Laurel ภาค เสียงเพรียกหาจากดินแดนที่ถูกลืม
8.0
เขียนโดย zusuran
วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.15 น.
13 ตอน
4 วิจารณ์
10.15K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 20 มีนาคม พ.ศ. 2565 13.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) ความลับของเจ้าชาย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฉัวะ!
“กรี๊ด!”
เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นลงบนพื้นดินคละเคล้ากับเสียงกรีดร้องอย่างทรมานของหญิงสาวที่ทรุดตัวลงอย่างหมดเรี่ยวแรง
ปีกโปร่งใสคนทั่วไปจะมองไม่เห็น แต่ตอนนี้มันขาดรุ่งริ่งและสร้างความเจ็บปวดให้ไรรีย์จนหญิงสาวแทบจะขาดสติ
“ฮ่าๆๆๆ เอาละเจ้าหญิง ทีนี้เธอจะเอาอะไรมาสู้”
“ชิ เจ้าพวกสารเลว”
“นางเด็กจองหอง เอาไปก็หนักเปล่าๆ”
มือหนาแสนสกปรกคว้าคอไรรีย์ยกขึ้นเหนือพื้น เท้าสองข้างแกว่งไกวกลางอากาศ และพวกมันก็เหวี่ยงเธอลงไปกลางหน้าผา
วืด!
“หะ!”
ร่วงลงไป ร่วงไป แม้มีปีกก็ไม่อาจหนีพ้นกรงเล็บยมทูตไปได้
ไรรีย์มองภาพท้องฟ้าที่เริ่มจะไกลออกไปเรื่อยๆ อาการปวดแสบปวดร้อนที่แผ่นหลังทำให้ใบหน้าหญิงสาวบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด กลิ่นเลือดคาวคลุ้งเตะจมูกพร้อมกับความหนาวยะเยือกที่เข้ามากัดกิน
นี่เธอคงจะเสียเลือดจนตายก่อนที่จะถึงก้นเหวสินะ
ความเย่อหยิ่งของสายเลือดเทพธิดาอย่างไรรีย์ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ร้องขอชีวิต ไม่มีทางเด็ดขาด
แต่ตอนนี้ ไม่รู้ทำไม ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
เธออยากมีชีวิตรอด!
“ช่วย…….ด้วย”
เสียงแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ ไม่มีทางที่ใครจะมาได้ยินเสียงของเธอหรอก แต่ท้ายที่สุดไรรีย์ก็ทำได้เพียงกระซิบเสียงแผ่วๆเท่านั้น
ไม่มีใครมาหรอก ไม่มีใครได้ยิน………..
กรรรร~~~~
เสียงอะไร…..
แม้ตัวจะขยับไม่ได้แต่ลูกตายังกลอกกลิ้งไปได้ และได้สบเข้ากับดวงตาสีเหลืองทองที่อยู่ใกล้เพียงคืบ
“คี…..ระ”
ชายหนุ่มไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้าไรรีย์เข้าไปกอดเอาไว้ก่อนจะพาเธอพุ่งหลาวตรงไปที่ชะง่อนหินด้านล่าง
ตึ้ง!
เสียงกระแทกพื้นดินรุนแรงตามน้ำหนักของคนสองคนที่ล่วงลงมาจากข้างบน
กร๊อบ!
เสียงลั่นคล้ายกับกระดูกกำลังถูกบดละเอียด หากแต่เจ้าตัวก็ยังมีสีหน้านิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไรรีย์ยังเหลือสติแม้จะเลือนรางเต็มที มองเห็นใบหน้าของคีระ แต่ก็ทนทานความเจ็บปวดไม่ได้นานนัก สติก็เลือนหายและดำดิ่งลงสู่ความมืด
เธอไม่ตายแล้วล่ะ อย่างน้อยก็มีเจ้าคนงี่เง่าลงมาอยู่เป็นเพื่อน ไว้ตื่นขึ้นมาค่อยหาทางกลับขึ้นไปก็แล้วกัน……..
เมื่อรู้ว่าหญิงสาวในอ้อมแขนหมดสติไป คีระก็เงยหน้าขึ้นไปยังหน้าผา เธอถูกโยนลงมาลึกใช่ย่อย พวกนั้นมันกะฆ่าเธอให้ตาย ถ้าเกิดเขามาไม่ทันป่านนี้ไรรีย์คงไม่รอด ดวงตาเริ่มเปลี่ยนสี โกรธเจ้าพวกสารเลวที่มันกล้าทำกับไรรีย์จนเกินทน พวกมันเด็ดปีกของเธอและโยนเธอลงมาราวกับสิ่งของ
กลิ่นคาวเลือดทำให้คีระทรมานจนหายใจไม่ออก
ไม่อยากอยู่ที่นี่ อยากออกไปจากที่นี่
ออกไป จัดการเจ้าพวกสารเลวนั่น!
กี๊ซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!!!!!
เสียงร้องบาดแก้วหูสะเทือนไปทั้งป่า โจรป่าต่างอุดหูกันไม่เว้นแม้แต่กลุ่มนักเรียนที่ถูกจับ
“สะ เสียงบ้าอะไรกันเนี่ย!”
“แก้วหูจะฉีกอยู่แล้ว!”
พรึ่บ!
“นั่นมัน!”
สัตว์รูปร่างเหมือนนกขนาดใหญ่พุ่งขึ้นมาจากหน้าผา
ตึงงงง!!!!
อินทรี ไม่สิ นั่นมันสัตว์ประหลาด
“นั่นมัน กริฟฟอน!”
“ไม่จริง มันไม่น่าจะมีตัวตนจริงๆนี่นา!”
ตำนานของกริฟฟอนที่คนทั่วไป กริฟฟอนคือปีศาจที่เจ้าเล่ห์และหลอกล่อเหยื่อไปสังหารอย่างเหี้ยมโหด และทันทีที่พวกโจรป่าได้เห็น ความเหี้ยมเกรียมก็หายไปเหลือแค่ตาขาวๆที่ถลนออกมาจากเบ้า
กริฟฟอนสีแดงเพลิงกระพือปีกครั้งหนึ่งทุกอย่างก็กระเจิดกระเจิงไปไม่เว้นแม้แต่ร่างของพวกโจรป่า ส่วน เหล่านักเรียนที่ถูกมัดติดต้นไม้โชคดีที่มีเชือกยึดไว้ แต่ก็ต้องทนกับข้าวของที่ลอยเข้ามาปะทะหน้าหลายที
โป๊ก!
“อ๊าย! หัวช้าน!”
ตึ้ง!
อุ้งเท้าเต็มไปด้วยเล็บแหลมคมเหยียบย่ำพื้นดินจนแผ่นดินสะเทือน ท่ามกลางซากปรักหักพัง
“ทำไงดี มันมองมาทางนี้ด้วย”
“เดี๋ยวก่อน ดูนั่นสิ ฉันว่ามันแปลกๆ”
“แปลกยังไง เรากำลังจะถูกมันฆ่านะ”
แสงสีทองอมแดงสว่างวาบไปทั้งร่างของกริฟฟอน ก่อนที่ร่างของสัตว์ร้ายตนนั้นจะค่อยๆสลายไปเหลือไว้เพียงแค่ร่างของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอมแดงกึ่งอุ้มกึ่งกอดไรรีย์ที่หมดสติอยู่เบื้องหน้า
“คะๆๆๆๆ คีระ เนลสัน!”
สภาพของทั้งคู่บอกได้คำเดียวว่ายับเยิน โดยเฉพาะคีระที่หอบหายใจจนตัวโยน และยังมีเปลวไฟอ่อนๆลุกโชนอยู่ตามตัวเหมือนกับว่าเพิ่งตะลุยกองเพลิงมายังไงอย่างนั้น กระทั่งแววตาอาฆาตก็ไม่ได้ต่างจากสัตว์ร้ายตัวเมื่อกี้เลยแม้แต่น้อย
“แฮ่กๆๆๆ….”
“คีระ….”
รู้สึกมาตลอด แววตาเยี่ยงสัตว์ร้าย ความร้อนรุ่มทั่วกายที่ถูกโอบกอด ที่แท้ก็มาจากเขานี่เอง และไม่คิดมาก่อนเลยว่า ร่างแปลงของเจ้าคนปลิ้นปล้อนที่คอยยั่วโมโหไรรีย์มาตลอดจะเป็นถึงสัตว์เทพเจ้าในตำนาน สัตว์ประหลาดที่ใครๆต่างก็หวาดกลัว
คีระวางไรรีย์ลงกับพื้น ก่อนจะลุกขึ้นซวนเซไปแก้มัดที่พันธนาการเพื่อนๆเอาไว้ด้วยสีหน้าที่นิ่งสนิทปนเหนื่อย หากแต่ปฏิกิริยาของเพื่อนๆกลับหวาดกลัวเขา บางคนถึงกับกรีดร้องออกมาเหมือนคนบ้า
“อย่าเข้ามานะ ปีศาจ แกเป็นปีศาจแปลงกายมาสินะ!”
“ไปให้พ้นนะ! พวกเราไม่ใช่เครื่องสังเวยของแก!!!!”
แล้วก้อนหิน กิ่งไม้ ก็ถูกขว้างใส่ชายหนุ่มไม่ยั้ง
ผัวะ!
ก้อนหินก้อนหนึ่งถูกขว้างมากระแทกหัวคีระจนได้เลือด ไรรีย์เดินเข้าไปตบฉาดใบหน้าของนักเรียนหญิงคนหนึ่ง
เพียะ!
“เลิกบ้าได้รึยัง”
“นี่เธอ”
“ไม่สำนึกบุญคุณ แล้วยังจะมาทำร้ายเขาอีกเหรอ พวกเธอมันต่ำทรามยิ่งกว่าไส้เดือนจริงๆ”
“พวกเราแค่…”
“ฉันจะทนเห็นพวกเธอได้อีกแค่นาทีเดียวเท่านั้น อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก จำใส่กะลาหัวเอาไว้”
“ขะ ขอโทษค่า!”
แล้วกลุ่มนักเรียนก็พากันวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต ทุกอย่างกลับมาเงียบอีกครั้ง มีแค่สายลมที่พัดกลิ่นเลือดปะปนกับกลิ่นดิน
ไรรีย์ยังเจ็บแสบที่ด้านหลังหันกลับไปมองคีระที่ยังนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ทั้งที่ปกติจะปะทะคารมกับเธอได้ทุกสถานการณ์แท้ๆ และก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปหา เสียงสั่นๆก็ดังขึ้นมา
“อย่าเข้ามา”
กึก!
ปลายเท้าหยุดชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะก้าวเข้าไปหาชายหนุ่มและหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา คีระพยายามหลบหน้า ไม่แม้แต่จะชายตามองไรรีย์เลยแม้แต่น้อย
“ขอบใจนะ”
ไรรีย์พูดออกมาเสียงแผ่ว ไร้ความหวาดกลัว ไร้ความสงสัย
“ไม่กลัวฉันเหรอ”
“ไม่”
“หึ เก่งจังนะแม่คุณ”
คำพูดที่ดูเหมือนก่อกวน หากแต่น้ำเสียงนั้นช่างเศร้านัก และไม่นานเซเลีย ก็มาถึงพร้อมกับครูแอนนา
“คีระ! ไรรีย์!”
“เซเลีย!”
“โชคดีจัง ที่ปลอดภัย”
“อื้ม ฉันปลอดภัยดี”
“ไม่เป็นไรนะ ครูเห็นพวกนักเรียนหญิงวิ่งกลับโรงเรียนไป นึกว่าเธอจะถูกจับไปไกลกว่านี้ซะอีก”
“ไม่เป็นไรค่ะครู หนูเป็นคนไล่พวกนั้นกลับไปเองแหละ”
“เฮ้อ นี่ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไร….กัน”
คำพูดของแอนนาชะงักไปทันทีเมื่อเห็นสภาพรอบๆที่ไม่ต่างจากสนามรบขนาดย่อม หนำซ้ำยังมีพวกกลุ่มโจรบางคนนอนเจ็บปางตายอยู่หลายคน แต่ไม่นานครูสาวก็กลับมามีท่าทีสงบอีกครั้งและหันมามองคีระที่เงียบจนผิดวิสัย ก่อนจะถอนหายใจแบบปลงๆ
“เอาล่ะ กลับกันเถอะ ทุกคนเป็นห่วงพวกเธอแย่แล้ว คีระ ไรเกอร์ตามหาเธออยู่แน่ะ”
แอนนามองลูกศิษย์เหมือนบอกกลายๆให้รีบไป คีระพยักหน้าน้อยๆก่อนจะเดินออกไปเงียบๆ
อาการบาดเจ็บของไรรีย์ถูกแอนนารักษาจนหายสนิท แต่ก็ยังมีบางจุดที่ยังระบม และหญิงสาวก็ยังถูกไรเกอร์เอ็ดไปพอเป็นพิธี
ภารกิจลุล่วงและทุกคนกล่าวชมเชยทีมของบ้านตะวันออก แต่ในกลุ่มภารกิจนั้นไม่เห็นแม้แต่เงาของคีระ
เขาหายไป
ไรรีย์สงสัย และแน่นอนว่าถ้าอยากรู้ก็ต้องหาคำตอบ
ภายใต้คืนเดือนดับ นักเรียนทุกคนเข้าหอนอนกันไม่เหลือใครออกมาเพ่นพ่าน แม้แต่ยามรักษาความปลอดภัยก็ยังหายหน้า แต่มีบางคนที่ยังตื่น สองเท้าเบาเหมือนปุยเมฆค่อยๆย่ำไปบนพื้นหญ้าดวงตาที่มองฝ่าความมืดได้สบายๆนำทางให้ผู้ที่ตื่นยามวิกาลเดินไปได้แบบไม่ชนกับสิ่งของใดๆ
เสียงร้องคำรามดังมากับสายลมแผ่วๆ พอจับทิศทางได้ว่ามาจากทางไหน
ไรรีย์เดินไปเรื่อยๆ จากความมืดรอบด้านก็ค่อยๆมองเห็นแสงไฟดวงเล็กๆที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าลอเรลด้านหลังหอพัก ที่มาของแสงนั้นคืออุโมงค์ที่ต้องมุดลงไประหว่างรากไม้ใหญ่กลางทะเลสาบ
ยิ่งใกล้ก็ยิ่งได้ยินเสียงร้องโหยหวน ยิ่งได้ยินก็ยิ่งอยากรู้
กรรรรรรร!!!!
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก!!!!~~~~~~~”
ไรรีย์เดินเข้าไปเรื่อยๆและเรื่อยๆ จนในที่สุดก็พบกับจุดกำเนิดของแสงไฟ และสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้หญิงสาวตะลึงตาค้าง
คีระ….ที่ไม่ใช่คีระในสภาพที่ใครๆรู้จัก ถูกล่ามโซ่ติดกำแพงและถูกล้อมเอาไว้ด้วยกรงสายฟ้า คับแคบที่แม้จะล้มตัวลงนอนก็ไม่ได้ ดวงตาสองข้างถูกผ้าสีดำปิดเอาไว้ ทุกครั้งที่เขาขยับตัวและดึงโซ่ สายฟ้าก็จะเข้าเล่นงานเขา
เหมือนสัตว์ป่าที่ถูกจับมาทรมานหวังให้เชื่อง
แกร็บ!
“นั่นใคร”
เสียงครูไรเกอร์!
ไรรีย์หลบเข้าไปในร่องหิน ทำตัวให้ลีบที่สุด จนกระทั่งชายวัยกลางคนเดินผ่านไปพร้อมกับเชิงเทียน ไรรีย์ชะเง้อหน้าออกไปมองผ่านร่องหินแคบๆ ไรเกอร์หยุดยืนอยู่ตรงหน้าคีระที่เหมือนจะไม่ใช่คีระ
“ครูจะทำยังไงกับเธอดีนะ คีระ เนลสัน อัลเดอร์แมร์……..”
“ฆ่าผมเถอะ…..”
เสียงสั่นพล่าครางออกมาทำให้คนที่ได้ยินถึงกับสะอึกเกือบจะหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ
ไรรีย์รีบยกมือปิดปากตัวเองและขยับแนบผนังหินเย็นเฉียบแทบจะเข้าไปสิงร่างอยู่ในนั้นให้รู้แล้วรู้รอด
“ฆ่าเหรอ ครูทำได้ซะที่ไหนกัน….คนเดียวที่จะชี้เป็นชี้ตายเธอได้ก็มีแค่องค์หญิงเท่านั้น และครูก็มั่นใจว่าเขาจะไม่ทำแบบนั้น”
องค์หญิงที่ไหนกัน….
ไรรีย์นึกตาม ยิ่งได้ยินเสียงสนทนาของคนข้างนอกก็ยิ่งทำให้ไรรีย์อยากรู้อยากเห็นมากขึ้นไปอีก
“ทรมานมากไหมล่ะ”
“ครับ”
“อยู่อย่างนี้จนกว่าจะสงบลงเถอะ ครูจะไปตามเซเลียมาให้”
“ไม่”
“หืม”
“ไม่เอา ไม่ต้องตาม ผมอยากอยู่คนเดียว”
“เอางั้นก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็อยู่อย่างนี้จนกว่ากรงจะหายไปก็แล้วกัน”
แล้วไรเกอร์ก็เข้าไปตบไหล่คีระเบาๆก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ ไรรีย์ก็ออกจากที่ซ่อน และเหมือนคีระจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นเธอ
“มาทำไม”
“เอ่อ ฉัน…”
“กลับไปซะ”
เสียงแผ่วเบาราบเรียบเหมือนไม่แยแสต่อใครในหล้า ทำไมกันนะ ไรรีย์เจ็บปวดกับท่าทางเย็นชาแบบนี้จัง
“อย่ามาสั่งฉัน”
“หึ นั่นสินะ อยากอยู่ที่นี่จนครูจับได้ก็ตามใจเธอ”
“ฉันรู้ว่าไปแล้ว”
“จะทำอะไรก็ตามใจ ฉันเหนื่อย อยากพักผ่อน”
คีระสงบลง เหมือนเขาจะยอมรับสภาพน่าเวทนานี้จนชินชาแล้ว
“เซเลีย….เกี่ยวข้องอะไรกับนาย อย่างนั้นเหรอ”
“…………..”
“เป็นเพื่อนสนิท คู่หมั้น หรือว่า….”
“ทุกอย่างในชีวิตของฉัน”
คีระชิงตอบก่อนที่ไรรีย์จะพล่ามออกมาหมด และมันก็ทำให้ทุกอย่างเงียบลงไปอีก
“รวมทั้ง……..”
“อะไร?”
“ไม่มีอะไร เธอควรกลับไปได้แล้ว ที่นี่ไม่ปลอดภัยสำหรับเธอ”
“บอกแล้วไงว่าอย่ามาสั่ง”
“ไรรีย์ ฉันขอร้องล่ะ กลับไป”
เสียงคีระแผ่วลงเรื่อยๆเหมือนเขากำลังหมดแรง ไรรีย์เม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรงก่อนจะเดินฝ่าสายฟ้าเข้าไปใกล้ๆและแกะผ้าปิดตาของเขาออก เปลือกตาหลุบลงต่ำเหลือเพียงครึ่ง เหมือนกำลังปกปิดดวงตานั้นเอาไว้ยังไงอย่างนั้น
ไรรีย์ใช้สองมือประคองใบหน้าของชายหนุ่มให้เงยขึ้นประจันหน้ากับตน
“มองฉันสิ”
“ไม่”
“คีระ มองฉัน”
คีระยอมทำตามในที่สุด เขาเปิดเปลือกตาขึ้นและมองไรรีย์ด้วยแววตาเศร้าและอ่อนล้าเต็มที ไรรีย์มองดวงตาสีทองที่มีขีดตรงกลางราวกับตาของสัตว์ร้ายนั้นอย่างเงียบเชียบ ดวงตาของกริฟฟอนที่ใครๆต่างก็หวาดกลัว แต่ไม่ใช่กับไรรีย์ เพราะเธอสัมผัสได้ถึงความเศร้ามากกว่าความน่ากลัว
“ตาสวยดีออก ทำไมทุกคนถึงได้กลัวกันนะ ไม่เข้าใจเลย”
“ฮะๆๆ เธอนี่แปลกคนจริงๆ ใครๆก็กลัวปีศาจกันทั้งนั้น”
“ถ้าคนอย่างนายเป็นปีศาจจริงๆล่ะก็ ฉันคงเป็นราชินีปีศาจไปแล้วล่ะ”
“ยายคนประหลาด”
“นายกับฉันก็ประหลาดทั้งคู่”
ไม่รู้ว่าตอนไหน บรรยากาศหดหู่ที่เคยเป็นมันหายไป ตอนนี้เหลือเพียงเสียงหัวเราะอยู่ในพื้นที่แคบๆ
“นี่…ดีขึ้นรึยัง”
“อือ”
เสียงพูดคุยที่นานๆจะได้ยินเป็นระยะๆจากหญิงสาวที่เอาแต่ถามคำถามเดิมๆกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“เธออยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว กลับไปได้แล้ว”
“ถ้าฉันไปใครจะปลดโซ่ให้นายยะ”
“โซ่ไม่มีกุญแจ ถ้าฉันเป็นปกติแล้วเดี๋ยวมันก็หายไปเอง”
“หืม….น่าสนใจดี งั้นฉันขอดูต่ออีกหน่อยดีกว่า”
“เธออยู่ด้วยฉันนอนไม่หลับเลย ให้ตายเถอะ”
“ก็อยากรู้นี่”
“กลับไปเลยไป”
“ถ้าเป็นเซเลียนายคงไม่ไล่เธอไปสินะ”
“ยิ่งเป็นยายนั่นฉันยิ่งต้องไล่กลับ”
“ดูนายจะเป็นห่วงเธอมากเลยนะ”
“…………”
ไม่มีคำตอบจากคีระ และหลังจากนั้นทุกอย่างก็ตกสู่ภวังค์ความเงียบ ไรรีย์นั่งชันเข่าพิงกำแพงข้างๆชายหนุ่มและเงียบลงไม่ถามไถ่อะไรอีก
“หลับแล้วเหรอ”
“เปล่า แค่ไม่มีอะไรจะคุย”
“ก็บอกแล้วไงว่าให้กลับไป”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่”
“เฮ้อ….”
สุดท้ายแล้วก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย คีระค่อยๆหลับตาลง หายใจสม่ำเสมอเหมือนคนที่กำลังหลับลึก ไรรีย์ลอบมองใบหน้าครึ่งซีกที่ดูเหน็ดเหนื่อยนั้นเงียบๆ มันเป็นด้านที่เธอไม่เคยเห็น
แกร๊ก!
เสียงคนกำลังมา ไม่จริงน่า หรือว่าไรเกอร์จะกลับมาดูคีระอีกครั้ง
ไรรีย์ลุกออกไปหาที่ซ่อนตรงซอกหินด้านหลังชายหนุ่ม ยืนนิ่งอยู่ในจุดอับที่ไม่มีใครมองเห็น และมองสิ่งเคลื่อนไหวด้านนอกผ่านช่องหินเล็กๆ ทว่า คนที่มานั้นไม่ใช่ไรเกอร์อย่างที่คิด แต่เป็น….
ดาเลน มาร์เจนต้า!
อาจารย์ฝ่ายปกครองที่ดูแลหอพักตะวันตก หล่อนมาทำอะไรที่นี่
ไรรีย์ยืนมองสิ่งที่เกิดขึ้นเงียบๆ พยายามลบพลังของเองไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว มาร์เจนต้ายังเดินวนเวียนอยู่นอกกรงสายฟ้า ดวงตาสีแดงที่ไรรีย์ไม่ชอบเอามากๆกำลังกวาดมองคีระไม่กะพริบ
“สัตว์เทพเจ้า……งั้นเหรอ ไม่คิดเลยว่าจะอยู่ใกล้แค่เอื้อมแบบนี้ รู้อย่างนี้ฉันคงไม่ต้องเหนื่อยจับเด็กพวกนั้นไปเป็นเครื่องสังเวยให้เสียเวลา”
“…..!!!!”
เครื่องสังเวย ไรรีย์ไม่ได้หูฝาดแน่ๆ เด็กนักเรียนที่ทยอยหายตัวไป ที่แท้ก็เป็นฝีมือของอาจารย์คนนี้นี่เอง
“หะ!....อุ๊บ!”
“นั่นใคร! ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
ไรรีย์ตะปบปิดปากตัวเองเอาไว้และถอยห่างออกจากซอกหินเข้าไปลึกจนสุด มาร์เจนต้ากำลังเดินมาตรงที่ซ่อนของเธอพร้อมกับแส้ที่เป็นอาวุธคู่กาย
เอาไงดี ตอนนี้ถ้าถูกเจอเข้า
คงต้องสู้กันสินะ!
“มีธุระอะไรกับผมงั้นเหรอครับ ครู”
คีระ!.....
กึก!
มาร์เจนต้าหยุดชะงักก่อนจะหันหลังกลับและเบนสายตาไปที่คีระแทน ไรรีย์ค่อยๆเดินออกมาและมองผ่านช่องแคบนั้นอีกครั้ง
“ว้าว ดูเธอสิ สารรูปดูไม่ได้เลยนะ”
“แหม….ผมเองก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ไปตลอดสักหน่อย หน้าตาผมน่ะหล่อเอาการนะครับ ระวังจะหลงเสน่ห์เอาล่ะ”
“…..”
ถึงจะอยู่สภาพไหนคีระก็ยังเป็นคีระสินะ ไอ้คำพูดกวนประสาทนั่นส่งมากระตุกอารมณ์ไรรีย์ได้ตงิดๆเสียด้วยสิ
“นั่นสินะ สัตว์ประหลาดที่ทำให้เหยื่อลุ่มหลงแล้วก็หลอกล่อไปเป็นอาหาร คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก…..กริฟฟอนจอมเจ้าเล่ห์”
มาร์เจนต้ายังคิดว่าตัวเองเหนือกว่า มองคีระอย่างประเมินค่า แต่ทว่าชายหนุ่มไม่ได้ไยดีต่อท่าทางยโสของเธอเลยแม้แต่น้อย
“หึ! ฮะๆๆๆ”
“เสียสติไปแล้วจริงๆสินะ”
“อ้อ นั่นสินะครับ ก็แค่พอดูดีๆแล้วมันอดขำไม่ได้น่ะครับ”
“ว่าไงนะ”
“เป็นแค่คนฝึกสัตว์ให้เชื่องไปวันๆ ยังยกตัวเองมาเป็นอาจารย์แบบนี้ น่าขำจริงๆ”
“แก!!! เจ้าสัตว์ประหลาดชั้นต่ำ!”
“ฮะๆๆ สัตว์ประหลาดชั้นต่ำเหรอ”
ฉับพลันบรรยากาศรอบตัวคีระก็เปลี่ยนไป แรงกดดันมหาศาลของสิ่งที่เหนือกว่ากำลังกดร่างของมาร์เจนต้าให้คุกเข่าลง ไม่เว้นแม้แต่ไรรีย์ที่ต้องล้มลงอย่างไร้ทางต้าน
พลั่ก!
“อึก! แก….”
“อย่าจองหองให้มากนะ นางคนชั้นต่ำ จะเป็นพื้นดินหรือสวรรค์เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์มาทำท่าทางแบบนั้นกับข้า จำเอาไว้”
เสียงที่เหมือนจะไม่ใช่เสียงของคีระ ก้องกังวานจนมาร์เจนต้าทนไม่ไหว กรีดร้องออกมาเหมือนคนบ้าและกระเสือกกระสนออกไปอย่างคนเสียสติ
“อ๊ากกกกกกกกกกกก!!!!”
ทุกอย่างประจักษ์ต่อสายตาของไรรีย์ที่เฝ้ามองมาแต่แรก เมื่อมั่นใจว่ามาร์เจนต้าออกไปแล้ว หญิงสาวก็ออกมาจากที่ซ่อน มองคีระที่กำลังข่มอารมณ์ตัวเองอย่างทรมาน
“นาย….โอเคนะ”
“ฉันไม่เป็นไร…...ไม่เป็นไร”
บรรยากาศชวนอึดอัดค่อยจางไปพร้อมกับอารมณ์ที่ถูกปรับเข้าที่ของชายหนุ่ม แต่ระหว่างที่ไรรีย์กำลังเดินเข้าไปใกล้ เสียงระเบิดจากด้านนอกก็ดังขึ้น
ตู้มมมมมม!!!!
“อะไรน่ะ!”
“ชิส์! ยัยนั่นคิดจะฝังฉันทั้งเป็นน่ะสิ”
“หนอย!!!!”
ครืนนนนนนนนนนนนนน!!!!!
“อ่ะ!”
แรงของระเบิดค่อยทำให้เพดานที่เป็นรากไม้และหินเก่าๆร่วงลงมา
ตู้มม!
บึ้ม!
ไรรีย์หลบก้อนหิน น้อยใหญ่ที่ร่วงกราวลงมาและตรงเข้าไปหาคีระที่พยายามแกะโซ่ตรวนออก แต่ดูท่าว่าเขาจะยิ่งถูกโซ่นั้นรัดแน่นกว่าเดิม
แกร๊ง!
“ให้ตายสิ โซ่บ้านี่ ออกไปเมื่อไหร่ฉันจะจัดการกับครูไรเกอร์ให้สาสมเลย คอยดูสิ”
ไรรีย์ทั้งบ่นทั้งทึ้ง ดึง กระชากโซ่หวังให้หลุดจากกำแพง แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่เป็นผล
“รีบไปซะ”
“แล้วนายล่ะ!”
“ช่างฉันเถอะน่า! รีบไป!”
ครืดดดดด!!!!!
“อ่อก!!!”
“คีระ!!!”
ยิ่งชายหนุ่มพยายามทำลายโซ่เท่าไหร่ ก็จะมีโซ่อีกเส้นโผล่ขึ้นมาและรัดตัวเขาเอาไว้เพิ่มขึ้นเท่านั้น ทั้งแขนขา ไม่เว้นแม้แต่คอของเขา
ตู้ม!!!!
“อันตราย!!!!!”
ครืนนนนนน!!!!
ทุกอย่างถล่มลงมาทับถมกลายเป็นซากปรักหักพัง ไรรีย์ปวดร้าวไปทั้งตัวพยายามดันแผ่นหินที่ทับกลางตัวออกให้พ้นทาง ก่อนจะปัดพวกเศษหิน รากไม้เล็กๆออกจากร่างของคีระที่อยู่เบื้องล่าง
แปะๆ….
“คีระ…..เฮ้ คีระ”
“อึก! เธอไม่เป็นไร………..นะ”
ก่อนที่ทุกอย่างจะถล่มลงมา ไรรีย์ใช้ตัวเองเข้ามาบังและกอดประคองคีระที่ถูกโซ่พันธนาการเอาไว้
“ไรรีย์ เธอบาดเจ็บ!”
“อ่า….ถึงว่าสิ อะไรเหนียวๆเต็มตัวเลย”
ไรรีย์พยายามลุกขึ้นนั่งยกมือมือปิดปากแผลที่ไหล่เพื่อห้ามเลือด แต่ดูท่าแผลบนตัวเธอจะหนักหนาเกินกว่าจะห้ามไว้ด้วยมือเปล่าเสียแล้ว
โซ่ที่พันธนาการคีระเอาไว้ค่อยๆสลายไปแล้ว ชายหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นนั่งพิงซากปรักหักพัง มองไรรีย์ที่หน้าซีดเซียวเพราะเสียเลือดมากเกินไป
“อึก! หนาวจังแฮะ”
"มานี่มา"
คีระดึงมือไรรีย์เข้าไปหาตัว เลือดสีแดงสดไหลออกมาไม่หยุดส่งกลิ่นคาวคลุ้งจนน่าเวียนหัว
"จะทำอะไร"
"อยู่นิ่งๆเถอะน่า"
ไรรีย์มีบาดแผลลึกหลายแห่ง เลือดชโลมกายไม่ต่างจากน้ำ คีระมองบาดแผลของหญิงสาวอย่างชั่งใจ ก่อนจะก้มลงใช้ลิ้นละเลียดปากแผลบนมือของเธอเป็นจุดแรก
สัมผัสสากๆเหมือนลิ้นของสัตว์ป่ารู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาชั่วขณะ และทันทีที่ชายหนุ่มเงยหน้าผละออกไปบาดแผลฉกรรจ์บนมือของไรรีย์ก็หายเป็นปลิดทิ้งเหมือนกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
"นาย ทำได้ยังไง"
"อยู่นิ่งๆนะ ถ้ากลัวก็หลับตาไว้"
คีระรั้งตัวไรรีย์เข้าไปและสวมกอดเธอไว้แน่น มือสั่นเทาค่อยๆคลี่ปกเสื้อออกอย่างระมัดระวัง บาดแผลฉกรรจ์บนลากยาวลงมาถึงเนินอกของหญิงสาว ทั้งลึกและกว้าง ถ้าไม่รีบรักษาปิดปากแผลเอาไว้มีหวังเธอคงเสียเลือดตายก่อนที่ทีมกู้ภัยจะเข้ามาเจอเป็นแน่
"คะ คีระ"
"หลับตาซะ ไรรีย์"
ไรรีย์ทำตาม สองมือกอดกุมชายหนุ่มไว้ สะกดความรู้สึกวาบหวามจากสัมผัสที่ค่อยๆลามเลียไปบนบาดแผลอย่างเชื่องช้า จากที่คอไล่ลงมาถึงเนินอก
"อึก!"
มือสองข้างเผลอขยุ้มปอยผมสีสดของอีกฝ่ายอย่างไม่ได้ตั้งใจเพื่อสะกดกลั้นความวาบหวามที่เพิ่งเคยสัมผัส วงแขนแกร่งยังกอดประโลมร่างกึ่งเปลือยนั้นไว้แนบกายในขณะที่ริมฝีปากและลิ้นสากๆยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป
คีระรักษาบาดแผลให้ไรรีย์จนไม่เหลือจุดสาหัสอะไรแล้ว ที่เหลือก็แค่บาดแผลถลอกที่แค่ใส่ยาเดี๋ยวก็หาย ชายหนุ่มกอดรั้งร่างกายของหญิงสาวเอาไว้และค่อยๆดึงเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยขึ้นมาปกปิดบนร่างกายของเธอไว้อย่างเดิม แต่ดูท่าคนที่หมดแรงจะเป็นไรรีย์เสียมากกว่า ใบหน้าหวานยังซบอิงแนบอกของเขาพร้อมกับดวงตาที่ปิดสนิทสั่นระริกราวกับเด็กที่ยังหวาดกลัว
"ลืมตาได้แล้วล่ะ"
ไรรีย์ค่อยๆคลี่เปลือกตาออกช้าๆ ความเจ็บปวดสาหัสจนแทบขาดใจได้หายไปแล้ว หากแต่หัวใจที่เต้นแรงผิดจังหวะมันยังคงอยู่
น่าอายเหลือเกินที่ต้องให้ผู้ชายมาแตะต้องเนื้อตัวแบบนี้ น่าอายจนไม่กล้าเงยหน้ามองสิ่งใดเลย
"ขะ ขอบใจนะ"
"........."
"คีระ?"
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบสนองและเงียบผิดปกติ
พรืด!
ตุ้บ!
มือที่โอบกอดไรรีย์ไว้ไหลพรืดหล่นลงข้างตัว
"คีระ!"
"ค่อก!!!"
จู่ๆคีระก็กระอักเลือดออกมา
"อะไร! นายบาดเจ็บเหรอ! นายบาดเจ็บตรงไหน!"
"ให้ตายสิ เลือดของเธอ"
"อะไร!"
"ฮะๆๆ เลือดของเธอเป็นยาพิษสำหรับฉันเหรอเนี่ย"
พรืดดดดด!!!!
พลั่ก!!!!
ร่างชายหนุ่มไหลพรืดล้มตึงลงกับพื้นและแน่นิ่งไม่ตอบสนองใดๆอีกเลย
"คีระ!!!!!"
เสียงกรีดร้องของไรรีย์ไม่สามารถส่งไปถึงสติที่ดำดิ่งของคีระได้
ทีมกู้ภัยของฟีนิกส์มาถึงพร้อมกับไรเกอร์ และเมื่อครูหนุ่มเห็นสภาพของลูกศิษย์ทั้งสองก็พอเดาออกตั้งแต่แรก
ทั้งไรรีย์และคีระถูกนำส่งโรงพยาบาลของหน่วยแพทย์เวทมนตร์ ไรรีย์หลงเหลือแค่บาดแผลถลอกให้รักษา ทว่า คีระกลับต้องถูกกันออกไปในห้องคนไข้โคม่า
"เอาล่ะ ไหนลองเล่ามาซิว่าเกิดอะไรขึ้นในนั้น ไรรีย์ อาเกต"
การสอบสวนเริ่มต้นขึ้นในห้องทำงานของเสาหลักทั้งห้าของโรงเรียนเวทมนต์ ไรเกอร์และแอนนาได้สิทธิ์เข้าไปในห้องนั้นด้วยเพราะเหตุผลที่ว่าไรรีย์เป็นลูกศิษย์ที่อยู่ในความดูแล
"มีคนวางระเบิดปิดทางเข้าของอุโมงค์ ทุกอย่างถล่มลงมา หลังจากนั้นหนูก็ปะติดปะต่ออะไรไม่ได้แล้วค่ะ"
"รู้หรือไม่ ว่าการนัดพบกันในยามวิกาลของชายหญิง เป็นเรื่องผิดกฎของทางโรงเรียน"
"หนูทราบค่ะ แต่หนูกับคีระเราแค่บังเอิญเจอกันเท่านั้นเองนะคะ"
ไรรีย์ค้านสุดเสียง แน่นอนเธอไม่มีทางเล่าความจริงทั้งหมดอยู่แล้ว แต่ดูท่าเสาหลักทั้งห้าจะไม่ได้เข้าข้างเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่ไรเกอร์ยังเงียบไม่ปริปาก
"วันนี้เรื่องเกิดขึ้นมามาก ตั้งแต่นักเรียนของเราถูกลักพาตัว มีคนมาแจ้งว่าพบเห็นกริฟฟอน และทางเราก็กำลังดำเนินการตามหาคนที่ปล่อยข่าวลือนั้นเพื่อให้มาอธิบายข้อเท็จจริง ในเมื่อคุณไรรีย์เป็นหนึ่งในนักเรียนที่ถูกลักพาตัว คุณคงจะพอทราบว่าข่าวลือที่ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ว่ายังไงล่ะคะ คุณไรรีย์"
ก็ต้องจริงอยู่แล้ว ก็เธอนี่แหละที่ถูกกริฟฟอนช่วยชีวิต
ไรรีย์นึกในใจ และเด็กสาวก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้เก่าโกโรโกโสนั่นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเสาหลักทั้งห้าอย่างไม่เกรงกลัว
"คุณไรรีย์ อาเกต กรุณานั่งลงด้วย"
"ทำไมหนูต้องนั่งเก้าอี้เก่าๆนี่ด้วยล่ะคะ"
"คุณไรรีย์ อาเกต"
"หนูคือผู้ประสบภัยของฟินิกส์ ไม่ใช่นักโทษที่จะมาให้พวกคุณสอบสวน และนี่ก็ดึกมากแล้ว หากว่าการสอบสวนของพวกคุณคือการยัดความผิดให้กับแพะรับบาปแล้วล่ะก็ ดิฉันก็คงต้องขอลาตรงนี้เพราะดิฉันไม่ใช่แพะรับบาปของใคร"
"เป็นเด็กเป็นเล็กกล้าพูดจากับผู้ใหญ่แบบนี้ อยากถูกไล่ออกจากโรงเรียนนักใช่ไหม"
"อุ๊บ!!! ฮ่าๆๆๆ!!!"
จู่ๆไรเกอร์ที่เงียบมาตลอดก็หลุดหัวเราะลั่นห้องออกมา
"ครูไรเกอร์ มีอะไรน่าขำงั้นเหรอ"
"หึๆๆๆ เปล่าครับ ผมก็แค่ขำไปตามประสาของผมเท่านั้นเอง"
"ลูกศิษย์ทำความผิด คุณยังจะเข้าข้างอยู่อีกรึไง ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นวีรบุรุษในสงครามเทพเจ้า แต่ลูกศิษย์ของคุณกระทำความผิดคุณก็ต้องรับผิดชอบด้วย"
"งั้น จะให้ผมรับผิดชอบเรื่องอะไรเหรอ"
เฮือก!!!
เสียงไรเกอร์เรียบเฉยทว่ามันมาพร้อมกับความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านกำจายไปทั่วห้อง
สองเท้าก้าวออกมาจากเงาเสาและหยุดยืนอยู่กลางห้องไม่ไกลจากไรรีย์ ดวงตาสีขี้เถ้ากวาดมองเหล่าเสาหลักทั้งห้าที่ยิ่งใหญ่แต่ในนามอย่างประเมินค่า
"อย่าลืมสิว่าตำแหน่งนี้ใครเป็นคนหยิบยื่นให้พวกคุณ"
"ว่าไงนะ"
"ในฐานะครู ผมคงไม่อยู่เฉยแน่ถ้าใครจะมาทำร้ายลูกศิษย์ของผม ตอนนี้ภารกิจของผมที่นี่คือการปกป้องเด็กๆ แต่ก็อย่าลืมซะล่ะว่าสิ่งที่เป็นของผม ผมจะเอามันกลับคืนมาเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้น อย่าล้ำเส้นกันดีกว่านะครับ หรือจะว่ายังไง ผู้อำนวยการสูงสุด เวอร์โก้ เซเลส"
คำพูดสุดท้ายเอ่ยออกมาพร้อมกับสายตาที่ทอดมองไปยังที่นั่งที่อยู่สูงกว่าใครภายในห้อง
เงาของกำแพงทาบทับลงมาทำให้ปกปิดและไม่มีใครเอะใจว่ามีคนนั่งอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งเจ้าของนามที่ถูกเอ่ยถึงได้เดินลงมาจากบัลลังก์ที่นั่งอยู่ โผล่พ้นออกมาจากเงากำแพง
ชายหนุ่มสวมเครื่องแบบเยี่ยงทหารและมีผ้าคลุมประดับไว้บนไหล่สองข้าง เรือนผมสีน้ำตาลอมส้มรับกับใบหน้าคมคายและดวงตาสีเขียวมรกต มองมาที่ไรเกอร์ ก่อนจะพยักหน้าน้อมรับเงียบๆ
"ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่"
ไรเกอร์ทักทายง่ายๆ ไม่มีความกริ่งเกรงใดๆกับคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
"ขออภัยที่เหล่าเสาหลักทำให้คุณขุ่นเคืองใจนะครับ อาจารย์"
เวอร์โก้ เซเลส หนึ่งในเสาหลักทั้งห้า ที่น้อยคนนักจะได้เห็นหน้าของเขา และยิ่งไปกว่านั้น เขาคือพี่ชายแท้ๆของโลเวล
ไรรีย์ถูกนำตัวออกมาจากห้องสอบสวนและเงียบมาตลอดทาง ทั้งที่ปกติจะโวยวายลั่นปราสาท
"เป็นอะไรไป"
ไรเกอร์เป็นฝ่ายถามขึ้นมาซะเอง
“หนูอยากจัดการกับยายมาร์เจนต้านั่นค่ะ!”
“ฮะๆๆๆ งั้นเหรอ ตอนนี้คงไม่ต้องถึงมือเธอหรอก”
“มายความว่ายังไงคะครู”
“เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ต้องรู้ไปหมดทุกเรื่องก็ได้”
"ครูคะ”
“หืม”
ทำไมคีระถึงได้...."
กึก!
ไรเกอร์หยุดฝีเท้าทันทีที่ได้ยินคำถาม ก่อนที่ครูหนุ่มจะหันกลับมามองสีหน้าของลูกศิษย์ที่ตอนนี้ไม่ต่างจากเด็กกำลังหาทางออก
"เฮ้อ เอาเถอะ ไหนๆพวกเธอก็เป็นเพื่อนกัน จะให้เป็นความลับแบบนี้ต่อไปก็ดูท่าจะอยู่กันลำบาก"
"เอ๊ะ?"
"ตามมาสิ"
หอพักฝั่งตะวันออก ทุกคนถูกเรียกมารวมตัวกันกลางห้องโถง ไรเกอร์มองหน้าเหล่าลูกศิษย์เหนือมนุษย์ของเขาทั้ง 6 คน ก่อนจะถอนหายใจออกอีกเฮือกยาวๆ
"เซเลีย มายืนข้างครูนี่มา"
"อะ ค่ะ"
เซเลียลุกขึ้นเดินเข้าไปหาไรเกอร์ตามคำสั่ง และทันทีที่เดินเข้าไปใกล้ไรเกอร์ก็คว้าแจกันขึ้นมาและฟาดลงกลางศีรษะของเซเลียทันที
เพล้ง!
ทุกอย่างเกิดขึ้นต่อหน้าเหล่าลูกศิษย์ทั้งห้าคนที่ยังไม่ได้แม้แต่ร้องตะโกนออกมา
ไรเกอร์ยกแจกันใกล้มือขึ้นมาและฟาดลงกลางศีรษะของเซเลียอย่างแรง แต่ทว่า สิ่งที่เข้ามารองรับแจกันนั้นไม่ใช่เซเลีย แต่เป็น
"คีระ!"
"เป็นไปได้ยังไง นายบาดเจ็บสาหัสอยู่ที่ห้องพยาบาลของโรงเรียนนี่นา ทำไมถึงได้...."
"ผมบอกครูแล้วใช่ไหมว่าอย่า"
"หึ"
ไรเกอร์มองแววตาสีทองของคีระก่อนจะยิ้มมุมปากและโยนชิ้นส่วนของแจกันทิ้งไป
"ครูคะ นี่มันอะไรกัน"
"ก็อย่างที่เห็น เหตุผลที่ฉันเรียกพวกเธอมาในวันนี้ก็เพราะมีเรื่องที่จะบอกให้พวกเธอรับรู้เอาไว้"
แล้วไรเกอร์ก็ผายมือไปยังคีระที่ยังใช้ร่างกายตัวเองปกป้องเซเลียอย่างหวงแหน ตอนนี้คีระที่ดูไม่เหมือนคีระเสียเท่าไหร่ โดยเฉพาะดวงตาสีทองที่มันเจิดจรัสราวกับแววตาของสัตว์ร้าย
"ชื่อของเขาคือคีระ เนลสัน อัลเดอร์แมร์ รัชทายาทแห่งอาณาจักรซาลัน”
“รัชทายาท…เหรอ”
“อย่าตกใจไป ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เมื่ออยู่ที่นี่ก็จะมีสิทธิเท่าเทียมกัน และอย่างที่เห็นตัวตนของคีระตอนนี้ไม่ใช่ตัวตนที่พวกเธอรู้จักสินะ แน่นอนเขาไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไปที่มีพลังเวทมนตร์ แต่เขาคือสายเลือดของสัตว์เทพเจ้า กริฟฟินดอร์"
"บ้าน่า คีระเนี่ยนะ"
"อย่างที่เห็น สัตว์เทพเจ้าจะรับใช้นายเพียงคนเดียวที่มันยอมรับ เหมือนม้าราชันกับเจ้าหญิงเงือกของเลล่ายังไงล่ะ เพราะฉะนั้นอย่าได้แปลกใจว่าทำไมเจ้านี่ถึงได้ปกป้องเซเลียขนาดนี้ กริฟฟอนจะกระหายเลือดเมื่อมันคุ้มคลั่งหรือบาดเจ็บ ในกรณีของคีระเป็นข้อยกเว้น เพราะเขาจะไม่ดื่มเลือดของใครง่ายๆ แต่อย่างหนึ่งที่พวกเธอควรจะรู้ไว้ โดยเฉพาะ ไรรีย์ เธอเป็นคนแรกที่ทำให้ฉันรู้เรื่องนี้"
ทุกสายตาเจาะจงมาที่ไรรีย์
"เลือดของเธอคือยาพิษสำหรับคีระ"
"เอ๊ะ?"
“และอาจรวมไปถึงเลือดของพวกเธอทุกคนในที่นี่ด้วย ฉะนั้นระวังกันเอาไว้ด้วย…..เอาล่ะ เรื่องที่จะพูดก็มีเท่านี้แหละ ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนได้แล้ว"
"ครูคะ"
"หืม อะไร"
ไรรีย์ยังลังเลไม่เหมือนไรรีย์เลย แต่ไรเกอร์ก็ไม่ได้รอให้เธอได้พูดอะไรอีก และเดินจากไป
"เอาล่ะ ทุกคนกลับไปพักผ่อนเถอะ"
หัวหน้าหออย่างโลเวลพูดพร้อมกับหันมามองเซเลียที่พยุงคีระนั่งลงที่โซฟาในห้องนั่งเล่น
"ไหวรึเปล่า"
"อือ"
"คีระ เรากลับซาลันกันดีไหม ที่นี่ไม่ปลอดภัยสำหรับนาย"
คีระหายใจเข้าออกปรับพลังในตัวให้คงที่ มือหนาตะปบทับมือที่ยังประคองแขนตนและบีบมันแน่น
"ถ้าฉันกลับไป ใครจะคอยปกป้องเธอล่ะ"
"แต่ว่า......."
"อย่าพูดอีกเลย ต่อให้จะถูกรังเกียจไปมากเท่าไหร่ ฉันจะปกป้องเธอให้ถึงที่สุดเอง"
บทสนทนาที่เหมือนจะปกติ ตอนนี้ถูกได้ยินเข้าเสียแล้ว
ไรรีย์ตัวแข็งทื่อ เหมือนถูกไอเย็นล้อมรอบเอาไว้ หลากหลายความรู้สึกที่โจมตีเข้ามาจนหญิงสาวถึงกับทรุดนั่งยองๆ ใช้สองแขนห่อตัวเหมือนคนเหน็บหนาวถึงกระดูก
………….
ทุกอย่างกลับเข้าสู่เหตุการณ์ปกติเมื่อตะวันของวันใหม่โผล่ขึ้นมาทักทาย
แต่สิ่งที่เป็นข่าวใหญ่ของโรงเรียนก็คือ บุคคลที่ถูกเวทมนต์ตรึงไว้กลางอากาศ
“ดาเลน มาร์เจนต้า คุณทำผิดกฎร้ายแรง สมรู้ร่วมคิดลักพาตัวนักเรียน และลอบทำร้ายนักเรียนยามวิกาล ดูหมิ่นเบื้องสูง กักขังและทรมานสัตว์เทพอย่างไร้มนุษยธรรม โทษของคุณคือการถูกปลดออกจากฟีนิกส์และจองจำในคุกใต้ดินตลอดชีวิต!”
เสียงประกาศตัดสินคดีก้องกังวานไปทั้งโรงเรียนพร้อมกับที่ฉายบนจอเวทมนต์ให้ทุกคนได้รับรู้
“จบแล้วสินะ”
“ชิส์! ยังไม่สาสมเลย ฉันอยากตบแม่นั่นสักฉาดสองฉาดก่อนแท้ๆ”
ไรรีย์กอดอกสะบัดหน้าไปอีกทางอย่างหงุดหงิด แต่เพื่อนๆเหมือนจะโล่งอกมากกว่าที่เห็นไรรีย์กลับมาเป็นเหมือนเดิม
“เอาเถอะ ยังไงทุกคนก็ปลอดภัยแล้ว”
“ว่าแต่เซเลียหายไปไหน”
“จะว่าไป จาเลนก็ด้วย”
“ไม่ใช่แค่จาเลนกับเซเลีย โลเวลก็หายไป”
“สรุปแล้ว เหลือเราแค่สี่คนสินะ งั้นเราไปหาอะไรกินกันเถอะ”
“ฉันไม่หิว ขอตัวล่ะ”
ไรรีย์เดินออกจากกลุ่มไปอย่างไร้เยื่อใย หารู้ไม่ว่าเธอจงใจหลบหน้าคีระต่างหาก
“จะหลบหน้าฉันไปถึงเมื่อไหร่”
กึก!
“ตามมาทำไมเพคะเจ้าชาย!”
“อย่าเรียกฉันแบบนั้น ไรรีย์”
“ฮึ! แล้วตามฉันมาทำไม”
“ก็แค่มาดูหน้าคนขี้งอนน่ะ”
“ใครงอนใคร”
“เธอนั่นแหละ”
“น้อยๆหน่อยตาบ้า เพิ่งจะรอดตายมาแท้ๆอย่ามาทำซ่าส์นะยะ”
ไรรีย์หันมาตวาดแว้ดๆใส่อารมณ์เหมือนที่เคยทำ แต่เมื่อหันมาประจันหน้ากันตรงๆแล้ว ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างก็กลับมาในหัวอีกครั้ง
“ฉัน…ทำให้นายต้องเกือบตายนะ ถ้าอยู่ใกล้ๆกันเดี๋ยวก็ได้ตายจริงๆหรอก”
“อุ๊บ! ฮะๆๆๆๆ”
“หัวเราะอะไรยะ”
“เธอนี่ตลกจริงๆ”
“ว่าไงนะ”
คีระเดินเข้าไปใกล้ไรรีย์เรื่อยๆและหยุดยืนตรงหน้าเธอ ทิ้งระยะเพียงแค่ก้าวเดียว
ชึ่บ!
“เห็นไหม ไม่เป็นไรเลย”
“…….”
ชึ่บ!
คีระยื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้าหญิงสาว
“ดีกันนะ”
“อะไรของนายเนี่ย”
“ดีกันเถอะน่า”
“ฉันไม่ได้โกรธอะไรนายสักหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นก็สัญญา”
“สัญญา?”
“สัญญาว่าเธอจะไม่เรียกฉันว่าเจ้าชายแล้วก็ไม่หลบหน้าฉันอีก ตกลงไหม”
“นายนี่นะ….ก็ได้”
สุดท้ายก็ต้องยอมเกี่ยวก้อยทำสัญญาเหมือนเด็กๆ แต่เพราะอะไรบอกไม่ถูกที่ทำให้ทั้งสองต่างก็ยิ้มออกมา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ