It's Up To You School โรงเรียนแบบนี้ก็มีด้วย

8.0

เขียนโดย Bluesalvia

วันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.01 น.

  7 ตอน
  1 วิจารณ์
  8,050 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 22.48 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ผู้ต้องหาแห่งคำพยากรณ์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     เมื่อแสงสว่างและสัจธรรมหายไปจากโลก ต่อแต่นี้ความมืด ความชั่ว ความกลัว และความตายจะมีพลังมากจนสั่นสะเทือนความมั่นคงของอาณาจักรที่สงบสุขแห่งนี้ อาณาจักรทั้ง 11 อาณาจักรจะถูกทำลายจนเหลือเพียงเถ้าธุลี

               “นี่เจ้าไบรอัน แกเดินให้มันไวๆหน่อย มัวแต่แวะดูนู้นดูนี่อยู่ได้ หลงไม่รู้ด้วยนะเฟ้ย” ตาแก่พุงพลุ้ย ส่งเสียงร้องเตือนเด็กหนุ่มที่พามาด้วย

               “โธ่ลุงไซรัส ฉันโตแล้วหน่า อีกอย่าง ลุงดูสิมีแต่ของน่าสนใจเต็มไปหมดเลย”เด็กหนุ่มตาสีน้ำตาล เช่นเดียวกับสีผม ที่ดูยุ่งเหยิง หน้าตาดูทะเล้นๆ พูดอย่างตื่นเต้น

               “แกนี่มันบ้านนอกเข้าเมืองจริงๆ ไม่ต้องห่วงหรอกงานเทศกาลอะ เมืองนี้เค้าจะมีงานเฉลิมฉลองยังงี้ไปอีกหนึ่งอาทิตย์ มีเวลาเหลือเฟือให้แกมาเดินเที่ยวหน่า”

               “ถามจริง เค้าจัดงานเป็นอาทิตย์เลยหรอลุง ทำไมอ่ะ เพราะอะไรหรอ”

               “แกน่ะอย่าพูดมากเลยตามฉันมา ให้ไว ไอเด็กบ้านี่ เดี๋ยวปั๊ดทิ้งไว้นี่สะหรอก”

     ได้ยินอย่างนั้น ไบรอันจึงเร่งฝีเท้าเดินตามเจ้าลุงพุงพลุ้ยของเขาไปอย่างสงบเสงี่ยม เพราะกลัวถูกทิ้ง ก็เจ้าลุงบ้านี่มันพูดเล่นสะที่ไหน

     จะว่าไปเมืองนี้ดูน่าอยู่กว่าทุกเมืองที่เขากับลุงเคยเดินทางผ่านมาเลย บ้านเรือนดูเป็ระเบียบ สะอาดตา ร้านค้าก็หลากหลาย ที่เด่นสะดุดตาที่สุด คือน้ำพุยักษ์กลางเมืองนั่น บริเวณลานกว้างมีผู้คนเดินเที่ยวชมเมืองบ้าง นั่งคุยกันบ้าง ด้านหลังน้ำพุเป็นปราสาทสีขาวหลังงาม ดูท่าจะเป็นที่อยู่ของเจ้าบ้านเจ้าเมืองอะไรเทือกนั้น มันสมบูรณ์ไปหมดทุกอย่างจริงจริ๊ง ดูท่าจะรวยน่าดูน่ะ เจ้าเมืองนี้ แล้วความคิดก็ต้องสะดุดอยู่แค่นั้น เพราะเจ้าลุงบ้าดันหยุดเดินไม่บอกไม่กล่าว ทำให้คนที่เดินตามหลังชนเข้าไปเต็มๆ

                “อู๊ยยย นี่ลุงง เจ็บชะมัด จะหยุดทำไมไม่บอกไม่กล่าวสักคำเนี้ย”

                “ถึงแล้ว !!”

                “หือ…” ว่าพลางเด็กชายจึงมองข้ามไหล่ลุงไป ก็เห็นลุงหยุดอยู่ที่ประตูบานนึง หลังจากเดินเล๊าะลัดเลี้ยว มาหลายตรอกซอกซอย แหงนมองดูป้ายหน้าร้าน ชื่อ สรวงสวรรค์บาร์

               “เรามาทำไรที่นี่ลุง? ”

               “ฉันมาพบเพื่อนเก่าน่ะ คิดถึงจริงๆ...”

     ข้างในนี้ ก็เหมือนบาร์ทั่วๆไป มีนักเดินทางนั่งอยู่หน้าบาร์ 3 คน แล้วก็มีบาร์เทนเดอร์สาวสวย ผมยาวสีดำสนิท อายุราว30 แต่ยังสวยเช้ง

               “หึ้มมม ทำเป็นบอกว่าจะมาพบเพื่อนเก่านะ ตาลุงแก่ ที่แท้ มาจีบน้าคนสวยนี่เอง" เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลส่งเสียงจึ๊กจั๊กในลำคอ เพราะรู้ทันตาแก่ที่แกใช้ชีวิตอยู่ด้วยร่วมสิบปี ชนิดที่ว่า อ้าปากก็เห็นไปถึงรูทวาร

               “นั่น ไซรัสใช่มั้ย ?? ” เสียงผู้หญิงคนดังกล่าว เอ่ยถามตาลุงพุงพลุ้ย ราวกับไม่แน่ใจว่าทักถูกหรือไม่

               “ไอน่า” คำพูดตะกุกตะกัก ลอดออกจากริมฝีปากลุง

               “ไซรัส !! ใช่คุณจริงๆด้วย ขอบคุณพระเจ้า คุณยังอยู่ คุณหายไปไหนมาเป็นสิบปี” หือ สิบปีหรอ ตอนนั้นฉันอายุ7ปีนี่นา จำได้ว่าลุงพาฉันเร่ร่อนอยู่แถวๆชายแดนเมือง อัลบีออน เมืองสีขาว แหมชื่อฟังเหมือนสงบสุขนะ แต่ความจริงมันตรงกันข้ามเลย ก็เมืองนั่นน่ะ มันเมืองเจ้าพวกหัวขโมยทั้งนั้น ไบรอันนึกในใจ

               “คือว่า เรื่องมันยาวน่ะ ไอน่า ไว้จะเล่าให้ฟังนะ แต่ตอนนี้ขอฝากเจ้าเด็กคนนี้ไว้กับเธอสักสองสามชั่วโมงได้ไหม?”

               “เธอก็รุ้ดีไซรัส ว่าฉันไม่เคยปฎิเสธคำขอของเธอเลยสักครั้ง ว่าแต่เธอจะไปที่ไหน?" ไอน่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยใจกึ่งตัดผ้อ

               “ฉันต้องเข้าไปพบใครสักคน เขากำลังรอฉันอยู่”

               “เดี๋ยวก่อน ไซรัส อธิบายก่อนสิ เด็กนี่เป็นใคร แล้วเธอจะไปพบใครกัน” ตาลุงไม่หยุดแม้แต่จะตอบคำถาม รีบเดินออกบาร์ไปด้วยความรีบร้อน ไบรอันมองตามด้านหลังของลุงที่กำลังเดินออกจากบาร์

               “หรือนี่จะเป็นแผนเอาฉันมาทิ้งไว้ที่นี่อีกน่ะตาแก่นี่ แอบตามไปดีมั้ยเนี้ย” ไบรอันพึมพำ แต่ใจนึงกลับบอกว่าอย่า..เขาสังหรณ์ใจแปลกๆ ว่าลุงต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างปิดบัง เพราะสีหน้าแกไม่ค่อยสบายใจ เมื่อพูดถึงใครสักคนที่แกต้องไปพบ คอยดูนะกลับมาต้องเค้นคอถามให้ได้

               “นี่พ่อหนุ่ม ชื่ออะไรจ๊ะ” เสียงของผู้หญิงที่ชื่อไอน่าถามขึ้นมา

               “เอ่อ ผมชื่อไบรอันฮะ ไบรอัน ซิลวาโน่”

               “แล้วเธอมากับไซรัสได้ยังไงจ๊ะ หรือว่าเธอจะเป็น ลูกชายของเขา”

               “เปล่าหรอกฮะ ลุงเค้าช่วยฉันไว้ แล้วฉันก็ไม่มีที่ไปก็เลยติดตามลุงแกมาแหละฮะ”

     ไบรอันพูดไปยังงั้น ความจริงตัวเขาเองก็ไม่รุ้เรื่องอะไรมากนักหรอก ตาลุงนั่นบอกว่าเจอเขานอนสลบอยู่ พอช่วยให้ฟื้นที่แท้ไอ่ตัวเขาเองที่สลบไปเพราะหิวข้าว พอฟื้นขึ้นมาก็จำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหนไปสลบตรงนั้นได้ยังไง ตาลุงแก่นั่นก็ทำท่าจะชิ่งเพราะนึกว่าเขาเป็นลูกผู้ดีมีตังค์กะจะไปขอค่าตอบแทนนิดๆหน่อยๆจากพ่อจากแม่ ที่ไหนได้ หึหึ..

               “เธอก็เป็นนักดนตรีด้วยหรอจ๊ะ” ไอน่าถามขึ้นมาอีก

               “ถั่วต้ม...นะฮะ ไม่อยากจะคุย ฝีมือฉันไม่เบานะ คุณน้า” ไอน่ายิ้มให้กับเด็กช่างพูดคนนี้ ดูหน้าตาน่ารักน่าชัง แถมนิสัยทะเล้นๆของเขา ดุท่าว่าจะได้จากไซรัสมา ก็เพราะติดตามคนแบบนี้ล่ะน้า ไม่แปลกใจเลย..

               “จริงหรอจ๊ะ ไม่ได้ละต้องพิสูจน์ให้น้าดูหน่อย เอาสิ ตอนนี้นักดนตรีประจำบาร์ยังไม่มา เธอขึ้นไปโชว์สักเพลงเป็นยังไงจ๊ะ”

               “เอิ่ม.. จะดีหรอฮะ"

      ไบรอันชักไม่มั่นใจ ก็นักดนตรีพเนจรอย่างเขา เคยสะที่ไหนเล่นในบาร์แบบนี้ เคยแต่เปิดหมวกเล่นตามถนน แถมยังมีตาแก่ไซรัสคอยส่งสายตาเวลาเล่นผิดคีย์ บางทีก็ไม่ได้เงิน บางทีก็ได้เงิน ไม่รุ้ว่าที่เค้าโยนให้กันนั่นเพราะอยากให้เขาเลิกเล่นไวๆ หรือป่าวก็ไม่รู้

     แต่ว่าตอนนี้น้าไอน่า ดันส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นมาที่เขา

               “ ก็ได้ฮะ จัดปาย”

               “นี่จ๊ะ โน้ตเพลง”

     อืมแปลกจัง เพลงพวกนี้เขาาก็รุ้จักดีเล่นกับลุงก็บ่อยทำไม โน้ตเพลงมันไม่เหมือนกันแหะ ไบรอันคิดพลางเรียกกีต้าร์ตัวเล็กคู่ใจ ออกมา เพื่อเล่นเพลง “หลับใหลนินทรา” เพลงที่คิดว่าง่ายที่สุดในบรรดาโน๊ตเพลงที่น้าไอน่าให้มา บทเพลงดังกล่าวเริ่มจากจังหวะช้าๆสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นปกติสำหรับเพลง หลับใหลนินทรา เพราะเป็นเพลงที่ใช้กล่อมเด็ก ผู้ใหญ่ทั่วไปก็ชอบให้เล่นเพลงนี้ เพราะฟังได้สบายๆ ช่วยให้อารมณ์ผ่อนคลาย

     แต่วันนี้กลับไม่เหมือนกัน บรรยากาศรอบบาร์ค่อยๆเหมือนตกอยู่ในห้วงฝัน ชายคนนึงที่นั่งอยู่ที่หน้าบาร์ทำหน้าเคลิ้ม น้ำลายค่อยๆไหลออกมาที่มุมปาก ดูตลกชะมัด โตจนป่านนี้แล้วยังนั่งหลับ แถมน้ำลายยืด เหลือบไปเห็นชายอีกคนที่ตัวใหญ่กว่าหันมองมาทางเขาแววตาดูสงบนิ่ง ไม่แม้แต่กระพริบตา ราวกับว่าเวลามันหยุดหมุน วันนี้มีคนสนใจฟังเพลงเขาขนาดนี้มันน่าดีใจจริงๆ.. ส่วนชายอีกคนที่นั่งอยู่ไกลจากเวทีที่สุด ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ สงสัยแกจะดื่มหนักไปหน่อย เอาเถอะมีคนฟังสักคนก็ยังดีกว่าไม่มีคนฟังเนอะ

     เพล้ง !!

     เสียงแก้วตกจากมือของคุณน้าไอน่า ที่กำลังใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดอยู่ พลันทุกคนในบาร์ก็ทำหน้ามึนงง ราวกับว่าเพิ่งตื่นจากนินทรา

     ไบรอันหยุดเล่นและเดินลงมาช่วยน้าไอด้าเก็บเศษแก้ว ที่เพิ่งตกแตกไป

               “เป็นอะไรมากหรือเปล่าฮะ น้าไอน่า”

               “อ่อ เปล่าจ๊ะเพลงของไบรอันเพราะมากเลยนะรู้ไหม เล่นบทเพลงมนตราเป็นด้วยหรอเราเนี้ย แล้วก็ไม่บอกน้าก่อนนะ น้าจะได้เก็บของที่แตกได้ให้พ้นรัศมีการนอน"

               น้าไอน่าพูดยิ้มๆ

               “บทเพลงมนตราอะไรกันฮะ เมื่อกี้ฉันก็เล่นเพลงหลับไหลนินทราปกติ ที่เคยเล่น แต่ทุกทีที่เล่นแม้แต่เด็กยังไม่ยอมนอนเลย วันนี้แปลกจริงๆ สงสัยจะเป็นเพราะบรรยากาศ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ !”      ไอน่าเงยหน้าสบตาเด็กหนุ่มที่พูดไปขำไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หืม.. หนุ่มน้อยคนนี้ถ่อมตัวหรอ ทั้งที่พลังเวทย์เยอะขนาดนี้เนี้ยน่ะ ไม่สิ ใบหน้าแบบนั้น เหมือนจะไม่รู้จริงๆ

 

     อีกด้านหนึ่งในปราสาท

     ไซรัสนักดนตรีพเนจรได้เดินเข้าไป ราวกับรุ้เส้นทางเป็นอย่างดี ทั้งที่นักดนตรีพเนจรอย่างเขาไม่น่าแม้แต่จะได้รับอนุญาตให้เหยีบย่างเข้ามาในเขตปราสาทพระราชวังค์แห่งนี้ด้วยซ้ำ เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ห้องหนึ่ง ก็พบว่ามีคนนั่งรออยุ่ก่อนแล้ว ไซรัสรีบคุกเข่า

               “ไซรัส” เสียงอ่อนหวานของหญิงสาว เอ่ยขึ้น

               “พะยะค่ะ องค์ราชินี”

               “สิบปีแล้วสินะ ผู้ต้องหาแห่งคำพยากรณ์ เพราะยังงั้น เพราะยังงั้นเราถึงได้ขับไล่ไสส่งเลือดเนื้อเชื่อขัย ของเราออกไป"

     พระอัสสุชลค่อยๆไหลออกมาจากพระเนตร ของราชินีจูเลีย เดอะ ควีน ออฟ เซเรนท์ที่สาม ราชินีผู้ยิ่งใหญ่ที่ปกครองอาณาจักรเซเรนท์แห่งนี้ อาณาจักรเดียวที่ได้ชื่อว่า เมืองแห่งความสมบูรณ์ และประชาชนมีความสุขที่สุด แต่พระทัยขององค์ราชินีเอง กลับไม่เคยมีความสุขอีกเลยนับแต่วันเดียวกันนี้เมื่อสิบปีก่อน

     ณ พระราชวัง เมืองเซเรนท์ เมื่อสิบปีก่อน

               “องค์ราชินีเพคะ หม่อมฉันคือนักบวชแห่งเมืองออสเวิลด์ นามของหม่อมฉันคือ เอวา เซนต์ พอล”

               “ยินดีที่ได้พบ ท่านนักบวช ท่านเดินทางมาไกลนัก เราขอต้อนรับท่านสู่เมืองเรเซนท์ เมืองแห่งความสมบูรณ์ ขอให้ท่านมีความสุขกับการมาเยือนครั้งนี้”

               “องค์ราชินีเพคะ หม่อมฉัน หม่อมฉันเดินทางไกลมา เพราะมีเรื่องจะมาทูล.. ขอบังอาจ ขอบังอาจทูลได้ไหมเพคะ” ไม่มีคำตอบจากองค์ราชินี นักบวชเอวา จึงพูดต่อ

               “เมื่อเจ้าวันก่อนเป็นวันคล้ายวันประสูติขององค์หญิงใช่ไหมเพคะ ”

               “อืม ใช่แล้วล่ะ เมื่อเจ็ดวันก่อนเป็นวันคล้ายวันประสูติของลูกหญิง บริอันน่า ลูกหญิงที่น่ารักของเรา เราจัดงานเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาครบ เจ็ด พรรษาให้ลูกหญิง ขออภัยที่ไม่ได้เชิญท่าน เพื่อมาถวายพระพร” เสียงอันปราณีนี้มาจากพระโอษฐ์ของราชินี

                “องค์ราชินีเพคะ อภัยให้หม่อนฉันด้วย วันเดียวกันนั้นหม่อมฉันได้นิมิตเห็น องค์หญิง...องค์หญิงทรงร้องเพลงบทเพลงหนึ่ง เมื่อเสียงอันไพเราะขององค์หญิงเปล่งออกมาได้ไม่นาน พลันทำให้แสงสว่างค่อยๆเลือนหายไป แปรเปลี่ยนเป็นความมืดมิดมาแทนที่ มันเป็นบทเพลงแห่งความตายเพคะ”

     เสียงของเอวาสั่นเครือไปด้วยความกลัว สีหน้าขององค์ราชินี ดูตกพระทัยเป็นอย่างมาก แววตาดูสับสน ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

               “บังอาจนัก !! เจ้า เจ้า.....”องค์ราชินีพูดพลางกำพระหัตถ์แน่น

               "องครักษ์ นำตัวนางออกไป ประหารนางด้วยกริซ ลงโทษที่นางนำความเท็จมาทูลกับข้า เหลวไหลสิ้นดี”

               “องค์ราชินี โปรดเชื่อหม่อนฉันเถิดเพคะ พระองค์ก็ทรงทราบดีว่านักบวชที่ได้รับพลังแห่งพระเจ้าจะไม่มีวันกล่าวเท็จ”

     นักบวชเอวา หมดสิ้นความกลัว เงยหน้ามองสบตาองค์ราชินีแห่งเรเซนท์ เพื่อหวังให้องค์ราชินีเปลี่ยนพระทัย แต่ไม่มีประโยชน์อันใด องค์ราชิเบือนพระพักตร์ไปทางอื่นเพื่อหลบซ่อนความโกรธ ความสับสน และความกลัวในพระเนตร

     เมื่อนักบวชเอวาถูกองค์รักษ์ลากตัวออกไปแล้ว กลายเป็นความเงียบเข้าปกคลุม มีเพียงเสียงแผ่วเบาของนักบวชเอวาลอยมาตามกระแสลม

               “เมื่อแสงสว่างและสัจธรรมหายไปจากโลก ต่อแต่นี้ความมืด ความชั่ว ความกลัว และความตายจะมีพลังมากจนสั่นสะเทือนความมั่นคงของอาณาจักรที่สงบสุขแห่งนี้ อาณาจักรทั้ง 11 อาณาจักรจะถูกทำลายจนเหลือเพียงเถ้าธุลี”

     เป็นคำพยากรณ์ คำพยากรณ์ที่กล่าวหา บุคคลที่เป็นที่รัก

 

 

               “ไซรัส” ไซรัส ตื่นจากห้วงภวังค์ ด้วยเสียงเรียก ของ ราชินีจูเลีย

               “แล้วเด็กคนนั้น เป็นยังไงบ้าง “

               “ตลอดสิบปีที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่เราผนึกพลังของเจ้าเด็ก เอ๊ย !! องค์หญิงน้อยไว้ องค์หญิงได้สูญเสียความทรงจำทุกอย่าง “

               “ดีแล้ว ดีแล้วล่ะ ถ้านางต้องจดจำสิ่งเลวร้ายที่นางเคยพบเจอเมื่อสมัยยังเยาว์ คงเจ็บปวดพระทัยนัก ความทรงจำที่มีแต่คนหวาดกลัว และอยากให้นางตาย เพราะคำพยากรณ์บ้าๆนั่น”                “ให้นางได้เป็น ไบรอัน ซิลวาโน่ นักดนตรีพเนจรผู้มีแต่ความอิสระ คงดีกว่าองค์หญิงบริอันน่า เดอะ ปรินเซส ออฟ เซเรนท์ องค์หญิงต้องสาป“

               “พะยะค่ะองค์ราชินี แต่หม่อมฉันกลัวว่าสักวัน พลังนั้นจะตื่นขึ้นมา “

               “บทเพลงผนึกพลังไซรัส มันจะไม่มีทางปลดผนึกไปได้ จนกว่า...”

 

     ณ ดินแดนตะวันตก ดินแดนที่มืดมิดตลาดกาล

               “ข้าสัมผัสได้ ข้าสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่ข้าถวิลหา”

               “อะไรหรือเพคะ ฝ่าบาท” คนแคระตัวน้อยทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ กำลังพูดคุยอยู่กับ เจ้าเหนือหัวของมัน

               “พลังที่จะทำลายแสงสว่าง และสัจธรรมบ้าๆของพวกฝั่งตะวันออกไงล่ะ เมื่อนั้น เมื่อข้าได้มันมาครอบครอง ข้าจะทำลายพวกฝั่งตะวันออกนั่นเสีย แล้วสร้างอาณาจักรใหม่ในอุดมคติของข้า”

               “แต่ พลังนั่น อยุ่กับองค์หญิงที่สวรรคตไปแล้วเมื่อสิบปีก่อนนี่เพคะฝ่าบาท”

               “หึหึหึ พวกมันตบตาข้าไม่ได้หรอก เลือดในกายข้ามันกำลังเรียกร้องหาพลังนั่น ลืมไปแล้วหรอเผ่าพันธุ์ของข้าคืออะไร”

               “มิบังอาจเพคะฝ่าบาท ท่านคือเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ อินคิวบัส ปีศาจแฝงฝัน”

               “แต่ตอนนี้ตัวข้าเอง ถึงแม้จะยิ่งใหญ่ แต่ก็มิอาจล่อลวงมันมาได้”

               “แล้วเหตุใด ฝ่าบาทถึงล่อลวงนางไม่ได้หรือกระหม่อม”

               “เพราะเจ้าบทเพลงแห่งแสงบทเพลงผนึกพลังนั่น”

               เจ้าจงไป กรีนเซล ไปทำลายผนึกนั่นสะ !!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา