตามการนำพาของเขา”  เขาหันไปหาเทอร์ริน ผู้ซึ่งยิ้มให้อย่างซาบซึ้ง “หากเผ่าพันธุ์จะมั่นคงเป็นปึกแผ่น ทุกคนจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน และแฮนดรัสจะขอเป็นหนึ่งเดียวกับเผ่าพันธุ์โฮเซ่อีกครั้ง”

          แม้มันจะริบหรี่เต็มที แต่หัวใจของแต่ละคนก็เริ่มจุดประกายแห่งความหวังขึ้นมาบ้าง ในสถานการณ์อันมืดมนเช่นนี้ แม้ความหวังจะมีอยู่เพียงน้อยนิด มันก็มีความหมายมาก

          “เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จะดำเนินไปตามแผน” เซ็นแวนเดอร์สรุป ภาพจำลองกลางห้องปรากฏธงสัญลักษณ์แทนกองทัพของแต่ละฝ่าย มันกระจายกันไปตามตำแหน่งต่างๆ พร้อมมีเส้นลูกศรบ่งบอกทิศทางเดินทัพ “ท่านบุฟโฮปและพวกแฮนดรัสจะอยู่ป้องกันเมืองเด็นร็อค เทอร์รินและพวกโฮเซ่จะคอยดักสกัดกองทัพเล็กเอลิลที่เคลื่อนพลไปยังโฟรเซ็นทิเนล โซลิแทร์และพวกดาร์คเนสดีวิลจะยกทัพไปโจมตีฐานทัพเดธแอเรีย ส่วนข้าและพวกฟอเรสเทอร์จะอยู่ต้านทัพใหญ่เอลิลที่นี่”

          “โฮเซ่และดาร์คเนสดีวิลจะแบ่งกองกำลังบางส่วนมาสนับสนุนที่นี่เท่าที่จะพอทำได้” เทอร์รินบอก “ถึงอย่างไรพวกท่านก็ควรมีหน่วยรบที่มีความสามารถเรื่องการต่อสู้ระยะประชิดมาสนับสนุน”

          “ควรจะมีผู้บัญชาการที่มีความสามารถเรื่องกลยุทธ์รบระยะประชิดด้วย” ไมริฟบอก “ข้าอาจถนัดต่อสู้ระยะประชิด แต่เมื่อเทียบกับพวกท่านแล้วความสามารถยังห่างนัก หากจะบัญชาการกำลังเสริมจากโฮเซ่และดาร์คเนสดีวิล ข้าอยากให้เป็นคนจากพวกท่าน”

          “โฮซอร์” กอร์รินเอ่ยขึ้น เทอร์รินหันไปหา “ข้ารู้ว่าท่านไม่เคยเชื่อมั่นความสามารถของข้า ท่านแทบไม่เคยให้อำนาจข้า แทบไม่เคยไว้ใจให้ข้าทำงานใหญ่ มันก็มีเหตุผลดี เพราะทุกครั้งที่ข้าได้รับมอบหมายให้ทำงานใหญ่ มันก็ล้มเหลวทุกที ข้าเองก็เคยขอโอกาสแก้ตัวจากท่าน ท่านก็ให้โอกาสสุดท้ายแก่ข้าไปแล้ว ข้าจึงไม่ควรมีสิทธิ์เรียกร้องอะไรอีกทั้งนั้น” เขาก้าวเข้ามาหาเทอร์ริน “หากแต่ท่านยังไม่หมดหวังในตัวข้า ครั้งนี้ท่านสามารถใช้ข้าได้ ข้าปรับตัวเก่ง เดินทางบ่อย รบนอกพื้นที่ของตนบ่อย และข้ายังมีความคุ้นเคยกับพวกดาร์คเนสดีวิล ข้าคงไม่สามารถพูดได้ว่าครั้งนี้จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอีก เพราะข้าเองก็ไม่รู้ว่าตนจะทำได้หรือเปล่า แต่ข้าจะพยายามให้ถึงที่สุด เท่าที่คนไร้ความสามารถอย่างข้าจะทำได้”

          เทอร์รินจับไหล่กอร์ริน ส่ายหน้าแล้วยิ้มให้

          “ความจริงแล้ว ที่ผ่านมานี้มันไม่มีอะไรที่เป็นความผิดของเจ้าหรอก มันเป็นความผิดของข้าเอง เจ้าไม่ได้ไร้ความสามารถกอร์ริน เจ้าเป็นคนที่มีความสามารถสูงมาก อาจสูงที่สุดในพวกเราทั้งหมดเลยก็ได้ แต่ข้าก็ไม่เคยได้ให้โอกาสเจ้าได้ใช้ศักยภาพเต็มที่เสียที ข้าแทบไม่เคยได้ให้โอกาสเจ้าได้แสดงฝีมือ ดังนั้นเมื่อเจ้าได้รับโอกาสสักครั้ง มันจึงล้มเหลวเพราะเจ้าขาดประสบการณ์ ขาดประสบการณ์เพราะข้าแทบไม่เคยเปิดโอกาสให้เจ้าได้เสาะหา สิ่งที่เจ้าไม่เคยได้รับเลยคือแรงสนับสนุนจากข้า” เทอร์รินถอนหายใจ “ทั้งหมดนี้เพียงเพราะว่าข้ารักและเป็นห่วงใยเจ้ามากเกินไป ครอบครัวของเราไม่มีใครเหลืออีกแล้ว ข้าเหลือเจ้าเพียงคนเดียว ข้าทำใจไม่ค่อยได้เมื่อต้องส่งน้องชายคนเดียวไปเสี่ยงกับอันตรายหรือความตาย แต่ข้าก็ไม่เคยตระหนักเลยว่าสิ่งที่ข้าทำอยู่ทุกวันนี้มันก็ทำร้ายเจ้าไม่แพ้กัน ข้ามันงี่เง่ายิ่งนัก เจ้าคือน้องชายที่ดีที่สุดส่วนข้าคือพี่ชายที่แย่ที่สุด คนที่ควรขอโอกาสแก้ตัวนั้นไม่ใช่เจ้า แต่เป็นข้า”

          กอร์รินยิ้มอย่างตื้นตันใจ หากโฮเซ่สามารถร้องไห้ได้ เขาคงมีน้ำตาซึมออกมา

          “เจ้าเป็นรองผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค เจ้าสมควรมีอำนาจทางการเมืองและการทหารอย่างที่ควร ข้าจะคืนมันให้แก่เจ้าอย่างเหมาะสม” เทอร์รินประกาศ “เจ้าเป็นคนที่มีความสามารถ หากเจ้าต้องการพิสูจน์ตัวเองด้วยงานใหญ่ ข้าก็ยินดีสนับสนุน ข้าอนุญาตให้เจ้าร่วมต่อสู้ศึกใหญ่กับพวกฟอเรสเทอร์ที่นี่ รับผิดชอบกำลังเสริมโฮเซ่และดาร์คเนสดีวิลที่ประจำอยู่ที่นี่ และไม่ว่าผลมันจะเป็นอย่างไร ขอให้รู้ว่าข้าภูมิใจในตัวเจ้า อย่างที่ข้ารู้สึกเสมอมา”

          “ท่านมันงี่เง่า ชอบเผด็จการ และก็อาจเป็นพี่ชายที่แย่ที่สุดจริงๆ” กอร์รินกระซิบ “แต่ถ้าหากเลือกพี่ชายได้ จะสักกี่ร้อยกี่พันครั้ง ข้าก็จะขอเลือกท่านมาเป็นพี่ชายทุกครั้ง”

          สองพี่น้องสวมกอดกัน เกราะกระแทกกันเสียงดัง คนที่อยู่รอบๆ อดซาบซึ้งตามไม่ได้ นานแสนนานกว่าพวกเขาทั้งสองจะเข้าอกเข้าใจกันได้ มันอาจนานไปหน่อย แต่มันก็ไม่มีคำว่าสายเกินไป

          “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมต่อสู้กับท่าน” เซ็นแวนเดอร์จับไหล่กอร์รินหลังจากที่แยกกับเทอร์รินแล้ว “รองผู้นำสูงสุดสุดแห่งแบร์ร็อคผู้ซึ่งเป็นน้องชายของผู้นำสูงสุดร่วมต่อสู้กับเรา พวกโฮเซ่ให้เกียรติเรา ข้าไม่ขออะไรมากกว่านี้อีกแล้ว”

          “ในนามของโฮเซ่ ข้าพร้อมทำศึก ภายใต้การบัญชาการของท่าน” กอร์รินโค้งศีรษะให้เซ็นแวนเดอร์ “จะทุ่มเทและพยายามอย่างสุดความสามารถ”

          “อภัยให้ข้าและเพื่อนๆ ด้วย ที่ก่อนหน้านี้เราพูดจาล่วงเกินท่าน พวกเราอาจรั้งตำแหน่งสูงๆ แต่ก็ยังอ่อนวัยและโง่เขลา บางครั้งพวกเราก็ทำตัวเป็นเด็กอวดดี” เทอร์รินและเพื่อนๆ ของเขาอีกสามคนจับมือกับซิวาลิน “ท่านพูดถูก ความหวังเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งนัก โดยเฉพาะตอนที่เรามองหาทางออกไม่พบเช่นนี้ หากเรามีความหวัง อย่างน้อยเราก็มีโอกาสทั้งสำเร็จหรือล้มเหลว แต่หากเราละทิ้งความหวัง โอกาสของเราก็จะเหลือแต่เพียงล้มเหลวอย่างเดียว”  

          “และโปรดอภัยให้ด้วยที่ข้าทำตัวเป็นตาแก่จอมจู้จี้ และมักจะแสดงตรรกะที่ไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลของตนออกมา” ซิวาลินกล่าว “บางทีข้าก็มีชีวิตอยู่มานานไปหน่อย ยึดติดกับสิ่งเก่าๆ เกินไป จนไม่ยอมรับรู้ว่าเด็กสมัยนี้ฉลาดกันแค่ไหน”

          “ในตอนนี้ทุกอย่างก็ลงตัวแล้ว” เซ็นแวนเดอร์เดินเข้ามาหาโซลิแทร์ “พวกท่านจะยกทัพไปโจมตีฐานทัพเดธแอเรีย คิดไว้หรือยังว่าจะใช้เส้นทางใด”

          “เราจะพักทัพที่เมืองสตาติกสตอร์ม (Static Storm)” โซลิแทร์ชี้ในภาพจำลอง “เมืองนี้คือที่จองจำดาบฟรอสท์ฟอเมอร์ และมันก็อยู่ติดกับเมืองหลวงเดธแอเรีย ในกรณีที่ข้าปลดปล่อยดาบสำเร็จ เราก็จะเคลื่อนพลต่อไปตีฐานทัพเอลิลทันที แต่หากข้าปลดปล่อยดาบไม่สำเร็จ ดาร์คเนสดีวิลก็ยังจะเคลื่อนพลเข้าตีฐานทัพเอลิลอยู่ดี ต่างกันแค่เข้าตีโดยไม่มีข้าเท่านั้น”

          “หากพวกท่านจะเดินทางไปยังเมืองสตาติกสตอร์ม ข้าแนะนำว่าให้ท่านนำกองทัพมาพักที่นี่ก่อน เมืองสตาติกสตอร์มอยู่ใกล้อาณาจักรกาโกคอลมากที่สุด กองทัพของพวกท่านจะได้ไม่อ่อนล้าเกินไป” เซ็นแวนเดอร์เสนอ

          “นับว่าเป็นความคิดที่ดี เพราะเราคงต้องขอความช่วยเหลือจากพวกท่านเรื่องการเตรียมเสบียงด้วย” โซลิแทร์เห็นชอบด้วย

          “ข้ามีอีกหนึ่งทางเลือก ช่วยให้พวกท่านจัดการเรื่องเสบียงสะดวกขึ้น” เซ็นแวนเดอร์เสนออีก “ท่านรู้จักต้นเล็ทเทรดไหม พืชที่ขึ้นเต็มไปหมดในกาโกคอล ข้าสามารถจัดหาใบของมันให้พวกท่านได้ทั้งกองทัพ”

          “มันทำอะไรได้หรือ”

          “ใบของมันมีสารอาหารครบถ้วน กินเข้าไปใบหนึ่งก็เป็นอาหารหนึ่งมื้อที่เพียงพอแล้ว” เซ็นแวนเดอร์อธิบาย “หากพวกท่านใช้มันเป็นเสบียง กองเกวียนที่พวกท่านจะใช้ขนเสบียงก็สามารถแทนที่ด้วยอาวุธและอุปกรณ์สงครามจำนวนมากกว่าเดิม”

          “มหัศจรรย์ เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำอาหารหรือวุ่นวายกับการรักษาสภาพอาหารด้วย” โซลิแทร์พอใจ “รบกวนพวกท่านจัดเตรียมให้เราด้วย กองทัพของข้าที่ยกไปมีจำนวนราวสามหมื่น”

          “เตือนไว้ก่อนนะ มันเป็นอาหารที่รสชาติแย่มาก พยายามกินให้ลงล่ะ”

          “ยามที่ไม่มีอะไรจะกิน ไม่ว่าอะไรก็กินลงหมดนั่นแหละ”

          เซ็นแวนเดอร์จับไหล่โซลิแทร์และพยักหน้าอย่างขอบคุณ สำหรับพวกฟอเรสเทอร์แค่มีคนยอมทนกินใบเล็ทเทรดประทังชีวิตเพื่อพวกเขาก็น่าซาบซึ้งจับใจแล้ว พวกดาร์คเนสดีวิลอาจไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่มีภาพลักษณ์ที่ดี ไม่ใช่วีรบุรุษ ไม่ได้คิดจะเป็นผู้เสียสละแต่แรก แต่พวกเขาพูดจริงทำจริงเสมอ เมื่อรับคำแล้วก็จะทำตามที่พูดอย่างถึงที่สุด เพราะพวกเขา ทุกอย่างในตอนนี้จึงลงตัว ที่ทำได้ต่อจากนี้ก็เพียงแค่ให้ทุกคนทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ แม้ยังไม่รู้ว่าจะรอดพ้นจากความพ่ายแพ้ได้อย่างไร แต่อย่างน้อย พวกเขาก็ยังไม่สิ้นหวัง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา