พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  32.89K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) บทที่ 5 เลือดที่แตกต่าง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 5

เลือดที่แตกต่าง

 

          เมืองสำคัญของอาณาจักรโมราโซมอสมีอยู่หลายเมือง หนึ่งนั้นคือเมืองโอมิลรอน เมืองอันสวยงาม รายล้อมไปด้วยปราสาทสีสันสดใส อาคารรูปทรงสวยงาม ตลอดจนประติมากรรมอันน่าตื่นตาตื่นใจ ทุกคนเรียกกันติดปากว่าเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ เนื่องด้วยมีประวัติความเป็นมาอย่างศักดิ์สิทธิ์ ถูกก่อตั้งด้วยเจ้าชายผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นศูนย์รวมความศรัทธาของมนุษยชาติ สภาพแวดล้อมในเมืองจึงเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก มีนักบวชและผู้ถือศีลคอยเสริมสร้างความศรัทธาแก่เหล่าประชาชน ความศักดิ์สิทธิ์ของเมืองนี้เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการปกครองประชาชนมนุษย์ เมื่อประชาชนเลื่อมใสศรัทธาต่อศาสนา การจะปกครองควบคุมจึงไม่ใช่เรื่องยากเลย ดังนั้นเมืองโอมิลรอนอันศักดิ์สิทธ์จึงมีเจ้าเมืองผู้ปกครองที่ดูมีความศักดิ์สิทธิ์สูงเสมอมา เพื่อสร้างความเลื่อมใสต่อประชาชน

          เจ้าเมืองโอมิลรอนคนปัจจุบันคือพ่อมดที่ปรึกษาของพระราชา แอนโทนิดัส แร็กซ์ริงเป็นที่เคารพนับถือของคนจำนวนมาก เขาฉลาดและเปี่ยมไปด้วยความสามารถ มีความรู้ด้านพลังงานแฝง หรือที่เรียกเชิงไสยศาสตร์ว่า คาถาอาคม เขามีความเข้าอกเข้าใจวัตถุที่มีพลังงานแฝงเกือบทุกอย่าง สามารถวิเคราะห์พลังอำนาจ ตรวจสอบคุณสมบัติ ตลอดจนสืบค้นที่มาที่ไปของวัตถุพลังงานนั้นๆ ได้ เรื่องนี้เขาเชี่ยวชาญทีเดียว

          เป็นเหตุให้เกิดข่าวลือว่า พระราชาได้มอบหมายให้พ่อมดแร็กซ์ริงเก็บรักษาวัตถุชิ้นหนึ่ง ซึ่งทรงพลังที่สุดเท่าที่มนุษย์จะเคยพบเห็น เก็บไว้ที่เมืองโอมิลรอนสำหรับทำการศึกษาเพิ่มเติม และหาทางนำมาใช้ประโยชน์แก่มนุษย์ ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าวัตถุทรงพลังชิ้นนั้นคืออะไร ได้มาจากไหน ทำอะไรได้บ้าง เป็นแค่นิทานหลอกเด็กหรือไม่ก็สุดจะรู้ได้ ชาวเมืองส่วนใหญ่เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ และไม่ได้ให้ความสนใจมันสักนิด

          แต่ปรากฏว่าข่าวลือกลับเป็นเรื่องจริง เกือบทุกวัน พ่อมดแร็กซ์ริงจะมายืนมองรูปปั้นขนาดใหญ่กลางเมือง ที่มีลักษณะแปลกประหลาด ยากจะอธิบายได้ว่าเป็นรูปอะไร เนื่องจากเป็นศิลปะเชิงนามธรรม รูปปั้นนี้ไม่มีความสำคัญอะไรนัก สิ่งที่มีความสำคัญจริงๆ คือวัตถุอะไรก็ตามที่ซ่อนอยู่ใต้รูปปั้น วัตถุอันเป็นบ่อเกิดแห่งข่าวลือ จริงอยู่ที่มันมีพลังมหาศาล แต่มนุษย์ก็ไม่สามารถนำพลังที่ว่านั้นมาใช้ประโยชน์ได้ จึงต้องเก็บรักษามันไว้และปิดเป็นความลับ นอกจากแร็กซ์ริงแล้ว มีอีกเพียงสามคนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ คือพระราชาผู้ค้นพบวัตถุ บิลิส ริฟเฟอร์เจ้าเมืองซาโมโรว์ผู้ร่วมรักษาวัตถุ และเจ้าชายอโลบัสผู้สืบราชบัลลังก์

          วันนี้ก็เป็นอีกวันที่แร็กซ์ริงมายืนมองรูปปั้น ตรวจสอบว่ามนตราอาคมที่มองไม่เห็นนั้น ยังคงคุ้มครองมันอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นก็ได้ ในเมื่อมันถูกปกป้องด้วยคาถาอาคมแน่นหนาและซับซ้อนขนาดนั้น อีกทั้งก็ไม่มีใครสนใจ แม้แต่นกยังไม่บินมาเกาะ แต่ในเมื่อพระราชาสั่งให้เขาตรวจสอบความเรียบร้อยของมันทุกวัน เขาก็ต้องทำตามหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ ชุดเสื้อคลุมสีแดงทองปักลายดาวของเขายังคงโดดเด่นเป็นสง่า เข้ากับเครายาวๆ และผมสีขาวของเขาได้ดี

          “มายืนมองรูปปั้นอีกแล้วหรือคะ อาจารย์”

          แร็กซ์ริงหันหลังกลับไปมอง สาวน้อยในชุดกระโปรงยาวสีแดงเลื่อม เดินเข้ามาหาพร้อมกับเครื่องดื่มร้อนๆ หนึ่งถ้วย เธอมีผิวขาวเนียน ผมสีแดงสด นัยน์ตาสีฟ้า รูปร่างสวยสมส่วนเมื่อดูจากชุดที่ค่อนข้างรัดรูปของเธอ มีช่องเผยกลางร่องอกและเอวสองข้าง กระโปรงก็แหวกข้างจนแทบจะเห็นขาเกือบทั้งหมด

          “อาจารย์แค่มีเรื่องให้คิดมากเท่านั้นเองช่วงนี้ ขอบใจนะฟิเร็นดาศิษย์รัก” แร็กซ์ริงส่งยิ้มให้ พร้อมกับรับเครื่องดื่มร้อนๆ มาจากเธอ “อาจมีเรื่องการแต่งตัวของเจ้ารวมอยู่ด้วย”

          “ข้าอายุสิบเก้าปีแล้วนะคะ แล้วแค่นี้ไม่ล่อแหลมเกินไปหรอก” ฟิเร็นดาหัวเราะคิกคัก “อาจารย์น่าจะเห็นผู้หญิงในเมืองหลวงโมราโซมอสแต่งตัวกัน ทำเอาข้าเชยไปเลย”

          “ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อาจารย์ก็พยายามเข้าใจอยู่ แค่มันไม่เหมือนกับสมัยตอนที่อาจารย์อายุเท่าเจ้าน่ะ” แร็กซ์ริงจิบเครื่องดื่มที่มีควันฉุย “หากเราจะเปรียบเทียบว่ายุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ก็แค่ดูที่พฤติกรรมพวกวัยรุ่นนี่ล่ะ เด็กไร้เดียงสาเกินไป ส่วนผู้ใหญ่ก็สร้างภาพเกินไป โดยเฉพาะพวกที่อยู่ในวงการเมือง จะยุคสมัยไหนก็ไม่ค่อยจะต่างกันเลย”

          “เป็นข้าจะไม่กินน้ำต้มรากไม้แบบนั้นหรอกค่ะ” ฟิเร็นดามองถ้วยในมืออาจารย์ “มันขมยิ่งกว่าอะไรเสียอีก”

          “คนหนุ่มสาวชอบความหวาน คนชราชอบความขม ยามที่เจ้าแก่ตัวลง ความชอบของเจ้าอาจจะเปลี่ยน เราไม่มีวันรู้จนกว่าจะถึงวันนั้น” แร็กซ์ริงยิ้มอย่างอบอุ่น “โดยเฉพาะตอนที่เจ้ากำลังเป็นสาวเช่นนี้ ความคิดเรื่องแก่ชรายิ่งไม่มีเข้ามาในหัว นับว่าดีแล้วศิษย์รัก จะคิดมากไปใย ในเมื่อถึงเวลาเราก็จะรู้อยู่ดี ปล่อยให้คนที่แก่แล้วอย่างอาจารย์คิดเรื่องที่ไม่น่าพิสมัยและจิบเครื่องดื่มขมๆ นี้ไปดีกว่า”

          “มีเรื่องไม่น่าพิสมัยให้คิดเยอะหรือคะ” ฟิเร็นดาถาม

          “ทัพหลวงโมราโซมอสกำลังจะพร้อมเคลื่อนพล มุ่งไปปราบพวกดาร์คเนสดีวิล ทั้งทหารราบและทหารม้า จำนวนที่ยกไปนั้น บอกให้รู้ว่าไม่ใส่ใจว่าจะสร้างความเสียหายให้แก่โฟรเซ็นทิเนลมากเพียงใด” แร็กซ์ริงกล่าว “เริ่มจากเมืองฟรอสท์ไอรอนแคลดก่อน แล้วจึงตามด้วยเมืองอื่นๆ จนกว่าทัพหลวงจะพอใจ พระราชาต้องการสั่งสอนพวกปีศาจให้หลาบจำ โดยใช้ไม้แข็งเกินไป”

          “อาจารย์ก็ไม่เห็นด้วยกับการโจมตีครั้งนี้หรือคะ” ฟิเร็นดายิ้มอย่างมีความหวัง “ข้าคิดว่าจะมีแต่พวกไอวิวรี่เสียแล้ว”

          “อาจารย์เข้าใจเหตุผลที่พระราชาต้องกำราบพวกดาร์คเนสดีวิล แต่พระองค์ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำรุนแรงขนาดนั้น ถึงอย่างไรมนุษย์เราก็ต้องอาศัยผลประโยชน์จากปีศาจพวกนั้น ทั้งอัญมณี แรงงาน หน้าด่าน อย่างน้อยก็ไม่ควรทำให้โฟรเซ็นทิเนลเสียหายจนเกินไป” แร็กซ์ริงพูดต่อ “อย่างไรก็ตาม โทสะของพระราชานั้น เป็นที่รู้ดีว่าสงบยากยิ่งกว่าภูเขาไฟระเบิด พระองค์เกลียดทุกสิ่งที่ไม่แสดงความยำเกรงอย่างออกนอกหน้า เกลียดคนที่ท้าทายอำนาจพระองค์ยิ่งกว่าสิ่งใด มันทำให้พระองค์เสียหน้า และพระองค์ก็มักจะกู้หน้าด้วยความรุนแรงเสมอ ยิ่งเป็นคนละเผ่าพันธุ์ เลือดคนละสี และได้ชื่อว่าชั้นต่ำกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ พระองค์ไม่ลังเลที่จะใช้ความรุนแรง”

          “อาจารย์พูดได้มีเหตุผลค่ะ ข้าเห็นด้วยที่เราไม่ควรใช้ความรุนแรงกับพวกดาร์คเนสดีวิล” ฟิเร็นดายิ้มและพยักหน้า “แต่หากซอร์โรร่าได้ยินประโยคนี้ เธอก็อาจจะต่อว่าอาจารย์ได้ว่า อาจารย์ห่วงใยพวกปีศาจ ตราบที่พวกนั้นยังมีประโยชน์ต่อมนุษย์ คงไม่มีมนุษย์คนใดที่ห่วงใยพวกปีศาจ เพราะความสงสารและรู้สึกผิด”

          “ซอร์โรร่า ไอวิวรี่ ผู้คลั่งไคล้ปีศาจ สนอกสนใจทุกสิ่งที่เกี่ยวกับปีศาจ ห่วงใยและปกป้องปีศาจออกนอกหน้า จนทุกคนตั้งฉายาให้เธอว่านางฟ้าปีศาจ” แร็กซ์ริงถอนหายใจ “คอยเตือนเพื่อนของเจ้าหน่อยฟิเร็นดา ว่าอย่าให้มันมากเกินไป เธอจะเดือดร้อนได้ อาจโดนข้อกบฏได้ง่ายๆ ไม่รู้ว่าใครมาฝังความคิดนี้ไว้ในหัวเธอ พ่อของเธอที่ข้าคิดว่าเป็นมิตรกับปีศาจมากแล้ว ยังไม่เท่าครึ่งของเธอเลย อย่างน้อยเขาก็ไม่บ้าพอที่จะโต้แย้งพระราชา”

          “ไม่ต้องห่วงค่ะ เจ้าเมืองริฟเฟอร์อาจารย์ของเธอ แอบสกัดหนังสือโต้แย้งที่เธอส่งถึงพระราชาแล้ว” ฟิเร็นดาพูด “ไม่มีใครในสภาการเมืองได้อ่านมันแน่”

          “นั่นคงทำให้เธอไม่พอใจ”

          “ท่านเจ้าเมืองริฟเฟอร์โกหกเธอว่าพระราชาอ่านแล้วโยนทิ้ง” ฟิเร็นดาตอบ “ซึ่งหากพระองค์ได้อ่านจริงๆ คงจะไม่เพียงแค่โยนทิ้ง แต่คงจะโยนซอร์โรร่าเข้าคุกด้วย”

          “อย่างน้อยบิลิส ริฟเฟอร์ก็ทำสิ่งที่ฉลาด” แร็กซ์ริงจิบเครื่องดื่มต่อ “หากผู้บังคับบัญชาของเรามีอำนาจล้นเหลือและไม่ชอบให้ใครมาขัดใจ สิ่งที่เราควรทำมากที่สุด คืออย่าขัดใจเขา ในเมื่อหน้าที่ของอาจารย์คือทำงานให้เขาด้วยความจงรักภัคดี อาจารย์ก็จะทำ อย่างไรเสียก็อย่าลืมว่าเขาดีต่ออาจารย์ ให้งานดีๆ ทำ ให้อำนาจทางการปกครอง และไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เขามีส่วนทำให้อาณาจักรโมราโซมอสรุ่งเรืองด้วย แม้มักจะเกิดขึ้นเพราะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม”

          ฟิเร็นดาพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เธอรู้ว่าอาจารย์เป็นคนฉลาดเสมอ เขาไม่ได้เป็นพ่อมดที่ปรึกษาของพระราชาด้วยเส้นสายหรืออาศัยพรรคพวก อย่างที่นักปกครองอื่นๆ นิยมใช้กัน เขาได้เป็นเพราะความสามารถและสติปัญญาอันเฉียบแหลมจริงๆ

          “เมืองซาโมโรว์ค้นพบตำแหน่งค่ายของพวกกบฏโฮเซ่แล้ว และต้องการกำลังเสริม” แร็กซ์ริงพูดต่อ “บิลิสเป็นเพื่อนของอาจารย์ ซาโมโรว์ก็เป็นเมืองที่เกื้อกูลเมืองเราเสมอมา ฉะนั้น เราจะส่งไป”

          “ให้ข้าเป็นคนนำกองกำลังเสริมนะคะ” ฟิเร็นดาพูดอย่างตื่นเต้น “นี่เป็นโอกาสที่ข้าจะได้แสดงฝีมือ”

          “อาจารย์รู้ว่าเจ้ากระหายที่จะแสดงความสามารถ” แร็กซ์ริงกล่าว “แต่จะเตือนว่ามันอันตรายนะ กบฏพวกนี้ไม่ใช่โจรกระจอก พวกมันเรียนรู้การต่อสู้จากแบร์ร็อค อาวุธก็ค่อนข้างมีคุณภาพ อีกทั้งยังโหดเหี้ยมไร้ปรานี และไม่คิดจะสู้อย่างยุติธรรมด้วย”

          “เหตุนี้เราถึงควรรีบกำจัดพวกมัน” ฟิเร็นดากล่าว “พวกมันคือความโหดเหี้ยมที่เทอร์ริน เฮนิเคม ผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อคส่งมา”

          “ความโหดเหี้ยมที่ผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อคส่งมาอย่างนั้นหรือ” แร็กซ์ริงทวนคำพร้อมด้วยรอยยิ้ม “ฟิเร็นดา เจ้ารู้ไหมว่ากบฏโฮเซ่ที่โหดเหี้ยมนี้ เกิดขึ้นมาได้ยังไง”

          “ไม่ทราบค่ะ”

          “ไม่มีใครเกิดมาแล้วโหดเหี้ยม หากไม่ได้สัมผัสความโหดเหี้ยม” แร็กซ์ริงจิบเครื่องดื่มไปพูดไป “เดิมที กบฏพวกนี้ก็เป็นเพียงเด็กๆ ชาวบ้านธรรมดาที่อาศัยอยู่ในแบร์ร็อค ไม่มีพิษมีภัยอะไร มีครอบครัว มีชีวิตที่สงบเรียบง่าย” เขาลดแก้วลงพลางส่ายหน้า “จนกระทั่งเกิดสงครามระหว่างมนุษย์และโฮเซ่ กองกำลังมนุษย์บุกขึ้นฝั่งแบร์ร็อค เข่นฆ่า เผา ปล้น ทำลายอย่างโหดเหี้ยม เด็กๆ ชาวบ้านธรรมดาที่ถูกรุกราน ถูกทำร้าย ถูกพรากครอบครัว เห็นแต่ความโหดเหี้ยม ย่อมซึมซับความรุนแรงจนกลายเป็นคนหัวรุนแรง ใช้ความรุนแรงจัดการกับทุกสิ่ง ไม่สนใจเหตุผล ไม่สนใจว่าคนอื่นจะเป็นตายร้ายดียังไง เหมือนกับที่ตนเคยถูกกระทำ ความก้าวร้าวป่าเถื่อนแบบนั้นย่อมก่อให้เกิดปัญหา ขัดแย้งแม้แต่กับโฮเซ่ด้วยกันเอง จึงถูกขับไล่ออกจากอาณาจักร” เขาหลับตาลูบเคราตัวเอง “อาจารย์ละอายใจที่จะบอกว่า เผ่าพันธุ์ของเรานี่ล่ะที่สร้างกลุ่มกบฏโฮเซ่หัวรุนแรงขึ้นมา จึงไม่แปลกใจเลยว่า แม้พวกกบฏโฮเซ่จะถูกผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อคขับไล่ออกจากอาณาจักร พวกกบฏก็ยังเกลียดมนุษย์เรามากกว่า ที่ผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อคส่งพวกนั้นมาที่นี่ อาจารย์เชื่อว่าเพราะเขาต้องการให้เราได้สัมผัสกับสิ่งรุนแรงที่เราเคยสร้างไว้บ้าง”

          “เข้าใจแล้วค่ะ” ฟิเร็นดาพยักหน้า

          “อย่างไรก็ตาม เจ้าพูดถูกฟิเร็นดา ไม่ว่าต้นสายปลายเหตุมันจะเป็นยังไง สุดท้ายเราก็ต้องกำจัดกบฏเหล่านี้ เพื่อความปลอดภัยของอาณาจักร” แร็กซ์ริงดื่มจนหมดแก้ว “อาจารย์อนุญาตให้เจ้าเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ได้ เพราะมั่นใจในฝีมือของเจ้าชายอโลบัส อยู่กับเขาเจ้าน่าจะปลอดภัย ถ้าเจ้าสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรเสี่ยงๆ อาจารย์ก็พอเบาใจได้”

          “ขอบคุณค่ะ ขอบคุณ” สาวน้อยดีอกดีใจ เข้าไปกอดไปหอมแก้มอาจารย์ “อาจารย์จะไม่ผิดหวังในตัวข้าแน่นอน”

          “ฟิเร็นดา อีกสิ่งที่เจ้าควรรู้” แร็กซ์ริงเสริม “การฆ่าคน มันไม่น่าพิสมัยหรอกนะ มันเป็นงานที่เหมาะสำหรับคนไร้ความรู้สึก เมื่อเลือดเลอะมือเจ้า มันจะเปื้อนมือไปตลอดชีวิต แต่หากเจ้าจำเป็นต้องฆ่า ห้ามลังเลครึ่งๆ กลางๆ เด็ดขาด จงทำมันด้วยความรวดเร็วและเฉียบขาด”  

          “ข้า จะจำไว้ค่ะ” ฟิเร็นดาดูตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังยิ้มได้ “แต่ทุกอย่างก็ย่อมมีครั้งแรกใช่ไหมคะ เมื่อข้าทำบ่อยๆ ก็หายกลัวเอง เหมือนกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าเคยทำ”

          “อาจารย์ก็ไม่อยากรู้หรอกว่าเจ้าทำอะไรไปบ้าง” แร็กซ์ริงส่ายหน้ายิ้มๆ “แต่เจ้าก็โตเป็นสาวแล้ว ชีวิตเจ้าเดินด้วยตัวเจ้า ขออย่าให้มันทำให้ตัวเจ้าเดือดร้อนก็แล้วกัน”

          “ขอบคุณที่ชี้แนะค่ะอาจารย์” ฟิเร็นดาถอนสายบัวอย่างร่าเริง “ข้าดีใจที่ได้เป็นศิษย์ของท่าน”

 

**************

 

                เซ็นแวนเดอร์ยืนมองมารดาของตนกำลังโรยใบไม้หนึ่งกำมือลงบนหลุมศพของใครสักคน เป็นพิธีกรรมเก่าแก่ของชาวฟอเรสเทอร์ในการแสดงความเคารพศพ หลุมศพที่เห็นนี้ดูคล้ายแปลงดอกไม้มากกว่า เพราะมีแต่ดอกไม้สีสันสดใสขึ้นเต็มไปหมด พวกฟอเรสเทอร์ไม่ใช้ป้ายหินหลุมศพ ไม่ทำสัญลักษณ์ใดๆ ให้ผิดธรรมชาติทั้งสิ้น พวกเขาต้องการคืนสรรพสิ่งสู่ธรรมชาติ ให้คนตายได้เป็นส่วนหนึ่งของวงจรธรรมชาติอีกครั้ง บริเวณนี้คือสุสานที่ฝังฟอเรสเทอร์ผู้ล่วงลับไว้มากมาย มีต้นหญ้าและดอกไม้ขึ้นเต็มไปหมด จะว่าไปก็เป็นสุสานที่ดูเขียวสดชุ่มชื่น แม้จะจำตำแหน่งผู้ที่ถูกฝังยากไปเสียหน่อยก็ตาม

          “หลุมศพของใครหรือครับ” เซ็นแวนเดอร์ถามแม่

          ไม่มีใครตำหนิเขาเลยที่จำไม่ได้ว่าเป็นหลุมศพใคร เพราะพื้นที่บริเวณนี้ก็เหมือนๆ กันหมด มีแต่ดอกไม้และต้นหญ้า พื้นดินก็เรียบๆ เสมอกัน เพราะเมื่อศพถูกฝังไว้นาน ดินก็จะยุบ น่าแปลกใจที่แม่ของเซ็นแวนเดอร์จำตำแหน่งหลุมศพได้

          “น้องสาวคนกลางของแม่เอง” อาร์ทูมิสตอบ “น้าของลูก ป้าของไมริฟ ตายมายี่สิบเก้าปีแล้ว”

          “น่าแปลกใจที่แม่จำตำแหน่งหลุมศพของเธอได้”

          “ก็แม่มาโปรยใบไม้ลงบนหลุมศพเธอบ่อยๆ พิธีกรรมบูชาคนตาย” อาร์ทูมิสโปรยใบไม้ในมือต่อจนหมด สร้อยข้อมือกระดูกส่งเสียงกระทบกันยามข้อมือขยับ “รู้ไหม แต่โบราณฟอเรสเทอร์เชื่อว่าแก่นแท้ของเราทุกคนคือวิญญาณ เมื่อเราตายไป วิญญาณก็จะไปผุดไปเกิดเป็นอีกสิ่ง จะเกิดเป็นสิ่งใดก็ขึ้นอยู่กับกรรมที่สร้างขึ้นในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ หากชดใช้กรรมหมดแล้ว ก็จะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก”

          “มัฟฟาซิลหัวหน้าเผ่าคนก่อนเชื่อถือและเคร่งครัดลัทธินี้มาก” เซ็นแวนเดอร์กล่าว “แล้วแม่เชื่อหรือเปล่าครับ”

          “แม่เป็นหมอผีประจำเผ่า มีอิทธิพลต่อความคิดของคนในเผ่าพันธุ์ บรรดาผู้ศรัทธาในลัทธินี้ย่อมอยากให้แม่เชื่อตาม” อาร์ทูมิสพูด “แต่การที่แม่มีหน้าที่รักษาคน ได้เรียนรู้เกี่ยวกับกลไกร่างกาย ตลอดจนชีววิทยาหลากหลายแขนง แม่ก็พบว่า ความเชื่อนี้ดูจะขัดต่อความเป็นจริง แม่ไม่ใช่คนสมัยใหม่หรอกลูกรัก แม่อายุมากแล้ว แต่แม่ก็เปิดรับสิ่งที่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มากกว่าความเชื่อทางไสยศาสตร์ แม่ไม่เชื่อเรื่องวิญญาณหรือภพชาติ แม่เชื่อว่าสิ่งที่ควบคุมร่างกายคนไม่ใช่วิญญาณ แต่เป็นสมอง ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดก็ว่าได้ หากเรามีวิญญาณจริง ก็แสดงว่าสมองนั้นไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลย ต่อให้มันถูกทำลายเราก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ ซึ่งความจริงไม่ใช่สักนิด อย่างน้อยแม่ก็ไม่ยอมให้ใครมาผ่าเอาสมองออกไปขณะยังมีชีวิตอยู่แน่”

          “แสดงว่าแม่ไม่เชื่อลัทธิเก่าแก่นี่”

          “แม่ไม่เชื่อจ้ะลูกรัก”

          “แล้วแม่แสดงความเคารพศพทำไมหรือครับ ในเมื่อวิญญาณไม่มีจริง ในเมื่อน้องสาวของแม่ไม่มีทางรับรู้ได้”

          “การที่แม่แสดงความเคารพศพนั้น ไม่ได้เพื่อทำการสื่อสารหรือสร้างปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับคนตาย” อาร์ทูมิสอธิบาย “แต่เพื่อทบทวนความทรงจำถึงช่วงเวลาดีๆ ที่แม่กับคนตายได้ทำร่วมกัน เป็นการเตือนตัวเองให้รู้ว่า ครั้งหนึ่ง คนที่นอนอยู่ในหลุมนี้เคยรักเรา ห่วงใยใส่ใจเรา และทำให้ชีวิตของเรามีความสุขยามที่เธอยังมีชีวิตอยู่ เสมือนเป็นการสานต่อความรักที่ไม่มีวันตายนั่นเอง การเคารพศพคือวิธีที่ดีที่สุดในการให้ลูกหลานจดจำบรรพบุรุษของตน ลองคิดดูสิเซ็นแวนเดอร์ลูกรัก หากเราไม่มีพิธีกรรมเคารพศพ คนที่ตายไปจะถูกลืมเลือนเร็วกว่าที่เป็นอยู่มาก”

          “ข้าเข้าใจแล้ว” เซ็นแวนเดอร์พยักหน้า “ข้าอายุสองร้อยกว่าปีแล้ว แต่ข้าก็ยังต้องฟังแม่สอนอยู่เรื่อยๆ”

          “ไม่มีใครในดาวดวงนี้ที่รู้ทุกอย่างหรอกลูกเอ๋ย และไม่มีใครแก่เกินกว่าที่จะรู้อะไรเพิ่ม” อาร์ทูมิสหันมายิ้มให้ลูกชาย “อย่าอายที่จะรู้อะไรเพิ่ม ความสงสัยคือบ่อเกิดแห่งปัญญา เฉลี่ยแล้วสติปัญญาของเราฟอเรสเทอร์นั้น ดูจะมีพัฒนาการที่ช้ากว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆ ทั้งนี้เพราะเราไม่ค่อยจะสงสัยอะไรนัก เอาแต่ยึดติดกับความคิดเดิมๆ เปิดรับความคิดใหม่ๆ น้อย มันอาจทำให้เราอยู่อย่างสงบก็จริง แต่ใครจะไปรู้ว่านานเท่าไหร่ แม่จึงคิดว่าเป็นเรื่องดีที่หัวหน้าเผ่าคนใหม่ของเราเป็นคนเปิดรับสิ่งใหม่ๆ มากขึ้น”

          “หากเทียบกับคนหัวเก่าอย่างอดีตหัวหน้าเผ่ามัฟฟาซิล ไม่ว่าใครก็ย่อมเปิดรับความคิดใหม่ๆ มากกว่าเขาล่ะครับ” เซ็นแวนเดอร์พูดขำๆ “ข้าไม่ได้บอกว่าเขาไม่ดีนะ เขาทำให้กาโกคอลอยู่อย่างสงบมาช้านาน แต่เขาก็หัวโบราณธรรมเนียมจัดไปหน่อย”  

          “ตำแหน่งใหม่ของลูกเป็นยังไงบ้าง” อาร์ทูมิสลูบไปตามชุดเกราะหนังประดับขนนกที่ลูกชายสวมอยู่เต็มตัว มันทำให้เขาสง่างามมากทีเดียว “รองผู้นำสูงสุดของแม่”

          “ก็ไม่มีอะไรเหลือบ่ากว่าแรงหรอกครับ แม่ก็รู้ว่าอาณาจักรนี้สงบมากเพียงใด ตั้งแต่พวกเฟลมฟอร์สเสื่อมอำนาจ” เซ็นแวนเดอร์บอก “ประชาชนของเราอยู่อย่างสงบและเท่าเทียม ตามหลักประชาธิปไตยแห่งป่า ดำเนินวิถีชีวิตไปตามธรรมชาติ จึงไม่มีอะไรให้ข้าต้องจัดการมากนัก”

          “นั่นเป็นเรื่องดีแล้ว เผ่าพันธุ์เรานิยมความสงบ ช่างเป็นช่วงเวลาที่ดี” อาร์ทูมิสโอบบ่าลูก “ประชาชนมีสุขภาพจิตดี มีสุขภาพกายที่แข็งแรง แม่ไม่ต้องรักษาใครเลยช่วงนี้ ในระหว่างที่เผ่าพันธุ์อื่นๆ กำลังทำสงครามกัน แม่หวังว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบต่อเรา”

          “แม่เป็นห่วงสุขภาพของผู้อื่นเสมอ” เซ็นแวนเดอร์โอบเอวแม่

          “ก็แม่เป็นหมอผีนี่ลูก มันเป็นหน้าที่ของแม่”

          “แม่รักหน้าที่นี้มาก” เซ็นแวนเดอร์กระซิบ “จนละทิ้งความเป็นเลือดพิเศษเพื่อมาเป็นหมอ”

          “ความเป็นเลือดพิเศษก็เหมือนกับอวัยวะร่างกาย หากไม่ได้ใช้นานๆ มันก็จะเสื่อมสภาพ ซึ่งความสามารถพิเศษของแม่มันไม่สามารถนำไปใช้รักษาคนได้ มันเหมาะที่จะใช้ทำร้ายคนมากกว่า มันไม่ใช่สิ่งที่แม่ชอบ แม่จึงไม่ใช้มัน ปล่อยให้มันเสื่อมสภาพ ปล่อยให้ตนเองกลายเป็นคนธรรมดาที่มีความพิเศษเรื่องการแพทย์แทน และแม่ก็มีความสุข” อาร์ทูมิสสูดหายใจอย่างชื่นบาน “ลูกรัก ตัวตนของเราไม่ใช่สิ่งที่เราเกิดมาเป็น แต่คือสิ่งที่เราเกิดมาแล้วเลือกที่จะเป็นต่างหาก เลือกเป็นคนที่ลูกต้องการจะเป็น และลูกจะพิเศษอย่างแท้จริง”

          “ข้าไม่รู้ว่าข้าเลือกถูกหรือไม่ แต่ข้าอยากเป็นเหมือนพ่อ” เซ็นแวนเดอร์มองคันธนูในมือของตนแล้วยิ้ม “เป็นนักรบผู้มีเกียรติ เก่งกาจ มีฝีมือ เสียสละ เอื้อเฟื้อ และเป็นสุภาพบุรุษตัวจริง”

          “พ่อของลูกเป็นคนดี และลูกก็เหมือนเขามาก หากเขามีชีวิตอยู่เขาจะต้องภูมิใจ” อาร์ทูมิสจับแก้มลูกชายอีกครั้ง “ลูกเป็นคนดีเหมือนกับเขา และยังได้รับความหล่อเหลามาจากเขาราวกับออกมาจากพิมพ์เดียวกัน” เธอลูบไล้หน้าลูกชาย “อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเราอยากจะเป็นเหมือนใคร ก็ขอให้เราเหมือนอย่างที่เป็นตัวตนของเรา เพราะที่สุดแล้ว ทั้งดาวดวงนี้ไม่มีใครเหมือนกันสักคนหรอก”

          “มีบางสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจครับท่านแม่” เซ็นแวนเดอร์พูด “พ่อของข้าเป็นพวกเลือดพิเศษธาตุน้ำแข็ง แต่ทำไมข้าถึงเป็นพวกเลือดพิเศษธาตุไฟ”

          “ลูกก็เป็นเลือดพิเศษมาตั้งนานแล้ว แต่เพิ่งมาถามตอนนี้หรือ” อาร์ทูมิสหัวเราะ

          “จะถามตอนไหน ยังไงคำตอบมันก็ไม่ต่างกันไม่ใช่หรือครับ”

          “อย่างแรก ลูกรู้ใช่ไหมว่าทุกสิ่งในดาวดวงนี้ มีต้นตอมาจากการรวมตัวของธาตุสามชนิด ไฟ น้ำแข็ง และสายฟ้า ทั้งสามธาตุนี้มีอยู่ทุกที่ในดาวดวงนี้ ทั้งในพื้นที่เรายืนอยู่ ทั้งต้นไม้ที่อยู่ตรงนั้น ทั้งในตัวคนเรา ทั้งในตัวลูก ทั้งในตัวแม่” อาร์ทูมิสอธิบาย “แต่ธาตุที่อยู่ในร่างกายสิ่งมีชีวิตชั้นสูงอย่างเผ่าพันธุ์ต่างๆ นั้นมีความซับซ้อนกว่าสิ่งทั่วไป หากธาตุทั้งสามที่อยู่ในตัวเราอยู่ในภาวะสมดุล หรือมีในสัดส่วนที่เท่าๆ กันนั้น เราก็จะเป็นพวกเลือดปกติ ไม่ได้มีความสามารถพิเศษผิดแผกจากธรรมชาติใดๆ  แต่หากเรามีธาตุใดธาตุหนึ่งในร่างกายสูงกว่าอีกสองธาตุในสัดส่วนที่มากเกินไป เราก็จะกลายเป็นพวกเลือดพิเศษ จะเป็นเลือดพิเศษธาตุอะไรนั้น ขึ้นอยู่กับว่าในร่างกายเรามีธาตุอะไรสูงที่สุด ไฟ น้ำแข็ง หรือสายฟ้า”

          “แม่หมายความว่า เลือดพิเศษนั้นเกิดจากการผิดปกติของเซลล์เลือด เช่นเดียวกับพวกมะเร็ง เนื้องอก หรือโรคทางพันธุกรรมอื่นๆ หรือครับ”

          “ฉลาดมากลูกรัก แต่ต่างกันตรงที่การมีเลือดพิเศษนั้นไม่ได้ทำให้ร่างกายเสียหาย จึงถือว่าเป็นโชคดีมากกว่าโชคร้าย” อาร์ทูมิสว่าต่อ “คนที่มีเลือดพิเศษนั้นสามารถแปลงสภาพมวลธาตุในร่างกายให้เป็นพลังงานอันทรงพลังได้ หรือที่เราเรียกอีกอย่างว่าความสามารถพิเศษ เวทมนตร์ หรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งการแปลงพลังงานจะออกมาในรูปแบบใดนั้น ขึ้นอยู่กับธาตุในเลือดของเรา และความสามารถส่วนตัวของเรา บางคนอาจทำได้เหมือนกัน ส่วนบางคนก็อาจทำได้ไม่เหมือนคนอื่น ลูกทำอะไรได้นะเซ็นแวนเดอร์”

          “ข้าสามารถยิงธนูดอกเดียว ให้แตกกระจายเป็นธนูไฟเกือบยี่สิบดอกได้ครับ”

          “เป็นความสามารถพิเศษที่น่าทึ่ง และแม่ยังไม่เคยเห็นใครทำได้เลย ลูกอาจเป็นคนเดียวในดาวดวงนี้ที่ทำได้ นั่นเป็นเพราะลูกมีเลือดพิเศษธาตุไฟ และมีพรสวรรค์เรื่องการยิงธนู” อาร์ทูมิสชม “แต่ก็อย่างที่แม่พูดไป หากเราไม่ทำความเข้าใจกับความเป็นเลือดพิเศษในตัวเรา ไม่พยายามใช้มัน ปล่อยให้มันขาดการกระตุ้น มันก็จะเสื่อมหายไป กลายเป็นคนที่มีเลือดธรรมดา อย่างที่แม่เป็น” เธอลูบมือไปบนผมสีน้ำตาลดำเข้มเรียบลื่นของเซ็นแวนเดอร์ ที่ยาวสลวยปรกหลัง “ฉะนั้นอย่าแปลกใจที่ลูกมีเลือดพิเศษคนละธาตุกับพ่อ สิ่งที่ลูกได้จากพ่อและแม่ทางกรรมพันธุ์ คือระบบเลือดที่ผิดพลาด แต่จะผิดพลาดในธาตุไหนนั้น มันขึ้นอยู่กับร่างกายของลูกเอง”

          “แล้วคนที่มีพ่อแม่เป็นพวกเลือดพิเศษ จะต้องเป็นเลือดพิเศษด้วยอย่างนั้นหรือครับ”

          “แน่นอนที่สุด ไม่ต่างจากการสืบทอดโรคทางพันธุกรรม” อาร์ทูมิสพยักหน้า “แต่คนที่ไม่ได้มีพ่อแม่เป็นพวกเลือดพิเศษ ก็มีโอกาสเป็นเลือดพิเศษได้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับระบบเลือดว่าจะเกิดความผิดพลาดหรือเปล่า เรื่องนี้เราไม่มีทางรู้”

          “แล้วอะไรคือความแตกต่างที่แท้จริง ระหว่างคนที่มีเลือดพิเศษธาตุไฟ ธาตุน้ำแข็ง ธาตุสายฟ้า และคนที่มีเลือดปกติล่ะครับ”

          “คงต้องใช้คำอธิบายเชิงการแพทย์ทีเดียว หวังว่าลูกจะเข้าใจนะ” อาร์ทูมิสชี้แจง “กุญแจความแตกต่างของเรื่องนี้คือลักษณะของเม็ดเลือด คนที่มีเลือดปกติจะมีเม็ดเลือดรูปร่างกลมๆ แบน ส่วนคนที่มีเลือดพิเศษธาตุไฟจะมีเม็ดเลือดรูปร่างเป็นแฉกๆ คล้ายเปลวไฟ คนที่มีเลือดพิเศษธาตุน้ำแข็งจะมีเม็ดเลือดรูปร่างเป็นผลึกดาว คล้ายเกล็ดน้ำแข็ง คนที่มีเลือดพิเศษธาตุสายฟ้าจะมีเม็ดเลือดรูปร่างหยักๆ เฉียงๆ คล้ายสายฟ้า เม็ดเลือดแห่งธาตุที่ต่างกันนี้ ส่งผลให้ผู้ที่มีเลือดพิเศษแต่ละธาตุมีการทำงานร่างกายบางส่วนที่ต่างกัน ทั้งฮอร์โมน อวัยวะภายใน ต่อมต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อลักษณะนิสัยด้วย เช่นพวกเลือดพิเศษธาตุไฟมักใจร้อน แต่ก็ไม่ใช่กับทุกคน ดูอย่างลูกสิ ลูกมีเลือดพิเศษธาตุไฟ แต่ลูกก็เป็นคนใจเย็นและนุ่มนวล ไม่ต่างจากพวกธาตุน้ำแข็งเลย”

          “หากเลือดพิเศษเกิดจากความผิดปกติของระบบเลือด” เซ็นแวนเดอร์ถามต่อ “ถ้าอย่างนั้น พวกเอลิลกับพวกเฟลมฟอร์สจะมีคนที่เป็นเลือดพิเศษได้อย่างไรล่ะครับ ในเมื่อสองเผ่าพันธุ์นี้ไม่มีเลือดในร่างกาย”

          “เป็นคำถามที่น่าสนใจ” อาร์ทูมิสพยักหน้า “แต่แม่จะบอกลูกว่า คนมากมายเข้าใจผิดเรื่องนี้ พวกเอลิลและเฟลมฟอร์สต่างก็มีเลือดในร่างกาย เพียงแต่ไม่ได้เป็นของเหลวและเห็นชัดเหมือนพวกเรา พวกนั้นมีเลือดเป็นธาตุอากาศ หรือที่เรียกกันว่าสสารประเภทก๊าซ ไม่มีสีไม่มีกลิ่น แต่สามารถสร้างพลังงานให้ร่างกายได้ ยามที่ถูกอาวุธตัดผ่าน เลือดของพวกเขาก็ไหลออกจากร่างเช่นกัน เพียงแต่เรามองไม่เห็นเพราะมันเป็นธาตุอากาศ ด้วยเหตุที่เลือดของพวกเอลิลและพวกเฟลมฟอร์สเป็นก๊าซ ทำให้ร่างกายของพวกนั้นใกล้เคียงกับสิ่งไม่มีชีวิต อดทนต่อทุกสภาพแวดล้อม ไม่เกิดประสาทสัมผัส ไม่ต้องการอาหารมาหล่อเลี้ยง ไม่ต้องหายใจ ใช้อากาศเพียงแค่พูด หรือพ่นไฟในกรณีของพวกเฟลมฟอร์สเท่านั้น แม่อยากลองนำร่างกายของพวกนี้มาศึกษาอย่างละเอียดสักครั้ง แต่พวกเอลิลนั้นคงถูกพวกไซคัสกวาดล้างไปหมดแล้ว พวกเฟลมฟอร์สที่เคยสู้รบกับเราก็ไม่เคยใช้ศึกษาได้ ร่างของพวกนั้นจะสลายเป็นไฟหายไปเวลาตาย จำได้ใช่ไหม”

          “หากร่างกายของพวกเอลิลแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งไม่มีชีวิต” เซ็นแวนเดอร์ยังไม่หายสงสัย “แล้วพวกนั้นเพิ่มจำนวนได้อย่างไรหรือครับ เอลิลแต่ละคนกำเนิดขึ้นมาได้ยังไง”

          “เอลิลทุกคนล้วนถูกสร้างขึ้นมาเหมือนหุ่นกระบอก แร่ไอซ์โกสท์ (Ice Ghost) คือวัตถุดิบที่สำคัญที่สุดในการสร้างเอลิล มันคือแร่ใต้ดินที่เกิดขึ้นได้เองจากปฏิกิริยาความเย็น ยิ่งอากาศเย็น ยิ่งมีแร่ชนิดนี้เกิดขึ้นมาก และยิ่งมีมากขึ้นอีกเมื่อขุดลึกลงไป เป็นเหตุให้พวกเอลิลขุดลงไปจนเจอพวกไซคัส และก่อสงครามกัน” อาร์ทูมิสอธิบาย “นำแร่ไอซ์โกสท์ไปเคี่ยวผสมกับของเหลวที่สกัดมาจากเซลล์ต้นแบบของเอลิล และหิมะในสัดส่วนที่เท่ากัน จนกระทั่งผสมเข้าที่แล้ว จึงนำไปเทใส่แม่พิมพ์บนพื้นน้ำแข็ง กลบด้วยหิมะ คล้ายๆ กับการฝังศพทีเดียว หลายคนเรียกมันว่าหลุมผี เข้าใจเปรียบเทียบดีนะ เพราะเมื่อทุกอย่างลงตัว เอลิลที่ถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์ก็จะมีชีวิต โผล่ออกมาจากแม่พิมพ์เหมือนผีที่โผล่ขึ้นมาจากหลุมศพทีเดียว จะใช้เวลากี่วันกี่เดือนนั้น ขึ้นอยู่กับความเย็นของพื้นที่ จะเห็นว่าความเย็นคือหัวใจของการเพิ่มจำนวนเอลิลทั้งสิ้น”

          “ฟังดูเป็นการกำเนิดที่ค่อนข้างผิดธรรมชาติทีเดียว ราวกับพวกเอลิลไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ” เซ็นแวนเดอร์ตั้งข้อสงสัย

          “ตำนานที่เก่าแก่ที่สุดล่ำลือว่า เอลิลและไซคัสกลุ่มแรกถูกสร้างขึ้น โดยสิ่งมีชีวิตที่มาจากดาวอื่นอันไกลโพ้น” อาร์ทูมิสเล่า “สิ่งมีชีวิตต่างดาว เอเลี่ยน อะไรก็แล้วแต่ที่คนจะเรียกกัน”

          “หมายถึง ผู้ที่สามารถเดินทางข้ามระหว่างดาวได้หรือครับ” เซ็นแวนเดอร์อ้าปากค้าง “ข้าไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน และไม่อยากเชื่อว่ามีใครทำได้ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เชื่อด้วยซ้ำว่ามีดาวดวงอื่นที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้”

          “มันเป็นแค่ตำนาน ไม่มีหลักฐานด้วยซ้ำ” อาร์ทูมิสเตือน “อาจไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้”

          “หากเป็นเรื่องจริง แสดงว่าผู้สร้างเหล่านั้นจะต้องมีความสามารถพิเศษที่มีพลังมหาศาล สามารถเดินทางข้ามดวงดาวอันไกลโพ้นได้” เซ็นแวนเดอร์กระซิบ

          “หรืออาจไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเลย ไม่ต่างจากพวกเลือดปกติ” อาร์ทูมิสเสริม “แต่มีสมองอันทรงพลัง ฉลาดเลิศล้ำ กระทั่งสามารถสร้างพาหนะที่เดินทางข้ามดวงดาวได้ อย่าได้ประมาทคนที่ดูเหมือนจะอ่อนแอเชียวลูกรัก เพราะพลังที่แท้จริงมันอยู่ที่สมอง”

          “สมมุติว่ามันเป็นอย่างในตำนานจริงๆ แล้วตำนานได้กล่าวไหมครับ ว่าทำไมตอนนี้ผู้สร้างเหล่านั้นถึงหายไปแล้ว” เซ็นแวนเดอร์ถามต่อ

          “เชื่อว่าพวกเขาถูกนายจ้างของพวกเขาเรียกตัวกลับดาว โครงการของพวกเขาถูกล้มเลิก เพราะขัดต่อหลักกฎหมายบ้าง งบประมาณไม่เพียงพอบ้าง เหตุผลทางการเมืองบ้าง อะไรก็แล้วแต่ สารพัดเหตุผลได้” อาร์ทูมิสสาธยาย “พวกเขารีบไปมาก หรือไม่ก็ขาดงบประมาณมากเสียจนไม่ได้เก็บกวาดสิ่งที่ตนสร้างยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งสร้างเพื่ออะไรก็สุดรู้ได้ เพื่อทดลอง เพื่อเป็นแรงงาน เพื่อผลประโยชน์ที่ซับซ้อน มันไม่สำคัญแล้ว เพราะสิ่งที่พวกเขาสร้างทิ้งไว้นั้น เกิดพัฒนาการมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสูงกว่าที่คาดไว้ สูงจนมีสมองคิดเอง สามารถดำเนินชีวิตไปตามเป้าหมายของตนได้ สูงจนกระทั่งสร้างสรรค์สิ่งมหัศจรรย์อื่นๆ ขึ้นมาได้ สูงจนกระทั่งสร้างพวกเราขึ้นมาได้”

          “แต่มันก็เป็นแค่ตำนานใช่ไหมครับ” เซ็นแวนเดอร์ว่า “อาจไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้”

          “จะใช่หรือไม่ใช่ มันก็ไม่สำคัญอะไรใช่ไหม” อาร์ทูมิสคุกเข่า ลูบไล้กลีบดอกไม้บนหลุมศพ “เราเกิดมาแล้ว สิ่งอื่นๆ ก็เกิดมาแล้ว ซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากอะไร ทุกสิ่งมีชีวิตก็ย่อมดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ดิ้นรนเพื่อสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ และกำลังจะเป็นในอนาคตอันใกล้หรือไกล จริงอยู่ที่เราไม่ควรจะลืมอดีต แต่หากอยากมีชีวิตที่ดีกว่า ก็ควรใส่ใจปัจจุบันและอนาคตให้มากกว่า”

          “ท่านแม่มีความคิดที่ชาญฉลาดและสมเหตุสมผลเสมอ” เซ็นแวนเดอร์กล่าวอย่างนับถือ “ไม่แปลกใจที่แม่ได้เป็นหมอผีประจำเผ่า เป็นหนึ่งในผู้นำความคิดของคนจำนวนมาก”  

          “ใช่แล้วพ่อหนุ่ม แม่ของเจ้าเป็นคนฉลาดและมีความคิดที่ดีเสมอ เป็นเรื่องดีที่ข้าได้ร่วมงานกับเธอ”

          แอเมน่า สกายซีหัวหน้าเผ่าฟอเรสเทอร์คนใหม่เดินเข้ามาหาทั้งคู่ ครั้งนี้เธอสวมมงกุฎขนนกประจำตำแหน่งหัวหน้าเผ่า สวมชุดกระโปรงผ้าบางๆ ที่ประดับด้วยขนนก ดูสวยสง่าสมเป็นหัวหน้าเผ่า อาร์ทูมิสถอนสายบัว เซ็นแวนเดอร์โค้งคำนับทำความเคารพ

          “ขออภัย ข้าไม่ได้ตั้งใจฟังพวกท่านสนทนากัน แต่มันคงเป็นประโยชน์มากทีเดียวท่านหมอผีอาร์ทูมิส หากท่านพูดดังๆ ให้คนอื่นได้ยิน” แอเมน่ายิ้มอย่างสดใส “ความรู้ที่ท่านมีควรได้รับการเผยแพร่ มันมีค่ามหาศาลสำหรับคนรุ่นหลัง”

          “ข้าจดเป็นบันทึกข้อความไว้แล้วค่ะ ท่านหัวหน้าเผ่า” อาร์ทูมิสตอบ “และยินดีให้คนรุ่นหลังได้นำไปศึกษาเสมอ หากพวกเขาต้องการ”

          “ข้าไปเยี่ยมหลานสาวของเจ้ามา เธอเป็นเด็กสาวที่น่ารักมาก ข้าชอบเธอ” แอเมน่าพูด

          “ท่านช่างกรุณาต่อเธอมากค่ะ โดยเฉพาะตอนที่เธอกำลังพยายามทำใจกับการสูญเสียพ่อ” อาร์ทูมิสว่า “ไมริฟชื่นชมท่านมาก ท่านเป็นแรงบันดาลใจให้เธอ”

          “ข้าก็เป็นแค่หญิงแก่ๆ คนหนึ่งที่อยู่มาครึ่งค่อนชีวิตแล้ว และก็ยังยึดติดกับสิ่งเดิมๆ เหมือนกับฟอเรสเทอร์ทั่วไป” แอเมน่ายิ้ม “แต่เด็กสาวคนนี้น่าสนใจมาก เธอกระตือรือร้น กระหายการเปิดหูเปิดตา สนใจสิ่งใหม่ๆ ดูเป็นเลือดใหม่ที่แตกต่างดี”

          “สภาพจิตใจเธอดีขึ้นบ้างแล้วใช่ไหมคะ” อาร์ทูมิสถาม “ข้าว่าเสร็จจากตรงนี้แล้ว จะไปเยี่ยมเธอสักหน่อย ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยมีเวลา หลังการเลือกตั้งมันค่อนข้างวุ่นวาย ท่านก็รู้”

          “แน่นอน เธอดีขึ้นแล้ว ความเจ็บปวดจากการสูญเสียสามารถเยียวยาได้โดยใช้เวลา หากมีชีวิตอยู่มานานอย่างข้าก็จะรู้เอง ข้าผ่านเรื่องนี้มามาก” แอเมน่าพยักหน้า “อย่างไรก็ตาม เธอไม่ค่อยชอบยาของท่านเท่าไรนัก เธอบอกว่ารสชาติมันแย่มาก”

          “ข้าจะไปพูดกับเธอเองค่ะ เธอต้องทนกินมันเข้าไปถ้าอยากหายจากการปวดท้องประจำเดือน” อาร์ทูมิสถอนสายบัวให้แอเมน่า “ขอตัวไปพบเธอก่อนนะคะ”

          อาร์ทูมิสเดินจากไป เสียงสร้อยข้อมือกระดูกของเธอดังกระทบกันขณะแกว่งแขน

          “ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าเป็นเด็กสาวที่กระตือรือร้นและมีความสามารถ ข้ารู้ว่าเธอกระหายที่จะพิสูจน์ตัวเองเหมือนหนุ่มสาววัยรุ่นทั่วไป” แอเมน่าบอกเซ็นแวนเดอร์ “ข้าจึงเสนองานให้เธอ เป็นหัวหน้ากลุ่มผู้เฝ้าระวังป่า ที่มีชื่อว่าวูดส์วาร์เด็น (Woods Warden)เธอดีใจมาก”

          “วูดส์วาร์เด็นหรือครับ” เซ็นแวนเดอร์ทวนคำ

          “หน่วยที่ข้าจัดตั้งขึ้นมาใหม่ ทำหน้าที่ดูแลเฝ้าระวังป่ารอบนอก ประกอบไปด้วยนักรบหนุ่มสาวเลือดใหม่ๆ” แอเมน่าอธิบาย “ข้าจะให้ไมริฟได้ใช้ความสามารถที่เธอถนัด ฝึกฝนเหล่านักรบรุ่นใหม่ๆ ขึ้นมา ตั้งเป็นสังกัดของเธอเอง แต่แน่นอนว่าพวกเขาขึ้นตรงต่อข้ากับเจ้า และจะช่วยสร้างความสงบปลอดภัยให้กับพื้นที่ป่ารอบนอกมากขึ้นเยอะทีเดียว”

          “ท่านกรุณาเธอมากครับ ข้าขอขอบคุณ” เซ็นแวนเดอร์โค้งศีรษะ “มันมีความหมายต่อเธอมาก เธอจะได้มีสิ่งที่น่าสนใจให้ทำ ระหว่างที่กำลังทำใจต่อการสูญเสียพ่อ”

          “แน่นอนว่าเธอและคนของเธอจะต้องมีประโยชน์ต่อเราแน่” แอเมน่ากล่าว “ในขณะที่อาณาจักรเรากำลังเงียบสงบกันอยู่ในป่านี้ อาณาจักรอื่นๆ กำลังเซ็งแซ่ไปด้วยเสียงตีเหล็ก เสียงย่ำเท้าของทหาร และเสียงประชุมกลยุทธ์ศึกของเหล่าแม่ทัพนายกอง สงครามมันกำลังขยายใหญ่ขึ้นเซ็นแวนเดอร์ และเราก็ไม่รู้ว่าความร้อนแรงของมันจะแผ่มาถึงอาณาจักรของเราหรือไม่ พวกวูดส์วาร์เด็นจะทำให้เรารับรู้โดยเร็ว หากมันแผ่มา”

          “ได้ยินว่าพวกดาร์คเนสดีวิลแข็งข้อ และพวกมนุษย์กำลังเตรียมยกพลเข้าปราบปราม” เซ็นแวนเดอร์พูด “ซึ่งหากปราบปรามสำเร็จ เชื่อว่าครั้งนี้พวกมนุษย์คงทำให้แน่ใจว่าพวกดาร์คเนสดีวิลจะไม่กระด้างกระเดื่องอีก อาจถึงขั้นลงทุนสร้างฐานทัพมนุษย์ขนาดใหญ่ในอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล และกระจายอำนาจการปกครองแบบเดียวกับที่ใช้ในอาณาจักรโมราโซมอสทีเดียว”

          “รู้ใช่ไหมว่านั่นหมายถึงอะไร” แอเมน่าถาม “พวกมนุษย์ขยายอาณาจักรกว้างขึ้น มีเส้นทางลำเลียงกองทัพใกล้อาณาจักรเรามากขึ้น ไม่ใช่เรื่องสบายใจเลยที่เขตส่งกองทัพของพวกมนุษย์ขยับเข้ามาใกล้ เราทุกคนต่างรู้ดีว่า มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักพอ พวกนั้นไม่มีทางหยุดขยายอำนาจการปกครอง”

          “ที่ผ่านมา อาณาจักรของเรายังไม่ได้รับอิทธิพลจากพวกมนุษย์ เพราะมีอาณาจักรแบร์ร็อค อาณาจักรโฟรเซ็นทิเทล และอาณาจักรไอซ์เมสขวางเส้นทางอยู่ทั้งสามทิศ” เซ็นแวนเดอร์บอก “แต่หากครั้งนี้โฟรเซ็นทิเนลถูกปราบปราม มันก็จะไม่เหมือนเดิม ยิ่งตอนนี้กองเรือโฮเซ่ก็ถูกกองเรือมนุษย์ตีแตกยับ พวกโฮเซ่กำลังเสียเปรียบ ไม่อยากนึกเลยว่า หากพวกมนุษย์ควบคุมได้ทั้งแบร์ร็อคและโฟรเซ็นทิเนล ชะตากรรมกาโกคอลของเราจะเป็นอย่างไร”

          “เราต้องใส่ใจเหตุการณ์นอกอาณาจักรบ้างแล้ว จะเก็บตัวเงียบเกินไปไม่ได้ อย่างน้อยจะได้รู้ก่อนที่ภัยจะมาถึงตัว” แอเมน่าบอก “ข้าได้ว่าจ้างพวกเซ็นทอร์นักเดินทางที่เร่ร่อนอยู่ตามดินแดนร้าง ให้เป็นหูเป็นตาให้เรา คอยติดตามความเคลื่อนไหวของศึกที่กำลังจะเกิดขึ้นที่โฟรเซ็นทิเนล”

          “เซ็นทอร์นักเดินทางหรือครับ” เซ็นแวนเดอร์ไม่ค่อยศรัทธา “พวกครึ่งคนครึ่งม้ามักจะเอาแต่ดื่มไวน์เมา ท่านไว้ใจได้หรือ”

          “อย่างน้อย พวกนั้นก็เชี่ยวชาญพื้นที่นอกอาณาจักรบางส่วนมากกว่าพวกเรา เซ็นทอร์กลุ่มนี้เร่ร่อนไปเรื่อย หาไวน์ดื่มไปวันๆ” แอเมน่าบอก “พื้นที่ที่อยู่ใกล้กับอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลและอาณาจักรโมราโซมอสนั้น เป็นพื้นที่ที่เราไม่คุ้นเคย ข้าไม่เสี่ยงส่งคนในเผ่าพันธุ์ไป โดยเฉพาะในยามที่กำลังเกิดศึก”

          “หวังว่าเราจะเชื่อในสิ่งที่พวกเซ็นทอร์พูดได้” เซ็นแวนเดอร์ว่า “พวกนั้นอาจเมาจนมองเห็นอะไรผิดๆ เพี้ยนๆ “  

          “เราต้องรับรู้ความเป็นไปของศึกครั้งนี้ แม้จะรับรู้จากพวกเซ็นทอร์ขี้เมาก็ตาม” แอเมน่ากล่าว “ศึกครั้งนี้ มันอาจเป็นศึกชี้ชะตาความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายทั้งปวงก็ได้”  

 

***************

               

          ดึกมากแล้ว แต่โซลิแทร์ก็ยังไม่นอน เพราะปกติเขาเป็นคนนอนดึกและตื่นสาย จะเรียกว่าขี้เกียจก็ไม่ใช่ เพราะตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ เขาก็ทำงานทำหน้าที่ของตนโดยไม่บกพร่อง อีกทั้งยังทำได้ดีเป็นพิเศษเสียด้วย เพราะตอนกลางคืนความคิดของเขาจะกระจ่างโลดแล่นเป็นพิเศษ ดังนั้น เรียกว่ามีเวลานอนไม่เหมือนคนทั่วไปจะถูกต้องกว่า ซึ่งถือว่าเป็นผลดีด้วยซ้ำ เนื่องด้วยพวกดาร์คเนสดีวิลให้ความสำคัญกับผลงานมากกว่ากฎระเบียบข้อบังคับ พวกเขาไม่ได้กำหนดเวลางานที่แน่นอนเหมือนพวกมนุษย์ พวกเขาให้แต่ละคนเลือกทำงานตามช่วงเวลาที่ถนัด เสมือนการเปลี่ยนเวรยามกันทางอ้อม พวกที่ตื่นเช้าก็ทำงานตอนเช้า พวกที่ตื่นสายก็ทำงานตอนดึก จึงเป็นที่มาของคำว่าปีศาจไม่เคยหลับใหล หรือปีศาจทำงานตลอดเวลา

          อย่างไรก็ตาม หากมีเหตุจำเป็น เช่นเกิดสงคราม ต้องป้องกันเมือง หรือต้องปฏิบัติภารกิจกะทันหัน แต่ละคนก็สามารถเปลี่ยนมาทำหน้าที่ตามเวลานั้นๆ ได้

          แม้ว่าตอนนี้จะไม่ใช่เวลาทำงานของโซลิแทร์แล้ว เขาเปลี่ยนจากชุดออกศึกเป็นชุดผ้าคลุมสีดำธรรมดาแล้ว แต่ก็ไม่วายสวมหน้ากากและสวมฮู้ดคลุมศีรษะมิดชิด ราวกับติดนิสัยชอบสวมหน้ากากสวมฮู้ด ดวงตาสีน้ำเงินโตเรืองแสงอยู่ท่ามกลางความมืดใต้หมวกฮู้ดไม่เปลี่ยนแปลง เขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีใบสีดำห้าแฉก ขีดเขียนลงบนกระดาษด้วยปากกาเหล็กสีดำ มือทั้งสองยังคงสวมถุงมือดำเช่นทุกครั้ง แสงจากตะเกียงที่แขวนบนกิ่งไม้เหนือหัวช่วยส่องแสงให้มองเห็น ขวดหมึกที่ใช้ก็ต้องวางไว้ใกล้กับกองไฟ เพื่อไม่ให้อากาศอันหนาวเย็นทำมันข้นตัวจนเกินไป กระดาษอีกปึกใหญ่ที่เขียนเสร็จแล้ววางอยู่ข้างกาย โดยมีแผ่นหนังรองไม่ให้หิมะบนพื้นทำมันชื้น ขณะที่ตัวเขากลับนั่งอยู่บนพื้นหิมะสบายๆ โดยไม่รู้สึกเย็นเลย แน่นอนว่าดาร์คเนสดีวิลเป็นเผ่าพันธุ์แดนหนาว ย่อมเคยชินกับความหนาวเย็นเป็นธรรมดา โซลิแทร์เองก็เคยนอนสบายๆ บนพื้นหิมะทั้งคืนโดยไม่รู้สึกหนาว หิมะเย็นเฉียบให้ความรู้สึกเป็นมิตรต่อเขา บอกให้เขารู้ว่ายังอยู่ในถิ่นของตน เขตแดนที่ตนคุ้นเคย ทำให้เขาจิตใจสงบ

          เวลานี้ก็เช่นกัน มันทำให้เขาเอาแต่เพลิดเพลินกับการเขียนจนไม่ได้สนใจหม้อต้มน้ำบนกองไฟข้างหน้า มันมีใบไม้จากต้นไม้ที่เขานั่งอยู่ร่วงลงไป จนน้ำในหม้อเป็นสีดำเข้มข้นแล้ว

                เสียงฝีเท้าย่ำหิมะเบาๆ ดังมาจากทางด้านซ้าย โซลิแทร์ยังคงก้มหน้าก้มตาเขียนต่อไปโดยไม่ใส่ใจ เป็นเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคย เสียงฝีเท้าของดาร์คเนสดีวิลที่จะเกิดเสียงเบามากเวลาย่ำเท้า เนื่องด้วยเผ่าพันธุ์แดนหิมะอย่างพวกเขาสามารถเดินบนผิวหิมะได้โดยไม่จมลงไป รวมทั้งสามารถเดินบนแผ่นน้ำแข็งบางๆ โดยไม่ทำมันแตกได้ด้วย

          “นอนดึกอีกตามเคยนะ” กัปตันมาซูลนั่งลงข้างๆ กองไฟเพื่อขับไล่ความหนาวเย็น เขาสวมชุดเกราะครบชุด คงเพิ่งเสร็จจากการปฏิบัติหน้าที่

          “แล้วมันทำใครเดือดร้อนหรือ” โซลิแทร์ยังไม่เงยหน้าจากงานที่เขียน

          “ไม่สักคน” กัปตันมาซูลถอดหมวกเกราะที่ประดับจิ้งจอกหิมะออก “กลายเป็นดีเสียอีก เมื่อมีคนอย่างท่าน ก็จะได้มีคนคอยดูแลฐานทัพในเวลาที่คนอีกส่วนหนึ่งหลับกันหมด ฐานทัพของเราก็จะได้มีคนเฝ้าดูตลอดเวลา กลางคืนของที่นี่ก็จะได้ไม่เงียบเหงาจนเกินไปด้วย”

          “ข้าชอบกลางคืนมากกว่ากลางวัน” โซลิแทร์กล่าว เสียงค่อนข้างทึบเพราะพูดผ่านหน้ากาก “เงียบสงบ ไม่วุ่นวาย ไม่ค่อยมีอะไรกวนใจ แสงแดดไม่แยงตา มองเห็นดาวเต็มท้องฟ้า”

          “เป็นเพราะเลือดฟอเรสเทอร์ที่มีอยู่ในตัวของท่านหรือเปล่า ที่ทำให้พฤติกรรมการดำรงชีวิตของท่านค่อนข้างจะผิดเวลา” กัปตันมาซูลตั้งข้อสงสัย “ชอบดำรงชีวิตตอนกลางคืนมากกว่ากลางวัน ดังเช่นพวกฟอเรสเทอร์”

          “เป็นไปได้ พันธุกรรมอาจส่งผลต่อสิ่งเหล่านี้” โซลิแทร์ยังคงเขียนต่อไป “แม้ว่าข้าจะมีเลือดฟอเรสเทอร์ในร่างกายน้อยมากก็ตาม แค่ร้อยละห้าเท่านั้น แต่มันก็ทำให้ข้าไม่ได้เป็นปีศาจแท้ๆ ข้ามีเลือดที่แตกต่างจากดาร์คเนสดีวิลคนอื่นๆ” เขาหยุดเขียนแล้วเงยหน้ามองกัปตันมาซูล “ตามความเห็นท่าน ท่านคิดว่ามันทำให้ข้าแตกต่างจากปีศาจทั่วไปไหม”

          “จะเพราะเลือดหรือไม่ใช่ ยังไงท่านก็ต่างจากปีศาจทั่วไปอยู่แล้ว ท่านลอร์ด” กัปตันมาซูลหัวเราะ “ความเพี้ยนของท่าน แนวคิดแปลกๆ พฤติกรรมที่ยากจะเลียนแบบ บุคลิกที่ไม่เหมือนใคร ข้าบอกตรงๆ เลยว่า ไม่เคยเห็นดาร์คเนสดีวิลคนใดประหลาดเท่าท่านมาก่อน” เขาเอื้อมมือมาจับแขนโซลิแทร์ “ยังไงก็แล้วแต่ ไม่มีปีศาจคนใดที่ไม่คิดว่าท่านคือหนึ่งในพวกเขา เราทุกคนล้วนแตกต่างกัน แต่เราก็เป็นหนึ่งเดียวกันได้ เพราะเรารักและดูแลซึ่งกันและกัน”

          “ก็ในเมื่อไม่มีใครอยากจะรักและดูแลปีศาจ ปีศาจก็ต้องรักและดูแลกันเอง” โซลิแทร์ก้มหน้าเขียน ดวงตาสีน้ำเงินเรืองแสงกลอกตามปากกาในมือ

          “ซึ่งก็ทำได้ดีด้วย” กัปตันมาซูลพูดอย่างชื่นบาน หายใจออกมาเป็นไอควันสีขาว “ดีพอๆ กับที่พวกมนุษย์กัดกันเอง”

          “ท่านเพิ่งกลับมาจากหมู่บ้านควอเตอร์สตรีท (Quarter Street) ได้ทราบความเคลื่อนไหวอะไรเกี่ยวกับพวกมนุษย์บ้าง” โซลิแทร์ถาม

          “เท่าที่ได้ยินจากเสียงบ่นของพวกทหารมนุษย์ที่ไปดื่มเหล้าที่นั่น พอทราบว่ากองทัพมนุษย์ที่จะยกมาบุกพวกเรานั้น กำลังจะพร้อมในอีกไม่นาน เรื่องนี้เราก็เดากันได้อยู่แล้ว” กัปตันมาซูลรายงาน

          “ใช่แล้ว เรื่องนี้เราเดาได้อยู่แล้ว” โซลิแทร์พูดไปเขียนไป

          “อีกเรื่องคือตอนนี้ เมืองซาโมโรว์กำลังวุ่นวายด้วยกลุ่มกบฏโฮเซ่ พวกมนุษย์พยายามจัดการเรื่องนี้อยู่ คงจัดการได้ในอีกไม่นาน” กัปตันมาซูลรายงานต่อ “เป็นเรื่องดีสำหรับเรา ที่หน้าด่านและศูนย์กลางกองทัพเรือของพวกมนุษย์เกิดความวุ่นวาย”

          “กบฏโฮเซ่ไปอยู่ในเมืองมนุษย์ได้อย่างไร”

          “พวกนั้นฉวยโอกาสขึ้นฝั่งที่ซาโมโรว์ ขณะที่กองเรือบางส่วนของพวกมนุษย์ถูกตีแตกยับ”

          “น่าแปลกใจว่าร้านเหล้ามักจะเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนข่าวสารที่ควรค่าแก่การฟังเสมอ” โซลิแทร์ค่อนข้างทึ่ง

          “ท่านควรจะลองไปหมู่บ้านควอเตอร์สตรีทดูสักครั้งนะ” กัปตันมาซูลแนะนำ “ที่นั่นอาจดูแปลกๆ แต่ก็อยู่สบาย มีที่พักสบายๆ ให้อยู่ มีร้านเหล้าท้องถิ่นให้ดื่ม คนมากหน้าหลายตาจากทุกสารทิศจะแวะเวียนไปที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นใคร เมื่อเข้าไปในร้านเหล้าก็เหมือนกันหมด คือไม่ใส่ใจว่ามาจากเผ่าพันธุ์ใด แค่กิน ดื่ม คุย ไม่ต้องสนใจสิ่งอื่นให้มาก เป็นสถานที่แห่งอิสระเสรี แม้หมู่บ้านจะอยู่ไม่ไกลจากเขตอาณาจักรโมราโซมอสมากนัก แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับโมราโซมอสเลย ยังไงควอเตอร์สตรีทก็ถือว่าอยู่ในเขตดินแดนร้าง ที่ไม่มีเผ่าพันธุ์ใดเป็นเจ้าของ”

          “แล้วใครเป็นเจ้าของหมู่บ้านล่ะ”

          “เจ้าของร้านเหล้าประจำหมู่บ้าน” กัปตันมาซูลตอบ “เป็นไมโนลล์ ชื่อเฟรนส์”

          “ไมโนลล์อย่างนั้นหรือ” โซลิแทร์ทวนความจำ “แบบเดียวกับเจ้าตัวที่ขโมยไข่เอเลนเซฟเวอรี่สีดำของไพรม์ดีวอเชอร์เมื่อสิบเก้าปีก่อนน่ะหรือ”

          “พวกไมโนลล์ก็อย่างนี้ ละโมบ ขี้งก พวกที่ทำธุรกิจก็เต็มไปด้วยความตระหนี่ ลุ่มหลงของมีค่าหายากยิ่งกว่าสิ่งใด แต่เจ้าไมโนลล์เฟรนส์นี่พอใช้ได้ อย่างน้อยก็เข้ากับคนที่ไปกินเหล้าได้ดี โดยเฉพาะคนที่จ่ายเงินให้มากๆ” กัปตันมาซูลชักดาบที่มีลักษณะคล้ายเขี้ยวปีศาจ และสลักลายเขี้ยวปีศาจออกมาเขี่ยไฟให้ลุกติดแรงขึ้น

          พวกดาร์คเนสดีวิลไม่ใช้ไม้ฟืนก่อไฟ พวกเขาใช้สิ่งที่หาง่ายกว่าและติดไฟง่ายกว่า คือก้อนแร่สีขาวที่มีเต็มไปหมดในอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล มันติดไฟง่าย ให้ไฟแรง และแทบไม่เกิดควันเลยด้วย

          “น่าสนใจ” โซลิแทร์พึมพำขณะเขียนไปเรื่อยๆ “คราวหลัง หากข้าอยากทราบความเคลื่อนไหวของสิ่งที่เกิดนอกอาณาจักรเรา ข้าจะส่งท่านไปดื่มเหล้าที่นั่นอีก”

          “ท่านก็ควรจะไปบ้างนะ ไปเปิดหูเปิดตาดูโลกภายนอกบ้าง” กัปตันมาซูลชวน “นิสัยเสียอีกอย่างของท่าน คือชอบอยู่ติดพื้นที่ของตน ไม่คิดจะออกไปไหนเลย”

          “ข้าไม่ดื่มของมึนเมาทุกชนิด ท่านก็ทราบดี” โซลิแทร์พูด “แล้วข้าก็ไม่ชอบเที่ยวเตร่ ไม่ชอบสังคม ข้าชอบความเป็นส่วนตัว ชอบอยู่กับตัวเอง หรืออยู่กับคนที่คุ้นเคยจริงๆ”

          “แล้วท่านก็ชอบมานั่งเขียนหนังสือเงียบๆ ในสุสานแห่งนี้” กัปตันมาซูลเสริม “ถามตรงๆ เถอะ มันไม่มีที่อื่นที่ท่านชอบนั่งแล้วหรือไง นอกจากบนหลุมศพอาของท่าน”

          เขาชี้มายังต้นไม้ที่โซลิแทร์กำลังนั่งพิงอยู่ ผิวต้นไม้เหนือหัวโซลิแทร์นั้นมีตัวอักษรสีดำสลักว่า เอโมลิล แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม และมีตัวอักษรอีกบรรทัดหนึ่งสลักว่า เดอะ โนเวลิสท์ (The Novelist) ฉายาของเขา อีกทั้งยังสลักตราสัญลักษณ์รูปปากกาขนนกที่มีปลายเป็นสามง่ามไว้ข้างใต้ คงจะเป็นตราสัญลักษณ์ประจำตัวเอโมลิล ใต้ต้นไม้ต้นนี้ฝังร่างของเขาไว้ นี่คือธรรมเนียมการฝังศพของดาร์คเนสดีวิล ฝังไว้ใต้หิมะ แล้วปลูกต้นไม้ชนิดนี้ไว้บนหลุมศพ พวกเขาจึงเรียกต้นไม้ใบดำนี้ว่าต้นทูมสโตน (Tombstone) เสมือนว่ามันเป็นแผ่นป้ายหลุมฝังศพ เป็นหนึ่งในพืชยืนต้นไม่กี่ชนิดที่หาได้ง่ายในอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล มันเติบโตบนหิมะและน้ำแข็ง ขึ้นเฉพาะในพื้นที่อาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล เรียกว่าเป็นพืชประจำเผ่าพันธุ์ดาร์คเนสดีวิลก็ว่าได้ หากมองไปรอบๆ จะพบว่าบริเวณนี้มีต้นทูมสโตนอยู่เต็มไปหมด เนื่องด้วยสถานที่ซึ่งโซลิแทร์กำลังนั่งอยู่นี้ คือสุสานฝังศพพวกดาร์คเนสดีวิล มันจึงเงียบเป็นพิเศษ

          “ข้าชอบมานั่งตรงนี้ มันทำให้เกิดแรงบันดาลใจ” โซลิแทร์ชี้ไปที่ชื่อที่สลักเหนือหัว “อาของข้าเป็นนักเขียนผู้มีฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ มีอุดมการณ์ที่สอดคล้องกันระหว่างการเขียนและการรบ ข้ารู้สึกว่านี่อาจเป็นส่วนที่ทำให้เราคล้ายคลึงกัน”

          “ท่านดูคล้ายเขาก็ตอนที่เขียนหนังสือนี่ล่ะ” กัปตันมาซูลมองโซลิแทร์อย่างพิจารณา

          “ข้าชอบเขียนหนังสือ การเขียนหนังสือ สร้างจินตนาการ สร้างเหตุสร้างผล เสริมเติมความคิดสร้างสรรค์ มันคือวิธีที่ดีที่สุดที่ทำให้คนเราฉลาดขึ้น” โซลิแทร์จุ่มหมึกดำแล้วเขียนต่อ “มากกว่าการอ่านหนังสือหรือรับความรู้มาจากคนอื่น เพราะนั่นไม่ได้ทำให้เราคิดเองมากนัก การจะเป็นคนฉลาดนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลยกัปตันมาซูล แค่คิดเองบ่อยๆ”

          “แน่นอน เราทุกคนรู้ดีว่าท่านเป็นอัจฉริยะ ท่านลอร์ด” กัปตันมาซูลยอมรับ “ท่านเติบโตมากับอัจฉริยะอย่างไพรม์ดีวอเชอร์และอาจารย์เซซิล ท่านซึมซับวิธีคิดแปลกๆ มาจากพวกเขา ท่านเพี้ยนและมีโลกส่วนตัวสูงอย่างที่อัจฉริยะเป็นกัน ซึ่งบางครั้งมันก็ทำให้ข้าไม่ค่อยจะเข้าใจท่านเลย”

          “คนบ้าเท่านั้นจึงจะเข้าใจคนบ้า” โซลิแทร์พึมพำขณะเขียน “และต้องบ้าแบบเดียวกันด้วย”

          “ท่านรู้ไหม ท่านนี่เป็นเลือดที่แตกต่างจริงๆ นะ” กัปตันมาซูลยิ้ม “แตกต่าง แปลกประหลาด ไม่เหมือนใคร พิเศษ”

          “ข้าก็แค่ปีศาจธรรมดาที่ทำตัวแปลกๆ เท่านั้นเอง” โซลิแทร์จุ่มหมึกเขียนใหม่

          “แล้วตกลงท่านเขียนเรื่องเกี่ยวกับอะไรหรือ” กัปตันมาซูลมองกระดาษในมือโซลิแทร์

          “อะไรก็ตามที่ใช้จินตนาการและแนวคิดเชิงเหตุผลมากๆ” โซลิแทร์ตอบไปเขียนไป

          “ไม่หาสมุดมาเขียนใส่สักเล่มล่ะ เขียนลงในกระดาษหลายๆ แผ่นแบบนี้มันดูเป็นเศษกระดาษยังไงพิกล ยิ่งลายมือท่านเหมือนไก่เขี่ยด้วย”

          “ประการแรก หากข้าเขียนลงในสมุด แล้วหน้ากระดาษมันหมดก่อนที่ข้าจะเขียนจบ มันก็ดูขาดความเป็นเอกภาพ” โซลิแทร์กล่าว “ประการที่สอง คุณค่าของหนังสือ ไม่ได้อยู่ที่ลักษณะของสิ่งที่ถูกเขียน หรือลายมือที่ใช้เขียน มันอยู่ที่เนื้อหาต่างหาก”

          “ท่านนี่มีความเป็นศิลปินในตัวสูงจริงๆ นะ” กัปตันมาซูลส่ายหน้ายิ้มๆ

          “ข้าก็แค่ใช้ชีวิตตามที่ตนถนัด ทำในสิ่งที่ตนชอบ” โซลิแทร์พูด “ยามใส่ชุดเกราะ ข้าฝึกซ้อมต่อสู้เพื่อพัฒนาฝีมือการรบ ยามถอดชุดเกราะ ข้าก็มานั่งเขียนหนังสือเพื่อพัฒนากระบวนการคิด สิ่งเหล่านี้มันทำให้ข้ารู้สึกว่า ทำแล้วตนเองแข็งแกร่งและมีพลัง”

          “การได้ทำในสิ่งที่ตนชอบและถนัด ย่อมทำให้ตนรู้สึกแข็งแกร่งและมีพลัง” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังกัปตันมาซูล กัปตันมาซูลสะดุ้งและหันไปมอง ขณะที่โซลิแทร์นั่งเฉยๆ ตายังจับจ้องที่ปากากและกระดาษในมือ

          “ไม่ชอบดีวอเชอร์ก็ตรงนี้” โซลิแทร์พูดไปเขียนไป “มักจะปรากฏตัวแบบไม่มีใครคาดฝัน เพราะไม่มีเสียงฝีเท้า”

                เซซิลปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความมืด เสื้อคลุมแผ่นโลหะสีดำที่เขาสวมใส่อยู่นั้นกลืนเป็นสีเดียวกับความมืดรอบๆ บริเวณ เห็นเพียงใบหน้าซีดเซียวและผมยาวสีเงิน คล้ายกับว่ามีแต่หัว เขาลอยขึ้นจากพื้นขยับมายืนข้างๆ กัปตันมาซูล รองเท้าเหล็กมีแสงเล็กน้อยระหว่างที่กำลังลอย

                “งานก่อสร้างสิ่งป้องกันเสริมตามกำแพงน้ำแข็งทั้งสามชั้น ยังไม่สมบูรณ์ดี” เซซิลรายงาน “คาดว่าพวกมนุษย์จะยกทัพมาถึงก่อนที่มันจะเสร็จสมบูรณ์”

                “ไม่จำเป็นต้องเสร็จสมบูรณ์ ข้าก็เชื่อว่าเราจะใช้ต้านทัพพวกมนุษย์ได้ ถูกสร้างมาดีเสียขนาดนั้น” กัปตันมาซูลบอก “ไว้ทำการขับไล่พวกมนุษย์แล้ว เราค่อยกลับมาสร้างให้สมบูรณ์ก็ได้”

                “หากจะใช้วิธีนั้นก็ไม่เสียหาย” เซซิลพยักหน้า “โครงการสร้างอาจถูกเลื่อนให้ล่าช้าไปบ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร”

                โซลิแทร์วางปากกาลง ถอดหน้ากากเปิดหมวกฮู้ดออก แล้วเอื้อมมือไปหยิบแก้วโลหะมีหู ตักน้ำในหม้อดื่ม ทันทีที่อึกแรกไหลลงคอ เขาก็รู้สึกมีกำลังวังชาและกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเป็นกอง เด็กหนุ่มมองในแก้ว พบว่าใบไม้ห้าแฉกสีดำนี่เองที่เปลี่ยนให้น้ำในหม้อมีรสขมและเป็นสีดำเข้มข้น ใบจากต้นทูมสโตนบนหลุมศพของเอโมลิล

          “พวกท่านรู้ไหม” โซลิแทร์เอ่ยขึ้น “ใบทูมสโตนนี่สามารถนำมาต้มกับน้ำดื่มได้ รสชาติดีทีเดียว ดื่มแล้วสดชื่นมีพลัง ช่วยให้พวกท่านรู้สึกอบอุ่นสบายตัวด้วย”

          เซซิลและกัปตันมาซูลมองหน้ากัน ที่โซลิแทร์พูดมามันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่กำลังคุยอยู่เลย

“ข้าเห็นด้วยกับสโนว์ฟ็อกซ์ ที่แม้สิ่งป้องกันเสริมตามกำแพงของเราจะยังไม่สมบูรณ์ เราก็ยังสามารถใช้มันต้านทัพพวกมนุษย์ได้สบาย” โซลิแทร์กล่าว “อย่างไรก็ตาม ข้าอยากให้มันเสร็จสมบูรณ์โดยไม่ต้องมีพวกมนุษย์มาขัดจังหวะ ในเมื่อศึกครั้งนี้ พวกมนุษย์ไม่ได้มีจำนวนมากมายถึงขั้นต้องใช้กำแพงรับศึก”

          “ท่านหมายความว่าครั้งนี้ เราจะนำทัพออกไปปะทะกับพวกมันนอกกำแพงหรือ” เซซิลถาม

          “ถูกแล้ว” โซลิแทร์พยักหน้า “แนวป้องกันตามกำแพงจะได้เสร็จสมบูรณ์ตามเวลา แล้วเราก็จะได้ประโยชน์อื่นจากการต่อสู้โดยไม่ใช้กำแพงด้วย”

          “ประโยชน์อะไรหรือ”

          “ตามที่คาดไว้ พวกมนุษย์ยกทัพมาทั้งทหารราบและทหารม้า ซึ่งทหารม้าคงมีจำนวนไม่น้อย” โซลิแทร์ชี้แจง “พวกมันเชื่อว่าทหารม้าเป็นกองกำลังที่ค่อนข้างไร้เทียมทาน เพราะต้านทานยาก โจมตีหนัก และเคลื่อนพลแปรขบวนได้รวดเร็ว”

          “อย่าลืมว่าเราก็มีทหารม้าเหมือนกัน มีเยอะ แล้วก็เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพด้วย” กัปตันมาซูลบอก

          “ข้าจึงอยากให้เรามีทหารม้าเพิ่ม” โซลิแทร์กล่าว “ด้วยความช่วยเหลือจากพวกมัน”

          “ท่านหมายถึง”

          “สู้กับพวกมันในที่โล่ง เราจะยึดม้าของพวกมันได้ง่ายกว่า” โซลิแทร์อธิบาย “ศึกครั้งนี้ข้าไม่เพียงต้องการพิชิตทัพพวกมนุษย์ ข้าต้องการม้าของพวกมันมาแปรสภาพเป็นม้าปีศาจให้แก่ทหารม้าฝ่ายเราด้วย”

          “เข้าใจคิด” เซซิลชม

          “และด้วยการต่อสู้ในที่โล่ง ทำให้เราสามารถล้อมกรอบพวกมันได้” โซลิแทร์พูดต่อ “ศึกครั้งนี้ ข้าต้องการให้มีมนุษย์เหลือรอดกลับไปน้อยที่สุด เป็นไปได้คือ ไม่ให้รอดสักคน”

          “น่าสนใจมาก โดยเฉพาะที่บอกว่าไม่ให้มนุษย์รอดสักคน” กัปตันมาซูลพูดอย่างคึกคัก

          “รู้ใช่ไหมว่าหากครั้งนี้พวกมนุษย์แพ้ พวกมันก็จะส่งกองทัพใหญ่กว่าเดิมมาโจมตีเราอีก” เซซิลบอก

          “นั่นคือแผนของเรา” โซลิแทร์ดื่มน้ำต้มใบทูมสโตนในแก้วจนหมด “ให้พวกมันส่งทัพมา ให้เรากำจัดในวิธีที่เราถนัด จนกระทั่งเหลือกองทัพในอาณาจักรโมราโซมอสน้อย เราจะได้มีช่องทางในการช่วยพวกพ้องที่พวกมนุษย์จับไปเป็นเชลยศึกออกมา”

          “ปีศาจเกลียดการจองจำ ปีศาจเกลียดโซ่ตรวน” กัปตันมาซูลเสียงแข็ง “พวกมนุษย์โหดเหี้ยมที่นำพี่น้องเราไปใส่กรงแบบนั้น พวกมันจะต้องเสียใจ”

          “ยังไงก็แล้วแต่ การจะไปบุกเมืองมนุษย์นั้นมีความเสี่ยง เราไม่ถนัดเรื่องต่อสู้นอกถิ่นฐาน ฉะนั้นค่อยเป็นค่อยไป” โซลิแทร์พูดอย่างใจเย็น “ทำในสิ่งที่เราถนัดเสียก่อน ต้านการบุกจากพวกมนุษย์เป็นอย่างแรก แสดงให้พวกมันได้รับรู้ว่า จะไม่สามารถเหยียบพวกเราได้ง่ายๆ อีกต่อไป พวกมันจะรับรู้ถึงความสามารถของปีศาจเลือดใหม่ๆ เลือดที่แตกต่างจากที่พวกมันเคยเห็นมา”

          “แล้วพวกมันจะไม่มีวันลืมเลย” เซซิลพูด

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา