พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.94K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) บทที่ 4 ความวุ่นวายของซาโมโรว์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 4

ความวุ่นวายของซาโมโรว์

 

                เช้าตรู่ที่หนาวเย็นของเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลด เมืองหน้าด่านแห่งอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล มีหิมะตกปรอยๆ และลมกรรโชกเล็กน้อย กำแพงขนาดยักษ์ที่ทำด้วยน้ำแข็ง ทอดยาวตระหง่านอยู่ระหว่างช่องเขาน้ำแข็งที่สูงชัน เป็นกำแพงที่สูงลิบลิ่วและกว้างพอที่จะนำคนขึ้นไปได้เป็นกองทัพ ยอดกำแพงเชิงเทินนั้นมีส่วนที่แหลมๆ แฉกๆ เว้นระยะเป็นช่วงๆ คล้ายหนามที่ขอบปีกเอเลนเซฟเวอรี่ ส่งผลให้ผิวด้านหน้ากำแพงบางส่วนมีความเหลี่ยมตามแฉกที่แหลมขึ้น แม้กำแพงจะทำจากน้ำแข็ง แต่แน่นอนว่ามันแข็งแกร่งอย่างไร้ข้อกังขา

          ที่สำคัญคือกำแพงไม่ได้มีเพียงชั้นเดียว มันมีถึงสามชั้น ซึ่งชั้นแรก เป็นชั้นที่แข็งแกร่งที่สุด กว้างที่สุด สูงที่สุด และมีหอคอยกับป้อมน้ำแข็งมาเสริมเชื่อมต่อมากที่สุด น่าอัศจรรย์ใจที่พวกดาร์คเนสดีวิลสามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์ทั้งสามชั้นนี้ขึ้นมาได้ สิ่งที่ชวนแปลกใจอีกอย่างคือกำแพงทั้งสามชั้นนี้ไม่มีประตูให้ผ่านเข้าออกเลย พวกดาร์คเนสดีวิลคงมีวิธีผ่านมันได้โดยไม่ต้องใช้ประตู อาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลมีเทือกเขาน้ำแข็งที่สูงชันล้อมรอบทั้งอาณาจักร ซึ่งมันเคยมีช่องว่างให้ผ่านบริเวณเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดแห่งนี้ แต่ตอนนี้พวกดาร์คเนสดีวิลได้สร้างกำแพงน้ำแข็งทั้งสามชั้นปิดช่องเป็นอันเรียบร้อย ถือว่าตอนนี้อาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลกลายเป็นพื้นที่ปิดโดยสมบูรณ์

          บรรดานักรบดาร์คเนสดีวิลกำลังทำงานก่อสร้างกันอย่างขยันขันแข็ง ป้อมและหอคอยน้ำแข็งบางหลังที่เชื่อมต่อกำแพงชั้นแรกนั้นยังสร้างไม่เสร็จ เครื่องกลสงครามต่างๆ ก็กำลังถูกนำมาต่อเติมบนกำแพง นี่คือหลักการทำงานของดาร์คเนสดีวิล กำแพงทั้งสามชั้นและสิ่งที่เสริมต่อเติมมาล้วนถูกสร้างขึ้นมาจากแรงงานของพวกนักรบ รวมทั้งเหล่าผู้นำเผ่าพันธุ์ เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้ทุกรายละเอียดเกี่ยวกับกำแพง ยามถึงเวลาขึ้นมาป้องกัน จะได้รู้สึกคุ้นเคย ผูกพัน และใช้มันป้องกันเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

          “ยกขึ้นช้าๆ ระมัดระวัง” เซซิลที่วันนี้สวมเกราะสวมเสื้อคลุมยาวที่ทำด้วยแผ่นโลหะสีดำร้อยต่อกัน กำลังออกแรงช่วยพวกนักรบชักรอกนำลูกโลหะดำกลมๆ ขนาดใหญ่ลายหน้าปีศาจแยกเขี้ยวในตาข่ายเหล็กหลายลูก ขึ้นไปบนเชิงเทินกำแพงอันสูงลิ่ว “หากมันกระแทกพื้นแรงเกินไป จะระเบิดได้ อย่าลืมว่าสิ่งที่อยู่ในลูกเหล็ก คือวัตถุไวไฟ”

                กัปตันมาซูลวิ่งขึ้นบันไดกำแพงชั้นแรกไปถึงบนเชิงเทิน หายใจแรงเล็กน้อยเพราะกำแพงสูงมาก วันนี้เขาสวมเกราะสีดำเต็มตัว เสื้อเกราะมีลักษณะคล้ายกรงเล็บปีศาจสองข้างมาประสานกัน เกราะที่ไหล่มีเงี่ยงแหลมโค้งสามเงี่ยง เหมือนไหล่ของปีศาจในตำนาน สนับแขนหลังมือมีลักษณะเหมือนตีนสุนัขจิ้งจอก หมวกเกราะมีเขาปีศาจยาวปลายงอนโค้งคู่หนึ่งอยู่บนหน้าผาก ซึ่งบนยอดหมวกนั้น เขานำหนังสุนัขจิ้งจอกหิมะสีขาวมาประดับไว้ เปรียบเสมือนการแสดงสัญลักษณ์ประจำตัว สโนว์ฟ็อกซ์ หางเป็นพวงของมันห้อยอยู่ด้านหลังหมวกเกราะอย่างสวยงาม

          เขาหันไปพบร่างสูงที่สวมผ้าคลุมมีฮู้ดสีดำมิดชิด เป็นผ้าคลุมที่มีชายผ้าเป็นแฉกๆ ดูคล้ายปีกปีศาจที่กำลังหุบมาก ร่างนั้นยืนมองท้องฟ้าอย่างเพลิดเพลิน

          “เรียนลอร์ดมืด” กัปตันมาซูลรายงาน “มีเรือเหาะโจรสลัดอากาศสามลำ ล่วงล้ำเข้ามาในเขตอาณาจักรของเรา”

                โซลิแทร์หันมาหา ใบหน้าทุกส่วนของเขาถูกปกปิดด้วยหน้ากากโลหะสีดำ ที่ยากจะดูออกว่าเป็นรูปอะไร มีลายปีกปีศาจ เขี้ยวปีศาจ และกรงเล็บปีศาจผสมกัน แปลกประหลาดและน่ากลัวน่าเกรงขาม มันไม่มีช่องระบายอากาศใดๆ เลยนอกจากช่องดวงตาทั้งสอง เงามืดบดบังขอบตาและส่วนรอบๆ ตาจนหมดสิ้น เหลือเพียงดวงตาที่เรืองแสงสีน้ำเงินเจิดจ้าอยู่กึ่งกลางช่องตาหน้ากากอันมืดมิด ยิ่งมีหมวกฮู้ดคลุมศีรษะสร้างความมืดเพิ่มให้ด้วยแล้ว ดวงตาเรืองแสงของโซลิแทร์ดูจะเป็นสิ่งเดียวที่ปรากฏให้เห็นท่ามกลางความมืด

          “โจรสลัดเผ่าพันธุ์ไหน” โซลิแทร์ถามเสียงทึบผ่านหน้ากาก

          “มนุษย์” กัปตันมาซูลตอบ

          “ถ้าอย่างนั้น” โซลิแทร์พูดเรียบๆ “พวกเอเลนเซฟเวอรี่จะไปเชิญพวกนั้นให้ลงจอดอย่างสงบ

                เอเลนเซฟเวอรี่สามตัวบินโฉบผ่านทั้งสอง มุ่งหน้าไปทางเรือเหาะโจรสลัดทั้งสามลำอย่างเงียบเชียบ ผ้าคลุมสีดำของโซลิแทร์โบกสะบัดไปตามแรงลม เผยให้เห็นเครื่องแต่งกายที่น่าเกรงขาม เขาสวมเสื้อเกราะห่วงโซ่ที่ทำจากโลหะสีดำมาถักทอกันถี่ยิบ สวมเกราะหัวไหล่สีดำรูปร่างเหมือนกรงเล็บเอเลนเซฟเวอรี่เกาะอยู่บนปีกปีศาจซ้อนกันเป็นชั้นๆ จนถึงครึ่งแขนท่อนบน สวมเสื้อนอกแขนกุดทำด้วยหนังสังเคราะห์สีดำทับเสื้อเกราะและเกราะหัวไหล่บางส่วน เป็นเสื้อที่มีลักษณะคล้ายปีกเอเลนเซฟเวอรี่มาหุบประสานกัน และมีกระเป๋าลับสำหรับเก็บซ่อนอาวุธลับอยู่ตามลายปีก สวมรองเท้าบู๊ตสงครามสีดำทำด้วยเหล็กยาวถึงเข่า ซึ่งมันถูกออกแบบให้เหมือนกับขาและอุ้งเล็บของเอเลนเซฟเวอรี่ พื้นรองเท้าบางส่วนมีหมุดหนามแหลมคมสีดำ สนับเข่าเหล็กสีดำที่สวมอยู่เป็นหัวกะโหลกปีศาจที่มีเขาและแยกเขี้ยว ชายเสื้อเกราะที่ยาวลงมาคลุมต้นขานั้นมีช่องสำหรับเก็บอาวุธลับ มือทั้งสองสวมถุงมือหุ้มเหล็กสีดำ แขนทั้งสองสวมสนับแขนที่มีรูปร่างคล้ายขาหน้าเอเลนเซฟเวอรี่ มีสนับป้องกันหลังมือเสริมมา ซึ่งก็มีเงี่ยงแหลมโค้งสามอันที่หลังมือเหมือนที่เอเลนเซฟเวอรี่มี อีกทั้งยังติดกรงเล็บเหล็กแหลมคมน่ากลัวเป็นสนับมือ ยิ่งทำให้เขาดูเหมือนเอเลนเซฟเวอรี่ ร่างกายทุกส่วนของโซลิแทร์นั้น หากไม่นับดวงตาดวงตา ล้วนแต่ถูกปกคลุมจนหมดสิ้น ปกคลุมหลายชั้น และเป็นสีดำสนิททุกอย่าง

                “ดัดแปลงจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมเลยนะ” กัปตันมาซูลชี้ไปที่สนับแขนติดกรงเล็บของโซลิแทร์ “แต่ก็เหมาะกันท่านดี น่ากลัวเป็นบ้า ระวังทำมันบาดตัวเองเข้าล่ะ”

                “สนับแขนของโดเมลิล แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม” โซลิแทร์ยกแขนขึ้นมาดู กรงเล็บเหล็กสองข้างที่หลังนิ้วสะท้อนแสงเงาวับน่ากลัว “อย่างดีเลย จริงๆ แล้วท่านน่าจะเป็นคนได้สวมมันนะ เขาเป็นผู้อุปถัมภ์ท่าน”

                “เคยลองสวมแล้ว สวมไม่ได้ แขนข้าใหญ่เกินไป นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่า แม้ข้าจะไม่สูงเท่าท่าน แต่ข้าก็ล่ำสันกว่าท่าน” กัปตันมาซูลบอกอย่างอารมณ์ดี “ถึงอย่างไร ข้ามั่นใจว่าท่านต้องสวมได้พอดีแน่ โดเมลิลเป็นฝาแฝดของพ่อท่าน โครงร่างจึงน่าจะเหมือนๆ กับท่าน”

                “การนำสิ่งของคนตายมาใช้ประโยชน์ต่อ ตามจุดประสงค์ของคนตาย ถือเป็นการให้เกียรติสูงยิ่ง” โซลิแทร์หันกลับไปมองฟ้า “ข้าหวังจริงๆ ว่าเมื่อตายไปแล้ว ข้าจะได้รับเกียรตินี้บ้าง”

                “ท่านเพิ่งเสร็จจากการช่วยพวกนักรบสร้างหอคอยน้ำแข็ง น่าจะไปพัก” กัปตันมาซูลว่า มองเศษน้ำแข็งที่ติดตามถุงมือหุ้มเหล็กของโซลิแทร์ “มายืนมองท้องฟ้าอยู่ตรงนี้ รออะไรหรือ”

                “พัสดุ” โซลิแทร์ยังไม่ละสายตาจากที่เดิม “จากอาเรนัส มาร์คาร์ ช่างเหล็กที่เก่งที่สุดในอาณาจักรของเรา ส่งตรงจากเมืองฟรอสท์ดีวิล น่าจะมาถึงเร็วๆ นี้”

                “ของเล่นชิ้นใหม่หรือ” กัปตันมาซูลถามต่อ

                “ใช่ หลายชิ้นด้วย” โซลิแทร์พยักหน้า “ท่านเองก็น่าจะไปพักนะ ได้ยินว่าท่านประกอบเครื่องยิงบนกำแพงเสร็จไปตั้งหลายเครื่อง”

                “ข้าไม่เหนื่อย ข้าภูมิใจ ข้าอยากขึ้นมาดูสิ่งที่ปีศาจเราร่วมกันสร้างขึ้นมาด้วยอุ้งเล็บดำๆ คมๆ ของเรา” เขากวาดตามองไปรอบๆ กำแพง “กำแพงทั้งสามที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ดาวดวงนี้จะมีมา สูงที่สุด กว้างที่สุด และทนทานมากกว่ากำแพงใดในดาวดวงนี้ ไม่น่าเชื่อว่ามันทำจากน้ำแข็ง”

                “ก็เพราะมันไม่ได้ทำจากน้ำแข็งจริงๆ น่ะสิ นี่มันน้ำแข็งสังเคราะห์ น้ำแข็งที่มีสิ่งอื่นมาผสมผสานด้วย รวมทั้งแร่ซาทานิกคริสทอล แร่หายากที่มีเฉพาะในอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล” โซลิแทร์อธิบาย “เราใช้ที่มีอยู่ทั้งหมดเป็นส่วนประกอบในการสร้างกำแพง รับประกันได้ว่าน้ำแข็งทั้งสามก้อนนี้ แข็งแกร่งกว่าที่ใครจะคาดคิด”  

                “ก็สมควรอยู่หรอก ใช้เวลาสร้างมากว่าสิบปี นี่ยังต่อเติมไม่เสร็จสมบูรณ์นักด้วยซ้ำ” กัปตันมาซูลว่า “แต่ถ้ามันกันพวกมนุษย์ไม่ให้มายุ่งกันเราได้ตลอดไป ถือว่าคุ้มค่ามากทีเดียว”

                “ตราบใดที่ดาร์คเนสดีวิลเป็นผู้รักษากำแพง มันทำได้แน่” โซลิแทร์มั่นใจ “ฟรอสท์ไอรอนแคลด จะเป็นพื้นที่ที่อันตรายที่สุดของมนุษย์”

          “ท่านลอร์ด”

                เซซิลลอยขึ้นมาตามบันไดกำแพงทีละขั้น ผมสีเงินเรียบลื่นปลิวไสวไปตามแรงลม การเป็นดีวอเชอร์ไม่ได้ทำให้ลอยสูงกว่าสิ่งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้านัก เขาลอยต่ำๆ มาลงพื้นข้างๆ โซลิแทร์ ยื่นขวดโลหะทรงพีระมิดให้

          “คืออะไรหรืออาจารย์เซซิล” โซลิแทร์รับขวดมาถือ

          “เราเคยเสียเปรียบพวกมนุษย์ในเรื่องอาวุธระยะไกล ปืนใหญ่ของพวกมันเคยปราบเราได้ราบคาบ” เซซิลเกริ่นนำ “ขวดที่อยู่ในมือท่าน คือสิ่งที่จะทำให้มันไม่มีวันเกิดขึ้นอีกแล้ว”

                โซลิแทร์เปิดฝาขวด ยกมาจ่อใกล้ช่องตาหน้ากากเพื่อมองดูของเหลวที่อยู่ข้างใน

          “ของเหลวชนิดนี้เป็นวัตถุไวไฟอันตราย” เซซิลอธิบาย “สามารถทำให้เกิดการระเบิดได้อย่างรุนแรง เราจึงจะใช้มันเป็นกระสุนในการต่อกรกับปืนใหญ่ของพวกมนุษย์” เขาชี้นิ้วไปที่บรรดาลูกโลหะสีดำลายหน้าปีศาจแยกเขี้ยว ที่พวกนักรบดาร์คเนสดีวิลกำลังชักรอกขึ้นไปบนกำแพงแต่ละจุด “ของเหลวชนิดนี้บรรจุอยู่ในลูกโลหะเหล่านั้น เมื่อลูกโลหะได้รับการกระทบกระแทกแรงๆ มันจะระเบิดทันที”

          “เยี่ยมยอด” โซลิแทร์พออกพอใจมาก “เรื่องนี้ไว้ใจท่านได้ เดอะ เจสเทอร์ ท่านเป็นอัจฉริยะทางเคมี”

          “ความจริงข้าคิดขึ้นมาได้ก่อนท่านจะเกิดเสียอีกท่านลอร์ด แต่ไม่ได้แพร่หลายหรือได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควรนัก ตอนนั้นเรายังอยู่ในช่วงที่ถูกพวกมนุษย์กดหัวหนักมาก และถูกพวกเฟลมฟอร์สโจมตีจนโงหัวไม่ขึ้น” เซซิลเล่า “ในที่สุด เมื่อตอนนี้มีโอกาสแล้ว ข้าจึงนำมาสานต่อดัดแปลงให้มันมีอานุภาพทำลายล้างมากขึ้น ดีใจที่พวกท่านบ้าพอที่จะสนับสนุนมัน ไพรม์ดีวอเชอร์ไม่ค่อยชื่นชมมันนักหรอก”

          “ผิดวิสัยไพรม์ดีวอเชอร์มาก” กัปตันมาซูลตั้งข้อสงสัย “เขาเป็นคนที่เห็นประโยชน์ของทุกสิ่ง และชอบที่จะดึงประโยชน์ของสิ่งต่างๆ มาใช้อย่างเต็มที่ เขาย่อมสนับสนุนอะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์แบบนี้เช่นกัน”

          “จริงอยู่” เซซิลยอมรับ “แต่เขาย่อมไม่อยากสนับสนุนสิ่งที่ไประเบิดสมบัติของเขาแน่นอน พวกท่านคงคาดไม่ถึงว่าตอนหนุ่มๆ ข้าดื้อซนและบ้าบิ่นมาก”

          “ท่านระเบิดอะไรสักอย่างที่เป็นของไพรม์ดีวอเชอร์หรือ” โซลิแทร์ละสายตาจากขวดเหล็กมามองหน้าเซซิล “ท่านใจกล้ามาก คนเพี้ยนๆ อย่างข้า ยังไม่กล้าทำอะไรแบบนั้น”

          เสียงระเบิดอย่างรุนแรงสามครั้งติดต่อกัน บอกให้รู้ว่าเรือเหาะโจรสลัดมนุษย์ทั้งสามลำนั้น ถูกเชิญให้ลงจอดอย่างสงบเรียบร้อยแล้ว เซซิลและกัปตันมาซูลหันมาเอียงคอมองโซลิแทร์

          “อย่างไรก็ตาม” เซซิลพูดต่อ “มันเป็นกระสุนสำหรับเครื่องยิงที่เราคิดค้นขึ้นมา เครื่องยิงเหล่านี้จะทำให้ปืนใหญ่ของพวกมนุษย์ กลายเป็นอาวุธโบราณไปในบัดดล”

                เขากวาดมือไปตามแท่นตั้งเครื่องยิงบนเชิงเทิน ที่มีเครื่องกลสีดำขนาดใหญ่จำนวนมากตั้งประจำที่เป็นจุดๆ เครื่องยิงเหล่านี้มีรูปลักษณ์แปลกประหลาดตามแบบฉบับปีศาจ ลักษณะคล้ายค้างคาวปีศาจที่กำลังสยายปีก ออกแบบให้เอียงลาดขึ้นเพื่อจะได้ส่งกระสุนขึ้นไปได้สูงๆ หลักการทำงานของมันคล้ายกับหน้าไม้ยักษ์ แต่ไม่มีสาย ใช้สปริงกลไกขนาดใหญ่เป็นตัวดีดกระสุนแทน สปริงทุกตัวจะเชื่อมต่อกับเฟืองสำหรับง้างสปริง หากถึงเวลาใช้งาน กระสุนจะถูกบรรจุในช่องข้างหน้าสปริง เป็นอาวุธหนักที่ไม่ได้ใช้ดินปืนในการส่งกระสุนอย่างปืนใหญ่ แต่ใช้สปริงแทน ซึ่งสปริงที่ใช้ก็เป็นสปริงกลไกพิเศษ ออกแบบให้มีการเสริมแรงส่งหลายซับหลายซ้อน ไม่ว่าจะยังไงมันต้องส่งกระสุนไปได้ไกลมากแน่

          เครื่องยิงชนิดนี้ไม่ได้มีแค่บนกำแพง ที่พื้นด้านหลังกำแพงชั้นแรกก็มีเครื่องยิงชนิดเดียวกันแต่มีขนาดย่อมลงมา กำลังถูกเข็นเรียงแถวกันอยู่เต็มไปหมด มันติดล้อเลื่อนสี่ล้อ สามารถขนย้ายเคลื่อนที่ได้ง่าย ล้อของมันก็ถูกออกแบบให้เคลื่อนที่บนหิมะหรือน้ำแข็งได้สะดวก ขนาดกระสุนที่ใช้จะเล็กกว่าเครื่องยิงบนกำแพง แรงส่งกระสุนก็ไม่ไกลเท่า แต่ประโยชน์ของมันคือสามารถขนย้ายไปใช้ที่ไหนก็ได้

          “สปริงกลไกยังถูกนำมาประยุกต์ใช้กับอาวุธอื่นอีก” เซซิลชี้ไปที่หน้าไม้สีดำ ที่กัปตันมาซูลสะพายอยู่ข้างหลัง “หน้าไม้พิเศษติดสปริงกลไก มีศูนย์เล็งศูนย์ถ่วงอย่างดี น้ำหนักเบา แรงส่งกระสุนเทียบเท่าปืนยาวของพวกมนุษย์ทีเดียว”  

          “นักรบดาร์คเนสดีวิลในสมัยพ่อข้า หรือสมัยไพรม์ดีวอเชอร์ ไม่มีวันได้ใช้หน้าไม้อย่างดีขนาดนี้แน่” โซลิแทร์ชื่นชม “เรื่องเคมีและกลไก ท่านคืออัจฉริยะ อาจารย์เซซิล”

          “ขอบคุณ แต่ความอัจฉริยะของข้ามันก็แค่ไม่กี่เรื่อง ต้องพึ่งความอัจฉริยะด้านอื่นๆ จากท่านสองคน และคนอื่นอีกมากมาย” เซซิลจับไหล่โซลิแทร์และกัปตันมาซูล “ทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงทุกท่าน ปีศาจเราอยู่ในช่วงขาลงมานานแล้ว ถึงเวลาเข้าสู่ช่วงขาขึ้นเสียที”

          “เผ่าพันธุ์ของเราจะลุกขึ้นยืนได้ มันไม่ได้อยู่ที่ใครคนหนึ่ง หรืออยู่ที่เราแค่สามคน” โซลิแทร์กล่าว “มันอยู่ที่ปีศาจทุกคน พร้อมใจกันยืนขึ้น”

                ทั้งสามหันไปมองด้านหลังกำแพงชั้นแรก นักรบดาร์คเนสดีวิลจำนวนมากกำลังยืนตั้งแถวอย่างเป็นระเบียบ แต่ละคนสวมชุดเกราะสีดำเต็มตัว แบบเดียวกับกัปตันมาซูล มือขวาถือหอกสามง่ามเหล็กสีดำ หลังสะพายโล่ขนาดย่อม ลักษณะคล้ายปีกค้างคาว ซึ่งมีช่องให้ใส่ลูกศรแทนกระกระบอกลูกศร สามารถแขวนหน้าไม้ติดสปริงได้ด้วย เข็มขัดมีดาบคาดอยู่สองเล่ม หมวกเกราะสีดำที่พวกเขาสวมนั้นเป็นแบบเดียวกับของกัปตันมาซูล ต่างกันแค่ไม่มีหนังจิ้งจอกหิมะประดับบนยอดหมวก นักรบปีศาจเหล่านี้แทบไม่มีอะไรเหมือนนักรบในสมัยของไพรม์ดีวอเชอร์เลย แต่ละคนเป็นหนุ่มรุ่นใหม่ อายุน้อย ไฟแรง กระตือรือร้น มุ่งมั่นตั้งใจ มั่นใจในพลังของตนเอง

          “หมดสมัยของนักรบดาร์คเนสดีวิลธรรมดาๆ แล้ว” โซลิแทร์พูด “พวกเขาคือดีเซ็นทรี นักรบปีศาจคุณภาพสูง เลือดใหม่ ความสามารถใหม่ มีพร้อมทั้งฝีมือ อาวุธครบ ชุดเกราะที่แข็งแกร่ง และสติปัญญาที่เปี่ยมไปด้วยความสร้างสรรค์”

                พวกดีเซ็นทรีค่อยๆ กระจายแถวกันออกไปอย่างเป็นระเบียบ แทบทุกคนอ่อนวัยกว่าโซลิแทร์กันทั้งนั้น มีน้อยมากที่จะรุ่นราวคราวเดียวกันหรือสูงวัยกว่า จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่โซลิแทร์ผู้ซึ่งยังอายุน้อย จะเป็นผู้บัญชากองทัพสูงสุด ในเมื่อแต่ละคนในกองทัพล้วนแต่มีอายุน้อยกว่า ทำเอาเซซิลและกัปตันมาซูลกลายเป็นคนแก่ไปเลยทีเดียว

          “นักรบปีศาจสมัยนี้ ดูจะเด็กลงทุกวันๆ” กัปตันมาซูลพูด

          “ปีศาจสมัยนี้โตเร็ว” เซซิลบอก “เราปฏิเสธไม่ได้ว่าคนรุ่นหลังจะฉลาดและมีความสามารถมากขึ้นเรื่อยๆ หากได้รับการสนับสนุนที่ดี”

          “สงครามมักทำให้คนเราฉลาดขึ้นและเก่งขึ้น แต่ข้าไม่คิดว่ามันเป็นการสนับสนุนที่ดีนักหรอก” โซลิแทร์กล่าวเสียงเย็น “กัปตันมาซูล ท่านช่วยถอยหลังไปสักสองสามก้าวที อาจารย์เซซิลขยับมาทางนี้ด้วย”

          “ทำไมหรือ---เฮ้!”

                เอเลนเซฟเวอรี่ตัวหนึ่งบินมาทิ้งกล่องไม้ใบใหญ่ลงบนเชิงเทินแทบเท้าโซลิแทร์พอดิบพอดี กล่องไม้แตกและกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยแรงกระแทก หากกัปตันมาซูลและเซซิลไม่ขยับหลบตามที่โซลิแทร์บอก ป่านนี้คงได้ลงไปนอนสลบกับกองเศษไม้แล้ว

                “นั่นท่านเรียกว่าการส่งพัสดุหรือ” กัปตันมาซูลโวยวาย ชี้ไปที่เจ้าเอเลนเซฟเวอรี่ที่บินจากไป “เมื่อไหร่กัน ที่ท่านใช้สัตว์ร้ายประเภทนี้เป็นคนส่งของ”

                “ใจเย็นๆ สหาย อย่าได้ถือสา พวกมันเป็นสัตว์ร้ายจอมทำลายล้าง ไม่คุ้นเคยกับความนุ่มนวล” โซลิแทร์คุกเข่าลงไปคุ้ยหาของในซากกล่องไม้ที่พังเป็นชิ้นๆ “แต่พวกมันบินได้เร็ว จึงสามารถนำของมาส่งได้ทันใจ”

                “ข้าคงไม่อยากให้มันเป็นคนส่งของให้แน่” เซซิลพูดอย่างขยาด “ถ้าเป็นของที่มีวัตถุระเบิดและสารเคมีเป็นส่วนผสม ป่านนี้เราสามคนคงกลายเป็นชิ้นๆ พร้อมกับกล่องใส่ของ”

                “นี่หรือ พัสดุจากเมืองฟรอทส์ดีวิลที่ท่านบอก” กัปตันมาซูลถาม

                “ใช่แล้ว จากช่างตีเหล็กมาร์คาร์” โซลิแทร์หยิบของชึ้นหนึ่งออกมา “นี่คืออะไร น่าจะเป็นอาวุธลับ เขาส่งตัวอย่างมาให้ข้าก่อน ของจริงจะตามมาอีกมาก หากมันเหมาะกับข้า”

                “มันก็เหมาะกับท่านทุกอย่างนี่ล่ะ ข้ายังไม่เคยเห็นใครขว้างปาสิ่งของได้เร็วและแม่นยำเท่าท่านมาก่อนเลย” เซซิลว่า “ท่านขว้างปาได้หมด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของขนาดเล็กหรือใหญ่ ข้าไม่รู้ว่าเป็นเพราะเลือดฟอเรสเทอร์ที่มีอยู่ในตัวท่านหรือไม่ ข้าไม่สามารถสรุปได้ว่ากรรมพันธุ์ส่งผลถึงพรสวรรค์ของท่านด้วยหรือเปล่า”

                “มีเลือดฟอเรสเทอร์แค่ห้าเปอร์เซ็นต์อยู่ในร่างกายของข้า ถ้าพรสวรรค์ส่งต่อกันทางกรรมพันธุ์จริง ข้าก็ไม่คิดว่ามันจะส่งมาถึงข้ามากนักหรอก” โซลิแทร์พูด “แต่ข้าคิดว่าการที่ข้าทำกิจกรรมยามเบื่อ ด้วยการนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง พร้อมกับปาเป้าใส่ประตูเล่นๆ มาตั้งแต่เด็กนั้น น่าจะเป็นที่มาของพรสวรรค์นี้มากกว่า”

                มันคืออาวุธลับจริงๆ ใบจักรสี่แฉกสีดำขนาดเล็กคมกริบ สะท้อนแสงแดดอยู่ในมือของโซลิแทร์ แต่ละแฉกของมันมีลักษณะคล้ายเขี้ยวปีศาจ

                “มันเคลือบพิษเหมือนกันหรือเปล่า” กัปตันมาซูลหยิบลูกศรสีดำที่มีหัวลูกศรเป็นสามง่าม ออกมาจากช่องโล่สะพายหลัง

          “เคลือบแน่นอน” โซลิแทร์เก็บใบจักรไว้ในกระเป๋าเสื้อนอกช่องหนึ่ง “ต้องขอบคุณท่านที่คิดค้นพิษชนิดนี้ขึ้นมาสโนว์ฟ็อกซ์ ลูกศรหน้าไม้ของดีเซ็นทรีทุกคนจึงมีพิษเคลือบไว้หมด ไม่จำเป็นต้องยิงใส่จุดสำคัญของศัตรู ก็สามารถฆ่าได้”  

          เขาก้มลงไปหาของต่อ แล้วหยิบกริชเล่มหนึ่งขึ้นมา ชักมันออกจากฝักสีดำ เป็นกริชสองคม ความยาวประมาณหนึ่งศอก ทุกส่วนของกริชเป็นสีดำสนิททั้งสิ้น โซลิแทร์เก็บมันเข้าฝักตามเดิม และประกอบฝักไว้กับเข็มด้านขวา

          “กริชเล่มนี้ทำจากชิ้นส่วนรถม้าศึกคันที่ดีที่สุดของไพรม์ดีวอเชอร์” เซซิลเอียงคอ

          “ท่านรู้ได้ยังไง” โซลิแทร์ถามอย่างสงสัย

          “ข้า เอ้อ! เป็นคนแรกที่รู้ว่ามันพัง”

          “แล้วท่านพอรู้ไหม ว่ารถม้าคันนั้นมันพังได้ยังไง น่าเสียดาย รถม้าศึกหิมะในตำนาน ข้าอยากเห็นมันสักครั้งในชีวิต เสียดายเกิดไม่ทัน มีเหตุทำให้มันพังยับไปเสียก่อน”

          “อย่างน้อย ไพรม์ดีวอเชอร์ก็ได้รถม้าศึกคันใหม่ที่ดีกว่าเดิม ข้าช่วยประกอบให้เขาด้วย”

          โซลิแทร์ก้มลงไปควานหาของชิ้นสุดท้าย แล้วจึงหยิบดาบสองคมเล่มยาวออกมาจากกองเศษไม้ ดาบถูกชักออกจากฝักสีดำ เป็นดาบยาวสำหรับใช้ถือด้วยสองมือ สีดำทั้งเล่ม ใบดาบคมกริบสะท้อนแสง กระบังดาบเป็นรูปปีกค้างคางสยายออก ด้ามดาบมีความยาวพอที่สองมือจะถือได้ และท้ายด้ามนั้นเป็นหัวค้างคาวแยกเขี้ยว โซลิแทร์เก็บดาบเข้าฝัก มันจะเป็นอาวุธหลักของเขา ดาบยาวสองมือ คืออาวุธที่เขาถนัดที่สุด

          “ความยาวพอเหมาะพอดีเลยว่าไหม มาร์คาร์ไม่เคยลืมว่าข้าเป็นคนแขนยาว” โซลิแทร์ประกอบมันไว้กับเข็มขัดด้านซ้าย “ทำจากชิ้นส่วนรถม้าของไพรม์ดีวอเชอร์เช่นเดียวกัน มันจึงมีความพิเศษ มีน้ำหนักเบา คมกริบ ไม่มีปัญหาเรื่องสนิม ฝุ่นละออง เลือด หรือแม้แต่น้ำไม่สามารถเกาะติดดาบเล่มนี้ได้”

          “ไม่เคยรู้ว่าท่านพกอาวุธมากขนาดนี้” กัปตันมาซูลมองโซลิแทร์ตั้งแต่หัวจดเท้า

          “อย่ากังวล ข้าไม่ได้พกให้แค่ดูโก้ๆ หรอก รับประกันได้ว่าข้าใช้ครบทุกชิ้นแน่” โซลิแทร์ขยับผ้าคลุมมาปิดร่างเหมือนเดิม มันคลุมมิดชิดจนมองไม่เห็นอะไรเลย “อาจารย์เซซิล ข้าว่าได้เวลาที่เราจะทดลองเครื่องยิงสักเครื่องแล้ว ข้าอยากเห็นการทำงานจริงๆ ของมัน”

          “เยี่ยม ข้าชอบการทดลอง” เซซิลหันไปสั่งการพวกดีเซ็นทรีที่ประจำอยู่ที่เครื่องยิงบนกำแพงที่ใกล้ที่สุด “บรรจุกระสุนใส่เครื่องยิง”

                ดีเซ็นทรีเหล่านั้นช่วยกันหมุนเฟืองง้างสปริงกลไก ปีกค้างคาวของเครื่องยิงค่อยๆ หุบลงตามการถูกง้างของสปริง กระสุนลูกโลหะลูกใหญ่ถูกใส่ลงไปในช่องกระสุนด้านหลังเครื่องยิง

          “ยิง” เซซิลเหวี่ยงมือทำสัญญาณ

                ดีเซ็นทรีคนหนึ่งดึงคันโยกที่เหมือนกับหางปลายลูกศรของปีศาจ ปีกค้างคาวของเครื่องยิงสยายดีดออก แล้วกระสุนก็ถูกดีดพุ่งออกไปจากปากค้างคาวปีศาจ เหินผ่านอากาศ ตกลงไปบนพื้นหิมะที่เห็นไกลๆ และระเบิดเป็นเปลวไฟสีเขียวเหมือนไฟของพวกเอเลนเซฟเวอรี่ มีสะเก็ดติดไฟพุ่งกระจายรอบทิศทางเป็นวงกว้าง หิมะบริเวณนั้นละลายเหลว ไอน้ำจากความร้อนลอยโขมง หิมะบางส่วนลุกเป็นไฟเพราะเชื้อเพลิงเหลวในกระสุนยังเผาไหม้ไม่หมด ระยะการตกของกระสุนนั้น บอกให้รู้ว่าเครื่องยิงมีแรงส่งกระสุนไปได้ไกลมากๆ

          “นี่ยังไม่ถือว่าไกลที่สุด เราสามารถปรับให้มันยิงได้ไกลกว่านี้ ไกลกว่าปืนใหญ่ของพวกมนุษย์” เซซิลบรรยายสรรพคุณ “สำหรับกระสุนของมัน ข้าเสริมอานุภาพการทำลายของมัน ด้วยเพลิงปีศาจชนิดเดียวกับไฟของพวกเอเลนเซฟเวอรี่ สะเก็ดที่ท่านเห็นมันกระจายออกมาตอนระเบิดก็คือสะเก็ดดาวตกแบบเดียวกับที่พวกเอเลนเซฟเวอรี่พ่นออกมา ข้าเรียกกระสุนชนิดนี้ว่า กระสุนเพลิงปีศาจ

          “ท่านจะเรียกมันว่าอะไรก็แล้วแต่ท่าน อาจารย์เซซิล แต่ข้าขอบอกว่ามันยอดเยี่ยมมาก” โซลิแทร์มองเปลวไฟสีเขียวที่ลุกโชนอยู่ไกลๆ อย่างพออกพอใจ “ดูเหมือนว่าอะไรก็ตามที่จะล้ำเส้นเข้ามารุกรานเรา จะต้องเผชิญกับนรกที่คาดไม่ถึงเสียแล้ว”

          “ยุคใหม่ อาวุธใหม่ ปีศาจรุ่นใหม่ ความคิดใหม่ๆ” กัปตันมาซูลสูดหายใจอย่างชื่นบาน “ชอบยุคนี้เป็นบ้า เผ่าพันธุ์อ่อนแออย่างเราค่อยๆ เปลี่ยนเป็นผู้เข้มแข็ง”

          “และจะเข้มแข็งมากกว่านี้อีก” โซลิแทร์เก็บเศษซากกล่องไม้จากพื้นเชิงเทินเพื่อนำไปทิ้ง จะเป็นผู้นำสูงสุดหรือไม่ ดาร์คเนสดีวิลทุกคนต้องเก็บกวาดสิ่งที่ตนทำเลอะไว้เสมอ “พวกมนุษย์จะเป็นพวกแรกที่รู้”

 

************************

 

               

          ค่ายทหารและฐานทัพใหญ่ประจำเมืองซาโมโรว์นั้นไม่ได้มีขนาดใหญ่หรือแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ไม่ได้เน้นที่ความมิดชิด ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เปิด แต่เมืองนี้มีฐานทัพย่อยและค่ายย่อยกระจายอยู่ทั่วเมือง ทำให้สามารถจัดส่งกองกำลังได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว หากค่ายแห่งใดในเมืองถูกข้าศึกโจมตีจนต้านทานไม่ไหว ค่ายที่อยู่ใกล้ๆ ก็จะส่งกำลังไปสนับสนุน กลยุทธ์นี้เน้นความคล่องตัวในการจัดส่งกองกำลัง มากกว่าปักหลักตั้งรับอยู่กับที่ เป็นกลยุทธ์ที่เผ่าพันธุ์ซึ่งชอบเป็นฝ่ายบุกโจมตีผู้อื่นอย่างพวกมนุษย์ถนัดนัก อีกทั้งเดิมทีพวกเขาก็มีอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลเป็นเกราะป้องกันขวางหน้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำให้ซาโมโรว์รั้วรอบขอบชิดนัก ไม่อย่างนั้นจะจัดส่งกองกำลังไปไหนมาไหนไม่สะดวก

          แต่ใครจะไปนึกว่าเทอร์ริน เฮนิเคม ผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อคตัวแสบ จะอาศัยเรื่องนี้เป็นช่องว่างในการส่งกบฏโฮเซ่เข้ามาในเมืองซาโมโรว์ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นอาวุธชีวภาพ เสมือนให้พวกกบฏเป็นโรคร้ายเข้ามาแพร่กระจายในเมืองหน้าสำคัญของพวกมนุษย์ พวกโจรป่าโจรภูเขาที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองก็เข้าร่วมกับพวกกบฏเพื่อสนับสนุนกันและกัน ร่วมกันปล้น ลักพาตัว สร้างความวุ่นวายต่างๆ นาๆ ในเมืองหนักขึ้นทุกวัน จึงเป็นหน้าที่ของเจ้าเมืองริฟเฟอร์และเจ้าชายอโลบัสที่ต้องมานั่งปรึกษากันอยู่ในปราสาทบัญชาการใหญ่ประจำเมือง เพื่อหาวิธีแก้ปัญหา

          “พวกมันปล้น ทำลาย จับเชลย ชิงเสบียงทรัพยากร” ริฟเฟอร์ไล่นิ้วไปรอบๆ แผนที่ “พวกมันรวมตัวกันเป็นกลุ่มเดียว ทั้งกบฏโฮเซ่ พวกโจรป่าโจรภูเขาในเมือง รวมทั้งพวกนอกกฎหมายจากพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งทำให้พวกมันมีจำนวนมากกว่าที่ข้าคิดไว้มากทีเดียว”

          “พวกกบฏโฮเซ่ยังไงก็มีจำนวนเท่าเดิม ไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ สิ่งที่ทำให้พวกนั้นเพิ่มจำนวน ก็คือพวกนอกกฎหมายจากเผ่าพันธุ์เรานี่ล่ะที่ไปเข้าร่วมด้วย” อโลบัสพูดเรียบๆ “แสดงให้เห็นว่า พื้นที่บริเวณนี้มีอาชญากรและพวกนอกกฎหมายมากมายแค่ไหน”

          “ผลกระทบจากสงคราม กฎหมายอันไม่ยุติธรรม ความเหลื่อมล้ำทางสังคม การครอบงำของลัทธิวัตถุนิยม การทุจริตฉ้อฉลของชนชั้นปกครอง ระบบราชการที่ล้มเหลว ทั้งหมดนี้มีอยู่เต็มไปหมดในสังคมมนุษย์ เจ้าชาย” ริฟเฟอร์ตอบ “ซึ่งมันก็ส่งผลให้คนธรรมดากลายเป็นอาชญากร เมื่อเป็นคนดีแล้วมันอยู่ในสังคมลำบาก คนจำนวนมากจึงเลือกที่จะเป็นคนเลว เหยียบหัวคนอื่นเพื่อขึ้นสูง นี่คือธรรมชาติของเผ่าพันธุ์มนุษย์”

          “ช่างเป็นเผ่าพันธุ์ที่น่าสมเพช” อโลบัสพึมพำส่ายหน้า

          “เราพอทราบว่า พวกมันกำลังสร้างค่ายเป็นหลักเป็นแหล่ง และรวมตัวกันอยู่ที่นั่น” ริฟเฟอร์พูดต่อ ไม่ได้ยินประโยคล่าสุดของอโลบัส “เรายังไม่รู้ตำแหน่งของค่ายนั่น รู้เพียงว่าอยู่ในป่า เราควรรีบหาตำแหน่งให้เจอและนำกำลังเข้าปราบปราบ ก่อนที่ค่ายพวกมันจะสมบูรณ์ ไม่อย่างนั้น ค่ายจะแข็งแกร่งจนโจมตีลำบากขึ้น”

          “ท่านพูดมามีเหตุผล” อโลบัสยอมรับ “แต่ข้าคิดว่า จะเป็นการดีกว่าหากเราปล่อยให้พวกกบฏสร้างค่ายให้สมบูรณ์ ให้พวกนั้นทุกคนไปรวมตัวกันที่นั่น เราจะได้ค้นหากบฏทุกคนได้ในที่เดียว ง่ายต่อการถอนรากถอนโคน ไม่ให้กบฏกลุ่มใหม่เกิดขึ้นมาอีกในพื้นที่อื่น”  

          “เป็นความคิดที่ดี” ริฟเฟอร์ชม “พระราชามอบหมายให้ท่านเป็นผู้บัญชาการภารกิจนี้ เราจะดำเนินไปตามวิธีของท่าน ระหว่างนี้พวกกบฏคงจะไม่อยู่เฉยๆ พวกมันคงจะออกล่าแรงงานและทรัพยากรไปสร้างค่าย ท่านคิดว่าเราควรป้องกันอย่างไร”

          ก่อนที่อโลบัสจะตอบ ประตูห้องก็ถูกเคาะ แล้วชายหนุ่มผมแดง ร่างใหญ่ ใบหน้าเป็นสี่เหลี่ยม มีเคราเล็กน้อย ก็เปิดเข้ามาทำความเคารพทั้งสอง เขาสวมเกราะหนาสีแดงเต็มตัว อกเสื้อเกราะมีตราสัญลักษณ์ราชสีห์สวมมงกุฎ เป็นตราสัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์มนุษย์ ตราสัญลักษณ์ที่ว่านี้มีอยู่บนอกเสื้อเกราะของริฟเฟอร์และอโลบัสเช่นกัน

          “สวัสดีทุกท่าน” ชายคนนั้นกล่าวทักทาย

          “ท่านเจ้าเมืองริฟเฟอร์” อโลบัสแนะนำ “นี่คือกัปตันเท็มเปิล”

          “ท่านเจ้าเมือง” กัปตันเท็มเปิลจับมือกับริฟเฟอร์ ยิ้มอวดฟันขาว ท่านอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับข้าบ้างแล้ว ข้าเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการกองทัพหลวง เป็นที่ปรึกษาของเจ้าชายอโลบัส หรือเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่าผู้ชี้แนะก็ว่าได้ ข้ารับหน้าที่นี้แทนเจ้าคนแคระทรารุค สเคมโนส ซึ่งก็ทำได้ดีกว่ามากทีเดียว”

          อโลบัสเงียบเฉย ไม่แสดงท่าทีอะไร แต่แน่นอนว่าเขาไม่พอใจกับคำว่าผู้ชี้แนะเอามากๆ ที่ผ่านมานี้พระราชาให้กัปตันเท็มเปิลมาเป็นผู้ดูแลเขา คอยบอกให้เขาทำสิ่งที่มนุษย์ควรทำ ซึ่งเขาก็ไม่เต็มใจเสียส่วนใหญ่ ยิ่งกัปตันเท็มเปิลเป็นคนที่มีนิสัยมนุษย์สูง ทั้งชอบบงการ โอ้อวด หยิ่งผยอง และดูถูกคนที่ด้อยกว่า ยังดีที่กับอโลบัสนั้นกัปตันเท็มเปิลค่อนข้างเกรงใจ เนื่องด้วยเป็นโอรสคนเดียวของพระราชา และเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งกษัตริย์ในอนาคต

          “ข้าย่อมรู้จักท่านดี ท่านเป็นผู้บัญชาการที่เก่งกาจ พระราชากล่าวชมท่านบ่อยๆ” ริฟเฟอร์กล่าวชมตามมารยาท “กองทหารของท่านไม่เคยแพ้พวกโฮเซ่เลย”

          “จริงอย่างที่พระองค์กล่าวทุกประการ” กัปตันเท็มเปิลไม่คิดจะถ่อมตัว “ซึ่งในตอนนี้ พระองค์ก็ได้มอบหมายให้ข้าเป็นผู้นำทัพไปปราบพวกดาร์คเนสดีวิลที่กำลังแข็งข้อ งานถนัดเลย ปีศาจพวกนั้นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ควรสั่งสอนให้เข็ดหลาบ เสียดายที่ท่านติดภารกิจอื่น ไปด้วยกันไม่ได้นะเจ้าชาย นี่เป็นโอกาสที่จะสร้างอีกหนึ่งความรุ่งโรจน์”

          “ความรุ่งโรจน์ที่สร้างด้วยการข้ามไปรุกรานเหยียบย่ำผู้อื่น ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ” อโลบัสพูดเรียบๆ

          “ท่านก็เป็นอีกคนหรือ ที่ไม่เห็นด้วยกับการปราบปราบพวกดาร์คเนสดีวิล เช่นเดียวกับพวกไอวิวรี่ญาติของท่าน” กัปตันเท็มเปิลหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “แต่มนุษย์ที่เหลืออีกนับไม่ถ้วนกลับเห็นด้วยกับข้าและพระราชา คิดเอาเองก็แล้วกันว่าใครผิดใครถูก”

          “ผิดถูกไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวน หากแต่ขึ้นอยู่ที่มุมมองของแต่ละคน” อโลบัสกล่าวอย่างไร้ความรู้สึก “ที่ผ่านมา ข้าทำหน้าที่ในสงครามตามที่ได้รับมอบหมาย คว้าชัยชนะและความรุ่งโรจน์มากมาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะมองว่ามันถูก ข้าเพียงแค่ทำในสิ่งที่พวกท่านมอบหมายให้ทำ และทำให้สำเร็จเท่าที่จะพอทำได้”

          “ตราบใดที่ท่านทำมันสำเร็จ แล้วมนุษย์ได้ความรุ่งโรจน์ มันก็สำคัญแค่ตรงนี้ล่ะ” กัปตันเท็มเปิลยิ้มร่า “ท่านเป็นคนมีความสามารถเจ้าชาย เมื่อท่านได้รับมอบหมายให้ปราบกบฏในเมืองนี้ ท่านก็จะทำมันสำเร็จ เช่นเดียวกับข้าที่จะพิชิตพวกดาร์คเนสดีวิลสำเร็จ ในอนาคตเมื่อเราสองคนได้รับมอบหมายให้ทำอะไรอีก เราก็จะทำมันสำเร็จอีก”

          “สำหรับข้า การทำในสิ่งที่อยากทำ แล้วทำสำเร็จ ถึงจะเรียกว่าประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง” อโลบัสพูด

          “หรือ งั้นท่านอยากทำอะไรล่ะ”

          “ข้าไม่ทราบ” อโลบัสส่ายหน้า

          “ทำตัวแปลกๆ เหมือนเดิม” กัปตันเท็มเปิลพึมพำ แล้วหันไปหาริฟเฟอร์ ไม่ใส่ใจอโลบัสเพราะชินกับกิริยาแปลกๆ นี้แล้ว “ท่านเจ้าเมืองริฟเฟอร์ ข้ามาแนะนำตัวกับท่านอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งแจ้งให้ทราบว่าข้าจะเคลื่อนทัพหลวงผ่านเมืองท่าน เพื่อเดินทัพไปโจมตีพวกดาร์คเนสดีวิล หวังว่าท่านจะอำนวยความสะดวกให้เราได้ เมื่อถึงเวลานั้น”

          “ด้วยความยินดี เป็นประโยชน์แก่เราเสียด้วย” ริฟเฟอร์พอใจ “ข้าจะกระจายข่าวให้ทราบทั่วเมืองว่าทัพหลวงจะเคลื่อนผ่านเมืองนี้ พวกกบฏโฮเซ่จะได้หนีไปซ่อนตัวรวมกันอยู่ในค่ายของพวกมัน เราจะได้กำจัดพวกมันทีเดียว ตามแผนของเจ้าชายอโลบัส”

          “แน่นอน เขาอาจทำตัวแปลกๆ มีความคิดแปลกๆ ชวนให้เข้าใจยาก แต่เขามีความคิดที่ฉลาดล้ำเสมอ” กัปตันเท็มเปิลจับบ่าอโลบัสที่นั่งนิ่งเฉย “คนเก่งจริงมักจะเอาแต่เงียบเฉยแบบเขาล่ะ จริงไหมเจ้าชาย ท่านไว้ใจเขาได้ ท่านเจ้าเมืองริฟเฟอร์ ทุกครั้งที่ทำภารกิจ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ เขาก็จะพยายามทำจนสำเร็จเสมอ”

          “อาจเป็นเพราะข้าไม่มีทางเลือก” อโลบัสกล่าวเรียบๆ

          วินาทีนั้น ทหารมนุษย์คนหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาในห้อง รีบร้อนมากจนลืมเคาะประตู ใบหน้าขาวซีด เหงื่อโชกหน้า กัปตันเท็มเปิลและริฟเฟอร์สะดุ้ง แต่อโลบัสไม่ตกใจ สมาธิของเขานิ่งมาก สมกับบุคลิกอันสุขุมเยือกเย็นตลอดเวลา

          “เรียนเจ้าชายอโลบัส เจ้าเมืองริฟเฟอร์” ทหารหอบไปรายงานไป “พวกกบฏโฮเซ่บุกเข้าไปโจมตีหมู่บ้านในเมืองของเรา สามหมู่บ้านพร้อมกัน บรรดาทหารรักษาหมู่บ้านกำลังแย่ ฝ่ายตรงข้ามมีมากเกินไป”

          อโลบัสไม่พูดอะไร นอกจากสวมผ้าคลุมสีแดงทอง แล้วหยิบดาบสองคมเล่มยาวมาคาดเอวอย่างใจเย็น

          “พวกมันเข่นฆ่าทหาร เผาบ้านและโรงนา เผาทุ่งนาและหุ่นไล่กาทุกตัวด้วย” ทหารรายงานเสริม “เสบียงและพืชผลถูกยึดไปมากมาย”

          “เจ้าเมืองริฟเฟอร์ ให้อัศวินยี่สิบคนเตรียมอาวุธและม้าให้พร้อม” อโลบัสสั่งการ “เราจะเคลื่อนกำลังพลไปช่วยหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ที่สุด และส่งข่าวไปยังบรรดาฐานทัพย่อยที่อยู่ใกล้หมู่บ้านอีกสองแห่งด้วย ให้ฐานทัพย่อยเหล่านั้นส่งกองกำลังไปช่วยหมู่บ้านทั้งสอง”

          “ท่านต้องการอัศวินแค่ยี่สิบคนเท่านั้นหรือ” ริฟเฟอร์ถามอย่างไม่มั่นใจ

          “เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว” อโลบัสสวมเกราะให้กับร่างกายส่วนที่เหลือ “ส่วนท่าน ข้าอยากให้เฝ้าอยู่ที่นี่ คอยระวังฐานทัพใหญ่ของเราไว้ ข้าคิดว่าการที่หมู่บ้านทั้งสามถูกโจมตีนั้นน่าสงสัย เป็นไปได้ว่าจุดประสงค์ของการโจมตีหมู่บ้านทั้งสามนี้ พวกกบฏต้องการลวงให้เรายกพลออกจากฐานทัพ เพื่อพวกนั้นจะได้บุกเข้ามาโจมตีกองบัญชาการใหญ่”

          “รอบคอบ” ริฟเฟอร์พยักหน้าชม “ข้าจะนำคำสั่งไปบอกพวกอัศวินเดี๋ยวนี้”

          “ต้องการให้ข้าช่วยไหม” กัปตันเท็มเปิลถามอโลบัส

          “ท่านช่างกรุณา แต่โปรดอย่าลำบากเลย ท่านมีภารกิจของท่าน ข้าสามารถจัดการตรงนี้ได้” อโลบัสปฏิเสธอย่างสุภาพ

          “แน่นอน ข้ามั่นใจว่าท่านจัดการได้เหมือนเคย” กัปตันเท็มเปิลยิ้ม “มันเป็นภารกิจของท่าน ข้าไม่เข้าไปก้าวก่าย ขอให้โชคดีเจ้าชาย”

                ห้านาทีต่อมา อโลบัสก็เดินออกมาจากอาคารบัญชาการใหญ่ พร้อมกับเครื่องแบบนักรบครบชุด เขาสวมชุดเกราะเหล็กขนาดพอดีตัวสีแดงทอง มีตราสัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่กลางอกเสื้อเกราะ ติดผ้าคลุมยาวสีแดงทองที่หลัง มันปักลายสัญลักษณ์อย่างเดียวกัน ดาบสองคมเล่มยาวสีเงินคาดอยู่ที่เข็มขัด ฝักดาบก็มีตราสัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์มนุษย์เช่นกัน แม้อโลบัสจะมีท่าทางเยือกเย็นเรียบเฉยไร้ความรู้สึก แต่ก็พอสังเกตได้ว่าเขาไม่ภูมิใจกับเครื่องแบบที่สวมอยู่นัก

          “อัศวินฝีมือดียี่สิบคนจะไปกับท่าน เจ้าชาย” ริฟเฟอร์เดินเร็วๆ เข้ามารายงาน “ทุกอย่างพร้อมแล้ว”

                อัศวินยี่สิบคน สวมเกราะหนาสีแดงทอง ติดอาวุธครบชุด กำลังสวมอานให้ม้าพันธุ์ดียี่สิบตัว เครื่องแบบที่พวกอัศวินสวมใส่อยู่นี้ทำให้ดูแตกต่างจากทหารราบธรรมดาอย่างมาก เกราะหนากว่า ทนทานกว่า และราคาสูงกว่า หมวกเกราะอัศวินก็มีพู่สีแดงประดับบนยอดหมวก ขณะที่พวกทหารราบไม่มีพู่บนหมวกเกราะเลย ชุดเกราะของพวกเขาธรรมดาเรียบง่าย แต่ก็ยังมีตราสัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์อยู่ที่อกเสื้อเกราะ

          “นี่” ริฟเฟอร์จูงม้าสีน้ำตาลพันธุ์ดีตัวหนึ่ง แล้วส่งบังเหียนให้อโลบัส “ม้าพันธุ์ดีแห่งซาโมโรว์ มันจะช่วยพาท่านไปปราบกบฏได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับอัศวินยี่สิบนายนี้”

          “ขอบคุณ” อโลบัสปีนขึ้นไปนั่งบนอานม้า หันไปหาพวกอัศวินซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้าเรียบร้อยแล้ว แต่ละคนถือทวนทรงกรวย ที่มีริ้วธงสัญลักษณ์รูปราชสีห์สวมมงกุฎผูกอยู่ที่ปลายทวน มืออีกข้างถือบังเหียนเตรียมพร้อม

          “ปกป้องชาวเมืองของข้าด้วย ขับไล่พวกกบฏไปให้พ้นจากหมู่บ้าน” ริฟเฟอร์พูด

          อโลบัสสะบัดบังเหียน ม้าของเขาควบทะยานไปข้างหน้า อัศวินทั้งยี่สิบนายควบตามไปอย่างเป็นระเบียบ ริฟเฟอร์มองตามผมสีบลอนด์ขาวสว่างของอโลบัส ที่ปลิวไสวเป็นคลื่นสวยงามตามแรงควบของม้า ท่าทางของเจ้าชายหนุ่มยังคงเยือกเย็นไร้ความรู้สึกทุกสถานการณ์

          “เขาเบื่อหน่ายกับภารกิจที่ทำอยู่ทุกๆ วันหรือเปล่าหนอ” ริฟเฟอร์พึมพำ “ยิ่งนานวัน ยิ่งดูไร้อารมณ์ความรู้สึก”

 

*************

 

                อโลบัสควบม้านำกลุ่มอัศวินทั้งยี่สิบไปตามถนนโรยกรวดด้วยความเร็วสูง ถนนสายนี้จะนำพาพวกเขาไปสู่หมู่บ้านที่ใกล้ที่สุด ม้าทั้งยี่สิบเอ็ดตัววิ่งเต็มฝีเท้า เสียงกรีดร้อง เสียงปืน และเสียงอาวุธกระทบกันเริ่มจะดังมาเข้าหู แมกไม้ที่เห็นอยู่ตรงหน้าเริ่มเบาบางลง ในที่สุด อโลบัสก็เห็นรั้วหมู่บ้านอยู่ไกลๆ บ้านหลายหลังถูกไฟเผา ทหารมนุษย์จำนวนน้อยนิดกำลังต่อสู้กับพวกกบฏโฮเซ่ที่มีจำนวนมากกว่าอย่างลำบากยากเย็น ขณะที่พวกกบฏอีกจำนวนหนึ่งกำลังบุกเข่นฆ่าคนในหมู่บ้านและวางเพลิงอย่างไม่ปรานีปราศรัย บางคนก็กวาดต้อนผู้หญิงและเด็กไปเป็นตัวประกัน ในขณะที่พวกชายฉกรรจ์ต่างจับอาวุธเข้าต่อสู้ หรือไม่ก็คุกเข่าอ้อนวอนให้พวกกบฏปล่อยลูกเมียของพวกเขาไป ในการต่อสู้ระยะประชิดเช่นนี้ ปืนยาวของพวกทหารมนุษย์ดูจะไร้ประโยชน์ พวกเขายิงไปได้แค่หนึ่งนัด ก่อนจะโยนทิ้งและชักดาบออกมา

          “เราจะบุกเข้าไปช่วยหมู่บ้าน” อโลบัสชักดาบมาถือไว้ในมือขวา ดาบยาวสองมือคืออาวุธประจำกายของเขา และเขาก็สามารถถือมันได้ด้วยมือเดียว “เดี๋ยวนี้”

                ม้าทั้งยี่สิบเอ็ดตัวเร่งความเร็วเต็มฝีเท้า มุ่งหน้าเข้าสู่หมู่บ้านราวกับกระสุนปืนใหญ่ อโลบัสชี้ปลายดาบสีทองไปข้างหน้าพร้อมกับพูดเสียงเรียบๆ เย็นๆ แต่ได้ยินกันทั่วถึง ราวกับมีอำนาจลึกลับในเสียง

          “โจมตี”

                ม้าของเขากระโดดข้ามรั้วหมู่บ้านพร้อมกับม้าตัวอื่น และทะยานเข้าหาพวกกบฏอย่างรวดเร็วสง่างาม

                พวกกบฏที่รวมกลุ่มกันอยู่ต่างถูกม้าของอโลบัสชนกระเด็นคอหักตายไปตามๆ กัน อโลบัสก็ใช้ดาบฟาดฟันพวกกบฏทุกคนที่ขนาบอยู่ด้านข้าง ฝีมือการฟันดาบของเขาเฉียบขาดและว่องไวมาก พวกอัศวินต่างใช้ทวนแทงสังหารพวกกบฏ ขณะที่ม้าของพวกเขาวิ่งไปเหยียบพวกกบฏที่นอนบาดเจ็บอยู่บนพื้นให้ตายสนิท อัศวินบางคนใช้มือซ้ายชักดาบออกมาฟันใส่ศัตรูทางด้านซ้าย ส่วนมือขวาใช้ทวนแทงสังหารศัตรูที่อยู่ทางด้านขวา นั่นเป็นความสามารถที่น่าสนใจของพวกเขา

          “พวกเจ้า” กบฏคนหนึ่งตะโกนบอกพรรคพวก “อย่าไปสนใจพวกชาวบ้าน มาช่วยกันจัดการพวกอัศวินมนุษย์เร็ว พวกเรามีจำนวนมากกว่า ไม่ต้องไปกลัวพวกมัน”

                พวกกบฏต่างวิ่งออกมารวมกลุ่มกัน  มุ่งเป้าหมายไปที่อัศวินยี่สิบคน และเจ้าชายมนุษย์อีกหนึ่งคน ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวในเมื่อฝ่ายตนมีมากกว่าตั้งเยอะ ดังนั้น พวกกบฏทั้งหมดในพื้นที่จึงบุกเข้าไปโจมตีอโลบัสและเหล่าอัศวินทั้งยี่สิบคนพร้อมๆ กัน

                การปะทะรุนแรงเริ่มขึ้น อัศวินคนหนึ่งถูกอาวุธฟันตกหลังม้าตาย อีกสองคนได้รับบาดเจ็บแต่ก็ยังพอรบไหว กบฏสามคนถืออาวุธและวิ่งเข้าใส่อโลบัส ก่อนจะกระเด็นกลับออกมาพร้อมกับศีรษะที่หลุดจากบ่า แม้ว่าพวกกบฏจะมีจำนวนมากกว่า แต่ก็เสียเปรียบเรื่องพาหนะ อโลบัสและเหล่าอัศวินของเขาคอยขับม้าเข้าสลายกลุ่มพวกกบฏ ไม่ให้รวมกลุ่มกันได้

          “เอาปืนมายิงพวกมันให้พรุนไปเลยสิ” กบฏคนหนึ่งตะโกนสั่งอย่างอดรนทนไม่ไหว

                กบฏสามคนวิ่งไปคว้าปืนยาวจากศพของพวกทหารมนุษย์บนพื้นดิน แล้ววิ่งกลับมาตั้งแถว เล็งปืนทั้งสามกระบอกไปที่อโลบัส ผู้ซึ่งชี้ดาบในมือสวนกลับไป

                กลุ่มไอน้ำแข็งเย็นจัดพุ่งออกจากปลายดาบของอโลบัสด้วยลักษณะคล้ายดาวหาง ทิ้งไอควันสีขาวไว้ข้างหลังเป็นทางยาว มันพุ่งเข้าใส่กบฏทั้งสามคนด้วยความเร็วสูง ร่างทั้งสามกระเด็นกระจัดกระจาย เปลี่ยนสภาพเป็นน้ำแข็งกลางอากาศเพราะความเย็นจัด แล้วตกลงบนพื้นแตกละเอียดเป็นผุยผงราวกับถูกน้ำแข็งกัดมานาน อัศวินคนหนึ่งหันมามองอโลบัสอย่างทึ่งจัด

          “เรารู้ว่าท่านเป็นพวกเลือดพิเศษ” เขาพูด “แต่ไม่รู้มาก่อนว่าเป็นพวกธาตุน้ำแข็ง เรานึกว่าท่านจะเป็นพวกธาตุไฟ เหมือนพระราชบิดาของท่านเสียอีก”

          “ข้าไม่เหมือนพระราชา” อโลบัสชี้ปลายดาบไปที่พวกกบฏอีกกลุ่ม และจัดการกับพวกนั้นด้วยความสามารถพิเศษนี้อีกครั้ง

                หลังจากต่อสู้กันสักพัก พวกกบฏก็ตระหนักแล้วว่านักรบกลุ่มนี้ต่อกรยากกว่าที่คิด ไม่ควรประมาทตั้งแต่แรกเลย อย่างน้อยก็น่าจะคิดได้ก่อนว่า แม้อีกฝ่ายจะมีจำนวนน้อยกว่า แต่ก็เป็นทหารม้ากันทุกคน ซึ่งทหารราบอย่างพวกตนนั้นย่อมเสียเปรียบทหารม้าเป็นธรรมดา ดังนั้นพวกกบฏที่เหลือจึงยอมแพ้ล่าถอยออกจากหมู่บ้านก่อนจะถูกกำจัดกันหมด

                หมู่บ้านเริ่มสงบลง ชาวบ้านหลายคนร่ำไห้กับการตายของสมาชิกในครอบครัว พวกทหารที่มีหน้าที่เฝ้าดูแลหมู่บ้านก็บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก มีศพของพวกกบฏโฮเซ่ประปรายอยู่บนพื้น เลือดของพวกนี้เป็นสีขาวคล้ายยางไม้ เนื่องจากเป็นเผ่าพันธุ์ใกล้เคียงกับพืช อโลบัสและอัศวินทุกคนลงจากหลังม้า ชาวบ้านหลายคนเข้ามาทำแผลให้กับอัศวินสองคนที่ได้รับบาดเจ็บ ชาวบ้านชายคนหนึ่งถือกระบอกใส่น้ำมาให้อโลบัสดื่ม แต่เขากลับปฏิเสธ ทั้งที่ใช้แรงไปกับการสู้รบและใช้ความสามารถพิเศษไปมาก ราวกับร่างกายไม่ต้องการน้ำ พวกอัศวินคนอื่นๆ เหงื่อโชกหายใจหอบ ขณะที่ตัวเขาไม่มีเหงื่อออกสักหยด และไม่หายใจหนักด้วย หากสังเกตดูดีๆ แล้ว ยิ่งดูเหมือนว่าไม่ได้หายใจอยู่ด้วยซ้ำ แค่ดูเหนื่อยๆ

          “ขอบคุณมากเจ้าชาย ที่มาช่วยเรา” ชาวหมู่บ้านที่นำน้ำมาให้อโลบัสกล่าว พร้อมกับรอยยิ้มอันแสนเศร้า

          “ข้าเพียงทำตามหน้าที่อันได้รับมอบหมาย” อโลบัสพูดเรียบๆ อย่างไร้ความรู้สึก

                พวกทหารและอัศวินช่วยกันเดินตรวจตราดูความเสียหายที่เกิดแก่หมู่บ้าน พวกชาวบ้านต่างช่วยกันลากศพพวกกบฏโฮเซ่มากองรวมกัน เตรียมเผาทิ้ง อีกส่วนหนึ่งก็นำศพของพวกมนุษย์มาวางเรียงกันเพื่อจะนำไปประกอบพิธีต่อ

          “ข้าชื่อแฮโรนิส” ชาวบ้านคนนั้นบอกกับอโลบัส

          “ยินที่ได้รู้จัก” อโลบัสพูด “ข้าชื่ออโลบัส”

          “พวกกบฏช่างโหดร้าย พวกมันทำร้ายแม้กระทั่งชาวบ้านธรรมดาอย่างเรา” แฮโรนิสพูด “ผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อคก็ช่างโหดร้ายที่ส่งพวกมันมาที่นี่”

          “แน่ล่ะ ข้าอาจไม่เห็นด้วยกับวิธีการของเขา แต่ข้ายอมรับว่าที่เขาทำนี้ก็เพราะมีเหตุผล เขาต้องการให้มนุษย์รับรู้ถึงสิ่งที่มนุษย์เคยทำกับเผ่าพันธุ์ของพวกเขา” อโลบัสพูดอย่างยุติธรรม “ทหารมนุษย์ไม่เคยปรานีคนฝ่ายของเขาเช่นกัน ไม่ว่าพลเมืองที่ไร้ทางสู้ ลูกเด็กเล็กแดง เรือประมงของพวกเขาก็มักถูกเรือรบมนุษย์โจมตีโดยไร้สาเหตุ หมู่บ้านโฮเซ่ก็มักถูกทหารมนุษย์บุกปล้น พลเมืองโฮเซ่ก็ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย มนุษย์น่ารังเกียจมากกว่าอีก เพราะทำในนามของทหารในสังกัดราชการ ได้รับการสนับสนุนให้กระทำสิ่งน่าอายนี้ จากทางราชการโดยตรง”

          “อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วผู้รับกรรมก็มักจะเป็นชาวบ้านพลเมืองที่แทบไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมืองทั้งนั้น” แฮโรนิสพูดอย่างไม่พอใจ

          “ผู้บริสุทธิ์มักเป็นผู้รับเคราะห์ทุกอย่าง ความยุติธรรมไม่เคยมีในดาวดวงนี้” อโลบัสกล่าวเรียบๆ “โดยเฉพาะทุกที่ที่มีมนุษย์อยู่”

          “ซึ่งตอนนี้ผู้รับเคราะห์ก็มีลูกเมียของข้ารวมอยู่ด้วย” แฮโรนิสตะโกนออกมาอย่างอดรนทนไม่ไหว หลายคนหันมามองเขา “ทำไมพวกเขาต้องรับผลกรรมจากสิ่งที่พวกนักรบก่อกันด้วย”

          อโลบัสจ้องมองน้ำตาที่ไหลพรูออกจากดวงตาของแฮโรนิส เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงความรู้สึกแปลกใจ

          “เจ้าร้องไห้” เขาพูดเสียงเบา

          “ลูกเมียข้าถูกกบฏจับตัวไป ข้าก็ต้องร้องไห้สิ”

          “ข้าเห็นน้ำตาไม่บ่อยนักหรอก” อโลบัสเอียงคอ ดูไร้ความรู้สึกอย่างไรพิกล “ข้าไม่เคยร้องไห้มาก่อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำได้หรือไม่”

          “แล้วมันสำคัญกับลูกเมียข้าด้วยหรือ”

          “ไม่หรอก” อโลบัสส่ายหน้า “ลูกเมียของเจ้าถูกจับตัวไปเมื่อไหร่”

          “พวกมันกวาดต้องเชลยไประหว่างโจมตีหมู่บ้าน ก่อนที่พวกท่านจะมาช่วยเราเดี๋ยวเดียวเท่านั้น” แฮโรนิสตอบ

          “คงไปได้ไม่ไกล” อโลบัสลุกขึ้นยืน “แล้วทำไมเจ้ากับคนอื่นๆ ไม่รีบบอกข้าว่าคนในหมู่บ้านส่วนหนึ่งถูกกวาดต้อนไป รีรออะไรอยู่”

          “เราเกรงว่าจะทำให้พวกท่านหงุดหงิดใจและไม่อยากช่วยเหลือเราเท่าไรนัก เราต้องทำดีกับพวกท่านเสียก่อน” แฮโรนิสชี้ไปยังเหล่าอัศวินของอโลบัส ที่แสดงออกว่าอยู่คนละระดับกับพวกชาวเมืองและทหารอย่างเห็นได้ชัด แน่ล่ะ ทหารมนุษย์ยศสูงมักจะชอบทำตัวเหนือพวกที่ฐานะต่ำกว่า แม้จะต่ำกว่าเล็กน้อยก็ตาม เนื่องจากพวกตนก็ต้องคอยก้มหัวให้ผู้ที่ฐานะสูงกว่าเช่นกัน จึงเป็นที่มาของคำว่า เหยียบย่ำกันเป็นทอดๆ  

          “ข้าไม่เหมือนพวกนั้น หรือมนุษย์คนใด จำไว้” อโลบัสบอกแฮโรนิสเสียงเย็น

          ว่าแล้วเขาเดินไปขึ้นม้าของตน หันไปทำสัญญาณมือบอกให้อัศวินที่เหลืออยู่สิบเก้าคนขึ้นม้าตามมา ทั้งหมดเคลื่อนพลอีกครั้ง

          ครั้งนี้พวกเขาไม่ขี่ม้าเร็วนักเพราะต้องคอยแกะรอยที่พื้น ร่องรอยพาพวกเขาเข้าไปในป่าโปร่งข้างๆ หมู่บ้าน เนื่องจากพวกเชลยเป็นผู้หญิงและเด็ก การเดินทางของพวกกบฏจับเชลยจึงไปได้ค่อนข้างช้า นั่นดีสำหรับอโลบัส เพราะเขาจำเป็นต้องไล่ขบวนให้ทัน ก่อนที่พวกนั้นจะไปถึงค่ายเสียก่อน

          “บางทีเราน่าจะปล่อยให้พวกมันพาเชลยไปที่ค่ายนะครับ” อัศวินคนหนึ่งเสนอ “เราจะได้ตามรอยไปจนพบตำแหน่งค่ายของพวกมันได้”

          “เชลยเป็นตัวประกันของพวกกบฏ เมื่อถูกนำไปที่ค่ายจะยิ่งช่วยเหลือยาก ทางที่สะดวกที่สุด คือช่วยพวกเขาระหว่างเดินทางอยู่นี่ล่ะ” อโลบัสชี้แจง “อีกอย่าง หากพวกเรารีรอ พวกกบฏอาจนึกขึ้นได้และกลบร่องรอยตามหลังทั้งหมด เราก็จะตามรอยพวกนั้นไปยังค่ายไม่ถูกอยู่ดี”

          “แล้วเราจะทราบตำแหน่งค่ายของพวกมันได้อย่างไรล่ะครับ”

          “ข้าเชื่อว่า หลังจากที่เราไปช่วยพวกเชลยแล้ว เราอาจจับหนึ่งในกบฏสักคนมาสอบถามข้อมูลได้” อโลบัสตอบ

          “พวกมันอาจเป็นแค่โจรถ่อย เป็นแค่พวกโง่ แต่พวกมันก็อาจปากแข็งนะครับ” อัศวินอีกคนเตือน “ข้าเคยรู้จักหลายคนที่ถูกทรมานจนตายก็ไม่ยอมบอกอะไรให้รู้เลย”

          “ข้าเชื่อว่า ข้าจะทำได้แตกต่างจากนั้น” อโลบัสพูดเรียบๆ ตามองรอยเท้าบนพื้นที่เริ่มชัดขึ้น“รอยเท้าพวกนี้ยังใหม่อยู่ แสดงว่าเราอยู่ห่างจากขบวนเชลยไม่มากแล้ว”

          “แต่ถึงเราไล่ทัน เราก็เสียเปรียบอยู่ดีนะครับ” อัศวินคนหนึ่งออกความเห็น “พวกมันคงมีจำนวนมากกว่า แล้วก็ยังสามารถจับพวกเชลยไปเป็นตัวประกันต่อรองได้อีก”

          “ข้าเชื่อว่า วิธีที่ข้าคิดอยู่ตอนนี้จะได้ผล” อโลบัสบอก

          พวกอัศวินมองหน้ากันเงียบๆ  เจ้าชายพูดคำว่าข้าเชื่อว่าอีกแล้ว ไอ้การพูดคำเดียวซ้ำๆ แบบนี้ ชวนให้นึกถึงหุ่นไม้ที่ทำท่าทางเดิมๆ จากการถูกไขลาน ยิ่งอโลบัสมีท่าทางแข็งๆ ไร้ความรู้สึกแบบนี้แล้วด้วย ยิ่งทำให้เขาคล้ายหุ่นเชิดเข้าไปใหญ่

                รอยเท้าจำนวนมากเริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัดมากขึ้น ร่องรอยบนพื้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดพวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมาก ปนกับเสียงคำรามตะคอกขู่เข็ญให้พวกเชลยรีบเดินไปไวๆ พวกเขาไล่ทันแล้ว ที่เหลือก็แต่จะเข้าไปช่วยพวกเชลยด้วยวิธีใด

                อโลบัสชี้นิ้วให้พวกิอัศวินบังคับม้าไปทางดินชื้น เพราะไม่ต้องการให้เสียงเกือกม้ากระทบพื้นแข็งๆ ลอยไปเข้าหูพวกกบฏ

          “ฝ่ายตรงข้ามคงมีจำนวนไม่น้อย” อัศวินคนหนึ่งกระซิบเสียงเบา

          “หากเราบุกเข้าไป พวกนั้นอาจจับพวกเชลยเป็นตัวประกัน” อัศวินอีกคนกระซิบบ้าง

          “ถ้าอย่างนั้น เราจะทำให้พวกเชลยปลอดภัยเสียก่อน” อโลบัสกระซิบตอบ “ตามข้ามา”

                พวกเขาเลี้ยวเข้าไปในดงป่าทางซ้ายอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งมาถึงที่โล่งแคบๆ ที่มีดงไม้ขนาบอยู่สองข้างทาง แผนของอโลบัสคืออ้อมไปดักหน้าพวกกบฏ ซึ่งอัศวินหลายคนมีความเห็นว่า มันไม่ต่างอะไรจากการบุกเข้าไปโจมตีตรงๆ เลย ความเสี่ยงมากพอกัน อย่างไรก็ตาม ทุกคนทราบดีว่าอโลบัสเป็นนักวางแผนที่ชาญฉลาดและชวนให้คาดไม่ถึงเสมอ จึงมั่นใจว่านี่ไม่ใช่แค่การบุกโจมตีธรรมดาแน่

          “เห็นกอหญ้าแห้งๆ พวกนั้นไหน” อโลบัสชี้ไปที่ดงไม้สองข้างทาง “ข้าอยากให้พวกเจ้าถอนมันออกมาคลุมตัวข้า”

          “อะไรนะครับ” อัศวินทั้งหมดถามพร้อมกันอย่างไม่อยากเชื่อ

          “กรุณาตามที่บอก เรามีเวลาไม่มาก” อโลบัสพูดเรียบๆ “พวกกบฏกำลังจะผ่านมาทางนี้ ฉะนั้นข้าจะหมอบอยู่บนทางโล่ง ซึ่งพวกเจ้าจะต้องนำหญ้ามาคลุมร่างข้าให้มิดชิด เมื่อพวกเชลยผ่านมาถึง ข้าก็จะแสดงตัวขึ้น ซึ่งในจังหวะนั้น ให้พวกเจ้าเริ่มบุกเข้าโจมตี”

          “แต่นั่นมันอันตรายนะเจ้าชาย” อัศวินคนหนึ่งท้วง “ท่านจะต้องไปสู้กลางกลุ่มพวกกบฏคนเดียว”

          “กรุณาทำตามที่บอก เรามีเวลาไม่มาก” อโลบัสทวนประโยคเดิมอีกครั้งราวกับถูกไขลาน

                เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกอัศวินจึงทำตามคำสั่ง ช่วยกันถอนหญ้าแห้งมาคลุมตัวอโลบัสที่นอนราบอยู่บนทางโล่ง อโลบัสแหวกหญ้าให้เป็นช่องเล็กน้อยเพื่อสังเกตการณ์ เขานอนนิ่งได้อย่างเหลือเชื่อราวกับคนตาย หายใจหรือไม่ก็ไม่รู้ เพราะหญ้าที่อยู่ใกล้จมูกกับปากของเขาไม่ขยับแม้แต่น้อย ต่อให้ยืนมองยืนเพ่งยังไงก็ไม่มีทางดูออกว่าเขานอนอยู่ใต้กอหญ้า ศพยังดูมีชีวิตชีวามากกว่านี้

          “นำม้าของข้าไปไว้ใกล้ๆ พุ่มไม้ด้านหลัง ทำบังเหียนให้ดูขาดๆ แล้วเอาไปเกี่ยวกับพุ่มไม้ไว้” อโลบัสสั่ง “จะได้ดึงความสนใจพวกกบฏ ไม่ให้มองมาทางข้า”

                อัศวินคนหนึ่งจูงม้าของอโลบัสไปเกี่ยวบังเหียนกับพุ่มไม้ ใช้มีดฟันให้บังเหียนดูขาดๆ  แล้วจึงจูงม้าของตนไปซ่อนตัวกับอัศวินคนอื่นๆ ที่ดงไม้สองข้างทาง กลบรอยเท้าอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อีกไม่ถึงอึดใจ ขบวนของพวกกบฏก็คงจะผ่านมาทางนี้

                น่าประทับใจที่เมื่อพวกกบฏเคลื่อนขบวนมาถึง แผนของอโลบัสก็ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ไม่มีใครสนใจกองหญ้าที่คลุมตัวเขาอยู่เลย อโลบัสก็นอนนิ่งได้เหลือเชื่อ มือขวากำอยู่รอบด้ามดาบ ไม่ชักดาบออกมาคอยท่า เพราะแสงสะท้อนจากคมดาบอาจไปเข้าตาพวกกบฏได้

          “นั่นม้าใคร” กบฏคนหนึ่งชี้ไปทางด้านหลังจุดที่อโลบัสนอนอยู่ราวสิบเมตร “พันธุ์ดีเสียด้วย มีบังเหียน อานม้า และเกือกอย่างดีเลย ม้าของอัศวินแน่”

          “มันคงหลุดมาจากหมู่บ้านใกล้ๆ สายบังเหียนคงขาด” โจรป่ามนุษย์ที่เดินอยู่ข้างๆ สังเกตที่สายบังเหียน “โชคดีจริงๆ ที่มันมาเกี่ยวกับพุ่มไม้ตรงนั้น ม้าดีๆ แบบนี้หายาก”

          เขาทำท่าจะเดินเข้าไป แต่กบฏคนนั้นก็คว้าแขนไว้

          “เดี๋ยว ม้าตัวนั้นเป็นของข้า ข้าเห็นมันก่อน” เขาคำราม

          “ไม่เห็นจะเกี่ยวเลย”

          “นี่เจ้าสองคนเลิกทะเลาะกันได้แล้ว และรีบๆ นำขบวนเดินต่อ ป่านนี้พวกมนุษย์จะส่งกำลังมาไล่หลังเราหรือเปล่าก็ไม่รู้” เสียงจากกบฏที่คุมอยู่กลางขบวนดังมา “เอาม้าตัวนั้นกลับไปที่ค่ายแล้วค่อยคิด”

          ขบวนเชลยเคลื่อนพลต่อไป กบฏโฮเซ่และโจรป่ามนุษย์คู่กรณียังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่กันอยู่ เดินเร็วๆ ผ่านกองหญ้าที่อโลบัสนอนอยู่ไปที่ม้า ช่วยกันแกะบังเหียนออกจากพุ่มไม้เพื่อนำกลับไปด้วย ในใจคงคิดว่าจะต้องเป็นเจ้าของม้าตัวนี้ให้ได้ ไม่สนใจอย่างอื่น ขณะเดียวกัน ขบวนเชลยก็ถูกต้อนให้ผ่านอโลบัสไปช้าๆ มีทั้งชายฉกรรจ์ที่ไร้ทางสู้ ผู้หญิง และเด็กอยู่ในขบวนทั้งสิ้น แต่ละคนก้มหน้า ไม่ก็ร้องไห้เงียบๆ พวกเขากำลังถูกจับเป็นตัวประกันเพื่อต่อรองกับทางราชการของโมราโซมอส อโลบัสยังคงนอนนิ่งอย่างใจเย็น ไม่มีใครเหยียบเขาเพราะเห็นเป็นกองหญ้า ไม่สะดวกที่จะเดินลุยไปโง่ๆ ทั้งที่ทางเดินก็ออกจะกว้าง รออีกนิด ให้ตรงกลางขบวนเชลยผ่านมาถึงเขาเสียก่อน

          “แปลกนะ ทำไมบนพื้นถึงมีกองหญ้าอย่างนั้น” กบฏคนหนึ่งชี้มาที่กองหญ้าบนร่างอโลบัส เพิ่งจะสังเกตเห็น ก่อนหน้านี้มัวแต่มองดูม้า “มันผิดธรรมชาติ”

          สายไปเสียแล้ว เพราะเมื่อพวกเชลยบริเวณกลางขบวนได้เคลื่อนมาถึงกองหญ้า อโลบัสก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว หญ้ากระจายออกจากร่างอย่างสง่างาม มือขวาที่กำรอบดาบชักออกมาสังหารพวกกบฏที่อยู่ใกล้มือตายไปสามคนติดกัน พร้อมกันนั้นพวกอัศวินที่คอยท่าอยู่ในดงไม้สองข้างทางก็ควบม้าบุกเข้าโจมตีทันที

          “ทุกคนวิ่ง” พวกอัศวินตะโกนให้พวกเชลยวิ่งหนีเข้าไปในดงไม้สองข้างทาง ขณะที่พวกตนควบม้าสวนออกไปประจันหน้ากับฝ่ายตรงข้าม พวกกบฏไม่สามารถคุมแถวเชลยได้อีกต่อไป เพราะอโลบัสก็โจมตีจากกลางขบวน เชลยศึกทุกคนวิ่งหนีกันเต็มที่ ผลักกบฏและโจรป่าหลายคนให้ล้มขณะหนี

          “อ้ากกกกก!”

                กบฏคนหนึ่งร้องด้วยความเจ็บปวด ขณะถูกดาบอโลบัสตัดแขนขาด พวกกบฏและโจรป่าจำนวนมากล้อมกรอบเข้าโจมตีอโลบัสเพราะอยู่ใกล้ที่สุด แต่อโลบัสมีทักษะการต่อสู้สูงมาก ทั้งดาบ กำปั้น ศอก ตลอดจนเท้าทั้งสองข้าง ถูกนำมาใช้ต่อกรกับคู่ต่อสู้ได้รอบด้าน มิหนำซ้ำยังมีสิ่งอื่นอีก

          “แย่แล้ว! เขาใช้ความสามารถพิเศษได้ เขาเป็นพวกเลือดพิเศษ”

                ร่างของกบฏอีกห้าคนแตกละเอียดลงกับพื้นด้วยอำนาจความเย็นจัด อีกสองคนถูกดาบตัดคอขาดกระเด็น เหล่าอัศวินมนุษย์ควบม้าปะทะฝ่ายตรงข้ามเหมือนตอนต่อสู้ในหมู่บ้านก่อนหน้านี้ ซึ่งก็ได้ผลเหมือนกัน พวกกบฏอยู่ในสภาวะเสียเปรียบและถูกสังหารตายเกลื่อน

                ทหารราบแพ้ทางทหารม้า นั่นคือเกร็ดความรู้พื้นฐานทางสงคราม แม้จะมีอัศวินมนุษย์บาดเจ็บอีกสี่คน แต่พวกเขาก็สามารถสังหารข้าศึกได้ทั้งหมดได้โดยไม่มีใครหลบหนีไปได้ ยกเว้นกบฏโฮเซ่คนหนึ่ง ที่อโลบัสใช้ด้ามดาบกระแทกให้สลบ แล้วนำร่างขึ้นไปบนหลังม้าของตนที่ยึดคืนมาได้

                เชลยทุกคนค่อยๆ เดินออกมาจากที่ซ่อนหลังดงไม้ พวกเขาไม่ได้หนีไปไหนไกล แต่ละคนเสียขวัญตกใจ แต่ก็ดีใจที่ได้รับการช่วยเหลือ

อโลบัสและพวกอัศวินช่วยพาพวกนั้นมุ่งหน้ากลับหมู่บ้านอย่างปลอดภัย ส่วนใหญ่เมื่อไปถึงหมู่บ้านต่างวิ่งไปหาครอบครัวของตนอย่างดีใจ บางคนก็ต้องเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมากเมื่อกลับมาแล้วเห็นสมาชิกในครอบครัวของถูกฆ่าตาย  บางคนก็ตะโกนด่าสาปแช่งพวกกบฏอย่างโกรธแค้น

          “แฮโรนิส!”

                หญิงสาวคนหนึ่งพร้อมกับเด็กผู้หญิงอีกสองคนวิ่งโผเข้าไปหาแฮโรนิสและกอดกันแน่น ทั้งสี่ร้องห่มร้องไห้อย่างดีใจ แฮโรนิสหันไปมองอโลบัสอย่างซาบซึ้งบุญคุณ

                แต่อโลบัสไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าตนได้ช่วยเหลือครอบครัวของแฮโรนิส เขาก็แค่ทำไปตามหน้าที่อันได้รับมอบหมาย จะด้วยความเต็มใจหรือไม่ก็สุดรู้ได้ ท่าทางแข็งๆ ไร้ความรู้สึกของเขาไม่ได้บอกอะไรเลย เขาอุ้มร่างกบฏโฮเซ่ลงจากหลังม้า พวกชาวหมู่บ้านโวยวายใส่กบฏผู้ไร้สติอย่างโกรธแค้น บางคนทำท่าอยากจะเข้ามาทำร้าย อโลบัสยกมือบอกให้ทุกคนถอยไป นำร่างกบฏไปนั่งพิงที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง ท่ามกลางวงล้อมชาวบ้านที่คับแค้นใจ

                “ทุกคน กรุณาอยู่ในความสงบ ข้าต้องสอบปากคำเขา” อโลบัสกล่าวเสียงเรียบ แต่ได้ยินกันทั่ว “ขอน้ำให้ข้าที”

                แฮโรนิสยื่นกระบอกน้ำให้อโลบัสอย่างไม่แน่ใจ จำได้ว่าก่อนหน้านี้อโลบัสไม่ดื่มน้ำ แล้วจึงเข้าใจเมื่ออโลบัสใช้น้ำที่ว่านั่นสาดหน้ากบฏให้ฟื้นขึ้น กบฏสะดุ้งตื่นและมองไปรอบๆ อย่างมึนงง พบชาวบ้านจำนวนมากก่นด่าสาปแช่งตนอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วจึงหันมาพบอโลบัสที่ยืนค้ำหัวอยู่ ท่าทางเยือกเย็นไร้ความรู้สึก

                “เจ้าคงกระหายน้ำ” อโลบัสยื่นน้ำที่เหลือในกระบอกให้

                โฮเซ่หนุ่มรับน้ำมาดื่มอย่างไม่ไว้ใจ สงสัยว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน

          “ข้าอยากให้เจ้าตอบคำถามข้า ด้วยความสัตย์จริง เพื่อเจ้าจะได้ไม่ต้องถูกทรมาน” อโลบัสพูดเสียงเย็นเยียบ

                แม้จะหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่กบฏโฮเซ่ก็ยังเงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าอโลบัสอย่างท้าทาย รู้ตัวว่ากำลังจะถูกสอบปากคำรีดข้อมูล และพร้อมที่จะปากแข็งใส่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะกระทำทารุณกรรมใดๆ ก็ตาม ชาวบ้านบางคนต้อนลูกๆ เข้าไปข้างในบ้านอย่างรู้ทัน บางคนหลบเข้าไปในบ้านพร้อมกับลูกๆ เพราะไม่อยากดูเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น พวกอัศวินทั้งหมดเดินเข้ามาล้อมวงอโลบัสและกบฏอย่างเป็นระเบียบ บางคนถอดหมวกเกราะออกเพื่อระบายความร้อน ส่วนชาวบ้านอีกจำนวนมากยังคงมุงล้อมกบฏอย่างโกรธแค้น

                “เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว” อโลบัสเริ่มถาม

                กบฏขมวดคิ้วอย่างงงงวย นี่ไม่ใช่คำถามที่เขาคาดว่าจะได้ยิน นึกว่าอโลบัสจะถามเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งค่ายกบฏ จำนวนคน หรือแผนการกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้อง นี่จะถามอายุทำไม หรืออย่างน้อยก็น่าจะถามชื่อก่อน

                “กรุณาตอบคำถาม” อโลบัสดูมีทีท่าจริงจังมาก “หรือจะให้ข้าทำร้ายเจ้า”

                หากเป็นคำถามที่เป็นข้อมูลสำคัญ กบฏคนนี้คงปากแข็ง แต่นี่มันไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องสำคัญเลย หากอโลบัสอยากรู้มากขนาดนั้น เขาก็ตอบๆ ไปก็แล้วกัน

                “สามสิบปี”

                “เจ้ายังเด็กมาก” อโลบัสกล่าวเรียบๆ

                กบฏนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไร รอว่าอโลบัสจะมาไม้ไหนอีก

                “เมื่อเช้า เจ้าทานอะไรเป็นอาหารเช้า”

                “อะไรนะ” กบฏเอียงคอ มั่นใจว่าฟังผิดแน่

                “กรุณาตอบคำถาม” อโลบัสขยับมือไปจับด้ามดาบ

                “เนื้อกวางย่าง” กบฏตอบด้วยท่าทางมึนงง “ท่านจะอยากรู้ไปทำไม”

                “แล้วมื้อก่อนหน้านั้นล่ะ” อโลบัสถามต่อ

                “ก็เนื้อกวางย่างเหมือนกัน”

                “แล้วมื้อก่อนหน้านั้นอีกล่ะ”

                “เนื้อหมูป่าย่าง”

                พวกอัศวินและชาวหมู่บ้านเริ่มมองหน้ากัน อโลบัสสอบปากคำอะไรแปลกๆ นี่

                “เจ้ากินแต่อะไรแบบนี้ไม่เบื่อบ้างหรือไง” อโลบัสถามต่อไป

                “แล้วมันสำคัญกับท่านตรงไหน”

                “ข้าถามว่า” อโลบัสดูจะจริงจังมาก “เจ้าไม่เบื่อบ้างหรือ”

                “เบื่อ”

                “ทำไมเจ้าถึงไม่กินปลาบ้าง”

                “ถามอะไรไร้สาระของท่านนี่”

                “กรุณาตอบให้ตรงคำถาม ทำไมเจ้าถึงไม่กินปลาบ้าง”

                “สมองของท่านถูกกระทบกระเทือนหรือไง ค่ายของเราตั้งอยู่ในป่า ไม่ใช่ในตลาดสด จะไปหาปลาจากที่ไหนมากิน”

                “เนื้อที่เจ้ากินเข้าไปมีกลิ่นเป็นยังไง” อโลบัสรุกต่อ

                “นี่ท่านเป็นพ่อครัวหรือไง ถามแต่เรื่องอาหาร”

                ดาบของอโลบัสชักมาจ่อคอกบฏอย่างไม่ล้อเล่นด้วย โฮเซ่หนุ่มมองดาบสลับกับสีหน้าไร้ความรู้สึกของอโลบัส นี่ถ้าอโลบัสอยากรู้เรื่องไม่เป็นเรื่องมากขนาดนี้ เขายอมบอกก็ได้

                “กลิ่นคล้ายมีดินโป่งปนเล็กน้อย แต่ก็อร่อยดี”

                “อาหารของเจ้ามีเพียงพอไหม คนอื่นในค่ายของเจ้าก็กินอาหารแบบเดียวกับเจ้าใช่ไหม เจ้ากินอิ่มทุกมื้อไหม”

                “คนอื่นๆ กินอาหารแบบเดียวกับข้า และข้าก็กินอิ่มทุกมื้อ ขอบคุณ ไม่ต้องมาห่วงพวกเรา” กบฏนิ่วหน้า “ห่วงตัวท่านเองดีกว่า น่าจะไปตรวจสุขภาพจิตบ้าง”

                คนในหมู่บ้านหลายคนเริ่มจะคิดแบบเดียวกัน อโลบัสเสียสติไปแล้วหรือไง ถามคำถามไร้สาระไม่หยุด

                “ตลอดเวลาที่ตั้งค่ายอยู่ที่นั่น เจ้าเคยกินเนื้อแห้งไหม” อโลบัสไม่วายถามคำถามไร้สาระ

                “ข้าจะกินเนื้อแห้งทำไม ในเมื่อมีเนื้อสดให้ย่างกินทุกวัน” กบฏเด็กหนุ่มเริ่มอ่อนใจ

                “แล้วมีใครในค่ายของเจ้าเคยไปเก็บหญ้าไหม” อโลบัสถามอย่างไม่เกี่ยวเรื่องกันเลย

                “ท่านจะบ้าหรือ จะไปเก็บหญ้ามาทำไม พวกเราไม่ใช่ควายหรือกระต่ายป่านะ” กบฏหนุ่มอดรนทนไม่ไหว “ข้าคิดว่าคนเดียวที่ควรกินหญ้า ก็น่าจะเป็นท่านนี่แหละ ถามอะไรไร้สาระมาก”

                “ข้าได้ข้อมูลทั้งหมดที่อยากรู้แล้ว” อโลบัสหันหลังเดินจากกบฏ ทุกๆ คนรวมทั้งตัวกบฏเองถึงกับอ้าปากค้าง นี่มันบ้าอะไรกัน พวกอัศวินเดินตามเขาไป อ้าปากจะท้วงแต่เขาก็ไม่สนใจ เดินไปที่ม้าของตน หยิบแผนที่เมืองซาโมโรว์และดินสอหนึ่งแท่งออกจากช่องอานม้า แล้วขีดวงกลมรอบพื้นที่แห่งหนึ่งในแผนที่ “บริเวณนี้ คือตำแหน่งที่พวกกบฏตั้งค่ายอยู่”

                ไม่แปลกใจเลยว่าพวกอัศวินจะถามอย่างฉงนสนเท่ห์ว่า “รู้ได้ยังไง”  เพราะสิ่งที่อโลบัสสอบปากคำจากกบฏโฮเซ่นั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องไร้สาระทั้งสิ้น

                “ข้าปฏิบัติหน้าที่ในเมืองนี้มานาน รู้จักพื้นที่ในเมืองนี้ดี” อโลบัสอธิบาย “จากที่กบฏคนนี้บอกว่าเขากับพวกพ้องของเขากินแต่เนื้อกวางและหมูป่า ไม่เคยกินปลาตั้งแต่มาตั้งค่ายในเมืองนี้ บอกให้รู้ว่าค่ายกบฏอยู่ห่างจากแม่น้ำ” เขาขีดฆ่าพื้นที่ที่อยู่ใกล้แม่น้ำ “และจากที่บอกว่าเนื้อที่กินเข้าไปมีกลิ่นของดินโป่ง บอกให้รู้ว่าพวกกบฏไปล่าสัตว์บริเวณที่มีดินโป่ง ซึ่งมีอยู่ไม่กี่ที่ในเมืองนี้” เขาวงกลมจุดที่บอก “การที่พวกกบฏไม่เคยกินเนื้อแห้ง มีอาหารไม่ขาดแคลนทุกมื้อ บอกให้รู้ว่าค่ายของพวกนั้นตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งที่ล่าสัตว์” เขาขีดฆ่าตำแหน่งที่ไม่ใช่ออกไป “เนื่องจากกลุ่มกบฏมีจำนวนไม่น้อย และยังกวาดต้อนเชลยไปอีก แสดงว่าพวกนั้นไม่สามารถตั้งค่ายในพื้นที่ป่าได้” เขาขีดฆ่าตำแหน่งที่เป็นพื้นที่ป่าทั้งหลาย “ฉะนั้นจึงน่าจะเป็นพื้นที่โล่ง ซึ่งพื้นที่โล่งที่เหมาะแก่การตั้งค่ายแบบหลบซ่อน คือพื้นที่ที่มีเนินล้อมรอบ คือบริเวณนี้นั่นเอง” อโลบัสวงกลมทับที่วงไว้ตอนแรกสุด “ฉะนั้นบริเวณนี้ คือตำแหน่งที่พวกกบฏโฮเซ่ควรจะตั้งค่ายอยู่”

                พวกอัศวินมองหน้าอโลบัสอย่างรู้สึกทึ่ง ที่มันคือการคิดแบบตรรกะวิทยา ใช้เหตุและผลในการค้นหาความจริง ใครจะไปนึกว่าอโลบัสจะฉลาดขนาดนี้ เขาไม่ถามคำถามสอบปากคำกบฏตรงๆ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องปากแข็ง การทรมานรีดข้อมูลก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัด จึงใช้วิธีการถามหลอกล่อให้งง แล้วค่อยๆ เก็บรายละเอียด นี่คงเป็นเหตุผลที่เขาเลือกกบฏที่ยังเป็นเด็กหนุ่มแรกรุ่นมาสอบปากคำ พวกเด็กหนุ่มอาจไฟแรง แข็งแกร่งทนทาน ยากต่อการทรมานรีดข้อมูล แต่ก็มักจะเสียรู้ผู้ที่มีประสบการณ์สูงกว่า สู้ความเหลี่ยมจัดไม่ได้

                “จากที่กบฏบอกว่าไม่เคยมีใครออกไปเก็บหญ้านั้น แสดงว่าพวกกบฏไม่มีม้า ฉะนั้นพวกกบฏก็มีแต่ทหารราบ ข้าจะกลับไปปรึกษากับเจ้าเมืองริฟเฟอร์เรื่องกลยุทธ์” อโลบัสพูดต่อ “ระหว่างนี้ ในเมื่อเรารู้ตำแหน่งที่ตั้งค่ายกบฏแล้ว ข้าจะส่งหน่วยลาดตระเวนไปสอดแนมเพื่อยืนยันตำแหน่ง และประมาณจำนวนฝ่ายตรงข้าม--”

                คำพูดของเขาถูกขัดจังหวะด้วยเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของกบฏโฮเซ่ผู้เคราะห์ร้าย ผู้ที่กำลังถูกชาวหมู่บ้านรุมทำร้าย อโลบัสหันกลับไปมอง ทำท่าจะเข้าไปห้าม แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว กบฏหนุ่มนอนจมกองเลือดสีขาวตาย ท่ามกลางวงล้อมอันโหดเหี้ยมของชาวหมู่บ้านมนุษย์

                “ทำอย่างนั้นทำไม” อโลบัสถามอย่างไร้ความรู้สึก

                “เขาเลว เจ้าชาย” แฮโรนิสที่มีเลือดสีขาวเปื้อนหน้าตอบ “เขาสมควรตาย”

                “เขายังเด็กอยู่” อโลบัสบอก ท่าทางไร้ความรู้สึกเหมือนเดิม

                “เขาเกือบจะโตแล้ว ต่อให้เด็กกว่านี้เขาก็สมควรตาย” ชาวบ้านอีกคนตะโกน “เขาทำร้ายคนในหมู่บ้านเรา ลักพาตัวคนในครอบครัวของเรา”

                “เขาเปล่า” อโลบัสส่ายหน้า “กบฏคนอื่นๆ ต่างหากที่ทำ เขาแค่ทำหน้าที่เป็นยามคุมขบวนตามที่ได้รับคำสั่ง เชื่อว่ายังไม่ทันได้ทำร้ายใคร”

                “แล้วพวกเราล่ะ พวกเราเป็นแค่ชาวบ้านบริสุทธิ์ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสงคราม พวกกบฏก็ยังมาทำร้ายเราอย่างเหี้ยมโหด”

                “และพวกเจ้าก็ทำแบบเดียวกันกับเด็กคนนี้” อโลบัสย้อนกลับ “บางที ตัวตนที่แท้จริงของพวกเจ้า ก็อาจไม่ต่างจากทหารของฝ่ายเรา หรือพวกกบฏเลย”

                “ทำไมท่านถึงต้องสนใจพวกกบฏด้วย เราเป็นพลเมืองของท่านนะ ท่านต้องเข้าข้างเราสิ”

                “พวกเขาพูดถูก เจ้าชาย” อัศวินคนหนึ่งว่า “กบฏโฮเซ่คือศัตรู อย่าได้ละอายที่จะทำสิ่งร้ายๆ ต่อศัตรู”

                อโลบัสหันไปมองทางอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์คนใด ไม่สนใจที่จะโต้แย้งด้วยอีก ซึ่งโชคดีที่ทหารคนหนึ่งจากฐานทัพบัญชาการใหญ่ซาโมโรว์ขี่ม้าตรงเข้ามาในหมู่บ้านพอดี เขาหยุดม้าข้างหน้าอโลบัสแล้วกล่าวรายงาน

                “เรียนเจ้าชายอโลบัส พวกกบฏบุกเข้าโจมตีฐานทัพบัญชาการใหญ่ซาโมโรว์ตามที่ท่านคาดคะเน การโจมตีหมู่บ้านทั้งสามนั้นเป็นแผนหลอกล่อให้เรายกพลออกจากฐานทัพใหญ่ อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณความรอบคอบของท่านที่นำคนออกมาเพียงเล็กน้อยและเหลือกำลังพลส่วนใหญ่ไว้ ตอนนี้เราได้ต้านการบุกของพวกกบฏ และขับไล่ออกจากฐานทัพหมดแล้ว”

                “ดี” อโลบัสพยักหน้า “ข้าจะกลับไปกับเจ้า ต้องไปพบเจ้าเมืองริฟเฟอร์ อัศวินเหล่านี้จะดูแลความเรียบร้อยของหมู่บ้านเอง”

                “เดี๋ยวก่อน เจ้าชาย”

                อโลบัสกำลังจะปีนขึ้นหลังม้า แต่แฮโรนิสเรียกไว้ เขารีบเดินเข้ามาหาพร้อมกับหีบใบหนึ่งในมือ

          “ท่านช่วยครอบครัวของข้าไว้ ได้โปรด รับของสิ่งนี้ไปด้วยครับ” เขายื่นหีบให้อโลบัส

          “เก็บมันไว้เถอะ” อโลบัสส่ายหน้า “ข้าเพียงทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย”

          “ได้โปรดรับมันไว้เถอะครับ” แฮโรนิสเปิดหีบออก “มันอาจมีประโยชน์ต่อท่านมากกว่า”

          อโลบัสมองเข้าไปในหีบ พบว่ามันเป็นมือสีคล้ำขนาดใหญ่ผิดธรรมดา มีเกล็ดเลื่อมเป็นประกายปกคลุมอยู่ เกล็ดสีคล้ำที่ปกคลุมมืออยู่ทั้งมือนั้นก็แข็งและเรียบลื่นราวกับโลหะ ปลายนิ้วชี้ของมือข้างนี้ดูแหลมๆ เป็นเกลียวคล้ายสว่าน หากมันเป็นมือของสิ่งมีชีวิต ก็น่าแปลกที่มันไม่เน่าเปื่อย

          “ดูเหมือนว่ามันจะเป็น” อโลบัสพูดเสียงเบา “มือของไซคัส”

          “ทวดของข้าเป็นคนเจอมันตอนที่เขาไปขุดสมบัติ” แฮโรนิสอธิบาย “มันตกทอดมาถึงข้า ข้าเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันมีค่าหรือเปล่า เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ หากนำไปขาย บรรดาพ่อค้าหน้าเลือดในอาณาจักรนี้ก็คงกดราคาถูกๆ จึงคิดว่ามอบให้ท่านจะมีประโยชน์กว่า ได้โปรดรับมันไปเถิดนะครับเจ้าชาย ข้าจะรู้สึกดีมากหากได้ตอบแทนอะไรท่านบ้าง”

          อะไรบางอย่างบอกอโลบัสว่า นี่เป็นมือของไซคัส ที่ไม่ใช่ไซคัสธรรมดาทั่วไป

          “ขอบใจนะแฮโรนิส” อโลบัสรับหีบมา “ข้าต้องไปแล้ว อัศวินเหล่านี้จะดูแลความเรียบร้อยของหมู่บ้านเจ้าเอง”

          ว่าแล้วเขาก็ควบม้ากลับไปกับทหารผู้ส่งข่าว ประคองหีบมือไซคัสอย่างระมัดระวัง ไม่ว่าจะในสถานการณ์ไหน ท่าทางของเขาก็ยังคงเยือกเย็นไร้อารมณ์ดังเช่นเดิม และหากสังเกตมากขึ้นก็จะพบว่า จนป่านนี้เหงื่อของเขายังไม่ออกสักหยด และเขาก็ยังไม่ดื่มน้ำสักหยดด้วย

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา