Mad Doll เกมตุ๊กตาคลั่ง

9.3

เขียนโดย asieth2

วันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.55 น.

  3 chapter
  34 วิจารณ์
  5,739 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2559 13.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) เด็กหนุ่มคนหนึ่งในตัวเมือง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

                ภายในร้านเค้กเบเกอรี่แห่งหนึ่ง

                ร้านหรูราคาประหยัดใจกลางห้างดังซึ่งได้รับความนิยมในหมู่นักเรียนนักศึกษา ด้านในสว่างอบอุ่นไปด้วยแสงไฟสีส้มอ่อนและเสียงดนตรีทำนองไพเราะของเปียโนบรรเลงซึ่งถูกเปิดเคล้าคลอไปกับบรรยากาศ และช่วงเวลาหลังเลิกเรียนเช่นนี้ โต๊ะทุกตัวภายในร้านต่างก็ถูกจับจองเป็นที่นั่งทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว

                โต๊ะหนึ่งริมผนังกระจกใสของร้านมีเด็กหนุ่มนักเรียนมัธยมปลายสามคนนั่งอยู่

                นะ...นี่มันอะไรกัน...

                ตรงหน้าของเด็กหนุ่มเป็นเค้กสีชมพูหน้าตาหวานแหววน่ารัก

                มันไม่ใช่สไตล์ของเขาเลยสักนิด

                “เป็นอะไรของนาย ตะวัน ไม่ถูกใจหรือไง”

                “เฮ้อ พวกนาย...”

                ตะวัน เด็กหนุ่มผู้ตกเป็นเหยื่อความบันเทิงของเพื่อนถอนหายใจออกมา เขาเป็นเด็กหนุ่มร่างเล็ก นัยน์ตาสีดำกลมเลื่อนๆ ลอยๆ เหมือนกับคนไม่ค่อยใส่ใจสิ่งอื่นสิ่งใด ผมดำกระเซิงเหมือนกับเด็กวัยรุ่นทั่วๆ ไปซึ่งไม่เจ้าสำอางหรือชอบแต่งองค์ทรงเครื่องอะไรมากนัก

                ส่วนฝั่งตรงข้ามของโต๊ะก็คือเพื่อนร่วมชั้นสองคนของตะวันนั่นเอง

                “แบ้วๆ แบบนี้ ของโปรดนายเลยไม่ใช่เหรอ”

                ภัทร เด็กหนุ่มนัยน์ตาคมแปลบใต้กรอบเลนส์ใสหนาเตอะ ผมสีดำหวีเป็นทรงเรียบเฉียบ แม้ในยามปกติจะดูเป็นคนเงียบขรึมจริงจัง แต่เมื่ออยู่กับกลุ่มเพื่อนซี้สนิท เขาก็แสดงความขี้เล่นเป็นกันเองออกมา โดยเฉพาะกับตะวัน เป็นเรื่องปกติชินตากันไปแล้วหากตะวันจะโดนภัทรหยอกล้อกวนประสาทอยู่บ่อยๆ เป็นเพราะตะวันไม่ใช่คนชอบถือสาหรือผูกใจเจ็บ ไม่เคยโต้ตอบรุนแรง และไม่เคยปฏิเสธฝ่ายตรงข้าม ภัทรจึงเล่นหัวกับเขาได้แบบไม่ต้องเกรงใจ

                “ไม่เกี่ยวกับฉันนะ ฝีมือไอ้ภัทรคนเดียวเลย”

                ปกรณ์ เด็กหนุ่มร่างใหญ่ผิวเข้ม มีหนวดเครานิดหน่อย ใบหน้าดูแก่กว่าวัยเล็กน้อย รีบแก้ต่างให้ตัวเองขึ้น ตะวันไม่ว่าอะไร เขารู้ดีว่าปกรณ์ไม่ได้มีนิสัยชอบกวนประสาทหรือว่าชอบปั่นหัวเขาเล่นอยู่แล้ว

                ตะวันได้แต่มองหน้าภัทรด้วยสายตาเซ็งๆ

                “ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”

                เด็กหนุ่มสวมแว่นเผยยิ้ม เขารู้ว่าเพื่อนไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ “เอาเป็นว่าเค้กนั่น ฉันเลี้ยงก็แล้วกัน โอเคนะ เพราะงั้นเลิกด่าฉันในใจได้แล้ว แค่แกล้งเล่นหน่อยเดียวเองน่า ไม่เคยแกล้งใครสนุกเท่านายเลยนะ จริงๆ”

                แหงสิ ขืนไปแกล้งคนอื่น นายคงโดนอัดแว่นกระจายไปแล้ว

                และทั้งสามคนก็เริ่มรับประทานของหวานบนโต๊ะพร้อมกัน

                ในระหว่างนั้น ภัทรก็เริ่มชวนคุยขึ้น

                “สอบสังคมตอนบ่ายเป็นไงกันบ้าง”

                “ก็ไม่เลวเท่าไหร่” ปกรณ์ยิ้มพลางใช้ช้อนตัดขนมเค้กตรงหน้าและตักเข้าปาก “ไม่แน่ใจอยู่ประมาณสองสามข้อ แต่ที่เหลือๆ ก็น่าจะโอเคหมด คิดว่าน่าจะได้เกือบๆ เต็มนั่นแหละ”

                “งั้นเหรอ” ภัทรหรี่นัยน์ตาลง “ถ้าอย่างนั้น...”

                “นายก็คงต้องเลี้ยงมื้อกลางวันฉันแล้ว เพราะฉันมั่นใจว่าฉันได้เต็ม”

                ปกรณ์กับภัทรมักจะเดิมพันการสอบกันอยู่เป็นประจำ วัดกันด้วยคะแนน ใครได้มากกว่าก็ถือเป็นผู้ชนะ ส่วนผู้แพ้ก็ต้องออกเงินเลี้ยงอาหารกลางวันให้กับคู่แข่ง เป็นการพนันกันเล่นสนุกๆ บางครั้งก็อิ่มท้องฟรีๆ แถมยังเป็นการกระตุ้นให้ต้องจริงจังกับการทำคะแนนสอบไปในตัวอีกด้วย

                “แล้วนายล่ะ เป็นไงบ้าง” ณภัทรหันมาสนใจคนที่นั่งอยู่อีกฝั่ง

                “เอ้อ ใช่ๆ ตะวัน นายคงจะรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ได้เหมือนเดิมเลยใช่ไหม” ปกรณ์เพิ่งนึกได้ เขาเปรยขึ้นแบบยิ้มๆ อารมณ์เล่นๆ “ตำแหน่งท็อปคะแนนต่ำสุดในห้องของนายน่ะ ฮ่าๆ”

                เกิดเสียงหัวเราะขบขันขึ้นมาเล็กน้อย

                ตะวันยังคงตักเค้กเข้าปากด้วยสีหน้าลอยๆ เขานึกถึงการสอบวิชาประวัติศาสตร์เมื่อตอนบ่ายที่ผ่านมา มันเป็นเพียงแค่ข้อสอบห่วยๆ ไม่ตรงกับเนื้อหาที่สอนในห้องเรียนหรือในตำราเลยแม้แต่น้อย นักเรียนส่วนใหญ่ที่ทำข้อสอบได้ก็ล้วนแต่เป็นนักเรียนคนโปรดซึ่งลงเรียนพิเศษนอกรอบกับอาจารย์ประจำวิชาด้วยกันทั้งนั้น

                ตะวันรู้ดีว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่อย่างชัดเจน

                “ตะวัน อย่าบอกนะว่านายยังไม่เอาจริงอีก เกรดของนายมันจะไม่พอยื่นสอบโควตามหาลัยเอานะ” ปกรณ์มองดูตะวันอย่างมองเห็นว่าเป็นปัญหาจริงจัง

                คำว่า ยังไม่เอาจริง เป็นประโยคเด็ดซึ่งตะวันใช้เป็นข้ออ้างอยู่เสมอๆ เวลาสอบเก็บคะแนนไม่ผ่าน และเป็นที่รู้กันดีภายในห้องว่า ตะวันสอบตกทุกครั้ง แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ทุกคนก็รู้ว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่าตะวันเรียนโง่หรือทำข้อสอบไม่ได้ ประเด็นก็คือตะวันจงใจทำคะแนนสอบของเขาให้มันดูแย่เองต่างหาก

                มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเด็กที่ผ่านการสอบรอบพิเศษและย้ายเข้ามากลางเทอมอย่างตะวัน เขาไม่มีทางสอบตกทุกวิชาในห้องเรียนอย่างแน่นอน ยกเว้นเพียงว่าเขามีเหตุผลบางอย่างสำหรับรองรับการกระทำของเขาเหล่านั้น

                “ถ้านายเป็นห่วงเรื่องคะแนนสอบของฉันนัก ทำไมเวลาสอบไม่หัดช่วยฉันบ้างล่ะ” ตะวันบอกขึ้นพร้อมกับแนะนำแนวทางในการปฏิบัติเมื่อเพื่อนทำข้อสอบไม่ได้ในห้องสอบ “อย่างเช่น จดโพยใส่กระดาษส่งมาให้ฉัน หรือส่งสัญญาณมือ หรือว่าแง้มๆ ให้ฉันเห็นกระดาษคำตอบหน่อยก็ดี”

                “หา!

                เพื่อนทั้งสองได้แต่อุทานออกมากับแนวคิดนั้น

                “ฉันนึกว่าจะให้ช่วยติวให้ซะอีก” ปกรณ์ว่า

                “ติวให้? ฉันไม่เอาด้วยหรอก ก็ตะวันสมองทึ่มจะตายไป” ภัทรพูดขึ้นเหมือนกับกำลังนินทาใครบางคนอยู่โดยผู้ถูกกล่าวถึงนั้นยังนั่งสลอนอยู่ฝั่งตรงข้ามอยู่เลย “ถ้าให้สอนหนังสือให้ตะวัน ฉันเอาเวลาไปสอนให้กอริลล่าหรือว่าชิมแพนซียังดีกว่าเลย”

                นะ...หนอย...

                ตะวันคิ้วกระตุกกำหมัดลงบนโต๊ะ มองหน้าเพื่อนแบบอยากจะตะบั้นหน้าเข้าให้สักครั้ง

                “อ้อ บางทีฉันอาจจะเปลี่ยนใจยอมช่วยนายก็ได้นะ”

                ภัทรมองหน้าตะวันแววตาจริงจัง

                “แต่ว่ามีเงื่อนไขนิดหน่อย”

                “เงื่อนไข?”

                “ถ้าเกิดว่านายยอมจัดรอบให้ฉันได้ไปนั่งทานข้าวหรือว่าดูหนังกับน้องสาวของนาย บางทีฉันอาจจะยอมเป็นติวเตอร์ส่วนตัวให้เลยก็ได้นะ รับรองว่านายต้องทำคะแนนสอบได้เต็มทุกรอบแน่ การันตีโดยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งและเกรดเฉลี่ยสี่จุดศูนย์ทุกเทอมของฉันเลย”

                “ไม่ได้เด็ดขาด!

                ตะวันตอบกลับว่องไวแทบไม่เสียเวลาพิจารณาเลยสักนิด

                “อะไรกัน” ภัทรหน้ามุ่ยลงด้วยความผิดหวัง

                “เลิกพยายามตื้อปรายฟ้าสักทีเถอะ นายก็รู้ว่าต้องข้ามศพไอ้ตะวันไปก่อน” ปกรณ์บอก ปรายฟ้าก็คือน้องสาวของตะวันนั่นเอง เด็กหนุ่มผิวเข้มเกิดความสงสัยบางอย่าง เขารีบเอ่ยปากขึ้น

                “นายเนี่ยหวงน้องสาวมากกว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่อีกนะ ตะวัน หรือว่าที่พยายามกีดกันไม่ให้ใครมายุ่งกับน้องสาวของตัวเองขนาดนี้ ก็เพราะว่านายเป็นพวกซิสค่อนไงล่ะ ประมาณว่าพิศวาสน้องสาวตัวเอง เลยไม่ยอมให้ผู้ชายคนไหนเข้าใกล้”

                “ไม่ใช่เฟ้ย!” ตะวันปฏิเสธทันควัน

                มันไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นพวกคิดไม่ซื่อกับน้องสาวตัวเองอะไรทำนองนั้น แต่เพราะปรายฟ้ายังเด็กมากอยู่ ยังอ่อนต่อโลก บริสุทธิ์ และไร้เดียงสา ตะวันเลยต้องแน่ใจว่าน้องสาวของเขาจะไม่ตกเป็นเหยื่อของภัยคุกคามต่างๆ นานาภายในสังคมยุคใหม่ซึ่งไม่ว่าอะไรๆ ก็ดูไม่น่าไว้ใจทั้งนั้นนี้

                และจานรองเค้กของหวานทั้งสามจานก็ว่างเปล่าลงในที่สุด

                “อิ่มจัง” ตะวันยกถ้วยน้ำของตัวเองขึ้นจิบดื่ม

                แม้จะวางมือลงจากการรับประทานกันแล้ว แต่ทั้งหมดก็ยังนั่งอยู่เพื่อเสพบรรยากาศอันผ่อนคลายภายในร้าน ตะวันมองดูเพื่อนทั้งสองที่กำลังยุ่งอยู่กับภารกิจอันเป็นส่วนตัวของแต่ละคน ปกรณ์หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาพร้อมกับก้มหน้าจิ้มนิ้วหยุกหยิกๆ อยู่อย่างนั้น ส่วนภัทรก็เหมือนกำลังมองดูอะไรบางอย่างด้านนอกผนังกระจกใสข้างโต๊ะ

                “นายมองอะไรของนาย ภัทร”

                ตะวันถามพลางหยิบเอาสมาร์ทโฟนของตัวเองขึ้นมา

                “อ๋อ เปล่าหรอก ไม่ได้มองอะไร” คนถูกทักสะดุ้งขึ้นเล็กน้อยเหมือนถูกปลุกขึ้นจากความเหม่อลอย เขาพูดติดตลกออกมา “กำลังคิดถึงน้องปรายฟ้าอยู่น่ะ”

                “หุบปากของนายไปเลย”

                ตะวันส่งสายตาจริงจัง “ไม่เล่นมือถือหน่อยหรือไง”

                มันค่อนข้างดูแปลกๆ นิดหน่อย เพราะปกติภัทรจะหมกมุ่นอยู่กับจอโทรศัพท์มากกว่าปกรณ์เสียอีก แต่พักหลังมานี้ ตะวันสังเกตเห็นว่าเขาเล่นโทรศัพท์น้อยลงชัดเจนและมักใช้เวลาในการนั่งเงียบๆ และเหม่อลอยไปเฉยๆ มากกว่า

                “ไม่ล่ะ ฉันพยายามลดความถี่ลงแล้วเดี๋ยวนี้” ภัทรว่า

                “อื้ม แบบนั้นก็ถือว่าดี เพลาๆ ลงซะบ้าง”

                ตะวันเริ่มท่องเน็ตผ่านโทรศัพท์ของเขา แตกต่างจากคนอื่นๆ ซึ่งใช้โทรศัพท์เล่นเกม ติดต่อโซเชียล หรือคุยแชทส่งข้อความสนุกสนานกับเพื่อน ตะวันชอบใช้มือถือค้นหาภาพวาดธรรมชาติสวยๆ หรือสัตว์น่ารักๆ และเน้นเซฟภาพเก็บเอาไว้นอนดูเล่นทีหลังเสียมากกว่า ทั้งภัทรและปกรณ์เคยมองว่าเขาเป็นพวกคลั่งธรรมชาติและนำไปล้อกันในห้องอยู่พักใหญ่ จนตอนนี้ ทุกคนเหมือนจะเฉยๆ ต่อความชอบอันพิลึกของตะวันไปกันหมดแล้ว

                “ตะวัน ดูๆ ของแรร์ว่ะครับ”

                ปกรณ์ยกโทรศัพท์หันหน้าจอมาทางเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงข้าม

                “อะไรของนาย” ตะวันได้แต่กระพริบตามองหน้าจอแบบงงๆ

                เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เพื่อนต้องการจะสื่อเลยสักนิด

                “อะไรกัน ก็นายบอกว่าเกมนี่นายก็เล่นไม่ใช่หรือไง” ปกรณ์บอกขึ้น เขานึกว่าเพื่อนจะเข้าใจสิ่งที่เขากำลังโชว์อยู่เสียอีก “ตุ๊กตาของฉันได้หมวกอันใหม่ด้วยล่ะ เป็นโปรโมชั่นที่สุ่มเฉพาะผู้โชคดีห้าสิบคนเท่านั้นเองนะ”

                ตะวันมองหน้าจอโทรศัพท์ซึ่งอีกฝ่ายมีความตั้งใจจะอวดให้ดูเป็นนักเป็นหนา มันเป็นรูปของตุ๊กตาตัวหนึ่งแต่งตัวน่ารักด้วยเสื้อและกระโปรงโทนสีเหลืองๆ บนหัวของมันมองไม่เห็นหมวกเลยสักใบ แต่เพราะตุ๊กตามันสามารถเดินขยับกระดุกกระดิกไปมาบนหน้าจอได้ ตะวันเลยสังเกตเห็นโบว์สีแดงอันใหญ่มีกระดิ่งสีทองติดอยู่ตรงกลางซึ่งตุ๊กตากำลังสวมใส่อยู่ทางศีรษะด้านหลัง โบว์สีแดงอันใหญ่กับกระดิ่งทองสั่นขยับได้เองเป็นจังหวะๆ นั่นคงจะหมายถึงของแรร์หรือของหายากภายในเกมอย่างแน่นอน

                “เป็นยังไงบ้าง น้องเมโลดี้ของฉันน่ารักหรือเปล่า”

                ปกรณ์ถามกึ่งยิ้มอย่างคาดหวังในคำตอบ

                เมโลดี้ คือ ชื่อของตุ๊กตา

                ตั้งชื่อเล่นเอาเลี่ยนขึ้นมาเลยทีเดียว ส่วนเรื่องความน่ารัก

                มันยังเป็นสิ่งที่ตะวันจะต้องทบทวน

                เพราะถึงตุ๊กตาจะแต่งตัวด้วยชุดดูน่ารักสดใส แต่ว่า...

                หน้าตาของมันกลับมีลักษณะตรงกันข้ามกับเครื่องแต่งกายโดยสิ้นเชิง เมโลดี้เป็นตุ๊กตาสีผิวม่วงซีดๆ นัยน์ตากลวงกลมเป็นหลุมดำขนาดใหญ่และคล้ายกับมีของเหลวสีดำๆ ไหลนองลงมาตามขอบตาอีกด้วย ปากฉีกกว้างจนดูผิดธรรมชาติทำให้เมโลดี้เหมือนกับกำลังแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายอยู่ตลอดเวลา

                ทั้งหมดยังไม่รวมพื้นหลังซึ่งตกแต่งให้ดูมีลักษณะคล้ายกับห้องส่วนตัวของตุ๊กตา พื้นด้านหลังมีลักษณะสีทึบๆ มีเทียนไขเล่มใหญ่สีขาวตั้งให้ความสว่าง พื้นหลังห้องของตุ๊กตาเต็มไปด้วยคราบอะไรบางอย่างสีดำๆ แถมยังมีเครื่องแขวนคอและเครื่องตัดหัวเป็นเฟอร์นิเจอร์ตั้งอยู่ด้านหลังด้วย

                แค่มองเห็นก็รู้สึกขยาดขนลุกพองขึ้นมาแล้ว ตะวันไม่รู้จะชมมันว่าน่ารักดีหรือไม่

                เขาไม่มีรสนิยมในด้านนี้ เลยไม่กล้าตัดสินอะไร

                “เอ่อ ฉันเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน” ตะวันว่าขึ้น

                “โถ่เอ้ย ชมน้องเมโลดี้ของฉันหน่อยก็ไม่ได้”

                แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่ตะวันจะไม่อวยของรักของเขา ปกรณ์กลับมารัวนิ้วลงบนหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองอีกครั้ง “ตะวัน ฉันเคยเห็นในโทรศัพท์ของนายก็มีแอพฯตุ๊กตาอยู่ด้วยนี่นา นายเองก็น่าจะมีสักตัวไม่ใช่หรือไง ตุ๊กตาน่ะ”

                “ฉันมีเกมอยู่ก็จริง แต่ไม่ได้แปลว่าฉันจะต้องมันเล่นนะ”

                ตะวันชิบน้ำชาไปพลาง จริงๆ เขาไม่ได้สนใจอยากจะเล่นตุ๊กตาหลอนๆ อะไรนั่นเลย แต่เป็นเพราะปรายฟ้าเคยคะยั้นคะยอให้เขามาเล่นเป็นเพื่อน เด็กหนุ่มเลยต้องโหลดแอพพลิเคชั่นมาแถมยังสมัครบัญชีผู้ใช้ไปแล้วอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้น เขาไม่เคยเข้าสู่ระบบไปสร้างตุ๊กตาเป็นตัวเป็นตนเลยสักนิดเดียว

                เห็นว่ามันกำลังฮิตในกลุ่มวัยรุ่นเลยช่วงนี้

                ถึงจะไม่ได้ฮิตแบบถล่มทลาย แต่มันก็ได้รับความนิยมในระดับหนึ่ง

                มันเป็นเกมแอพพลิเคชั่นบนมือถือโดยผู้เล่นสามารถสร้างตุ๊กตาของตัวเองขึ้นมาและเน้นปฏิสัมพันธ์กับตุ๊กตาของผู้เล่นคนอื่นๆ จุดเด่นของมันก็คือตัวของตัวของตุ๊กตาซึ่งถูกออกแบบมาให้มีทั้งความดาร์คๆ หลอนๆ และความใสๆ น่ารักๆ ในคราวเดียว บางทีคนส่วนใหญ่อาจจะเริ่มเบื่อกับเกมแต่งตุ๊กตาแบบหวานแหววน่ารักๆ แล้วเลยหันมาให้ความสนใจเกมแต่งตุ๊กตาแนวหลอนๆ แทนก็เป็นได้

                และชื่อเต็มๆ ของเกมก็คือ มาย ลิตเติล เฟรนด์

                สำหรับภาษาปากหรือภาษาวัยรุ่น

                ถ้าพูดว่า ตุ๊กตา ก็จะเป็นการหมายถึง มาย ลิตเติล เฟรนด์ นั่นเอง

                แม้ว่าหลายๆ คนรอบตัวตะวันจะตกเป็นทาสของเหล่าตุ๊กตานี้ แต่เด็กหนุ่มก็ไม่เคยมีความคิดที่จะลองเล่นมันดูเลยสักครั้งเดียว แม้แต่ปรายฟ้าเองที่ถึงกับพยายามชักชวนอยู่หลายต่อหลายครั้งก็ยังทำไม่สำเร็จ เขาไม่ได้เกลียดหรือว่าหวาดกลัวตุ๊กตา แต่แค่รู้สึกอึดอัดไม่ถูกชะตากับมันอย่างบอกไม่ถูกก็เท่านั้น

                คล้ายๆ กับเป็นความเชื่อส่วนบุคคล

                ตะวันคิดว่าการเล่นตุ๊กตาหลอนอาจนำพาความโชคร้ายเข้ามาในชีวิตเขา ไม่มีเหตุผลรองรับคำอธิบายอะไรทั้งนั้น เขาแค่รู้สึกอย่างนั้น แล้วก็พยายามหลีกเลี่ยงเกมตุ๊กตานี่มาโดยตลอด

                “ใกล้ได้เวลาแล้ว” ภัทรมองดูนาฬิกาดิจิตอลบนมือถือซึ่งหยิบล้วงขึ้นมา

                “เรียนพิเศษอีกแล้วสินะ เรียนเยอะขนาดนั้น ไม่เบื่อกันบ้างหรือไง”

                ตะวันถาม ขนาดแค่เห็นเฉยๆ ยังรู้สึกเหนื่อยแทน

                เพราะปกรณ์กับภัทรเรียนพิเศษทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดเสาร์อาทิตย์

                “หึ ลองมองว่ามันเป็นการสร้างโอกาสสิ” ภัทรยิ้มตอบพลางขยับขาแว่น

                ทั้งสามคนเรียกเก็บเงิน ปกรณ์กับภัทรยังสั่งเค้กอีกจำนวนหนึ่งห่อใส่กล่องกลับบ้าน และเมื่อเดินออกมาจากร้านแล้ว ทั้งสองก็ยัดเยียดกล่องขนมเค้กให้กับตะวันพร้อมกับกำชับว่าต้องส่งให้กับมือปรายฟ้าให้ได้ ตะวันอยากจะปฏิเสธ แต่ต้องรักษาน้ำใจของเพื่อนเลยต้องยอมถือถุงพลาสติกใส่กล่องขนมเค้กติดมือกลับบ้านไปด้วย

                กลุ่มของพวกเขาสลายตัวแยกย้ายกันตรงหน้าร้านโดยทันที

                “เจอกันพรุ่งนี้”

                “โอเค แล้วเจอกัน”

                ตะวันยืนมองจนกระทั่งเพื่อนทั้งสองเดินคละหายไปกับฝูงชนมากมายที่พลุกพล่านอยู่เต็มทางเดินของภายในห้างสรรพสินค้า ใช้ชีวิตในวัยแห่งความมันและสนุกสุดเหวี่ยงไปกับการเรียนแล้วก็เรียน เขาไม่แน่ใจว่านั่นเป็นการใช้ชีวิตที่แท้จริงหรือเปล่า หลังจากยืนเหม่ออยู่อย่างไม่ได้ตัดสินใจอะไร เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

                ตะวันหยิบเอามือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงนักเรียน

                หลังจากมองดูข้อความบนจอ เขาก็ได้แต่ยิ้ม

                มันเป็นข้อความจากปรายฟ้านั่นเอง

                เมื่ออ่านข้อความเสร็จ ตะวันก็เก็บโทรศัพท์มุ่งหน้าออกไปทันที

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา