นักรบจันทรา

7.0

เขียนโดย Sagestone

วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 22.34 น.

  29 ตอน
  0 วิจารณ์
  24.43K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2560 20.05 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

18) ตอนที่ 18

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 18

                ลาควีล่ากับเวเบอร์กำลังประดาบกันอย่างดุเดือด แม้เป็นเพียงการบังหน้านางก็พยายามเต็มความสามารถที่ค่อย ๆ ตื่นขึ้นจากความตาย จะเพราะอะไรไม่ทราบได้นางรู้สึกสนุกกับการกวัดแกว่งดาบจนหยุดไม่อยู่ หลงใหลการต่อสู้จนถอนตัวไม่ขึ้น ผู้กล้าแสงตะวันก็ยืนมองตาปริบ ๆ พร้อมดาริอุสคนติดตามของเขา

 

                ในความทรงจำลางเลือนของลาควีล่า ก่อนตายนางได้ประดาบกับชายผู้นี้แล้วก็พ่ายแพ้แบบหมดทางสู้ บัดนี้นางตื่นขึ้นอีกครั้งเพื่อต่อสู้กับเขา นางไม่ยอมเลิกราง่ายๆแน่

 

                “พอได้แล้วลาควีล่า ข้ามีเรื่องจะคุยกับไบรอันก่อน!” เวเบอร์ร้องไปปัดป้องตัวเองจากปลายกระบี่ของลาควีล่าไป ดูท่าจะอยากคุยมากกว่าต่อสู้

 

                “เห็นเรียกข้าออกมา ก็นึกว่าอยากทดสอบข้าก่อนนี่” หญิงสาวแทงดาบใส่แบบไม่มีการยั้งมือด้วยเรี่ยวแรงที่มีอยู่เหลือเฟือ

 

                เวเบอร์เห็นว่าปล่อยไปคงค่ำก่อนได้คุยกัน จึงเอาจริงขึ้นมาอึดใจ ปัดกระบี่หญิงสาวกระเด็นไปปักแทบเท้าผู้กล้าแสงตะวันที่ยืนมองตากลม

 

                “แล้วค่อยต่อกันคราวหน้า” เวเบอร์บอกลาควีล่า “ไบรอัน ข้ามีข่าวมาบอก” แล้วเวเบอร์กับไบรอันก็แยกไปคุยกันเรื่องการต่อสู้กันสองคน ส่วนลาควีล่ารับกระบี่ของตนจากดาริอุส

 

                “พักกันก่อน สองคนนั้นคงอีกสักพักกว่าจะกลับมาคุยกับเราได้” ดาริอุสผู้ติดตามของไบรอันชวนนางนั่งบนพื้นหญ้าอ่อนนุ่ม “จริงสิ ออกมาหน่อยได้ไหมดาเรีย”

 

                กระแสลมร้อนและเปลวไฟสีฟ้าแลบเลียออกมาจากแหวนประจำตัวของเขา แล้วก่อร่างเป็นมนุษย์ครึ่งนกเพลิงที่มีปีกสีฟ้าสด ดวงตาสีแดงเจิดจ้าของดาเรียมองดาริอุสอย่างมีข้อกังขา ราวกับกำลังตั้งคำถามอยู่ในใจ จนนกเพลิงในร่างมนุษย์นกโค้งให้อย่างเคารพ

 

                “นายท่านประสงค์สิ่งใดโปรดบอกมา” คนครึ่งนกแฝงน้ำเสียงประชดประชันเอาไว้เล็กน้อย

 

                “อยากให้ช่วยสอนไลล่าได้ไหม วิชาเรียกสัตว์ปิศาจ” ดาริอุสหยั่งเสียง ท่าทางจะเกรงใจนกเพลิงของตัวเองอยู่ไม่น้อย คนครึ่งนกหรี่ตาอย่างไม่ชอบใจ

 

                “ตอนนี้ข้าอยู่ในช่วงลาพักร้อนขอรับ แต่จะช่วยก็ได้...”

 

                ไม่ทันให้พูดจบแหวนเงินอีกวงของลาควีล่าก็มีเปลวเพลิงพุ่งออกมาบ้าง มันก่อตัวเป็นผู้ชายที่สวยเหมือนผู้หญิง มีหูและหางสีส้มแดงของสุนัขจิ้งจอกอยู่ด้วย มันยิ้มเยาะให้ชายครึ่งนกทันทีที่ทำได้

 

                “ไม่ต้องพึ่งนกปากมากอย่างมันหรอกนายท่าน” คนครึ่งจิ้งจอกโค้งให้ลาควีล่าอย่างเคารพ ดวงตาสีแดงสดเหลือบมองคนครึ่งนกอย่างดูถูก “ข้าคือซีซาร์จิ้งจอกในอาณัติท่าน ท่านสามารถพึ่งข้าได้ทุกเวลา ไม่เหมือนนกขี้คุยตรงนั้นที่ทำได้แค่คุยโวกับอู้งานเรื่อยเปื่อย”

 

                “ว่าไงนะเจ้าจิ้งจอกโรคจิต ร่างเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง นายท่านอย่าไปฟังมันมาก หมอนี่เป็นพวกวิตถารอุตริผิดธรรมชาติ ไม่คู่ควรให้พวกท่านลงไปสุงสิงด้วย” ดาเรียของดาริอุสต่อปากต่อคำอย่างหงุดหงิด

 

                “พูดมากเดี๋ยวเผาซะนี่ เจ้านกเส็งเคร็ง!” จิ้งจอกของลาควีล่าตอบด้วยแววตาน่ากลัว

 

                “อย่างนั้นมาลองกันอีกหนไหมว่าไฟของใครจะแรงกว่า ข้าไม่มีทางแพ้หมางี่เง่าอย่างเจ้าหรอก ต่อให้เผาข้าก่อนก็ได้”

 

                “ดาริอุส นี่คือซีซาร์ สัตว์ปิศาจที่ข้าสามารถเรียกผ่านแหวนได้เหมือนมังกร” ลาควีล่ารู้สึกว่าต้องให้เกียรติสัตว์เรียกของตนเหมือนดาริอุส อย่างน้อยมันก็เปลี่ยนร่างเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ได้ “ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าพูดได้ด้วย”

 

                “ข้าทำทุกสิ่งได้เหมือนเจ้านกนั่น” คนครึ่งจิ้งจอกขบฟันกรอดๆ “เพียงรอท่านเรียกใช้เท่านั้น”

 

                “เขาเรียกคิดไม่เป็น” คนครึ่งนกเลิกคิ้ว

 

                “อย่างเจ้าเขาเรียกสาระแนคิดแทนเจ้านาย!”

 

                แล้วคนครึ่งสัตว์ทั้งสองคนก็แยกเขี้ยวใส่กันอย่างไม่สงวนท่าที

 

                “รู้จักกันหรือดาเรีย” ดาริอุสถามเบา ๆ

 

                “เราเป็นสัตว์ปิศาจในระดับจักรพรรดิเหมือนกันขอรับ” ชายครึ่งนกตอบ “แต่ข้าเก่งกว่า”

 

                “เราประลองกันเสมอยามมีเวลา ท่านนักรบจันทรา” ชายครึ่งจิ้งจอกทำท่าไม่ชอบใจที่ถูกดึงลงมาเป็นพวกกับอีกฝ่าย “ผลคือเสมอกันที่ร้อยแปดสิบต่อร้อยแปดสิบ”

 

                “ร้อยแปดสิบเอ็ดกับร้อยเจ็ดสิบเก้าต่างหาก!” ดาเรียพูดเสียงแข็ง “ข้าเป็นฝ่ายชนะในครั้งสุดท้ายที่เราประลองกัน ข้าว่าความจำเจ้าคงมอดไปเหมือนพลังเจ้านั่นล่ะ จึงจำไม่ได้ว่าใครกันแน่ที่ชนะ เอาแต่ละเมอพูดอยู่นั่น สมองเน่า!”

 

                แล้วทั้งสองก็แยกเขี้ยวใส่กันอีกรอบ ลาควีล่ากับดาริอุสหัวเราะแห้ง ๆ เมื่อเห็นว่าข้ารับใช้ของพวกเขาสนิทกันในรูปแบบของคู่แข่ง

 

                “เอาล่ะ ๆ” ดาริอุสปรามสัตว์เรียกทั้งคู่ให้อยู่ในความสงบ “มีคนช่วยสอนแบบนี้ ถ้าเจ้าต้องการล่ะก็ พักได้นะดาเรีย”

 

                “ข้าสอนได้ดีกว่าเจ้าจิ้งจอกโรคจิตนี่!” ดาเรียกระชากเสียงตอบ ไม่มีท่าทีเคารพเจ้านายเหมือนซีซาร์เลย

 

                “ท่านลาควีล่าเป็นนายของข้าในตอนนี้ จึงเป็นหน้าที่ของข้าที่จะสอนวิชาเรียกสัตว์ปิศาจให้”

 

                ลาควีล่ามองสัตว์ปิศาจทั้งสองตัวแล้วเปรียบเทียบ คนครึ่งนกของดาริอุสดูเก่ง แต่ไม่มีความยำเกรงต่อเจ้านาย ผิดกับซีซาร์ของนางที่ระวังท่าทีและคำพูดเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้านาย

 

                “ต้องขอโทษเจ้าด้วยนะเรมิ...ดาเรียสินะ ตอนนี้ซีซาร์เป็นข้ารับใช้ของข้า ให้เขาสอนดีกว่า” ลาควีล่าตอบอย่างเขินอายที่ต้องให้บริวารช่วยสอนวิชาให้ แต่นางไม่ควรพึ่งลูกน้องของคนอื่นในการทำงาน

 

                คนครึ่งนกทำหน้างอนพอเป็นพิธีแล้วก็หายไปโดยไร้คำพูด คนครึ่งจิ้งจอกหัวเราะเบา ๆ แล้วเปลี่ยนร่างเป็นสุนัขจิ้งจอกที่มีแผงคอเป็นเปลวเพลิงสีแดงฉาด

 

                “คิดว่าท่านได้รับความทรงจำเรื่องการเรียกสัตว์ปิศาจขั้นพื้นฐานมาแล้ว” จิ้งจอกแดงพูดด้วยภาษามนุษย์ “ที่สำคัญคือโคลงมนตราเรียกสัตว์ปิศาจ และสัตว์ปิศาจทรงพลังในแต่ละระดับ ทหาร ราชา จักรพรรดิ ท่านต้องจำให้ได้มากที่สุด”

 

                “เข้าใจแล้ว ข้าคิดถูกใช่ไหมที่ให้เจ้าช่วยสอน” ลาควีล่ายังคลางแคลงใจอยู่ว่าระหว่างสัตว์ปิศาจสองตัวนั้น ตัวไหนที่ช่วยนางเรียนรู้วิชานี้ได้ดีกว่ากัน

 

                “เจ้านกนั่นก็เก่งนะ แม้จะมีชีวิตคนและแบบกับข้าก็ต้องยอมรับว่าเขาเก่ง” จิ้งจอกไฟตอบอย่างเป็นกลาง แสดงว่าทั้งคู่เป็นทั้งเพื่อนรักและคู่แข่งที่ทัดเทียม “เขาทำหน้าที่เป็นปีกให้นักรบจันทรา ส่วนข้าเป็นดั่งเกราะกำบังให้ท่าน เห็นแบบนี้แต่เราทำงานด้วยกันมานับครั้งไม่ถ้วน เพราะนายที่แท้จริงของพวกเราเป็นพี่น้องกัน ข้าถือกำเนิดจากหางเส้นหนึ่งของพระนาง ส่วนเขาเป็นนกเพลิงที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยตรงจากพระองค์ เราทั้งคู่จึงเหมือนกับเป็นแกนนำของสัตว์ปิศาจทั้งปวง”

 

                อย่างน้อยนางก็ได้รับรู้ว่าการให้เกียรติผู้เป็นทั้งเพื่อนและคู่แข่งนั้นสำคัญเพียงใด มันทำให้ความคิดไม่สั่นคลอนสามารถคงตัวตนและความสามารถไว้ได้ หลังจากนั้นไม่นานผู้กล้าแสงตะวันและคนรับใช้ของจอมอสูรก็กลับมาจากการสนทนาลับสุดยอด เวเบอร์สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นซีซาร์ออกมานอนเล่นอย่างอิสระ

 

                “นอกจากการต่อสู้ อย่าเรียกเจ้านั่นพร่ำเพรื่อสิ” เวเบอร์ประท้วง “เดี๋ยวไม่รู้กันพอดีว่าตอนนั้นกำลังทำอะไรอยู่ มันจะกลายเป็นการปะทะกันตลอดเวลา”

 

                “แล้วท่านไม่ชอบหรือเวเบอร์ ข้าชอบนะที่ได้ประดาบด้วย”

 

                เวเบอร์มองนางด้วยแววตาที่ยากตัดใจ

 

                “ท่านมาเวอร์ริค” เวเบอร์หันไปหาดาริอุสด้วยแววตาเคร่งขรึม “คงไม่รังเกียจหากจะให้ท่านเข้าไปซ่อนตัวในมิติสัตว์ปิศาจพร้อมลาควีล่า ข้าไม่อาจเข้าแทรกแซงการบัญชาการของทามิเอลได้เหมือนชาโดว์สตีล จึงขอรับหน้าที่อารักขาท่านในโลกสัตว์ปิศาจแทน เพื่อความปลอดภัยของท่านเอง”

 

                “ถึงเวลาก็อธิบายกับข้าด้วยล่ะเวเบอร์” ดาริอุสยิ้มกว้างเมื่อพบว่าศัตรูนั่นที่แท้เป็นมิตรที่ดีคนหนึ่ง เพียงต้องเล่นละครเป็นศัตรูเท่านั้น

 

                “ยังมีเวลาก่อนพระอาทิตย์ตก ไปเดินกับข้าหน่อยไหม”

 

                เวเบอร์ยื่นมามาให้ลาควีล่าอย่างสนิทสนม หญิงสาวชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง

 

                “ไปเถิดน่า หมอนี่ไม่วางแผนวางยาพิษหรือแทงข้างหลังเจ้าหรอก”

 

                ไบรอันหรือผู้กล้าแสงตะวันเสริม หญิงสาวหันไปมองเขานิ่ง ก่อนจะจับมือเวเบอร์เพื่อลุกขึ้นยืน แล้วไปเดินเล่นยามเย็นกับศัตรูคู่ชีวิต...

 

 

                สองวันผ่านไปกับบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน อันดับแรกคือการปรับปรุงตัวของผู้ท่องกาลเวลานามอลิเซีย หลังจากการอบรมของเนอร์วาน่าก็สงบลงราวเป็นคนละคน จะมีหลุดยิ้มหรือหัวเราะในบางทีเท่านั้น อันดับที่สองคือการหลบฉากของนักรบจันทรา ซึ่งมีหน้าที่ต้องไปหาเชือกทวีอาคมในมิติอื่นกับลาควีล่า อันดับที่สามคือผู้กล้าแสงตะวัน ไบรอัน แบล็คสโตน

 

                “อย่าเหม่อสิคะท่านผู้กล้า” อลิเซียเตือนให้เขารู้ตัวว่ากำลังเหม่อลอยเป็นครั้งที่สิบห้าในรอบสองวัน “อีกนิดเดียวทางนั้นก็จะทำลายหมอกมนตราได้แล้ว”

 

                ในช่วงเวลาสองวันระหว่างนี้อลิเซียสั่งทำแท่งเหล็กจำนวนมากไว้เพื่ออะไรสักอย่าง รอบตัวจึงเต็มไปด้วยกล่องใส่แท่งเหล็กขนาดพอดีมือเรียงรายอย่างไม่เป็นระเบียบ แม้จะชอบทำอะไรเล่น ๆ แต่บัดนี้นางเตรียมพร้อมออกรบร่วมกับผู้กล้าแสงตะวันแล้ว หมอกมนตราไหลเวียนเป็นวงพายุหมุนรอบตัวเมือง ไบรอันและอลิเซียยืนอยู่ตรงตาพายุที่ความรุนแรงน้อยที่สุด รอให้หมอกจางลง

 

                “ข้าไม่อยากสู้กับผู้หญิง เห็นว่าทามิเอลเป็นเพศหญิงจึงคิดหนักหน่อย” ไบรอันเสไปเรื่องผู้นำทัพของจอมอสูร ทหารจากเมืองข้างเคียงเรียงรายรอบเมืองพร้อมโต้ตอบกองทัพอสูร

 

                “ไม่ใช่ว่ากำลังนึกถึงเรื่องท่านไลล่าหรอกนะคะ บอกกับข้าได้ค่ะ ข้าไม่บอกใครหรอก” อลิเซียแทงใจดำไบรอันอย่างไม่ปรานี เขาจึงเปลี่ยนเรื่องด้วยการสั่งการอัศวินผ่านกระจกมนตราข้างๆแทน

 

                “เจ้าบอกว่าจะส่งสัญญาณเปิดศึกใช่ไหม ได้เวลาแล้ว”

 

                ผู้กล้าแสงตะวันเงยหน้ามองท้องฟ้าที่บัดนี้ไร้หมอกบดบังเหมือนเช่นเคย ม่านอาคมถูกสลายด้วยพายุสลาตันของเหล่าอสูร ฝูงกองทัพมฤตยูติดปีกคือสัตว์ปีกชนิดต่างๆที่เป็นฝ่ายมืด รวมไปถึงพวกแมลงและสัตว์วิเศษด้วย มองจากข้างล่างจึงเห็นเป็นภาพยุ่งเหยิง มีปีกหลายแบบหลากลวดลาย บ้างปกคลุมตัวด้วยเปลวเพลิง บ้างพยุงตัวด้วยปีกขนาดยักษ์ ผู้นำกองทัพอยู่สูงสุดเป็นหญิงครึ่งนกท่าทางน่ากลัว นามนั้นคือทามิเอล!

 

                “รู้ไหมคะ ที่ต่างโลกมีปืนแม่เหล็กไฟฟ้ารางคู่อยู่ด้วย” อลิเซียเกริ่น หยิบแท่งเหล็กใกล้ตัวที่สุดขึ้นมาไว้ระหว่างนิ้วทั้งห้าอย่างมีระเบียบ ไม่ทุกข์ร้อนแม้แต่นิด “มันทำงานโดยใช้ไฟฟ้าผ่านแท่งแม่เหล็กคู่เพื่อผลักกระสุนออกไปข้างหน้าด้วยความเร็วมหาศาล นี่ข้ายังไม่พูดถึงพลังทำลายนะคะ”

 

                “ชาวเมืองแก้วผลึกจงฟัง!” เสียงแหลมสูงของทามิเอลก้องไปทั่วเมือง นางทำในสิ่งที่เวเบอร์บอกกับไบรอันไว้ จับเป็นผู้กล้าแสงตะวันโดยไม่ก่อความเสียหายกับเมืองเท่าที่สามารถ

 

                นางคนครึ่งนกจะพูดอะไรต่อไบรอันไม่ได้ยินแล้ว เมื่ออลิเซียยกมือที่ถือแท่งเหล็กอยู่ไปทางกลุ่มก้อนอสูรก็เกิดเสียงดังสนั่นราวฟ้าผ่าสักร้อยสาย กระแสไฟฟ้าสีครามลุกวูบเป็นทางยาวดังปืนใหญ่สี่กระบอกถูกยิงออกไปจากมือข้างนั้น เหล่าสัตว์วิเศษบนท้องฟ้าหลบไม่ทันร่วงหล่นระนาวด้วยความเร็วของแท่งเหล็ก

 

                “ชื่อเล่นของข้าในมิตินั้นคือเปรี๊ยะเปรี๊ยะ หรือจะเรียกไรจูก็ได้” หญิงสาวหัวเราะน้อย ๆ สร้างความตกตะลึงให้ไบรอัน เขาคิดว่าจะใช้อาวุธที่เรียกว่าปืนที่ดาริอุสพูดถึงเสียอีก แบบนี้ต้องเรียกมหาเวทเสียมากกว่า “ประกาศศึกเสร็จแล้วค่ะ จะพูดอะไรเชิญได้เลย”

 

                ไบรอันกระแอมเตรียมพูดใส่ผลึกที่ช่วยขยายเสียง

 

                “กองทัพปิศาจจงฟัง ข้าคือผู้กล้าแสงตะวันที่พวกเจ้าต้องการตัว ขอให้แม่ทัพลงมาเจรจาอย่างสันติ ไม่อย่างนั้นทางเราจะต่อกรด้วยจนถึงที่สุด เมื่อกี้เป็นเพียงการเตือนเท่านั้น ข้ามีอาวุธมหาประลัยอยู่ และพร้อมปกป้องเมืองนี้จนตัวตาย!”

 

                “เราต้องการตัวท่านเท่านั้น ท่านผู้กล้าแสงตะวัน”

 

                ทามิเอลร้องตอบพร้อมกับบินลงมาดั่งลมกรด นางเหมือนเรมิเอลนกเพลิงประจำตัวดาริอุสจริงๆ

 

                “แล้วจะยกโขยงมาทำไมเสียมากมาย” ไบรอันประชด

 

                “ท่านขึ้นชื่อเรื่องหนี เวเบอร์เตือนข้ามาอย่างหนักแน่นว่าท่านหนีเก่ง”

 

                ไบรอันไม่รู้จะดีใจหรืออายจึงประนีประนอมด้วยการกอดอกรออีกฝ่ายพูดต่อ

 

                “ข้างบนนั่นก็มีกองทัพของฝ่ายท่านด้วยไม่ใช่หรือ ที่องค์เอซีร่าส่งมาคุ้มกันท่าน เป็นสัตว์วิเศษกลุ่มที่หญิงคนนั้นยิงร่วงลงมา ข้ายังแปลกใจที่ท่านใช้เวทมนตร์ทำร้ายพวกเดียวกันแบบนั้น”

 

                มหาเทพเอซีร่าคือเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งดินแดนนี้ ไบรอันขบกรามแน่น การแทรกแซงเริ่มต้นขึ้นแล้ว

 

                “อย่าว่าแต่เทพเจ้าเลย กับศาสนจักรข้าก็ไม่ได้ยุ่งด้วย” ไบรอันยักไหล่ การแทรกแซงของจอมปิศาจครั้งนี้ทำได้แนบเนียนกว่าครั้งก่อน เพราะสามารถจับกุมและฆ่าเขาได้ในฐานะสมุนของจอมอสูร ถึงตอนนั้นหนทางในการกำจัดนักรบจันทราก็จะเปิดออก

 

                “แล้วใครเรียกพวกนั้นมา ข้าคิดจะเจรจาอย่างสันติตั้งแต่แรกแล้ว เฮ้! นั่นกองทัพของข้านะ!”

 

                ผู้นำกองทัพร้องเสียงหลง สัตว์วิเศษจำนวนหนึ่งที่อลิเซียยิงพลาดจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อนไร้รูปทรง และดูดเหล่าสมุนของนางคนครึ่งนกพ่วงไปด้วย ทำให้กลายเป็นว่ากองทัพของจอมปิศาจคือกองทัพของจอมอสูรที่บุกมาจับตัวผู้กล้าแสงตะวัน ราวกับทางนั้นรู้ว่าไบรอันสัมผัสได้ว่ามีสิ่งผิดปกติจึงเร่งกระทำการอย่างออกหน้าออกตา

 

                นั่นคือสิ่งที่จอมปิศาจต้องการ ทำให้มนุษย์กับจอมอสูรเกิดเรื่องปะทะกันจนแตกดับไปทั้งคู่

 

                “ความผิดกระทงแรก ยึดร่างของจอมเทพมาใช้หลอกลวงผู้คน” อลิเซียหยิบแท่งเหล็กขึ้นมาเต็มกำมือ ระหว่างนั้นกลุ่มก้อนปิศาจก็เริ่มเปลี่ยนรูปคล้ายมนุษย์ขนาดยักษ์บินด้วยปีกที่เป็นหนังดำมืด “ความผิดกระทงที่สอง ทำให้ท่านลุงกับท่านป้าข้าพรากจากท่านตาท่านยายกว่ายี่สิบปี ความผิดกระทงที่สาม หลอกใช้ท่านตาของข้าเหมือนตุ๊กตาใช้แล้วทิ้ง นั่นคือความผิดของแกไงล่ะจอมปิศาจ!”

 

                แม้ไบรอันจะเข้าใจแค่ครึ่งๆกลางๆ ก็ยอมรับว่านางดูดีเหลือเกิน เหมือนไซเรน่ายามกวัดแกว่งหอกเตรียมยิงใส่ศัตรู

 

                “สรุปคือเรามีศัตรูร่วมกัน ใช่ไหม” นางคนครึ่งนกนามทามิเอลพูด “ที่เวเบอร์พูดอาจมีมูล ข้าหลบไปก่อนก็แล้วกัน”

 

                แล้วนางก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความเร็วสูงจนมองไม่ทัน ทิ้งให้ไบรอันกับกองกำลังอัศวินเผชิญหน้ากับสมุนของจอมปิศาจแค่สองฝ่าย

 

                “อยากได้เพลงเปิดจริงๆ รีโวลูชั่น ไม่สิต้องโอนลี่มายเรลกันต่างหาก”

 

                ไม่ใช่ครั้งแรกที่อลิเซียพูดสิ่งที่ไบรอันไม่รู้จัก หญิงสาวยิ้มเหี้ยมเกรียมเล็งแท่งเหล็กไปที่เป้าใหญ่ยักษ์บนท้องฟ้า ไบรอันสั่งการผู้ใช้เวทมนตร์ในสังกัดให้โจมตีทันทีที่นางยิงแท่งเหล็กออกไป

 

                “นับสามนะคะท่านผู้กล้า” สิ่งมีชีวิตที่เกิดจากการรวมร่างส่งเสียงคำรามตามธรรมเนียมปิศาจที่ดี อลิเซียยิ้มน้อยๆไม่ได้หันมาทางไบรอันแต่เล็งเป้าหมายอย่างแน่วแน่ “หนึ่ง... สอง... สาม!”

 

                ไม่ทันสิ้นเสียง ปืนใหญ่สายฟ้าของนักท่องเวลาก็คำรณขึ้นอีกครั้ง เป็นการเปิดศึกจริง ๆ ตามเจตนาแต่แรก ไบรอันออกคำสั่ง เหล่าผู้วิเศษและผู้ใช้อาวุธบินพร้อมใจโจมตีประสานทันที แสงสีและศาตราวุธต่าง ๆ ทะยานไปยังร่างบนท้องฟ้าเป็นจุดหมายเดียว คำสั่งเดียวของไบรอันคือปกป้องเมืองแก้วผลึกเอาไว้ให้ได้...

 

 

                ด้วยความช่วยเหลือของนักท่องเวลาทำให้ศึกครั้งนี้จบลงอย่างรวดเร็วและสูญเสียน้อยมาก บ้านเรือนไม่กี่หลังถูกทำลายเพราะปิศาจ สวนผลไม้ส่วนหนึ่งถูกถล่มราบ อย่างน้อยก็ไม่มีใครตาย ไบรอันคอยกำกับเหล่าทหารให้ช่วยเหลือบ้านเรือนที่เสียหายจากการต่อสู้

 

                “ทำไมแค่แท่งเหล็กเล็กนิดเดียวจึงทำได้ถึงขนาดนั้น” ไบรอันหันไปถามอลิเซียที่ยืนข้างๆไม่ไปไหน นางแทบไม่ได้ก้าวเท้าเดินเลยระหว่างต่อสู้ เอาแต่ยิงกระสุนแท่งเหล็กจนหูของเขาปวดระบม

 

                “เป็นการประยุกต์เทคโนโลยีต่างมิติกับเวทมนตร์เข้าด้วยกันค่ะ” หญิงสาวหัวเราะ “ใช้เวทมนตร์สายฟ้าเพิ่มแรงดันไฟในขณะที่เปลี่ยนนิ้วทั้งห้าเป็นแม่เหล็ก แท่งเหล็กจะถูกดันออกไปข้างหน้าด้วยแรงแม่เหล็ก และจะเพิ่มพลังทำลายได้ด้วยเวทมนตร์สายฟ้าที่ข้าเพิ่มเข้าไป ในต่างโลกข้ายิงติดต่อกันได้ไม่กี่ครั้ง แต่ในมิติที่เปี่ยมไปด้วยเวทมนตร์แบบนี้ข้ายิงเป็นร้อยนัดเลยก็ยังได้ถ้าไม่กลัวมือพัง”

 

                แม้จะเข้าใจได้ไม่ถึงครึ่งไบรอันก็รู้สึกถึงความซับซ้อนและความยากในการใช้งานได้

 

                “สนใจสอนข้าบ้างไหม เวทมนตร์อะไรก็ได้ที่ทรงพลังอำนาจอย่างนั้น ข้าจะ...”

 

                “จะแก้แค้นใช่ไหมคะ” อลิเซียแทรก “ท่านจะได้พบศัตรูที่ชื่อเหมือนตัวเองอีกสามครั้งค่ะ ครั้งแรกท่านจะถูกดึงเข้าสู่กับดัก ครั้งที่สองในกับดักซึ่งข้าจะไปช่วยเอง ครั้งที่สามจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกท่านจะได้เจอกัน...ส่วนท่านจะทำได้หรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่อง ท่านเนอร์วาน่าสั่งห้ามข้าพูดเด็ดขาด”

 

                “ไม่ได้ก็ไม่ได้ ข้าไปถามกับนางแล้ว ไม่ได้คำตอบเหมือนกัน” ไบรอันถอนหายใจเฮือก “เจ้านี่ยอดไปเลยนะ ย้อนเวลาเดินทางไปต่างมิติได้ มีทั้งเครื่องมือและข้อมูลเป็นอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพจนผู้กล้าอย่างข้าเทียบไม่ติด ตอบได้ไหม ภารกิจของเจ้าในยุคนี้คืออะไรกันแน่”

 

                “ก็ในมิตินั้นใช้เวทมนตร์ไม่ได้ จึงมีสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์มาทดแทน มันเหมือนเป็นเหรียญอีกด้านของมนตราค่ะ พอรู้ทั้งสองด้านก็ปรับใช้ได้อย่างถูกต้อง ส่วนภารกิจที่ข้าต้องทำจริงๆนั้นคือช่วยพวกท่านจากกับดักด้วยพลังสีขาว เหมือนเมื่อคืนนั้นที่เราเดินทางไปปราสาทแก้วผลึกค่ะ”

 

                “แล้วพลังสีขาวนั่นคืออะไร เจ้าบอกได้ไหมว่ากับดักที่ว่าเป็นยังไง” ไบรอันได้โอกาสยิงคำถามทันที

 

                นักท่องเวลายิ้มกว้าง

 

                “พลังสีขาวคือพระพุทธคุณค่ะ เป็นของศาสนาหนึ่งในมิติที่ข้าเคยไป บริสุทธิ์และผ่องใส...” หญิงสาวหลับตาราวกับกำลังคิดถึงอดีตที่มีความสุข “ส่วนเรื่องกับดัก หากบอกไปท่านก็ไม่ติดกับดักสิคะ จริงไหม” อลิเซียยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ไบรอันเห็นว่าจนปัญญาดึงข้อมูลจากนางจึงหันไปสั่งการทหารต่อ...

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา