นักรบจันทรา

7.0

เขียนโดย Sagestone

วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 22.34 น.

  29 ตอน
  0 วิจารณ์
  24.48K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2560 20.05 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

19) ตอนที่ 19

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 19

                หลังกลับมาจากการตามหาเชือกทวีอาคม ดาริอุส ดรากานก็ถูกผู้กล้าแสงตะวันลากตัวไปพบท่านหญิงโรเซลลิน่า โดยส่วนตัวเขาไม่ได้ชอบหรือชังท่านหญิง ไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรตอนพูดคุยด้วยมากกว่า เพราะพระนางเป็นผู้ออกคำสั่งที่ทำให้เขาโดนไล่ออกจากงานประจำ และนางยังกำชับเสียดิบดีว่าเกลียดเขา

 

                “พระนางพบผลึกแก้วที่จะเอามาประกอบเป็นดาบจันทราแล้ว สิ่งที่เจ้าต้องทำก็แค่พูดจากับนางดี ๆ บอกว่าเราต้องใช้สิ่งนั้นเพื่อทำให้อาวุธของเจ้าสมบูรณ์ ไม่ใช่เพื่อเจ้า แต่เป็นการทำเพื่อพ่อกับแม่ของเจ้าด้วย เชื่อข้าสิว่ามันจำเป็น” ไบรอัน แบล็คสโตนเทศนาผู้ติดตามระหว่างเดินทางไปโรงแรมที่ท่านหญิงโรเซลลิน่าพักอยู่

 

                “ท่านหญิงเกลียดข้านี่นา!” ดาริอุสโผล่งออกมาอย่างคับข้องใจ ทำให้ไบรอันหันมามองอย่างประเมินค่า

 

                “เจ้ามันบื้อ ไม่ได้เข้าใจผู้หญิงเลยสักนิด” ไบรอันย่นจมูก

 

                “ท่านก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้า ไม่ต้องมาข่มกันเลย” ดาริอุสหมุนมัดเชือกทวีอาคมในมือเล่นอย่างใจลอย ไม่ใส่ใจว่ารอบข้างจะปกคลุมด้วยแสงสลัวอันงดงามของยามเย็น “ไม่ได้คิดอะไรกับไลล่าจริงหรือ” ดาริอุสตัดสินใจหันไปสนเรื่องรักๆใคร่ๆของผู้กล้าแสงตะวันแทน

 

                ผู้กล้าแสงตะวันไม่ตอบ เพราะบัดนี้พวกเขามาถึงโรงแรมปลาหมึกแปดดาวที่ท่านหญิงโรเซลฯพักอยู่แล้ว ป้ายปลาหมึกมีหนวดเป็นดาวตกส่ายเอี๊ยดเบาๆตามแรงลม เหมือนเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์ในยามโพล้เพล้

 

                “ข้ากลับตอนนี้ยังทันไหม” ดาริอุสถูเส้นเชือกสีขาวเนื้อหยาบอย่างเอาเป็นเอาตาย ความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนักตอนที่พระนางมาพบเขาที่เพียรซ์ทำให้พูดไม่ออก “นางคงไม่อยากเจอหน้าข้าหรอก”

 

                “ข้าจึงมาด้วยอย่างไรล่ะ เข้าไปได้แล้ว!!”

 

                ดาริอุสแทบถูกถีบเข้าประตูโรงแรม จากนั้นก็โดนลากถูลู่ถูกังไปยังห้องพักของท่านหญิงโรเซลลิน่าทันที

 

                “ท่านหญิงโรเซลลิน่า ข้าบาทมาพบท่านวันนี้ด้วยเรื่องสำคัญ ฝ่าบาทพบสิ่งที่ข้าบาทรอคอยแล้ว”

 

                พอได้เข้าไปในห้องพักของท่านหญิงผู้กล้าแสงตะวันก็เริ่มโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ขอสิ่งที่พระนางค้นพบในเหมืองเพชรทันที

 

                “เจ้าผลึกสองชิ้นนั้นเองหรือ ข้ากำลังรอรายงานจากนักวิชาการของเมืองแก้วผลึกอยู่เลย แล้วไปไหนเสียหลายวันหรือดาริอุส หรือจะให้เรียกมาเวอร์ริคดี” ท่านหญิงทำท่าเหมือนอยากคุยกับเขาเท่านั้น ดาริอุสจึงชูเชือกทวีอาคมให้พระนางเห็น

 

                “เรียกดาริอุสดีกว่าท่านหญิง ที่ข้าไม่อยู่ช่วงนี้เพราะไปตามหาสิ่งนี้อยู่ เชือกทวีอาคม เห็นท่านผู้กล้าบอกว่าท่านหญิงคงสนใจจึงนำติดตัวมาด้วย ข้าไม่รู้หรอกว่าจะใช้มันอย่างไร ผู้วิเศษอย่างท่านหญิงหรือท่านผู้กล้าคงรู้กระมัง” ดาริอุสสังเกตได้ชัดเจนว่าพระนางยังลังเลว่าจะคุยกับเขาอย่างไรให้เหมาะสม

 

                พระนางโรเซลลิน่าทำหน้าสับสนเหมือนมีความคิดนับพันตีกันอยู่ในหัว แล้วรอมชอมด้วยการขอมัดเชือกสีขาวไปพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วน จากนั้นก็พูดคุยกับไบรอันราวกับไม่มีดาริอุสอยู่ในห้องด้วย

 

                “หลักการทำงานของมันคือเร่งปฏิกิริยาทางเวทมนตร์ให้สูงขึ้น นึกว่าเป็นแค่เรื่องเล่าเสียอีก ไม่ขอบคุณหรอกนะที่เอามาให้ดู ถือเสียว่าแลกกับผลึกแก้วสองอันนั้น” สุดท้ายท่านหญิงก็หันกลับมาคุยกับดาริอุส ท่าทางพระนางสับสนกับตัวเองเล็กน้อยว่าควรพูดอย่างไรดี

 

                “ข้าไม่รู้เรื่องทำนองนั้นหรอก คงดีหากท่านหญิงอธิบายให้ข้าฟังอีกสักนิด” ดาริอุสสารภาพว่าไม่เข้าใจที่พระนางพูดเลย

 

                “ไม่ได้อยากอธิบายหรอกนะ เห็นว่าเป็นท่านมาเวอร์ริคถามจึงช่วยตอบให้” ท่านหญิงแสดงความแข็งกร้าวทางคำพูด “เชือกเส้นนี้สามารถใช้กำหนดเป็นลวดลายอาณาเขตได้ เวทมนตร์ที่ใช้ด้านในอาณาเขตของเชือกนี้จะทวีความรุนแรงขึ้นหลายเท่าตัว มันจึงถูกเรียกว่าเชือกทวีอาคม กล่าวกันว่าเกิดจากเส้นผมของเทพเจ้าที่ร่วงหล่นยามสวดภาวนา เพิ่งได้เห็นของจริงวันนี้เอง”

 

                “ขอบคุณท่านหญิง อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าท่านหญิงไม่ได้เกลียดข้าเท่าไรนัก” ดาริอุสยิ้มกว้าง

 

                ท่านหญิงโรเซลลิน่าหน้าแดงหากทำเย็นชากลบเกลื่อน

 

                “ข้าทำเพราะท่านคือเจ้าชายมาเวอร์ริค ไม่ใช่เพราะท่านคือดาริอุส” พระนางตอบโดยไม่ยิ้มเลยสักนิด

 

                “พูดถึงมาเวอร์ริค ข้าได้ยินจากท่านผู้กล้าว่าท่านมีแผนใช้งานเจ้าชายมาเวอร์ริค หรือคือข้านั่นเอง เป็นความจริงหรือไม่”

 

                “ก็ไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าวางแผนการเอาไว้ ท่านเป็นแค่เบี้ยในเกมของข้าเท่านั้น ไม่ว่าจะยอมหรือไม่ก็ตาม”

 

                “ข้าไม่รู้ว่าท่านหญิงคิดจะทำอะไร ข้าไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น แถมไม่มีความสามารถไปหยุดท่านด้วย” ดาริอุสพูดจากใจจริง หลังจากได้ฟังจากไบรอันว่าพระนางคิดหลอกใช้เขาเพื่อทำบางสิ่ง “มีสิ่งเดียวที่ข้าอยากขอ หากมันเป็นโทษต่อประชาชนท่านช่วยหยุดมันได้หรือไม่ ข้าเป็นคนธรรมดาจึงเข้าใจดีที่สุดว่าคำสั่งของเบื้องบนคือชีวิต พวกเราไม่ได้เป็นของเล่นของขุนนาง ท่านโปรดเข้าใจด้วยว่าคนธรรมดาอย่างข้าก็มีหัวจิตหัวใจเหมือนกัน มีความสุขความทุกข์เหมือนเชื้อพระวงศ์ เพราะฉะนั้น ขอให้ท่านหญิงพิจารณาแผนของท่านดูอีกครั้งเถิด หากมันเป็นประโยชน์ต่อมวลชนข้าก็ยอมช่วย ถ้าหากมันทำให้ผู้คนเดือดร้อนก็ขอให้หยุดเสีย ข้าขอพูดในนามเจ้าชายมาเวอร์ริค”

 

                “พูดเป็นเล่นไปได้! หยุดแล้วข้าจะได้อะไร เจ้าคงรู้ว่าข้าเป็นพ่อค้าเต็มตัวการแลกเปลี่ยนคือลมหายใจเข้าออก หากอยากได้สิ่งใดจงหาสิ่งอื่นมาแลกเปลี่ยน แล้วโดนท่านผู้กล้าแสงตะวันล้างสมองสั่งให้พูดอย่างนี้ล่ะสิ” ท่านหญิงเชิดใส่

 

                “ฝ่าบาท แม้ข้าบาทจะเป็นนายจ้างของเขาแต่ข้าบาทก็เป็นผู้ติดตามของเขาด้วยในอีกทางหนึ่ง แถมดาริอุสมีศักดิ์เป็นเจ้าชายด้วย ข้าบาทมิกล้าออกคำสั่งกับเขาหรอก” ไบรอันผู้แทบกลืนตัวเองเข้ากับผนังพูด ทั้งที่เคยสั่งการกับดาริอุสนับครั้งไม่ถ้วน

 

                “ที่พูดไปคือเจตจำนงของข้าเองท่านหญิง” ดาริอุสเน้นว่าเป็นความคิดของเขาล้วน ๆ ไม่ได้ผ่านการปรับปรุงโดยผู้กล้าแสงตะวันแต่อย่างได “ข้าขอได้ไหม”

 

                ท่านหญิงโรเซลฯยังคงยืนหยัดคำเดียวกับเมื่อครู่

 

                “แล้วข้าจะได้อะไรล่ะ!”

 

                “ความจงรักภักดีจากข้าจะมากพอไหม ข้ารู้แค่ตัวเองเป็นเจ้าชาย ไม่รู้ว่าทำอะไรได้บ้าง แต่ข้าจะคอยเป็นมือเท้าให้ท่านหญิงเอง ขอแค่หยุดแผนร้ายไว้” ดาริอุสพูดไปตามอารมณ์โดยไม่ทันเห็นไบรอันกลั้นหัวเราะจนตัวงอ ท่านหญิงหน้าแดงไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรเหมือนกัน

 

                “คะ...ใครจะอยากได้ของพรรค์นั้นกัน!” ท่านหญิงกอดอกอย่างถือดี “คิดว่าตัวเองวิเศษนักหรือ”

 

                ในช่วงเวลาอึดอัดพูดไม่ออกนั้น ผู้กล้าแสงตะวันก็เข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์

 

                “เรื่องนั้นช่างก่อนฝ่าบาท ที่สำคัญตอนนี้คือผลึกแก้วที่ฝ่าบาทส่งไปตรวจสอบ ขอให้เราได้หรือไม่”

 

                “วันนี้ข้าได้พบเชือกทวีอาคมในตำนาน นั่นเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนที่ข้าพอใจแล้ว จะเขียนหนังสือบอกให้พนักงานเอาไปส่งให้ท่านที่โรงแรมเลย ท่านพักที่ไหนหรือ”

 

                “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ฝ่าบาท” ไบรอันตอบอย่างยียวน “สายของฝ่าบาทคงรายงานเรียบร้อยแล้วว่าพวกเราพักอยู่ที่ไหน ไม่อย่างนั้นฝ่าบาทคงไม่เสียเวลาไปเดินเตร่หน้าโรงแรมคนเดียวหรอก”

 

                “ข้าไปดูความเสียหายและร่องรอยเวทมนตร์จากการต่อสู้ต่างหาก” ท่านหญิงโรเซลลิน่าแก้เก้อ “กระสุนปืนใหญ่สายฟ้านั่นเยี่ยมมากเลย ฝีมือท่านหรือ”

 

                “ไม่ใช่หรอกฝ่าบาท เป็นผลงานของหญิงคนหนึ่งที่อ้างว่าข้ามมิติเวลาได้”

 

                แล้วบทสนทนาระหว่างท่านหญิงกับไบรอันก็ขยายยืดยาว...

 

 

                “เอ้อ ดาริอุส ข้าขอโทษที่ไม่บอกรายละเอียดนะ เรื่องแผนของท่านหญิง” ผู้กล้าแสงตะวันขอโทษขอโพยนักรบจันทราทันทีที่ออกจากโรงแรมในช่วงค่ำ

 

                “ทำไมหรือ ความจริงก็อยากถาม เห็นว่าท่านยุ่งเลยไม่กวนใจ” ดาริอุสตอบอย่างสบายๆไม่คิดอะไรมากมายนัก ทำให้ไบรอันรู้สึกผิดจนบอกไม่ถูกที่ไม่บอกส่วนสำคัญให้รู้ไว้

 

                “ข้าจะอธิบายเพิ่มนะดาริอุส เจ้ารู้ใช่ไหมว่าพระนางเป็นผู้สำเร็จราชการแห่งเพอลานต้า นางต้องการครองอำนาจเสียเองด้วยการบงการองค์ราชา ทีนี้เจ้าลองคิดดู ถ้านางทำจริงๆจะมีใครเป็นศัตรูบ้าง” ไบรอันเดินไปอธิบายไป ไม่คิดถึงคืนที่อลิเซียพาฝ่าด่านสุดโหดไปปราสาทแก้วผลึก

 

                “ขุนนางที่จงรักภักดีกับฮ่องเต้องค์ก่อน ขุนนางที่จ้องจะยึดอำนาจที่โดนท่านหญิงตัดหน้าไป แต่ข้าเชื่อว่าท่านหญิงต้องมีกองกำลังของตัวเองแน่”

 

                “ตรงนั้นแหละที่เป็นแผนของท่านหญิงโรเซลลิน่า” ไบรอันเน้น “พระนางคิดทำบุญคุณต่อจักรวรรดิ เพื่อจะได้เป็นส่วนหนึ่งของขุนนางชั้นสูง มีอำนาจบารมีจนไม่มีใครในเมืองของนางเทียบได้”

 

                “ข้ายังไม่เข้าใจว่าตัวข้าไปเกี่ยวข้องด้วยได้อย่างไร”

 

                “ในฐานะเจ้าชายที่หายสาบสูญ หากพระนางหาพบก็ถือเป็นบุญคุณต่อจักรวรรดิแล้ว แผนของนางไม่ได้จบแค่นั้นหรอก แค่มีบุญคุณมันรับประกันไม่ได้ว่าเพียรซ์จะยกกองทัพมาช่วยหากนางโดนตลบหลัง พระนางจึงหาวิธีผูกตัวเองเข้ากับขุนนางชั้นสูงของเพียรซ์เพื่อเป็นหลักประกันว่าไม่มีใครกล้าหาเรื่องนางแน่ ๆ”

 

                ดาริอุสเดินสะดุดหินก้อนหนึ่งที่ยื่นขึ้นมาจากหินปูพื้น เหมือนจะคิดออกแล้วว่าตัวเขามีบทบาทอย่างไรในแผนของพระนางโรเซลลิน่า

 

                “พระนางต้องการเป็นคู่แต่งงานกับเจ้าชายมาเวอร์ริค ก็คือเจ้านั่นเอง!” ไบรอันทำให้ดาริอุสสบถสาบานดังลั่นตามคาด “พระนางคาดว่าเจ้าที่เติบโตนอกวังจะสามารถใช้งานได้ง่ายกว่าพวกเจ้าชายที่ถูกเลี้ยงดูให้รู้เรื่องการเมืองด้วย แล้วมันก็จริง ดูที่เจ้าพูดเหมือนกับยอมเป็นบริวารของนางแล้วอย่างไรอย่างนั้น”

 

                “ก็ข้าไม่รู้นี่!” ดาริอุสร้องลั่น คงหัวเสียที่หลวมตัวไปสัญญาแบบนั้นกับพระนาง “แล้วพอมีทางแก้ไขไหม ข้าอยากท่องเที่ยว ไม่ได้อยากเป็นเจ้าชายอะไรนี่เลย”

 

                “ไม่ต้องแล้ว การที่ดาริอุสกับมาเวอร์ริคเป็นคน ๆ เดียวกันช่วยทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น พระนางชอบเจ้าจากใจจริง ไม่ได้ชอบเพราะเป็นแผนการอย่างที่ตั้งใจไว้ คำพูดของเจ้ามีพลังพอให้นางหยุดแผนการแน่ ๆ”

 

                “แต่ข้าต้องยอมเป็นเบี้ยล่างท่านหญิง มันจะต่างอะไรกันเล่า!”

 

                “ต่างตรงที่ประชาชนได้รับประโยชน์ และเราได้ผลึกแก้วนั่นง่ายขึ้นกว่าที่คิด ข้าอยากปรบมือให้ตอนเจ้าพูด แต่ต้องกลั้นหัวเราะไปด้วยจึงทำยากอยู่”

 

                “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ข้ายังไม่อยากมีครอบครัว ยังอยากดูโน่นดูนี่ให้ทั่วเรมิสต์ ยังไม่เคยออกจากทวีปใหญ่เลย ตอนนี้เรามาว่าเรื่องงานของเราดีกว่า จะไปที่ไหนต่อ ระหว่างรอการประชุมที่ท่านวางแผนไว้”

 

                “เมเทอาร์ เราจะใช้ที่นั่นเริ่มทำตามแผน ทำให้เกิดการประชุมระหว่างสองจักรวรรดิกับจอมอสูรขึ้น เพื่อไม่ให้จอมปิศาจเข้ามาแทรกแซงได้อีก”

 

                “ตอนนั้นใช่ไหมที่จะช่วยพ่อกับแม่ของข้าได้” ดาริอุสขบกรามพยายามคิดตามผู้กล้าแสงตะวันกับเวเบอร์ให้ทัน “ข้าเชื่อว่าองค์คริสโทเฟอร์ต้องการคุย แต่ทางพ่อข้านี่สิ เวเบอร์บอกว่ากล่อมยากกว่าทั่งตีเหล็กอีก”

 

                “เราจะตัดแขนขาเขาทิ้งก่อน เวเบอร์จะทำเป็นสู้กับลาควีล่าจนไม่รู้ผล ทามิเอลปล่อยดาเรียคุยกันตามประสาพี่น้อง ส่วนชาโดว์สตีลข้าจัดการเอง จากนั้นเราจะล่อหลอกให้จอมอสูรเข้ามาในอาณาเขตของเชือกทวีอาคม แล้วใช้ผลึกกาลเวลาย้อนเวลาเขากลับไปก่อนถูกอำนาจมืดของจอมปิศาจครอบงำ การย้อนเวลาคนจำเป็นต้องใช้พลังเวทมากเราจึงต้องใช้เชือกทวีอาคมช่วย เสร็จจากตรงนั้นเราจะใช้ความมืดที่ออกมาจากตัวพ่อเจ้าผสานแก้วผลึกสองชิ้นแต่งตั้งนักรบจันทรา”

 

                “ขอให้เป็นไปตามแผนก็แล้วกัน ก่อนหน้านั้นก็ต้องหาผลึกกาลเวลากันอีก ข้าไม่รู้ว่าท่านจะทำอย่างไรต่อเพื่อให้ได้ของในตำนานนั่นมา แต่ต้องสนุกแน่!” ดาริอุสพูดอย่างมีความหวังว่าจะช่วยพ่อกับแม่ได้ “ว่าแต่เราจะไปกันยังไง เมเทอาร์อยู่เกือบใต้สุดของทวีปใหญ่เชียวนะ”

 

                “ข้าเคยไปจึงใช้มนตร์เคลื่อนย้ายไปได้ เคยไปดูงานกับอาจารย์อยู่ช่วงหนึ่ง แถบนั้นทะเลสวยมาก”

 

                ไบรอันนึกถึงวันเก่าๆที่เคยเดินทางไปโน่นมานี่กับอาจารย์เพื่อฝึกเวทมนตร์

 

                “ข้าอยากเห็นลานประลองกลางทะเล ตอนไปกับคาราวานมีปัญหาต้องทำงานพิเศษชั่วคราวจึงไม่ได้ไปดูสักที เขาว่าถ้าไม่เห็นลานประลองกลางทะเลก็ยังไปไม่ถึงเมเทอาร์ด้วยละ” ดาริอุสส่ายหัวเบาๆ

 

                “เขาเล่าว่าสร้างทับรอยดาวตกเก่าแก่ เพราะน้ำตื้นหาปลาได้น้อยจึงหันไปหาเงินจากการท่องเที่ยวแทน ลานประลองนั่นถูกสร้างเอาไว้เรียกแขกจากเมืองอื่นเพื่อทำการค้า ตอนไปดูงานข้าได้ไปดูการประลองแล้ววิเคราะห์เวทมนตร์ที่นักเวทใช้ระหว่างการประลอง กำแพงมนตราที่เอาไว้ป้องกันคนดูก็ยอดเยี่ยม สร้างจากหินสลักอาคมชั้นสูง รับรองเห็นแล้วจะติดใจ”

 

                “ฟังเสียงเหมือนท่านไม่อยากไปที่นั่นเลยนะ” ดาริอุสคงจับเค้าความกังวลของเขาได้จึงเอ่ยถามตรงๆ

 

                “ข้ามีเพื่อนรักอยู่ที่นั่นด้วย และนั่นก็สร้างปัญหาให้ข้าพอดู ความจริงถ้าไม่ให้พวกนั้นรู้จะดีมากแต่ทำไม่ได้นี่สิ ข้าโด่งดังไปทั่วทวีปใหญ่แล้ว จะให้ไปเงียบๆได้อย่างไรกัน”

 

                “มีตัวปัญหาอย่างไซเรน่าอีกหรือ”

 

                ดาริอุสทำให้ไบรอันนิ่งไปเล็กน้อย ตอนนี้การเอ่ยชื่อของผู้สิ้นชีพดูจะเป็นความสนุกสนานมากกว่าทรมาน

 

                “คนแบบนั้นก็มีคนเดียวนั่นล่ะ” ไบรอันถอนหายใจเฮือก “มันเป็นอย่างนี้ เพื่อนข้าชอบผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วนางดันมาชอบข้าแทนเสียนี่ ไม่ว่าทำอย่างไรนางก็ไม่ถอดใจสักที ข้าจึงกระอักกระอ่วนใจทุกครั้งเวลาไปเมืองนั้น ให้ห่ามๆแบบไซเรน่าไปเลยยังสบายใจกว่า”

 

                “กับท่านนี่ไม่เคยพ้นเรื่องผู้หญิงสักทีนะ” ดาริอุสได้ทีประชดอย่างร่าเริง...

 

 

                พวกเขาใช้เวลากว่าห้าวันกว่าจะพร้อมเดินทางต่อได้ แม้จะอยู่ในอารมณ์เซื่องซึมด้วยเหตุผลบางประการไบรอันยังมีแก่ใจสะสางงานเอกสารให้เสร็จ ระหว่างนั้นดาริอุสและลาควีล่าก็ไปช่วยชาวเมืองสร้างอาคารและบูรณะส่วนที่เสียหายไปจากการต่อสู้กับปิศาจ คณะเดินทางของเขาได้รับเงินช่วยเหลือจากทั้งเมืองแก้วผลึกและท่านหญิงโรเซลลิน่า ดาริอุสมีเงินเหลือใช้ ถึงกับไปซื้อของฝากมากมายรอให้คนรู้จักเมื่อไปถึงเมเทอาร์ ส่วนอลิเซียผู้เดินทางท่องเวลานั้นแยกตัวไปอยู่กับเนอร์วาน่าบอกว่าเตรียมตัวไปช่วยพวกเขาจากกับดักในอนาคต

 

                ในช่วงหลังส่งเอกสารทั้งหมดไปยังจักรวรรดิแล้วไบรอันก็ครุ่นคิดกับตัวเองเป็นครั้งที่ยี่สิบ เกี่ยวกับความรู้สึกที่เขามีต่อไซเรน่าซึ่งตอนนี้กลายมาเป็นลาควีล่าแล้ว

 

                “ไบรอันดูนี่สิ กุหลาบแก้วในตำนานที่บอกว่าต้องเป็นผู้มีรักแท้จึงจะทำให้มันใสเหมือนแก้วได้” ดาริอุสอวดต้นกุหลาบโปร่งแสงที่ไปซื้อมาให้ไบรอันดูที่ห้องพัก

 

                “ใช่ที่ไหนกันนั่นมันกุหลาบน้ำแข็งต่างหาก โดนเขาหลอกขายของแล้ว” ไบรอันชำเลืองมองก็รู้ว่าไม่ใช่กุหลาบแก้วจริง ๆ ที่เขาเคยมอบให้เพื่อนที่เมเทอาร์ ดาริอุสโวยวายทันทีเพราะซื้อมาราคาแพงมากด้วยเชื่อว่ามันเป็นของหายากจริงๆ “แล้วมันก็ก็ไม่ใช่แค่รักแท้อย่างเดียวด้วย”

 

                ผู้กล้าแสงตะวันกล่าวลอยๆทำให้นักรบจันทราคว้าเก้าอี้ใกล้ๆมานั่งฟังอย่างสนอกสนใจ ไบรอันถอนหายใจน้อย ๆ แล้วเริ่มเล่าเรื่องเกี่ยวกับกุหลาบแก้วให้เพื่อนฟัง

 

                “ผู้วิเศษอย่างเราเรียกมันว่ากุหลาบแห่งความสัตย์ มันเป็นพืชแปลกประหลาดที่เปลี่ยนสภาพจากต้นไม้ตันเป็นวัตถุใสคล้ายแก้วได้ด้วยความรู้สึกของมนุษย์ เมื่อผู้ให้มีความคิดดีงามอย่างถ่องแท้มันจะกลายเป็นสีใส ๆ เหมือนแก้ว เพราะคุณสมบัติมันเที่ยงตรงเกินไปประกอบกับราคาแพงจึงไม่ค่อยเห็นง่าย ๆ เมื่อบุตรมอบให้บิดามารดามันแสดงถึงความกตัญญู เพื่อนมอบให้กันแสดงถึงมิตรภาพที่แข็งแกร่ง บ่าวให้นายแสดงถึงความจงรักภักดี และหากคนรักให้กันหมายถึงรักตราบฟ้าดินสลาย ไม่ใช่ของซื้อขายง่าย ๆ แบบนี้หรอก ถ้าจะขายเขาจะตัดทำเป็นกิ่งชำเล็ก ๆ ซึ่งมีสภาพโปร่งใสคล้ายแก้วจนกว่าจะนำไปปลูกต่อ เมื่อปลูกแล้วจะยังคงเป็นแก้วหรือกลายเป็นกุหลาบปกติก็อีกเรื่องหนึ่ง”

 

                “ท่านเคยมอบให้ใครหรือเปล่า ให้อย่างเพื่อนน่ะ” ดาริอุสโผล่งขึ้นมา ไบรอันพยักหน้า

 

                “เคยให้เพื่อนที่อยู่เมเทอาร์ไปกิ่งหนึ่ง เดี๋ยวข้าพาไปดูของจริง เห็นว่าออกดอกแล้วด้วยนะ”

 

                “อย่างนั้นข้าขอกิ่งชำสักกิ่งได้ไหม จะเก็บไว้ให้ท่านพ่อกับท่านแม่ในวันที่ช่วยพวกท่านได้ พวกเขาจะได้เชื่อว่าข้าช่วยเพราะอยากช่วย ไม่ได้ช่วยเพราะชะตากรรมอะไรนั่น”

 

                ไบรอันยิ้มน้อย ๆ ดาริอุสเป็นอย่างไรก็คงเป็นอย่างนั้นไปตลอด แล้วเขาจะไปสนใจอะไรกับความรู้สึกใหม่ ๆ ที่เข้ามา หากสับสนมากก็กลับไปสู่จุดเริ่มต้นเสียเลยดีกว่า เริ่มกันที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับไซเรน่า

 

                เขาคิดกับนางแค่เพื่อนจริงๆหรือ

 

                ตลอดเวลาที่อยู่กับไซเรน่าเขาคิดมาตลอดว่านางเป็นผู้ชายคนหนึ่ง เพราะนางจะเป็นอันตรายหากเขาคิดเกินเลยมากกว่าเพื่อน ทว่าตอนนี้คำสาปที่ปิดกั้นเขาโดนผู้เดินทางข้ามเวลากำจัดไปแล้ว เขาสามารถรักผู้หญิงได้โดยที่อีกฝ่ายไม่เป็นอันตราย

 

                “ฟังอยู่หรือเปล่าไบรอัน ข้าจะกลับไปขอเงินคืน ท่านว่าอย่างไร” ดาริอุสปลุกเขาจากห้วงความคิด

 

                “อย่าเลย กุหลาบน้ำแข็งก็หายากเหมือนกัน เพื่อนเจ้าจะต้องดีใจที่ได้รับมันแน่นอน” ไบรอันพูดทั้งๆที่คิดเรื่องอื่นอยู่

 

                “คิดอะไรอยู่หรือไบรอัน” ดาริอุสเพิ่งสังเกตว่าคู่สนทนากำลังใจลอยอีกครั้ง “ขอข้าไปคุยกับลิเซียก่อนนะ แล้วเจอกัน” ดาริอุสอุ้มกระถางกุหลาบไว้แนบอกแล้วเดินออกไปทิ้งให้ไบรอันจมกับความคิดต่อไปคนเดียว

 

                ความจริงตอนนี้เขาไม่ควรคิดสิ่งอื่นนอกจากการแก้แค้นให้กับพ่อแท้ ๆ ตามช่วงเวลาและคำพูดของอลิเซียแสดงว่าใกล้ถึงเวลาได้ชำระแค้นแล้ว ไม่ควรมีความรัก แถมอายุก็ขึ้นเลขสองแล้วด้วยไม่ใช่เด็กเล็ก ๆ ที่มัวมาใฝ่หาความรักอันหอมหวานอีกแล้ว

 

                ก่อนตายไซเรน่าสารภาพรักกับเขา ตอนนั้นเขาตอบรับเพราะอยากให้นางสบายใจเท่านั้นไม่ได้คิดถึงผลที่ตามมาว่าจะเป็นแบบนี้

 

                แล้วไซเรน่าก็เกิดใหม่เป็นลาควีล่า ซึ่งยังคงความคิดของไซเรน่าเอาไว้อย่างครบถ้วนหากเขาเข้าใจไม่ผิด

 

                “ท่านเห็นความรักของข้าเป็นแค่ของเล่นเท่านั้น!”

 

                คำพูดจากเงาของอโฟเดลในสายหมอกตอนนั้นทำให้ใจของเขาสั่นสะท้าน ทั้งที่รู้ว่านางรักเขาอย่างคนรักแต่เขาไม่เคยมองนางอย่างนั้นเลย ยังคงความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องเอาไว้โดยไม่ไตร่ตรองจนเกิดโศกนาฏกรรมขึ้น

 

                “ข้าควรทำอย่างไรกับเจ้าดีลาควีล่า” ไบรอันรำพึงรำพันกับตัวเอง

 

                เขาพยักหน้ากับตัวเองด้วยความกล้าที่มี ตอนนี้นางพักอยู่ห้องข้างๆเดินไปหาได้ตลอดเวลา แค่ไปเคาะประตูแล้วถาม จากนั้นเขาก็จะเป็นอิสระจากเรื่องความรักอันยุ่งเหยิง

 

                ไบรอันรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปยาวนานกว่าจะเดินไปหยุดหน้าประตูห้องของลาควีล่าแล้วเคาะประตู บางทีนางอาจไปทำธุระข้างนอก เขาควรเปลี่ยนความคิดเสีย

 

                แล้วประตูห้องก็เปิดออก ลาควีล่ามองเขาอย่างสงสัย

 

                “ขอคุยด้วยหน่อยสิ” แล้วไบรอันก็เดินเข้าไปโดยไม่รอคำเชิญ

 

                “ข้ากำลังจัดกระเป๋าอยู่ ท่านมีธุระอะไรหรือ”

 

                ตาสีมรกตสบกับตาสีอำพันอย่างแน่วแน่ ความกล้าของไบรอันเมื่อครู่ไม่รู้หล่นหายไปไหนเสียแล้ว อยู่ดีๆเขาก็เกิดกลัวคำตอบของนางขึ้นมา หากนางเกลียดเขาล่ะ เหมือนกับที่เงาในคืนนั้นบอก

 

                ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็คงสงบใจได้เหมือนกัน

 

                “ความรู้สึกที่เจ้ามีต่อข้า มันเป็นอย่างไรบ้าง” ไบรอันเกริ่น หญิงสาวหน้าแดงด้วยความเขินอาย

 

                “ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ท่านหัวใจข้าพองโตและเต้นดังจนข้าอับอาย สัมผัสของท่านอบอุ่นเหมือนแสงตะวันยามเช้าในฤดูใบไม้ผลิ ข้ายังไม่ค่อยเข้าใจคำว่าความรักเท่าไรนัก เลยบอกไม่ได้ว่ามันเป็นความรักจริงหรือเปล่า แล้วท่านก็คงถามกลับเหมือนเคย ว่ามันเป็นความรู้สึกของใครกันแน่อีก”

 

                “ข้าแค่อยากรู้ ว่าความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นในใจของเจ้าเองหรือเปล่า หรือเป็นแค่ความคิดเก่า ๆ ที่ติดมาในสมอง”

 

                ลาควีล่าส่ายหน้าจนผมสีเขียวพันกันยุ่งเหยิง

 

                “ต้องเป็นความรู้สึกนึกคิดของข้าอยู่แล้ว คนตายไปแล้วจะมีอิทธิพลเหนือข้าได้อย่างไร!”

 

                ในที่สุดคำตอบก็ออกมาสักที ไบรอันลอบถอนหายใจแล้วกอดหญิงสาวไว้แนบอก

 

                “อย่างนั้นข้าจะค่อยๆสอนให้ ว่าความรักเป็นอย่างไร” ไบรอันตอบทั้งน้ำตา...            

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา