พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.91K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

37) บทที่ 36 เคลื่อนทัพ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 36

เคลื่อนทัพ

 

            แม้พวกมนุษย์จะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับศึกสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่พวกเขาก็คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของเผ่าพันธุ์อื่นๆ  คอยประเมินว่าจะมีผลกระทบร้ายแรงถึงตนไหม หรือแม้กระทั่งจะฉวยโอกาสใดได้จากเหตุการณ์นี้บ้าง เรื่องฉาบฉวยคือสิ่งที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ถนัดมาก มันเคยทำให้พวกเขาได้โฟรเซ็นทิเนลเป็นอาณานิคมมาแล้ว อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นพวกมนุษย์แข็งแกร่งและเรืองอำนาจมาก ต่างจากตอนนี้ที่ทั้งอ่อนแอและเสียหาย จะวางแผนอะไรจะปฏิบัติการอะไรต้องคิดดีๆ

            “ศึกใหญ่กำลังจะเกิด เผ่าพันธุ์อื่นๆ กำลังเคลื่อนไหวอย่างเห็นได้ชัด” บิลิส ริฟเฟอร์รายงานพระราชาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ “ในตอนนี้พวกดาร์คเนสดีวิลเคลื่อนทัพกว่าสามหมื่นออกนอกอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล พร้อมทั้งกองเกวียนอาวุธหนัก ชิ้นส่วนเครื่องกลสงคราม และอุปกรณ์โจมตีเมือง เดาได้ว่าพวกนั้นจะไปโจมตีเมืองสักเมือง นั่นเป็นสิ่งที่ผิดวิสัยดาร์คเนสดีวิลอย่างมาก เป็นการต่อสู้ที่พวกนั้นไม่สันทัด พวกปีศาจไม่ทำอะไรอย่างนี้แน่หากสถานการณ์ไม่บีบบังคับจริงๆ”

            “พวกมันเคลื่อนพลมุ่งหน้าขึ้นเหนือมาทางอาณาจักรเราหรือเปล่า” พระราชาถาม

            “เปล่าพะยะค่ะ พวกนั้นเคลื่อนทัพไปทางทิศตะวันออก ตรงไปหาอาณาจักรกาโกคอล” ริฟเฟอร์ตอบ

            “จะเคลื่อนทัพไปตีกาโกคอลหรือ”

            “หม่อมฉันคิดว่าไม่พะยะค่ะ ไม่มีเหตุผลที่พวกดาร์คเนสดีวิลต้องทำอย่างนั้น”

            “ถ้าอย่างนั้นก็คงยกพลไปช่วยปกป้องกาโกคอลจากอะไรสักอย่าง บางที อาจเป็นกองทัพใหญ่ของพวกเอลิล พวกดาร์คเนสดีวิล พวกฟอเรสเทอร์ และพวกโฮเซ่อาจร่วมมือกันแล้ว เพราะหากแยกกันจะสู้พวกเอลิลไม่ไหว”

            “ทรงพระปรีชายิ่งนักพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงเอ่ยขึ้น “เป็นไปได้ว่าพวกเอลิลจะเลือกกำจัดกาโกคอลก่อนเพราะอ่อนแอที่สุด อีกทั้งหากควบคุมกาโกคอลได้ก็จะเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ดี อาณาจักรกาโกคอล อาณาจักรไอซ์เมส และอาณาจักรโมราโซมอสของเราจะกลายเป็นเส้นเฉียงแยกพวกดาร์คเนสดีวิลกับพวกโฮเซ่ออกจากกัน”

            “นี่คือเหตุผลที่พวกเอลิลยังไม่พยายามกำจัดเรา” พระราชากุมเคราขาวๆ ของตน “เพราะเราก็เป็นส่วนหนึ่งของเส้นกั้น”

            “ถูกแล้วพะยะค่ะ” แร็กซ์ริงพยักหน้า “และที่พวกเอลิลโจมตีโอมิลรอน ก็เพื่อกดดันให้เราไม่กล้าส่งกองกำลังไปที่ไหน เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ถูกรบกวนจากฝ่ายเรา และเพื่อให้แน่ใจว่าช่วงนี้กองกำลังของมนุษย์จะอยู่รักษาการณ์ในโมราโซมอส เผ่าพันธุ์อื่นๆ จะมาโจมตีโมราโซมอสเพื่อทำลายเส้นกั้นไม่ได้”

            “เจ้าเซ็ทซาร์ดที่เป็นผู้บัญชาการรักษาการณ์กองทัพเอลิลนั้นฉลาดมาก ขอยอมรับตรงๆ เลย” พระราชายกย่อง

            “ทูลเสด็จลุง” แม็ค แรคแทนทินเอ่ยขึ้น “พวกดาร์คเนสดีวิลยกทัพจำนวนสามหมื่นออกนอกอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล นั่นมันเกือบทั้งหมดที่พวกมันมีเหลืออยู่ทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับโฟรเซ็นทิเนลขาดการป้องกัน”

            “หลานจะแนะนำอะไร” พระราชาถามอย่างสนใจ

            “มันอาจเป็นการดี หากเราทำเหมือนกับที่เจ้าชายไททอสเคยทำ ฉวยโอกาสโจมตีศัตรูตอนที่มันกำลังอ่อนแอ” แรคแทนทินขยายความ “ทั้งโฟรเซ็นทิเนล ทั้งแบร์ร็อค หรือแม้กระทั่งกาโกคอล เมื่อพวกมันรบกับพวกเอลิลเสียหาย เราก็อาจเลือกฉวยโอกาสได้”

            “แล้วจะเอากองทัพที่ไหนไปตี” อาร์รอสย้อนถาม “ท่านคงไม่ได้สังเกตว่าอาณาจักรเราก็กำลังอ่อนแอเหมือนกัน ศึกในโอมิลรอนที่ผ่านมาก็ทำให้กองทัพโดยรวมของเราเสียหายเกินกว่าจะยกทัพไปโจมตีใครไหว พวกท่านที่สนใจแต่เรื่องภายนอกอาณาจักร ตอนนี้กลับมาให้ความสำคัญกับเรื่องภายในอาณาจักรได้แล้ว พักด้านการทหารและมาใส่ใจด้านพลเรือนบ้าง มันกำลังมีปัญหาเป็นร้อยเป็นพันอย่าง”

            “นี่อาจเป็นครั้งแรก ที่ข้าเห็นด้วยกับอาร์รอส” พระราชาพูดอย่างยุติธรรม “สมัยเจ้าชายไททอส อาณาจักรของเรากำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุด กองทัพของเราแข็งแกร่ง จะทำอะไรก็ไม่ยากไม่เย็น ต่างจากที่เราเป็นอยู่ตอนนี้อย่างลิบลับ ไม่ฉลาดเลยที่จะส่งทัพไปโจมตีสิ่งที่เป็นเป้าหมายเดียวกับพวกเอลิล แทนที่เราจะทำอย่างนั้น เราควรทำสิ่งที่ตรงกันข้าม นั่นคืออยู่เฉยๆ และปล่อยให้พวกเอลิลช่วยกำจัดศัตรูทั้งหมดของเราไป สิ่งสำคัญตอนนี้คือฟื้นฟูกองทัพและอาณาจักรของเรา เพื่อในอนาคตเราจะได้กำจัดพวกเอลิลและขึ้นเป็นใหญ่แทน”

            “พะยะค่ะ” ขุนนางทุกคนโค้งศีรษะ พูดพร้อมกัน อย่างน้อยครั้งนี้พระองค์ก็ตัดสินใจได้เข้าท่า

            “ที่ข้าสงสัยก็คือ” พระราชาลูบเคราตัวเอง “ถ้าพวกดาร์คเนสดีวิลจะยกทัพไปช่วยปกป้องกาโกคอล พวกนั้นจะขนอุปกรณ์ตีเมืองไปด้วยทำไม--”

            ประตูท้องพระโรงเปิดออก แล้วใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามา พระราชามองไป แล้วก็มีสีหน้าเดือดดาล นั่นไม่ใช่คนที่พระองค์อยากพบเลย

            “ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าห้ามเจ้าเหยียบเข้ามาในท้องพระโรงเป็นเวลาสองปี” พระองค์ตะคอก “พวกยามเฝ้าประตูก็ไม่รู้จักคัดเลือกว่าควรเปิดประตูให้ใครบ้าง เห็นเป็นเชื้อพระวงศ์ก็เปิดรับหมด”

            “พระองค์จะลงโทษหม่อมฉันต่อจากนี้ก็ได้เพคะ แต่ได้โปรด ฟังหม่อมฉัน” ซอร์โรร่าก้าวเดินเข้ามาในท้องพระโรง อาร์รอสกับริฟเฟอร์หลับตากุมหน้าผาก ไม่คาดคิดว่าเธอจะมาที่นี่ ส่วนพวกขุนนางที่ไม่ชอบเธอต่างจ้องมองเธอเหมือนสัตว์ประหลาดที่หลุดเข้ามา

            “ซอร์โรร่า ลูกไม่ควรมาที่นี่” อาร์รอสกระซิบ

            “ฝ่าบาท ทุกเผ่าพันธุ์กำลังจะถูกกำจัด มนุษย์เราจะเป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่ไม่ทำอะไรเลยหรือเพคะ” ซอร์โรร่าพูด “ทั้งที่เรายังพอทำอะไรได้ เรายังจะอยู่ดูดายเฉยๆ แบบนี้หรือ”

            “ไอ้พวกที่จะถูกกำจัด มันคือศัตรูทั้งนั้น” พระราชาตะโกนลั่น “นั่นคือสิ่งที่เจ้าร้องขอหรือ ช่วยเหลือพวกมันแทนที่จะดูพวกมันถูกกำจัด”

            “พวกเขาถูกกำจัดแล้วยังไงต่อล่ะคะ พวกเอลิลถูกควบคุมโดยคนของเฟลมฟอร์ส พระองค์คิดว่าพวกนั้นจะปล่อยเราไว้หรือ” ซอร์โรร่าถามกลับ “ทันทีที่สามเผ่าพันธุ์ถูกกำจัด เราก็จะถูกกำจัดตามไป”

            “กว่าพวกเอลิลจะกำจัดสามเผ่าพันธุ์นั้นได้ พวกเอลิลก็คงจะเสียหาย” พระราชาโต้ “ขณะที่เรามีเวลาฟื้นฟูมากกว่า เราจะกลับมาแข็งแกร่งได้ก่อน และตอนนั้นเราจะกำจัดพวกเอลิลเสียเอง”

            “เราไม่มีทางฟื้นฟูได้เร็วเท่าพวกเอลิล ยิ่งสภาพอากาศแบบนี้ยิ่งไม่มีทาง” ซอร์โรร่าเถียง “สามเผ่าพันธุ์ยังสู้พวกเอลิลไม่ได้ แล้วเราเผ่าพันธุ์เดียวจะไปสู้ได้ยังไง”

            “เจ้ากำลังปรามาสความแข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์เราอยู่นะ” เอ็ดด์ เฟรเทลแทรกขึ้น

            “ข้ามองตามสิ่งที่เป็นจริง” ซอร์โรร่าทำตาขวางใส่แล้วหันไปอ้อนวอนพระราชา “ฝ่าบาท เราไม่มีทางสู้พวกเอลิลได้ถ้าไม่มีเผ่าพันธุ์อื่นๆ เราปล่อยให้พวกเขาตายก็เท่ากับปล่อยให้ตัวเองตาย”

            “เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไง” พระราชาตะโกนหลอดคอแทบแตก “พวกโฮเซ่และพวกดาร์คเนสดีวิลเป็นศัตรูของเรา คำว่าศัตรูหมายถึงสิ่งที่เราควรกำจัด ไม่ใช่ช่วยเหลือ

            “พวกเขาเป็นศัตรูก็เพราะเราไปร้ายใส่พวกเขาก่อน แล้วเราก็ทำอย่างนั้นตลอดมา” ซอร์โรร่าแย้ง “นี่เป็นโอกาสที่เราจะแก้ตัว ยังไม่สายเกินไปที่เราจะแก้ไขสิ่งแย่ๆ ที่เราเคยทำลงไปได้”

            “กล้าดียังไงมาพูดว่าสิ่งที่พวกเราทำไปแทบตายเป็นสิ่งแย่ๆ” พระราชาโกรธจัด “แล้วยังแนะนำให้ช่วยเหลือศัตรูอีก เราเคยให้พวกดาร์คเนสดีวิลช่วยเหลือ แล้วพวกนั้นก็ตกเป็นอาณานิคมของเรา คิดหรือว่าพวกนั้นจะไม่อยากเอาคืนเหมือนกัน”

            “พวกนั้นไม่ทำแน่นอนเพคะ”

            “อะไรทำให้เจ้าแน่ใจขนาดนั้น”

            “ก็เพราะพวกนั้นไม่เหมือนพวกเราเพคะ ไม่มีเผ่าพันธุ์ใดเหมือนมนุษย์เราเสียด้วยซ้ำ ไม่มีเผ่าพันธุ์ใดหน้าด้านหน้าทนกระทำการอันน่าอับอายแบบเราหรอก”

            “แย่มาก พูดจาหมิ่นชาติพันธุ์ตนเอง” แรคแทนทินชี้หน้า

            “ดูสิอาร์รอส ดูลูกสาวเจ้าพูดจาใส่ข้า ผู้ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่และเป็นพระราชาของเธอ” พระราชาหันไปตะคอกอาร์รอส “เพราะเจ้าตามใจเธอมากเธอถึงได้เป็นแบบนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแม่ถึงทิ้งเธอ”

            “ลูกรัก ไปจากตรงนี้กันเถอะนะ” อาร์รอสกระซิบ โอบตัวลูกสาว

            “ฝ่าบาท ได้โปรด” ซอร์โรร่าสลัดตัวจากอ้อมแขนพ่อ อ้อนวอนต่อไป “ถ้าเราไม่ทำอะไรตอนนี้ เราจะเสียใจไปตลอดกาล แล้วเราก็จะกลับมาแก้ไขไม่ได้แล้ว”

            “นี่เจ้ามีปัญหาทางสมองหรือไง กองทัพของเรากำลังขาดแคลน มันมีค่าเกินกว่าจะส่งไปช่วยศัตรู” พระราชาเหลืออดเหลือทน

            “โมราโซมอสเป็นอาณาจักรเดียวที่ไม่ถูกโจมตีในศึกนี้” ซอร์โรร่าชี้แจง “แม้เราส่งกองทัพออกไปอาณาจักรก็ยังปลอดภัย”

            “ก็ถ้าเราจะส่งกองทัพออกไป มันก็ควรจะเป็นอะไรที่เข้าท่ากว่าส่งไปช่วยศัตรู” พระราชาย้อนกลับ “เจ้ามันคลั่งไคล้ปีศาจจนตามืดบอด ทนเห็นพวกมันถูกกำจัดไม่ได้ แต่กลับไม่สนใจว่าเผ่าพันธุ์ของตนจะเป็นอย่างไร จงอย่าทำให้ข้าอับอายที่มีเจ้าเป็นญาติมากกว่านี้เลย”

            “ตลอดเวลาที่เผ่าพันธุ์ของเรายังดำรงอยู่ได้ ก็เพราะพวกดาร์คเนสดีวิล” ซอร์โรร่ากัดฟันพูด กำหมัดแน่น “พวกเขาเป็นกันชนพวกเฟลมฟอร์สให้เรา เป็นฐานให้เราเหยียบขึ้นที่สูง ความรุ่งเรือง ความเจริญ ความมั่งคั่งที่เผ่าพันธุ์ของเรามี มันเกิดขึ้นเพราะพวกเขาทั้งนั้น เราคงอยู่ไม่ได้จนถึงตอนนี้ถ้าไม่มีพวกเขา และเราก็จะอยู่ไม่ได้อีกเหมือนกันหากครั้งนี้เราปล่อยให้พวกเขาถูกกำจัด หากจะรับมือกับพวกเอลิล พวกเขาคือตัวแปรสำคัญที่สุด”

            “สำคัญที่สุดสำหรับเจ้าน่ะสิ” เฟรเทลทำเสียงเยาะเย้ย “การที่เจ้าจะลงไปฟูมฟายชักดิ้นชักงอเพราะพวกดาร์คเนสดีวิลถูกกำจัด มันไม่ได้หมายความว่ามนุษย์คนอื่นจะเป็นด้วยนะ ยอมรับมาตรงๆ เถอะ ว่าเจ้าไม่สนอะไรหรอกนอกจากเป็นห่วงเป็นใยบรรดาปีศาจของเจ้า เป็นห่วงมากกว่าเผ่าพันธุ์ของตัวเอง”

            “ก็ถ้าเผ่าพันธุ์ของข้ามีแต่คนอย่างเจ้า สิ่งที่ข้าทำมันก็สมเหตุสมผลอยู่หรอก” ซอร์โรร่าหันไปมองอย่างเหลืออดเหลือทน

            “ถ้ารักพวกมันมากก็ไปอยู่กับพวกมันเสียเลยสิ” เฟรเทลทำเสียงดูถูก “การที่เจ้าอยู่ที่นี่ มันก็ไม่เป็นที่ยินดีสำหรับมนุษย์คนอื่นๆ อยู่แล้ว”

            “พอได้แล้ว” พระราชาลุกขึ้นยืน “นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าทนฟังคำพูดโง่ๆ ของเจ้า ซอร์โรร่า ไอวิวรี่ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ตราบที่ข้ายังมีชีวิตมีลมหายใจ ห้ามเจ้าเหยียบเข้ามาในท้องพระโรงแห่งนี้อีก”

            อาร์รอส ริฟเฟอร์ และขุนนางคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เกลียดชังซอร์โรร่าหันไปมองหน้าพระราชาอย่างตกใจ ส่วนคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามต่างยิ้มอย่างขบขัน

            “คราวนี้ออกไปจากท้องพระโรงของข้าได้แล้ว เจ้าทำให้มันเสื่อมเสียมามากแล้ว” พระราชาไล่

            “ฝ่าบาท ได้โปรด”

            เธอคุกเข่าลง คราวนี้แม้แต่ขุนนางที่ไม่ชอบเธอก็ยังประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอคุกเข่าให้พระราชา ทุกคนรู้ว่าซอร์โรร่า ไอวิวรี่เป็นคนหัวแข็ง มีความเป็นตัวของตัวเองสูง บางครั้งก็ชอบเอาแต่ใจ ใครก็ตามที่เธอไม่เคารพหรือแม้กระทั่งเกลียดชัง เช่นพระราชา เธอจะไม่แม้แต่จะก้มหัวให้เลย แต่นี่เธอถึงกับคุกเข่าให้

            “ฝ่าบาท ได้โปรด” เธอพูดเสียงสั่นเครือ น้ำตาไหลออกมาจากสองดวงตา “พวกดาร์คเนสดีวิลเคยหลั่งเลือดปกป้องเราจากพวกเฟลมฟอร์สด้วยความยากลำบากแสนสาหัส เรากลับทำเหมือนว่าพวกเขาไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่ควรค่าแก่การปฏิบัติดีด้วย พวกเขาก็มีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึก มีความต้องการจะอยู่รอดเหมือนกับพวกเรา พวกเขาจับดาบสู้กับเราเพราะเราเอาดาบไปฟันแทงพวกเขาก่อน พวกเขาทำร้ายเราเพราะป้องกันตัวที่เราไปทำร้ายพวกเขา โปรดมองข้ามความเกลียดชังของพระองค์และทำเพื่อพวกเขาสักครั้งเถิดเพคะ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะแก้ไขสิ่งที่เราเคยทำไว้กับพวกเขา”

            “รู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่” พระราชาโกรธจนเลือดขึ้นหน้า “เจ้าไม่เคยคุกเข่าให้ใครมาก่อน แต่เจ้ากลับยอมคุกเข่าเพื่ออ้อนวอนให้เผ่าพันธุ์เศษเดนนั่น เจ้ามันน่าอับอาย เห็นสิ่งต่ำๆ เลวทรามนั่นดีกว่าความเป็นมนุษย์ เจ้าไม่น่าเกิดมาในวงศ์ตระกูลกษัตริย์ผู้สูงส่งเลย อาร์รอส พาลูกของเจ้าไปให้พ้นหน้าพ้นตาข้าเดี๋ยวนี้ ข้าไม่อยากจะเห็นหน้าเธอที่นี่อีกต่อไป”

            “ซอร์โรร่า ไปกันเถอะนะลูก” อาร์รอสพยายามประคองลูกสาวให้ลุกขึ้นยืน

            “ฝ่าบาท ได้โปรด” ซอร์โรร่ายังคงอ้อนวอน คุกเข่าก้มหน้า น้ำตาไหลพราก

            “พาเธอออกไปเดี๋ยวนี้” พระราชายื่นคำขาด “ก่อนที่ข้าจะให้ทหารยามลากตัวเธอออกไป”

            “ลูกรัก กลับบ้านกันเถอะ” อาร์รอสกึ่งประคองกึ่งกอดกึ่งอุ้มเธอขึ้นมาทีเดียว เพราะดูเหมือนเธอจะไม่ยอมลุกไปไหน เธอพยายามจะคุกเข่าอ้อนวอนให้ถึงที่สุด “ไปจากตรงนี้กันนะ กลับบ้านของเรา”

            สุดท้าย อาร์รอสก็พาตัวเธอออกไปจากท้องพระโรงได้ ประตูใหญ่ปิดตามหลังทั้งคู่ พระราชานั่งลงบนบัลลังก์ หอบหายใจเพราะออกแรงตะโกนไป สิ่งที่ตามมาคือความเงียบ เงียบถึงขั้นทุกคนในท้องพระโรงอันกว้างใหญ่ได้ยินเสียงหายใจหนักๆ ของพระองค์ชัดเจน

            “ต่อจากนี้ใครหน้าไหนพูดเรื่องช่วยเหลือศัตรูให้ข้าฟังอีก” พระองค์พูดไปหอบไป “ข้าจะให้มันไปพูดกับลูกกรงห้องขัง”

 

******************

 

เป็นอีกครั้งที่เดลิลวาสยืนอยู่บนหอคอยที่สร้างจากน้ำแข็งสี่เหลี่ยมก้อนใหญ่ๆ มาวางซ้อนกัน กึ่งกลางหลุมขนาดมหึมาในฐานทัพเดธแอเรีย มองไกลๆ จะเห็นว่าเป็นหลุมที่มีรูปทรงกรวยกว้างๆ คล้ายอัฒจันทร์กีฬา เดิมทีมันเป็นหลุมว่างๆ ที่เต็มไปด้วยโพรงเหมืองที่ว่างเปล่า แต่บัดนี้ในหลุมเต็มไปด้วยเอเลนเซฟเวอรี่หลายพันตัว แต่ละตัวถูกแช่แข็งไม่ขยับเขยื้อน สิ่งที่ใช้ควบคุมพวกมันคืออัญมณีขาวที่วางอยู่บนแท่นหอคอยเบื้องหน้าเดลิลวาส ข้อความภาษาดาร์เคนที่สลักอยู่บนอัญมณีนั้นเรืองแสงสีขาวตลอดเวลา บ่งบอกให้รู้ว่ามันกำลังทำงานอยู่

            กัปตันโพรเฟดเดินข้ามสะพานแขวนจากขอบหลุมมาที่หอคอย เขาเลื่อนกระบังหมวกเกราะขึ้นแล้วยืนตรงทำความเคารพเดลิลวาส

            “รายงานตัว” กัปตันโพรเฟดพูด

            “ช่างเป็นสิ่งที่มีพลังมหาศาล” เดลิลวาสชี้ไปที่อัญมณีบนแท่น “แค่วัตถุเล็กๆ ชิ้นเดียวสามารถสยบทัพอากาศที่แข็งแกร่งที่สุดในดาวดวงนี้ได้”

            “บางครั้ง สิ่งเล็กกะจ้อยร่อยก็สร้างเรื่องราวใหญ่โตที่สุดได้” กัปตันโพรเฟดกล่าว

            “เรื่องนี้พวกท่านเอลิลทราบดียิ่งกว่าใคร” เดลิลวาสพยักหน้า “เหรียญทราวิคัสเพียงเหรียญเดียวสามารถทำพวกท่านแพ้สงครามพวกไซคัสและถูกกวาดล้างจนแทบไม่เหลือ เรื่องนี้พวกท่านคงไม่มีวันลืม และข้าก็ขอเพิ่มเติมอีกนิดว่า พวกท่านก็ไม่ควรลืมว่าที่เผ่าพันธุ์ของพวกท่านกลับมาเป็นเผ่าพันธุ์ได้อีกครั้ง ก็เพราะพวกเราเซ็ทซาร์ด”

            “เราไม่เคยลืม” กัปตันโพรเฟดพูดเรียบๆ “ทั้งสองเรื่อง”

            “อัญมณีก้อนนี้ทำหน้าที่รักษาอำนาจคำสาป” เดลิลวาสชี้ไปยังอัญมณีบนแท่น “ตราบที่มันไม่ได้รับความเสียหาย พวกเอเลนเซฟเวอรี่ก็จะยังคงต้องคำสาปอยู่ในหลุมนี้ เราไม่สามารถเคลื่อนย้ายมันไปที่อื่นได้ พลังงานคำสาปจะกระจายไม่ทั่วถึง เหตุนี้ข้าจึงต้องการให้ท่านปกป้องมันอย่างถึงที่สุดจนกว่าสงครามจะจบลง แล้วเราจะได้เริ่มทำลายเอเลนเซฟเวอรี่ที่ถูกแช่แข็งไปทีละตัวเมื่อมีเวลา ตอนนี้เรามีเรื่องเร่งด่วนสำคัญกว่าต้องทำอีกมาก”

            “เป็นเรื่องยากที่ศัตรูจะเข้ามาใกล้หลุมนี้ได้ มันอยู่ในฐานทัพที่ล้อมรอบด้วยกำแพงและกองทัพเอลิล ซึ่งในตอนนี้ศัตรูก็ไม่มีทัพอากาศแล้ว แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฝ่ามาถึงบริเวณนี้” กัปตันโพรเฟดมั่นใจ ชี้ไปรอบๆ ปากหลุมที่มีป้อมน้ำแข็งสร้างขึ้นเป็นจุดๆ “ป้อมแต่ละหลังที่อยู่รอบปากหลุมจะมีฟาร์ดาราสประจำการอยู่ พวกมันจะอยู่ตรงนั้นไม่บินไปไหน เตรียมพร้อมพ่นน้ำแข็งสอยศัตรูที่จะลอบบินเข้ามาตลอดเวลา”

            “ดีมาก ส่วนอัญมณีอีกชิ้น--” เดลิลวาสหยิบอัญมณีขาวอีกชิ้นหนึ่งออกมาจากถุงสีเงิน เป็นชิ้นที่เขาใช้สะกดพวกเอเลนเซฟเวอรี่ที่ฟรอสท์ไอรอนแคลด ตอนนี้มันไม่เรืองแสงแล้ว “--มันเคลื่อนย้ายได้ ข้าจึงจะเก็บไว้ในที่ปลอดภัยที่สุด เก็บไว้ที่ตัวข้าเอง”

            “ในเมื่อเราไม่ต้องใช้มันแล้ว ทำไมท่านถึงต้องเก็บรักษามันขนาดนั้นด้วย” กัปตันโพรเฟดสงสัย

            “อัญมณีจะมีพลังก็ต่อเมื่อมันยังอยู่ในสภาพดีทั้งสองชิ้น หากชิ้นหนึ่งเสียหาย อีกชิ้นก็จะหมดพลังทันที” เดลิลวาสเก็บอัญมณีชิ้นที่สองใส่ถุงเหล็กและผูกไว้กับฝักดาบ “รักษาชิ้นที่อยู่บนแท่นให้ดีกัปตันโพรเฟด ข้าจะรักษาชิ้นที่อยู่กับข้าเอง”

            “รับทราบ ท่านผู้บัญชาการรักษาการณ์” กัปตันโพรเฟดรับคำสั่ง

            “ท่านทราบแล้วใช่ไหม ว่าตอนนี้กองทัพดาร์คเนสดีวิลจำนวนราวสามหมื่นกำลังเคลื่อนทัพจากอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลตรงไปยังอาณาจักรกาโกคอล” เดลิลวาสถาม

            “ทราบ” กัปตันโพรเฟดพยักหน้า “แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าพวกดาร์คเนสดีวิลมีจุดประสงค์อะไร ท่านคิดว่าพวกดาร์คเนสดีวิลจะยกทัพนี้ไปช่วยกาโกคอลต้านทัพใหญ่ของเราหรือเปล่า”

            “ไม่ใช่อย่างแน่นอน” เดลิลวาสประเมิน “พวกดาร์คเนสดีวิลมีความรู้ความสามารถเรื่องการสู้ศึกแบบตั้งรับเป็นอย่างมาก พวกนั้นย่อมรู้ดีว่าพื้นที่และแนวป้องกันในกาโกคอลไม่เอื้ออำนวยต่อกลยุทธ์ที่ตนถนัด ยกพลไปเสริมมากก็มีแต่จะตายเปล่า”

            “เช่นนั้นหมายความว่า พวกดาร์คเนสดีวิลแค่ใช้กาโกคอลเป็นทางผ่านหรือ” กัปตันโพรเฟดถาม

            “ถูกแล้ว” เดลิลวาสพยักหน้า “พวกปีศาจคงต้องการแค่เดินทัพไปพักที่กาโกคอล เพื่อจะได้เคลื่อนทัพต่อมายังอาณาจักรของเรา ผ่านเมืองสตาติกสตอร์ม ตรงมายังที่นี่”

            “พวกดาร์คเนสดีวิลจะโจมตีเราอย่างนั้นหรือ” กัปตันโพรเฟดค่อนข้างทึ่ง

            “ในเมื่อไม่มีทางเลือก ไม่มีหนทางที่จะหยุดยั้งเราได้ พวกโฮเซ่ พวกฟอเรสเทอร์ และพวกดาร์คเนสดีวิลก็จำต้องทำสิ่งที่ก่อให้เกิดความหวังมากที่สุด” เดลิลวาสอธิบาย

            “ชะลอเราให้ช้าลง ยืดเวลาตายให้ตัวเอง” กัปตันโพรเฟดกล่าว

            “นั่นถือว่าเป็นโอกาสอันดีของเรา” เดลิลวาสพูด

            “เชิญท่านผู้บัญชาการชี้แนะ” กัปตันโพรเฟดพูด

            “พวกดาร์คเนสดีวิลถนัดการต่อสู้แบบตั้งรับ ไม่ถนัดการต่อสู้แบบโจมตีเมือง การบุกเข้าไปหาพวกดาร์คเนสดีวิลที่อยู่บนป้อมและกำแพงเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดเป็นเรื่องที่สาหัส แต่ในกรณีตรงข้าม การต่อสู้ที่พวกดาร์คเนสดีวิลบุกเข้ามาหา โดยที่เราเป็นฝ่ายอยู่บนป้อมและกำแพงเสียเอง อีกทั้งยังมีจำนวนมากกว่านั้น ถือเป็นการต่อสู้ที่ฝ่ายเราจะได้เปรียบอย่างมหาศาล” เดลิลวาสชี้แจง “ฉะนั้น หากพวกมันอยากโจมตีเมืองเรา ก็ทำให้พวกมันสมหวัง กองทัพใหญ่ที่ข้ายกไปตีกาโกคอลจะสวนทางกับพวกมัน และข้าก็จะพยายามใช้เส้นทางเลี่ยงไม่ให้ปะทะกัน พวกมันจะได้เคลื่อนพลมาถึงเดธแอเรียได้สมใจ และเมื่อพวกมันบุกฐานทัพของเรา ท่านและกองทัพของเราอีกสี่หมื่นซึ่งประจำการอยู่ที่นี่ จะทำหน้าที่รับมือกับพวกมัน ซึ่งหากท่านไม่รังเกียจ ข้ามีกลยุทธ์จะเสนอ”

            “เชิญท่านผู้บัญชาการชี้แนะ”

          “ในตอนแรกก็ต่อสู้ต้านทัพพวกดาร์คเนสดีวิลตามปกติ เราเป็นฝ่ายได้เปรียบเพราะอยู่บนป้อมและกำแพง” เดลิลวาสชี้แจง “แต่ดาร์คเนสดีวิลรุ่นนี้ค่อนข้างใจสู้ มักจะยืนหยัดต่อสู้สุดชีวิตไม่มีถอย พวกนั้นอาจบุกทะลวงแนวป้องกันของเราเข้ามาได้มากกว่าที่คิด อาจตีผ่านกำแพงเมืองเข้ามาได้ทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านควรใช้แผนสอง คือแสร้งทำเป็นเสียที ปล่อยให้พวกมันตีผ่านเข้ามาในฐานทัพให้หมด จากนั้นก็ปิดประตูเมือง ไม่ให้พวกมันถอยทัพไปไหนได้ แล้วเดินหน้ากำจัดพวกมันไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว หลังจากนี้พวกดาร์คเนสดีวิลก็จะไม่เหลือกองทัพไว้สู้รบอีก โฟรเซ็นทิเนลจะถูกตีแตกโดยง่าย กำแพงเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดที่แข็งแกร่งที่สุด เมื่อไม่เหลือกองทัพดาร์คเนสดีวิลคอยปกป้องเพียงพอ มันก็จะกลายเป็นแค่น้ำแข็งก้อนใหญ่ๆ สามก้อน”

            “พวกดาร์คเนสดีวิลมีสามหมื่น กองกำลังป้องกันนครของเรามีสี่หมื่น ต่อสู้กันในแบบที่พวกดาร์คเนสดีวิลไม่ถนัด” กัปตันโพรเฟดประเมิน “ฝ่ายเราเป็นต่อทุกอย่าง ข้าคิดว่าเราสามารถควบคุมสถานการณ์ให้เป็นไปตามกลยุทธ์ของท่านได้”

            “ดี จัดการตามที่ท่านเห็นควรเลย” เดลิลวาสพยักหน้า “เราจะต้องเป็นฝ่ายชนะสงครามครั้งนี้”

            “และเมื่อศัตรูทั้งสามฝ่ายของท่านถูกกำจัดแล้ว หวังว่าพี่น้องของท่านจะบอกพิกัดตำแหน่งสิ่งที่เราต้องการว่ามันอยู่ที่ไหน ตามที่เราตกลงกันไว้” กัปตันโพรเฟดทวง

            “เราลูกผู้ชายนักรบไม่มีผิดคำพูด” เดลิลวาสยืนยัน “หลังจากที่ทุกอย่างเสร็จสิ้น เอลิลจะได้สิ่งที่ต้องการ แล้วข้อตกลงของเราทั้งสองเผ่าพันธุ์จะเป็นอันยุติ ต่างคนต่างฟื้นฟูเผ่าพันธุ์ของตนไป และในอนาคตเราจะเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูกัน ก็ค่อยว่ากันอีกที”

            แล้วเขาก็ยื่นมือโลหะไปหากัปตันโพรเฟด กัปตันโพรเฟดยื่นมือที่สวมถุงมือเหล็กไปจับด้วยและพยักหน้าให้

 

*************

 

            โซลิแทร์และกองทัพดาร์คเนสดีวิลกว่าสามหมื่นเคลื่อนทัพมาถึงเมืองหลวงกาโกคอลในยามค่ำ พวกฟอเรสเทอร์ทั้งนักรบและพลเมืองต่างให้การต้อนรับอย่างดี ไม่มีใครกลัวหรือหวาดระแวงพวกดาร์คเนสดีวิลอีกแล้ว แต่นี้ไปพวกเขาเหล่านี้คือเพื่อน นักรบปีศาจทุกคนที่เดินทางมา บางส่วนจะร่วมต่อสู้ปกป้องกาโกคอล และอีกส่วนใหญ่ที่เหลือจะเคลื่อนพลไปยังเมืองหลวงเดธแอเรีย  เดินหน้าเข้าหาพื้นที่แห่งความตาย เพื่อต่อชีวิตต่อความหวังให้อีกสองเผ่าพันธุ์ เวลานั้นไม่คอยท่า พวกเขาชักช้าไม่ได้ พวกดาร์คเนสดีวิลจะพักทัพที่กาโกคอลหนึ่งคืนแล้วเคลื่อนทัพต่อไปที่ไอซ์เมสพรุ่งนี้ยามสาย ดังนั้นนักรบทุกคนจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อนเอาแรง น่าประทับใจในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของอาณาจักรกาโกคอล พวกฟอเรสเทอร์สามารถหาอาหารดีๆ มาเลี้ยงดาร์คเนสดีวิลได้ทั้งกองทัพอย่างสบายๆ  ฉะนั้นมั่นใจได้ว่าคืนนี้ดาร์คเนสดีวิลจะกินอิ่มและพักผ่อนเพียงพออย่างแน่นอน

            “ท่านรองหัวหน้าเผ่าเซ็นแวนเดอร์ได้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่เมืองเดธแอเรีย กำแพง และฐานทัพของพวกเอลิลให้แก่ท่านแล้วใช่ไหม” ซิวาลินเดินคุยกับโซลิแทร์ไปเรื่อยๆ ต้องเงยหน้าเพราะโซลิแทร์สูงกว่าเขามาก ซิวาลินเป็นฟอเรสเทอร์ที่จัดว่าตัวเตี้ยกว่ามาตรฐาน ขณะที่โซลิแทร์เป็นดาร์คเนสดีวิลที่จัดว่าสูงเกินวัย “อภัยให้ด้วยที่มีข้อมูลเพียงแค่นั้น ตอนที่ท่านรองหัวหน้าเผ่าให้เห็นกำแพงพวกเอลิลนั้น มันเป็นช่วงเวลาฉุกละหุก”

            “นั่นก็มีประโยชน์แก่เรามากแล้ว” โซลิแทร์พูดเสียงทึบผ่านหน้ากาก “อย่างน้อยเราก็เตรียมแผนการโจมตีเมืองได้ถูกจุด จากข้อมูลที่ได้รับมา พวกเราพอทราบว่าฐานทัพเดธแอเรียไม่ได้แข็งแกร่งมากเพราะเพิ่งสร้างขึ้นไม่นานและสร้างขึ้นในช่วงเวลาเร่งด่วน กำแพงมีชั้นเดียวและไม่สูงมาก นั่นทำให้เราสามารถใช้เครื่องกลตีเมืองที่ดีกว่าบันไดยาว ดาร์คเนสดีวิลเราไม่ถนัดปีนบันไดยาว เราไม่เคยตีเมืองใครมาก่อน”

            “แล้วท่านจะส่งคนขึ้นไปบนกำแพงข้าศึกยังไงหรือถ้าไม่ใช้บันไดยาว ข้าไม่เห็นหอลำเลียงทหารของพวกท่านสักหลัง”

            “ลิฟต์ (Lift)” โซลิแทร์ตอบ “เครื่องกลลำเลียงพลที่เราคิดขึ้นมาใหม่ เหมาะสำหรับใช้โจมตีกำแพงที่ไม่สูงมาก มันเป็นเครื่องกลแบบถอดประกอบเพื่อสะดวกแก่การขนย้าย ท่านจึงไม่เห็นสักตัว”

            “ลิฟต์อย่างนั้นหรือ” ซิวาลินทวนคำ

            “ส่วนประตูกำแพง เซ็นแวนเดอร์บอกว่าเป็นประตูกลตะแกรงเหล็ก” โซลิแทร์บอก “เป็นประตูที่เปิดปิดแบบเลื่อนขึ้นเลื่อนลง แล้วมันก็ทำด้วยตะแกรงโลหะแข็งแกร่ง ค่อนข้างยากที่จะทำลายด้วยเสากระทุ้ง ยิ่งมันเป็นตะแกรง ข้าศึกก็สามารถยิงหรือใช้อาวุธยาวแทงผ่านช่องตะแกรงมาก่อกวนได้”

            “ถ้าไม่ใช้เสากระทุ้ง ท่านจะใช้อะไรทำลายหรือเปิดมัน” ซิวาลินถาม “สลักกลที่ใช้หมุนเปิดประตูจะต้องได้รับการป้องกันแน่นหนา และต่อให้ท่านไปถึงสลักได้ แค่พวกเอลิลตัดตัวถ่วงน้ำหนักประตูออก ท่านก็เปิดประตูไม่ได้อยู่ดี”

            “ข้าก็คิดเหมือนท่าน เราใช้วิธีบุกเข้าไปหมุนสลักไม่ได้แน่” โซลิแทร์ครุ่นคิด “แต่อย่ากังวลเรื่องนี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเราเถอะ เดี๋ยวเราก็คิดออกเอง สิ่งที่เราต้องการให้พวกท่านช่วยเหลือคือเรื่องเสบียง ปากท้องเป็นเรื่องสำคัญมาก หากเราหิวโหยเราก็แพ้สงคราม”

            “เรื่องนั้นไม่มีปัญหา คนของข้าจะจัดเตรียมใบเล็ทเทรดเป็นเสบียงให้แก่คนของท่าน” ซิวาลินรายงาน “ส่วนเรื่องน้ำดื่มนั้นคาดว่าพวกท่านคงไม่มีปัญหา ที่ไอซ์เมสปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็ง พวกท่านสามารถนำมาต้มดื่มได้”

            “ขอบคุณท่านมาก เราจะทำศึกง่ายขึ้นมากหากตัดปัญหาเรื่องเสบียงไป”

            “ขอบคุณพวกท่านต่างหาก” ซิวาลินจับแขนโซลิแทร์ “ความยากลำบากรอคอยพวกท่านอยู่ข้างหน้า ภารกิจอันใหญ่หลวงคือสิ่งที่พวกท่านต้องแบกรับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าเคยคิดเคยพูดเกี่ยวกับดาร์คเนสดีวิล ข้าขอเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ดาร์คเนสดีวิลคือเผ่าพันธุ์ที่มหัศจรรย์ และข้าดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกับพวกท่าน”

            “พวกท่านเตรียมการเรื่องอพยพพลเรือนไปที่แบร์ร็อคแล้วใช่ไหม” โซลิแทร์ถาม

            “ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้แล้ว บรรดาคนที่รบไม่ได้จะถูกพาออกไปจากที่นี่เมื่อถึงเวลาเหมาะสม” ซิวาลินตอบ “ภรรยา ลูกๆ และหลานๆ ของข้าก็รวมอยู่ในนั้นด้วย”

            “ท่านได้เป็นตาแล้วหรือ ข้าไม่ทราบมาก่อนเลย”

            “ข้าเป็นฟอเรสเทอร์ที่จัดอยู่ในพวกอาวุโสที่สุด ข้าได้เป็นทวดแล้วด้วยซ้ำ แต่คนในครอบครัวของข้าไม่ได้มาทำงานการเมืองการปกครองแบบข้าจึงไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนัก” ซิวาลินส่ายหน้ายิ้มๆ “ที่ท่านถามข้าเช่นนี้ แสดงว่าท่านยังไม่มีครอบครัวใช่ไหม”

            “ใช่ และแม้ว่าข้าจะเป็นคนขาดความอบอุ่น ไร้ครอบครัวตั้งแต่จำความได้ แต่ข้าก็ไม่เคยคิดอยากจะสร้างครอบครัวเลย” โซลิแทร์บอกตามตรง “ข้ารู้สึกว่าเป็นมันภาระ ข้ามีสิ่งที่ต้องทำมากมาย แล้วข้าก็เป็นคนรักสันโดษ ข้าเคยได้ยินว่าการดูแลครอบครัวให้ดีนั้นยากกว่าทำสงครามเสียอีก”

            “เป็นความจริงทีเดียว” ซิวาลินหัวเราะ “แน่ล่ะ ท่านเพิ่งจะเป็นหนุ่ม ไม่เห็นต้องรีบร้อนสร้างครอบครัว จริงไหม”

            “ในอนาคตเมื่ออายุมากขึ้น ข้าอาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้ แต่ตอนนี้ข้ายอมตายดีกว่ามีครอบครัว บางคนอาจมองเป็นเรื่องอบอุ่นสวยงาม แต่สำหรับข้ามันคือนรก ข้ารู้ขีดความสามารถของตน ข้าคงจะเป็นสามีและพ่อที่แย่ที่สุด ข้ามีความสามารถแต่เรื่องในสงคราม สงครามคือชีวิตเดียวที่ข้ารู้จัก ซึ่งข้าเองก็ไม่รู้ว่าหากวันใดสงครามสงบลง ชีวิตข้าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ข้าไม่กังวลนักเพราะมั่นใจว่าชีวิตข้ามันจบก่อนสงครามจบแน่” โซลิแทร์พูด “อีกอย่าง ข้าตระหนักได้ว่ามีคนมากมายที่มีลูกในช่วงเวลาอันยากลำบากและไม่มีความสามารถที่จะดูแลให้ดีอย่างที่ควรจะเป็น คนพวกนั้นมันน่าสมเพช ข้าจะไม่มีวันเป็นอย่างพวกนั้น ไม่มีวันเป็นอย่างพ่อแม่ข้า”

            “ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านถึงมีบุคลิกเย็นชา แข็งกร้าว และตลกร้าย” ซิวาลินอดยิ้มไม่ได้ “ท่านเป็นชายหนุ่มที่แปลกประหลาดมากทีเดียว แต่ถามจริงๆ เถอะ ไม่เคยคิดสักวินาทีเลยหรือ มีภรรยาแสนสวยที่เข้าอกเข้าใจท่าน มีลูกน้อยที่น่ารัก มันเป็นสิ่งที่ทำให้ข้ามีความสุขนะ”

            “ข้าก็เคยคิดอยากมีหญิงคนรักที่เข้าอกเข้าใจและรักข้าอย่างที่ข้าเป็น จะว่าไปก็คิดบ่อยทีเดียว” โซลิแทร์สารภาพ “แต่ลูกนี่ข้ารับไม่ได้จริงๆ ข้าไม่ชอบเด็ก หรือหากให้ชัดเจนคือข้าเกลียดเด็ก เกลียดเสียงเด็กร้องงอแง เกลียดที่ต้องคอยป้อนข้าวป้อนน้ำ ยิ่งเด็กที่เริ่มโตนั้นยิ่งเป็นวัยที่น่ากระทืบที่สุด โดยเฉพาะเด็กผู้ชาย ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ! ข้าเกลียดเด็กผู้ชายที่ก้าวร้าวและดื้อซนยิ่งกว่าข้าศึกในสงครามเสียอีก อาจเป็นเพราะตอนข้าเด็กๆ ข้าถูกพวกเด็กผู้ชายมนุษย์กลั่นแกล้งตลอดยามนำบรรณาการไปส่งที่โอมิลรอน โปรดเชื่อเถอะ ถ้ามีคนบอกว่าข้ากำลังจะตายในอีกสองชั่วโมง มันยังน่าฟังมากกว่ามาบอกว่าข้าได้ลูกชาย”

            “นี่ อย่าลืมนะว่าท่านเองก็เคยเป็นลูกชายมาก่อนเหมือนกัน” ซิวาลินยิ้มอย่างขบขัน

            “แม่ของข้าถึงเอาข้าไปทิ้งที่โฟรเซ็นทิเนลไง” โซลิแทร์ว่า

            ซิวาลินหัวเราะชอบใจ

            “ท่านเห็นบราวน์บีเซลไหม” โซลิแทร์ถาม “ข้าต้องหารือกับเขาเรื่องกองกำลังบางส่วนที่ข้าจะทิ้งไว้ให้เขาที่นี่”

            “ตามลำธารสายนี้ไปเลยท่านลอร์ดมือแบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” ซิวาลินชี้มือตามแนวลำธารที่ไหลผ่านป่าโปร่งๆ “ท่านจะพบเขาเอง”

            โซลิแทร์จับมือบอกลาซิวาลินแล้วเดินไปเรื่อยๆ ตามลำธาร รู้สึกเพลิดเพลินกับบรรยากาศไม่น้อย กาโกคอลมีพืชเรืองแสงเต็มไปหมด โซลิแทร์เป็นคนชอบแสงสว่างในความมืดท่ามกลางบรรยากาศสงบๆ มาก ไม่ว่าจะท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เมืองในยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงโคมแสงตะเกียง หรือป่าที่เต็มไปด้วยพืชเรืองแสงอย่างตอนนี้ เป็นบรรยากาศที่เขาชอบที่สุดแล้ว

            กอร์รินกำลังใช้ขวานตัดฟืนตัดกิ่งก้านต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มันล้มอยู่ริมลำธารใกล้ๆ กับกระโจมที่พักของเขา ดูจะพยายามแต่งมันให้เป็นท่อนไม้เกลี้ยงๆ  เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่คนเดียวยังโอบไม่รอบ

            “ไงแบล็กกี้” กอร์รินทักทาย ยังใช้ขวานแต่งต้นไม้ไปเรื่อยๆ

            “ท่านเรียกข้าว่าอะไรนะ”

            “มีปัญหาที่หูหรือไง”

            “มีที่หูซ้ายตั้งแต่โดนเดลิลวาสเตะเข้าให้ แต่มันยังระคายหูข้าน้อยกว่าชื่อที่ท่านเรียกข้าเมื่อกี้”

            “งั้นท่านก็ต้องทนระคายหูแล้วล่ะ เพราะข้าคิดว่าแบล็กกี้เป็นชื่อที่เหมาะแก่ท่านมาก”

            “มันชื่อสุนัขชัดๆ “

            “งั้นยิ่งเหมาะกับท่านเลย”

            แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะ จับมือกันและดึงไหล่มาชนกันตามธรรมเนียมของโฮเซ่ กอร์รินส่งขวานตัดฟืนในมือให้โซลิแทร์ แล้วหยิบอีกเล่มขึ้นมา

            “มาได้จังหวะพอดี” เขาบอก

            “บอกไว้ก่อนนะ ดาร์คเนสดีวิลไม่ค่อยถนัดเรื่องงานไม้” โซลิแทร์มองขวานในมือ

            “ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ถากเอากิ่งกับรากของมันออกไป ให้มันเป็นท่อนไม้เกลี้ยงๆ สามารถพาดข้ามลำธารเป็นสะพานได้” กอร์รินแต่งต้นไม้ต่อ “สองสามวันก่อนต้นไม้ต้นนี้มันล้ม เซ็นแวนเดอร์ญาติของท่านไม่อยากให้มันเกะกะขวางทางจึงจะใช้มันเป็นสะพานข้ามลำธาร ข้าเสนอตัวมาจัดการเรื่องนี้เพราะอยากมาตั้งกระโจมตรงนี้ บรรยากาศมันดีมากๆ”

            “ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า นั่นล่ะฟอเรสเทอร์” โซลิแทร์จามขวานใส่กิ่งไม้ใหญ่ๆ “ดำรงชีวิตควบคู่ไปกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมของกาโกคอลถึงได้ดีเยี่ยมตลอดเวลา”

            “ท่านคิดว่าหลังจากทัพใหญ่เอลิลบุกมา สิ่งเหล่านี้จะมีเหลือไหม” กอร์รินถาม

            “ถ้าพวกเอลิลพิชิตที่นี่ได้ มันก็คงไม่เหลือ” โซลิแทร์ว่า

            “ช่างน่าเสียดาย” กอร์รินมองไปรอบๆ “แต่จะว่าอะไรพวกนั้นก็ไม่ได้ ก่อนที่อาณาจักรกาโกคอลจะเกิดขึ้น ที่นี่เคยเป็นดินแดนน้ำแข็งที่แห้งแล้งของพวกเอลิลมาก่อน จนกระทั่งพวกไซคัสพิชิตพวกเอลิลได้และปรับปรุงมันให้เป็นแบบนี้”

            “และก่อนที่มันจะเป็นดินแดนของพวกเอลิล ก่อนที่พวกผู้สร้างจากต่างดาวจะมาสร้างพวกเอลิลกับพวกไซคัสขึ้น มันก็เคยเป็นดินแดนของบรรดามังกรมาก่อน” โซลิแทร์พูดต่อ “ใครจะไปรู้ บางทีมันก็อาจยุติธรรมแล้วที่พวกเฟลมฟอร์สจะใช้พวกเอลิลกำจัดพวกฟอเรสเทอร์และเข้าควบคุมดินแดนนี้”

            “ท่านเชื่อหรือว่าความยุติธรรมมีจริง” กอร์รินหัวเราะ

            “ถ้าเชื่อก็คงไม่จับดาบสู้อยู่ทุกวันนี้หรอก” โซลิแทร์บอก “แต่ข้าเชื่อว่าทุกสิ่งมีชีวิต ไม่ว่ามันจะเกิดมาได้อย่างไร หรือมีใครตั้งใจให้มันเกิดมาหรือไม่ เมื่อมันเกิดมาแล้ว มันก็มีสิทธิ์ที่จะต่อสู้เพื่อความอยู่รอด”

            “บางครั้งข้าก็เคยคิดว่ามันคงดีกว่านี้ หากแต่ละเผ่าพันธุ์ไม่เคยถูกสร้างขึ้นมาเลย” กอร์รินพูดไปทำงานไป “การไม่ได้เกิดมามันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร แต่หากเกิดมาแล้วต้องเผชิญกับความทุกข์ยาก ความลำบาก ความโศกเศร้า ความสูญเสีย นั่นล่ะเรื่องเสียหาย”  

          “การจะสร้างอะไรขึ้นมานั้นมันไม่ได้มีเหตุผลสมควรเสมอไปหรอก บางครั้งพวกผู้สร้างก็สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมาเพียงเพราะพวกเขาสามารถสร้างได้” โซลิแทร์สับขวานตัดกิ่งไม้ออก “ไม่ว่าจะเป็นพวกผู้สร้างจากต่างดาว พวกไซคัส พ่อแม่ข้า---เดี๋ยวก่อนนะ หากคิดดูดีๆ พ่อแม่ข้าไม่จัดอยู่ในประเภทนี้ เพราะพวกเขาไม่ได้อยากสร้างข้าขึ้นมาแต่แรก ข้าเกิดขึ้นเพราะความผิดพลาด ผิดพลาดกันท่าไหนข้าก็ไม่อยากรู้หรอก”

          “ยังไงก็แล้วแต่ แม้ท่านจะเกิดมาเพราะความผิดพลาด แต่ข้าก็ดีใจที่ท่านเกิดมานะเพื่อนยาก” กอร์รินตบแขนอีกฝ่าย “มันไม่ง่ายหรอกที่จะหาเพื่อนดีๆ สักคน”

          “เช่นกันเพื่อนยาก” โซลิแทร์ตบแขนกลับ “นี่ฟังนะ พรุ่งนี้กองกำลังส่วนที่ข้าแบ่งไว้ที่นี่จะไปรายงานตัวกับท่าน พวกเขาทุกคนเคยทำความรู้จักกับท่านตอนที่ท่านอยู่ที่โฟรเซ็นทิเนล ยินดีอย่างยิ่งที่ท่านจะเป็นผู้ควบคุมการรบระยะประชิด ข้าคงจะไม่ไว้ใจคนอื่นในการทำหน้าที่นี้อีกแล้ว พวกเขาก็เช่นกัน”

          “ข้าและคนของข้าจะต่อสู้เคียงข้างพวกเขา” กอร์รินให้คำมั่น “อย่างที่เพื่อนต่อสู้เคียงข้างเพื่อน”

          ทั้งสองตัดแต่งต้นไม้ให้เป็นท่อนซุงจนเสร็จ วางขวานลงและพยายามจะขนย้ายมันไปที่ลำธาร แต่มันใหญ่และหนักเกินไป แม้สองคนออกแรงช่วยกันก็ลากไปได้ไม่เกินคืบ

          “ท่านว่าทัพใหญ่เอลิลจะมีจำนวนมากแค่ไหน โซลิแทร์” กอร์รินกัดฟันถามขณะออกแรงลาก “คิดว่าถึงแสนไหม”

          “หวังว่าจะไม่ถึง เพราะถ้าถึงกาโกคอลต้านไม่ไหวแน่” โซลิแทร์กัดฟันออกแรงเหมือนกัน แต่ไม่พูดเสียงดัง “พวกนั้นจะพิชิตกาโกคอลได้โดยเหลือกำลังพลอีกมาก พักฟื้นฟูทัพไม่นานก็สามารถยกไปโจมตีอาณาจักรอื่นได้เลยทีเดียว”

          “ฟังดูหนักหนาไม่น้อย แล้วก็มีโอกาสที่มันจะเป็นอย่างที่เรากลัวไม่น้อย” กอร์รินออกแรงมากขึ้นอีก “ทำไมทุกครั้งที่ทำสงคราม ฝ่ายเราจะต้องสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่ามากมายด้วยนะ”

          “ใช่ ความรู้สึกเหมือนเราตอนนี้ ที่กำลังพยายามเคลื่อนย้ายท่อนซุงนี่เลย” โซลิแทร์ออกแรงเต็มที่ “มันหนักเกินไปสำหรับเราสองคน แทบจะขยับเขยื้อนมันไม่ได้เลย”

          แล้วทั้งคู่ก็หยุดพัก นั่งลงบนท่อนซุง หอบหายใจ นี่พวกเขาขยับมันไปได้ไม่เกินสามคืบ

          “คิดอะไรออกแล้ว” กอร์รินลุกขึ้นยืน คว้าท่อนไม้แข็งแรงบนพื้นมาท่อนหนึ่ง นำมาสอดใต้ท่อนซุงใหญ่ในลักษณะของคานงัด เอาหินก้อนหนึ่งมารองใต้ท่อนไม้เป็นแกนงัด

          “จะไหวหรือ” โซลิแทร์ลุกจากท่อนซุงหลีกทางให้

          “บางสิ่งอาจหนักหนาเกินกว่าที่เราจะแบกรับไหว แต่เราก็ยังสามารถรับมือกับมันได้ ด้วยการงัด” กอร์รินออกแรงงัด

          ได้ผลจริงๆ ด้วย ท่อนซุงถูกงัดกลิ้งลงไปตามทางลาด ตกลงไปในลำธาร และลอยขวางลำธารเป็นสะพานพาดข้ามพอดี

          “กอร์ริน ท่านมันอัจฉริยะ ท่านทำให้ข้านึกอะไรออก” โซลิแทร์พูดอย่างดีใจ “ข้ารู้แล้วว่าจะจัดการกับประตูกำแพงฐานทัพเอลิลยังไง”

          “ด้วยคานงัดน่ะหรือ” กอร์รินขมวดคิ้ว

          “ใช่แล้ว” โซลิแทร์พยักหน้า “เดี๋ยวข้าต้องขอตัวก่อน ต้องไปปรึกษาผู้นำดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ เพื่อร่างแบบเตรียมพร้อมสำหรับประกอบมันขึ้นมา”

          “ก่อนที่ท่านจะไปทำอย่างนั้น” กอร์รินนึกได้ “รองหัวหน้าเผ่าเซ็นแวนเดอร์บอกว่าต้องการพบท่าน หากท่านไม่รีบร้อนจนเกินไป ช่วยไปพบเขาที่สุสานได้ไหม”

          “ข้าไม่รีบร้อนอะไร เดี๋ยวข้าจะไปพบเขา” โซลิแทร์พูด “ราตรีสวัสดิ์”

          “ราตรีสวัสดิ์แบล็กกี้”

          “ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ! ท่านเรียกบ่อยๆ มันจะติดปากนะ”

          โซลิแทร์เดินห่างออกจากลำธารตรงไปยังพื้นที่ที่พวกฟอเรสเทอร์ใช้ฝังศพ พอจำได้ว่ามันอยู่ที่ไหน มันเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ ไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าเป็นสถานที่สำหรับฝังศพ เพราะพวกฟอเรสเทอร์จะจัดการศพให้สอดคล้องกับวิถีธรรมชาติมากที่สุด ไม่มีป้ายหินหลุมศพ ไม่มีเครื่องหมายแสดงว่าร่างใครฝังอยู่ตรงไหน ผู้ตายจะถูกเปลี่ยนให้สวมชุดที่ทำด้วยใบไม้ ดอกไม้ และเถาวัลย์ เพื่อง่ายต่อการย่อยสลายตามธรรมชาติ คืนสรรพสิ่งสู่ธรรมชาติ นี่คือวิธีทางของพวกฟอเรสเทอร์ ร่างคนตายจะย่อยสลายเป็นอาหารแก่พืชและหญ้าให้สัตว์ป่ามากิน เซ็นแวนเดอร์กำลังโปรยใบไม้และกลีบดอกไม้ลงบนพื้นดิน เขาหันมายิ้มให้เมื่อโซลิแทร์เดินเข้าไปหา

          “ท่านกำลังทำสิ่งที่แปลกตาสำหรับข้า” โซลิแทร์พูด

          “นี่น่ะหรือ” เซ็นแวนเดอร์หยิบใบไม้ในตะกร้ามาโปรย “เป็นการแสดงความเคารพศพ โปรยใบไม้หรือดอกไม้ลงบนที่ฝังของพวกเขา”

          “ท่านเชื่อว่าคนตายจะรับรู้การกระทำของท่านหรือ” โซลิแทร์ถาม

          “ฟอเรสเทอร์เป็นเผ่าพันธุ์ล้าหลัง หลายคนมีความเชื่อเรื่องวิญญาณและโลกหลังความตาย” เซ็นแวนเดอร์บอก

          “แล้วท่านเชื่อด้วยไหม”

          “ในฐานะที่ข้าเป็นรองผู้นำสูงสุดแห่งกาโกคอล ข้าจำเป็นต้องฉลาด ต้องรู้จักคิดอย่างมีเหตุผล” เซ็นแวนเดอร์กล่าว “แน่นอน วิญญาณและโลกหลังความตายเป็นเรื่องไร้เหตุผลที่สุดที่ดาวดวงนี้เคยมีมา ความตายคือการเปลี่ยนสภาพ เป็นดิน เป็นหญ้า แร่ธาตุ ไม่มีอะไรซับซ้อนกว่านั้น”

          “เช่นนั้นท่านประกอบพิธีกรรมทำไม” โซลิแทร์ถามต่อ

          “ได้ยินว่าดาร์คเนสดีวิลก็มีพิธีศพเหมือนกันไม่ใช่หรือ” เซ็นแวนเดอร์ถามกลับ “ปลูกต้นไม้ที่มีใบสีดำไว้เหนือที่ฝังศพของพวกนักรบแล้วสลักชื่อคนตายไว้ที่โคนต้น พืชชนิดนี้จะขึ้นเฉพาะพื้นดินที่ปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็งในอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล พวกท่านนำใบมาต้มดื่มกัน”

          “ทูมสโตน” โซลิแทร์พยักหน้า “เราจัดพิธีศพให้ผู้ล่วงลับเพื่อให้คนรุ่นหลังได้จดจำสิ่งดีๆ ที่เขาหรือเธอได้สร้างขึ้น วีรกรรม ความสัมพันธ์ ความผูกพัน ความรัก หลายสิ่งหลายอย่างที่ควรจดจำ ย้ำเตือนให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ลืมว่าเคยมีช่วงเวลาที่ดีในชีวิตกับคนที่นอนอยู่ในหลุม”

          “นั่นคือจุดประสงค์ของพิธีศพ เพื่อย้ำเตือนให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นไม่ลืมความทรงจำดีๆ ที่เคยมีกับคนที่จากไปแล้ว” เซ็นแวนเดอร์พูด “มันไม่ได้จัดเพื่อคนตาย แต่จัดเพื่อคนเป็น”

          “ท่านจำได้ด้วยหรือว่าศพใครฝังอยู่ตรงไหน” โซลิแทร์มองไปรอบๆ “ไม่มีป้ายหลุมศพ ไม่มีสัญลักษณ์บ่งบอกอะไรเลย”

          “จำได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้นแหละ ซึ่งบางทีก็อาจจำผิดบ้าง แต่ก็ไม่เห็นเป็นไร คนตายก็แปรสภาพไป ต่อให้เราจำได้ว่าฝังไว้ตรงไหนพวกเขาก็สลายหายไปอยู่ดี สิ่งที่ทำให้พวกเขาคงอยู่ต่อไปคือความทรงจำดีๆ ที่เรายังคงมีให้พวกเขาต่างหาก ฉะนั้นต่อให้ข้าโปรยใบไม้ผิดหลุม มันก็ไม่สำคัญอะไรจริงไหม” เซ็นแวนเดอร์โปรยใบไม้ต่อไป “บริเวณนี้ฝังร่างคนตายไว้มากมาย แต่มันไม่ใช่แหล่งฝังศพที่เดียวหรอก บางคนก็ฝังไว้ใกล้ๆ บ้านตน เป็นแปลงผัก เป็นสวนดอกไม้ นั่นคือความอบอุ่นที่คนรุ่นเก่าได้มอบแก่คนรุ่นใหม่ เมื่อพวกเขาตายไป พวกเขาจะกลายเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารให้ลูกหลานกิน เป็นสายน้ำให้ลูกหลานดื่ม เป็นต้นไม้ให้ลูกหลานได้สร้างบ้าน เป็นผืนแผ่นดินให้ลูกหลานได้อยู่อาศัย กาโกคอลเป็นอะไรที่ลึกซึ้งกว่าการเป็นพื้นที่เป็นดินแดนของเรา มันเป็นเสมือนตัวแทนบรรพชนของเราทุกคนด้วย”

          “แล้วที่ท่านกำลังโปรยอยู่นี่” โซลิแทร์ชี้ “ฝังใครไว้หรือ”

          “พ่อของข้าเอง” เซ็นแวนเดอร์ตอบ “เขาตายในสงครามเมื่อหลายสิบปีก่อน”

          “สงครามกับพวกเฟลมฟอร์สหรือ”

          “ใช่” เซ็นแวนเดอร์พยักหน้า “ยิงธนูต่อสู้กับเซ็ทซาร์ดในชุดเกราะสีขาวที่ชื่อเวเลสทาร์ พ่อของข้ายิงธนูเก่งมาก แต่ติดปัญหาที่ว่าอีกฝ่ายเก่งกว่า”

          “ปัญหาเดียวกับที่ข้ากำลังเผชิญอยู่ ต้องสู้กับคนที่เก่งกว่า” โซลิแทร์ยิ้มอย่างเจ็บอายอยู่หลังหน้ากาก “แล้วเขาชื่ออะไรหรือ พ่อของท่าน”

          “เซ็นเดอร์ ไวท์วิสเพอร์”

          “ชื่อคล้ายท่านมากเลย”

          “รูปลักษณ์ก็คล้ายข้ามาก แทบจะเป็นฝาแฝด” เซ็นแวนเดอร์ยิ้ม “เขาเคยตำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกผู้ปกครองอาณาจักรกาโกคอล มีพรสวรรค์เรื่องการใช้ธนูอย่างมาก”

          “ท่านเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นสินะ” โซลิแทร์ยิ้มอยู่หลังหน้ากาก “สิ่งที่ข้าไม่เคยเป็น”  

          “ความจริงก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่ได้มาทำงานการปกครองและการสงครามแบบเขาหรอก” เซ็นแวนเดอร์ระลึกความหลัง “ข้าใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบ ห่างไกลจากสงครามและความวุ่นวาย ข้ามีพรสวรรค์เรื่องการยิงธนู แต่ยังไม่มากมายขนาดนี้ ข้าเคยแต่ล่าสัตว์ ไม่เคยฆ่าคน ข้าเคยมีภรรยาและลูกๆ ที่น่ารัก ลูกสาวคนเล็กของข้าเคยอยู่วัยเดียวกับท่านตอนนี้นี่ล่ะ เราเคยเป็นครอบครัวที่อบอุ่น เรามีความสุขที่มีกันและกัน”

          “เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา”

          “อุบัติเหตุทางเรือ” เซ็นแวนเดอร์ถอนหายใจ “พรากพวกเขาไปจากข้าทั้งหมดเลย ใครจะไปรู้ว่าโชคชะตามันจะมีตลกร้ายเช่นนี้ ข้าพยายามให้พวกเขาใช้ชีวิตห่างจากสงครามเพื่อความปลอดภัย แต่สุดท้าย พวกเขากลับตายกันหมด เพียงเพราะเรือคว่ำ”

          “โชคชะตาก็เหมือนคนบ้า ที่ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล มีขั้นตอน มีแผน หรือมีจุดประสงค์อะไร” โซลิแทร์พึมพำ “จู่ๆ มันจะให้อะไรเกิด มันก็ทำให้เกิด”

          “ในตอนนั้นข้าเศร้าโศกเสียใจมาก รู้สึกเหมือนจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ สิ่งเดียวที่ข้าทำเพื่อให้ลดละความเจ็บปวดได้บ้าง คือการซ้อมยิงธนู ข้าซ้อมยิงธนูทุกวัน วันละหลายชั่วโมง ทำอย่างนี้มากี่ปี กี่สิบปี หรือกี่ร้อยปี ข้าก็จำไม่ได้แล้ว มันติดเป็นนิสัย” เซ็นแวนเดอร์หยิบคันธนูของตนขึ้นมาดู “นั่นทำให้ข้ากลายเป็นนักแม่นธนูที่เก่งที่สุดในกาโกคอล ชาร์ปชูเทอร์ (Sharp Shooter) คือฉายาที่หลายคนเรียกข้า ภายหลังแม่ของข้าก็ชักชวนให้ข้าเข้าสู่วงการนี้ ข้าจึงได้ใช้ความสามารถให้เป็นประโยชน์มากกว่าซ้อมยิงไปวันๆ”

          “ครอบครัวของท่านถูกฝังไว้ที่นี่ด้วยหรือเปล่า” โซลิแทร์มองไปตามพื้นดิน

          “เปล่า พวกเขาถูกฝังในที่ที่เคยเป็นบ้านของพวกเขา” เซ็นแวนเดอร์ส่ายหน้า

          “แล้วตอนนี้ท่านดีขึ้นแล้วไหม”  

          “ไม่มีวันไหนที่ข้าไม่คิดถึงพวกเขา แต่ข้าก็กลับมามีชีวิตปกติเหมือนเคย คนตายนั้นหมดบทบาทหน้าที่ไป ส่วนคนเป็นยังต้องดำเนินชีวิตต่อ” เซ็นแวนเดอร์แหงนหน้ามองดาวบนท้องฟ้า “โปรดจำคำข้าไว้โซลิแทร์ หากท่านต้องสูญเสียคนที่ท่านรัก ในตอนแรกๆ ท่านอาจรู้สึกเจ็บปวดจนไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปอย่างไร แต่กาลเวลาคือสิ่งที่รักษาแผลใจได้ดีที่สุด มันอาจนานเป็นเดือน เป็นปี หรือเป็นสิบปี หรือมากกว่านั้น แต่สักวันท่านจะกลับเป็นปกติ มีชีวิตเป็นปกติ มีหัวใจที่แม้จะเคยมีบาดแผลแต่มันก็จะกลับเป็นปกติ ไม่มีแผลใจอันใดที่กาลเวลาจะรักษาไม่ได้ ฉะนั้นจงอย่ารู้สึกสิ้นหวังเมื่อต้องสูญเสีย มันจะไม่เจ็บอย่างนี้ตลอดไปหรอก สักวันมันจะต้องดีขึ้น”

          เขาขยับไปที่พื้นดินที่ปกคลุมด้วยดอกไม้กลางคืน บางดอกสยายกลีบเรืองแสงอย่างสวยงาม

          “ตรงนี้ฝังศพแม่ของท่าน ข้าจำได้เพราะมีดอกไม้ขึ้นอยู่” เซ็นแวนเดอร์ยื่นตะกร้าใบไม้และกลีบดอกไม้ให้โซลิแทร์ “อยากโปรยไหม”

          “ไม่ดีกว่า ขอบคุณ” โซลิแทร์ปฏิเสธ “ความทรงจำระหว่างข้ากับเธอมันไม่ใช่เรื่องน่าจดจำนัก”

          “ก็อาจจะจริง” เซ็นแวนเดอร์ยิ้ม วางตะกร้าลง “ในฐานะที่ข้าเคยมีครอบครัว ข้าก็ขอยืนยันอีกเสียงว่าเธอเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่อง แต่ข้าก็ยินดีที่จะโปรยใบไม้ให้เธอ เพราะข้ารู้สึกขอบคุณเธอ”

          “ขอบคุณเรื่องอะไรหรือ”

          “ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ข้าก็คงไม่มีโอกาสได้พบเจอท่าน เด็กหนุ่มดาร์คเนสดีวิลช่างฝัน ผู้ซึ่งยอมแบกรับภารกิจอันใหญ่หลวง เพียงเพื่อให้ข้าและคนอื่นๆ ที่เหลือมีความหวังที่จะสู้ต่อไป การได้พบท่านเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตข้ามาก” เซ็นแวนเดอร์ยิ้มอย่างอบอุ่น “ท่านอาจเกิดมาเพราะความไม่ตั้งใจ เติบโตมากับความยากลำบาก แต่ข้าก็เชื่อว่าจะต้องมีสักช่วงเวลาที่ท่านรู้สึกว่า การเกิดมามีชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่คุ้มค่า แล้วในใจลึกๆ ท่านจะรู้สึกขอบคุณเธอเหมือนที่ข้ารู้สึก แม้มันจะเป็นสิ่งที่เธอไม่สมควรได้รับก็ตาม”

          “กอร์รินบอกว่าท่านอยากพบข้า” โซลิแทร์เปลี่ยนเรื่อง

          “จริงด้วย ข้านี่ก็มัวแต่ชวนคุยจนลืมไป อภัยให้ด้วย สงสัยข้าคงแก่แล้วจริงๆ” เซ็นแวนเดอร์ตบหน้าผากตัวเอง “ความจริงแล้ว คนที่อยากพบท่านไม่ใช่ข้าหรอก แต่เป็นพวกเขา”

          “พวกเขาไหนหรือ”

          “เดี๋ยวข้าไปตามมาให้ รออยู่นี่ก่อนนะ” เซ็นแวนเดอร์ออกเดินไปเร็วๆ

          โซลิแทร์จึงยืนกอดอกรอ ตาจ้องมองดอกไม้บนหลุมศพแม่ ตั้งแต่เป็นแม่ลูกกันมา นี่คงเป็นตอนที่เขาได้ใกล้ชิดเธอที่สุดสินะ เธอนอนเป็นปุ๋ยอยู่ใต้ดิน โดยมีเขายืนเหยียบอยู่

          มีเสียงฝีเท้าจำนวนมากย่ำอยู่ข้างหลัง เขาหันไปมองอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าพวกเขาที่เซ็นแวนเดอร์บอกนั้นจะมากมายถึงขนาดนี้ นักรบดาร์คเนสดีวิลในชุดเกราะ ทั้งดีเซ็นทรีและดีวอเชอร์ พวกเขาทั้งหมดคือนักรบรุ่นเก่าที่เคยร่วมรบร่วมใช้ชีวิตกับเอโมลิล ซึ่งวางอาวุธลาออกจากการเป็นนักรบหลังจากที่โซลิแทร์ยืนยันการกระทำอันผิดพลาดของเอโมลิล เพราะผิดหวังในตัวคนที่พวกตนเคยศรัทธาทั้งเอโมลิลและโซลิแทร์ แต่ในตอนนี้พวกเขามาอยู่ที่นี่เบื้องหน้าโซลิแทร์ มากันครบทุกคน

          “พวกท่าน” โซลิแทร์ยิ้มอย่างคิดถึงอยู่หลังหน้ากาก “มาได้ยังไงกันนี่”

          “เราล่วงหน้ามาก่อนท่านราวหนึ่งวัน” ดีเซ็นทรีคนหนึ่งยิ้มให้เขา

          “ข้า” โซลิแทร์กระซิบ “ไม่นึกว่าจะได้เห็นพวกท่านอีกแล้ว”

          “ทำไมจะไม่เห็นล่ะ เราต้องสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันไม่ใช่หรือ” ดีวอเชอร์คนหนึ่งพูดอย่างคึกคัก “หากท่านยังต้องการเราอยู่นะ”

          “ข้า” โซลิแทร์ไม่รู้จะพูดอะไรดี “ข้านึกว่าพวกท่านวางอาวุธเลิกรบกันหมดแล้ว ซึ่งข้าก็คิดว่ามันมีเหตุผลสมควร บุคคลที่ควรจะเป็นตัวอย่างของพวกท่านกลับทำให้พวกท่านผิดหวัง ทั้งเดอะ โนเวลิสท์และข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้า”  

          “เราทุกคนล้วนแต่ทำผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น แต่ลูกผู้ชายคือคนที่ยอมรับและพยายามแก้ไขให้มันถูก” ดีวอเชอร์กล่าว “พวกเรามาคิดดูแล้ว บางทีเราก็ใจแคบเกินไป นิสัยคนรุ่นเก่าที่ไม่ค่อยจะฉลาดน่ะ เดอะ โนเวลิสท์อาจทำผิดพลาด แต่เขาก็คือเพื่อนและผู้สร้างแรงบันดาลใจที่ดีเสมอ และการที่ท่านนำความจริงของเขาออกมาเปิดเผยนั้น แน่ล่ะว่ามันเสียดแทงความรู้สึกคนมากมาย แต่หากเปิดใจมองอย่างยุติธรรมแล้ว มันก็คือการแสดงความเป็นลูกผู้ชาย ยืดอกยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น”

          “เมื่อเราถามใจตัวเองอีกที เราก็ตระหนักว่า ที่เราต่อสู้อยู่ทุกวันนี้ เรารบเพื่อคนที่เรายึดมั่นศรัทธามากที่สุด ซึ่งคนผู้นั้นไม่ใช่เดอะ โนเวลิสท์หรือท่าน แต่คือตัวเราเอง” ดีเซ็นทรีที่ยืนอยู่กลางกลุ่มพูด เพื่อนๆ รอบตัวเขาพยักหน้าตาม “บุคคลตัวอย่างเป็นแค่แนวทางและแรงบันดาลใจ เราจะเสื่อมศรัทธาในพวกเขาแค่ไหนมันก็ไม่สำคัญ ตราบที่เรายังศรัทธาในตัวเองอยู่”

          “ข้าเสียใจ ที่ทำให้พวกท่านผิดหวัง” โซลิแทร์พูดเสียงเบา

          “พวกเราต่างหากที่ทำให้ท่านผิดหวัง” ดีเซ็นทรีคนคนหนึ่งพูดอย่างเข้มแข็ง “ท่านตัดสินใจเลือกต่อสู้ในศึกที่รู้ว่าจะแพ้ เพื่อสร้างหวังให้เผ่าพันธุ์อื่นๆ  ท่านมองเห็นคุณค่าของมิตรภาพจากพวกเขา ท่านพิสูจน์ให้ดาวดวงนี้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตที่ไม่น่าคบหาอย่างดาร์คเนสดีวิลก็สามารถเป็นสิ่งที่เรียกว่าเพื่อนได้ เราจะทนอยู่กับตัวเองได้อย่างไรหากไม่จับอาวุธไปต่อสู้เคียงข้างท่าน เดอะ โนเวลิสท์อาจเป็นคนที่เราควรเดินตามรอย แต่เดอะ แบล็กไรดิงฮู้ดคือคนที่เราควรก้าวไปด้วยข้างๆ  ความจริงแล้วมันไม่สำคัญหรอกว่าใครจะเป็นฝ่ายผิดหวังในตัวใคร ผิดหวังมากแค่ไหน หรือผิดหวังสักกี่ครั้ง เพราะเราอาจผิดหวังต่อกันได้ แต่เราจะไม่มีวันสิ้นหวังต่อกัน”

          โซลิแทร์พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยิ้มอย่างซาบซึ้งอยู่หลังหน้ากาก นักรบทุกคนทำแขนกากบาทให้เขา เสียงเกราะกระทบกันดังกระหึ่ม โซลิแทร์ทำตอบกลับอย่างเข้มแข็ง

          “ในวันพรุ่งนี้ ยามที่อิลิมิน่าส่องแสงเจิดจ้า” เขากล่าวเสียงเบา แต่ได้ยินกันทั่วถึง “เราจะก้าวเดินไปด้วยกัน สหายของข้า พี่น้องของข้า”

          “เราคือกำแพง” บรรดานักรบพูดพร้อมกันเสียงดัง แล้วจึงแยกย้ายกันไปเตรียมตัวสำหรับศึกสงครามที่รออยู่ข้างหน้า กองทัพดาร์คเนสดีวิลมีจำนวนมากขึ้นแล้ว มันไม่มากถึงขั้นทำให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้เปลี่ยนแปลงจากเดิม แต่การที่พวกพ้องส่วนหนึ่งกลับมาต่อสู้เคียงข้างเขาอีกครั้ง มันเป็นสิ่งที่มีความหมายมาก  

          โซลิแทร์หันไปมองที่หลุมศพแม่ ดูลังเลอยู่สักพัก แล้วจึงหยิบใบไม้และกลีบดอกไม้จากในตะกร้ามาหนึ่งกำมือ โปรยเหนือหลุมศพเธอ

 

***************

 

            โซลิแทร์ตื่นขึ้นมาในยามสายของวันรุ่งขึ้น เขาลองกินใบเล็ทเทรดเป็นอาหารเช้า รู้ซึ้งกับรสชาติอันไม่พึงประสงค์ของมันตามคำกล่าวขานของพวกฟอเรสเทอร์แล้ว ยอมรับว่าเป็นอาหารรสชาติแย่ที่สุดที่เขาเคยกินมาจริงๆ  แต่มันก็สะดวกและประหยัดเวลาอย่างเหลือเชื่อ เขาลงไปอาบน้ำในลำธารหน้าบ้าน กลับขึ้นมาแต่งตัวด้วยชุดสีดำมิดชิด เตรียมจะสวมชุดเกราะทับ สายตาเหลือบไปเห็นแอปเปิลเคลือบโลหะที่มีรอยกัดรูปสายฟ้าวางอยู่ข้างๆ เสาแขวนชุดเกราะ เขาคว้ามันมาดู พอจำได้ว่าหยิบมันติดมาด้วยจากห้องนอนที่โฟรเซ็นทิเนล นำมาเพื่ออะไรก็ยังไม่แน่ใจ คงเผลอหยิบติดมือมาเฉยๆ

            เขาวางแอปเปิลโลหะลงแล้วเอื้อมไปหยิบเสื้อเกราะ เสื้อเกราะของเขามีอยู่หลายตัว ซึ่งตอนนี้ทุกตัวล้วนเสียหายชำรุด เขาต้องพบเจอกับการต่อสู้บ่อยจนซ่อมแซมไม่ทัน ตัวที่เขาถืออยู่คือตัวที่ได้รับความเสียหายน้อยที่สุด แต่มันก็ขาดชำรุดไม่น้อยทีเดียว

            “ถ้าท่านไม่คิดว่าการสวมเสื้อเกราะขาดๆ เป็นแฟชั่น ท่านก็น่าจะเปลี่ยนตัวใหม่ได้แล้วนะ”

            เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากประตูที่เปิดอยู่ อาเรนัส มาร์คาร์ส่งยิ้มให้เขา

            “ท่านก็มาด้วยหรือนี่” โซลิแทร์พูดอย่างดีใจ

            “มาพร้อมกับพวกนักรบรุ่นเก่าที่ไปพบท่านเมื่อวาน” มาร์คาร์มองไปรอบๆ “บ้านต้นไม้หลังนี้อยู่เสียลับหูลับตา ตั้งนานกว่าจะหาเจอ นี่คือที่ที่ท่านเกิดหรือ บ้านหลังเล็กๆ น่าอยู่ กว้างกว่าห้องของท่านที่เมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดเสียอีก”

            “จะว่าไปก็น่าขำนะ” โซลิแทร์สูดหายใจลึกๆ แล้วพ่นลมหายใจออกมาเป็นไอขาว “สามสิบสามปีก่อนข้าเกิดที่นี่ และในตอนนี้ ข้าอาจกำลังจะเดินทางจากที่นี่เพื่อไปตาย”

            “ท่านตายแน่นอนถ้าสวมเสื้อเกราะตัวนั้น” มาร์คาร์ผงกหัวไปยังเสื้อเกราะในมือโซลิแทร์ “ข้าจึงนำตัวใหม่มาให้ท่าน”

            เขากางเสื้อเกราะตัวใหม่เอี่ยมที่ถือมาด้วย เป็นเสื้อเกราะห่วงโซ่สีดำสนิท ทำจากโลหะถักทอเป็นเสื้อเช่นเดียวกับตัวเก่าของโซลิแทร์ แต่มันติดเกล็ดเอเลนเซฟเวอรี่ปกคลุมไว้ทั้งตัวเสื้อ กลายเป็นเสื้อเกราะเกล็ดเอเลนเซฟเวอรี่ที่เป็นสีดำสนิท

            “ว้าว! นี่คงเป็นเสื้อเกราะพิเศษที่ท่านบอกว่าจะทำไว้ให้ข้า ในที่สุดข้าก็มีโอกาสได้สวม” โซลิแทร์ยิ้มอย่างชอบใจ “ชอบรูปลักษณ์ของมันมากเลย สวมแล้วทำให้ข้าดูเหมือนเอเลนเซฟเวอรี่มากขึ้น”

            “เกล็ดมังกรดำที่ท่านได้มาจากพวกฟอเรสเทอร์ทำให้เสื้อเกราะตัวนี้มีความพิเศษ” มาร์คาร์สวมเสื้อเกราะให้โซลิแทร์ ปรับให้กระชับกับตัว “ข้านำเกล็ดมังกรดำไปหลอมรวมกับโลหะ ใช้เวลานานโขเพราะใครก็รู้ว่าเกล็ดมังกรดำมันแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เมื่อมันรวมกับโลหะแล้ว มันจะกลายเป็นโลหะสุดแสนพิเศษและแข็งแกร่งเหลือเชื่อ ข้าใช้โลหะพิเศษนี้ทำเสื้อเกราะตัวนี้ รวมทั้งเคลือบเกล็ดเอเลนเซฟเวอรี่ที่นำมาติดบนเสื้อเกราะด้วย มันอาจดูไม่หนา เป็นลักษณะทั่วไปของเกราะอ่อน แต่มั่นใจได้เลยว่ามันแข็งแกร่งยิ่งกว่าเกราะแข็ง เป็นเสื้อเกราะที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยสร้างมาก็ว่าได้”

            “มันดูยอดเยี่ยมทีเดียว” โซลิแทร์เอามือรวบผมตัวเองให้มาร์คาร์จัดการกับคอเสื้อเกราะ

            “ใต้เกล็ดเอเลนเซฟเวอรี่แต่ละชิ้นจะมีขดสปริง” มาร์คาร์เกี่ยวตะขอคอเสื้อเกราะที่ติดเกล็ดเอเลนเซฟเวอรี่มิดชิด “ช่วยลดแรงกระแทกหรือแรงกดได้มาก ทำให้ได้รับอันตรายจากอาวุธศัตรูน้อยลงอีกไม่ว่าจะอาวุธหนักหรืออาวุธมีคม ข้ากล้าพูดได้ว่าอาวุธเกือบทั้งหมดหากไม่ใช่อาวุธที่พิเศษจริงๆ จะไม่สามารถตัดผ่านเสื้อเกราะตัวนี้ได้ แต่ก็โปรดจำไว้ว่า อาวุธของคนที่มีเลือดพิเศษจัดอยู่ในอาวุธที่ไม่ธรรมดา มันรับและถ่ายทอดพลังงานจากผู้ถือโดยตรง ฉะนั้นอย่าเผลอเอาตัวไปรับอาวุธของพวกนี้ล่ะ มันอาจลดอันตรายลงได้ระดับหนึ่ง แต่ก็คงไม่มากพอ”

            “แค่อาวุธทั่วไปฟันมันไม่เข้าก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว” โซลิแทร์สวมกางเกงเกราะแล้วเอาชายเสื้อเกราะออกมาคลุมทับนอกกางเกง “มันเบากว่าตัวเก่าของข้าอีก ทั้งที่ดูมีอะไรมากกว่า”

            “มันไม่ได้ทำขึ้นมาง่ายๆ และไม่ได้ใช้เวลาน้อยๆ แต่มันก็คุ้มค่าล่ะ” มาร์คาร์เคาะเสื้อเกราะ “เกล็ดมังกรดำยังมีเหลืออยู่ ข้าคิดว่าหากมีเวลาจะทำเผื่อไว้ให้ท่านอีกสักสองสามตัว ก็รู้อยู่ว่าท่านชอบกลับมาจากสงครามพร้อมกับเกราะพังๆ และร่างอันบอบช้ำ”

            “ครั้งนี้อาจแตกต่างกันออกไป” โซลิแทร์สวมเสื้อนอกโลหะตัวบางแขนกุดทับเสื้อเกราะ ลักษณะคล้ายปีกเอเลนเซฟเวอรี่หุบมาประสานกัน เขาหยิบอาวุธลับและอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ เก็บไว้ในกระเป๋าที่ซ่อนอยู่ตามลายปีก จากนั้นก็คาดเข็มขัดเหล็กรอบเอวทับชายเสื้อนอกและเสื้อเกราะ “ข้าอาจไม่ได้กลับมาอีก”

            “นั่งลงสิท่านลอร์ด ข้าจะได้สวมรองเท้าเกราะให้สะดวก” มาร์คาร์ผลักโซลิแทร์ไปนั่งเก้าอี้แล้วหยิบรองเท้าบู๊ตยาวที่ทำด้วยโลหะมาสวมให้โซลิแทร์ข้างหนึ่ง มันออกแบบมาให้ดูคล้ายขาเอเลนเซฟเวอรี่

            “ท่านไม่จำเป็นต้องแต่งตัวให้ข้าเลย ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว” โซลิแทร์สวมรองเท้าอีกข้างเอง เป็นรองเท้าบู๊ตโลหะที่ยาวขึ้นมาถึงหัวเข่า “และข้าก็ไม่ใช่พวกนักรบชั้นสูงที่ไม่มีปัญญาจะสวมเกราะเอง ต้องให้ทหารรับใช้สวมเกราะให้ นักรบดาร์คเนสดีวิลสวมเกราะด้วยตัวเองมาตลอด ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะตำแหน่งใด”

            “มันช่วยประหยัดเวลาให้ท่านได้” มาร์คาร์สวมสนับเข่าหัวกะโหลกปีศาจให้โซลิแทร์ “จากนี้ไปท่านจะต้องไปเผชิญกับความยากลำบาก อย่างน้อยก็ขอให้ข้าได้ช่วยอะไรท่านเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี”

            “ท่านช่วยข้ามามากมายแล้ว ช่วยมาตลอด” โซลิแทร์พูดอย่างซาบซึ้ง “สิ่งต่างๆ ที่ท่านสร้างขึ้นมาให้ข้า มันช่วยรักษาชีวิตข้า และเป็นอุปกรณ์ให้ข้าทำภารกิจสำเร็จ ข้าคงไม่ได้มาไกลจนถึงตอนนี้หากไม่มีท่าน”

            “และดาร์คเนสดีวิลก็คงไม่มาไกลขนาดนี้หากไม่มีท่าน” มาร์คาร์พยุงโซลิแทร์ให้ลุกขึ้นยืน สวมเกราะหัวไหล่รูปกรงเล็บเอเลนเซฟเวอรี่เกาะอยู่บนปีกปีศาจซ้อนกันเป็นชั้นๆ จนถึงครึ่งต้นแขนและสวมสนับแขนติดกรงเล็บเหล็กให้ทีละข้าง “สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของข้า คือการได้ทำชุดเกราะและอาวุธให้ท่าน ไม่มีอะไรจะเป็นเกียรติแก่ข้ามากไปกว่านี้อีกแล้ว อภัยให้ด้วยที่ข้ามักจะบ่นและโวยวายเวลาท่านทำชุดเกราะหรืออาวุธเสียหายหลังจากไปรบปางตายมา ความจริงแล้วข้าไม่สนใจสิ่งของพวกนั้นสักนิด สิ่งที่ข้าห่วงที่สุดก็คือท่าน ท่านไม่รู้หรอกว่าท่านสำคัญกับข้าแค่ไหน”

            “แน่นอน เรื่องนี้ข้ารู้มาตลอดและข้าก็ซาบซึ้ง” โซลิแทร์เปิดแขนเสื้อเกราะติดเกล็ดเอเลนเซฟเวอรี่ให้มาร์คาร์สวมสนับศอก “การรู้ว่ามีใครสักคนคอยห่วงใยเราอยู่นั้น คือพลังที่ทำให้เรานักรบจับดาบ ทำให้รู้ว่าเรามีคนที่ควรจะปกป้อง”

            มาร์คาร์นำฝักดาบยาวไปคล้องประกอบกับเข็มขัดด้านซ้ายของโซลิแทร์ นำฝักกริชไปกระกอบกับเข็มขัดด้านขวา แล้วหยิบผ้าคลุมฮู้ดที่โซลิแทร์ใช้ออกศึกมาคลุมให้

            “เอาล่ะ เรียบร้อย” เขาเกี่ยวตะขอที่ปกเสื้อ

            “ท่านคิดว่ามันจะจบลงอย่างไร” โซลิแทร์ถามเสียงเบา “สงครามครั้งนี้”

            “บอกตรงๆ สำหรับเราทุกอย่างมันมืดมนไปหมด” มาร์คาร์ยอมรับ “แต่อย่างน้อยก็มีท่านเป็นประกายสายฟ้าเล็กๆ ส่องแสงสว่างวาบขึ้นมา ทำให้เราทุกคนพอมีหวังขึ้นมาบ้าง แม้จะช่วงสั้นๆ ก็เถอะ”

            “แต่ตัวข้าเองก็ไม่รู้จะไปหาความหวังจากที่ไหน ยังไงข้าก็หลีกหนีความจริงไม่ได้ว่าสิ่งที่รออยู่ตรงหน้ามันคือสิ่งที่ข้าคงไม่มีปัญญาจะทำสำเร็จได้” โซลิแทร์ส่ายหน้า “ปลดปล่อยดาบแดนน้ำแข็ง สร้างความเสียหายให้แก่ฐานทัพเอลิล ข้าอาจล้มเหลวตั้งแต่อย่างแรก และต่อให้มันเกิดปาฏิหาริย์ทำอย่างแรกสำเร็จ ข้าก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างที่สองได้ดีแค่ไหน และไม่รู้ว่าสิ่งที่ข้ากับพวกพ้องอีกสามหมื่นต่อสู้ไปนั้น มันจะช่วยอะไรคนที่เหลือได้แค่ไหน เราอาจไปตายเปล่าโดยไม่ได้อะไรเลย หรืออาจเป็นการเดินไปเข้าแผนพวกเอลิล มันเหมือนการต่อสู้อยู่ในความมืด”

            “ใครมันจะไปเดาได้ล่ะ จริงไหม” มาร์คาร์จับไหล่โซลิแทร์ “ที่เราทำได้ ก็แค่สู้อย่างมืดบอด โดยมีความหวังอันริบหรี่เป็นสิ่งเดียวที่นำทาง”

            “สู้ แม้รู้ว่าไม่มีทางชนะ” โซลิแทร์ยิ้มเศร้าๆ “อย่างที่เราทำกันมาตลอด”

            สร้อยรูปนกพิราบที่คล้องคอมาร์คาร์สะท้อนแสงจางๆ ที่ส่องเข้ามา

            “ข้าเห็นท่านสวมมันตลอดตั้งแต่รู้เราจักกัน” โซลิแทร์ชี้

            “ข้าเคยทำมันให้ลูกชายของข้า” มาร์คาร์จับที่สร้อย “พิเจียน (Pigeon = นกพิราบ) คือชื่อเล่นที่ทุกคนเรียกเขา สร้อยเส้นนี้คล้องอยู่ที่คอของเขาตลอดทุกครั้งที่เขาออกรบทำสงคราม ซึ่งเขาก็ตายในสงครามเฟลมฟอร์สนานมาแล้ว”

            “ข้าเสียใจด้วย”

            “เสียใจทำไม ท่านไม่ได้ฆ่าเขาเสียหน่อย”

          “มันเป็นมารยาท ที่จะบอกว่าเสียใจเมื่อรู้ว่าใครสักคนของคู่สนทนาตาย”

          “ท่านเรียนรู้เรื่องนี้มาจากลูกพี่ลูกน้องคนสวยสินะ” มาร์คาร์อดยิ้มไม่ได้ มองสร้อยพิจารณาต่อ “เมื่อลูกชายข้าตายไป ข้าก็สวมมันตลอด จนมันกลายเป็นเครื่องรางประจำตัวข้าแล้ว”

          “ข้าผิดหวังในตัวท่านจริงๆ” โซลิแทร์หัวเราะ “ท่านเชื่อเรื่องเครื่องรางนำโชคด้วยหรือ”

          “มีแต่คนโง่และคนอ่อนแอเท่านั้นแหละที่เชื่อว่าวัตถุจะนำโชคให้ตนได้” มาร์คาร์หัวเราะด้วย “ข้าไม่ได้สวมเพราะคิดว่ามันจะปกป้องคุ้มครองข้า หรือมีพลังสร้างสิ่งดีๆ ให้ข้าหรอก แต่ข้าสวมเพื่อเตือนใจตัวเองว่าชีวิตของตนมีความสำคัญ ข้าเคยมีลูกชายที่คอยรักและห่วงใยข้า คนที่มองเห็นว่าข้าเป็นคนสำคัญเสมอ ฉะนั้นไม่ว่าจะพบเจอกับความยากลำบากใดๆ ข้าก็จะฝ่าฟันมันไปให้ได้ เพราะข้าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตกระจอกๆ ข้าคือคนสำคัญ อย่างน้อยก็สำคัญสำหรับคนคนหนึ่ง”

          “ว้าว!” โซลิแทร์พูดอย่างชื่นชม “หากพวกวัตถุนำโชคมันใช้งานได้จริงๆ ข้าก็ยังคิดว่าสร้อยของท่านดีกว่าของพวกนั้นเสียอีก”

          “มีคนมากมายที่มีเครื่องรางประจำตัว และพวกเขาก็ไม่ได้สวมเพราะคิดว่ามันมีอิทธิปาฏิหาริย์ แต่สวมเพื่อเตือนใจตนเอง” มาร์คาร์กล่าว “พ่อของท่านก็สวมสร้อยล็อกเก็ตทองแดงที่ได้มาจากเพื่อนรักของเขา ว่ากันว่าเขาเคยถอดมันออกแค่หนเดียว แล้วเมื่อเขาสวมมันอีกครั้ง เขาก็สวมมันไปตลอด จนวาระสุดท้ายของชีวิต”

          มาร์คาร์ชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดของเมืองนี้ทึบทึมมากเกราะมีเมฆพิเศษช่วยกรองแสงให้ดูใกล้เคียงกับตอนกลางคืน แต่ก็พอเดาออกว่าสายมากแล้ว

          “น่าจะถึงเวลาของท่านแล้ว” มาร์คาร์หันมาหา “นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พูดคุยกัน ซึ่งหากมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ขอให้ท่านรับรู้ว่า ท่านเป็นผู้นำสูงสุดที่ดีของข้า และเป็นเพื่อนที่ยอดเยี่ยมที่สุดของข้า”

          “ท่านก็เช่นกัน” โซลิแทร์บอก

          มาร์คาร์หยิบหน้ากากส่งให้โซลิแทร์ ทำแขนกากบาทให้เขา โซลิแทร์ทำตอบกลับ แล้วมาร์คาร์ก็เปิดประตูลงบันไดบ้านต้นไม้จากไป

          โซลิแทร์หันไปมองแอปเปิ้ลเคลือบโลหะที่มีรอยกัดรูปสายฟ้า มันยังวางอยู่ที่เดิม เสียงใสๆ ของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ดังก้องอยู่ในหัวของเขา ยามที่เธอยื่นแอปเปิลผลนั้นให้

          “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เข้มแข็งเข้าไว้นะ เจ้าเป็นเพื่อนของข้า สำหรับข้าแล้วเจ้าคือยอดปีศาจเสมอ”  

          เขาเก็บแอปเปิลลูกนั้นลงกระเป๋าเสื้อนอก สูดหายใจลึกๆ อย่างเข้มแข็ง

          “ข้าคือคนสำคัญ” เขากระซิบบอกตัวเอง “อย่างน้อยก็สำคัญสำหรับคนคนหนึ่ง”

          แล้วเขาก็สวมหน้ากาก ดึงฮู้ดขึ้นมาคลุมศีรษะ เปิดประตูลงจากบ้านต้นไม้ไป

 

***********

 

            กองทัพดาร์คเนสดีวิลเตรียมพร้อมสำหรับเคลื่อนพลแล้ว ทุกคนสวมเกราะติดอาวุธพร้อม เก็บกระโจมเก็บข้าวเก็บของเรียบร้อย มีส่วนหนึ่งจะประจำการเป็นกำลังเสริมอยู่ที่นี่ ภายใต้การดูแลของกอร์ริน สรุปแล้วกองทัพดาร์คเนสดีวิลที่ยกไปไอซ์เมสจะเหลือจำนวนทั้งสิ้นราวสามหมื่นถ้วน จากเดิมที่มีมากกว่านั้นเล็กน้อย หลายคนกำลังบอกลาเพื่อนใหม่ต่างเผ่าพันธุ์ บางคนก็พบรักกับสาวฟอเรสเทอร์ในช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ ในช่วงเวลาที่แต่ละคนร่วมกันเผชิญความยากลำบาก มิตรภาพและความรักมักจะเกิดขึ้นเสมอ

            โซลิแทร์จัดข้าวของส่วนตัวบรรทุกใส่หลังเอเลนเซฟเวอรี่สีดำซึ่งสวมเกราะหนาทั่วทั้งตัว มันเป็นสิ่งเดียวของพวกดาร์คเนสดีวิลที่ยังบินได้ ทัพอากาศที่แข็งแกร่งเกรียงไกรที่สุดเหลือเพียงเจ้าตัวนี้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คิดไปก็น่าใจหาย อุตส่าห์ลงแรงทุ่มเทพัฒนาแทบตาย กลับสูญสิ้นไปต่อหน้าต่อตาเพียงเพราะวัตถุเล็กๆ ชิ้นเดียว เหมือนกับที่พวกเอลิลพ่ายแพ้ต่อพวกไซคัสเพียงเพราะเหรียญเล็กๆ เหรียญเดียว

            กัปตันมาซูลและเซซิลเข้ามาสมทบกับเขา กัปตันมาซูลก็สวมเกราะติดอาวุธครบชุด ดาบสองเล่มคาดอยู่ที่เข็มขัด หลังสะพายหน้าไม้และโล่ใบเล็กๆ ที่เป็นทั้งกระบอกบรรจุลูกศรสามง่าม มือข้างหนึ่งถือหมวกเกราะประจำตัว เซซิลสวมเกราะครบชุด สวมเสื้อคลุมแผ่นโลหะทับชุดเกราะ มือซ้ายถือหมวกเกราะประจำตัวเช่นกัน มือขวาถือโล่ยาวทรงรี ด้านหลังโล่มีช่องใส่หลอดเคมีและขวดแก้วบรรจุสารเคมีเต็มไปหมด มีแทบทุกสี

            “ท่านเตรียมพร้อมสำหรับศึกนี้เต็มที่แล้วสินะ” โซลิแทร์มองหลอดเคมีทั้งหลาย

            “มีหลายคนบอกว่าข้าเป็นพวกหัวรุนแรง ชอบผสมสารเคมีที่อันตรายหรือไม่ก็เป็นสารไวไฟสารระเบิด” เซซิลเคาะที่โล่ “ก็คงจะจริง ศึกครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายของข้า มีทีเด็ดเท่าไหร่ข้าจะใช้ให้หมด”  

            “ข้าอยากจะกล่าวคำว่าสวัสดียามสายหรือยามใกล้เที่ยง แต่ก็คงรู้สึกแปลกๆ เพราะฟ้ามันทึบทึมเกือบจะเท่ากลางคืน” กัปตันมาซูลเงยหน้ามองฟ้า “ต้นไม้เมฆสองต้นของพวกฟอเรสเทอร์เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ สามารถสร้างเมฆกรองแสงได้ทั้งเมือง”

            “มืดๆ ทึมๆ คล้ายกลางคืนแบบนี้ดีแล้ว” โซลิแทร์ตรวจสอบอานและเกราะพาหนะของตน “ข้าชอบกลางคืนมากกว่ากลางวัน ตอนเด็กๆ ข้าเคยคิดว่าคงจะดีไม่น้อยถ้ามีแต่กลางคืนไม่ต้องมีกลางวัน”

            “บางช่วงเวลา อาณาจักรของเราก็มีกลางวันที่มืดๆ ทึมๆ เหมือนกัน” เซซิลว่า “โดยเฉพาะช่วงนี้ ช่วงที่ดวงดาวอยู่ในสภาวะเสียสมดุล”

            “ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของข้า ที่จะต้องไปทำให้ความสมดุลกลับคืนมา” โซลิแทร์ดูกังวลใจไม่น้อย

            “ข้าไม่เข้าใจ ทำไมท่านถึงไม่ยอมให้เราสองคนไปร่วมปลดปล่อยดาบกับท่าน” เซซิลถามอย่างไม่พอใจ “เราพร้อมที่จะเสี่ยงตายไปกับท่าน”

            “ใช่แล้ว” กัปตันมาซูลเสริม “และเราสองคนก็เป็นคนที่เก่งที่สุดที่ท่านมีด้วย”

            “ข้อนั้นข้าไม่เคยสงสัย” โซลิแทร์หันมามองหน้าทั้งคู่ “แต่กองทัพของเราต้องการพวกท่าน เพราะหากข้าปลดปล่อยดาบไม่สำเร็จ ซึ่งก็มีโอกาสสูงที่จะเป็นเช่นนั้น ท่านสองคนต้องนำทัพปฏิบัติภารกิจต่อไป เข้าตีฐานทัพเอลิลตามที่วางแผนไว้”

            “ข้าก็แค่” เซซิลยิ้มเศร้าๆ “ถ้าเราทั้งสามคนจะมีใครตายทั้งที เราก็ควรจะตายโดยที่สู้อยู่เคียงข้างกัน”

            “นั่นสินะ” กัปตันมาซูลเห็นด้วย “เราสามคนควรใช้ช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตด้วยกัน”

            “มันไม่สำคัญหรอก ว่าเราจะต้องใช้ชีวิตในช่วงเวลาสุดท้ายร่วมกัน” โซลิแทร์จับไหล่ทั้งคู่ “เพราะตลอดมาที่เราใช้ชีวิตร่วมกันนั้น มันสำคัญทุกช่วงเวลา แค่นั้นข้าก็มีความสุขมากแล้ว”

            “ภารกิจที่แทบจะเป็นไปไม่ได้รอเราอยู่ข้างหน้า” กัปตันมาซูลพูด “ยกทัพไปสร้างความเสียหายแก่พวกเอลิล แล้วนำทัพที่เหลือถอยกลับมา ท่านคิดว่าเราจะสร้างความเสียหายได้มากพอไหม”

            “ต้องสร้างให้มากพอ ไม่อย่างนั้นจะเหมือนกับยกทัพไปแล้วไม่ได้อะไรเลย” โซลิแทร์เน้นย้ำ

            “เป็นเรื่องสาหัสแน่นอนที่จะทำเช่นนั้น” เซซิลเสริม “ซึ่งแม้ว่าเราจะสร้างความเสียหายได้ในระดับที่ต้องการแล้ว ท่านคิดว่ากองทัพของเราหลังจากนั้นจะอยู่ในสภาพถอยกลับมาไหวไหม”

            “ถ้าถอยไม่ไหว ก็คงรู้ใช่ไหมว่ามันหมายความว่าอะไร” โซลิแทร์พูด “ดาร์คเนสดีวิลทุกคนที่ยกทัพไปจะตายกันหมด ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ซึ่งโอกาสที่จะเกิดอะไรแบบนั้น มันมีไม่น้อยทีเดียว”

            เซซิลและกัปตันมาซูลมองหน้ากัน แล้วยิ้มอย่างเข้มแข็งมุ่งมั่น

            “งั้นเราจะรออะไรอยู่ล่ะ” กัปตันมาซูลพูดอย่างคึกคัก “หากเราจะต้องตายจริงๆ การตายขณะที่ยืนหยัดต่อสู้เคียงข้างกันเพื่อสิ่งที่หวัง มันก็ไม่เลวนักหรอก”

            “ไม่เลวเลย” เซซิลยิ้มและพยักหน้า “ความจริงมันยอดเยี่ยมเสียด้วยซ้ำ”

            แล้วทั้งคู่ก็สวมหมวกเกราะ ทำแขนกากบาทให้โซลิแทร์ แยกย้ายกันไป สวนกับกอร์รินและไมริฟเดินที่กำลังเดินเข้ามา ทั้งคู่สวมชุดเกราะประจำตัว ในมือถือแก้วไม้ กอร์รินถือสองใบ

            “ไงแบล็กกี้” กอร์รินทัก

            “ไงบราวนี่” โซลิแทร์ทักตอบ

            “ตะบองเพชรพินาศ! มันฟังดูคล้ายชื่อสุนัขยิ่งกว่าของท่านอีก”

            “งั้นยิ่งเหมาะกับท่านเลย”

            “แบล็กกี้กับบราวนี่” ไมริฟหัวเราะคิกคัก “ท่านสองคนเหมาะสมกันดีนะ”

            “ชุดเกราะลายใหม่หรือ” โซลิแทร์ชี้เกราะที่ไมริฟสวม “เหมาะกับฉายาของท่านดี”

            ชุดเกราะหนังของไมริฟเปลี่ยนจากลายพรางเป็นลายเถาไม้มีเขี้ยวสีเขียวสด แต่ก็ยังประดับกิ่งไม้ใบไม้ไว้เหมือนเดิม โซลิแทร์เพิ่งสังเกตว่าเธอมีรอยสักรูปเถาวัลย์สีเขียวอ่อนจางๆ ที่ขอบสะโพกขวาลงไปจนถึงต้นขา ที่พอเห็นได้เพราะกระโปรงหนังที่เธอสวมอยู่ค่อนข้างสั้น อาจเป็นค่านิยมหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ แต่เขายังไม่เคยเห็นนักรบฟอเรสเทอร์หญิงคนไหนสวมกระโปรงยาวกว่านี้เลย

            “ถามจริงๆ เถอะ พวกผู้หญิงฟอเรสเทอร์ไม่รู้สึกหนาวกันบ้างหรือ” โซลิแทร์ถามยิ้มๆ “เห็นชอบแต่งตัวน้อยชิ้นกันทุกคน”

            “แล้วพวกผู้ชายดาร์คเนสดีวิลหนาวกันมากหรือไง” ไมริฟถามกลับ “ถึงแต่งตัวเสียมิดชิดและหุ้มด้วยเกราะเหล็กกันทุกคน”

            “สหาย” กอร์รินยื่นแก้วให้โซลิแทร์ใบหนึ่ง “ก่อนที่ท่านจะเดินทางไปสู่อันตราย มาดื่มด้วยกันสักแก้วเถอะ อย่างที่นักรบยุคโบราณปฏิบัติกัน”

            “สหาย ข้าไม่ดื่มแอลกอฮอล์” โซลิแทร์รีบพูดกันท่า

            “นี่ไม่ใช่เหล้า นี่เป็นเครื่องดื่มประจำเผ่าพันธุ์ของท่าน” กอร์รินบอก “ทูมสโตน”

            “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ยินดี” โซลิแทร์รับแก้วมา ถอดหน้ากากออก รู้สึกว่าแก้วนี้มีกลิ่นหอมเป็นพิเศษคล้ายมีกลิ่นดอกไม้ผสมอยู่ อีกทั้งยังมีชิ้นมาชเมลโล่เล็กๆ ลอยอยู่ด้วย

            “ทูมสโตนจากโฟรเซ็นทิเนล มาชเมลโล่จากแบร์ร็อค และน้ำเชื่อมเกสรดอกไม้จากาโกคอล” ไมริฟชูแก้วขึ้น “สามสิ่งจากสามเผ่าพันธุ์ นำมารวมด้วยกัน”

            ทั้งสามชนแก้วแล้วดื่มจนหมดพร้อมกัน

            “เป็นทูมสโตนที่อร่อยที่สุดที่ข้าเคยกินมา” โซลิแทร์พูดจากใจ

            “ใครจะไปรู้ว่าสิ่งที่มาจากคนละเผ่าพันธุ์ มันจะเข้ากันได้ดี” กอร์รินพูด

            “นั่นสินะ” ไมริฟยิ้ม

          “นี่ ข้าอยากให้รู้ไว้นะ ทั้งสองคนเลย” โซลิแทร์พูดอย่างจริงจัง “ตลอดชีวิตของข้า ข้ามีเพื่อนน้อยมาก โดยเฉพาะเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน และมีความเข้าอกเข้าใจกันอย่างพวกท่าน ข้ามีความสุขมากที่ได้เป็นเพื่อนด้วย เสียดายที่เราน่าจะมีโอกาสได้ใช้เวลาร่วมกันมากกว่านี้”

          “ข้าเองก็คิดๆ อยู่ว่า หากไม่มีสงคราม ไม่มีการฆ่าฟัน ไม่มีการสูญเสีย” กอร์รินว่า “ข้ากับท่านจะมีโอกาสได้พบเจอกันไหม”

          “หากอาณาจักรของข้าไม่ต้องเผชิญกับภาวะสงคราม ข้าก็คงไม่มีโอกาสได้รู้จักท่าน และคงไม่มีวันรู้ว่าข้ามีลูกพี่ลูกน้องเป็นดาร์คเนสดีวิล ซึ่งเป็นคนดีที่สุดคนหนึ่งที่ข้ารู้จัก” ไมริฟว่า “บางที สิ่งเลวร้ายบางสิ่งมันก็มีสิ่งดีๆ แฝงอยู่ เหมือนประกายสายฟ้าท่ามกลางพายุอันมืดมัว   เหมือนความหวังเล็กๆ ที่เรามีท่ามกลางความสิ้นหวังในตอนนี้ เหมือนดาร์คเนสดีวิล เผ่าพันธุ์ที่ดูเหมือนจะเลวร้ายน่าเกลียดน่ากลัว แต่กลับเป็นเพื่อนที่ดีของทุกคน”

          โซลิแทร์ยิ้มให้เธอและยิ้มให้กอร์ริน ดาร์คเนสดีวิลเคยถูกเรียกเป็นสิ่งแย่ๆ มาตลอด แทบจะไม่มีคำดีๆ มาเรียกพวกเขาเลย ซึ่งคำว่าเพื่อนนั้นก็ไม่ใช่คำที่ดีเลิศหรูอะไร แต่เขาคิดว่า มันไม่มีคำใดที่จะทำให้เขารู้สึกดีมากไปกว่าคำนี้อีกแล้ว

          เซ็นแวนเดอร์กับซิวาลินเดินเข้ามาสมทบกับพวกเขา ทั้งคู่สวมเกราะหนังมิดชิดทั้งตัว มีอาวุธประจำกาย คาดขนนกประจำตำแหน่งบนศีรษะ

          “ใบเล็ทเทรดถูกแจกจ่ายเรียบร้อยแล้ว” ซิวาลินรายงาน “อภัยให้ด้วย ท่านหมอผีอาร์ทูมิสไม่สามารถมาลาท่านและกองทัพของท่านได้ หัวหน้าเผ่าของเราอาการทรุดลง เธอต้องคอยอยู่ดูแลใกล้ๆ”

          “เราจัดการพื้นที่ให้โล่งสำหรับการเดินทัพแล้ว” เซ็นแวนเดอร์รายงาน “เปิดประตูเมืองแต่ละชั้นเรียบร้อย พร้อมให้พวกท่านผ่าน”

          โซลิแทร์ยิงพลุสีเหลืองขึ้นฟ้า พวกฟอเรสเทอร์ที่อยู่รอบๆ ต่างชี้ไม้ชี้มือกันใหญ่เพราะไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาเห็นบ่อยๆ  กองทัพดาร์คเนสดีวิลทั้งสามหมื่นคนเข้าจัดขบวนแถวกันทันที ทั้งทหารราบ ทหารม้า รถม้าศึก อาวุธหนัก และกองเกวียน เตรียมพร้อมสำหรับออกเคลื่อนทัพ เซซิลและกัปตันมาซูลประจำตำแหน่งอยู่หน้ากองทัพ ทั้งคู่อยู่บนหลังม้าปีศาจและบนรถม้าศึกปีศาจพาหนะของตน เบื้องหน้าของพวกเขาคือปราสาทต้นไม้และกำแพงเมืองกาโกคอลทั้งสองชั้น ประตูเมืองทั้งสองชั้นเปิดรออยู่ โซลิแทร์ปีนขึ้นหลังพาหนะ บินไปลงจอดหน้ากองทัพ หันหน้าไปหา ที่รายล้อมอยู่รอบๆ ห่างออกไปคือเหล่านักรบและพลเมืองฟอเรสเทอร์ ทุกคนจับตามองมาที่กองทัพดาร์คเนสดีวิล กองทัพที่กำลังจะไปรบในศึกที่ไม่มีวันชนะ เพื่อให้เผ่าพันธุ์อื่นๆ ยังมีความหวังที่จะไม่ยอมแพ้ ที่ระเบียงปราสาทต้นไม้บริเวณห้องของหัวหน้าเผ่านั้นอาร์ทูมิสออกมายืนมองพวกเขา ส่วนแอเมน่านอนหลับตาอยู่บนเตียงเหมือนไม่ได้สติ

          “สหายดาร์คเนสดีวิล พี่น้องของข้า” โซลิแทร์กล่าวด้วยเสียงปกติ แต่ได้ยินกันทั่วชัดเจนด้วยพลังแฝงจากภาษาดาร์เคน “สิ่งที่เรากำลังจะไปเผชิญ คือการต่อสู้ที่เราไม่ได้ไปรบเพื่อชนะ แต่รบเพื่อให้อีกฝ่ายชนะเราในสภาพที่เสียหายมากที่สุด เราจะรบในรูปแบบที่เราไม่สันทัด รบกับศัตรูที่มีจำนวนมากกว่า เราจะเป็นฝ่ายบุกเข้าไปหาป้อมและกำแพงของศัตรูเสียเอง เราส่วนใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงนี้จะไม่รอดกลับมา หรือบางที อาจไม่มีใครรอดกลับมาแม้แต่คนเดียว นี่เป็นการต่อสู้ที่หนักหนาสาหัส ฉะนั้น ข้าขอยืนยันอีกครั้ง ดาร์คเนสดีวิลเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอิสระ เราไม่เคยบังคับให้พวกพ้องรบ ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนี้มีสิทธิ์เลือกที่จะไม่ไปกับข้าได้ พวกท่านมีสิทธิ์ที่จะก้าวถอยออกไป การกระทำเช่นนี้จะไม่ถูกประณาม จะไม่มีใครมองว่าขี้ขลาดหรือน่าอับอาย เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะต่อสู้เพื่อสิ่งที่ตนเชื่อ ข้าไม่ได้ปลดปล่อยเราทุกคนออกจากโซ่ตรวนของพวกมนุษย์ด้วยความยากลำบาก เพียงเพื่อนำโซ่ตรวนเส้นใหม่มาคล้องพวกท่าน ใครที่ไม่ต้องการจะรบในศึกครั้งนี้ เชิญก้าวถอยออกจากแถว”

          ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะขยับเขยื้อนไปไหน โซลิแทร์ยิ้มอย่างซาบซึ้ง ทุกคนสังเกตเห็นได้เพราะครั้งนี้เขายังไม่ได้สวมหน้ากาก

          “สิ่งที่ข้าพอจะพูดได้ คือข้าภูมิใจในตัวพวกท่านทุกคน” เขากล่าวเสียงเบา “แม้ดาร์คเนสดีวิลจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีแต่คนรังเกียจ เป็นเผ่าพันธุ์ที่ต้องเผชิญชะตากรรมแย่ๆ มากที่สุด แต่หากเลือกได้ อีกสักร้อยครั้งพันครั้ง ข้าก็จะขอเกิดมาอยู่ท่ามกลางคนอย่างพวกท่าน”

          ดาร์คเนสดีวิลทุกคนพยักหน้าให้เขาอย่างแข็งขัน เสียงเกราะขยับดังระงม

          “ตลอดเวลาที่ผ่านมาของปีศาจเรา เราทุกคนต่อสู้ พยายามสร้างความแข็งแกร่งให้กับตนมากที่สุด” โซลิแทร์กล่าวต่อ “เราทำทุกวิถีทางเพื่อสร้างความเข้มแข็ง เรามีกำแพงที่แข็งแกร่งที่สุด มีกองทัพที่มีแสนยานุภาพ มีพัฒนาการก้าวหน้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมา เรามีทุกสิ่งทุกอย่างที่คิดว่ามันทำให้เราแข็งแกร่ง แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่เพียงพอ ศัตรูก็ยังเหนือกว่าเราอยู่ดี นั่นเป็นเพราะความแข็งแกร่งของเรายังไม่ถึงจุดสูงสุด ซึ่งเราก็ไม่เคยรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่จะทำให้เราแข็งแกร่งมากที่สุด เราไม่เคยรู้เลย”

          เขากวาดสายตามองไปยังพวกฟอเรสเทอร์และพวกโฮเซ่ที่ยืนอยู่รอบๆ

          “จนกระทั่งพวกฟอเรสเทอร์และพวกโฮเซ่หยิบยื่นมิตรภาพและความรักให้แก่เรา พวกเขาทำให้เราเข้าความหมายของคำว่าเพื่อน ข้าจึงตระหนักได้ว่าสิ่งที่ทำให้เราแข็งแกร่งที่สุดคืออะไร” โซลิแทร์พูด “การต่อสู้โดยหวังจะรักษาตนอยู่รอด มันอาจมีทำให้เรามีพลังต่อสู้ในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้เรามีพลังต่อสู้มากที่สุด คือการต่อสู้ โดยที่รับรู้ว่าเราได้เป็นเพื่อนกับใครสักคน รับรู้ว่าเราเป็นคนสำคัญสำหรับใครสักคน รับรู้ว่าเราไม่ได้อยู่เดียวดายลำพัง”  มือข้างหนึ่งของเขาหยิบแอปเปิลเคลือบโลหะที่มีรอยกัดรูปสายฟ้าออกจากกระเป๋าเสื้อนอกมาดู “มันคือสิ่งที่ทำให้เด็กชายธรรมดาคนหนึ่งกล้ายืนหยัดที่จะต่อสู้กับนักรบที่เก่งที่สุด มันทำให้กองทัพดาร์คเนสดีวิลที่หมดสภาพกล้ายืนหยัดต่อสู้กับกองทัพเฟลมฟอร์สที่ไร้เทียมทาน ฉะนั้นแม้ว่าในตอนนี้เราจะเสียทัพอากาศไป เหลือกำลังพลไม่มาก ไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่ข้าเชื่อว่าในช่วงเวลานี้ ณ ตอนนี้ คือช่วงเวลาที่ดาร์คเนสดีวิลแข็งแกร่งที่สุดแล้ว”

          บรรดานักรบดาร์คเนสดีวิลส่งเสียงกู่ร้องอย่างฮึกเหิม เซซิลและกัปตันมาซูลก็เช่นกัน เขี้ยวสะท้อนเงาวับอยู่ในปากแต่ละคน พวกฟอเรสเทอร์และพวกโฮเซ่ที่อยู่รอบๆ ยืนมองอย่างชื่นชม

          “ไม่มีนิทานเรื่องใดเคยเขียนให้ปีศาจเป็นวีรบุรุษ ไม่มีคำทำนายใดเคยกำหนดให้ปีศาจเป็นผู้ถูกเลือก ปีศาจคือฝ่ายอธรรม ปีศาจคือสิ่งที่ไม่ควรเป็นมิตรด้วย นั่นคือสิ่งที่ชะตาลิขิตเรามา” โซลิแทร์พูดเสียงเรียบๆ  แต่เข้มแข็ง เปี่ยมไปด้วยพลัง “แต่เราจะพิสูจน์ให้เห็น ว่าปีศาจไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไป สิ่งที่เราเลือกจะเป็น คือสิ่งที่เป็นเรา เราเลือก--ที่จะต่อสู้เพื่อเพื่อนของเรา เราเลือก--ที่จะต่อสู้เพื่อรักษาความหวังของพวกเขาให้คงอยู่ต่อไปให้นานที่สุด นั่น--คือสิ่งที่ดาร์คเนสดีวิลเป็น แม้แต่ชะตาลิขิตก็เปลี่ยนมันไม่ได้”  

          พวกดาร์คเนสดีวิลกู่ร้องเสียงดัง ชูกำปั้นขึ้น พวกฟอเรสเทอร์และพวกโฮเซ่ที่อยู่รอบๆ ได้แต่จ้องมองด้วยความตื้นตันใจ อาร์ทูมิสที่ยืนมองอยู่บนปราสาทต้นไม้หลั่งน้ำตาออกมา แอเมน่ายังคงนอนหลับตาอยู่บนเตียง แต่ดวงตาที่ปิดสนิทของเธอมีน้ำใสๆ ไหลออกมาด้วย

          “ไอซ์เมสคือที่ที่เราจะไป พื้นที่แห่งความตายคือที่ที่รอเราอยู่ เมื่อเราก้าวเท้าไปข้างหน้า เรารู้ดีว่าจะต้องเผชิญกับอะไร แต่นั่นก็ไม่อาจหยุดยั้งการก้าวของเราได้” โซลิแทร์ทำแขนกากบาท “ตลอดเวลาที่เราจับอาวุธสู้ เราบอกตัวเองว่าเราคือกำแพง จงเป็นกำแพงอีกครั้ง ปกป้องความหวังของเพื่อนเราเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วกำแพงนี้จะพังทลาย อย่างน้อยเราก็ได้รับรู้ว่า เราสมเป็นกำแพงแล้ว”

          ดาร์คเนสดีวิลทุกคนประสานเสียงว่า “เราคือกำแพง” ดังกระหึ่ม พลังใจเต็มเปี่ยม พร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งที่รออยู่เต็มที่ พลุสีดำพุ่งออกจามือของโซลิแทร์ขึ้นสู่ฟ้า แตกกระจายเป็นรูปกากบาทสีดำ แผ่ขยายเงามืดปกคลุมท้องฟ้า แอ็กนอสทิกส์ครอส ตราสัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์ดาร์คเนสดีวิล แล้วกองทัพดาร์คเนสดีวิลก็ออกเคลื่อนพล มีเซซิลและกัปตันมาซูลนำอยู่ข้างหน้า พวกเขาจัดขบวนแถวให้แคบลงเพื่อสามารถผ่านประตูกำแพงทั้งสองชั้นออกไปได้ บรรดานักรบและพลเมืองฟอเรสเทอร์มองตามพวกเขาไป บางคนปาดน้ำตาไปด้วย ปีศาจเหล่านี้กำลังจะไปเผชิญกับความยากลำบากและความตายเพื่อพวกเขา

          “ดาร์คเนสดีวิลทุกคนที่เราเห็นอยู่ตอนนี้” ซิวาลินกระซิบเศร้าๆ ขณะมองตามไป “อาจไม่มีสักคนที่กลับมา”

          “หากเป็นอย่างที่ท่านว่า หากนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เห็นพวกเขา” เซ็นแวนเดอร์พูดเสียงเบา “ข้าจะยืนมองอยู่ตรงนี้ จนกระทั่งคนสุดท้ายลับตาไป”

          “ดาร์คเนสดีวิลเป็นเผ่าพันธุ์ที่ดีมาก” ไมริฟเช็ดน้ำตา

          “ดีที่สุด” กอร์รินแก้ไข

          เอเลนเซฟเวอรี่สีดำร่อนลงจอดข้างหน้าพวกเขา โซลิแทร์ลงจากพาหนะ เดินเร็วๆ เข้ามาหา

          “นิสัยขี้ลืมของข้านี่แก้ไม่หายเสียที ข้าไม่ควรลืมกล่าวลาพวกท่าน” เขาทำท่าขอจับมือกับทุกคน

          “ช่างหัวเรื่องการเรียนรู้มารยาทของเจ้าเถอะ” เซ็นแวนเดอร์อดหัวเราะไม่ได้ คนอื่นๆ ก็เช่นกัน “ไปเถอะนะน้องชาย เดี๋ยวจะตามกองทัพไม่ทัน”  

          โซลิแทร์จึงกลับไปปีนขึ้นหลังพาหนะ ยกหน้ากากจะสวม แต่ก่อนจะสวมนั้น เขาหันกลับไปมองทุกคนอีกครั้ง พบว่าทุกคนกำลังจ้องมองเขาอย่างอาลัยอาวรณ์ เป็นสายตาที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต บางส่วนในหัวใจที่ด้านชามานานของเขาเกิดความรู้สึกขึ้นมา เขายิ้มให้ทุกคน เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ ชั่ววินาทีหนึ่ง เหมือนมันเปลี่ยนรูปลักษณ์ของนักรบผู้แข็งกระด้างน่ากลัวให้เป็นเด็กหนุ่มผู้อ่อนโยนน่ารัก เป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย

          “นี่” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หากว่าข้าไม่ได้กลับมา ขอพวกท่านอย่าได้เสียใจ เพราะทั้งหมดที่ข้าได้รับ มันคุ้มค่าแล้ว”

          แล้วเขาก็สวมหน้ากาก สะบัดบังเหียน เอเลนเซฟเวอรี่สีดำกางปีกทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เป็นภาพที่น่าจดจำ ร่างในผ้าคลุมฮู้ดขี่เอเลนเซฟเวอรี่สีดำสยายปีกบิน ผ้าคลุมโบกสะบัด มีตราสัญลักษณ์แอ็กนอสทิกส์ครอสที่ค่อยๆ จางหายไปเป็นฉากหลัง แม้บางคนจะไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นวีรบุรุษ ดูไม่เหมือนวีรบุรุษสักนิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นวีรบุรุษไม่ได้ การเลือกที่จะเป็น คือสิ่งที่บ่งบอกตัวตนมากที่สุด มันไม่สำคัญว่าเราเริ่มต้นจากการเป็นอะไร มันสำคัญว่าเราจะจบลงโดยการเป็นอะไรต่างหาก

 

 

 

 

           

           

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา