พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.93K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

38) บทที่ 37 กองทัพย่อย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 37

กองทัพย่อย

 

            “มากกว่าสามหมื่น ยกไปกาโกคอลอย่างนั้นหรือ”

            ฝาแฝดเมแมคเซอร์ เดอะ ทวินเฮด ดูตกอกตกใจเมื่อซอร์โรร่าเล่าเหตุการณ์ภายนอกให้ฟัง เป็นอีกครั้งที่เธอหาโอกาสมาพบพวกเขา ติดสินบนผู้คุมหลายคน แต่ละครั้งก็แอบเข้ามาได้ยากขึ้นทุกที แต่ครั้งนี้มันเรื่องสำคัญ จะเสี่ยงยังไงพวกแมแมคเซอร์ต้องรู้ความเป็นไปของพวกพ้อง

            “ถูกแล้วค่ะ” ซอร์โรร่ายืนยัน “ไปพร้อมกับอาวุธหนักและอุปกรณ์ตีเมือง”

            “มีทัพอากาศเอเลนเซฟเวอรี่ด้วยไหม” ซิลเวอร์ถาม

            “ก่อนหน้านี้พวกเอเลนเซฟเวอรี่ทั้งกองทัพยกฝูงบินไปไอซ์เมส แล้วไม่เคยกลับมาอีกเลยค่ะ” ซอร์โรร่าบอก “สังเกตว่าดวงตาของพวกมันแต่ละตัวก็ไม่มีแสงเหมือนเดิมแล้ว”

            “พวกมันถูกสะกด” ค็อปเปอร์กุมหน้าผาก “เซ็ทซาร์ดนั่นคงหาอัญมณีขาวของพวกไซคัสเจอ และนำมาสะกดพวกเอเลนเซฟเวอรี่ นั่นเป็นหายนะของกองทัพดาร์คเนสดีวิล พวกเอเลนเซฟเวอรี่เป็นกำลังสำคัญที่สุดของกองทัพ พวกเขาจะเอาอะไรไปสู้กับพวกเอลิลได้ถ้าไม่มีทัพอากาศ”

            “ข้าเสียใจด้วยค่ะ” ซอร์โรร่าพูดอย่างเห็นใจ

            “ในเมื่อกองทัพกำลังอ่อนแอ แล้วทำไมพวกเขาต้องยกทัพที่เหลืออยู่เกือบทั้งหมดออกไปนอกพื้นที่ของตนด้วย” ซิลเวอร์ข้องใจ

            “คนในเผ่าพันธุ์ข้าคาดการว่าพวกเขาจะไปช่วยปกป้องกาโกคอลค่ะ” ซอร์โรร่าตอบ “พวกเอลิลจะเข้าตีกาโกคอล เพื่อใช้เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในการแยกโฟรเซ็นทิเนลและแบร์ร็อคออกจากัน”

            “ไปปกป้องแล้วทำไมต้องขนอุปกรณ์โจมตีเมืองไปด้วย” ค็อปเปอร์ข้องใจเหมือนกัน “อีกทั้งพวกเขาก็น่าจะรู้ดีว่าพื้นที่และแนวป้องกันในกาโกคอลไม่เอื้ออำนวยต่อกลยุทธ์ที่ดาร์คเนสดีวิลถนัด”

            “แสดงว่าพวกเขามีจุดประสงค์อื่นอย่างนั้นหรือคะ” ซอร์โรร่าถาม

            ฝาแฝดครุ่นคิดกันอยู่หลายนาที พยายามคาดเดาการกระทำของพวกพ้องด้วยความคิดแบบดาร์คเนสดีวิลด้วยกัน แล้วสีหน้าของทั้งคู่ก็ค่อยๆ ซีดเผือดลง หันไปมองหน้ากันอย่างเคร่งเครียด

            “ให้หิมะถล่มใส่หัวเถอะ!” ค็อปเปอร์กระซิบ “พวกเขาจะยกพลไปตีฐานทัพเอลิล ที่เมืองหลวงเดธแอเรีย”

            “อะไรนะคะ” ซอร์โรร่าร้อง ผู้คุมที่ดูต้นทางอยู่หันมาทำตาขวางใส่เธอ

            “พวกเขาทำเพื่อชะลอพวกเอลิล” ซิลเวอร์กระซิบ “พักทัพที่กาโกคอล เคลื่อนพลผ่านเมืองสตาติกสตอร์ม ต่อไปถึงเมืองหลวงเดธแอเรีย เพื่อต่อสู้ในแบบที่ตนไม่สัดทัน เสียเปรียบทั้งด้านจำนวนและพื้นที่ พวกเขากำลังจะยกพลไปตายกันหมด”

            “ไม่” ซอร์โรร่ายกมือปิดปาก “พวกเขาต้องไม่ทำอย่างนั้น”

            “พวกเขาจำเป็นต้องทำ” ค็อปเปอร์บอก “เพราะมันไม่มีหวังจากทางอื่นอีกแล้ว”

            “นางฟ้าปีศาจ พวกพ้องของเรากำลังจะเดินทางไปตาย” ซิลเวอร์ขอร้อง “ได้โปรด ช่วยเราออกไป ให้เราได้รบเคียงบ่าเคียงไหล่พวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย ให้เราได้ตายเคียงข้างพวกเขา”

            “ข้าไม่มีอำนาจทำอย่างนั้นได้ค่ะ ข้าเสียใจ” ซอร์โรร่าน้ำตาคลอ “ก่อนหน้านี้ข้าพยายามอ้อนวอนพระราชาให้ช่วยเหลือพวกพ้องของท่าน พระองค์ถึงกับสั่งห้ามข้าไปเหยียบท้องพระโรงอีกตลอดชีวิตของพระองค์ ถ้าข้าไปขอร้องให้ปล่อยตัวพวกท่านอีก ผลก็คงไม่ต่างกัน”

            “ไม่มีวิธีอื่นเลยหรือ ที่จะช่วยเราออกไป” ค็อปเปอร์อ้อนวอนเหมือนกัน “นางฟ้าปีศาจ ได้โปรด”

            “นี่ ท่านอยากเป็นเพื่อนกับเราใช่ไหม” ซิลเวอร์พูดอย่างมีความหวัง “ได้โปรดช่วยเราออกไป เราสองคนขอสัญญา ว่าจะเป็นเพื่อนของท่านตลอดไป”

            “ข้าทำไม่ได้จริงๆ ค่ะ ข้าเสียใจ”

            แม้จะไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่ซอร์โรร่าก็รู้สึกผิดจนไม่อาจสู้หน้าฝาแฝดได้ เธอหันหลังให้พวกเขา ทำท่าจะเดินจากไป

            “ข้า--ข้าคงต้องขอตัวแล้วค่ะ”

            “นางฟ้าปีศาจ ได้โปรด”

            ฝาแฝดเกาะลูกกรงลงอาคมที่เรืองแสงสีแดง ท่าทางหมดหวัง ซอร์โรร่าหยุดเดิน แต่ก็ยังไม่หันไปมอง ทั้งเจ็บปวดและละอายที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรนักรบดาร์คเนสดีวิลคู่ที่เก่งที่สุด ผู้ซึ่งมีนิสัยยอมหักไม่ยอมงอ แต่กำลังอ้อนวอนเธออยู่เฉกเช่นคนอ่อนแอทั่วไป

            “ในสงครามเฟลมฟอร์สช่วงท้ายๆ  เราสองคนต้องทนถูกล่ามโซ่อยู่ในห้องขัง” ค็อปเปอร์พูดเสียงเบา “ขณะที่พวกพ้องของเรา คนที่เรารู้จัก คนที่เรารัก ตายไปกับสงครามทีละคน โฟรเซ็นทิเนลจวนเจียนจะแตกดับ ดาร์คเนสดีวิลจวนเจียนจะสิ้นสูญ ใจหนึ่งเราอยากอยากทราบความเป็นไปของเผ่าพันธุ์ อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากรับรู้ เพราะทุกข่าวที่เราได้รับมีแต่ข่าวร้าย แม็ค แรคแทนทินพยายามจะทรมานเราให้รู้สึกแย่ยิ่งกว่าตาย เขาทำถูกทางเสียด้วย เราเจ็บปวดและสิ้นหวังยามได้ยินข่าวการพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าของดาร์คเนสดีวิล จากปากไอ้มนุษย์ที่นำเรามาขังที่นี่ ด้วยความสะใจและขบขัน มันหัวเราะที่พวกพ้องของเราล้มตายไปเป็นร้อยเป็นพัน ขณะที่เราสองคนน้ำตาตก อาณาจักรที่เราสร้างมากับมือด้วยความยากลำบาก พี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ที่เรารักและห่วงใย ทั้งหมดนี้ค่อยๆ ตายจากเราไปทีละน้อย”

            “ดาร์คเนสดีวิลกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เราสองคนยังมีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ มีความหวังที่จะอยู่ต่อไป” ซิลเวอร์พูด “แต่ตอนนี้เหตุการณ์กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง ได้โปรด เราทนฟังเสียงพวกพ้องค่อยๆ ตายผ่านลูกกรงห้องขังไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ขอให้เราได้ตายเคียงข้างพี่น้องของเรา การเป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่มันคือความรู้สึกที่เจ็บปวดที่สุด นางฟ้าปีศาจ เราขออ้อนวอน ขอให้ช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตของเรา เป็นช่วงเวลาที่เราได้ใช้กับพวกพ้องเถิดนะ”

            ซอร์โรร่าหันไปหาฝาแฝด หยาดน้ำตาใสๆ ไหลรินอาบสองข้างแก้มเธอ

            “ข้าเสียใจค่ะ ข้าไม่สามารถทำได้จริงๆ” เธอพูดเสียงสั่นเครือ “แอนโทนิดัส แร็กซ์ริงลงอาคมลูกกรงไว้แน่นหนา กุญแจห้องขังก็ถูกเก็บไว้กับตัวแร็คแทนทินตลอดเวลา ต่อให้ข้าตกลงกับพวกผู้คุมได้ ก็ไม่มีใครสามารถเปิดห้องขังได้อยู่ดีนอกจากแรคแทนทิน”

            ฝาแฝดเมแมคเซอร์ได้แต่เกาะลูกกรงก้มหน้า หลับตาอย่างสิ้นหวัง บัดนี้ไม่เหลือเค้าสองนักรบดาร์คเนสดีวิลที่เก่งกาจและก้าวร้าวอีกต่อไป พวกเขาดูอ่อนแอ เศร้าหมอง เหมือนร่างกลวงๆ ที่มีชีวิตอยู่ต่อไปเพียงเพราะจำเป็นต้องอยู่ ซอร์โรร่ายิ่งน้ำตาไหล สงสารพวกเขาจับใจ

            เธอเอื้อมมือสองข้างไปกุมมือที่เกาะลูกกรงของทั้งซิลเวอร์และค็อปเปอร์ นั่นเป็นการกระทำที่ไม่เคยมีมนุษย์หน้าไหนกล้าทำเลย ทุกคนต่างหวาดกลัวเดอะ ทวินเฮดจนไม่แม้แต่จะเข้าใกล้ แม้แต่พวกผู้คุมก็ยังต้องใช้ไม้ยาวเวลาจะล่ามโซ่หรือคุมตัว แต่ซอร์โรร่ากลับจับมือปลอบใจพวกเขาโดยไม่นึกกลัวหรือหวาดระแวง มีเพียงความเห็นใจและความจริงใจ

            ฝาแฝดเงยหน้ามองเธอ เธอยิ้มให้ทั้งน้ำตา เป็นยิ้มที่แสนเศร้า

            “บางที ครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบกันอีก” ซอร์โรร่ากระซิบ “แต่ถ้าหากโชคดีได้พบกันอีกครั้ง พวกท่านจะพอเปิดใจรับข้าเป็นเพื่อนได้ไหมคะ”

            “ท่านจะไปไหน” ซิลเวอร์ถาม

            “ท่านจะทำอะไร” ค็อปเปอร์ถาม

            “ดูแลตัวเองด้วยนะคะ” ซอร์โรร่าปล่อยมือจากทั้งสองแล้วเดินจากไป ยกมือปาดน้ำตา สีหน้าดูเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็ง

 

**************

 

            หลังจากที่พวกดาร์คเนสดีวิลเคลื่อนทัพใหญ่ออกจากกาโกคอลไม่นาน พวกเอลิลก็ส่งทัพเล็กสองกองทัพ แยกไปทางอาณาจักรแบร์ร็อคทางตะวันออกเฉียงเหนือ และอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลทางตะวันตกเฉียงใต้ กองทัพแรกของเอลิลเคลื่อนพลมุ่งหน้าสู่เมืองเด็นร็อคทางบกเมืองหน้าด่านที่กำลังอ่อนแอ กองทัพย่อยชุดนี้ไม่มีทัพอากาศ มีทหารม้าเล็กน้อย มีอาวุธหนักและเครื่องกลสงครามติดมาตามสมควร แต่เพียงแค่นี้ก็สามารถตีเมืองให้แตกได้หากพวกโฮเซ่มีการตั้งรับไม่ดีพอ เด็นร็อคเป็นเมืองที่มีความสำคัญ หากมันถูกตีแตกก็บุกไปถึงเมืองหลวงได้ไม่ยาก ท่ามกลางแสงแดดจ้าในพื้นที่แห้งแล้งกึ่งทะเลทราย พวกทหารเอลิลก้าวเท้าเดินอย่างแข็งขัน เกราะสีเงินเงาสะท้อนแสงแดดเป็นประกายวับ แม้จะเป็นเผ่าพันธุ์แดนหนาวแต่ความร้อนไม่อาจทำอันตรายพวกเขาได้เพราะร่างกายพวกเขาไร้ความรู้สึก ผีอยู่ได้ทุกที่ ผีไปได้ทุกที่ นั่นทำให้พวกเอลิลเป็นอีกเผ่าพันธุ์ที่รบนอกพื้นที่ได้เก่งมาก

          กำแพงเมืองเด็นร็อคปรากฏให้เห็นอยู่ข้างหน้า แต่มันกลับดูว่างเปล่า ไม่มีทหารโฮเซ่ประจำอยู่บนกำแพงเลยสักคน มันเงียบมาก ไม่มีอะไรบ่งบอกถึงการตั้งรับ ราวกับเมืองเป็นเมืองร้าง แน่นอนว่าสร้างความประหลาดใจแก่ฝ่ายที่บุกมาเป็นล้นพ้น อย่างไรก็ตาม พวกเอลิลไม่เชื่อว่าพวกโฮเซ่จะทิ้งให้เมืองสำคัญปราศจากการป้องกันแน่ มันจะต้องมีอะไรสักอย่าง กำแพงติดล้อถูกนำมาอยู่แถวหน้าสุดและเข็นนำหน้าเข้าไป ฐานยิงจรวดถูกเข็นเข้าไปในระยะยิงและปรับเล็งไปยังบนกำแพง ไม่ว่าจะมีพวกโฮเซ่ให้เห็นหรือไม่ก็ต้องเตรียมพร้อมรบไว้ก่อน

          พวกเอลิลประจำตำแหน่งเตรียมเข้าบุกกำแพงเรียบร้อย ทหารราบเข้าไปประชิดกำแพงโดยไม่มีอะไรสกัด ทหารม้าตั้งขบวนรออยู่หน้ากำแพง กำแพงติดล้อก็เรียงแถวเป็นเครื่องกำบังการยิงจากบนกำแพงพร้อม แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นวี่แววของทหารโฮเซ่สักคน แปลกมากที่พวกโฮเซ่ยอมให้ข้าศึกเคลื่อนพลเข้ามาใกล้กำแพงโดยไม่มีการยิงสกัดหรือต้านการบุกเลย หรือว่าฐานทัพแห่งนี้จะไม่เหลือโฮเซ่อยู่ป้องกันจริงๆ

          แล้วประตูเมืองเด็นร็อคที่ปิดสนิทก็เปิดออก เหล่านักรบแฮนดรัสก้าวฉับๆ ออกมาอย่างแข็งขัน ทุกคนสวมเกราะเหล็กหนาหนักทั้งตัว ถือค้อนด้ามยาวเป็นอาวุธ พวกทหารเอลิลรีบถอยไปตั้งหลัก ทิ้งกำแพงติดล้อ บันไดยาว และฐานยิงจรวดไว้ที่เดิมเพราะมันอยู่ใกล้ข้าศึกเกินไปและดูจะไม่มีประโยชน์ในสถานการณ์เช่นนี้ รูปแบบการรบเปลี่ยนมาเป็นต่อสู้ประจันหน้ากันในที่โล่ง และฝ่ายตรงข้ามคือพวกแฮนดรัส ซึ่งพวกเอลิลไม่คาดคิดว่าพวกโฮเซ่จะมีกองกำลังชนิดนี้ แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้วางแผนรับมือกับพวกแฮนดรัส

          “ประจำตำแหน่งรบ เรียงแถวหน้ากระดาน” ไรมิน บุฟโฮปหัวหน้าแฮนดรัสสั่งการ เกราะด้านหลังของเขาติดเสาธงตะบองเพชรโฮเดเรียสีน้ำตาล สัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์โฮเซ่

          แฮนดรัสคนอื่นๆ ที่ตามหลังเขาออกมาจากช่องประตูนั้นเข้าจัดขบวนเป็นแถวหน้ากระดานขนานกับแนวกำแพง เว้นช่องห่างกันมากเป็นพิเศษเพื่อจะได้มีพื้นที่เหวี่ยงอาวุธ จำนวนพวกเขาน้อยกว่าพวกเอลิลมาก แต่หน่วยก้านของนักรบแต่ละคนนั้นเป็นต่อ ความยาวของอาวุธ ร่างกายที่สูงใหญ่แข็งแรงของพวกเขาทำเอาพวกเอลิลดูตัวเล็กจ้อยไปเลย พวกทหารเอลิลแถวแรกยกโล่เรียงต่อกันเป็นกำแพง แถวที่สองเล็งปืนยาวพาดข้ามขอบโล่เตรียมพร้อม

          “พี่น้องแฮนดรัสทุกท่าน นานมากแล้วที่เราไม่ได้ออกรบ นานมากแล้วที่เราไม่รู้ว่าควรจะต่อสู้เพื่อสิ่งใด” ไรมินกระแทกด้ามค้อนกับพื้นทำเอาฝุ่นทรายคลุ้งขึ้นมา “แต่สิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้คือลึกๆ ในหัวใจของเรา แบร์ร็อคยังเป็นบ้านของเราตลอดมา มันไม่สำคัญหรอกว่าเราจะเคยบาดหมางกับพวกโฮเซ่ชั้นสูงอย่างไร หรือจากนี้ไประหว่างเรากับพวกนั้นจะบาดหมางกันอีกหรือไม่ แต่เราคือชาวแบร์ร็อค และชาวแบร์ร็อคจะปกป้องแบร์ร็อค หากหากเผ่าพันธุ์จะมั่นคงเป็นปึกแผ่น ทุกคนจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน” เขาหยิบแตรเขาสัตว์แห่งเด็นร็อคออกมา ซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์เคยถือมันมาก่อน “เราเคยเป็นส่วนหนึ่งของเมืองนี้ เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรนี้ เคยเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์นี้ จงเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง สู้--เพื่อเด็นร็อคเมืองของเรา สู้--เพื่อแบร์ร็อคอาณาจักรของเรา สู้--เพื่อโฮเซ่เผ่าพันธุ์ของเรา”

          เขายกแตรเขาสัตว์จ่อปากเป่าเสียงดังกังวาน แล้วคล้องมันไว้กับเสาธงข้างหลัง สองมือจับด้ามค้อนบุกตรงเข้าไปพร้อมกับนักรบโฮเซ่คนอื่นๆ

          ปืนยาวทุกกระบอกที่พาดเล็งอยู่ลั่นไกยิงใส่พวกแฮนดรัส แต่มันเจาะเกราะที่หนาแข็งแกร่งพอๆ กับเกราะม้าของพวกแฮนดรัสไม่เข้า อีกทั้งพวกแฮนดรัสก็มีร่างกายใหญ่โตแข็งแกร่ง ทนทานต่อแรงกระแทกอย่างมาก บางคนถูกกระสุนยิงผ่านช่องเกราะบาดเจ็บ มีไม่กี่คนล้มลงไป แต่ที่เหลืออีกเกือบทั้งหมดก็บุกเข้าประชิดพวกเอลิลและเหวี่ยงฟาดค้อนใส่เป็นวงกว้าง พวกทหารเอลิลแถวแรกๆ กระจัดกระจายตายกันไปคนละทาง ชุดเกราะบุบเบี้ยวด้วยอาวุธอันหนักหน่วงของอีกฝ่าย ข้อเสียของปืนยาวคือมันเป็นอาวุธที่เตรียมกระสุนนัดใหม่ช้าที่สุด เหมือนเป็นอาวุธที่ใช้ได้แค่ครั้งเดียวในจังหวะปะทะ หากยิงไปแล้วสกัดฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เท่าที่ควร ก็หมายถึงหายนะ พวกแฮนดรัสกระจายแถวกันออกไป ไม่ต่อสู้ชิดกันมากเพื่อจะได้เหวี่ยงค้อนได้เต็มที่ ค้อนยาวคืออาวุธที่เหมาะแก่การต่อสู้กับศัตรูที่รวมกลุ่มกันหนาแน่น รัศมีการเหวี่ยงมันกว้างมากและความหนักหน่วงของมันก็ยากที่จะตั้งรับได้ ทหารเอลิลบางคนพยายามยกโล่กำบัง แต่ถ้าไม่ถูกทุบลงไปร่างแหลกอยู่ใต้โล่ก็ต้องถูกกระแทกเอาโล่หลุดจากการกำบัง การรับหรือกำบังค้อนยาวเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ กระดูกแขนกระดูกข้อมืออาจเคลื่อนได้ง่ายๆ  ทางที่ดีหากต้องสู้กับอาวุธชนิดนี้ ควรเน้นความคล่องตัวในการหลบหลีกจะดีกว่า

          เป็นเรื่องยากที่จะต่อสู้กับพวกแฮนดรัสในระยะประชิด ดาบกับโล่ไม่เหมาะที่จะเข้าไปต่อสู้กับค้อนหนักๆ ที่กำลังเหวี่ยงไปมา แม้จะนำดาบกับฝักดาบมาประกอบเป็นง้าวแล้วก็ยังยาวไม่เท่า พวกแฮนดรัสตัวใหญ่แข็งแรงกว่า จึงใช้อาวุธที่มีความยาวและความหนักหน่วงได้มากกว่า อย่างไรก็ตาม อาวุธหนักอย่างค้อนยาวนั้นไม่ค่อยมีความคล่องตัว จังหวะต่อเนื่องก็ช้า พวกเอลิลก็มีจำนวนมากกว่า จึงหาจังหวะเข้าไปฟันแทงจนล้มสังหารนักรบแฮนดรัสบางคนได้ เกราะของพวกเขาหนาแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีส่วนที่บางหรือส่วนที่มีช่อง บริเวณศีรษะคือเป้าหมายสำคัญเพราะเป็นส่วนที่เกราะบางที่สุด พลปืนเอลิลที่มีจังหวะยิงนั้นต่างเล็งใส่ศีรษะของพวกแฮนดรัส แทบไม่เล็งส่วนอื่น

          ไรมินพากองกำลังบุกทะลวงเข้าไปมากขึ้นเพื่อไม่ให้พวกเอลิลจัดขบวนรบได้ ค้อนยาวเป็นอาวุธที่เหมาะแก่การสู้ในวงล้อมอยู่แล้ว กองทัพเอลิลจึงค่อนข้างแตกขบวนและจัดกลุ่มไม่ค่อยได้ พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะต้องสู้กับพวกแฮนดรัสจึงไม่ได้วางกลยุทธ์ไว้รับมือ แต่ด้วยจำนวนที่มีมากกว่าก็ทำให้พวกแฮนดรัสสู้ลำบากเหมือนกัน พวกเขาแข็งแกร่งทนทาน สวมเกราะที่แข็งแกร่ง แต่ก็ใช่ว่าจะบาดเจ็บไม่เป็นตายไม่เป็น มีแฮนดรัสมากมายล้มลงไปนอนตาย ที่ยังสู้อยู่ก็บาดเจ็บกันถ้วนหน้า ต่างฝ่ายต่างก็มีคนเจ็บคนตาย มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่ต่อสู้

          กัปตันวอร์ดิวเหวี่ยงค้อนยาวฟาดสังหารทหารเอลิลสามคนพร้อมกัน เขากวาดค้อนเป็นวงกลมรอบตัวกระจายวงข้าศึกที่ล้อมรอบอยู่ แล้วก้าวเข้าไปทุบใส่ทหารเอลิลที่อยู่ข้างหน้าร่างแทบแหลก ทหารม้าคนหนึ่งควบเข้ามาจะแทงง้าวใส่ แต่เขาก็ฟาดค้อนล้มม้าผีลงไปและฟาดค้อนจัดการกับผู้ขับขี่ในจังหวะต่อมา เอาด้ามค้อนกระทุ้งใส่ทหารเอลิลอีกคนที่บุกมาทางด้านหลัง กระสุนนัดหนึ่งยิงถากผ่านช่องเกราะเข้าที่บริเวณใกล้ๆ กับคอของเขา เลือดสีขาวกระเซ็นออกมาเล็กน้อย แต่เขาก็สู้ต่อ แผลแค่นี้ไม่เป็นอุปสรรคต่อร่างกายอันแข็งแกร่งทนทานของแฮนดรัสหรอก มีง้าวเล่มหนึ่งพุ่งมาปักที่เกราะสีข้างของเขา มันทะลุผ่านเกราะได้เล็กน้อยเพราะเป็นอาวุธที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักไม่น้อย เขาถอนมันออก พุ่งสวนกลับไปเสียบร่างทหารเอลิลสองคนไว้ด้วยกัน จากนั้นก็ยกร่างทหารเอลิลคนหนึ่งที่บุกเข้ามา จับทุ่มใส่ทหารเอลิลที่รวมกลุ่มกันอยู่ข้างหน้าล้มลงไปทั้งกลุ่ม

          ไรมินเอาด้ามค้อนปัดเบี่ยงง้าวของทหารม้าเอลิลที่ควบเข้ามาแทงใส่ แล้วใช้หัวค้อนกระทุ้งใส่ผู้ขับขี่คอหักตกม้าตาย ทหารเอลิลสามคนเดินหน้าเข้าไปหาเขาพร้อมกับดาบกับโล่ แล้วก็ต้องกระเด็นกระดอนไปคนละทางเมื่อเขาแกว่งค้อนใส่ ทหารม้าคนใดจะควบเข้ามาโจมตีเขา ก็ถูกค้อนฟาดล้มทั้งคนทั้งม้า แม้จะอายุมากและไม่ได้รบมานาน แต่ฝีมือก็ยังดีเหมือนเดิม ทหารเอลิลจำนวนมากลงไปนอนตายอยู่บนพื้นด้วยค้อนยาวของเขา มันลากผ่านอากาศไปมาอย่างหนักหน่วงและส่งเสียงดังสนั่นเมื่อมันกระแทกกับ โล่ อาวุธ หรือชุดเกราะของพวกทหารเอลิล

          สิ่งมีชีวิตร่างใหญ่และแข็งแกร่งอย่างพวกแฮนดรัสย่อมมีน้ำหนักตัวมาก นั่นทำให้พวกเขามีจุดอ่อนตามข้อต่อขา ซึ่งเป็นจุดที่เกราะมีช่องเสียด้วย นอกจากบริเวณคอ ศีรษะ และใต้รักแร้แล้ว พวกเอลิลยังเลือกโจมตีพวกแฮนดรัสที่ข้อพับขาเพื่อล้มแฮนดรัสแต่ละคน มีไม่น้อยเลยที่ล้มลงไปและถูกรุมฟันแทงตาย เกราะหนาๆ ของพวกแฮนดรัสอาจแข็งแกร่งพอป้องกันกระสุนได้ แต่หากถูกฟันแทงด้วยอาวุธคมอย่างดาบหรือง้าวโดยตรง มันก็ต้านทานได้ยาก อาวุธขนาดใหญ่ย่อมมีอำนาจตัดเจาะมากกว่ากระสุนปืนลูกเล็กๆ

          ไรมินถูกฟันเข้าที่ข้อพับทำเอาขาทรุดลงไปข้างหนึ่ง เขากระแทกค้อนใส่ผู้ฟันหน้าหงายกะโหลกยุบ แล้วกวาดค้อนสกัดทหารเอลิลสามสี่คนที่จะบุกเข้ามากระเด็นไปคนละทาง แต่ก็มีคนหนึ่งก้มหัวหลบไปแล้วบุกเข้ามาแทงดาบใส่เขา ปลายดาบทะลุผ่านเกราะหัวไหล่เขาเล็กน้อย เขาคว้าคอทหารคนนั้นยกขึ้นทุ่มลงพื้นด้วยมือข้างเดียว เสียงกระดูกหักดังลั่นแล้วทหารคนนั้นก็นอนตายอยู่บนพื้น ดาบอีกสองสามเล่มฟันถูกตัวเขา เขาใช้ค้อนตอบโต้จัดการผู้โจมตีได้หมด แม้จะสวมเกราะหนาและมีร่างกายแข็งแกร่ง แต่การต่อสู้มานานก็ทำให้เขาบาดเจ็บและอ่อนแรง ทหารม้าคนหนึ่งควบบุกเข้าหาในจังหวะที่เขายังทรุดอยู่ที่พื้น ง้าวเล็งมาที่ศีรษะของเขา แฮนดรัสเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแรงแต่ไม่ว่องไว แน่นอนว่าในสถานการณ์นี้ย่อมหลบหลีกหรือปัดป้องไม่ทัน

          ค้อนยาวของกัปตันวอร์ดิวเข้าสกัดทหารม้าคนนั้นกระเด็นล้มไปทั้งคนทั้งม้า ง้าวจึงแทงพลาดไปถากด้านข้างหมวกเกราะของไรมินแทน เขาที่อยู่ตรงตำแหน่งหูขวาหักกระจาย กัปตันวอร์ดิวเข้ามาดึงแขนไรมินให้ลุกยืน ไรมินใช้ด้ามค้อนยันตัวขึ้นมา เลือดสีขาวไหลอาบหน้า

          “ท่านไหวไหมโฮซอร์” กัปตันวอร์ดิวถาม ชุดเกราะมีรอยชำรุด เนื้อตัวมีบาดแผลไม่น้อยเช่นกัน

          “เดี๋ยวมันก็งอกขึ้นมาใหม่ ยังไงข้าก็มีลูกไม่ได้อยู่แล้ว” ไรมินชี้เขาที่หักไป “สู้กันต่อกัปตันวอร์ดิว เราต้องต้านคลื่นระรอกนี้ให้ได้”

          กัปตันวอร์ดิวโค้งศีรษะแล้วแยกไปต่อสู้อีกทาง ไรมินจับด้ามค้อนมั่นแล้วเดินหน้าเข้าหาข้าศึกต่อ

          ในที่สุด ด้วยการสู้อย่างทรหดอดทนของพวกแฮนดรัส พวกเอลิลก็แตกพ่ายถอยทัพกลับไป มีคนตายมากมาย คนเจ็บมากมาย สูญเสียกันทั้งสองฝ่าย หน้ากำแพงเมืองเด็นร็อคเกลื่อนไปด้วยร่างไร้ชีวิต พวกแฮนดรัสเป็นฝ่ายชนะ พวกเขาเสียคนไปมาก แต่ก็เป็นครั้งแรกในหลายสิบปีที่พวกเขาออกรบ แล้วก็ได้รับชัยชนะอย่างสง่างาม คนจำนวนน้อยสู้กับคนจำนวนมาก ต่อสู้ได้อย่างน่าชื่นชม ต้านการบุกของกองทัพย่อยเอลิลชุดแรกได้สำเร็จ แต่ก็ได้รับความเสียหายค่อนข้างหนัก เหลือกันอยู่ไม่มาก

          “ต่อสู้ได้ดีทุกคน” ไรมินกล่าวแก่เหล่านักรบแฮนดรัส “เราทำหน้าที่ส่วนของตนอย่างดีที่สุดแล้ว เราปกป้องแบร์ร็อคได้สำเร็จ หลังจะนี้หากอะไรจะเกิด ก็คงต้องปล่อยให้มันเกิด”

 

**************

 

            ในดินแดนร้างที่อยู่ไม่ไกลจากชายแดนโฟรเซ็นทิเนลนั้น กองทัพย่อยเอลิลชุดที่สองกำลังเคลื่อนพลผ่านทุ่งหญ้าโล่งกว้าง ภูเขาน้ำแข็งและพื้นที่สีขาวปรากฏให้เห็นอยู่ไกลๆ  กองทัพชุดนี้มีจำนวนมากกว่าชุดที่ยกไปโจมตีเมืองเด็นร็อคมาก ฟรอสท์ไอรอนแคลดเป็นเมืองที่แข็งแกร่ง หากจะบุกโจมตีให้เกิดผลจะต้องใช้คนจำนวนไม่น้อย หารู้ไม่ว่าตอนนี้ในฐานทัพฟรอสท์ไอรอนแคลดแทบจะไม่มีดาร์คเนสดีวิลเหลืออยู่ประจำการแล้ว หากเข้าตีตอนนี้ เมืองที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในดวงดาวก็จะแตกพ่ายอย่างง่ายดาย

            “กองทหารม้าโฮเซ่ไล่หลังเรามาทางทิศตะวันออก” ทหารม้าลาดตระเวนเอลิลขี่ม้าเข้ามารายงานกองทัพ “ธงสัญลักษณ์แบร์ร็อค”

            พวกเอลิลจึงหยุดเดินทัพ เริ่มจัดทัพเตรียมพร้อมสำหรับสู้ศึกในที่โล่ง กองทหารม้าโฮเซ่ปรากฏตัวขึ้นทางทิศตะวันออก เทอร์ริน เฮนิเคมขี่ม้านำอยู่หน้ากองทัพ แม้กองกำลังที่เขานำมาด้วยเป็นทหารม้าทั้งหมด มีมากกว่าทหารม้าของอีกฝ่ายหลายเท่า แต่พวกเอลิลก็มีพลหอกยาวและมีพวกฟาร์ดาราส จำนวนโดยรวมแล้วก็มีมากกว่าในอัตราส่วนที่แตกต่างกันมาก พวกโฮเซ่แปรขบวนทัพเตรียมพร้อมบุก แต่ละคนอดรู้สึกกังวลใจไม่ได้ที่จะต้องสู้กับกองทัพข้าศึกที่มีจำนวนเป็นต่ออย่างมาก เทอร์รินสูดหายใจลึกๆ  จ้องมองกองทัพสีเงินขนาดใหญ่ที่รอพวกเขาอยู่

            “คิดดีแล้วหรือที่จะบุกเข้าไป” พอร์ล็อค แดโมมิกซ์ถามเทอร์ริน “เราไม่น่าจะเอาชนะได้”

            “ทหารม้าอาจได้เปรียบในที่ราบโล่ง แต่ข้าศึกก็เป็นต่อเรื่องจำนวน อีกทั้งยังมีหน่วยรบที่ใช้ตอบโต้ทหารม้าของเราได้” ทอร์น แอนดรอสประเมิน “หอกยาว ฟาร์ดาราส ทหารม้าพวกนั้นก็มีเหมือนกัน”

            “ถ้าเราไม่บุกเข้าไป ฟรอสท์ไอรอนแคลดแตกแน่” เทอร์รินพูดเสียงเครียด “เราให้สัญญาไปแล้ว เราจะทำตาม”

            “เช่นนั้น ก็คงต้องหวังพึ่งที่กลยุทธ์” เกร็ฟเฟ็ท โฟเดเซียร์ว่า

            “ถูกแล้ว เราต้องใช้กลยุทธ์ที่ดี” เทอร์รินพยักหน้า “พวกเอลิลจะใช้ปืนและหอกยาวในการรับมือกับแนวหน้าของเรา จากนั้นก็จะส่งทหารม้าโอบเข้าประกบซ้ายขวา ฉะนั้น ทอร์นท่านคุมปีกขวา พอร์ล็อคท่านคุมปีกซ้าย รับมือกับทหารม้าฝ่ายตรงข้าม ส่วนเกร็ฟเฟ็ท ท่านกับกองทหารม้าเกราะเบาคอยเกาะติดอยู่วงใน รอสัญญาณจากข้าให้ดี”  

            ทั้งสามโค้งคำนับรับคำสั่งแล้วบังคับม้าถอยกลับไปประจำตำแหน่ง เทอร์รินบังคับม้าหันไปประจันหน้ากับกองทหารม้าของตน หยิบแตรสงครามแห่งแบร์ร็อคที่แขวนอยู่กับอานม้ามาถือไว้

            “ทหารโฮเซ่ทุกท่าน ข้ารู้ว่าพวกท่านลำบากใจ การบุกเข้าไปปะทะกับกองทัพศัตรูที่ได้เปรียบ มันเป็นการต่อสู้ที่เสี่ยงและยากลำบาก” เขาเอ่ยขึ้น “แต่ห่างจากตรงนี้ไปไม่มากนัก มันคือโฟรเซ็นทิเนล อาณาจักรของพวกดาร์คเนสดีวิล ผู้ที่ยอมเดินทัพไปต่อสู้ในไอซ์เมส ต่อสู้กับข้าศึกจำนวนมากกว่าที่อยู่บนป้อมและกำแพง ต่อสู้เพื่อยืดเวลาให้เผ่าพันธุ์อื่นๆ  โดยไม่สนใจว่าตนจะเสี่ยงและลำบากแค่ไหน สิ่งที่พวกเขากำลังจะเผชิญมันหนักหนากว่าสิ่งที่เรากำลังจะเผชิญ พวกเขายังไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว แล้วเราจะถอยอย่างนั้นหรือ เราคือลูกผู้ชาย วาจาสัตย์ที่เราให้ไว้แก่พวกดาร์คเนสดีวิล เราก็จะรักษามัน เราสัญญาจะปกป้องโฟรเซ็นทิเนลในครั้งนี้ เราก็จะทำอย่างสุดความสามารถ บุตรชายแห่งแบร์ร็อคทุกท่าน นี่เป็นการพิสูจน์ว่าชาวโฮเซ่นั้นเด็ดเดี่ยวใจสู้แค่ไหน” เขาเคาะอกเสื้อเกราะที่ตราสัญลักษณ์ตะบองเพชรโฮเดเรียสีน้ำตาล “พวกท่านอาจคิดว่าความเสียหายที่เราได้รับมาตลอดก่อนหน้านี้ มันทำให้ตอนนี้เรากำลังตกอยู่ในสภาพอ่อนแอ แต่พวกท่านคิดผิดแล้ว แม้ว่าเราจะเสียหายอย่างหนัก จะเหลือกองทัพอยู่ไม่มาก แต่ตอนนี้เราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่แตกแยกกันอีกแล้ว นั่นคือความมั่นคงแข็งแกร่งที่แท้จริง ต่อให้เรามีกองทัพมากกว่านี้สักสิบเท่าแต่เป็นหนึ่งเดียวกันไม่ได้ มันก็ยังแข็งแกร่งไม่เท่ากองทัพเล็กๆ ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน อย่างที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ ณ เวลานี้โฮเซ่ไม่ได้อ่อนแอ แต่กำลังแข็งแกร่งที่สุดที่เคยเป็นมา”  

            กองทหารม้าโฮเซ่ส่งเสียงคำรามอย่างฮึกเหิม เทอร์รินหันม้ากลับไปทางศัตรู แขนซ้ายที่ติดโล่จับสายบังเหียนอย่างมั่นคง

            “จะเป็นชาวแบร์ร็อคชั้นสูง เป็นกบฏ หรือเป็นแฮนดรัส ทุกคนล้วนเป็นโฮเซ่ จะไม่มีการแบ่งแยกอีกแล้ว ในวันนี้ทุกคนจะต่อสู้เป็นหนึ่งเดียวกัน” เขาประกาศกร้าว “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้ายอมรับว่าข้าอาจไม่ดีพอที่จะนำพาพวกท่าน มีหลายอย่างที่ข้าทำผิดพลาด แต่ในวันนี้ ข้าขอให้พวกท่านเชื่อมั่นในตัวข้า ติดตามข้าเข้าต่อสู้กับศัตรูอีกสักครั้ง ให้ข้าได้พิสูจน์ตัวเอง ว่าข้าคู่ควรที่จะนำพาพวกท่าน”

            แล้วเขาก็เป่าแตรสงครามแห่งแบร์ร็อคเสียงก้องกังวาน ม้าของเขาเตะขาหน้าขึ้นร้องคำรามแล้วควบทะยานออกไป กองทหารม้าโฮเซ่ออกควบตามเขาไปด้วยกำลังใจอันเต็มเปี่ยม มือข้างหนึ่งถืออาวุธ อีกข้างคุมบังเหียนม้า พร้อมต่อสู้ร่วมกับผู้นำของพวกตน

            พวกเอลิลจัดขบวนเตรียมรับการปะทะ พวกที่มีปืนยาวขยับมาอยู่แถวหน้าสุดประทับเล็งพร้อมยิงสกัด พวกทหารม้าโฮเซ่จัดขบวนให้กระจายกลุ่มกันมากขึ้น มีความหนาแน่นน้อยลง เพื่อฝ่ายตรงข้ามจะได้มีโอกาสยิงถูกเป้าหมายได้น้อยลง

            “ทหารม้าเกราะหนัก ตามข้ามา” เทอร์รินตะโกนสั่ง

กลุ่มทหารม้าโฮเซ่ที่สวมเกราะหนาทั้งคนทั้งม้าเร่งความเร็วขยับตามเทอร์รินขึ้นไปแนวหน้า โล่ยกกำบัง เท้าสองข้างยึดโกลนไว้แน่นเพื่อประคองตัวให้มั่นคงที่สุด อานของพวกเขาออกแบบให้มีพนักพิงสำหรับช่วยต้านแรงกระแทกจากด้านหน้า

          เมื่อพวกโฮเซ่แนวหน้าควบเข้าไปถึงระยะยิง ปืนยาวเอลิลทุกกระบอกที่ประทับเล็งอยู่ก็ลั่นไก เทอร์รินและเหล่าทหารม้าเกราะหนักโฮเซ่ใช้โล่กำบังกระสุน พนักพิงด้านหลังช่วยกันไม่ให้พวกเขาหงายหลังเมื่อรับแรงกระแทก แต่ก็มีหลายคนถูกยิงตายและมีหลายคนเสียหลักตกหลังม้า ปืนยาวนั้นเป็นอาวุธระยะไกลที่ร้ายกาจที่สุดในการยิงครั้งแรก แต่เมื่อยิงไปแล้วมันก็เสียเวลาบรรจุกระสุนนานที่สุด แน่นอนว่าจะพวกโฮเซ่จะเข้ามาถึงตัวก่อนเตรียมนัดที่สองเสร็จ ดังนั้นพวกพลปืนยาวจึงถอยกลับไปอยู่แนวหลัง ให้พลหอกยาวขึ้นมาอยู่แนวหน้าแทน หอกยาวพาดเฉียงเป็นแนวอย่างเป็นระเบียบ เตรียมใช้สกัดทหารม้าโฮเซ่ในระยะประชิด

          เทอร์รินพยักหน้าให้โฟเดเซียร์ ผู้ซึ่งเร่งม้าให้ตีคู่มาข้างๆ

          “ทหารม้าเกราะเบา ตามข้ามา” โฟเดเซียร์สั่ง

          เทอร์รินและพวกทหารม้าเกราะหนักชะลอความเร็วลง โฟเดเซียร์และพวกทหารม้าที่สวมเกราะบางมีความคล่องตัวสูงนั้นขยับขึ้นไปอยู่แนวหน้า แต่ละคนแกว่งเชือกหนังควงเป็นวงอยู่เหนือหัวแล้วเหวี่ยงลูกโลหะหนามขนาดเท่าหัวแม่มือเข้าใส่พวกพลหอกยาวเอลิล พวกพลหอกยาวเอลิลหน้าหงายล้มลงไปนอนตายกันเป็นแถบพร้อมด้วยหมวกเกราะที่บุบทะลุ ทำให้แถวหอกยาวนั้นเว้าแหว่งเสียรูป

          “ทหารม้าเกราะหนัก ตามข้ามา” เทอร์รินตะโกน ชักขวานสองหน้าออกมา เขาและเหล่าทหารม้าเกราะหนักขยับขึ้นไปอยู่แนวหน้าอีกครั้ง คราวนี้เร่งความเร็วเต็มฝีเท้าม้า “เพื่อแบร์ร็อค”

          แล้วกองทหารม้าโฮเซ่ก็เข้าปะทะกับกองทัพเอลิลในจังหวะที่แนวหอกยาวเสียรูปแถว แม้บางคนจะถูกหอกยาวแทงตายไปบ้าง แต่ที่เหลือก็เข้าปะทะ ชน เหยียบ บดขยี้พวกเอลิลได้มากมาย อาวุธในมือฟาดฟันไม่ยั้ง ทหารม้าโฮเซ่ส่วนใหญ่จะใช้ขวานยาวที่ติดหอกอยู่บนหัวขวานเป็นอาวุธ มันสามารถใช้ทั้งฟันทั้งแทงได้ เมื่อเข้าปะทะกันแล้ว สิ่งที่ตามมาคือการตะลุมบอน ซึ่งขวานยาวก็เป็นอาวุธที่ได้เปรียบในการต่อสู้บนหลังม้าแบบตะลุมบอน มันเหวี่ยงได้กว้างและมีความหนักหน่วงกว่าอาวุธบนหลังม้าชนิดอื่น พวกทหารม้าเอลิลที่อยู่แนวหลังเคลื่อนพลออกซ้ายขวาเข้าโอบด้านข้างพวกโฮเซ่ทันที พอร์ล็อค แดโมมิกซ์และทอร์น แอนดรอสตรึงกำลังรักษาปีกซ้ายกับปีกขวากันคนละด้าน ทหารม้าเอลิลถือง้าวเข้าปะทะกับทหารม้าโฮเซ่ถือขวานยาว แต่ละฝ่ายต่างก็มีคนมากมายที่ถูกฟันแทงตายร่วงตกหลังม้าในจังหวะปะทะกัน

          สิ่งที่พวกโฮเซ่เสียเปรียบที่สุดคือฝ่ายตรงข้ามมีหน่วยรบทางอากาศ พวกฟาร์ดาราสบินไปมาพ่นน้ำแข็งและโฉบใส่พวกเขาด้วยกรงเล็บโลหะ แม้พวกมันจะมีอยู่ไม่มากแต่ก็สร้างปัญหาไม่น้อย เกร็ฟเฟ็ท โฟเดเซียร์และหน่วยทหารม้าเกราะเบาต้องรับหน้าที่ต่อสู้กับพวกมัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เกราะที่พวกมันสวมก็หนาจนธนูและลูกเหล็กหนามเจาะไม่เข้า เล็งให้ผ่านช่องเกราะก็ไม่ได้ทำง่ายๆ  สิ่งที่พอจะเจาะเข้าคือหอกอากาศและขวานสั้นสำหรับขว้าง มันมีขนาด นั้นหนัก และความคมมากพอ

          “เล็งพวกฟาร์ดาราสที่หัว” โฟเดเซียร์หยิบขวานคู่ที่สะพายอยู่ข้างหลังมาฟาดฟันใส่พวกทหารราบเอลิลขณะควบม้าบุกตะลุย “มันเป็นส่วนที่เกราะบางที่สุด”  

          เทอร์รินต่อสู้อยู่บนหลังม้าด้วยโล่และขวานสองหน้า เพื่อนๆ อีกสามคนของเขาก็ต่อสู้ได้เก่งสมเป็นนักรบระดับสูงของเผ่าพันธุ์ แดโมมิกซ์ใช้ขวานกับโล่ โฟเดเซียร์ใช้ขวานคู่ แอนดรอสใช้ขวานยาว อีกทั้งพวกเขาทั้งสามก็มีเลือดพิเศษและมีความสามารถพิเศษแบบเดียวกับเทอร์ริน แต่ละคนจะหาจังหวะปล่อยไฟเหลวออกมาเผาศัตรูที่อยู่เป็นกลุ่มหรือไม่ก็สอยพวกฟาร์ดาราสลงจากฟ้า ในตอนนี้ทั้งสองฝ่ายตะลุมบอนต่อสู้กันวุ่นวายไปหมด โฮเซ่บางคนลงจากหลังม้าเพื่อจะได้ต่อสู้ถนัด หรือไม่ก็ต้องลงมาเพราะม้าถูกฆ่า ส่วนพวกที่เลือกต่อสู้อยู่บนหลังม้าก็คอยหาพื้นที่ให้ม้าได้วิ่ง การฟาดฟันอาวุธใส่ศัตรูโดยที่ม้าวิ่งอยู่นั้นจะช่วยเพิ่มความหนักหน่วงของอาวุธอย่างมาก ทำให้ยากที่จะกำบังหรือปัดป้อง แม้ทหารม้าจะได้เปรียบทหารราบ แต่ทหารราบเอลิลบางส่วนก็ถือหอกยาวซึ่งเป็นอาวุธสำหรับปราบทหารม้าโดยเฉพาะ อีกทั้งทหารม้าเอลิลก็มีไม่น้อย เรื่องจำนวนโดยรวมนั้นพวกเอลิลได้เปรียบมาก แม้พวกโฮเซ่จะมีทหารม้ามากกว่า แต่ก็ยังคงสู้ลำบากกว่า

          เนื่องจากได้เปรียบในเรื่องจำนวน พวกเอลิลจึงให้เหล่าพลปืนออกไปอยู่วงนอก คอยหาจังหวะยิงใส่พวกโฮเซ่ แม้การต่อสู้แบบตะลุมบอนจะทำให้เล็งเป้าหมายยากขึ้น แต่ก็มีทหารโฮเซ่จำนวนมากถูกยิงร่วงตกหลังม้าตายด้วยกลยุทธ์นี้ แดโมมิกซ์ก็ถูกยิงที่ขาแต่ก็ยังรบไหว พวกทหารม้าเอลิลมีส่วนหนึ่งที่เป็นทหารม้าเกราะเบา พวกนี้มีปืนยาวกับดาบเป็นอาวุธและค่อนข้างมีความคล่องตัว ทหารม้าเกราะเบาเป็นหน่วยก่อกวนชั้นเยี่ยม มีลักษณะการโจมตีแบบฉาบฉวย ไม่เน้นต่อสู้แบบปะทะตรงอย่างทหารม้าเกราะหนัก  ซึ่งการที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีทหารม้าเกราะเบานั้นยิ่งทำให้การต่อสู้วุ่นวายขึ้นอีก หน่วยรบชนิดนี้มักวิ่งไปวิ่งมาไม่หยุดอยู่กับที่ สมรภูมิรบจึงมีบางส่วนที่งุนงงสับสน

          เทอร์รินกวัดแกว่งขวานสองหน้าฟาดฟันใส่พวกทหารราบเอลิล หลบน้ำแข็งก้อนหนึ่งจากฟาร์ดาราส ใช้ขวานปัดป้องง้าวเล่มหนึ่งจากทหารม้าเอลิล แล้วใช้อีกด้านของขวานฟันสวนกลับไปคอขาด ถือเป็นประโยชน์ของขวานที่มีใบสองด้าน มันทำให้เขาเปลี่ยนมาฟาดฟันใส่ศัตรูสลับซ้ายขวาได้รวดเร็วกว่าขวานหน้าเดียว เขาคอยควบม้าบุกเข้ากลางกลุ่มทหารราบเอลิล ให้ศัตรูอยู่ในตำแหน่งสองข้างซ้ายขวา เป็นตำแหน่งที่เหมาะแก่การใช้ขวานสองหน้า กลยุทธ์นี้ทำให้เขาสังหารทหารเอลิลได้เป็นเบือแล้วยังช่วยสลายกลุ่มพวกเอลิลไม่ให้มารวมกัน ฟาร์ดาราสตัวหนึ่งโฉบลงมาพ่นน้ำแข็งใส่เขา เขาบังคับม้าหลบแล้วฟันขวานใส่มันในจังหวะที่มันโฉบสวนมา มันไถลลงมาตายอยู่บนพื้น ชนทหารเอลิลสองสามคนล้มลงไป ทหารเอลิลคนหนึ่งแทงหอกยาวใส่เทอร์ริน เทอร์รินยกโล่กำบัง จะเอาขวานฟันตอบโต้ก็ฟันไม่ถึงเพราะอีกฝ่ายอยู่ไกลเกินเอื้อม หอกยาวมันเป็นอาวุธที่ยาวที่สุด

          ทหารเอลิลคนนั้นหน้าหงายหมวกเกราะแตกยุบเมื่อมีลูกเหล็กหนามพุ่งใส่ โฟเดเซียร์เก็บเชือกบ่วงที่เพิ่งใช้ไป พยักหน้าให้เทอร์ริน

          “เสร็จศึกครั้งนี้ อย่าลืมเพิ่มปัจจัยสนับสนุนให้หน่วยทหารม้าเกราะเบากับหน่วยพลเหวี่ยงล่ะ” โฟเดเซียร์หยิบขวานคู่ออกมา

          “ลูกขุนนางชั้นสูงอย่างท่านควรหัดพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่บ้างเกร็ฟเฟ็ท” เทอร์รินจามขวานใส่ทหารเอลิลคนหนึ่งหมวกเกราะแยกเป็นสองซีก  

          โฟเดเซียร์หัวเราะแล้วควบม้าแยกไปสู้ต่อ การศึกดำเนินไปเรื่อยๆ  คนตายนอนเกลื่อนทั้งคนทั้งพาหนะ พวกเอลิลยังคงเหลือจำนวนมากกว่า ฟาร์ดาราสก็ยังบินเต็มท้องฟ้าไปหมด พวกมันเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้พวกโฮเซ่อยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ ศึกครั้งนี้พวกโฮเซ่ไม่มีหน่วยรบทางอากาศและไม่มีเครื่องกลต่อสู้ทางอากาศ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต่อสู้กับพวกฟาร์ดาราส เทอร์รินและผู้นำทัพอีกสามคนต่างก็ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่หนักหนาถึงขั้นสู้ต่อไม่ได้

          “ตรึงกำลังปีกซ้ายไว้” แอนดรอสสั่งกองทหารม้าแนวซ้าย ใช้ขวานยาวฟันใส่ทหารราบเอลิลสองคนพร้อมกัน

          “รักษาปีกขวา” แดโมมิกซ์ตะโกนสั่งกองทหารม้าแนวขวา ยกโล่กำบังกระสุนแล้วฟันขวานจัดการกับทหารม้าเอลิลร่วงตกหลังม้า

          “พลเหวี่ยง ต่อสู้เฉพาะศัตรูภาคพื้นดิน เกราะของพวกฟาร์ดาร์ราสแข็งแกร่งเกินลูกหนามของเรา” โฟเดเซียร์สั่งกองทหารม้าเกราะเบา “หอกอากาศกับขวานสั้น สอยพวกมันลงมา”

          เทอร์รินต่อสู้กับทหารม้าเอลิลคนหนึ่งแล้วสังหารอีกฝ่ายได้ เท้าถีบใส่โล่ทหารราบเอลิลที่บุกเข้ามาล้มหงาย หาพื้นที่ให้ม้าได้ออกวิ่งเพื่อเสริมแรงปะทะกับศัตรู ขวานตวัดกวัดแกว่งฟาดฟันไม่หยุด ทหารเอลิลจำนวนหนึ่งรวมกลุ่มกันอยู่ เขายกแขนซ้ายที่ติดโล่ปล่อยไฟเหลวออกจากมือซ้ายเผาตายทั้งกลุ่ม การใช้ความสามารถพิเศษนั้นต้องใช้พลังและสมาธิเป็นพิเศษ ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการระวังภัยรอบตัวลดลงชั่วขณะ ซึ่งในจังหวะนั้นทหารม้าเอลิลคนหนึ่งก็ควบม้าบุกเข้ามาแทงง้าวใส่เต็มเหนี่ยว เทอร์รินยกโล่กำบังทันแต่ก็ตั้งตัวได้ไม่เต็มที่ จึงเสียหลักตกม้า ดาบเล่มหนึ่งฟันเข้ามาก่อนจะทันได้ลุกขึ้นยืน เขายกโล่กำบังเหนือศีรษะ มืออีกข้างฟันขวานปาดคออีกฝ่าย ทหารเอลิลอีกสามคนถือดาบกับโล่บุกตรงหาเขา เขาฟันขวานใส่คอคนแรก หลบดาบแล้วเอาใบขวานอีกด้านปาดคอคนที่สอง เอาโล่กระแทกใส่คนที่สามแล้วจามขวานแสกหน้า มีอีกคนบุกมาทางด้านหลังก็ถูกด้ามขวานกระทุ้งเข้าที่ท้องแล้วเสยใบขวานเข้าใต้คาง ทหารม้าเอลิลคนหนึ่งควบม้าสวนมากวาดง้าวใส่ เขาแอ่นตัวหลบได้ หันหลังกลับไปยกโล่กำบังกระสุนปืนยาวสองนัด พลปืนเอลิลสองคนรีบบรรจุกระสุนนัดใหม่ มีทหารเอลิลถือดาบกับโล่อีกสามคนยืนประกบเหมือนคอยเฝ้าระวังให้ อีกสักพักปืนยาวสองกระบอกนั้นจะยิงใส่เขาอีกแน่ เทอร์รินต่อสู้ไประวังไป รอจังหวะให้อีกฝ่ายประทับเล็ง

          เมื่อพลปืนเอลิลทั้งสองประทับเล็งและเหนี่ยวไก เทอร์รินก็กระโดดพุ่งม้วนตัวเข้าไป เป็นการหลบหลีกกระสุนพร้อมกับบุกเข้าไปหา กระสุนสองนัดพลาดไปถูกทหารเอลิลสองคนที่อยู่ข้างหลังแทน ทหารเอลิลสามคนที่ประกบพลปืนอยู่นั้นบุกเข้าสกัดเทอร์รินแต่ก็ต้านไม่อยู่ เขาฝ่าเข้าไปฟันขวานใส่พลปืนทั้งสองคน แล้วหมุนตัวเตะก้านคอทหารเอลิลที่ถือดาบกับโล่ล้มลงไปคนหนึ่ง แกว่งขวานเหนือศีรษะฟันใส่กะโหลกอีกคนหนึ่ง แล้วกระโดดหมุนตัวหลบดาบของอีกคนหนึ่งพร้อมกับโคจรขวานกลับมาอีกรอบฟันคอขาด ฟาร์ดาราสตัวหนึ่งโฉบลงมาหาเขา เขาพุ่งม้วนตัวหลบไปข้างๆ ได้ ที่อยู่ข้างหน้าเขาคือทหารเอลิลถือดาบกับโล่สองคน เขายกขวานกับโล่ตั้งท่าเตรียมต่อสู้ด้วย

          ทหารเอลิลสองคนนั้นถูกฟันตายสนิทด้วยขวานยาว แอนดรอสควบม้าเข้ามา จูงม้ามาด้วยตัวหนึ่ง เทอร์รินปีนขึ้นหลังม้า หายใจถี่ด้วยความเหนื่อย

          “แนวรบของเรากำลังแตกขบวน ข้าศึกมีมากเกินไป” แอนดรอสรายงาน เลือดสีขาวไหลออกจากใต้หมวกเกราะลงมาเปรอะเส้นผม “โฮซอร์ ข้าว่าเราควรถอยได้แล้ว”

          “ทนสู้ต่ออีกสักหน่อยเถอะ” เทอร์รินขอร้อง “ข้าขออีกสักพักเท่านั้น”

          “เทอร์ริน เรากำลังจะแพ้นะ” แอนดรอสพูดเสียงแข็ง “มันเห็นชัดเจนอยู่ พวกทหารของเราก็เห็นชัดเจน พวกเขาเริ่มมองหาจังหวะถอยแล้ว ศึกครั้งนี้เราไม่มีทางเอาชนะได้”

          “ชัยชนะมีหลายรูปแบบ ทอร์น” เทอร์รินหยิบแตรสงครามแห่งแบร์ร็อคออกมา “บางครั้ง เราก็ชนะได้โดยไม่จำเป็นต้องชนะศึก”

          แล้วเขาก็เป่าแตรเสียงดังกังวาน ท่ามกลางเสียงโลหะกระทบกระแทกและเสียงกีบเท้าม้า

          “เราทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย” เทอร์รินประกาศก้อง เก็บแตรและชูขวานในมือขวาขึ้น “แต่ไม่มีการตายใดจะมีความหมายเท่ากับตายเพราะพยายามทำสิ่งที่คาดหวังให้สำเร็จอีกแล้ว หากวันนี้ข้าเทอร์ริน เฮนิเคมจะต้องตาย มันก็จะเป็นการตายที่มีความหมาย”

          แล้วเขาก็ควบม้าบุกเข้าไปกลางขบวนทหารเอลิลที่หนาแน่น ต่อสู้อย่างบ้าบิ่นท่ามกลางวงล้อมศัตรู นั่นทำให้โฮเซ่คนอื่นๆ ทั้งเหล่าทหารและผู้บัญชาการต่างประหลาดใจและทึ่ง

          “อารักขาโฮซอร์” แดโมมิกซ์ตะโกนลั่น

          พวกทหารโฮเซ่ที่เริ่มจะคิดเรื่องถอยทัพนั้นต่างเปลี่ยนความคิดบุกตามเทอร์รินเข้าไป ผู้นำสูงสุดของพวกเขาเข้าไปต่อสู้อย่างกล้าหาญ ไม่หวั่นเกรงว่าจะตาย มันทำให้พวกเขาฮึกเหิมและเกิดความเชื่อมั่น จากกองกำลังโฮเซ่ที่บาดเจ็บและอ่อนล้า พวกเขาต่อสู้ได้เต็มที่อีกครั้ง การต่อสู้ที่กำลังจะจบลงจึงยืดเยื้อต่อไปอีก ซึ่งก็ยืดเยื้อต่อไปนานกว่าที่คิด ทั้งสองฝ่ายได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้น มีเพิ่มทั้งคนเจ็บคนตาย แต่สำหรับความเหนื่อยล้านั้น พวกโฮเซ่มีกำลังใจเป็นแรงผลักดันให้ต่อสู้ได้

          การที่เทอร์รินเข้าไปต่อสู้อยู่กลางวงล้อมข้าศึกนั้น ย่อมได้รับบาดเจ็บ และเป็นการบาดเจ็บที่ค่อนข้างหนัก ม้าของเขาตาย เขายังสู้ต่อบนพื้นราบ รับคมอาวุธของฝ่ายตรงข้ามไปอีกหลายแผล แต่ก็ยังหยุดเขาไม่ได้ นับว่าใจสู้น่านับถือ ทหารเอลิลคนใดบุกเข้าไปต่อสู้กับเขาเป็นต้องล้มลงไปนอนเป็นศพหมด แม้แต่ทหารม้าก็ถูกสอยตกหลังม้า รวมกลุ่มเข้ามาก็ถูกสาดด้วยไฟเหลว จนกระทั่งฟาร์ดาราสตัวหนึ่งโฉบลงมาพ่นน้ำแข็งใส่เขา จังหวะนี้เขาหลบหลีกไม่ทันจึงต้องยกโล่กำบัง ซึ่งมันก็ไม่ได้เบาๆ เลย ก้อนน้ำแข็งแห้งเคลือบสารฟรีออนปะทะกับโล่เหล็กเสียงสนั่น น้ำแข็งแตกกระจายเป็นชิ้นๆ  โล่อันแข็งแกร่งเกิดรอยบิ่น ส่วนเทอร์รินก็กระเด็นกลิ้งไปกับพื้น แขนซ้ายที่ยกโล่กำบังนั้นขยับเขยื้อนไม่ได้เหมือนข้อต่อหลุดหรือกระดูกเคลื่อน เขาลุกไม่ขึ้น ได้แต่นอนเจ็บอยู่บนพื้น ฟาร์ดาราสตัวนั้นโฉบบินมาอยู่ตรงหน้า อ้าปากเตรียมพ่นน้ำแข็งซ้ำใส่เป้าหมาย

          ไฟเหลวสามสายจากสามทิศทางพุ่งเข้ามาเผาฟาร์ดาราสตัวนั้นจนแทบจะละลายหมดตัว ทั้งแอนดรอส แดโมมิกซ์ และโฟรเดเซียร์ต่างปล่อยไฟเหลวเข้าใส่เป้าหมายพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายพวกเขาและกองกำลังบางส่วนตีฝ่าเข้ามาช่วยเทอร์ริน แดโมมิกซ์ลงจากหลังม้าเข้ามาลากตัวเทอร์ริน ขณะที่เพื่อนอีกสองคนคอยบังคับม้าต่อสู้คุมเชิง

          “เจ้างั่ง” แดโมมิกซ์ว่าให้ขณะลากตัวเทอร์รินออกมา “ทำบ้าอะไรของท่าน จะหาเรื่องให้ตัวเองถูกฆ่าหรือไง”

          “มันทำให้ทหารของเรามีพลังที่จะต่อสู้อีกสักพัก” เทอร์รินพูดอย่างสะกดกลั้นความเจ็บปวด มือขวาถอดโล่ออกจากแขนซ้ายที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เลือดสีขาวไหลออกจากบาดแผลตามชุดเกราะที่ชำรุด

          “นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ยังไงเราก็แพ้อยู่ดี” แดโมมิกซ์ชี้ให้ดู

          “เราไม่จำเป็นต้องชนะ” เทอร์รินอธิบาย “เป้าหมายของเราในศึกครั้งนี้ คือหยุดยั้งเอลิลกองทัพนี้ไม่ให้โจมตีโฟรเซ็นทิเนลแตก ซึ่งการที่ฝ่ายเรายืดเยื้อการต่อสู้ได้ขนาดนี้ มันทำให้พวกเอลิลเสียหายหนัก คาดว่าตอนนี้คงจะมีไม่เพียงพอเดินทัพไปทำศึกต่อที่โฟรเซ็นทิเนลแล้ว พวกนั้นจึงจะต้องถอยทัพกลับไป โฟรเซ็นทิเนลจะปลอดภัยตามจุดประสงค์ของเรา”

          นั่นเป็นความจริง แม้ศึกครั้งนี้พวกเอลิลกำลังจะเป็นฝ่ายชนะ แต่กองทัพก็เสียหายเกินกว่าจะเคลื่อนพลไปทำศึกต่อที่โฟรเซ็นทิเนลได้ ถือว่าพวกโฮเซ่ทำการสกัดทัพข้าศึกสำเร็จตามเป้าหมาย เทอร์รินพูดถูก บางครั้งไม่จำเป็นต้องรบให้ชนะก็สามารถชนะได้

          “ฉลาดนี่” แดโมมิกซ์ประคองเทอร์รินให้ลุกขึ้นยืน สะพายโล่ของเทอร์รินไว้ที่หลัง

          “เทอร์ริน พอร์ล็อค” แอนดรอสตัดคอทหารเอลิลคนหนึ่งแล้วควบม้าเข้ามาหา “ข้าว่าตอนนี้เราควรจะถอยได้แล้ว ก่อนที่จะตายกันหมด”

          “ตกลง ถอยเลย” เทอร์รินพยักหน้า

          แล้วเขาก็ยกแตรสงครามแห่งแบร์ร็อคเป่าส่งสัญญาณถอยทัพ ขณะที่แดโมมิกซ์พยุงเขาไม่ให้ล้ม บรรดาโฮเซ่ที่เหลือต่างพากันถอยทัพ คนเจ็บถูกพาขึ้นหลังม้าไป แดโมมิกซ์นำเทอร์รินขึ้นหลังม้าไปด้วย มีแอนดรอสและโฟเดเซียร์ขี่ม้าประกบอารักขา แม้พวกโฮเซ่จะแพ้ แต่พวกเขาก็บรรลุจุดประสงค์ พวกเอลิลไม่มีทางเลือกนอกจากต้องถอยทัพกลับเหมือนกันเพราะได้รับความเสียหายมากเกินกว่าจะทำศึกต่อได้ โฟรเซ็นทิเนลปลอดภัยแล้ว พวกโฮเซ่สู้อย่างสมศักดิ์ศรี ไม่ว่าจะเป็นพวกโฮเซ่ชั้นสูงหรือพวกแฮนดรัส พวกเขาทำหน้าที่ส่วนของตนอย่างดีที่สุด ทั้งสองกองทัพย่อยเอลิลถูกต้านสำเร็จ หลังจากนี้อะไรเกิดขึ้น ก็ขึ้นอยู่กับอีกสองเผ่าพันธุ์ที่เหลือแล้ว

 

************

 

            หลังจากซอร์โรร่ากลับจากการลอบพบปะกับฝาแฝดเมแมคเซอร์ที่เมืองไดมอนด์เคจ เธอก็เก็บตัวเงียบ ไม่เข้าสังคม ไม่ค่อยพูดค่อยจา ไม่ค่อยพบปะกับใคร บางคนคิดว่าเธอซึมเศร้า แต่ผิดแล้ว เธอเป็นอะไรก็ตามที่ต่างจากซึมเศร้ายิ่งนัก ดูเหมือนจะหมกมุ่นทำอะไรสักอย่างมากกว่า เธอเอาแต่อ่านแผนที่และดูแลเจ้าเซเฟอร์ม้าของเธอ เธอจัดอาหารที่เน้นคุณค่าแก่มัน ควบคุมปริมาณการกิน และให้มันวิ่งออกกำลังกายทุกวัน ราวกับเตรียมสภาพร่างกายของมันให้พร้อมเต็มที่สำหรับอะไรสักอย่าง เธอไปขอเอกสารบันทึกข้อมูลจากแพทย์หลวงโกลด์แมนบางฉบับ เป็นเอกสารที่เขาบันทึกตอนเดินทางไปทำภารกิจที่ไอซ์เมสกับเธอ ดูเหมือนว่าเธอกำลังวางแผนบางอย่าง ซึ่งก็ไม่ยอมบอกให้ใครรู้ด้วย

            เช้าวันนี้ อาร์รอสถือถาดอาหารไปให้เธอที่ห้องเพราะเธอไม่ยอมลงไปรับประทานอาหารเช้า เมื่อคืนเธอทำท่าทางแปลกๆ  นั่นคือเข้ามาสวมกอดเขาพร้อมกับน้ำตา บอกเขาคำเดียวว่าเธอรักเขา ถามว่าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ยอมตอบ เธอเป็นอะไรของเธอ

            “ซอร์โรร่า” อาร์รอสเคาะประตูห้องนอน “ซอร์โรร่า แม่นางฟ้า พ่อนำอาหารเช้ามาให้ ลูกไม่ได้ลงไปกินข้าว ไม่สบายหรือเปล่า พ่อเข้าไปได้ไหม”

            ไม่มีเสียงตอบจากในห้อง อาร์รอสเริ่มสงสัย ซอร์โรร่าไม่เคยทำเฉยเวลาพ่อเรียกนี่

            “พ่อขอเข้าไปนะ” อาร์รอสเปิดประตูเข้าไปในห้อง

            ในห้องว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ เตียงนอนก็ตึงเรียบไม่มีรอยถูกนอนแม้แต่น้อย ซอร์โรร่าหายไปไหน อาร์รอสวางถาดอาหารเช้าลงบนโต๊ะข้างเตียง พบม้วนกระดาษฉบับหนึ่งวางอยู่บนที่นอน เขาแกะริบบิ้นออกและกางจดหมายอ่าน

            อภัยให้ข้าด้วยค่ะที่เดินทางจากไปโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้ แต่หากข้าบอก พ่อคงไม่ให้ข้าไปแน่ ข้ามีความจำเป็นต้องไป ข้าทนไม่ได้ที่จะอยู่เฉยอีกต่อไปแล้ว ดาร์คเนสดีวิลต้องรับเคราะห์กรรมมากมายเพราะมนุษย์ และในตอนนี้เรายังจะปล่อยให้พวกเขาตายกันหมดโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร ข้ารู้สึกเจ็บอายเหลือเกินที่เกิดเป็นมนุษย์ เผ่าพันธุ์ที่เห็นแก่ตัวและหน้าด้านหน้าทนที่สุด ข้าไม่อาจอยู่ด้วยความอัปยศเช่นนี้ได้อีก หากมนุษย์ทั้งเผ่าพันธุ์ไม่ยอมทำอะไรสักอย่าง ข้าจะขอเป็นมนุษย์คนเดียวที่ไม่เพิกเฉย แม้ว่าข้าคนเดียวคงไม่มีปัญญาเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนัก แต่ข้าก็จะทำเท่าที่จะสามารถทำได้พ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ แล้วก็ไม่ต้องส่งคนมาตามข้าด้วย พ่อหาไม่พบแน่นอน ข้าจะกลับไปหาเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น อย่างน้อย หากนี่เป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของพวกดาร์คเนสดีวิล ข้าก็จะขอให้มันอยู่ในสายตาของข้า เหมือนสิบเก้าปีที่แล้ว

รัก

ซอร์โรร่า

          ทันทีที่อ่านจบ อาร์รอสก็นั่งลงบนเตียง มือกุมหน้าผากเขารู้ว่าลูกสาวพยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือพวกดาร์คเนสดีวิลมาตลอดชีวิตของเธอ แต่สะกดรอยตามกองทัพดาร์คเนสดีวิลไปอย่างนั้นหรือ ศึกสงครามกำลังจะเกิดที่ไอซ์เมส ที่นั่นจะมีแต่ความยากลำบากและอันตราย เธอเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ไม่ควรต้องไปเผชิญกับอะไรอย่างนั้นเลยสาวน้อยใจเด็ดผู้น่าสงสาร ป่านนี้จะไปไกลถึงไหนแล้วหนอ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา